Wednesday, 7 May 2025
POLITICS NEWS

‘นายกฯอิ๊งค์’ โพสต์เหน็บ คนคิดเชิงลบ - ขาดความมั่นใจ หวังกดคนอื่นเพื่อยกตัวเองให้สูง ปมดรามา “สามีคนใต้”

นายกฯ โพสต์อินสตาแกรมหลังเกิดดรามา “สามีคนใต้” ชี้ “คนคิดเชิงลบ ไม่มั่นใจ มักกดคนอื่นต่ำลง ยกตัวสูงขึ้น”

วันนี้ (2 ธ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ในอินสตาแกรมส่วนตัว บัญชีผู้ใช้ Ingshin21 เมื่อเวลาประมาณ 08.30 น. หลังเจอกระแสดรามาทั้งในโซเชียลและฝ่ายตรงข้าม กล่าวหาว่าละเลยภาคใต้ หลังเกิดสถานการณ์น้ำท่วมหนัก แต่ไม่ลงไปดูแลคนในพื้นที่ และเมื่อวานนี้ นายกฯ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อ ว่า “คำว่าละเลยภาคใต้ สามีเป็นคนใต้ ครอบครัวสามีเป็นคนใต้ ถ้าละเลยคนใต้ ไม่รักคนใต้ แต่งงานคนใต้ไม่ได้” จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ถึงคำชี้แจงของนายกรัฐมนตรี

โดยวันนี้ นายกฯ ได้โพสต์ข้อความในสตอรี่อินสตาแกรมส่วนตัว ระบุข้อความภาษาอังกฤษว่า “Your negativity is a reflection of your own reality.” 100% ซึ่งเมื่อแปลเป็นภาษาไทย ว่า “ความคิดเชิงลบของคุณ สะท้อนถึงความเป็นจริงของตัวคุณเอง”

นอกจากนั้น ยังมีการแชร์อีก 1 ข้อความภาษาอังกฤษว่า “INSECURE PEOPLE PUT OTHERS DOWN TO RAISE THEMSELVES UP.” ซึ่งแปลความหมายคือ “คนที่ไม่มีความมั่นใจ กดคนอื่นให้ต่ำลง เพื่อยกตนเองให้สูงขึ้น”

‘พรรคส้ม’ พ่ายอีกครั้งเลือกตั้ง นายกอบจ. กำแพงเพชร หลัง ‘สุนทร รัตนากร’ แชมป์เก่าโกยคะแนนทิ้งขาด

เมื่อวันที่ (1 ธ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานผลการนับคะแนนเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำแพงเพชร วันที่ 1 ธ.ค.2567 ซึ่งเปิดให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ลงคะแนนตั้งแต่เวลา 08.00 น.ซึ่งมีเขตเลือกตั้งทั้งหมด 11 อำเภอ มีหน่วยเลือกตั้ง 1,126 หน่วย แบ่งเป็นเขตอำเภอเมืองกำแพงเพชร 293 หน่วย อำเภอขาณุวรลักษบุรี 162 หน่วย อำเภอพรานกระต่าย 128 หน่วย, อำเภอคลองขลุง 120 หน่วย อำเภอลานกระบือ 70 หน่วย, อำเภอปางศิลาทอง 45 หน่วย, อำเภอบึงสามัคคี 49 หน่วย, และออำเภอทรายทองวัฒนา 43 หน่วย

ทั้งนี้ มีผู้เข้าสมัครเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำแพงเพชร จำนวน 2 คน ได้แก่ หมายเลข 1 นายสุนทร รัตนากร อดีตนายก อบจ.กำแพงเพชร และหมายเลข 2 นายธานันท์ หล่าวเจริญ สมาชิกพรรคประชาชน

กระทั่งเวลา 17.00 น. เจ้าหน้าที่ปิดหีบเลือกตั้งและเริ่มนับคะแนน เบื้องต้นเมื่อนับไปได้ 72% อย่างไม่เป็นทางการ ในเวลา20.40 น. ผลปรากฎว่า หมายเลข 1 นายสุนทร รัตนากร ได้ 104,413 คะแนน หมายเลข 2 นายธานันท์ หล่าวเจริญ ได้ 27,609 คะแนน

‘รองเอ็ด’ ผู้ท้าชิงนายกฯ อบจ.ตาก ตัดพ้อ หลังถูกวิชามารสกัด แค่เมียกำนันกดไลค์ยังถูกเรียกตักเตือน

เมื่อวันที่ (1 ธ.ค. 67) พ.ต.ท.อนุรักษ์ จิรจิตร (รองเอ็ด) อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม  ผู้สมัคร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตาก หมายเลข 2 โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า แค่คนมากดไลค์ Facebook fan page เพจ ลองเอ็ด โดน จนท. ฝ่ายปกครอง เรียกไปตักเตือน ผมตกใจมันเกิดขึ้นในยุคนี้ ยุค 5 G เค้าเป็นเมียกำนัน ไม่ใช่กำนัน รักใครชอบใคร ก็ กดไลค์กันได้

