Thursday, 8 May 2025
POLITICS NEWS

จับตา!! ‘Mou44 – คดีล้มล้างฯ - ศึกอบจ.อุดรฯ - ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ’ แม้ ‘รัฐนาวาของอุ๊งอิ๊ง’ จะโคลงเคลง!! แต่ ‘ทักษิณ’ ยังชิลเดินหน้าปลุกแนวรบ

(9 พ.ย. 67) ไฮไลต์เหตุบ้านการเมืองที่เป็นแรงกระเพื่อมทางการเมืองขณะนี้มีมากเป็นสิบ ๆ กรณี  แต่จะโฉบจับเอามาขีดเส้นใต้สัก4กรณี  ชี้ทิศทางสถานการณ์สัปดาห์หน้า...

1) กรณีตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย..วัดใจกันว่าฝั่งการเมืองหรือกระทรวงการคลังจะเปลี่ยนตัวจาก โต้ง กิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นพงษ์ภาณุ  เศวตดรุณ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวฯอดีตลูกหม้อกระทรวงการคลัง หรือยอมเปิดทางให้กุลิศ สมบัติศิริ อดีตปลัดพลังงาน/ลูกหม้อกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นตัวเลือกฝั่งแบงก์ชาติ..

ร้อนปรอทแตกถ้ายืนยันดันโต้ง,ร้อนพอประมาณถ้าเลือกพงษ์ภาณุและร้อนอุ่น ๆ หากเลือกกุลิศ..

2) สัปดาห์ที่ผ่านมาคณะทำงานของอัยการสูงสุดสอบเพิ่มเติมผู้ร้อง (ทนายธีรยุทธ   สุวรรณเกสร) และผู้ถูกร้อง (ทักษิณ-เพื่อไทย) ซึ่งส่งอ.ชูศักดิ์ ศิรินิล ไปให้ถ้อยคำ ต้นสัปดาห์นี้อัยการจะส่งรายงานไปยังศาลรธน. ดูไทม์ไลน์แล้วพุธที่ 13 พ.ย. ศาลรธน.อาจจะยังพิจารณาไม่ทันว่าจะรับคำร้องที่นายธีรยุทธร้องไว้พิจารณาหรือไม่ แต่พุธที่ 20 และ 27 พ.ย.น่าจับตา..มีลุ้น

คดีหรือคำร้องที่พูดถึงนี้ไม่ใช่อะไรอื่น คือกรณีที่เรียกกันว่า ‘คดีล้มล้างฯภาค2’ ที่ไฮไลต์คำร้องอยู่ที่กรณีป่วยทิพย์ ชั้น 14 และกรณีการครอบครองครอบงำ ปรากฏว่าตอนอัยการเชิญไปให้ปากคำเพิ่มเติมเมื่อ 5 พ.ย.ทนายธีรยุทธขออธิบายความเพิ่มเติมว่า..กรณีการดำเนินการเรื่องพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ของรัฐบาลแพทองธารขณะนี้นั้นอาจนำไปสู่การสูญเสียอธิปไตย เป็นการละเมิดพระบรมราชโองการเรื่องการกำหนดเส้นไหล่ทวีป ปี 2516...ฯลฯ..

ร้อนปรอทแตกพันเปอร์เซ็นต์ถ้าศาลรธน.รับไว้พิจารณา..!!

3) ว่ากันตามเนื้อผ้า..กรณีเกาะกูดและMOU2544 สัปดาห์ก่อนโน้นรัฐบาลทำท่าทำทางจะตั้งหลักได้ดีพอประมาณ เชิญระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศมาชี้แจง แต่ล่าสุดเมื่อ8พ.ย.ท่านนายกฯอิ๊งค์กับรองนายกฯอ้วน ออกมาช่วยกันตอบคำถาม..อาการน่าเป็นห่วงก็เกิดขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะกรณีที่ท่านนายกฯบอกว่าเขมรยังขีดเส้นอ้อมเกาะกูดให้ไทยเลย..

ต้องหมายเหตุว่านาทีนี้..คนส่วนใหญ่เขาตาสว่างกันหมดแล้วว่า..คำว่า 'เกาะกูด' มิได้หมายถึงเฉพาะตัวเกาะ  แต่หมายถึงทะเลอาณาเขตรอบตัวเกาะ..

การชี้แจงของนายกฯ น่าจะทำให้การล่า 1 แสนรายชื่อให้ยกเลิกMOU2544เพื่อเซฟเกาะกูดและทะเลอาณาเขตของคณะนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม และการขับเคลื่อนอย่างแข็งแรงของพรรคพปชร.ตลอดจนภาคประชาชนในสัปดาห์หน้า..สัปดาห์ต่อ ๆ ไปแข็งแกร่งมากขึ้นตามลำดับ..

มีพรายกระซิบว่า...รัฐบาลอาจจะแก้เกมผ่อนคลายสถานการณ์ด้วยการเชิญภาคส่วนต่าง ๆ มาล้อมวงคุย..รับฟังข้อมูล..ก็อาจจะช่วยได้บ้างตามสมควร..

4) แม้รัฐนาวาลูกสาวจะออกอาการโคลงเคลง ซึ่งเหตุปัจจัยส่วนหนึ่งมากผู้เป็นพ่อ..แต่ในยามนี้ผู้เป็นพ่ออย่างทักษิณ ชินวัตร ดูจะไม่ออกอาการอะไรมาก ยังชิล ๆ..มองการเมืองข้ามช็อตเดินหน้าปลุกแนวรบเพื่อไทย ให้” แดงทั้งแผ่นดิน”แบบโดนัลด์ ทรัมป์  ก็มิปาน..

