Wednesday, 7 May 2025
POLITICS NEWS

"คุณสนธิบอกว่าการเมืองใกล้สุกงอม ผมก็หวังว่าสังคมไทยจะสุกงอมทางความคิดด้วยเช่นกัน ว่าการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลไทยรักไทยจนถึงเพื่อไทย ล้วนนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงโดยอำนาจนอกระบบ ซึ่งเกิดความเสียหายร้ายแรงจนถึงปัจจุบัน"

(26 พ.ย. 67) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณี นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตร พยายามนำประเด็นเรื่องเอ็มโอยู 44 มาปลุกระดมมวลชนลงถนน และจะมายื่นหนังสือที่ทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 2 ธ.ค.นี้ ว่า มีคนถามว่ากำลังจะมีการชุมนุมบนท้องถนนหรือไม่ และรัฐบาลเตรียมการรับมืออย่างไร

คุณสนธิ ลิ้มทองกุล กับพวก มีสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ และมีศักยภาพในการเคลื่อนไหวมวลชน แต่ผมคิดว่าการประกาศลงถนนคงไม่ใช่เร็วๆนี้ เพราะยังไม่มีข้อบ่งชี้ว่าการชุมนุมขนาดใหญ่แบบหลายๆปีก่อนจะเกิดขึ้นง่ายๆ

การปลุกประเด็นเรื่องชาตินิยมแม้จะมีผลกับคนส่วนหนึ่ง แต่ยังไม่ใช่วาระของคนส่วนใหญ่ เพราะขั้นตอนการเจรจาใดๆกับประเทศเพื่อนบ้านยังไม่เริ่ม และหากมีการดำเนินการรัฐบาลก็จะทำอย่างชัดเจนโปร่งใส โดยมีทรัพยากรปิโตรเลียมกว่า 10 ล้านล้านบาท ที่จะนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของประเทศเป็นเป้าหมาย

คุณสนธิบอกว่าการเมืองใกล้สุกงอม ผมก็หวังว่าสังคมไทยจะสุกงอมทางความคิดด้วยเช่นกัน ว่าการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลไทยรักไทยจนถึงเพื่อไทย ล้วนนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงโดยอำนาจนอกระบบ ซึ่งเกิดความเสียหายร้ายแรงจนถึงปัจจุบัน

ในมุมของรัฐบาลย่อมไม่ประสงค์การเผชิญหน้า ไม่ปรามาส ไม่ท้าทายกลุ่มใดๆ การทำงานยังเป็นช่วงเริ่มต้น นายกรัฐมนตรีกำลังจะแถลงผลงาน 90 วันแรก และประกาศนโยบายด้านเศรษฐกิจอีกหลายเรื่องเพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ยังตั้งความหวังกับการทำงานของพรรคเพื่อไทย

การส่งสัญญาณเคลื่อนไหวครั้งนี้ แม้จะมาจากคนกลุ่มเดิม ด้วยประเด็นและวิธีการแบบเดิม แต่บริบททางการเมืองต่างออกไป นี่คือรูปธรรมหนึ่งของการเมือง 3 ก๊กที่ผมเคยตั้งข้อสังเกตุไว้ 

พรรคร่วมรัฐบาล และพรรคร่วมฝ่ายค้านปัจจุบัน เป็นการร่วมกันด้วยกลไกอำนาจ กติกา และสถานการณ์ ไม่ใช่การหลอมรวมทางอุดมการณ์ ความสัมพันธ์ของทั้ง 3 ก๊กจึงมีทั้งส่วนที่เผชิญหน้า และประสานประโยชน์กัน

ที่กำลังเคลื่อนไหวเรื่องการชุมนุมอยู่นี้คือก๊กอนุรักษ์นิยม (ยังไม่มีพรรคไหนเป็นตัวแทนชัดเจน)

แม้พลังของก๊กนี้จะเลือกพรรคการเมืองที่กำลังร่วมรัฐบาลกับก๊กเพื่อไทย แต่ไม่ยอมรับการนำของเพื่อไทย และยังมีความรู้สึกเป็นฝ่ายตรงข้ามเหมือน 20 ปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันบนเวทีนอกจากวิจารณ์เพื่อไทย ยังโจมตีก๊กพรรคประชาชนด้วย เพราะไม่เอาก๊กนี้เช่นกัน

หากมีการเคลื่อนไหวมวลชนต้านรัฐบาลเพื่อไทย อาจเป็นได้ที่จะมีกองเชียร์ก๊กพรรคประชาชนบางส่วนเข้าด้วย เพราะเคยร่วมก๊กอนุรักษ์นิยมมาก่อน 

โดยลักษณะทางมวลชน ที่ออกจากก๊กเพื่อไทยส่วนใหญ่เข้าก๊กพรรคประชาชน ส่วนจากก๊กอนุรักษ์นิยมจะไม่เข้าก๊กเพื่อไทย แต่ไหลเข้าก๊กพรรคประชาชนด้วย และอาจไหลกลับก๊กอนุรักษ์นิยมอีกได้ ถ้าสถานการณ์มาถึง  