ผมพูดไม่ออก เรื่องสิทธิเสรีภาพ ในสื่อสังคมออนไลน์ ในฐานะ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 

ผมเสียใจและต้องขอโทษ ท่านที่ได้รับผลกระทบ จากการไปกดเพียง 1 like แต่รู้ไหมครับว่า 1 likeนี้ จะเป็นพลังเพื่อการเปลี่ยนที่ดีขึ้นกว่าเดิม 

ย้ำ เมืองตาก ไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อน warning

ทั้งนี้ ในสนามเลือกตั้งนายก อบจ.ตาก ในครั้งนี้มีผู้ที่แข่งขันชิงเก้าอี้กันอยู่ 2 คน ได้แก่ นางอัจฉรา ทวีเกื้อกุลกิจ หมายเลข 1 และ พ.ต.ท.อนุรักษ์ จิรจิตร หมายเลข 2

ว่ากันว่าในครั้งนี้ นางอัจฉรา ถือว่าได้เปรียบ เพราะเป็นลูกสะใภ้ ของนายณัฐวุฒิ ทวีเกื้อกุลกิจ อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตาก ที่เพิ่งลาออกไป

ครั้งนี้จึงส่งลูกสะใภ้ มาแทน ภายใต้การสนับสนุนของนายณัฐวุฒิ และนายธนัสถ์ ทวีเกื้อกุลกิจ สามี อดีต สส.ตาก ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งพรรคนี้ยังคุมกระทรวงมหาดไทยมีแต้มต่อค่อนข้างสูง รวมทั้งจะมีการระดมอดีตนักการเมือง และนักธุรกิจผู้กว้างขวาง ของ จ.ตาก มาให้การสนับสนุนอีกด้วย

อย่างไรก็ดี ทางฝั่งพ.ต.ท.อนุรักษ์ อดีตผู้ช่วย รมว.ดีอี ในสมัยนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ จากพรรคพลังประชารัฐ แต้มเป็นรอง แต่มาพร้อมกระแสคนอยากเปลี่ยน  และยิ่งใกล้ โค้งสุดท้ายยิ่งน่ากลัว ด้วยลีลา เข้าถึง พึ่งได้ พร้อมชน เพราะ รองเอ็ด เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 29     และตอนเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัล ฯก็เคยทำโครงการพัฒนา พื้นที่จากหลายโครงการ นอกจากนี้ พ.ต.ท.อนุรักษ์ ยังมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับนักการเมืองรุ่นใหม่ในพื้นที่ เช่น นายณพล ชยานนท์ภักดี นายกเทศมนตรีเมืองตาก, นายคริษฐ์ ปานเนียม และนายรัชต์พงศ์ สร้อยสุวรรณ 2 สส.ตาก เขต 1 และเขต 2 พรรคประชาชน (ก้าวไกล) เรียกได้ว่า เข้มข้น ศึก… 

ในครั้งนี้จึงเป็นการวัดพลังระหว่างบ้านใหญ่ และคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ แต่ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งเข้ามา เริ่มมีการงัดสารพัดวิธีเข้าสกัดดาวรุ่ง ดังเช่นที่รองเอ็ด โพสต์เฟซบุ๊กระบายความอัดอั้นดังกล่าว ซึ่งใครจะเป็นผู้ชนะ ในวันที่เลือกตั้ง 15 ธ.ค.2567 เวลา 08.00-17.00 น. ชาวจังหวัดตากจะเป็นผู้ให้คำตอบ

‘ณัฐวุฒิ’ โต้ รัฐบาลนี้เป็นของคนภาคไหนไม่มีอยู่จริง ป้องนายกฯพูดสามีเป็นคนใต้ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาทตาย ไม่ต้องขยี้กลายเป็นวาระแห่งชาติ

เมื่อวันที่ (1 ธ.ค. 67) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก ส่วนตัวระบุว่า ตนไม่เชื่อเรื่องการเมืองแบ่งภูมิภาค พรรคไหนเป็นของคนภาคไหน รัฐบาลนี้เป็นของคนภาคนั้น ไม่มีอยู่จริง เป็นเรื่องที่ตนเห็นต่างมาตลอด เพราะรัฐบาลทำงานแบ่งตามภาคไม่ได้ สื่อมวลชนถามนายกฯว่ามีคนพูดว่าละเลยภาคใต้หรือไม่ เป็นเสรีภาพในการทำหน้าที่สื่อ ส่วนที่นายกฯตอบว่ามีสามีเป็นคนใต้ ย่อมไม่ละเลยคนใต้ ถ้าฟังด้วยใจนิ่งๆก็เข้าใจได้ว่า เป็นการพูดเพื่อเชื่อมโยงให้เห็นบางมุม ระหว่างตัวเองกับคนภาคนี้ เพื่อยืนยันว่าไม่ทิ้งกัน และรัฐบาลแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ออกมาตรการเยียวยา ซึ่งตนแน่ใจว่าการโอนเงินเยียวยาน้ำท่วมเร็วที่สุด เจ้าของสถิติคือรัฐบาลชุดนี้ ถ้ายกเลิกการประชุมกะทันหัน คำถามจะไม่เกิดขึ้นอีกหรือว่าทิ้งคนภาคเหนือ