วันที่ 13-14 พ.ย.ทักษิณในฐานะผู้ช่วยหาเสียง จะไปช่วยปราศรัยหาเสียงให้ ‘ศราวุธ  เพชรพนมทวน’ (เขยของอินทรีอีสาน-พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก) ผู้สมัครนายกอบจ.อุดรธานี 3 จุด..เฉพาะจุดสุดท้ายที่ทุ่งศรีเมืองกลางเมืองอุดร วางดัชนีชี้วัดเอาไว้ว่าต้องมีมวลมหาประชาชนชาวอุดรมาฟัง 2 หมื่นคน..

ว่ากันว่า ‘ทักษิณ’ เพิ่งปลาบปลื้มหัวใจพองโตจากขอนแก่นโมเดล เมื่อสัปดาห์ก่อนโน้นที่ วัฒนา ช่างเหลา นำมวลชนคนเสื้อแดงชูป้ายทักษิณ-อุ๊งอิ๊ง ล้มแชมป์เก่า6สมัยลงได้อย่างน่าอัศจรรย์..

รอบนี้เลือกนายกฯอบจ.อุดรฯพรรค 24 พ.ย.เพื่อไทยเจอศึกใหญ่เพราะพรรคส้มหมายมั่นจะเปลี่ยนอุดรฯเป็นเมืองหลวงคนเสื้อส้ม ปักธงนายกอบจ.ให้ได้เป็นผืนแรก..ถึงขั้นต้องจัดทัพหลวง ‘พิธา-ธนาธร’ออกรบเอง...ทักษิณมีหรือจะไม่รู้ว่าถ้าแพ้ที่สมรภูมินี้  จะชี้ช้ำยิ่งกว่าถูกศาลรธน.รับคดีล้มล้างฯไว้พิจารณาเป็นร้อยเท่า..

อีกทั้ง การโหมข่าวเลือกตั้งอบจ.อุดรฯยังช่วยเบนข่าวMOU2544 ที่กำลังขยี้นายกฯอิ๊งค์ได้อีกต่างหาก!!

‘ลุงป้อม’ ไฟเขียวกดปุ่มลุยยกเลิก MOU 44 สั่งลูกพรรคชักธงรบรักษาผลประโยชน์ชาติ

บ่ายวันที่ 5 พ.ย.2567 ที่ผ่านมา ประมุขบ้านป่ารอยต่อ..พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)ที่กำลังถูกพลพรรคเพื่อไทยตีโต้เรื่อง..MOU 2544 สั่งให้ลูกน้องโทรหาแกนนำพรรค และคณะที่ขับเคลื่อนเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก MOU 2544 ประชุมด่วนตอนสายวันที่ 6พ.ย.

เป็นการนัดประชุมด่วน ณ สถานการณ์ที่พล.อ.ประวิตรและพรรคพปชร.กำลังถูกบดขยี้ว่า...สมัยรัฐบาลลุงตู่ ลุงป้อมเคยรับบทเป็นหัวหน้าคณะเจรจาด้านเทคนิคหรือ JTC ตามกรอบของ MOU ดังนั้นถ้าไม่หิวแสงหรือเมาหมัดแล้วไฉนทำไมจึงปล่อยให้ลูกพรรคออกมาก่อการเรื่องนี้

สายข่าวแจ้งว่าหลายคนที่ถูกเรียก โดยเฉพาะธีรชัย ภูวนารถนรานุบาล, สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์, ดร.มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ออกอาการสะดุ้ง..เดาว่าลุงป้อมเรียกไปสั่งให้เพลาๆ ลงหน่อย...แต่ของจริงการณ์กลับเป็นตรงกันข้าม เพราะเมื่อเริ่มประชุม  ลุงป้อมถามว่า..เอาไงต่อวะ...

พูดคุยกันนานสองนาน...บทสรุปของประมุขบ้านในป่าคือ..ลุยต่อ เอาให้จบภารกิจ...

ภารกิจที่ว่าคือ..กระทำทุกวิถีทางโดนสันติ มีเหตุผลและหลักการให้รัฐบาลยกเลิก MOU2544 หรือชื่อเต็ม ‘บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปซับซ้อน ค.ศ.2001’ ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลทักษิณเมื่อปีพ.ศ.2544

ไม่มีการขีดเส้นไทม์ไลน์ว่าจะจบภารกิจวันไหน..แต่ความหมายของ ‘ลุงป้อม’ คือทำต่อไปเรื่อย ๆ ทำให้เต็มที่...ซึ่งการชักธงรบเรื่องนี้ต่อไปทำให้วงประชุมหัวใจพองโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งอ.ธีระชัยกับ ‘หม่อมกร’ ที่กำลังเดินสายออกทีวีช่องต่างๆ ด้วยข้อมูลที่สามารถประดาบกับอีกฝ่ายได้สูสีหรือโชว์เหนือในบางครั้ง...