ผมไม่คิดว่าจะมีม๊อบใหญ่ ที่ควรจะเป็นคือแต่ละก๊กสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ เพราะยังมีประชาชนอีกมากที่ไม่ได้ยึดติดผูกพันกับก๊กไหน แล้ววัดกันในสนามเลือกตั้ง ผลงานจะเป็นตัวชี้ขาดชัยชนะ

แต่อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเกิดสถานการณ์ชุมนุมต้านรัฐบาลนี้ โดยคนกลุ่มเดิมวิธีการเดิมเมื่อ 20 ปีก่อน ปรากฏการณ์ทางมวลชนแต่ละก๊กจะเป็นเช่นไร

‘สนธิ’ ประเมิน!! การเมืองใกล้สุกงอม พร้อมลงถนน ถ้าจำเป็น จวก!! การเมืองโจรสีเทา เล็งเข้าพบ ขอคำตอบจาก ‘แพทองธาร’

(24 พ.ย. 67) นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการและเจ้าของรายการสนธิทอล์ค กล่าวถึงการประกาศทิศทางทางการเมือง ในการจัดงาน ‘ความจริง มีหนึ่งเดียว เพื่อชาติ ครั้งที่ 4’ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันนี้ ว่าหลักๆ แล้วผู้ปราศรัยแต่ละคนจะมีประเด็นที่พูดถึงสังคมและชาติบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียอธิปไตยของชาติ MOU 44 กฎหมายใหม่ ข้อตกลงใหม่ของ WHO องค์การอนามัยโลก จะเป็นผลร้ายต่อประเทศอย่างไร และส่วนตัวจะเป็นคนพูดสรุปปิดท้าย พยายามชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ไม่จำเป็นว่าจะเป็นรัฐบาลการเมืองหรือรัฐบาลทหาร ยังมีปัญหาที่คนไทยทุกคนต้องทนกับมันมาตลอด โดยไม่มีใครเข้ามาแก้ไข กระบวนการยุติธรรมที่ล้มเหลวทุกอย่าง โดยจะยกตัวอย่างหลายเรื่อง เช่น กรณีทนายตั้ม การฉ้อโกงที่มีมากอย่างผิดปกติ เรื่อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังไม่จบ เรื่องเขากระโดง ซึ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ทำให้คนไทยช้ำใจที่ศาลฎีกาพิพากษาแล้วว่าเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย แต่อธิบดีกรมที่ดินออกมาแถลงว่าไม่ใช่ จึงจะชี้ให้ประชาชนเห็นทุกอย่าง วันนี้คือประเทศไทยที่เราอยู่มา และตั้งคำถาม ถามว่าเราอยากจะอยู่ในประเทศนี้หรือไม่ จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปหรือต้องหาวิธีคิดที่จะทำอะไร เพื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศ เพราะทุกวันนี้นักการเมืองไม่ได้สนใจอะไร การเมืองประชาธิปไตยในบ้านเรา สามารถตั้งพรรคการเมืองกันได้ง่าย ไม่พอใจไปตั้งพรรคซึ่งไม่ใช่การเมืองที่สร้างสรรค์และคนที่เข้ามาในการเมืองแต่ละคนไม่เหมือนต่างชาติ ระบอบการเมืองไทยเปิดโอกาสให้โจรคนสีเทา คนมีเงินเข้ามาเล่นการเมือง และเมื่อมีอำนาจทางการเมืองก็จะเกิดเหตุอย่างเช่น เขากระโดง

นายสนธิยังประเมินสถานการณ์การเมือง ณ วันนี้ว่า ตอนนี้พรรคเพื่อไทยฟาดฟันพรรคภูมิใจไทย เรื่องเขากระโดง เพราะต้องการเกิดการต่อรองเรื่อง สนามกอล์ฟอัลไพน์ ซึ่งการเมืองมีอยู่แค่นี้ มีแต่ความเลวทราม และตนจะพูดถึงชั้น 14 ด้วยว่าเป็นไปได้อย่างไร ถือเป็นการขยี้กระบวนการยุติธรรมไทย ตนคิดว่าถึงเวลาต้องรวบรวมกลุ่มคนที่เห็นด้วยหาวิธีการว่าจะทำอย่างไรให้สังคมไทยหรือนักการเมืองเลวๆ ได้รับรู้

ส่วนการรวบรวมคนจะมีม็อบหรือไม่ นายสนธิ กล่าวว่า ไม่รู้ ต้องวัดไปตามสถานการณ์ อย่าตั้งคำถามว่าจะให้ตนออกถนนหรือเปล่า เพราะไม่รู้ ตนไม่อยากลง แต่ถ้าจำเป็น เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตก็จะทำ ซึ่งตอนนี้เริ่มร้อนแรงแล้ว อาจต้องรอให้เดือดกว่านี้อีกนิดหน่อย และคิดว่าสถานการณ์ขณะนี้สำหรับประชาชนอย่างตนใกล้สุกงอมแล้ว แต่สำหรับนักการเมือง พรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย ดูรายงาน สว.สีน้ำเงิน ไม่มีใครแตกถ้านักการเมืองคุม สส. สว. ได้ แล้วประเทศไทยจะเหลืออะไร

