Saturday, 10 May 2025
POLITICS NEWS

'อดีตขุนคลัง' เชื่อ!! 'ดิจิทัลวอลเล็ต' คงปรับมาแจกเป็นเงินสด แต่กระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่เท่า 'คนละครึ่ง-เราเที่ยวด้วยกัน'

(21 ส.ค. 67) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'ดิจิทัลวอลเล็ตแปลงโฉม' ระบุว่า..

คอลัมน์คนปลายซอย ของเปลวสีเงิน 21 ส.ค. 2567

ทักษิณ 'หลุดปาก' บรรยายเป็นฉาก-เป็นช่อง ที่ทำการพรรคเพื่อไทยชั่วคราวเมื่อวาน จำเป็นบันทึกละเอียดไว้ซักนิด ดังนี้...

นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตตอนนี้ นายกฯ กับฝ่ายงบประมาณ ฝ่ายเศรษฐกิจ กำลังคุยกันอยู่

การกระตุ้นเศรษฐกิจต้องทำแน่นอน และต้องทำอย่างเร็วด้วย ช้าไม่ได้ เพราะถ้าเศรษฐกิจยิ่งไหลลงลึกเท่าไหร่ ก็ดึงขึ้นมายาก

นายกฯ กำลังวางแผนกันอยู่ ทำงานได้เมื่อไหร่ ก็คงสั่งการเลย

"คำว่าดิจิทัล วอลเล็ต มีอยู่ ๓ เรื่อง คือ..."

๑.การกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นหัวใจสำคัญและต้องทำ
๒.การให้ประชาชนมีโอกาสเรียนรู้เทคโนโลยีเพื่อใช้ประโยชน์ต่อไปข้างหน้า ก็ต้องทำต่อไป แต่ความเร่งด่วนอาจรอได้
๓.อนาคต 'ดิจิทัล วอลเล็ต' เมื่อวางไว้แล้ว สามารถใช้ประโยชน์กับประชาชนกับประเทศ ให้ประชาชนกับรัฐบาลเชื่อมต่อกันได้ทางเศรษฐกิจ

เป็นช่องหน้าต่างให้ประชาชนทำธุรกิจผ่านวอลเล็ต เป็นเรื่องเทคนิคที่ต้องมีต่อไป

“แต่ ๒-๓ รอได้ อันที่ ๑ รอไม่ได้ รูปแบบอาจจะอิงเทคโนโลยีบ้างหรือไม่ ไม่อิงบ้างก็ได้ แต่ต้องถูกกฎหมาย และไม่ขัดแย้งกับคนที่เห็นต่างเยอะเกินไป”

ส่วนเรื่องการอัดฉีด "เท่าที่เดินผ่านไปเห็นนายกฯ คุยกับฝ่ายงบประมาณ" ก็บอกว่า "ควรจะต้องทำ" ผมก็ช่วยให้คำแนะนำ แต่การตัดสินใจเป็นของนายกฯ และคณะรัฐมนตรี แต่ผมให้คำแนะนำได้

จะเปลี่ยนเป็น ‘แจกเงินสด’ หรือไม่?

ข้อดีแจกเงินสดคือมันเร็ว แต่ข้อเสีย กลัวว่าจะใช้ในสิ่งที่กระตุ้นเศรษฐกิจไม่เต็มที่

ผมขอให้ข้อคิดต่อไปนี้...

1.การกระตุ้นเศรษฐกิจเนื่องจากเงินที่ใช้แจก โยกมาจากงบประมาณอื่น ดังนั้น ผลบวกในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็จะต้องหักตัวเลขผลลบที่การใช้จ่ายงบประมาณอื่นจะกระตุ้นเศรษฐกิจออกไปเสียก่อน

ดังที่ ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม อดีตรมช.คลัง เคยอธิบายไว้ว่า...

ถ้าเปรียบเทียบเศรษฐกิจไทย เป็นคนไข้ที่ซูบซีด ขาดเลือด ที่ต้องฉีดเลือดเข้าไปเพิ่มเติมด้วยแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต คือสูบเลือดเข้าทางแขนซ้าย

แต่โครงการใช้เงินตามงบประมาณอื่นที่มีอยู่เดิม ที่ต้องชะลอไป เพราะถูกโยกเงินไปใช้แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตนั้น ก็จะทำให้ผลดีต่อการขยายตัวเศรษฐกิจในส่วนนี้ลดลง คือสูบเลือดออกทางแขนขวา

สรุปแล้ว สูบเลือดออกไป เพื่อสูบกลับเข้ามา ดังนั้น โดยตรรกะทางเศรษฐศาสตร์ จึงไม่มีผลกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีนัยสำคัญ

มีข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียว คือประชาชนกลุ่มที่ได้รับเงิน ที่โยกออกมาจากโครงการงบประมาณเดิม เมื่อได้รับเงินเข้าไปในกระเป๋า ก็จะรู้สึกดีขึ้น