อีกประมาณสองสัปดาห์ฝ่ายรัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการ JTC ขึ้นมา ซึ่งคาดว่า ‘รองอ้วน’ ภูมิธรรม เวชยชัย เจ้าของวลี ‘อย่าคลั่งชาติ’ อันลือลั่นจะเป็นประธาน..และโครงสร้างกรรมการก็คงมีตัวบุคคล/รัฐมนตรีที่ดูน่าเชื่อถือมาผสมโรง..แต่ก็นั่นล่ะJTCที่ว่าก็เน้นการเจรจาเรื่องเขตแดน...ในขณะที่ในMOUข้อ2 กำหนดไว้ชัดเจนว่า การเจรจาจะต้องทำสองเรื่องพร้อมกันคือเรื่องเขตแดนและการพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อน...

‘พื้นที่ทับซ้อน’อันเกิดจากกัมพูชาลากเส้น(ไหล่ทวีป)นักเลงผ่าเกาะกูด เมื่อปี 2515 โดยไม่มีกฎหมายรองรับ ส่วนไทยลากเส้นเมื่อปี 2516 มีกฎหมายระหว่างประเทศรองรับ..

ดังนั้นต่อให้ตั้งJTCอีก10 ชุดก็ยังจะเดินหน้าเจรจาต่อไปไม่ได้...พรรคพปชร.ก็เคยเสนอให้รัฐบาลบอกกล่าวกัมพูชาว่าไทยจะขอยกเลิก MOU2544แล้วให้กัมพูชาลากเส้นไหล่ทวีปใหม่ให้ถูกต้องแล้วมาทำMOU2568 ร่วมกัน จะได้เอาขุมทรัพย์พลังงานมาใช้...

พปชร.ก็คงจะรู้ว่าข้อเสนอทำนองนี้ออกจะ ‘โลกสวย’ ไปไม่น้อย แต่ไม่มีทางเลือกอื่น..และถ้าไม่ยกเลิกMOU2544 แผนที่แนบท้ายMOU ที่แสดงพื้นที่ทับซ้อน 26,000 ตร.กม.ก็จะบาดตาบาดใจคนไทยไปอีกนานแสนนาน..

รายการนี้จะจบลงอย่างไร ยากจะคาดเดา..หากจะบอกว่า ‘ลุงป้อม’ และพลพรรคบ้านในป่ามาถูกทาง สู้ด้วยข้อมูลเหตุผลและจุดยืนที่สร้างสรรค์ ไม่ได้นั่งท่องคาถา ‘เกาะกูด’ เป็นของไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ อันนั้นรู้ๆ กันอยู่แล้ว แต่ที่คนไทยเป็นห่วงคือเราจะสูญเสียอธิปไตยทางทะเล ที่อาจจะนำไปสู่การสูญเสียเกาะกูดจริงๆ ในอนาคตหากยังคิดกันในกรอบแคบ ๆ..

ก็น่าจะกล่าวได้..ใช่หรือไม่?

‘พุธิตา’ ปชน. ป้อง ‘อุ๊งอิ๊ง’ วิ่งเล่นกับลูกที่ตึกไทยคู่ฟ้า ชี้ ไม่ควรโจมตี เพราะนอกจากเป็นนายกฯ ยังเป็นแม่ด้วย

(7 พ.ย. 67) สส.พุธิตา พรรคประชาชน ชี้ กรณีดราม่าอุ๊งอิ๊ง วิ่งเล่นสนามหญ้ากับลูกสาวที่ตึกไทยคู่ฟ้า ท่านนายกฯ เป็นแม่ด้วย ไม่ควรโจมตี

จากกรณีมีคลิปนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และบุตรสาว วิ่งเล่นในสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งมีชาวเน็ตจำนวนมากแสดงคิดเห็นทำนองว่า สถานที่ทำงานไม่ควรจะนำลูกมาวิ่งเล่น 

ล่าสุด นางสาวพุธิตา ชัยอนันต์ สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่าน X  ระบุว่า

คุณอุ๊งอิ๊ง นอกจากจะเป็นนายกแล้ว เขายังเป็นคุณแม่ที่มีลูกยังเล็กด้วย การที่ลูกมารอคุณแม่ทำงานเด็ก ๆ จะวิ่งเล่นในสนามบ้างเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ ไม่ควรจะเอามาประเด็นโจมตี ชี้เจตนาที่เกินจริงเลยค่ะ

นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่า เคยมีประธานบอร์ดคนไหน แสดงอำนาจใหญ่โต สร้างความเสียหายให้แบงก์ชาติ ก่อความพินาศให้เศรษฐกิจไทย จะมีก็แต่ผู้บริหารแบงก์ชาติทำพังเอง เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ 2540

(6 พ.ย. 67) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก ส่วนตัว ระบุว่า ความเคลื่อนไหวต่อต้านการแต่งตั้งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ซึ่งปรากฏขึ้นพร้อมกัน ทั้งในกลุ่มอดีตผู้ว่าฯ นักวิชาการ นักธุรกิจ และกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ในวิถีประชาธิปไตย

แบงก์ชาติต้องดำเนินการโดยอิสระเป็นหลักสากล ผมเห็นด้วย แต่เท่าที่ตามดูทั้งข้อกฎหมายและแนวปฏิบัติ ผมยังชั่งใจอยู่ว่าประธานบอร์ดแบงก์ชาติ จะมีฤทธิ์เดชขนาดที่บางฝ่ายกำลังวาดภาพหรือไม่