เมื่อถามถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีบอกว่าพร้อมคุยกับนายสนธิและทุกฝ่ายนั้น นายสนธิ กล่าวว่า ได้เตรียมตัวแล้ว โดยจะรวบรวมเรียบเรียงคำร้องเรียนที่จะพูด เพื่อจะเข้าพบนายกรัฐมนตรี จะยื่นรายละเอียดให้ดู และจะถามคำตอบอย่างตรงไปตรงมาในหลายเรื่อง ซึ่งทุกอย่างต้องมีจุดเริ่มต้น

‘ทนายวันชัย’ โพสต์เฟซ!! ถึง ‘นักร้อง’ กรณีศาลรัฐธรรมนูญ ชี้!! ถูกตบคว่ำ หมอไม่รับเย็บ จุดอย่างไรก็ไม่ติด ท่านไม่เอาด้วย

(24 พ.ย. 67) ทนายวันชัย สอนศิริ โพสต์เฟซบุ๊ก เกี่ยวกับ ‘นักร้อง’ โดยมีใจความว่า ...

สมน้ำหน้า นักร้องถูกตบกระบาลหน้าคว่ำ หมอไม่รับเย็บ....

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ยกคำร้องว่าพรรคเพื่อไทยและคุณทักษิณไม่ได้ล้มล้างการปกครอง เป็นการตบกระบาลเปรี้ยงไปยังบรรดานักร้องจนหน้าคว่ำคะมำไปตาม ๆ กัน แท้ที่จริงนักร้องพวกนี้คือพวกที่พยายามจะล้มล้างและเซาะกร่อนบ่อนทำลายรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา หาเรื่องจับแพะชนแกะ โยงเรื่องโน้นเรื่องนี้สารพัดให้เป็นประเด็น เป็นนิติสงคราม เรื่องไม่เป็นเรื่องก็ทำให้เป็นเรื่อง คำวินิจฉัยในวันนี้ชี้ให้เห็นได้ว่า อย่าร้องกันมั่ว ๆ ส่งเดช ไม่เข้าท่าเข้าทาง

คนพวกนี้สู้ในสภาก็ไม่ได้ จะจัดม๊อบนอกสภาก็ไม่ไหว ทำอย่างไรก็จุดไม่ติด การร้องศาลรัฐธรรมนูญก็คงเป็นวิธีเดียวที่คนพวกนี้จะทำได้ เคยได้ผลเรื่องคุณเศรษฐามาแล้วก็เลยได้อกได้ใจ หวังว่าจะเอาศาลรัฐธรรมนูญมาเป็นเครื่องมือกำจัดรัฐบาลเหมือนที่เคยทำได้ แต่ศาลท่านไม่เอาด้วย ยิ่งผลคะแนนที่ออกมานั้นมันเกือบจะเอกฉันท์เต็มร้อย ทำให้ไอ้ห้อยไอ้โหนประเภทนักร้องที่จะเล่นเกมแบบนี้ต่อไปคงไม่ได้ ทำให้หน้าแหกหมอไม่รับเย็บ

สถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ เพื่อไทยและคุณทักษิณก็อย่างมัวกระหยิ่มยิ้มย่อง ต้องใช้โอกาสนี้สปีดการทำงานให้เต็มสูบ เรื่องปราบปรามยาเสพติด แก้ปัญหาเศรษฐกิจ การทำมาค้าขาย ต้องเห็นผลให้ได้ภายในเดือนสองเดือนนี้ ศาลท่านก็ยกคำร้องแล้วว่าคุณทักษิณไม่เกี่ยวกับเรื่องครอบงำชี้นำอะไรทั้งนั้น ลุยได้ต้องลุย เดินเครื่องได้ต้องเดิน เพื่อไทยเป็นรัฐบาลนะ ไม่ใช่เป็นฝ่ายค้าน ผลงานต้องมี ไม่ใช่มีแต่น้ำลายพ่นกันไปวันๆ เวลาก็เหลือเพียงสองปีเศษ จะเอาสองร้อยเสียงขึ้นไป ต้องไม่ใช่เป็นอย่างเช่นทุกวันนี้ คนเขารอผลงานและการแก้ปัญหาอยู่ อย่าให้เขารอนานไปกว่านี้ ไม่อย่างนั้นทักษิณก็ทักษิณเถอะ เพื่อไทยก็เพื่อไทยเถอะ ยังขืนอืดอาดยืดยาด...ระวังจะโดนเหมือนที่เคยโดนมาแล้ว

‘ดร.ปวิน’ สวนเดือด!! ‘นางแบก’ ด่าพรรคส้ม ลั่น!! ไม่เคยจับมือ กับ ‘คนทำลายประชาธิปไตย’

(24 พ.ย. 67) ศ.ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเกียวโต ได้โพสต์ข้อความ ‘แรง’ โดยมีใจความว่า ...

