Sunday, 6 July 2025
POLITICS NEWS

'ราเมศ' ย้ำ ร่างแก้ไข กฎหมายเลือกตั้งพร้อม  เสนอที่ประชุม ส.ส.พรรค พรุ่งนี้ 

 

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะทำงานพิจารณา ศึกษา รวบรวม ข้อมูลในการยกร่างแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561
ได้กล่าวถึงการเตรียมร่างแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายดังกล่าวว่า

เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 1 พ.ศ.2564 ได้มีผลใช้บังคับในวันนี้แล้ว ซึ่งมีสาระสำคัญคือการกำหนดจำนวน ส.ส.เขต เป็น 400 คน และส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน ให้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เพื่อให้ประชาชนเลือก ส.ส.เขต ได้หนึ่งใบ ส่วนบัตรเลือกตั้งอีกใบเลือกพรรคการเมืองก็คือ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมได้กำหนดให้ต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อกำหนดวิธีการคำนวณคะแนนและหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การรับสมัคร การออกเสียงลงคะแนน  การนับคะแนน การรวมคะแนน การประกาศผลการเลือกตั้ง และเรื่องอื่นๆ นั้น

นายราเมศกล่าวในเรื่องนี้ว่า ในส่วนของพรรคได้มีการยกร่างแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.ไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว และจะมีการนำเสนอต่อที่ประชุม ส.ส.ในวันพรุ่งนี้ เพื่อให้แสดงความคิดเห็น และรณะทำงานจะเรียกประชุมเพื่อพิจารณาขั้นสุดท้ายในวันพุธที่จะถึงนี้

“ชวน” ไฟเขียว พร้อมบรรจุร่างกม.ลูกเข้าวาระประชุมสภาฯ รอ รบ.เสนอ คาดภายในเดือน ธ.ค. หวัง ไม่ยุบสภาก่อนพิจารณาเสร็จ “ชวน” ไฟเขียว พร้อมบรรจุร่างกม.ลูกเข้าวาระประชุมสภาฯ รอ รบ.เสนอ คาดภายในเดือน ธ.ค. หวัง ไม่ยุบสภาก่อนพิจารณาเสร็จ 

ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่มีพระบรมราชโองการการโปรดเกล้าฯ ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พ.ศ.2564 ว่า เมื่อมีการโปรดเกล้าฯ ลงมาแล้ว กฎหมายก็จะมีผลใช้บังคับ กระบวนการต่อไปที่สภาฯ ต้องเตรียมรับ คือ การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง และพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมใหม่ ขณะนี้สิ่งที่สภาฯ เตรียมรับ คือ รัฐบาลกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะประสานกัน โดย กกต.จะมีหน้าที่เตรียมกฎหมายทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวเพื่อส่งไปยังรัฐบาล และรัฐบาลก็จะเป็นผู้เสนอกฎหมายต่อสภาฯ หรือมิเช่นนั้น ส.ส. ก็จะเข้าชื่อกันเสนอกฎหมาย

ดังนั้น ตนคิดว่าน่าจะเดือนธ.ค.หรือ ม.ค. ที่รัฐบาลจะเสนอกฎหมายเข้ามา ซึ่งนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ก็ส่งสัญญาณอธิบายเรื่องนี้มา 2-3 ครั้งแล้ว โดยฝ่ายสภาฯ ก็หารือกับฝ่ายเลขาสภาฯ ไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องเตรียมอะไรบ้างเพื่อรับกฎหมายที่กกต.และรัฐบาลเสนอเข้ามา ทั้งนี้ กฎหมายให้ใช้บังคับการเลือกตั้งทั่วไป ฉะนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าวหากมีการยุบสภาขึ้นมาก็จะมีปัญหาเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ตนเข้าใจว่ากระบวนการคงไม่ช้า เพราะเท่าที่สอบถามภายในทราบว่า กกต.ได้เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วในเบื้องต้น นับตั้งแต่ที่กฎหมายนี้ผ่านสภาฯ ไป เพียงแค่รัฐบาลจะเสนอเข้ามาเมื่อไหร่ หากเสนอเข้ามาในช่วงเดือน ธ.ค. ก็สามารถบรรจุเข้าระเบียบวาระในเดือน ธ.ค.ได้เลย