“ความเห็นผม นายกฯ พูดเรื่องครอบครัวสามีเป็นคนใต้ เป็นมุมเล็ก ๆ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่จะขยี้กันจนแทบกลายเป็นวาระแห่งชาติ ผมห่วงใยพี่น้องที่น้ำท่วม แต่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะจัดการจนเราผ่านมันไปด้วยกันได้ ขณะเดียวกันผมห่วงใยบรรยากาศแบบนี้ด้วย แบบที่โจมตีกันทุกเรื่อง เล็กใหญ่ใส่หมดถ้าไม่ใช่ฝ่ายที่ตัวนิยม ไม่รู้เราจะผ่านจุดนี้ไปด้วยกันอย่างไร” นายณัฐวุฒิ ระบุ

‘ดร.ปวิน’ ฟาดเดือด!! ขยะแขยง ‘จักรภพ’ ไม่สนใจปชช. ผูกมิตรกับฝ่ายอำมาตย์

(30 พ.ย. 67) ศ.ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเกียวโต ได้โพสต์ข้อความถึง นายจักรภพ เพ็ญแข โดยมีใจความว่า ...

สิ่งที่จักรภพพูดมันเป็นอะไรที่น่าขยะแขยงมาก นักการเมือง/พรรคการเมือง/รัฐบาล ไม่ต้องสนประชาชนมากนัก เพราะต้องเอาเวลาไปผูกมิตรกับฝ่ายอำมาตย์ ไม่งั้นการเมืองไปต่อไปได้ โถ E ตอแหล การพูดแบบนี้พูดบน basis อะไร ทำไมเจ้าของประเทศถึงกลายมาเป็นของแถม ขณะที่ E พวกอำมาตย์กลายมาเป็นลำดับความสำคัญ มึงจะบอกว่าให้มองการเมืองแบบตามความเป็นจริง อันนี้ยิ่งน่าตกใจกว่า เพราะนั่นหมายความว่า ไอ้ความเป็นจริงที่ edok นี่พูดถึงก็คือ แม้จะมีการเลือกตั้ง แม้ประชาชนได้ออกไปใช้สิทธิของเจ้าของประเทศ แต่ประชาชนไม่มีสิทธิทางการเมือง เพราะนักการเมือง/พรรคการเมือง/รัฐบาล ต้องใส่ใจเอ็นดูอำมาตย์ทางการเมืองมากกว่า 

ถ้างั้น จะเรียกรัฐบาลนี้ ว่าเป็นประชาธิปไตยเหรอ จะเรียกประเทศนี้ว่าประชาธิปไตยทำไม 

‘นครโมเดล’ สะเทือน!! ถึง ‘สงขลา’ ถ้า ‘ไพเจน’ ปักหลักสู้!! ‘สุพิศ’ ก็เหนื่อย

(30 พ.ย. 67) พลันเมื่อ ‘ไพเจน มากสุวรรณ์’ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา (อบจ.สงขลา) ถอนตัวไม่ลงรักษาแชมป์ ชื่อของ ‘สุพิศ พิทักษ์ธรรม’ อดีตอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ที่ลาออกจากราชการ มาอาสาเปลี่ยนแปลงเมืองสงขลาก็โดดเด่นอยู่คนเดียว

‘สุพิศ’ มีความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะเข้ามาขอทำงานเปลี่ยนแปลงเมืองสงขลา ด้วยยแนวคิด ‘สงขลาเมืองสะอาด’ อันสะท้อนให้เห็นว่า สงขลายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่จะต้องปัดกวาดแก้ไข และมองเห็นปัญหาบ้านเกิดอีกหลายอย่างถึงยอมเสียสละหน้าที่ราชการในระดับอธิบดีที่ไม่ใช่จะเป็นกันง่ายๆ

เมื่อไพเจนถอนตัว เส้นทางนายกฯอบจ.สงขลาของสุพิศก็คล่องขึ้น หายใจสะดวกขึ้น ถ้าสุพิศปักหลักสู้ สุพิศก็จะเหนื่อย เพราะ 4 ปีของไพเจนบนตำแหน่งนายกฯอบจ.สงขลา แน่นอนว่า คนสงขลาจะต้องมองเห็นผลงานมากกว่าของสุพิศ

