Wednesday, 26 June 2024
POLITICS NEWS

“แรมโบ้” สวน "ณัฐวุฒิ" ไม่สมควรออกมาโหนกระแสเรื่องหมูแพง กลายเป็นหาเรื่องเข้าตัว อาจถูกย้อนสมัยเป็นอดีตรมช.พาณิชย์ปี 56 ตอบคำถามสื่อในโครงการรับจำนำข้าวที่ขาดทุน 2.6 แสนล้านบาทไม่ได้

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเครือข่ายไล่ประยุทธ์ (อ.ห.ต.) กล่าวถึงสถานการณ์โรคระบาดอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ที่ส่งผลกระทบทำให้หมูขาดตลาดและราคาหมูแพงเข้าขั้นวิกฤต ซึ่งเรื่องเกิดตั้งแต่ปี 2561 มีการระบาดแพร่กระจายในหลายประเทศ จนเมื่อเดือนเมษายน 2562 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีขอความเห็นชอบประกาศการเฝ้าระวังป้องกันโรคอหิวาต์หมูเป็นวาระแห่งชาติ จากวันนั้นจนถึงวันนี้มีการขอความเห็นชอบที่ประชุม ครม.อนุมัติงบประมาณดำเนินการเรื่องนี้รวมทั้งสิ้น 5 ครั้ง ในวงเงินกว่า 1,500 ล้านบาท เป็นการทำกันเอง รู้กันเอง อนุมัติกันเอง ระหว่างส่วนราชการและฝ่ายบริหารเท่านั้น

ประชาชนคนไทยพึ่งทราบเป็นทางการจากหน่วยงานรัฐวันที่ 11 มกราคมนี้เองว่าตรวจพบเชื้ออหิวาต์หมูในประเทศไทย โดยนายเสกสกล ระบุว่า เรื่องนี้รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่ได้นิ่งนอนใจ รับทราบดีถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนดี และในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีก็ได้อนุมัติงบประมาณ 574 ล้านบาทเพื่อแก้ปัญหาหมูแพงไปแล้ว และยังได้กำชับให้รัฐมนตรีและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด 

นายเสกสกล กล่าวว่า นายณัฐวุฒิ ไม่ควรจะมาโหนกระแสเอากับเรื่องนี้ ให้เรื่องมันเข้าตัวเปล่าๆ นายณัฐวุฒิเคยมีโอกาสเป็นเสนาบดี จากการเป็นแกนนำม็อบที่เชิญชวนคนออกมาทำร้ายบ้านเมืองก็ถือเป็นเรื่องตลกร้ายอยู่แล้ว แต่พอได้ดีเป็นเสนาบดีก็ยังแอบลุ้นว่าจะทำงานได้หรือไม่ ในที่สุดก็พบว่าฮากว่า และเชื่อว่านายณัฐวุฒิคงยังจำได้ดี เมื่อครั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ตอนปี 56 ที่ไม่สามารถตอบคำถามสื่อมวลชนได้กรณีที่ถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับโครงการจำนำข้าว ที่ขาดทุนถึง 2.6 แสนล้าน จนท้ายที่สุดต้องยิ้มหน้าเจื่อนเพราะขำไม่ออก ที่ไม่สามารถชี้แจงข้อมูลได้ ดื่มแต่น้ำเปล่าจนหมดไปหลายแก้ว  ถือเป็นอดีตที่ฝังใจนายณัฐวุฒิ ที่อยากจะลืมแต่ก็คงลืมไม่ลง