แต่สำหรับโครงการงบประมาณเดิมที่ถูกชะลอไว้ก่อนนั้น ผลประโยชน์ที่จะเกิดแก่ประเทศและแก่ประชาชนโดยรวม ก็ถูกเลื่อนออกไป

2.การแจกเป็นเงินสด ผมเคยแสดงความเห็นชัดเจนว่า การแจกเงินเป็นดิจิทัลนั้น มีอุปสรรคทางเทคนิคที่ไม่สามารถแก้ไขได้หลายประการ (ก) ความมั่นคงปลอดภัยของระบบซูเปอร์แอป (ข) ปัญหาการไม่สามารถเชื่อมโยงกับระบบคอมพิวเตอร์ของธนาคารพาณิชย์ และ (ค) ปัญหาฝ่าฝืนกฎหมายเงินตรา เป็นต้น

และยังมีข้อวิจารณ์ อาจมีความเสี่ยงในการหาประโยชน์ส่วนตน ทั้งในการพัฒนาโปรแกรม ทั้งอาจมีการปั่นเงินดิจิทัล และอาจมีการนำเอาข้อมูลส่วนตัวของประชาชนหลายสิบล้านคนไปหาประโยชน์เชิงธุรกิจ

การแจกเป็นเงินสดโดยผ่านระบบเป๋าตัง จะไม่มีปัญหาข้างต้น แต่ไม่สามารถคุมวิธีการใช้เงินได้เลย

ถ้าเทียบกับโครงการในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ เช่น คนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน ถึงแม้รัฐเสียรายได้ในโครงการแบบนี้ แต่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่า เพราะกระตุ้นให้ประชาชนควักกระเป๋าออกมาใช้จ่ายสนับสนุนการใช้เงินของรัฐ

ยิ่งการแจกดิจิทัลวอลเล็ต ที่เปลี่ยนไปเป็นเงินสดฟรี ๆ นั้น ในส่วนที่เอาไปชำระหนี้นอกระบบ ในส่วนที่เอาไปซื้อสินค้านำเข้า เติมน้ำมัน ฯลฯ คงไม่สามารถหวังให้เกิดผลกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับเดียวกับโครงการในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์

นอกจากนี้ ผู้ที่คิดริเริ่มโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ควรจะคิดเตรียมหาคำตอบว่า โครงการเรือธงที่นำไปหาเสียงใหญ่โตนั้น มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ในขั้นตอนการคิดริเริ่ม ได้สืบค้นตรวจสอบวิธีการให้รอบคอบอย่างไร เพื่อเป็นบทเรียนแก่พรรคการเมืองที่จะเตรียมคิดนโยบายหาเสียงในอนาคต

'จันทร์ส่องหล้า' เอฟเฟกต์!! คลังสมองชาติไทยพัฒนา ยื่นใบลาออก หวั่นถูกยุบ-ตัดสิทธิ์การเมือง หลังพรรครับเทียบเชิญหารือนายกฯ ใหม่

(21 ส.ค. 67) รายงานข่าวจากพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) แจ้งว่า เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 20 สิงหาคม ที่ผ่านมา นายรัฐชทรัพย์ นิชิด้า กรรมการยุทธศาสตร์และประชาสัมพันธ์ อดีตที่ปรึกษานายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรค ได้ยื่นใบลาออกจากสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนา และตำแหน่งต่าง ๆ ในพรรคทั้งหมด โดยมีการยื่นใบลาออกต่อนายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา พร้อมให้เหตุผลเพียงสั้น ๆ ว่า ต้องการไปทำงานในธุรกิจส่วนตัว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสอบถามคนใกล้ชิดของนายรัฐชทรัพย์ กล่าวว่า สาเหตุการลาออกในครั้งนี้ เนื่องจากผู้บริหารและสมาชิกพรรคหลายคน มีการหารือกันอย่างไม่เป็นทางการ หลังจากที่พรรคชาติไทยพัฒนาส่งตัวแทนไปหารือการจัดตั้งรัฐบาลที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ในช่วงเย็นวันที่ 14 สิงหาคม ที่ผ่านมา ทางกลุ่มผู้บริหารเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวไม่ได้ผ่านคณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรค และมีความสุ่มเสี่ยงถูกยุบพรรคได้ ซึ่งอาจส่งผลให้กรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองได้

ทั้งนี้ เนื่องจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เป็นผู้เชิญแกนนำพรรคการเมืองมาหารือ เพื่อเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด ๆ เพราะขาดคุณสมบัติตามมาตรา 24 แห่ง พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ประกอบรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 98 เพราะเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในคดีทุจริต 

ดังนั้นการที่นายทักษิณ เทียบเชิญพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล มาร่วมหารือเพื่อตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และจัดตั้งรัฐบาล จึงเข้าข่ายกระทำความผิดตามมาตรา 29 แห่ง พรป.พรรคการเมือง ซึ่งกำหนดห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งไม่ใช่สมาชิกกระทำการใดอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม โดยมาตรา 108 กำหนดให้ผู้ที่ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ห้าถึงสิบปี