ผู้ว่าฯคนปัจจุบันจะหมดวาระกลางปีหน้า การแต่งตั้งคนใหม่ทำโดยกรรมการอีกคณะหนึ่ง ซึ่งตั้งโดยรมว.คลัง จากบุคคลที่มีคุณสมบัติตามกฎหมาย บอร์ดไม่มีอำนาจเกี่ยวข้องแต่อย่างใด

อาจมีข้อสังเกตว่าผู้ว่าฯ มีข้อเห็นต่างกับรัฐบาลหลายครั้ง จะตั้งประธานบอร์ดเพื่อปลดผู้ว่าฯหรือไม่ กฎหมายก็เขียนว่าการปลดเป็นอำนาจครม.โดยคำแนะนำของรมว.คลัง เพราะประพฤติเสื่อมเสียร้ายแรง หรือทุจริต หรือครม.ปลดออกโดยการเสนอของรัฐมนตรี โดยคำแนะนำของบอร์ด ซึ่งถ้าดูจากข้อเท็จจริงก็ยังไม่มีเหตุถึงขั้นนั้น และอีกไม่กี่เดือนจะมีผู้ว่าฯคนใหม่อยู่แล้ว รัฐบาลจะหาเรื่องปลดให้ยุ่งไปทำไม

กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจบอร์ดไปก้าวก่ายนโยบายการเงิน นโยบายสถาบันการเงิน และระบบชำระเงิน เรื่องพวกนี้มีกรรมการที่มีผู้ว่าแบงก์ชาติเป็นประธาน ทำงานโดยอิสระ อำนาจหน้าที่หลักของบอร์ดคือการควบคุมดูแลโดยทั่วไป ไม่ใช่ล้วงลูกลงลึก 

ผมนั่งนึกยังไงก็นึกไม่ออกว่า เคยมีประธานบอร์ดคนไหน แสดงอำนาจใหญ่โต สร้างความเสียหายให้แบงก์ชาติ ก่อความพินาศให้เศรษฐกิจไทย

จะมีก็แต่ผู้บริหารแบงก์ชาติทำพังเอง เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ 2540 ที่เอาเงินทุนสำรองซึ่งกู้ IMF มา ไปสู้ค่าเงินกับกองทุนต่างชาติจนเจ๊งกันระเนระนาดทั้งประเทศ นายกรัฐมนตรีเผชิญแรงเสียดทานต้องลาออก แต่จนบัดนี้ยังไม่มีการแสดงความรับผิดชอบใดๆจากแบงก์ชาติ ทั้งในนามบุคคลและองค์กร หรือก่อน 2540 ก็เคยมีเหตุความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ถูกบันทึกว่าเกิดจากแบงก์ชาติมาแล้ว 

แบงก์ชาติต้องอิสระจากรัฐบาลแน่นอน แต่ดูไปบางมุมคล้ายอิสระจากสังคมและประชาชนด้วยหรือไม่

ผมพยายามค้นระเบียบ หลักเกณฑ์ภายใน พบว่าหายากมาก ทั้งที่หลายเรื่องน่าจะสัมผัสได้ เช่น มีส.ส.ฝ่ายค้านท่านหนึ่ง บอกว่าตั้งประธานบอร์ดแล้วก็จะใช้อำนาจตั้งกรรมการกนง. แทนคนเก่าซึ่งจะหมดวาระ 2 คน พูดจนคนเข้าใจไปว่างานนี้บอร์ดชงเองกินเอง ตั้งพวกตัวเองแน่ ๆ

ทั้งที่สอบถามจากผู้อาวุโสที่เคยเป็นบอร์ดเขายืนยันว่าไม่ใช่ บอร์ดต้องตั้งกนง.จริง แต่ตั้งตามชื่อที่แบงก์ชาติเสนอไม่ใช่คิดเอาเอง เช่น ถ้าว่าง 2 ที่ แบงก์ชาติจะเสนอชื่อมา 3 คนขึ้นไปแล้วบอร์ดพิจารณา ยังไงก็ต้องเป็นคนในโผจากผู้ว่าฯ

เรื่องนี้ก็หาระเบียบไม่พบ แต่ได้รับคำยืนยันว่าเป็นแนวปฏิบัติที่ทำกันมา

การเสนอชื่อประธานบอร์ดขณะนี้มี 3 คน กระทรวงการคลังเสนอชื่อ 1 คน แบงก์ชาติ 2 คน หนึ่งในสองคนที่เสนอมาเป็นนักกฎหมาย ไม่เคยปรากฏว่าเชี่ยวชาญเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง 

อดีตผู้บริหารแบงก์ชาติและกลุ่มต่างๆค้านชื่อจากกระทรวงการคลัง แบบนี้ประชาชนมีสิทธิ์คิด
ว่าจะล็อคเป้าให้เข้าทางเฉพาะชื่อที่แบงก์ชาติเสนอเท่านั้นหรือไม่

ถ้าชื่อจากกระทรวงการคลังถูกมองว่าเป็นฝ่ายการเมือง แล้วชื่อจากแบงก์ชาติเป็นฝ่ายทางการเมือง หรือเคยเลือกข้างทางการเมืองมาบ้างหรือไม่

หลักคิดของผมคือ เรื่องนี้อย่าเอาการเมืองเป็นตัวตั้ง เสียงค้านรัฐบาลต้องฟัง แต่ฝ่ายเห็นต่างก็ต้องใช้เหตุผลด้วย ว่ากันที่คุณสมบัติก่อน ถ้ามีความรู้ ความสามารถ มีประสบการณ์ และคุณสมบัติตามกฎหมาย ทุกคนย่อมมีสิทธิ์เข้ารับการคัดเลือกได้ 