รองโฆษกรัฐบาล เผย ผลพูดคุยสันติภาพจชต. ไทย-BRN ชี้ นายกฯ พอใจ

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พอใจผลการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนใต้ เมื่อวันที่ 11 และ 12 ม.ค. 2565 ที่ผ่านมา โดยมีพล.อ.วัลลภ รักเสนาะ เป็นหัวหน้าคณะ ทำการพูดคุยกับคณะผู้แทน BRN นำโดยอุสตาส อานัส อับดุลเราะห์มาน ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย และมี ตันซรี อับดุล ราฮิม บิน โมฮัมหมัด นอร์ เป็นผู้อำนวยความสะดวก และผู้เชี่ยวชาญอีก 2 คน ร่วมสังเกตการณ์ด้วย ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะยึดถือ 3 ประเด็น เป็นแนวทางในการพูดคุยระยะต่อไป คือ 1.การลดความรุนแรง 2.การปรึกษาหารือกับประชาชนในพื้นที่ และ 3.การแสวงหาทางออกทางการเมือง โดยจะมีกลไกการทำงานร่วมกัน ประกอบด้วย การมีบุคคลผู้ประสานงาน และคณะทำงานร่วมของทั้งสองฝ่ายในแต่ละเรื่อง ทั้งนี้เพื่อผลักดันให้การพูดคุยเป็นไปอย่างต่อเนื่อง คล่องตัว และเกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม 

โฆษกรัฐบาลเผย ”นายก” ชื่นชมทุกหน่วยงานที่มีส่วนผลักดันความตกลง FTA ส่งผลให้ตัวเลขการใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA 10 เดือนแรก ปี 2564 ขยายตัว 31.67% มูลค่าส่งออกกว่า 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ 

นายธนกร วังบุญคงชนะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบตัวเลขการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลง FTA เดือนมกราคม – ตุลาคม 2564 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 31.67% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยทำให้มีมูลค่าการส่งออกถึง 63,104.43 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีสัดส่วนการใช้สิทธิ สูงถึง 78.51% นายกรัฐมนตรีชื่นชมการทำงาน และขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่ร่วมมีส่วนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจนสามารถทำให้ตัวเลขการส่งออกสูงถึงกว่า 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เชื่อมั่นว่าการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการของรัฐบาลจะส่งผลสำคัญต่อสำเร็จในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างแน่นอน 

นายธนกร กล่าวว่า สำหรับการใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA นั้น มีการใช้สิทธิเพิ่มขึ้นทุกตลาด และตลาดที่มีมูลค่าการใช้สิทธิ FTA สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 อาเซียน (มูลค่า 21,539.08 ล้านเหรียญสหรัฐ) โดยตลาดส่งออกสำคัญของอาเซียนคือ เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ อันดับ 2 จีน (มูลค่า 21,372.57 ล้านเหรียญสหรัฐ) อันดับ 3 ออสเตรเลีย (มูลค่า 6,891.79 ล้านเหรียญสหรัฐ) อันดับ 4 ญี่ปุ่น (มูลค่า 5,784.20 ล้านเหรียญสหรัฐ) และอันดับ 5 อินเดีย (มูลค่า 3,990.80 ล้านเหรียญสหรัฐ) ทั้งนี้ ยังไม่รวมถึงความตกลง Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP ซึ่งเป็นความตกลงใหม่ที่รัฐบาลไทยโดยนายกรัฐมนตรีผลักดันการเจรจาในวาระที่ไทยเป็นประธานการประชุมสุดยอดอาเซียน เมื่อปี 2562 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งรวมทั้งสิ้นแล้ว ประเทศไทยมี FTA ที่มีผลบังคบใช้แล้วรวมทั้งสิ้น 14 ฉบับ 

'มาดามแป้ง' ยันยังไม่พร้อมลงสนามการเมือง หลังมีข่าว ‘บิ๊กป้อม’ ทาบลงชิงผู้ว่าฯ กทม.

13 ม.ค. 65 - ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 16.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นางนวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีมฟุตบอลทีมชาติไทย ตอบคำถามสื่อมวลชน ก่อนนำนักฟุตบอลทีมชาติไทยครับพบกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถึงกรณีที่หลายฝ่ายเชียร์ให้ลงสมัครชิงเก้าอี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ว่า ชื่อของตนเป็นแคนดิเดตมาทุกยุคทุกสมัย ยืนยันว่าถึงวันนี้ยังไม่มีอะไรทั้งสิ้น ซึ่งความจริง ตนไม่ได้มีความสนใจที่จะลงเล่นการเมือง แต่จะให้ตอบปฏิเสธไปเลยในวันนี้ก็คงไม่ใช่ เพราะบางทีการพูดไปแล้วอนาคตอาจเกิดเป็นโชคชะตา คำพูดก็จะถูกจารึกเป็นประวัติศาสตร์