นอกจากนี้แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลที่ปล่อยให้นายทักษิณ ซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรคเข้ามากระทำการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคตัวเอง ก็มีความผิดตามมาตรา 28 ของกฎหมายฉบับเดียวกัน ซึ่งมาตรา 92 กำหนดให้พรรคการเมืองที่ฝ่าฝืนต้องถูกยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคด้วย

จากสาเหตุดังกล่าวสมาชิกพรรคหลายคนจึงเห็นพ้องต้องกันว่าควรจะมีการลาออกจากสมาชิกพรรคก่อนถูกร้องในเรื่องดังกล่าว โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่16 สิงหาคม ที่ผ่านมา ผศ.ดร.สันติ กีระนันทน์ รองหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ได้ประกาศในกลุ่มไลน์ของคณะกรรมการบริหารพรรค ขอลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคมาแล้ว และมีสมาชิกพรรคอีกหลายคน กำลังเดินทางไปยื่นใบลาออกจากสมาชิกพรรคด้วย

“หลังจากหัวหน้าพรรค และเลขาพรรค ไปพบคุณทักษิณ ทางสมาชิกพรรคหลายคน ก็ไม่ค่อยสบายใจ เพราะการเข้าไปที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ทางพรรคการเมืองที่เข้าไป มีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกร้อง และอาจนำไปสู่การยุบพรรคได้ หากยุบพรรคคนที่โดนตัดสิทธิ์ทางการเมือง คือ กรรมการบริหารพรรค ไม่ใช่ สส.พรรคที่ไปยกมือสนับสนุนเขา เราพัง ยอมรับว่าไม่สบายใจ นายรัฐชทรัพย์ จึงมาคุยกับผม หลังจากอาจารย์สันติ ลาออก เขาคิดว่าอยู่ก็ไม่น่าจะมีประโยชน์ต่อพรรคต่อไป เขาเลยบอกว่าจะไปยื่นใบลาออก ตอนนี้ ก็มีหลายคนจะไปยื่นใบลาออก” แหล่งข่าวจากพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายรัฐชทรัพย์ ถือเป็นคนหนึ่งที่เป็นคลังสมองของพรรคชาติไทยพัฒนา โดยนายรัฐชทรัพย์ เป็นประธานที่ปรึกษานายประภัตร โพธสุธน สมัยเป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ ที่ตรวจสอบ จัดสรรงบ เพื่อดำเนินโครงการต่าง ๆ โดยมีการยับยั้งโครงการที่ส่อทุจริต และผิดปกติมาแล้วหลายโครงการ

‘พิธา’ เริ่มบทบาทใหม่ที่ ‘Harvard’ ในฐานะ Visiting Democracy Fellows ลั่น!! ไม่ได้หายไปไหน แค่รอวันกลับมาเป็นนักการเมืองที่ดีกว่าเดิม

(21 ส.ค. 67) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีต สส. และหัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Pita Limjaroenrat - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ พร้อมแนบลิงก์บทสัมภาษณ์จากเว็บไซต์ BLOOMBERG.COM โดยระบุว่า…

"ก้าวต่อไป กับ บทบาทใหม่ของผมที่ Harvard ในฐานะ Visiting Democracy Fellows หวังว่าจะไปแชร์ประสบการณ์การเมืองให้คนรุ่นใหม่ และ เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ รอวันกลับมาเป็นนักการเมืองที่ดีกว่าเดิมครับ ไม่ได้หายไปไหนนะ ไป ๆ มา ๆ ระหว่าง บางกอก กับ บอสตัน ครับ"

'รวมไทยสร้างชาติ' อ้าแขนรับ 'อรรถวิชช์' ร่วมพรรค คาด!! ดึงมาช่วยเสริมกำลังให้ทีมกฎหมายแน่นปึ้ก

เมื่อวานนี้ (20 ส.ค. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ประชุมพรรค รทสช. อบอุ่น ชื่นมื่น เหมือนเคยค่ะ วันนี้เราปรบมือรับสมาชิกใหม่ พี่เอ๋ อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ที่จะมาช่วยเสริมกำลังให้ทีมกฎหมายของเรา

วันพุธ พฤหัสบดี นี้เตรียมดู เตรียมฟัง การผลักดัน เรื่องดี ๆ ทั้งเรื่อง พรบ.การออกเสียงประชามติ ปัญหาผู้ลี้ภัยการสู้รบในเมียนมา การปรับปรุงการบริหารงานราชทัณฑ์ ฯลฯ จาก พรรครวมไทยสร้างชาติ

‘ธรรมนัส’ ประกาศอิสรภาพ หลุดพ้น ‘บิ๊กป้อม-พปชร.’ เอ่ยชัด “ผมว่า…ผมพอแล้ว” หลังถวายหัวรับใช้มา 6 ปี

หลัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ออกมาเปิดเผยโผรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ โดยไม่มีชื่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ โดยให้เหตุผลสั้น ๆ ว่า พรรคร่วมเขาไม่เอา ซึ่งพรรคร่วมน่าจะหมายถึงพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาล ที่ไม่ต้องการให้มลทินทั้งหลายไปกระทบต่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของแพทองธาร เหมือน ‘เศรษฐา ทวีสิน’ โดนมาแล้ว กรณีไร้จริยธรรม แต่งตั้ง ‘พิชิต ชื่นบาน’ เป็นรัฐมนตรี ทั้ง ๆ ที่มีมลทิน

แต่ที่น่าสนใจ มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้าว่า รัฐบาลใหม่ไม่เอา ‘วงษ์สุวรรณ’ ซึ่งหมายถึงไม่เอา ‘พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ’ นั้น แต่ในโผรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ กลับมีชื่อ พล.ต.อ.พัชรวาท นั่งเก้าอี้เดิม แต่เตะโด่ง ‘ร.อ.ธรรมนัส’ ออกนอกสนามแข่ง มี ‘สันติ’ มานั่งว่าการกระทรวงเกษตรแทน และให้ ‘ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์’ เสียบแทนสันติในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยสาธารณสุข

ไม่เอา ‘วงษ์สุวรรณ’ อันเกิดจากความไม่พอใจของหัวเรือใหญ่เพื่อไทย ไม่พอใจต่อท่าทีที่เมินเฉยต่อพรรคเพื่อไทยของ ‘พล.อ.ประวิตร’ ที่ไม่เข้าร่วมประชุมสภาโหวตให้แพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ออกแรงห้าม 40 สว.ที่ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความฐานะของนายกฯ เศรษฐา ผิดจริยธรรมทางการเมือง จนต้องพ้นจากตำแหน่ง

เกือบ 6 ปีที่ประชาชนได้รู้จักชื่อของ ‘ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า’ ในฐานะนักการเมืองที่สร้างแรงสะเทือนอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่เขาให้สัมภาษณ์หรือปรากฏตัว มักมีสัญญาณทางการเมืองที่สำคัญ เคยถูก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ปลดพ้นรัฐมนตรีมาแล้ว หลังร่วมกันวางแผนล้ม พล.อ.ประยุทธ์กลางสภา และเคยออกจากพรรคพลังประชารัฐ ไปตั้งพรรคใหม่ ‘เศรษฐกิจไทย’ แต่สุดท้ายก็กลับมาพลังประชารัฐอีกครั้งและรับบทเป็นแม่บ้านเลขาธิการพรรค

“จากประสบการณ์ 6 ปีที่ผ่านมา ผมเองรับใช้บุคคลหนึ่งและพรรคหนึ่งมามากพอสมควรแล้ว จึงถึงเวลาที่ต้องเดินออกมาโดยไม่ทะเลาะกับใคร วันนี้ถึงเวลาที่ต้องประกาศความเป็นอิสรภาพของตัวเองแล้ว” 

พร้อมกล่าวด้วยว่า “พี่น้องคงเห็นแล้วว่าสมัยรัฐบาลที่แล้ว ผมก็รักคนคนหนึ่งมาก ใช้ผมไปตาย ผมยังไปตายเลย แล้วท้ายที่สุดผมก็ประสบอุบัติเหตุทางการเมือง ผมว่าผมพอแล้ว และการที่ พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้ก็ไม่ได้ถามผมและไม่ได้คุยอะไรกัน”

คำพูดเหล่านี้ไม่ต้องแปล เข้าใจกันได้ง่าย ๆ ‘แตกหักกันแล้ว’ แต่ ร.อ.ธรรมนัสก็ยังไปไหนไม่ได้ จะย้ายพรรคก็ยังไม่ได้ เพราะถ้าลาออกเองก็จะพ้นจากความเป็น สส. ก็ต้องอยู่เป็นก้างขวางคอไปเรื่อย ๆ จนกว่า พรรคเขาหมั่นไส้ ไม่ออกเอง แล้วไปหาพรรคใหม่

พรรคใหม่ก็ไม่ต้องไปควานหา หรือดิ้นรนอะไรมาก ‘พรรคกล้าธรรม’ ที่ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ไปตั้งพรรครอไว้เรียบร้อยแล้ว

ก็ต้องติดตามกันต่อไปสำหรับก้าวย่างของชายผู้กล้าได้กล้าเสียคนนี้ในนาม ‘ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า’

‘ดร.สุวินัย’ ชี้!! ‘ชนชั้นปกครอง’ เดินเกม ‘พาไทยให้รอดจากศึกช้างชนกัน’ มองการเมืองโลกในความเป็นจริง ละทิ้ง ‘ความรัก-ความชัง’ มุ่งพาชาติพ้นภัย

(20 ส.ค. 67) รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ การจับมือกันเพื่อดำเนินยุทธศาสตร์ ‘เอาไทยให้รอดจากช้างชนกัน’ ระบุว่า…