ความน่ารังเกียจของ E นางแบกบางตัว คือการสร้างวาทกรรมว่า พรรคส้มคือจุดสุดยอดของความ Jungไรทางการเมือง ทั้ง ๆ ที่ตัวคุณและพรรคที่คุณสนับสนุนคือ ความ Jungไรทางการเมืองของแท้ อย่างน้อยพรรคส้มก็ไม่เคยจับมือกับคนที่ทำลายประชาธิปไตย คือแทนที่คุณจะไปด่า E พวกทำลายประชาธิปไตยเหล่านั้น กลับมาจิกกัดพรรคที่สมควรได้จัดตั้งรัฐบาล edok 

หลุดปม!! คดีล้มล้างฯ ภาค 2 นาทีทอง ‘อุ๊งอิ๊ง – ระบอบทักษิณ’

(24 พ.ย. 67) กรณีนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อาศัยรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องที่ 1(ทักษิณ ชินวัตร)และผู้ถูกร้องที่ 2(พรรคเพื่อไทย) ยุติการกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และศาลรธน.ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 22 พ.ย.2567 นั้น มีข้อมูลและเหตุการณ์ที่ควรจะได้บันทึก-ขีดเส้นใต้วิเคราะห์เป็นข้อ ๆ พอเป็นสังเขป

1) ภาพรวม ศาลรธน.มีมติ 'ไม่รับไว้พิจารณาวินิจฉัย' คำร้องประเด็นที่ 1,และประเด็นที่3-6 (กรณีชั้น 14 และครอบงำ ชี้นำ) เป็นเอกฉันท์หรือ9ต่อ0  และมีมติ 7 ต่อ2 ไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ในประเด็นที่ 2 (กรณีพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา) คีย์เวิร์ดที่ศาลรธน.ไม่รับคำร้องทั้ง 6 ประเด็นอยู่ตรงข้อความ “แต่การพิจารณาว่าบุคคลใดจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อการล้มล้างฯ ตามมาตรา 49 วรรคหนึ่ง จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงชัดเจนเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมายและความประสงค์ระดับที่วิญญูชนคาดเห็นได้ว่า  น่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างฯ โดยการกระทำนั้นจะต้องกำลังดำเนินอยู่และไม่ห่างไกลเกินกว่าเหตุ”

อีกทั้งประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 3-6  ศาลรธน.เห็นว่ายังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอ

2) น่าขีดเส้นใต้กรณีประเด็นที่ 2 ที่มีบุคคลยิ่งกว่าวิญญูชนอย่างตุลาการศาลรธน. 2 ท่าน (นายจิรนิต หะวานนท์ และนายนภดล เทพพิทักษ์) เห็นว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอ ซึ่งจากกรณีนี้มีนักกฎหมายหลายคนเห็นว่าหากมีการยื่นคำร้องตามรธน.มาตา 49 อีกครั้ง โดยผนวกรวมกับประเด็นที่ 1 (กรณีชั้น14) โดยเพิ่มพยานหลักฐานให้น่าเชื่อถือมากขึ้น ศาลรธน.อาจรับไว้พิจารณาก็ได้

3) มีรายงานข่าวทั้งทางเปิดและทางลับว่านายธีรยุทธจะนำข้อมูล-ประเด็นต่าง ๆ ที่ทำไว้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการยื่นคำร้องในช่องทางอื่น ๆ ต่อไป เขาได้ประกาศแล้วว่าการที่พรรคเพื่อไทยเตรียมฟ้องชุดใหญ่ไฟกะพริบไม่เป็นปัญหาเพราะทำด้วยสุจริตใจ สำหรับพรรคเพื่อไทยการประกาศ ‘เอาคืน’ นายธีรยุทธและผู้เกี่ยวข้องด้วยการฟ้องชุดใหญ่ กล่าวอย่างถึงที่สุดนักสังเกตการณ์ทางการเมืองส่วนใหญ่เห็นว่า ‘ไม่หล่อ’ เอาซะเลย!! 

4) ผลจากศาลรธน.ไม่รับคำร้องครั้งนี้ โดยภาพรวมฝ่ายต่าง ๆ เห็นว่าศาลเป็นกลางน่าเชื่อถือ แต่แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ออกมาทำให้พรรคเพื่อไทย ตัวนายทักษิณ ชินวัตร เหมือนพยัคฆ์ติดปีก ถูกปลดล็อกจากเงื่อนปมมรณะไปได้ แม้จะมีคดีอื่น ๆ ที่มีการร้องเรียนผ่านป.ป.ช.,กกต.แต่กว่าจะทราบผลก็ต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน...นานพอที่จะทำให้ 'ระบอบทักษิณ' ที่คืนชีพได้ในเบื้องต้นแล้วในวันนี้ลงหลักปักฐานได้อีกครั้ง   

5) กล่าวได้ว่าผังอำนาจ-สมการการเมืองของประเทศในขณะนี้ ปฏิเสธได้ยากว่ากลุ่มอนุรักษ์นิยมยังต้องใช้บริการ ‘พรรคเพื่อไทย’ ของทักษิณเป็นแกนนำรัฐบาลในการหยุดหรือตรึงพรรคส้ม..ปมปัญหาตรงนี้ว่าไปแล้วทำให้ประเทศไทยต้องมี 'ค่าใช้จ่าย' ให้กับระบอบทักษิณ..ทั้งความขัดแย้งในสังคมที่ปฏิเสธระบอบทักษิณ, กระบวนการยุติธรรมที่ถูกด้อยค่า..ฯลฯ..