“จึงขอพูดว่า ณ วันนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรไป และขอขอบคุณทุกคนที่ส่งข้อความผ่านมาทางเพจที่อยากให้แป้ง ลงสมัครชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. วันนี้ขอพาบอลไทยไปบอลโลกก่อน” นางนวลพรรณ ในฐานะผู้จัดการทีมฟุตบอลทีมชาติไทย กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าก่อนหน้านี้ที่ได้พบกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้มีการทาบทาม ให้ลงสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในนามพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ มาดามแป้ง นวลพรรณ บอกว่า พล.อ.ประวิตร เพียงแต่แสดงความยินดีกับชัยชนะของฟุตบอลไทยในทุกครั้งที่ลงแข่งขันทุกครั้ง อีกทั้งพล.อ.ประวิตรก็ไม่เคยพูดคุยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการเมืองหรือการพัฒนาพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.)

เมื่อถามว่า พล.อ.ประวิตรยังไม่ได้มีการทาบทามใช่ หรือไม่ เธอกล่าวว่า ยังไม่มีอะไร ถามย้ำว่าสรุปยังไม่มีความสนใจในเรื่องการเมืองใช่หรือไม่ นางนวลพรรณ กล่าวว่า “แต่แป้งก็อ่านหนังสือพิมพ์การเมืองทุกวัน”

‘หมอเก่ง’ ชี้!! ข้อมูลวัคซีนเป็นความลับ ทั้งที่รัฐควรมีหน้าที่ป้องกันอย่างเข้มงวด 

‘วาโย - ก้าวไกล’ โต้!! ‘อนุทิน’ ข้อมูลวัคซีนและเลขบัตรประจำตัวประชาชนเป็นความลับ ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย รัฐไม่ควรปล่อยให้ใครก็ได้เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของประชาชน

จากกรณีที่อนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงว่า ข้อมูลของประชาชนที่ฉีดวัคซีนไม่ได้รั่ว และข้อมูลดังกล่าวไม่ได้ถือว่าเป็นความลับ เมื่อกรอกหมายเลข 13 หลักในหมอพร้อมก็จะพบข้อมูลนี้นั้น ทาง นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า ตนรู้สึกตกใจมากที่เจ้ากระทรวงที่ดูแลข้อมูลส่วนตัวของประชาชนทั้งประเทศ ไม่ให้ความสำคัญกับปกป้องข้อมูลของประชาชน

“ปัจจุบัน ข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่ามาก เพราะสามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์และคาดการณ์อะไรได้อีกมาก หลายประเทศที่เขาตระหนักเรื่องนี้ ตนถือว่ามันเป็นความมั่นคงของประชาชนเลยด้วยซ้ำ ทีนี้ของประเทศไทย ควรจะต้องมี พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล หรือ PDPA ออกมาใช้ตั้งนานแล้ว แต่มันก็ยังไม่มีผลบังคับใช้สักที แล้วพอผู้มีอำนาจออกมาบอกว่าข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้เป็นความลับอะไร มันก็แสดงให้เห็นว่ารัฐไทยไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้แบบสุดๆ ไปเลย”

นพ.วาโย กล่าวต่อว่า แม้ PDPA จะยังไม่มีผลบังคับใช้ แต่ปัจจุบันก็มีกฎหมายเฉพาะคุ้มครองข้อมูลสุขภาพของประชาชนบังคับใช้อยู่แล้ว เขาชวนให้ทุกคนคิดตามโจทย์ทางกฎหมายว่า มาตรา 7 ของพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ระบุว่า ข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคลเป็นความลับส่วนบุคคล ใครจะนำไปเปิดเผยในลักษณะที่จะทำให้บุคคลนั้นเสียหายไม่ได้ เว้นแต่คนนั้นจะยินดีเปิดเผยเอง

“แล้วข้อมูลวัคซีนถือเป็นข้อมูลสุขภาพหรือไม่? ก็ต้องย้อนไปดู พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 มาตรา 4 ระบุว่า การประกอบวิชาชีพเวชกรรมมีการรักษา บำบัด หรือป้องกันโรค ดังนั้น การฉีดวัคซีนเพื่อการป้องกันโรค ก็ถือว่าเป็นข้อมูลการรักษา เป็นข้อมูลสุขภาพ ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ผู้ใดจะเปิดเผยไม่ได้”