เมื่อถามว่า กระบวนการพิจารณาของสภาใช้เวลานานหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า ตนเข้าใจว่ากฎหมายจะไม่ซับซ้อนมาก เพราะแก้เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติม 

เมื่อถามว่า หากระหว่างนี้เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นจริงๆ นายชวน กล่าวว่า มันก็จะมีปัญหา ซึ่งตนพูดไว้เผื่อล่วงหน้า เพียงแต่ก็หวังว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฝ่ายสภาฯ ก็ต้องเตรียมรับกฎหมายที่รัฐบาลจะเสนอมาเป็นหลัก ซึ่งตนได้กำชับไปแล้วว่าเมื่อเสนอเข้ามาก็ให้รีบดูและพิจารณาให้พร้อม และเข้าสภาฯ ในทันที

“เสกสกล” หนุน “ซูเปอร์โพล" ไม่เห็นด้วยขบวนการสั่นคลอนสถาบัน เย้ย ส.ส.เพื่อไทย ทนทำตามคำสั่งนายใหญ่ 

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน “รู้ทันความเคลื่อนไหวทำลายชาติ”พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 96.5 ระบุสถาบันกษัตริย์เป็นรากฐานสำคัญของประเทศที่ต้องอยู่คู่กับประชาชน และร้อยละ 96.3 ไม่เห็นด้วยกับขบวนการสั่นคลอนสถาบัน พยายามบิดเบือน จาบจ้วงก้าวล่วง พาคนลงถนน คุกคามและไม่เคารพผู้อื่น ทำบ้านเมืองปั่นป่วนวุ่นวายและทำลายความหวังของประชาชนที่จะร่วมกันฟื้นฟูประเทศ

นายเสกสกล กล่าวว่า ผลสำรวจดังกล่าวเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ จงรักภักดี เคารพเทิดทูนต่อสถาบัน อย่างมั่นคงเคารพ ไม่ยอมให้ใครมาจาบจ้วงและเคลื่อนไหวทำลายชาติ สร้างความเดือดร้อนเด็ดขาด ดังนั้นขอให้กลุ่มม็อบและบางพรรคการเมืองที่ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องของสถาบัน ฟังเสียงประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศว่าการออกมาเคลื่อนไหวจาบจ้วง ก้าวล่วงสถาบัน เป็นการทำร้ายจิตใจของคนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ

“เพื่อชาติ” ชูนโยบาย เพื่อชาติ เพื่อประชาชน  

เรียกได้ว่าสร้างกระแสฮือฮาในแวดวงการเมืองได้ไม่น้อยสำหรับพรรคเพื่อชาติกับการเปิดตัวหัวหน้าพรรคคนใหม่ในการประชุมวิสามัญพรรคเมื่อวานที่ผ่านมา ( 21 พฤศจิกายน 2564)  สำหรับนาย ศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ หรือพี่หนวดเอลวิส อดีต สส.อุตรดิตถ์ พรรคเพื่อไทย  

นางสาวเกศปรียา แก้วแสนเมือง โฆษกพรรคเพื่อชาติ ระบุว่า หลังจากเมื่อวานได้มีการเปิดตัวหัวหน้าพรรคคนใหม่ นาย ศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ อดีต สส.อุตรดิตถ์ พรรคเพื่อไทย  ก็ได้สร้างความฮือฮาอย่างมากในแวดวงการเมือง เรียกได้ว่ากลบกระแสการเป็นงูเห่ากินกล้วยไปได้อย่างราบคาบสำหรับนายศรัณย์วุฒิ  เพราะท้ายที่สุดแล้ว นายศรัณย์วุฒิก็ไม่ได้ย้ายไปซบอกขั้วตรงข้ามอย่างที่หลายๆคนคิดกัน แต่ยังคงอยู่กับฟากฝั่งฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อชาติ ที่ยืนหยัดอยู่บนสโลแกนในการเป็นพรรคเกาะกลางประชาธิปไตย เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถมาร่วมอุดมการณ์ได้ 