แต่แม้นสุพิศ พิทักษ์ธรรม จากทีมสงขลาพลังใหม่ จะยืนโดดเด่นอยู่คนเดียวก็ยังจะประมาทไม่ได้ ยังมีนิรันดร์ จินดานาค จากพรรคประชาชน ที่พรรคใช้ความพยายามอย่างแรงกล้าในการขอแจ้งเกิดในสนามท้องถิ่น แต่ยังไม่เคยสำเร็จ และไม่ควรลืมว่า สงขลาคือบ้านเกิดของ ‘ชัยธวัช ตุลาธน’ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ต้นธารของพรรคประชาชน และยังมีน.ส.อภิญญา ยอดแก้ว ผู้สมัคอิสระ ที่เปิดตัวเสนอเป็นนายกอบจ.หญิงคนแรกของ จ.สงขลา ก็จะมาร่วมแบ่งคะแนนในรอบนี้ด้วย

แต่นั้นยังไม่น่าประหวั่นพลั่นพรึงเท่ากับการปรากฏชื่อ ‘ถาวร เสนเนียม’ จะร่วมลงชิงกับเขาด้วย เพราะไม่ควรลืมว่า ถาวร คืออดีต สส.สงขลาหลายสมัย อดีตอัยการที่คนสงขลารู้จัก แถมยังผ่านงานบริหารราชการแผ่นดินมาแล้วถึงสองกระทรวง รมช.มหาดไทย และ รมช.คมนาคม มีประสบการณ์ และคุณสมบัติพร้อม

แม้ถาวรจะยังไม่ตัดสินใจว่าจะลงสมัคร เพราะยังมีข้อกังวลเรื่องคดีที่รอศาลฏีกาตัดสิน ถาวรเกรงว่า ถ้าลงสมัครแล้วได้รับเลือกตั้ง แต่อีก 1 ปีต่อมาศาลฏีกาตัดสินออกมาเป็นลบ อบจ.สงขลาก็ต้องสูญเสียงบร่วม 100 ล้าน เพื่อจัดเลือกตั้งใหม่

แต่พลันที่มีชื่อถาวรปรากฏผ่านสื่อโซเชี่ยล ข่าวถูกแชร์ไปทั่ว เพียงวันเดียวก็สร้างความฮือฮาไปทั่ว ร้านน้ำชากาแฟต่างกล่าวขานถึงในเชิงสนับสนุน-เหมาะสม สมน้ำสมเนื้อกับสุพิศ ‘ถาวร’ ขอเวลา 4-5 วันในการประเมินคดี ประชุมร่วมกับทนายความเพื่อประเมินว่าคดีจะออกมาทางบวก หรือทางลบ แล้วจะตัดสินใจ แล้วจะแถลงข่าวให้ทราบโดยทั่วกัน เพียงแต่ถาวรอาจถูกตั้งคำถามเรื่องอายุ แต่ในทางการเมืองอายุเป็นเพียงตัวเลข โดนัล ทรัมป์ อายุเท่าไหร่แล้ว โจ ใบเด็น อายุเท่าไหร่กว่าจะหยุด

ที่ต้องประหวั่นพลั่นถึงถ้าถาวรลงสมัคร เพราะถาวรไม่ได้ไปคนเดียว เขามีองคาพยพมากมายในการจัดทัพกับช่วงเวลาสั้นๆ และอาจจะมีพรรครวมไทยสร้างชาติที่เขาสังกัดอยู่สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง และมีพรรคภูมิใจไทย ที่มีพิพัฒน์ รัชกิจประการ เป็นแม่ทัพภาคใต้อยู่ และ ดร.นที รัชกิจประการ ภรรยา ก็จะพ้นโทษออกจากคุกในวันที่ 8 ธันวาคมนี้แล้ว ก็จะมาเป็นมือเป็นไม้ได้เป็นอย่างดี

สรุปความง่ายๆ ว่า ถ้าถาวรลงสมัคร ก็จะเป็นคู่ชิงของสุพิศที่สนุก เพราะเป็นสนามของคนรู้ใจ รู้เกมกันอยู่ แต่ถ้าถาวรไม่ลงสุพิศก็จะลอยลำ แต่ทำอย่างไรให้สุพิศ สลัดพรรคประชาธิปัตย์ให้พ้นตัว เดินออกห่างจากคนที่คนสงขลา และคนใต้ไม่ชอบให้ดี เพราะจะเป็นตัวถ่วงคะแนนในสถานการณ์ประชาธิปัตย์ขาลง อ่อนแอ

ประชาธิปัตย์อ่อนแอจนนำพาให้ ‘เจ้ต้อย-กนกพร เดชเดโช’ พ่ายแพ้ในสนาม อบจ.นครศรีฯ เปิดทางให้ ‘น้ำ-วาริน ชิณวงศ์’ เข้ามาสร้าง ‘นครโมเดล’ ได้สำเร็จ

นครโมเดล
-ไม่ซื้อเสียง
-ไม่มีหัวคะแนน
-ไม่ฮั้วประมูล
-ไม่โกงกิน
-ไม่รังแกคนอื่น
-ไม่ใช่บ้านใหญ่