ถ้ามองหมากทั้งกระดานจากสายตาของ ผู้คุมเกม ไม่มีเรื่องราวใดสำคัญไปกว่าความอยู่รอดของบ้านเมือง ท่ามกลางบริบทของสงครามใหญ่ (ช้างชนกัน) หรือ ‘สงครามโลกครั้งที่ 3’ ที่เริ่มต้นแล้วในทางพฤตินัย จากสงครามยูเครน (NATO) กับรัสเซีย และสงครามในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและฝ่ายต่อต้านที่มีอิหร่านเป็นแกนนำ

ตอนนี้ดูเหมือนว่าในระดับชนชั้นปกครอง ได้มีการ ‘แบ่งงาน’ และ ‘แบ่งอำนาจ’ กันระหว่างทหารกับทักษิณและอนุทิน อย่างค่อนข้างชัดเจนและลงตัวแล้ว

'ทหาร' สร้างสัมพันธ์อันดีกับทางจีน รัสเซีย ซาอุดีอาระเบีย

'ทักษิณ' สร้างสัมพันธ์อันดีแบบแน่นปึ้กกับทางตะวันตก โดยเฉพาะอเมริกา

'อนุทิน' รับงานทำหน้าที่ปรับสมดุลแห่งสมการทางอำนาจ ปิดทางทักษิณจับมือกับธนาธร

นี่คือความเป็นจริงของ Real Politics ที่นักยุทธศาสตร์และนักกลยุทธ์ทั้งหลายไม่ว่าสังกัดค่ายพรรคใด จะต้องก้าวข้ามอคติความเกลียดชังส่วนบุคคลที่มีต่อทหาร หรือต่อทักษิณให้จงได้

เพราะเกมยุทธศาสตร์เพื่อความอยู่รอดของบ้านเมืองท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ช้างกำลังชนกัน ... เกมมันต้องเดินทรงนี้ทรงเดียวเท่านั้น เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของคนไทยทั้งประเทศ

การที่ทักษิณหวนกลับมาสู่สมการอำนาจไทยอย่างเท่ ๆ ได้อีกครั้ง มันย่อมมีราคาที่ทักษิณต้องจ่ายหรือต้องเสี่ยงเช่นกัน

สั้น ๆ 'ทักษิณ' ยังเป็นหมากที่มีคุณค่าสำหรับชนชั้นปกครองไทย ในยุทธศาสตร์ ‘เอาไทยให้รอดจากช้างชนกัน’

ทั้งทหาร ทักษิณ และอนุทินต้องอยู่ด้วยกัน เพื่อสร้างยุทธศาสตร์เอาตัวรอดจากช้างชนกัน

ฝ่ายหนึ่งกุมจุดอ่อนของอีกฝ่ายหนึ่งเอาไว้เพื่อต่อรองและป้องกันการหักหลัง แล้วจึงปล่อยให้เจ้าตัวสนุกกับการเล่นเกมบนเวทีอำนาจอีกครั้งในช่วงบั้นปลายชีวิต ขณะที่อีกฝ่ายซุ่มซ่อนตัวอยู่หลังฉากในฐานะที่เป็นรัฐพันลึก (deep state)

ขณะนี้ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า ปี ค.ศ. 2030 หรืออีกหกปีข้างหน้า โลกจะดำดิ่งเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression) และสงครามใหญ่ที่เป็นสงครามโลกครั้งที่สาม

อนาคตอันรุ่งโรจน์ของไทยย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถของชนชั้นปกครองไทยในการนำพาบ้านเมืองให้อยู่รอดปลอดภัยด้วยยุทธศาสตร์ ‘เอาไทยให้รอดจากช้างชนกัน’ ที่กำลังดำเนินอยู่ผ่านหมากทหาร หมากทักษิณ และหมากอนุทิน

ตราบใดที่มวลชนไม่ว่าสังกัดค่ายพรรคสีใด ยังมอง ‘การเมืองในโลกแห่งความเป็นจริง’ ด้วยสายตารักหรือชังอยู่ ตราบนั้นพวกเขาก็คงไม่สามารถมองเกมแห่งอำนาจให้ทะลุอย่างมองเห็นหมากทั้งกระดานได้

หากยังทำใจให้มองความเป็นจริงอย่างเยือกเย็นและไร้อารมณ์ไม่ได้ ก็จงเตรียมตัวให้พร้อมด้วยความไม่ประมาท เพื่อเอาตัวรอดให้ได้จากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำยืดเยื้อและสงครามใหญ่ต่อจากนี้เถิด

...เพราะมันมาแน่และเกิดขึ้นแน่

ด้วยความปรารถนาดี

~ สุวินัย ภรณวลัย

‘ยิ่งลักษณ์’ โพสต์ยินดี ‘อุ๊งอิ๊ง’ รับตำแหน่งนายกฯ คนที่ 31 ลั่น!! ภูมิใจในตัวหลาน ขอให้โชคดีพาบ้านเมืองเจริญก้าวหน้า

(20 ส.ค. 67) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์รูปภาพคู่กับน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผ่านแอปพลิเคชันเอ็กซ์ พร้อมระบุข้อความว่า ขอแสดงความยินดีกับนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทย ในฐานะอาภูมิใจมากที่หลานอาสาเข้ามารับหน้าที่และภารกิจอันยิ่งใหญ่เพื่อประเทศครั้งนี้ การเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยนั้น ย่อมต้องมีความกดดันและการคาดหวังเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจในช่วงนี้