แต่ทีเด็ดที่น่าสนใจไปกว่านั้น คือนโยบายที่ได้เปรยๆออกมาในงานประชุมใหญ่ครั้งนี้ ที่พรรคเพื่อชาติชู นโยาย เพื่อชาติ เพื่อประชาชน เตรียมผลักดันนโยบาย “เกษตรร่ำรวย” ออกมาเรียกคะแนนเสียงชาวเกษตรกร  ถือว่างานนี้คุณศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ และพรรคเพื่อชาติทำการบ้านมาดี งัดเอาตำราวิชาการด้านภูมิศาสตร์เศรษฐกิจมาใช้ มองคุณสมบัติเด่นของไทยที่อยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตร และการมีมรสุมพัดผ่าน กะว่าจะบริหารจัดการน้ำฝนแก้ปัญหาน้ำแล้งน้ำท่วม และให้ชาวเกษตรกรภาคอีสานรวมถึงภาคเหนือได้เฮไปพร้อมๆกัน 

'โฆษกรัฐบาลฯ' สวน 'พิธา' บอก ปากอ้างเป็นพรรคการเมืองใหม่ แต่วิธีทำงานยิ่งกว่าพรรคการเมืองเก่า ถามกลับ เคยได้ยินบ้างไหม ใครอยู่หลังม็อบให้เด็กออกมาเป็นโล่

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังคงบุญชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุรัฐบาลแช่แข็งความหวัง แช่แข็งความสำเร็จ ด้วยการโปรยเศษเงินให้กับพี่น้องประชาชน ว่า นายพิธาคงจะเข้าใจอะไรผิด เพราะน่าจะเป็นพรรคก้าวไกลมากกว่าหรือไม่ ที่แช่แข็งความหวังของประชาชนด้วยการบอกว่าตัวเองเป็นพรรคการเมืองใหม่ เป็นความหวังของประชาชน แต่วิธีการทำงานที่ผ่านมากลับยิ่งกว่าพรรคการเมืองที่ก่อตั้งมานานแล้วเสียอีก ทั้งรีบไปฉีดวัคซีนก่อนประชาชน ทั้งๆ ที่ปากด่าตลอดเวลาว่าวัคซีนไม่ดี หรือแม้กระทั่งไม่สามารถหาข้อมูลทุจริตต่างๆ ที่มีหลักฐานเพียงพอมาอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อล้มรัฐบาลในสภาฯ ได้ ก็ออกไปสนับสนุนม็อบอยู่บนถนนแทน

“ธรรมนัส” ฟุ้ง “พปชร.”สู้ศึกเลือกบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ยันส่งผู้สมัคร 400 เขต  มั่นใจ! กวาดที่นั่งมากขึ้น

ที่พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า ตามที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมพ.ศ.2564 ทำให้ขณะนี้การเลือกตั้งแบบใหม่บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ และมี ส.ส.แบบเขต 400 คน  ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการแล้ว  ยืนยันว่า พรรคพปชร.ที่มีพล.อ .ประวิตร วงษ์สุวรรณ  รองนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรค  มีความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งแบบใหม่นี้ และพร้อมที่จะส่งผู้สมัครลงแข่งขันรับเลือกตั้งทั้ง  400 เขตทั่วประเทศอย่างแน่นอน

ทั้งนี้เนื่องจากที่ผ่านมา หัวหน้าพรรค  ตนและบรรดาแกนนำพรรค  ได้ร่วมกันลงพื้นที่พบปะทั้งสมาชิกพรรคและผู้แทนว่าที่ผู้สมัครส.ส. ของพรรคทุกภาคอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีการเตรียมพร้อมและมีว่าที่ผู้สมัครส.ส. ครบหมดทุกจังหวัดแล้ว และ ในทุกจังหวัด ได้ดำเนินการเลือกตั้งตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด ที่มีเขตพื้นที่รับผิดชอบในเขตเลือกตั้งนั้น ครบเกือบหมดทุกเขตแล้ว ดังนั้น ตามกลไกของพรรคได้ถูกวางไว้เรียบร้อยหมดแล้ว จึงพร้อมมากสำหรับการเลือกตั้งในครั้งหน้า