"อรรถวิชช์" ชูจุดเด่น "พรรคกล้า พรรคเศรษฐกิจ" เชื่อถ้าประชาชนออกมาใช้สิทธิ์กันเยอะ ซื้อเสียงเอาไม่อยู่ มั่นใจคนกรุงกล้าเปลี่ยน 

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อมหลักสี่ - จตุจักร เบอร์ 2 พรรคกล้า ลงพื้นที่หาเสียงตลาดและชุมชนย่านชินเขต เขตหลักสี่ ตั้งแต่ช่วงเช้า เดินทักทายพ่อค้าแม่ค้าและพี่น้องประชาชนที่ออกมาจับจ่ายใช้สอย พร้อมปราศรัยให้ความรู้ด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นจุดเด่นของพรรคกล้า 

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์โควิดระบาด กังวลเรื่องเดียวคือเรื่องคนอาจไม่ออกมาใช้สิทธิ์ ส่วนเรื่องอื่นก็ทำเต็มที่แล้ว โดยวันนี้มารณรงค์หาเสียงในพื้นที่ตลาดย่านชินเขต ก็มาพูดให้ความรู้กับพ่อค้าแม่ค้า เกี่ยวกับแนวทางการเสียภาษีที่ถูกต้อง ซึ่งโครงการคนละครึ่งเป็นโครงการที่ดีมากๆ ทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล แต่พ่อค้าแม่ค้าที่ขายได้มากขึ้น ก็ต้องเสียภาษีเยอะขึ้น ก็เลยมาให้ความรู้เกี่ยวกับการทำบิลให้ถูกต้อง เพื่อหักลดหย่อนภาษี เพื่ออุดช่องว่างโครงการที่ดีอยู่แล้ว ถือเป็นการรณรงค์หาเสียงที่ได้ประโยชน์ในทางเศรษฐกิจและให้ความรู้ไปด้วย เพราะจุดเด่นพรรคกล้าเป็นพรรคเศรษฐกิจ 

ส่วนกระแสข่าวการซื้อสิทธิ์ขายเสียงในพื้นที่ นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า ตลอดเวลา 17 ปี ของการทำงานการเมือง ไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องการซื้อเสียงที่หนักเท่าครั้งนี้ จำนวนเม็ดเงินที่สูงและทั่วถึง แต่มั่นใจคนกรุงเทพว่า ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็แล้วแต่ คนกรุงเทพมีวิจารณญาณ และต้องดูว่าวันที่ 30 มกราคมนี้ มีคนออกมาใช้สิทธิ์มากหรือน้อย ถ้าออกมาใช้สิทธิ์เกินกว่าร้อยละ 70 เชื่อว่าการซื้อเสียงเอาไม่อยู่

" นายสงครามและฝ่ายค้านทำอะไรไม่เป็น คงคิดแต่เรื่องอยากให้นายกฯลาออก อยากมาเป็นรัฐบาลมีอำนาจรัฐ เพื่อช่วยนายทักษิณและนางสาวยิ่งลักษณ์ พ้นคดี ประชาชนเขารู้ทันหมดแล้ว คงต้องฝันค้างกลางวันต่อไปเถอะ เพราะนายกฯไม่สนใจคำเห่าคำหอนของนักการเมืองคนไหนทั้งสิ้น นายกฯ

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ วิจารณ์การบริหารงานของนายกรัฐมนตรี ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ส่งผลกระทบด้านเศรษฐกิจ และแนะนำให้นายกฯลาออก ว่า ก่อนที่นายสงครามจะกล่าวหาโจมตีการทำงานของนายกฯ ควรเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจ ว่า ขณะนี้สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก หลายประเทศ ได้รับความเดือดร้อนเช่นเดียวกับประเทศไทย และนายกฯไม่เคยหนีปัญหา โดยพยายามแก้ไขทั้งเรื่องของการระบาด ควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน และจะเห็นว่าที่ผ่านมาได้มีมาตรการและโครงการต่างๆออกมาช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มทุกคนอยู่แล้วและทำจนถึงขณะนี้