6) แม้จะมีความรู้สึกของผู้คนไม่น้อยว่า ความรู้ ความสามารถในการเป็นนายกฯสองเดือนเศษยังไม่ผ่านหรือเป็นไปด้วยความทุลักทุเล แต่ภาษากายของนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ในขณะนี้บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังมีความคึกคัก มีความมั่นใจกับบทบาท-ตำแหน่ง จนแทบจะอ่านใจนายกฯได้เลยว่าเธอขอเวลาอีก3-4เดือน ทุกอย่างจะเข้าที่...ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เองเมื่อปมศาลรธน.ถูกถอดสลัก..เป็นโชคดีที่ตัวนายทักษิณมีเวลาที่จะฟูมฟัก  เสริมวิทยายุทธ ‘อุ๊งอิ๊ง’ ..อย่างช้าผ่านไตรมาสแรกปี2568 อาจจะเห็น ‘นิวอุ๊งอิ๊ง’

7) ซาวเสียงกูรูการเมือง นักสังเกตการณ์ทางการเมืองและแกนนำพรรคเพื่อไทยบางคน..สามารถสรุปได้ว่าถ้าไม่เกิดเหตุทางการเมืองแบบฟ้าถล่มดินทลาย ช่วงกลางหรือปลายปี 2568 หรือต้นปี 2569 อาจจะเกิดการยุบสภา...ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะทวงแชมป์เลือกตั้งกลับมาได้ และ ‘อุ๊งอิ๊ง’ จะเป็นนายกฯอีกรอบ

8) ช่วยกันดูแลประเทศไทย

‘พรรคส้ม’ อาจถึงทางตัน! ถอยไม่ได้ไปต่อลำบาก เหตุติดกับดักความสุดโต่ง หวังอีกเฮือกเลือก ‘นายกอบจ.’

“...หากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งแลนด์สไลด์ ย่อมได้เป็นรัฐบาลอย่างสง่างาม ไม่โดนพรรคร่วมขี่คอ แต่คุณทักษิณอาจยังไม่ได้กลับบ้าน เพราะ หากพรรคเพื่อไทยยังน่าเกรงขาม การเจรจาให้เหล่าชนชั้นนำเห็นพ้องกันหมดยอมให้คุณทักษิณกลับบ้าน คงเป็นไปได้ยาก

แต่พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งลำดับที่หนึ่ง กลับเป็นปัจจัยชี้ขาดที่ทำให้คุณทักษิณได้กลับบ้าน เพราะ ชนชั้นนำทุกฝ่ายต้องสนธิกำลังสกัดพรรคก้าวไกล ไม่ให้เป็นรัฐบาล..”

เป็นมุมคิดมุมรู้สึกล่าสุดของอ.ปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่  ตรรกะก็คือ..ประโยคสำคัญก็คือเพราะพรรคก้าวไกลเป็นแชมป์เลือกตั้งทำให้พรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำรัฐบาลและทักษิณได้กลับบ้าน..ซึ่งจะว่าไปก็ถูกต้อง แต่ไม่ถูกทั้งหมด..

หากจะว่าไปให้ถึงที่สุด  หากพรรคก้าวไกล(ขณะนั้น)ไม่ชูธงการแก้ไขมาตรา 112 แบบสุดโต่ง(แก้แบบยกเลิก) และมีแนวร่วมเครือข่ายแบบ ‘ปฏิกษัตริย์นิยม’ ที่เรียกขานกัน..โอกาสที่จะได้จัดร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่กับพรรคอื่นๆก็พอมี...

7 ส.ค.2567 ที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลถูกยุบ ลอกคราบเป็นพรรคประชาชน แม้จะโหมประโคมว่า ‘ยิ่งยุบยิ่งโต’เลือกตั้งรอบหน้าจะโตเป็นสองเท่าหรือ 300 เสียง...แต่เมื่อเหลียวหลังแลหน้าดูแล้วก็ต้องฟันธงว่า..ยากมากถึงยากที่สุด...รักษาตัวเลข 151เสียง เท่ากับผลเลือกตั้งปี 2566 เอาไว้ได้ก็น่าจะเก่งแล้ว..

ทั้ง ๆ ที่สถานการณ์-เงื่อนไข เหตุปัจจัยต่าง ๆ โดยเฉพาะปัจจัยจากพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ ก็ไม่ได้มีความพร้อมพรึ่บ...แต่ปัญหา ‘ความสุดโต่ง’ ความแข็งตัวในแนวคิดเกี่ยวกับสถาบันสำคัญ คือการติดกับดักตัวเอง ที่ทำให้พรรคประชาชนก้าวไม่ไกลที่ควรจะเป็น..

เมื่อเร็ว ๆ นี้พรรคประชาชนประกาศชักธงรบชิงนายกอบจ.ล็อตใหญ่ที่จะเลือกกันวันที่ 1 ก.พ.2568 จำนวน 12 จังหวัด ที่มีเป้าหมาย/โอกาสจะชนะ จากจำนวนที่จะเลือกกันทั้งหมด 47 จังหวัด..