นครโมเดลนอกจากการสร้างปรากฏการณ์เหล่านี้แล้ว ‘นครเข้มแข็ง’ ยังใช้สื่อโซเชี่ยลในการแนะนำตัว หาเสียงอย่างเป็นระบบ เนื้อหาที่โดนใจในอารมณ์คนนครฯ ที่ต้องการเปลี่ยนแปลง ประกอบกับบุคลิกการเป็นผู้นำที่เข้มแข็งของสาวมั่น จึงทำให้นครโมเดลสำเร็จ

ความพ่ายแพ้ของเจ้ต้อย ทำให้นครโมเดลถูกกล่าวขานถึง และสั่นสะเทือนไปถึงสงขลา นี้คือปรากฏการณ์ที่ ‘สุพิศ’ ต้องทบทวน และกำหนดทิศทางใหม่ให้ชัดเจน

‘รัดเกล้า’ โพสต์เฟซ!! โต้กลับ ‘แบงค์ ศุภณัฐ’ ชี้!! เป็น ‘โรคระแวง การสร้างคอนเนคชั่น’

(30 พ.ย. 67) ‘เนเน่’ หรือ นางสาวรัดเกล้า สุวรรณคีรี อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ในฐานะศิษย์เก่าของสถาบันพระปกเกล้า และสถาบัน วปอ. โดยมีใจความว่า ...

#ปปร และ #วปอบอ เป้านิ่ง อคติทางการเมือง

เอาจริงๆ โรคระแวงการสร้างคอนเนคชั่นของกลุ่มนักการเมืองในสังคมไทยนี่นับว่าอยู่ในระดับเรื้อรัง เป็นโรคที่มีมากันยาวนานแล้วนะคะ ซึ่งเอาจริงๆ ก็คงโทษประชาชนไม่ได้ที่จะมีอคติมองว่าการสร้างคอนเนคชั่นเป็นเรื่องไม่ดี มันก็คงเป็นเพราะเขาโดนมาเยอะ เจ็บมาแยะ กับการเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องเพื่อประโยชน์ส่วนตนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ฉะนั้น จริงๆ แล้วเป็นโจทย์ที่นักการเมืองรุ่นใหม่ทุกคน ทุกพรรค ควรรับไว้เป็นการบ้าน คือต้องช่วยกันแก้อคติด้วยการประพฤติดี ใช้คอนเนคชั่นและเครือข่ายที่มีเพื่อส่งเสริมบรรยากาศการทำงานร่วมกัน สร้างการเมืองสร้างสรรค์ สร้างประโยชน์ให้กับประเทศและประชาชน หากทุกคนร่วมกันทำเช่นนี้ ทำไปหลายๆ ปี แน่นอนว่ามันจะช่วยบรรเทาโรคระแวงของประชาชนได้ค่ะ อย่างไรก็ตาม ในสภาวะที่อาการโรคระแวงนี้ยังไม่ทุเลา หลักสูตรดัง เช่น การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย (ปปร.) และ การป้องกันราชอาณาจักรสำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ.) ก็ไม่ต่างอะไรกับการเป็น #เป้านิ่ง ให้คนยิงเป้า จับผิด ตำหนิ ติติง ระบายความระแวงใจ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้... อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่นักการเมืองรุ่นใหม่ไม่ควรทำต่อความระแวงของประชาชน คือการ #ขว้างงูไม่พ้นคอ ทำให้โรคระแวงมันแย่ลงด้วยการเอาอคติทางการเมืองของตนเองมายัดเยียด ป้ายสีใส่กลุ่มการเมืองฝั่งตรงข้าม มุ่งหวังให้ประชาชนหันไปรุมคนอื่นแทนนะคะ 

ในโพสต์นี้ เนเน่ในฐานะศิษย์เก่าของทั้งสถาบันพระปกเกล้าและสถาบัน วปอ. ขอตอบคำถามและให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับทาง ส.ส. แบงค์ ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ เกี่ยวกับ หลักสูตร วปอ.บอ. นะคะ ทั้งนี้เพื่อสร้างความกระจ่างในข้อมูลที่ผิดเพี้ยน ที่อาจสร้างความเข้าใจผิดต่อสถาบันเหล่านี้ และมิหน่ำซ้ำ ยังอาจจะตอกย้ำโรคระแวงในใจของประชาชนให้อาการแย่ลงไปอีกค่ะ

ข้อที่ 1. ที่ถามว่า... คนที่เข้าไปเรียนใช้สิทธิอะไรในการถูกคัดเลือกเข้าไปเรียน...