องค์กรที่ต้องเป็นอิสระย่อมต้องอิสระ แต่ความอิสระก็ไม่ควรล้นเกิน จนอาจถูกมองเป็นแดนสนธยา ที่ซึ่งตาเปล่าของประชาชนยากจะมองเห็นได้

‘จิรัฏฐ์’ สส. พรรคประชาชน ยอมโพสต์ขอโทษ ปมพูดโจมตีฝ่ายตรงข้ามว่า “ตุ๊ด” อ้างเป็นคำพูดติดปาก

จากกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ เมื่อเพจเฟซบุ๊ก 'วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร' ได้เผยแพร่คลิป นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคประชาชน ด่าฝ่ายตรงข้ามที่โจมตีว่า “ตุ๊ด” ไม่แมน ไม่ลูกผู้ชาย

ล่าสุดวันนี้ (7 พ.ย.67) นายจิรัฏฐ์ ได้โพสต์ข้อความผ่าน X หรือทวิตเตอร์ว่า กราบขออภัยที่ผมได้พูดคำว่า “ตุ๊ด” ออกไปในรายการสดเป็นอย่างสูงครับ เป็นคำพูดติดปากซึ่งไม่เหมาะสม และไม่ได้เกี่ยวกับประเด็นที่กำลังพูดถึงอยู่เลยด้วย ถึงแม้ผมจะขอโทษไปแล้วในรายการทันทีหลังจากที่หลุดพูดออกไป แต่อยากขอโทษเป็นทางการอีกครั้งครับ

ต่อมา เพจเฟซบุ๊ก 'วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร' ได้ออกมาโพสต์ถึงเรื่องดังกล่าวว่า พี่ลักแกง ขอโทษที่พูด “เหยียดตุ๊ด” อ้างว่า “เป็นคำพูดติดปาก” แบบนี้แสดงว่าพูดเหยียดบ่อยใช่มั๊ยคะ

ซึ่งมีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ขนาดออกสื่อยังขนาดนี้…ถ้าไม่ได้ออกสื่อ…! ตุ๊ดเขาไปคัดเลือกเกณฑ์ทหารกันนะจ๊ะ…

ส่องโปรไฟล์ ‘จิ๊บ-ศศิกานต์’ รองโฆษกรัฐบาลคนใหม่ ร่วมขับเคลื่อนนำเสนอผลงานรัฐบาลแบบเชิงรุก

(6 พ.ย. 67) รู้จัก 'รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี' คนใหม่ในโควตาพรรครวมไทยสร้างชาติ 'นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์' หลังคณะรัฐมนตรีได้มีมติแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ หรือ จิ๊บ เกิดที่ จ. ตรัง จบการศึกษาชั้นมัธยมต้น จาก โรงเรียนบูรณะรำลึก จ.ตรัง และ มัธยมปลายจาก รร. สาธิต ม.สงขลานครินทร์ จ. ปัตตานี  

จบการศึกษาระดับชั้นปริญญาตรีจาก คณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เอกสาขาวิทยุ-โทรทัศน์ ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2

หลังจากนั้น ได้เบนเข็มไปเรียนปริญญาโท สาขา International Marketing Management  University of Surrey ที่ประเทศอังกฤษ 

กว่า 20 ปีที่ ศศิกานต์ คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงการบริหารการสื่อสารการตลาดในองค์กรเอกชนใหญ่ๆ  และในฐานะสื่อสารมวลชน เธอได้เป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์มากมาย  รวมถึงยังเคยเป็นคอลัมนิสต์บนเว็บไซต์สื่อออนไลน์และสื่อหนังสือพิมพ์อีกด้วย

นางสาวศศิกานต์ ได้ก้าวสู่สนามการเมืองครั้งแรก โดยเป็นหนึ่งใน 30 ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. และเป็นผู้สมัครผู้ว่ากทม. ที่มีอายุน้อยที่สุด เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 2565  โดยเธอเป็นผู้สมัครอิสระ ไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใด 

ต่อมา ปี  2566 นางสาวศศิกานต์ ลงสมัคร สส. ในนามของพรรครวมไทยสร้างชาติ เขต บางแค-ภาษีเจริญ 

และล่าสุด เมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา ครม.มีมติอนุมัติตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งนางสาวศศิกานต์ เป็นรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 

ศศิกานต์ ให้ความสำคัญกับ จรรยาบรรณในการสื่อสารเป็นอย่างมาก ในฐานะนักสื่อสารมวลชนที่ต้องมีความเป็นมืออาชีพ  ต้องนำเสนอในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นประโยชน์กับประชาชนและสังคม

‘กษิต’ แจงยิบเหตุ รบ.อภิสิทธิ์ยกเลิก MOU 44 พร้อมหนุนเจรจาต่อ แต่ขอยึดผลประโยชน์ชาติเป็นหลัก