12 จังหวัดที่พรรคประชาชนจะลงชิงชัยนายกอบจ.ประกอบด้วย..ประกอบด้วย  

1. นายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ เชียงใหม่ 2. นายวีระเดช ภู่พิสิฐ ลำพูน 3.นายสุพจน์ สุอริยพงษ์ มุกดาหาร 4.นายอุรุยศ เอียสกุล หนองคาย 5. นายชลธี นุ่มหนู ตราด 6. นพ.เลอศักดิ์ ลีนะนิธิกุล อบจ.ภูเก็ต 7. นพ.จิรชาติ เรืองวัชรินทร์ สุราษฎร์ธานี 8. นายสุทธิโชค ทองชุมนุม พังงา 9. นายนิรันดร์ จินดานาค สงขลา 10.นางสาวนันทิยา ลิขิตอำนวยชัย สมุทรสงคราม 11. นายนพดล สมยานนทนากุล สมุทรปราการ และ 12.นายเลิศมงคล วราเวณุชย์ นนทบุรี

ว่ากันว่าใน 12 ผู้สมัคร..มีเพียงนันทิยา ลิขิตอำนวยชัย ว่าที่ผู้สมัครอบจ.สมุทรสงคราม ที่พอจะเห็นแสงสว่างชัยชนะปลายอุโมงค์ เหตุเพราะนายกอบจ.สายลุงป้อมคะแนนสาละวันเตี้ยลง...ที่เหลืออาจจะมีลุ้นสัก 1- 2 แห่ง

รวมความแล้ว..พรรคส้มต้องไปปรับกระบวนท่า ปรับยุทธศาสตร์ยุทธวิธีกันใหม่..แต่ต้องเริ่มต้นจากการตั้งโจทย์ประเทศให้ถูกต้อง สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง...เช่นถ้าสมมุติตั้งโจทย์ว่าปัญหาของประเทศคือสถาบันฯ แล้วชักธงรบ..ก็แพ้ตั้งแต่ในมุ้ง ต้องก้าวข้ามความคิดนี้รวมทั้งการตั้งเป้ายกเลิก มาตรา 112..

อย่าคิดตายตัว ท่องคาถาว่า...เวลาอยู่อย่างข้างเรา คนรุ่นใหม่...เพราะพรรคอื่นเขาก็มีคนรุ่นใหม่เหมือนกัน ในขณะที่คนรุ่นใหม่ของพรรคส้มก็เริ่มเสพติดกาแฟสภา หอมกลิ่นอำนาจ..ดังนั้นก็จงอยู่กับความเป็นจริงใช้อำนาจใช้พลังของพรรคอันดับหนึ่งในขณะนี้ให้สร้างสรรค์ ทรงพลัง ไม่หมกมุ่นอยู่กับ มาตรา 112 หรือการแก้รธน.เป็นหลัก..

นักสังเกตการณ์ส่วนใหญ่เชื่อว่า ถ้าพรรคส้มออกจากกับดักที่ว่าได้ ก็จะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ...แต่ถ้ายังติดกับดักเดิม ๆ ก็คงอยู่ในสภาพ..ถอยหลังไม่ได้ เดินต่อไปก็ไม่ถึง(ฝัน)!!

‘ชัยวุฒิ’ โพสต์เตือน!! ‘เจ้าของบ้าน’ ชี้!! มีหมาเห่า ทำให้เราไม่ Ship หาย

เมื่อวานนี้ (22 พ.ย. 67) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับ ‘หมา’ โดยมีใจความว่า ...

เวลามีโจรเข้ามาปล้นบ้าน หมามันจะเห่า เพื่อเตือนเจ้าของบ้าน และไล่โจร ออกไป เวลาหมาเห่าเราจึงต้องออกไปดู ว่ามันเห่าทำไม ถ้าเราไม่กังวลเรื่องหมาเห่าเลย เราจะ Ship หาย โจรปล้นบ้านได้ นะครับ 

ปล.คนรักหมา อย่าไปด่าหมา ครับ

ผู้ที่ได้อ่านข้อความนี้ของนายชัยวุฒิ ก็น่าจะได้เห็นถึงประโยชน์ของการมี ‘หมา’ ไว้เฝ้าบ้าน ฉะนั้นการที่มีหมาเห่านั้น มันไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่เป็นเรื่องที่ดี ที่มี ‘หมา’ คอยระวังรักษาผลประโยชน์ให้เรา ไม่ให้ ‘โจร’ มันมาปล้นเราได้

จับตา ‘นายกฯแบน’ ขยับลงชิงนายกฯอบจ.สงขลา ‘ภูมิใจไทย’ ส่งชิมลาง ก่อนรุกคืบเลือกตั้งสนามใหญ่

จับตาการขยับตัวของ นายกฯแบน หรือ นายประสงค์ บริรักษ์ อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองเขารูปช้างหลายสมัย

นายกฯแบนบริหารเทศบาลเมืองเขารูปช้างมาหลายสมัย แต่มาแพ้ให้กับเด็กนิพนธ์ บุญญามณี

นายกฯแบนหันไปลงการเมืองสนามใหญ่ ลงสมัคร สส.เขต 1 สงขลา ในนามพรรคภูมิใจไทย แต่แพ้ให้กับสรรเพชญ บุญญามณี ลูกชายของนิพนธ์