เฉกเช่นที่ สส.แบงค์ ออกมาปกป้องหลักสูตร ปปร. ว่าผู้จัดหลักสูตรมีการจัดสรรโควต้าให้กับ สส. 40 คน ทาง วปอ.บอ. เองก็มีโควต้าทางการเมือง 10 คนค่ะ บ้างก็เป็น สส. บ้างก็เป็นข้าราชการการเมือง (ซึ่งก็มีเนเน่ ที่เป็นรองโฆษกรัฐบาล ในช่วงนั้น) อย่างไรก็ตาม ผู้สมัครที่ผ่านเกณฑ์ทั้งสิ้นเกือบ 500 คน จำเป็นต้องผ่านการสอบสัมภาษณ์โดยคณะกรรมการของหลักสูตร เพื่อกลั่นกรองหา 150 คนที่มีทัศนคติที่เหมาะสมและมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำในอนาคตได้จริงๆ เท่านั้นค่ะ (ซึ่งจริงๆคณะกรรมการหลักสูตรเคยเล่าให้เนเน่ฟังอยู่หลายครั้งนะคะว่าเขาเสียดายมากๆ ที่ไม่มีตัวแทนจากพรรคก้าวไกล (ตอนนั้นยังไม่เปลี่ยนชื่อพรรค) เข้ามาเรียน ความจริงมีคนมาสมัครนะคะ แต่อายุเกินบ้าง อายุขาดบ้าง เลยกลายเป็นว่าผู้สมัครจากพรรคก้าวไกลล้วนไม่ผ่านเกณฑ์เบื้องต้น เลยไม่มีใครได้เรียนค่ะ ...เล่าให้ฟัง จะได้ระงับดราม่าไว้ก่อนค่ะ ว่าทำไมไม่มีคนจากพรรคก้าวไกลมาเรียนเลย... อาจารย์อยากให้พวกคุณมาเรียนจริงๆ นะคะ ท่านเชื่อว่าการมามีส่วนร่วมจะช่วยให้คนในพรรคของคุณเข้าใจเรื่องของความมั่นคงมากขึ้น ขนาดตอนที่นักเรียน วปอ.บอ. รุ่น 1 เรียนจบแล้วมีนำเสนอผลงานทางวิชาการ ทางหลักสูตรยังส่งจดหมายเชิญไปที่พรรคประชาชน (ตอนนั้นเปลี่ยนชื่อแล้ว) แต่สุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีการส่งตัวแทนรับฟังค่ะ)

ทั้งนี้ในเรื่องคุณสมบัติของคนที่เข้าเรียน ที่ ส.ส.แบงค์ ทำให้หลายคนกังขาว่าคนที่มาเรียน "ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ" เกรงว่าคนจะเข้าใจผิด เหมารวม นึกว่าหมายถึงนักเรียนทั้งหมด ...ในฐานะเพื่อนร่วมชั้น เนเน่ขอชี้แจงว่านักเรียนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มหัวกะทิ บ้างมีโปรไฟล์เป็นถึงนักวิชาการที่มีชื่อเสียง บ้างเคยเป็นถึงนักเรียนเกียรตินิยมจากโรงเรียนชั้นนำ บ้างเป็นผู้บริหารในองค์กรระดับประเทศ อีกทั้ง ทางฝั่งข้าราชการพลเรือน ทหาร และตำรวจ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นตัวท็อปในหน่วยงานของตัวเองกันทั้งนั้นค่ะ เนเน่ได้เรียนรู้หลายเรื่องจากเพื่อนๆ เหล่านี้ ไม่น้อยไปกว่าที่ได้เรียนจากวิทยากรเลยค่ะ เขาเก่งกันจริงๆ นะคะ วอนหยุดเอาอคติทางการเมืองที่คับแคบมาตัดสิน มาด้อยค่าเพื่อนๆ ร่วมสถาบันของเนเน่เลยค่ะ ข้อ 2. ที่ถามว่าคนที่มาเรียนนั้นได้ จ่ายเงินค่าหลักสูตรหรือไม่ เพราะที่กองทัพให้ข้อมูลมาคือค่าใช้จ่ายหลักสูตรนี้ #เรียนฟรี และได้รับการสนับสนุนจากกองบัญชาการกองทัพไทย แปลว่าใช้ #ภาษีกู แบบเต็มๆ ...

อันนี้ เกรงว่าแหล่งข่าวในกองทัพของ สส.แบงค์ คงจะพูดไม่ครบนะคะ อันนี้ ถ้าไม่ทราบจริงๆ ก็ไม่ว่ากัน แต่ขอเพิ่มเติมข้อมูลเพื่อให้เข้าใจให้ตรงกันนะคะ ว่าผู้เรียนกลุ่มเอกชน และข้าราชการการเมืองต้องจ่ายเงินเอง 130,000 บาทเพื่อใช้ในการดูงานในประเทศและต่างประเทศค่ะ (ที่ว่าเรียนฟรีนี้ สำหรับบุคลากรของรัฐ เช่น ข้าราชการพลเรือน ทหาร และตำรวจ ที่ทางหน่วยงานส่งตัวแทนมาเรียนเท่านั้นค่ะ) ...ฉะนั้นขอย้ำนะคะว่า นอกเหนือจากที่เราไม่ได้เบียดเบียนภาษีประชาชนแล้ว เราได้ตัดสินใจใช้เงินส่วนตัวลงทุนเพื่อรับความรู้ผ่านหลักสูตรนี้ค่ะ