(5 พ.ย. 67) นายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณียกเลิกเอ็มโอยู 44 ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะว่า เพราะสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาในขณะนั้น ได้แต่งตั้งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาเป็นที่ปรึกษา เป็นการแสดงออกซึ่งไม่เป็นมิตร แล้วก็แทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย ดังนั้นเพื่อเป็นการแสดงออกถึงความไม่พึงพอใจของรัฐบาลไทย โดยนายอภิสิทธิ์ จึงได้ประกาศยกเลิกเอ็มโอยู 44 ด้วยการนำเรื่องเข้าครม. แล้วครม.มีมติ จากนั้นเป็นเรื่องของหน่วยข้าราชการประจำ

โดยเฉพาะกระทรวงต่างประเทศ สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ต้องไปดูในรายละเอียดว่าจะต้องทำอย่างไร เช่น จะต้องไปแจ้งสภา และแจ้งไปทางฝ่ายกัมพูชาให้ทราบ แต่เรื่องอยู่ในระหว่างการดำเนินการ จากนั้นเราก็พ้นจากรัฐบาลไปแล้วคือการยุบสภา

นายกษิต กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นเป็นรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ และ รัฐบาลนายเศรษฐาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน แต่เมื่อช่วงปี 57 ก็ได้ยืนยัน โดยรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ที่ยังจะคงไว้ซึ่งเอ็มโอยู44 ก็เท่ากับก็ว่าเป็นการยกเลิกมติครม.ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ แล้วรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ก็ได้แต่งตั้งพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายไทย แล้วก็ต่อเนื่องมาจนถึงบัดนี้ เท่ากับว่าเอ็มโอยูก็ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นเอ็มโอยู 44 ไม่มีการยกเลิกแล้ว และทางกระทรวงต่างประเทศกำลังเตรียมเรื่องนี้ เพื่อจะเสนอ ครม. เพื่อให้ลงมติแต่งตั้งว่าใครจะเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนเจรจาฝ่ายไทย ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในระหว่างดำเนินการ

ส่วนข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ถ้าเกิดเราไม่เจรจาเรื่องเขตแดนก่อน นายกษิต กล่าวว่า เรามีเอ็มโอยู เพื่อจะเจรจาเขตแดนกับการสำรวจทรัพยากรทางธรรมชาติ ก็ต้องเจรจากันต่อไป และยังไม่ได้เริ่มเจรจา ก็อย่าไปเดาความว่าผลการเจรจาจะออกมาอย่างไร ที่วิพากษ์วิจารณ์กันก็ไม่ถูกต้อง ส่วนที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม บอกว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่ได้ยกเลิกเอ็มโอยู44 นั้น ตนคิดว่านายภูมิธรรมต้องไปอ่านมติ ครม.ใหม่ ศึกษาเรื่องราวให้ดี

ในฐานะที่เคยเป็นอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศมาก่อน มีข้อแนะนำสำหรับรัฐบาลปัจจุบันอย่างไร นายกษิต กล่าวว่า ตนคิดว่าเราทุกคนก็ต้องรักชาติ ต้องเอาผลประโยชน์ของชาติเป็นตัวตั้ง ทุกคนต้องทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ซื่อตรง ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่มีเรื่องส่วนตัวเข้ามา แล้วก็ปล่อยให้คณะผู้แทนเจรจาไป แต่อย่าให้มีนัยยะของการเมือง และผู้มีอิทธิพลเข้ามาแทรกแซง กลุ่มนี้ต้องไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง ปล่อยให้คณะผู้แทนไทยเจรจาต่อไป และผลการเจรจาก็แน่นอน ก่อนไปเจรจาก็คงต้องให้รัฐสภารับทราบ ให้ความเห็นชอบประกอบการเจรจา เมื่อผลการเจรจาคืบหน้าเป็นระยะๆ ก็ต้องกลับมารายงานที่รัฐสภา ในฐานะที่เป็นสังคมประชาธิปไตย

‘สนธิ ลิ้มทองกุล’ เปิดศึกท้ารบ ‘ทนายเดชา’ เหตุเชื่อว่า ลึก ๆ แอบฟอกขาวช่วย ‘ทนายตั้ม’

(5 พ.ย. 67) คลิปบางช่วงบางตอน นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ประกาศชักธงพร้อมรบกับ ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ เนื่องจากรู้สึกว่า การที่ทนายเดชา ไลฟ์เฟซบุ๊ก พูดเรื่องคดีมาดามอ้อย ตั้งข้อสังเกต เรื่องเงิน 71 ล้านบาท ทำไมถึงเพิ่งออกมาร้องเรียน บอกว่า สอบปากคำมาหลายครั้ง ไม่มีหมายจับ คดีจะหมดอายุความ นายสนธิ มองว่า ทนายเดชา ออกมาปั่นกระแส เพื่อให้คนหลงทิศ และลึก ๆ ก็เชื่อว่าช่วยทนายตั้ม

ทนายเดชา ได้มาร่วมออกรายการ "ถกไม่เถียง" ทางช่อง 7HD กด 35 (วานนี้) ยืนยันว่า ตนเองไม่เคยฟอกขาวให้ทนายตั้ม สาเหตุที่ นายสนธิ พาดพิงถึงอาจจะไม่พอใจที่ความเห็นไม่ตรงกัน พร้อมให้ตรวจสอบทุกกรณีว่า ไม่มีเรี่องสีเทา ยกเว้นปริมาณแอลกอฮอล์

‘เอกนัฏ‘ เผย รทสช.ไม่ขัดแก้ รธน. แม้ไม่มีนโยบายหนุน แต่ย้ำชัด!! ห้ามแตะหมวด 1,2 – มาตรการปราบโกง