เมื่อไพเจนประกาศถอย ไม่ลงรักษาแชมป์นายกฯอบจ.สงขลา เปิดทางให้สุพิศ พิทักษ์ธรรม ลง

เส้นทางของสุพิศไม่ได้ปูลาดด้วยกลีบกุหลาบ แม้ไพเจนจะเปิดทางให้ก็ตาม เมื่อสายภูมิใจไทยเริ่มเห็นช่องทาง ก็เริ่มขยับตัว มีการพูดถึงนายกฯแบน ที่พอจะสู้ไหว แม้เงินทองจะอู้ฟู่สู้สุพิศไม่ได้ แต่องคาพยพของภูมิใจไทยก็ไม่ธรรมดา ถ้าพรรคคิดจะสู้

วันนี้ภูมิใจไทยเพียงแค่รอผลการเลือกตั้งนายกฯอบจ.นครศรีฯ ถ้าผลการเลือกตั้งออกมา 'น้ำ-วาริน ชิณวงศ์' ชนะการเลือกตั้ง แน่นอนว่า ภูมิใจไทยจะต้องส่งตัวแทนลงชิงนายกฯอบจ.สงขลา และสายตาก็เพ่งเล็งไปยังนายกฯแบน

มองไปถึงสนามเลือกตั้งใหญ่ ภูมิใจไทยหวังขยายฐานเพิ่มอีกหลายจังหวัดในภาคใต้ ภายใต้การนำทัพของพิพัฒน์ รัชกิจประการ จังหวัดใหญ่อย่างสุราษฎร์ฯ นครศรีฯ และสงขลา ย่อมเป็นพื้นที่เป้าหมาย แค่ 3 จังหวัดมี สส.20 กว่าคน

การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ภูมิใจไทย ก็เข้าไปตีฐานของประชาธิปัตย์ได้หลายที่นั่ง สุราษฎร์ธานี 1 นครศรีฯ 2 และสงขลา 1 ที่นั่ง

การปูฐานจากสนามท้องถิ่นจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องค่อย ๆ ขยับขึ้นมา 'ณัฏฐ์ชนนท์ ศรีก่อเกื้อ' ได้ก่อหัวเชื้อไว้ให้ภูมิใจไทย เป็นสมัยที่ 2 แล้วในจังหวัดสงขลา ถ้าเข้ามายึดหัวหาด อบจ.ไว้ได้ อนาคตการจะขอพื้นที่ สส.เพิ่มในจังหวัดสงขลา จึงเป็นเรื่องไม่น่ายากในสถานการณ์ที่ประชาธิปัตย์ร่อแร่

ประชาธิปัตย์ร่อแร่กับการถูกโรคร้ายรุมกัดกิน ขัดแย้งกันเองในพรรค ผู้นำพรรคตระบัดสัตย์ การตัดสินใจนำพาพรรคเข้าร่วมรัฐบาลทายาททักษิณ เหล่านี้ล้วนเป็นเหตุผลให้ประชาธิปัตย์อ่อนแอ

เมื่อร่างกายอ่อนแอเป็นธรรมดาที่จะถูกจู่โจมเข้าโรมรัน อันเป็นสถานการณ์อ่อนแอที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับประชาธิปัตย์มาก่อน แม้สมัย 10 มกรา ก็ยังไม่หนักเท่านี้

ความอ่อนแอของประชาธิปัตย์ จึงเปิดช่องให้ภูมิใจไทยที่กำลังดีขึ้นเข้าโจมตีได้ โดยที่ประชาธิปัตย์ก็ไม่มีวัคซีนป้องกันตัวเอง มีแต่จะเห็นเชื้อโรคร้ายเข้ามากัดกร่อนให้ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ

กว่าผู้อยู่อาศัยจะรู้ บ้านก็น่าจะพังจนยากจะบูรณะซ่อมแซมแล้ว ต้องรื้อทิ้งแล้วสร้างใหม่ แต่กว่าจะสร้างใหม่เสร็จ ภูมิใจไทยก็แข็งแกร่งเกินจะต้านแล้ว

‘อนุทิน’ หนุนอดีตบิ๊ก มท.ทำการเมืองหลังเกษียณอายุ หลังพบอดีตข้าราชการร่วมตั้ง ‘พรรคโอกาสใหม่’

‘อนุทิน’ เชียร์อดีตบิ๊ก ๆ ข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ตั้งพรรคโอกาสใหม่ ทำการเมือง หลังเกษียณอายุ

เมื่อวันที่ (21 พ.ย.67) ที่ด่านพรมแดนบ้านผักกาด อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงการเปิดตัวของพรรคโอกาสใหม่ ที่มีอดีตข้าราชการกระทรวงมหาดไทย นั่งเป็นกรรมการบริหารพรรคจำนวนมาก ถือว่า เป็นคู่แข่งที่น่ากังวลหรือไม่ว่า ยังไม่ได้ติดตามข่าว ซึ่งก็ดี ใครมีประสบการณ์ หรือประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว จะได้มีหนทางดี มาลงสนามแข่งขันกัน มีความชอบธรรมโดยสมบูรณ์ สามารถพูดได้ว่ามานั่งตำแหน่งนี้ได้ เพราะถูกเลือกมาจากประชาชนทั้งประเทศ ดีกว่ามานั่งรอให้คนอื่นแต่งตั้ง