“หัวหน้าพรรคฯ รวมถึงผมได้ลงพื้นที่ไปพบปะสมาชิกพรรคและตัวแทนพรรคแทบทุกวันอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำนโยบายของพรรคฯ เน้นย้ำยึดมั่นเชิดชูในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และมุ่งทำงานเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนอยู่ดีกินดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ล่าสุดก็ไปที่ จ.ขอนแก่น  ที่ถือว่าเป็นเมืองหลวงของภาคอีสาน ซึ่งภาคอีสานถือว่ามีประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ มี ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญเก่าถึง 132 ที่นั่ง ดังนั้นพรรคจึงให้ความสำคัญอย่างมาก เพื่อการเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญใหม่ดังกล่าวที่กำลังจะมาถึงในอนาคต และมั่นใจว่า จะได้รับชัยชนะและได้ที่นั่งส.ส.ในภาคอีสานและจังหวัดอื่นทั่วประเทศมากขึ้น “ ร.อ. ธรรมนัส กล่าว

"ณัฐชา" ซัด "ประยุทธ์" ลำพองตัวคิดว่าเก่งกาจ เหยียบหัว ปชป. นั่งหัวโต๊ะบอร์ดแก้ปัญหาเกษตร หวั่น ปชช.ต้องรับกรรมซ้ำรอยโควิด

นาย​ณัฐชา​ บุญไชยอินสวัสดิ์​ ส.ส.กทม. โฆษกพรรคก้าวไกล​ กล่าวถึง​กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “จับมือ รวมใจ พาไทยรอด” ในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 39 โดยระบุตอนหนึ่งว่า เรื่องการแก้ปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ เรากำลังตั้งคณะกรรมการซึ่งมีหลายกระทรวงที่เกี่ยวข้อง มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้า มี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เป็นแกน เพื่อแก้ไขปัญหานี้

นายณัฐชา​ กล่าวว่า​ กี่ครั้งกี่หนที่เกิดวิกฤตชาติแล้วนายกรัฐมนตรีอาสานั่งหัวโต๊ะเพื่อแก้ปัญหาโดยรวบอำนาจทุกอย่างเอาไว้​ ประหนึ่งลำพองตัวเองว่าตนเก่งกาจจัดการได้ทุกเรื่อง​ แต่ผลที่ออกมาปรากฏว่าไม่มีวิกฤตใดเลยที่ พล.อ.ประยุทธ์ พาไปรอด และพอแก้ปัญหาไม่ได้ก็โยนบาปกลับไปให้เพื่อนพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งอีกข้อที่น่าสังเกต คือ​ การอาสาแก้ปัญหาเศรษฐกิจครั้งนี้ เจ้าภาพควรเป็นกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์ดูแลอยู่

การอาสาเข้ามานั่งตำแหน่งประธานบอร์ดแก้จน​แบบนี้ ต้องถามว่าจงใจจะล้วงลูกเหยียบหัวพรรคประชาธิปัตย์โดยทำเป็นอ้างปัญหาว่ามาจากความล่าช้าของระบบราชการใช่หรือไม่ หรืออีกด้านหนึ่งก็เพื่อต้องการให้คณะกรรมการชุดนี้ช่วยโยนบาปให้พรรคประชาธิปัตย์ว่า ดูแลถึง 2 กระทรวงใหญ่ แต่ทำไมแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรไม่ได้ จึงต้องมีการตั้งบอร์ดชุดนี้เพื่อบอกว่าท่านอาสาเป็นอัศวินขี่ม้ามาช่วย​ ซึ่งคราวนี้ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าจะขี่ม้าขาวหรือตกม้าตายกันแน่

‘อดีตรองอธิการบดี มธ.’ เปรย "เป็นเรื่องน่าเสียดาย" หากหลานชาย (ไอติม) ร่วมก๊วนล้มสถาบันฯ

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Harirak Sutabutr’ ถึง ‘ไอติม’ พริษฐ์ วัชรสินธุ แกนนำกลุ่ม Re-Solution โดยมีใจความว่า ผมไม่เคยได้พบกับไอติมเลยแม้แต่ครั้งเดียว ได้แต่เห็นปรากฏอยู่ในข่าว ซึ่งเป็นเรื่องแปลก เพราะถ้านับญาติกันจริง ๆ ไอติมก็นับเป็นหลาน เพราะคุณยายของไอติมเป็นลูกผู้พี่ของผม คือเป็นลูกของคุณอาแท้ ๆ หรือน้องแท้ ๆ ของคุณพ่อผม นับว่าเป็นญาติที่ค่อนข้างใกล้กันไม่น้อย 