’เอกนัฏ‘ เผย รทสช.ไม่ขัดแก้รธน. แม้ไม่มีนโยบาย แต่ขอห้ามแตะหมวด 1,2 – มาตรการปราบโกง เผย “พีระพันธุ์” ขอไปศึกษาข้อกฎหมาย-เอ็มโอยู 44 เพิ่มเติม ห่วงไทยเสียผลประโยชน์

(5 พ.ย. 67) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงการพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาล เมื่อวันที่ 4 พ.ย. ว่า ได้มีการพูดคุยกัน 2 เรื่อง คือ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยยังได้รับคำยืนยันว่า ในส่วนของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมจะไม่มีการแตะมาตรา 112 ซึ่งเป็นจุดยืนหลักของพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมด เราจะไม่สังฆกรรมไม่สนับสนุนและพร้อมจะขัดขวางทุกวิถีทางในเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 รวมไปถึงการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ต้องไม่นับรวมเรื่องมาตรา 112 และตนได้ชี้แจงในที่ประชุมว่า ในฐานะที่เป็นเลขาธิการพรรค รทสช. เรามีจุดยืนที่ชัดเจนตั้งแต่เริ่มหาเสียงว่า การแก้รัฐธรรมนูญไม่ใช่นโยบายหลักของพรรค แต่หากเป็นนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทยหรือพรรคร่วมรัฐบาลอื่น เราไม่ขัดข้อง แต่จะไม่ต้องแตะหมวด 1 และ 2 ของรัฐธรรมนูญ รวมถึงมาตรการการป้องปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ

นายเอกนัฏ กล่าวว่า ส่วนจุดยืนของพรรค รทสช.ต่อเรื่องการแบ่งผลประโยชน์พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชานั้น ภาพใหญ่ของพรรค รทสช. เรารักษาผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่สุดอยู่แล้ว ต้องไม่มีการนำพื้นที่อธิปไตยไปเจรจาต่อรองในทุกรูปแบบ ซึ่งเมื่อวันที่ 4 พ.ย. ซึ่งได้รับคำยืนยันในที่ประชุมพรรคร่วม ทั้งจากกระทรวงการต่างประเทศ และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ว่า ไม่ว่าผลการเจรจาจะออกมาแบบไหน จะรักษาผลประโยชน์ของประเทศ 

ส่วนสิ่งที่คนกังวลคือ เรื่องเกาะกูด ก็ได้รับคำยืนยันว่า เป็นของประเทศไทยแน่นอน ไม่ว่าการเจรจาจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม หรือจะยกเลิกเอ็มโอยู 44 เกาะกูดก็ยังเป็นของไทย เป็นจุดยืนของพรรคร่วมทั้งหมด ส่วนนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน จะต้องเข้าไปนั่งเป็นคณะกรรมการด้านเทคนิคฝ่ายไทยหรือไม่นั้น ตนยังไม่ทราบว่ามีใครบ้างที่จะนั่งเป็นคณะกรรมการ ทราบเพียงว่า เรื่องดังกล่าวเป็นการเดินหน้าต่อจากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปี 2557 และรัฐบาลทุกยุคก็ตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมาเพื่อไปเจรจากับกัมพูชา ส่วนผลการเจรจาเป็นอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง 

เลขาธิการพรรค รทสช. กล่าวว่า หลังประชุมพรรคร่วม ตนได้โทรศัพท์หานายพีระพันธุ์ สิ่งที่นายพีระพันธุ์ให้ความสำคัญคือ เรื่องเขตแดน เนื่องจากเป็นนักกฎหมาย จึงจะไปศึกษากฎหมายเพิ่มเติม ทั้งในตัวเอ็มโอยู 2544 และกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะเอ็มโอยู 2544 เดิมทีเป็นภารกิจของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานด้านความมั่นคง ในส่วนของกระทรวงพลังงานเป็นเรื่องการเจรจาผลประโยชน์ร่วม ซึ่งนายพีระพันธุ์ระบุว่า ในส่วนนี้ต้องดูให้ดี คำว่าผลประโยชน์ร่วมทุกฝ่ายก็อยากได้ ทำอย่างไรจะรักษาผลประโยชน์ของประเทศให้ได้มากที่สุด 

นอกจากนี้ นายพีระพันธุ์ ยังมีความกังวล เพราะเดิมทีการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลมีการสัมปทานไปก่อนหน้านี้ นายพีระพันธุ์จึงกำลังศึกษาอยู่ว่า หากเป็นไปแบบนั้นจริง ประเทศไทยจะได้ผลประโยชน์มากน้อยแค่ไหน เพื่อให้เกิดความอุ่นใจ เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เป็นเรื่องเขตแดนของประเทศ ซึ่งไม่เฉพาะพื้นที่บนเกาะกูดเท่านั้น แต่ในทางกฎหมายยังหมายรวมถึงพื้นที่ในทะเล หรือพื้นที่สิทธิประโยชน์ทางทะเล ถ้าเรายืนยันว่า เกาะกูดเป็นของไทย พื้นที่อื่นที่เกี่ยวเนื่องก็ต้องเป็นของไทยด้วย ซึ่งเป็นที่มาที่ไทยได้ประกาศพื้นที่ไหล่ทวีปเมื่อปี 2516 ไทยก็ต้องรักษาเขตแดนของเรา ส่วนการเจรจาผลประโยชน์ร่วมก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศเช่นกัน 