“ขอให้เข้าใจว่าการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้ง่าย นายสงครามไม่เข้าใจการทำงานของรัฐบาล เพราะเป็นฝ่ายค้านวันๆ ไม่คิดอะไร มีแต่จะพูดกล่าวหา โจมตี นายกฯและรัฐบาล ทั้งนี้ก็เห็นอยู่แล้วว่านายกฯและรัฐบาลได้แก้ไขปัญหาอยู่ และทำงานหนักอย่างไรในสถานการณ์ประเทศเช่นนี้

นอกจากนี้ตนเองก็ขอให้นายสงครามและฝ่ายค้าน เลิกออกมาพูดให้นายกฯลาออกได้แล้ว งานการไม่ทำเรียกร้องแต่จะให้นายกฯลาออก แบบนี้ชาวบ้านเขาจะเบื่อเอาได้ ควรไปหาอะไรทำที่เป็นประโยชน์กับประเทศและประชาชนจะดีกว่า เป็นผู้แทนของประชาชน กินเงินเดือนภาษีของประชาชน หากไม่ทำอะไรก็อย่าอยู่สร้างภาระให้ประชาชนและประเทศชาติเลย

'โภคิน' หนุนตัดอำนาจ ส.ว. เล็งเปิดโอกาสปชช.ร่วมแก้ รธน.

13 ม.ค. 65 - นายโภคิน พลกุล ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนประเทศ พรรคไทยสร้างไทย เปิดเผยถึงข้อเสนอคณะรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 เพื่อตัดอำนาจส.ว. ในการเลือกนายกรัฐมนตรีว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 272 และบทเฉพาะกาล ที่ให้ทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ร่วมกันเลือกนายกรัฐมนตรีจากบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เป็นสิ่งที่ย้อนกลับไปยังรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ขัดกับการต่อสู้ทางรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา 

นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส. และประธานรัฐสภา ต้องเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ถ้ามาจากบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในการเลือกนายกรัฐมนตรี ก็ควรให้ ส.ส. เลือก ในกรณีที่ไม่สามารถแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคต่างๆ ได้ ต้องให้มีการลงมติ 2 ใน 3 ของรัฐสภา โดยการเข้าชื่อต้องไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง ตามมาตรา 272 (2) สามารถเลือกนายกรัฐมนตรี ที่จะเป็น ส.ส. หรือไม่เป็น ส.ส. ก็ได้ ซึ่งสามารถเสนอชื่อคนนอกได้ 

'ราเมศ' อัด ผู้มีอำนาจ หยุดใช้อำนาจรัฐ เอื้อเลือกตั้งซ่อม

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะผู้อำนวยการการเลือกตั้งประสานงานส่วนกลางได้กล่าวถึงการเลือกตั้งซ่อมในเขต เลือกตั้งที่ 1 จังหวัดชุมพร และเขตเลือกตั้งที่ 6 จังหวัดสงขลา ว่า

ขณะนี้อยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งซ่อมในทั้งสองเขต ในพื้นที่ผู้สมัครจะเน้นการเดินพบปะประชาชนควบคู่ไปกับการจัดเวทีปราศรัยซึ่งจะมีการจัดเวทีปราศรัยในวันที่ 14 มกราคมนี้ พร้อมกันทั้งสองเขต จะมีแกนนำพรรคไปร่วม เช่นเวทีที่จังหวัดชุมพร จะมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค นายบัญญัติ บรรทัดฐาน อดีตหัวหน้าพรรค นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรัฐมนตรี ร่วมขึ้นเวทีปราศรัย ทั้งสองเวทีก็ต้องถือว่าเป็นเวทีใหญ่ปิดท้าย