“แต่อาเชื่อว่า นายกฯ หญิงของอา เป็นคนเข้มแข็ง มีความสามารถ และเปิดกว้างพร้อมรับฟังความคิดเห็นในการทำงาน ใส่ใจในความรู้สึกของคนรอบข้าง เราผ่านสถานการณ์ที่หนักและยากลำบากมาหลายครั้ง แต่ก็สามารถผ่านมาได้อย่างเข้มแข็ง อาจึงเชื่อเสมอว่า ปัญหาหรือสถานการณ์ในวันข้างหน้า หลานก็จะสามารถก้าวผ่านและประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุ

นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุด้วยว่า “อาขอให้นายกรัฐมนตรีหญิงของอาโชคดีประสบความสำเร็จนำพาบ้านเมืองของเราไปสู่ความเจริญก้าวหน้า ประชาชน มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รักและห่วงใยหลานเสมอ”

‘จุลพันธ์’ แย้ม!! ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ มีทางออกที่ดี ชี้ ขอให้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจะแถลงครั้งเดียว

(20 ส.ค.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่มีกระแสข่าวว่าจะยกเลิก ว่า ตอนนี้มีทางไป และมีทางออกที่ดี แต่ขอยังไม่เปิดเผยรายละเอียด ขอให้ขั้นตอนทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจะแถลงครั้งเดียว 

เมื่อถามย้ำว่า ที่ระบุว่าจะมีทางออกที่ดี นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ใช่ แต่รอให้ชัดเจนสักนิดนึง ขอย้ำว่ามีทางออกที่ดี เมื่อถามว่าแสดงว่าจะเดินหน้าต่อใช่หรือไม่ นายจุลพันธ์ หัวเราะพร้อมกล่าวว่า มีทางออกที่ดีครับ 

ผู้สื่อข่าวถามถึงตำแหน่งในกระทรวงการคลัง ที่มีข่าวว่า นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง จะถอนตัวจริงหรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่าไม่รู้เลย เรื่องดังกล่าวเป็นสิทธิ์ของนายกรัฐมนตรี เรื่องนี้ขอไม่ตอบแล้วกัน ส่วนตัวตนไม่ทราบอะไร เมื่อถามว่าวันที่ 19 ส.ค. ได้พบกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ขอคำแนะนำอะไรหรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ไม่ได้มีการขอคำแนะนำอะไรเป็นการพูดคุยถึงภารกิจที่ยังค้างอยู่ว่ามีอะไรบ้าง 

จับตา!! 'เอกนัฏ-จักรภพ' เข้าคิวเสียบ 'ครม.อุ๊งอิ๊ง' 'เพื่อไทย' โละรมต.สายนิด ตัดหาง 'วงษ์สุวรรณ'

หลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้ง แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีตามผลโหวตในสภาผู้แทนราษฎร โผการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีก็สะพัด มีทั้งคนที่จะหลุดโผ คนเข้ามาใหม่ และคนที่ยังอยู่ รวมถึงบางคนขยับขึ้นไปในอีกระดับหนึ่ง

ฝุ่นคงจะตลบไปอีก 2-3 วัน จนกว่าทุกอย่างจะนิ่ง สะเด็ดน้ำ อย่างในส่วนของพรรคเพื่อไทย ที่ข่าวบางกระแสว่า รัฐมนตรีชุดสุดท้ายใน ครม.เศรษฐา ที่อาจจะไม่ได้กลับมาใน ครม.อุ๊งอิ๊ง ก็มีเช่น สุทิน คลังแสง อดีต รมว.กลาโหม ที่ก่อนหน้านี้ได้ต่อวีซ่า ตอนปรับ ครม.เมื่อเมษายน 2567 ที่ผ่านมา แต่รอบนี้อาจจะหลุด

พิชัย ชุณหวชิร อดีตรองนายกฯ และ รัฐมนตรีการคลัง ที่เป็นสายยิ่งลักษณ์ ชินวัตร-เศรษฐา เพราะพิชัยเคยไปเป็นพยานขึ้นเบิกความที่ศาลฎีกาฯ ช่วยยิ่งลักษณ์ในคดีจำนำข้าว จึงต้องมีการตอบแทนกัน แต่ตอนนี้วีซ่าขาดแล้ว โดยลือกันว่า จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ จะพาชั้นจาก รัฐมนตรีช่วยคลัง ขึ้นเป็น รัฐมนตรีว่าการคลัง รวมถึง จักรพงษ์ แสงมณี อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็มีชื่อว่าไม่ได้กลับมาเป็น รมต.อีกรอบ เป็นต้น  