อย่างที่ผมเคยเขียนหลายครั้งว่า ผมไม่ได้เลือกพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เพราะไม่เห็นด้วยกับวิธีการทางการเมืองของพรรคพลังประชารัฐ แต่ก็เข้าใจดีว่า นั่นเป็นวิธีที่จะได้กลับมาเป็นรัฐบาลและไม่ให้พรรคเพื่อไทยและระบอบทักษิณกลับมาครอบงำประเทศได้อีก แต่ผมก็ยังเลือกไม่ลงอยู่ดี

เมื่อไอติมลงสมัครรับเลือกตั้งในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ พอดีลงสมัครในเขตผม ผมและทุกคนในครอบครัวจึงไม่ลังเลเลยที่จะพากันไปลงคะแนนให้ไอติม ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นญาติ แต่เป็นเพราะเชื่อว่าไอติมคือคนหนึ่งที่เป็นความหวังของการเมืองไทย เป็นคนรุ่นใหม่ พื้นฐานครอบครัวดี จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกที่เข้ายากแสนยาก แต่ไอติมก็สอบตก และผู้ที่ชนะในเขตนั้นก็คือผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ 

ทำไมไอติมจึงสอบตก ทั้งที่มีคุณสมบัติพร้อมทุกอย่าง ทำไมคนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ในเขตที่ลงสมัครจึงไม่เลือกไอติม แต่พากันไปเลือกผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ คงไม่ใช่เพราะมีความนิยมชมชอบในตัวพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้ว่าจะมีคนจำนวนหนึ่งที่นิยมชมชอบพลเอกประยุทธ์ก็ตาม นั่นเพราะสมการการเมืองไทยไม่ง่ายเหมือน 1+1 = 2 แต่ในโลกของความเป็นจริงมันซับซ้อนกว่านั้นมาก คนส่วนใหญ่ไปลงคะแนนให้พรรคพลังประชารัฐ ก็เพราะเขาหมดหวังในพรรคประชาธิปัตย์ และเชื่อว่า หากไม่เลือกพรรคพลังประชารัฐ พรรคเพื่อไทยต้องกลับมาเป็นรัฐบาลแน่ และระบอบทักษิณที่เป็นต้นเหตุให้เกิดการชุมนุมประท้วงครั้งประวัติศาสตร์จนนำไปสู่การรัฐประหาร 2557 ก็จะกลับมาพร้อมกับพรรคเพื่อไทย คนรุ่นใหม่ที่ไม่ยอมเชื่อว่าทักษิณยังคงครอบงำพรรคเพื่อไทยอยู่ บัดนี้น่าจะเริ่มเชื่อแล้ว

เข้าใจดีว่า รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ ไม่ใช่รัฐบาลในฝันของประชาชน แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่า หลังจากลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ไอติมกลับไปนิยมชมชอบพรรคและกลุ่มการเมืองที่มีจุดหมายไม่ต้องการสถาบันพระมหากษัตริย์ และเป็นพันธมิตรกับพรรคเพื่อไทยและผู้ที่อยู่เหนือพรรคเพื่อไทย ทั้งยังมีความคิดไปในทิศทางเดียวกันกับพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองเหล่านั้น ไม่ยอมรับผลการลงประชามติรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่มีคนลงคะแนนให้ถึง 16 ล้านเสียง อ้างอยู่ร่ำไปว่า การลงประชามติครั้งนั้นไม่ได้ทำอย่างเสรี และไม่เป็นธรรม อ้างว่าผู้ประท้วงคัดค้านไม่ให้คนไปลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญ ถูกจับกุมเนินคดี ทั้งที่รู้ดีว่าการจับกุมดำเนินคดี เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ร่างรัฐธรรมนูญ 2559 

การดำเนินการตามกฎหมาย จึงไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ร่างรัฐธรรมนูญ รวมทั้งคำถามแนบท้ายซึ่งเกี่ยวกับบทเฉพาะกาลผ่านการทำประชามติด้วยคะแนนเสียงกว่า 16 ล้านเสียง เหตุผลหลักที่ทำให้ร่างรัฐธรรมนูญ รวมทั้งคำถามแนบท้ายซึ่งเกี่ยวกับบทเฉพาะกาลผ่านการทำประชามติ ก็เป็นเหตุผลเดียวกับการที่คนจำนวนมากจำใจต้องลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัคร ส.ส. จากพรรคพลังประชารัฐนั่นเอง