นายราเมศกล่าวต่อว่า พรรคการเมืองบางพรรคยังใช้อำนาจในการแทรกแซงเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ เพื่อบังคับข่มขู่ทั้งตัวเจ้าหน้าที่รัฐและครอบครัวให้มีการเลือกผู้สมัครของพรรคตน ทั้งสองเขตกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด ส่วนกรณีที่มี ส.ส.ซึ่งเป็น กรรมการบริหารพรรคขึ้นปราศรัยที่จังหวัดสงขลา แล้วมีการปราศรัยในลักษณะสัญญาว่าจะให้  ชัดเจน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา 73 ที่ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใด จูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนน ด้วยวิธีการ  สัญญาว่าจะให้ เพราะมีการพูดชัดว่าหากเลือกผู้สมัครในวันข้างหน้าจะมีการดูแลประชาชนในเรื่องเงินทองเพราะมีเงิน เรื่องนี้ กกต สามารถสอบสวนได้ทันทีเพราะมีข่าวปรากฏอยู่ทั่วไป และวินิจฉัยไม่ยากเพราะผิดกฎหมายชัดเจน หากไม่ผิดนั่นแสดงว่าต่อไปก็สามารถพูดจาในลักษณะว่าจะให้เงินในวันข้างหน้าได้เพื่อจูงใจผู้มีสิทธิ์ ก็ต้องฝากความหวัง ไว้กับ กกต การได้มาซึ่งประชาธิปไตยสุจริตทุกคนต้องช่วยกัน

‘หมอเหรียญทอง’ ประกาศเลิกหนุน พปชร. ชี้ รับไม่ได้ให้ท้ายนักโทษคดีทุจริต 

'หมอเหรียญทอง' บอกรับไม่ได้พฤติกรรมลดโทษคดีทุจริต ประกาศเลิกสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐแล้วแม้ยังเคารพพี่ป้อม ประกาศสนับสนุนพรรคไทยภักดีแม้เลือกตั้งแพ้แต่สมศักดิ์ศรี

13 ม.ค. 65 - พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่าปัญหาการอภัยโทษให้นักโทษทุจริตประพฤติมิชอบซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรอันเป็นกฎหมายสูงสุดย่อมกระทำไม่ได้นั้น แต่กลับไม่มีพรรคการเมืองใดในสภา ทั้งพรรคฝ่ายรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านต่อต้าน ทั้งๆ ที่เป็นผลงานในความรับผิดชอบของกระทรวงยุติธรรมที่นักการเมืองจากพรรคพลังประชารัฐเป็นรัฐมนตรี จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าพรรคการเมืองในสภาไม่จริงจัง ไม่ใส่ใจในการขจัดปัญหาทุจริตประพฤติมิชอบ แต่กลับอำนวยประโยชน์ช่วยเหลือนักโทษคดีทุจริตประพฤติมิชอบให้ได้รับการอภัยโทษ ลดโทษอย่างมหาศาลโดยกระทรวงยุติธรรมที่เป็นกระทรวงในความรับผิดชอบของพรรคพลังประชารัฐ

ผมต่อต้านอย่างถึงที่สุด ในขณะที่พรรคพลังประชารัฐที่ผมเคยสนับสนุนอย่างสุดกำลังกลับนิ่งเฉยดูดายปล่อยให้เงียบไป เพราะสังคมไทยเป็นสังคมของคนลืมง่าย ดูง่ายๆ แค่การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.หลักสี่-จตุจักร ที่เกิดจากอดีตนักโทษฉ้อโกงทรัพย์แอบลักลอบสมัครเป็น ส.ส. จนถูกตรวจสอบได้และส่งฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญจนต้องเลือกตั้งซ่อมใหม่ พรรคพลังประชารัฐก็ยังคงดูถูกชาวหลักสี่-จตุจักร ด้วยการส่งภริยาของผู้กระทำความผิดลักลอบเป็น ส.ส. มาให้ประชาชนเลือกซ้ำอีก...พูดง่ายๆ ดูถูกชาวหลักสี่-จตุจักรชิบหายเลยนะครับ

ผมเป็นชาวหลักสี่เกือบ 50 ปีแล้ว โดยส่วนตัวแล้ว ผมเคารพรักพี่ป้อมในฐานะที่ท่านเป็นผู้บังคับบัญชาของผมมานานกว่า 35 ปีแล้ว แต่ผมจำใจเลือกพรรคพลังประชารัฐที่อาศัยพี่ป้อมเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อคุ้มหัวให้นักการเมืองเลวๆ อย่างนี้อาศัยต่อไปอีกไม่ได้แล้ว...ผมทราบดีว่าพี่ป้อมเป็นคนมีเมตตาสูง แต่จะให้ผมน้อมรับไอ้อีพวกรอบข้างอาศัยพี่ด้วยนั้น ผมไม่เอาด้วยครับ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top