อ่อ... และที่ถามว่า ‘กล้าเอารูปมาโพสต์’ ไหม ... ในคอมเมนท์ เนเน่ขอเอารูปตอน วปอ.บอ. ไปทำ CSR ด้วยเงินส่วนตัวที่พวกเราระดมกัน นำไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่สุโขทัย มาให้ดูเป็นตัวอย่างให้ดูนะคะว่าเราก็รวมตัวกัน ‘ก่อการดี’ ไม่ต่างอะไรกับ คณะนักศึกษา ปปร. ของ สส.แบงค์ ค่ะ มาช่วยกันคลายโรคระแวงการสร้างคอนเนคชั่นในสังคมไทยด้วยการเมืองสร้างสรรค์กันดีกว่านะคะ

ทีม ‘สุพิศ’ เร่งถอดบทเรียนก่อนเดินต่อ ‘นายกฯอบจ. สงขลา’ หลัง ปชป.เสียทีในสนามเลือกตั้ง ‘นายก อบจ.นครศรีฯ’

เป็นที่รับทราบกันแล้วสำหรับผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช ผลปรากฏน้ำท่วมเมืองนครศรีฯ ‘น้ำ-วาริน ชิณวงศ์’ จากสายสีน้ำเงิน เอาชนะ ‘เจ้ต้อย-กนกพร เดชเดโช’ จากค่ายสีฟ้ากว่า 30000 คะแนน

สรุปนะครับ #ผลนับคะแนนเลือกตั้งนายกฯอบจ.นครศรี
-เบอร์ 2 328,823 (น้ำ)
-เบอร์ 1 294,835 (เจ้ต้อย)
-เบอร์ 4 31,586 (ชัย)
-เบอร์ 3 3,657 (อาญาสิทธิ์)

ต้องยอมรับความจริงว่า เจ้ต้อยถึงแม้จะแพ้การเลือกตั้ง แต่มีคะแนนมากกว่าการเลือกตั้งเมื่อ 20 ธันวาคม 2563 เพราะครั้งนั้น เจ้ต้อยได้มา 260000 กว่าคะแนน เพียงแต่ 300000 กว่าคะแนนที่เพิ่มขึ้นยังไม่อาจต้านกระแสแรงของน้ำได้

ความจริงประการหนึ่งที่ต้องยอมรับในวันที่น้ำเปิดตัว และไปยื่นใบสมัคร ยังมีคนนครศรีฯจำนวนมากถามกันว่า เบอร์ 2 คือใคร น้ำเป็นใคร ในขณะที่เจ้ต้อยคนรู้จักกันทั้งจังหวัด แต่ผ่านไปเพียงสองอาทิตย์คำถามว่า เบอร์ 2 คือใคร เริ่มไม่ได้ยินคำถามนี้ แต่กลับเริ่มมีกระแสเปลี่ยนเลือก 'น้ำเบอร์ 2' เหตุผลสำคัญของกระแสเปลี่ยนมาจากหลากหลายเหตุผล

พิจารณาประเด็นของน้ำก่อน ด้วยบุคลิกของสาวมั่น พูดจาฉะฉาน ปราศรัย หรือให้สัมภาษณ์ไม่ต้องดูโพย อันเป็นการสะท้อนว่า รู้จริง ทำการบ้านมาดี นโยบายที่เน้นไปทางเศรษฐกิจ มันตรงกับสภาวะปัจจุบันของคนไทย เมื่อบวกรวมกับทีมยุทธศาสตร์ผู้ช่ำชองการเลือกตั้ง ทีมสื่อที่ทำสื่อเสนอผ่านโซเชียลอย่างเป็นระบบ ส่งเข้าถึงห้องนอนของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทุกช่วงวัย การปราศรัยของน้ำในช่วงโค้งท้าย ๆ สะท้อนความมั่นใจ ความเชื่อมั่นสูง อันเป็นภาวะผู้นำ

การประกาศเป็นยุทธศาสตร์ของน้ำ “ไม่ซื้อเสียง ไม่มีหัวคะแนน” ถือเป็นการสวนกระแสที่ท้าทายกับภูมิทัศน์การเมืองใหม่ จึงมีคำถามตามมาว่า ไม่ซื้อเสียง ไม่มีหัวคะแนนจะชนะอย่างไร จะเอาคะแนนมาจากไหน

ส่วนเจ้ต้อย ไม่ได้มีข้อด้อยอะไรมาก เพียงแต่โดนหนักประเด็นลาออกแล้วมาสมัครใหม่ ทำให้ต้องเสียงบจัดการเลือกตั้งสองครั้ง 100 กว่าล้าน กับเรื่องการไปเน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน(ถนน)มากไป กับการเป็นบ้านใหญ่ การเมืองครอบครัว