“สงคราม” อัด ผลประโยชน์บังตาทำผู้มีอำนาจไม่จริงใจแก้ปัญหาแรงงานเถื่อน อัดมาตรการรัฐสร้างปัญหาไม่รู้จบ เปิดประเทศแต่ไม่พร้อมทำไทยสูญรายได้มหาศาล 

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากนโยบายล็อคดาวน์ประเทศที่ผ่านมา ส่งผลกระทบทั้งสังคม และเศรษฐกิจ ของประเทศอย่างหนัก ผู้ประกอบการประสบปัญหา ยิ่งผู้ประกอบการส่งออกประสบปัญหาหนักมาก เพราะไม่มีแรงงานทำงาน เนื่องจากรัฐบาลไล่แรงงานต่างด้าวกลับประเทศต้นทาง โดยไม่มีแนวทางแก้ปัญหา 

มาถึงเวลานี้รัฐบาลยังสร้างปัญหาไม่รู้จบ เปิดประเทศแต่ ไม่เปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ สั่งปิดนานนับปี สูญเสียรายได้มหาศาล ที่ผ่านมาสถานบันเทิงสร้างรายได้เข้าประเทศต่อปีหลายหมื่นล้านบาท รัฐบาลอ้างเพื่อป้องกันโควิด  แต่ไม่สามารถหยุดยั้งการระบาดได้ แต่สร้างความเสียหายได้ ทั้งๆที่รัฐบาลควรหามาตรการในการที่จะให้กลุ่มสถานบันเทิง เปิดได้ โดยต้องทำตามมาตรการที่รัฐกำหนด แต่รัฐคิดไม่เป็น ทำไทยสูญรายได้ นักท่องเที่ยวมาไทยจะไปเที่ยวที่ไหน ให้เดินป่า หรือ อยู่แต่ทะเล เท่านั้นหรือ  

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า เมื่อคิดเปิดประเทศ แต่กลับไม่มีแรงงานทำงาน ดังนั้นผลที่ออกมาคือการลักลอบเข้ามาของแรงงานผิดกฎหมายจำนวนมาก ภาพหน่วยงานความมั่นคงจับแรงงานลักลอบเข้าเมืองแบบผิดกฎหมายหลายร้อยคน อยากถามว่าในพื้นที่จริงเป็นเช่นไร เพราะหลายฝ่ายมองว่าสร้างภาพเท่านั้น 

‘วัชระ’ ยื่นขอเอกสารป.ป.ช.ใช้สู้คดี หลังถูกซิโน-ไทย ฟ้องหมิ่นเรียก 5 ล้าน

19 พ.ย. 64 สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 63 นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการขยายเวลาก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ครั้งที่ 5 ว่า การก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ สัญญาก่อสร้าง 900 วันเป็นเงิน 12,280 ล้านบาท เงื่อนไขที่ระบุไว้ผู้ซื้อซองทราบทุกบริษัทคือ ต้องสร้างเสร็จภายใน 900 วัน ก่อสร้าง 24 ชั่วโมง คนงานต้องไม่ต่ำกว่า 4,000 คน ถ้าสร้างไม่เสร็จต้องจ่ายค่าปรับวันละ 12 ล้านบาทเศษ แต่ปรากฏว่าที่ผ่านมามีการขยายเวลาไปแล้วถึง 4 ครั้งรวม 1,864 วัน 

ในสมัยนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติถึง 3 ครั้ง คือครั้งแรก 387 วัน ครั้งที่สอง 421 วัน และครั้งที่สาม 674 วันรวม 1,482 วัน สมัยนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา 1 ครั้ง 382 วัน รวมทั้งสิ้นขยายสัญญามาแล้ว 4 ครั้ง จำนวน 1,864 วัน โดยนายสรศักดิ์ เพียรเวช อดีตเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้อนุมัติทั้งสิ้น ซึ่งส่อว่าเอื้อประโยชน์ให้เอกชนอย่างเห็นได้ชัดและทำให้ราชการได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงนั้น บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้รับจ้างก่อสร้างได้ยื่นฟ้องนายวัชระ ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ละเมิด เรียกค่าเสียหาย 5 ล้านบาท 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top