“ยังไม่ถึงกับว่า นายพีระพันธุ์ไม่สบายใจเรื่องนี้ เพียงแต่สไตล์การทำงานของท่านต้องศึกษาให้เกิดความละเอียดในทุกเรื่อง จนกว่าท่านจะมั่นใจ เพราะมันเป็นเรื่องข้อกฎหมาย มีกฎหมายระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง และทำกันมา 20-30 ปีแล้ว ทุกอย่างมันอยู่ในใจของเราอยู่แล้ว ต้องทำให้รอบคอบ อย่าให้ประเทศไทยเสียผลประโยชน์ ต้องไปดูว่า ที่ผ่านมาได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่”นายเอกนัฏ กล่าว

สส. โกงเกณฑ์ทหาร-ใช้ สด. 43 ปลอม อีกหนึ่งความมัวหมองของนักการเมืองไทย

(5 พ.ย. 67) คนไทยที่มีหัวใจเป็น “ลูกผู้ชายตัวจริง” ถ้าไม่ได้ผ่านการเรียน รด. ครบ 3 ปี เมื่อถึงเวลาก็ต้องไปเกณฑ์ทหารตามปกติเฉกเช่น “ผู้ชายไทย” ทั่วไป จึงจะถือว่าเป็นผู้ชายที่ไม่เอาเปรียบเพื่อนชายไทยด้วยกัน และยังได้ชื่อว่าเป็นคนไทยที่มีความกล้าหาญ มีความสุจริตใจ พร้อมที่จะปฏิบัติตนตามกฎกติกาของสังคม   

บางคนร่างเป็นชาย กายอยากเป็นหญิง แม้ร่างกายจะซ่อนความตุ้งติ้งไว้ภายใน แต่เมื่อมีหัวใจที่เข้มแข็งไม่แพ้ชายไทยแท้ ก็มีทั้งเลือกเรียน รด. ตอนชั้นมัธยมปลาย และมีทั้งรอไปเกณฑ์ทหารเสี่ยงจับใบดำใบแดง ก็ต้องยกย่องว่าเป็น “คนดีของสังคมไทย” ในแบบหนึ่ง

ส่วนผู้ชายไทย ที่ รด. ก็ไม่เรียน ขณะที่เพื่อน ๆ ต้องลงทุนแต่งชุด รด. อดทนถือหนังสือคู่มือนักศึกษาวิชาทหารเล่มหนาเกือบครึ่งฝ่ามือ โหนรถเมล์ไปฝึกสัปดาห์ละหนึ่งวันเป็นเวลายาวนานถึงสามปี และในตอนใกล้จบหลักสูตรก็ต้องไปฝึกภาคสนามที่ “เขาชนไก่” จังหวัด กาญจนบุรี อีกเจ็ดวันเต็ม ๆ แล้วพอถึงเวลาที่ตนเองต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร ก็ยังหนี หรือโกงอีก นอกจากจะมีความผิดทางกฎหมาย ยังมองเห็นความผิดปกติในเรื่องของ “นิสัยใจคอ” สะท้อนออกมาอย่างเด่นชัดถึงการเป็นคนที่ชอบ “โกงเวลาชีวิตของคนอื่น” คนประเภทนี้ขาดความเสียสละ แล้งน้ำใจ ขาดความเคารพนับถือทั้งต่อตนเอง และสังคมส่วนรวม ถือเป็นคนที่ไม่น่าคบค้าสมาคม

ผู้ชายที่แค่การเกณฑ์ทหารยังหนี ยังโกง ไม่จำเป็นต้องมีอาชีพที่สูงส่งหรอก แค่มีอาชีพ “หาเช้ากินค่ำ” ก็ยังไม่พ้นข้อหาน่ารังเกียจไปได้ เพราะถือว่าเป็นผู้ชายที่มีพฤติกรรมที่เอาเปรียบสังคม 

แต่ถ้ามีอาชีพเป็นถึง “นักการเมือง” ได้กินเงินเดือนจากภาษีอันเหนื่อยยากของประชาชน แต่มาถูกขุดคุ้ยว่าเคยหนีการเกณฑ์ทหาร แถมยังโกหกสังคมด้วยการโชว์ใบ สด.43 ปลอมอีก ต้องถือว่าเป็นนักการเมืองในระดับ “ชั่วเรียกพี่” นอกจากสมควรต้องได้รับโทษทางกฎหมาย เงินเดือนที่ได้รับจากภาษีของประชาชนมาตลอดการเป็น ส.ส. สมควรต้องคืนหลวงให้ครบทุกบาททุกสตางค์ 

ถ้าไม่มีเงิน ก็ลองไปขอเรี่ยไรจาก “คน 14 ล้าน” ที่ยังหูหนวกตาบอดอยู่ หรือไม่ก็ไปปรึกษา “ทนายนักต้มตุ๋นสังคม” ที่กำลังเป็นข่าวดู ถามเขาว่าเมื่อถูกผู้คนจับได้ไล่ทันแล้วว่าเป็นคนที่ “ปลิ้นปล้อน” สถานการณ์แบบนี้ควรทำตัวอย่างไรดี 

เพราะถึงอยู่ ก็ไม่สู้ตายดีกว่า อยู่แบบหมา มันเสียชาติชาย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top