ส่วนคนที่คาดว่า จะมีชื่อได้ลุ้นในสัดส่วนของพรรคเพื่อไทยมีชื่อ 'จักรภพ เพ็ญแข' รอเสียบเข้ามาในโผ ครม.อุ๊งอิ๊ง 1, ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ สส.กทม.หนึ่งเดียวของพรรคเพื่อไทย ที่ชนะก้าวไกลมาได้ 4 คะแนน ก็อาจได้ลุ้นเป็นรัฐมนตรีดูแล กทม.ของเพื่อไทยในอนาคต และยังมีชื่อ 'สรวงศ์ เทียนทอง' เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ซึ่งหลายเดือนที่ผ่านมา ทำงานสอดประสานกับอุ๊งอิ๊ง หัวหน้าพรรคเพื่อไทยได้เป็นอย่างดี ก็มีข่าวว่า มีสิทธิ์ลุ้นตำแหน่งรัฐมนตรีเช่นกัน

พอเริ่มมีข่าวโยนหินถามทางออกมาโผ เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันว่า นักการเมือง-สส.เพื่อไทยสาย 'อุ๊งอิ๊ง' หรือที่เรียกกันในเพื่อไทยว่า 'แก๊งมินต์ช็อก' กำลังจะผงาดยกแผง ใน ครม.อุ๊งอิ๊ง เพราะเดิมที อดีต รมต.สายมินต์ช็อกหลายคนใน ครม.เศรษฐา ก็มีข่าวว่าก็ยังรักษาเก้าอี้ไว้ได้ ใน ครม.อุ๊งอิ๊ง ไม่ว่าจะเป็น จิราพร สินธุไพร อดีต รมต.สำนักนายกฯ, เผ่าภูมิ โรจนสกุล อดีต รัฐมนตรีช่วยคลัง รวมถึง สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีวัฒนธรรม 

เท่ากับว่า นักการเมือง-สส.เพื่อไทยกลุ่มมินต์ช็อก ที่คอยประกบซ้ายประกบขวาอุ๊งอิ๊งหลายคน อาจได้ผงาดใน 'ครม.แพทองธาร 1' ถ้าชื่อผ่านความเห็นชอบจากทักษิณ แต่ก็มีข่าวว่าบางชื่อตามข่าวอาจไม่ผ่าน เพราะวัยวุฒิ-ฝีมือ ยังไม่โดนใจทักษิณ จึงอาจต้องขัดใจลูกสาว กาหัวว่าไม่โอเค

แต่ข่าวที่ทำให้ลุงป้อม-ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพลังประชารัฐหัวฟัดหัวเหวี่ยง คือ 'ไม่เอาวงษ์สุวรรณ' เป้าตรงไปยัง 'พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ' อดีตรองนายกฯ และอดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ จากพลังประชารัฐ

ทักษิณสุดทนกับ 'ลุงป้อม-พลเอกประวิตร' กับท่าทีหลายอย่าง ที่ไม่สนใจเพื่อไทย ล่าสุดก็ไม่ไปประชุมสภาฯ ร่วมโหวตให้ลูกสาวอุ๊งอิ๊งเป็นนายกฯ เพราะแม้จะติดงานเลี้ยงฉลองนักกีฬาโอลิมปิกฯ แต่ของแบบนี้ทักษิณคงมองว่า ถ้าจะซื้อใจกันจริง ๆ ก็ตีรถแว่บไปสภาฯ โหวตให้ได้ ไม่ใช่ต้องอยู่ร่วมงานเลี้ยงจนไม่ยอมไปโหวตให้ หลังก่อนหน้านี้ ตอนเศรษฐาก็ไม่ไปโหวตให้ และที่ผ่านมาก็โนสนโนแคร์อะไรทั้งสิ้น ขนาดงานเลี้ยงพรรคร่วมรัฐบาลหลายครั้งก็ไม่ไป-ไม่เบรกอดีต สว.กลุ่มบ้านป่าฯ ที่เข้าชื่อถอดถอนเศรษฐา ทำให้มีข่าวว่าทักษิณขอแตกหัก ไม่ให้มีชื่อ พล.ต.อ.พัชวาท ใน ครม.อุ๊งอิ๊ง

ส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติมีข่าวหนาหูว่า 'ปุ้ย-พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล' อาจจะหลุดโผกับผลงานที่ยังไม่น่าประทับใจนัก แต่ที่แน่ ไม่ต้องแช่แป้ง คือ 'ขิง-เอกนัฏ พร้อมพันธุ์' จะได้เข้าร่วม ครม.แน่นอน จากโควตารัฐมนตรีที่ยังว่างอยู่อีก 1 ตำแหน่ง

ส่วนของพรรคภูมิใจไทย ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรผิดสังเกต น่าจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ

สัปดาห์นี้ทุกอย่างน่าจะลงตัวหมด รอให้สะเด็ดน้ำ ส่งรายชื่อให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีตรวจประวัติ ก็นำรายชื่อ ครม.ใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯ

'ปชป.' แง้ม!! พร้อมเป็นทั้ง 'ฝ่ายค้าน-รัฐบาล' ยัน!! ยังไม่มีเทียบเชิญ มั่นใจ!! ไม่ทำพรรคแตก