เมื่อถามว่า การเป็นอดีตข้าราชการเกษียณอายุ มาทำพรรคการเมืองจะรอดหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ก็ต้องส่งกำลังใจให้รอด จะไปแช่งเขาทำไม คนมาร่วมทำงานให้กับบ้านเมือง ไม่ว่าจะเข้ามาในรูปแบบใดก็ต้องเชียร์กัน

‘ชัยวุฒิ’ รวมกลุ่ม ‘สหพรรค’ ปราศรัยเชียร์ ‘รองเอ็ด’ การันตี ‘พูดจริง ทำจริง ซื่อสัตย์’ เหมาะนั่งนายกอบจ. ตาก

(20 พ.ย.67) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรค พลังประชารัฐ ลงพื้นที่ ช่วย พ.ต.ท.อนุรักษ์ จิรจิตร (รองเอ็ด)อดีต ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หาเสียงในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) พร้อมเปิดเวทีพบปะพี่น้องประชาชนในเขตเทศบาลเมืองจังหวัดตาก 

โดย นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ขอการันตี คุณภาพ รองเอ็ด - พ.ต.ท. อนุรักษ์ จิรจิตร ผู้สมัครหมายเลข 2 ซึ่ง เคยทำงาน ในฐานะ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ ตอนทำงานกับตน เป็นคนพูดจริง ทำจริง มีความซื่อสัตย์ มีคุณธรรม ทุกครั้ง ที่พูดคุยกันก็จะพูดถึงพื้นที่จังหวัดตาก มีความเป็นห่วงและมีใจอยากพัฒนาบ้านเกิดของตนเอง เห็นได้จากการ ผลักดันโครงการพัฒนาอ่างเก็บน้ำแก้ภัยแล้ง ผลักดันงบประมาณทำถนนอุ้มผาง คลองลาน หรือโครงการเน็ตประชารัฐเพื่อคนบนดอย  

“เหตุผลที่พวกเรามารวมกันในวันนี้ก็เพื่อจะเปลี่ยนจังหวัดตากให้ทันสมัย ให้มีอนาคต ให้ลูกหลานบ้านเราผมขอโอกาส ให้ รองเอ็ด เบอร์2 พ.ต.ท.อนุรักษ์ จิรจิตร คนพันธุ์ตากด้วยครับ”

ขณะที่ รองเอ็ด – พ.ต.ท.อนุรักษ์ จิรจิตร ผู้สมัครหมายเลข 2 กล่าวว่า ในฐานะคนพันธุ์ตาก มีความตั้งใจที่จะมาเปลี่ยนแปลงจังหวัดตากให้ดีขึ้น ยกระดับให้เป็นเมืองหลัก ไม่ใช่เมืองรอง ซึ่งมีโครงการที่จะดำเนินการ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างเท่าเทียม ส่งเสริมประเพณีท้องถิ่น ส่งเสริม Event ขนาดใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ในพื้นที่ รถเข็น ล้อเลื่อน แผงลอย ค่าเช่าที่ ต้องเป็นธรรม พร้อมจะจัดตั้งอบจ. ส่วนแยกแม่สอด พร้อมกับพัฒนา โรงเรียน อบจ. ยกระดับ ทีมแพทย์ฉุกเฉิน ส่งเสริมการตลาดชนเผ่า MOU ท้องถิ่น เครื่องจักรยืมใช้ฟรี กู้ภัยทันที จัดหาแหล่งน้ำ คนตากต้องไม่ขาดน้ำ สร้างอินฟลูเอนเซอร์ท้องถิ่น ตากน่าพัก น่าเที่ยว ส่งเสริมกีฬา ปั้นทีมฟุตบอลตาก เป็นต้น                           

สำหรับบรรยากาศการเปิดเวทีปราศรัย เป็นไปอย่างคึกคัก ท่ามกลางเสียงสนับสนุนจากประชาชน ชาวจังหวัดตาก ที่อยากเปลี่ยน โดยมีการรวมตัวกันของกลุ่มการเมืองต่างขั้ว สลับกันขึ้นปราศรัยพบปะประชาชน นอกจากนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยังมีนายรัชต์พงศ์ สร้อยสุวรรณ  สส. พรรคประชาชน นายประสงค์ นามเสถียร อดีตผู้สมัครสส.เขต1ตาก พรรคพลังประชารัฐ คุณนายเบียร์ สวนป่าตากา แกนนำยุทธศาสตร์อดีตผู้สมัคร สส.พรรคเพื่อไทยเขต 1 นายชาติชาย ขวัญวารี อดีตผู้ช่วยผู้สมัคร สส.พรรคเพื่อชาติ เขต 2 อี๊ด เมืองตาก อดีตแกนนำคนเสื้อแดงตาก ทั้งหมดเรียกว่า 'สหพรรค' เพื่อ ร่วมใจสนับสนุน 'รองเอ็ด' พ.ต.ท.อนุรักษ์ จิรจิตร ผู้สมัครนายก อบจ.ตาก เบอร์ 2 ซึ่งการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตากจะมีขึ้นในวันที่ 15 ธันวาคมนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top