(19 ส.ค. 67) นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเข้าร่วมรัฐบาล โดยยืนยันว่า พรรคประชาธิปัตย์พร้อมที่จะเป็นทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล แต่วันนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุย ถ้ามีการประสานงานมา จะต้องนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค และขอมติจากทั้งกรรมการบริหารพรรค และ สส.พรรค ทันที หากที่ประชุมว่าอย่างไรก็เป็นไปตามนั้น ซึ่งขอย้ำว่า ต้องเป็นมติพรรค และทุกคนต้องปฏิบัติตามมติพรรค เพราะตนเป็นหัวหน้าพรรคที่ยึดในหลักการของพรรค

"วันนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุย ถ้าเขามีการประสานงานมาก็ต้องเข้าสู่กระบวนการ คือ ในพรรคประชาธิปัตย์ต้องผ่านข้อบังคับพรรค คือ ผ่านกรรมการบริหารแล้วไป สส.เพราะฉะนั้นถ้าผ่านกรรมการบริหาร และผ่าน สส.ยืนยันว่าทุกคนต้องยึดมติของพรรค ดังนั้น แน่นอนว่าถ้าไปร่วมก็ต้องไปทั้งพรรค แล้วจริง ๆ ผมไม่เคยออกมาพูดเลยว่ากี่คนกี่คน เพราะผมเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์มีระเบียบมีวินัย ไม่อย่างนั้นเราจะตั้งข้อบังคับพรรคกันทำไม เพราะข้อบังคับพรรคจะต้องผ่านการจดทะเบียนจาก กกต.ไม่ใช่อยู่ดี ๆ เราจะตั้งขึ้นมาเองได้ ทุกอย่างมีกฎหมายมีระเบียบรองรับทั้งหมด" นายเฉลิมชัย กล่าว

เมื่อถามว่า ที่มีข่าวว่า ผู้ใหญ่ หรือ สส.อาวุโสของพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันไม่ร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย (พท.) อาจจะไม่ยอมร่วมด้วยนั้น นายเฉลิมชัย กล่าวว่า ก็ต้องไปถามท่านเหล่านั้น ตนตอบแทนไม่ได้ แต่ส่วนตัวในฐานะที่อยู่พรรคประชาธิปัตย์มา 20 กว่าปี ก็ยังเชื่อมั่นว่าคนของพรรคประชาธิปัตย์มีระเบียบมีวินัยและเคารพในกฎกติกา ซึ่งถ้าเราบอกว่าเราเป็นประชาธิปไตยแล้ว หากไม่เคารพเสียงส่วนใหญ่ของพรรคก็จบเห่ ซึ่งจะเห็นว่าตอนที่ลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี สส.ทุกคน ก็ปฏิบัติตามมติของพรรค เป็นมติของ สส.ไม่ใช่มติของกรรมการบริหารพรรค

นายเฉลิมชัย กล่าวว่า วันนี้ประเทศต้องเดินไปข้างหน้า เพราะขณะนี้เศรษฐกิจแย่ยิ่งกว่าการเมือง ดังนั้น จึงคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ประเทศเดินไปได้ ซึ่งในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ยืนยันไม่ว่าเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาลก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ แต่วันนี้อย่าเพิ่งบอกว่าเราจะทำอะไร และย้ำว่าไม่ใช่ว่าเรายากเป็นรัฐบาลแล้วโยนมา คนเรายังมีศักดิ์ศรีเลยในแต่ละคน แล้วพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมือง ก็ต้องมีจุดยืนมีศักดิ์ศรีของเรา บางทีมีการไปพูดกันเหมือนเราไม่มีค่า อย่างนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง ย้ำในสมัยที่ตนเป็นหัวหน้าพรรค ทุกอย่างต้องมีการให้เกียรติซึ่งกันและกัน เพราะเรารักสถาบันของเรา และรักประเทศชาติ

เมื่อถามย้ำว่า ถ้ามีการเชิญร่วมรัฐบาลก็พร้อมที่จะทำงานใช่หรือไม่ นายเฉลิมชัย กล่าวว่า ต้องรอให้ถึงเวลานั้นก่อน ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ และเชื่อว่าไม่น่าจะมีการไปดิวกับแกนนำคนอื่น เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีกลุ่มนั้นกลุ่มนี้แล้ว เนื่องจากมอบอำนาจให้ตนในฐานะหัวหน้าพรรคในการตัดสินใจ ซึ่งในส่วนของตน หากมีการประสานมาก็ต้องนำเข้าที่ประชุม ส.ส.และกรรมการบริหารพรรคทันที หากที่ประชุมว่าอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น รับก็รับ ไม่รับก็ไม่เป็นไร

นายเฉลิมชัย ย้ำด้วยว่า ในฐานะที่นั่งหัวหน้าพรรค หากมีการตัดสินใจใด ๆ ของพรรคประชาธิปัตย์ จะไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งถึงขั้นพรรคแตกอย่างแน่นอน ตนมั่นใจ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top