แต่ประเด็นที่เจ้ต้อยโดนหนักไปตกอยู่กับ 'แทน-ชัยชนะ เดชเดโช' สส.นครศรีฯ (ลูกชาย) รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบารมีล้นเมืองคอน การนำพาพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ (ลูกสาวทักษิณ ชินวัตร) ที่คนใต้ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย การด้อยค่า ม.ทักษิณ รวมถึงประเด็นเนรคุณ ที่มีการหยิบยกขึ้นมาพูดถึงกันมากในช่วงท้ายของการหาเสียง อันเกิดจากแทนไปพาดพิงถึงสองพี่น้องตระกูลยุติธรรมว่า สอบตกทั้งคู่ 

ประกอบกับคนไม่เอาประชาธิปัตย์ ไม่ชอบแทน มาร่วมกันรุมช่วยน้ำไม่ว่าจะเป็นเทพไท เสนพงศ์ (คึก) พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล (ปุ้ย) เมื่อบวกรวมกับผู้แพ้ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นอนันต์ ทองอุ่น, อำนวย ยุติธรรม, สนั่น พิบูลย์ เป็นต้น ล้วนสร้างแรงบวกให้น้ำทั้งนั้น เมื่อสื่อโซเชียลมาช่วยเสริมจึงทำให้น้ำเป็นฝ่ายกำชัยในที่สุด

แต่ที่น่าสนใจคือแรงกระเพื่อมหลังจากนี้ ทั้งแรงกระเพื่อมในจังหวัด และแรงกระเพื่อมไปยังจังหวัดข้างเคียง แรงกระเพื่อมในจังหวัดต้องรอดูการเลือกตั้ง สส.ในสมัยหน้า เพราะการเลือกตั้งนายกฯอบจ.ประชาชนได้สอนบทเรียนให้ประชาธิปัตย์อย่างเจ็บปวดแล้ว จะแลนด์สไลด์ไปถึงเลือก สส.ด้วยหรือไม่

มีการกล่าวถึงนครโมเดล จะมีการเปรียบเทียบไปถึงสงขลา จะเอานครโมเดลไปใช้ที่สงขลาได้หรือไม่ สงขลาแน่ชัดแล้วว่า ไพเจน มากสุวรรณ์ นายกฯอบจ.คนปัจจุบัน อำลาเวที ‘สุพิศ พิทักษ์ธรรม’ อดีตอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ลาออกจากราชการเปิดตัวลงชิงนายกฯอบจ.สงขลา ภายใต้การสนับสนุนของ ‘นายกฯชาย เดชอิศม์ ขาวทอง’ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ รมช.สาธารณสุข และนิพนธ์ บุญญามณี อดีต รมช.มหาดไทย ด้วยเห็นความมุ่งมั่น ตั้งใจของสุพิศที่อาสาเข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เมืองสงขลา ด้วยความพร้อมทั้งครอบครัว และธุรกิจ ประสบการณ์

ส่วนคู่แข่งของสุพิศ ที่ชัดเจนแล้ว มีเพียง ‘นิรันดร์ จินดานาค’ จากพรรคประชาชน ในทางการเมืองสำหรับสงขลาแล้ว นิรันดร์ ยังไม่เท่าไหร่ อยู่ที่การสร้างนโยบาย สร้างกระแส และทีมงานพรรคประชาชนว่าจะช่วยได้แค่ไหน ส่วนคนอื่นๆยังไม่ชัดว่าจะมีใครลงแข่งบ้าง ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย หรือพรรคอื่นก็ยังไม่เห็นขยับชัด

การจะเอานครโมเดลมาใช้กับสงขลาจึงน่าจะยังยากอยู่ เพราะผู้สนับสนุนหลักของสุพิศ ไม่ได้มีส่วนได้เสียกับการแพ้-ชนะ ไม่ใช่คนในครอบครัวเดียวกับ การที่จะมีใครสักคนลุกขึ้นมาประกาศเป็นยุทธศาสตร์ 'ไม่ซื้อเสียง-ไม่มีหัวแนน' ตามนครโมเดล สำหรับสงขลาคงจะยาก เว้นเสียแต่ว่า พรรคภูมิใจไทย ไปเฟ้นหาคนใหม่ ใส ๆ มาแบบน้ำ และหาทีมบริหารดี ๆ เข้ามา สร้างนโยบายที่โดดเด่น แตกต่าง 

วันนี้สำหรับขั้วประชาธิปัตย์ ที่หันไปสนับสนุนสุพิศ คงต้องนำบทเรียนจากนครศรีฯมาทบทวน และหาข้อสรุป เพื่อกำหนดเป็นแนวทาง ถึงจะเห็น 'ชัย' ของ 'สุพิศ' เงินไม่ใช่ตัวกำหนดชัยชนะ 

รู้จัก สส.หญิงแกร่งแห่งเมืองโอ่ง ‘กุลวลี นพอมรบดี’ กับผลงานเด่นสานต่อแก้ภัยแล้งช่วยชาวบ้าน จ.ราชบุรี

(27 พ.ย. 67) ‘กุลวลี นพอมรบดี’สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ราชบุรี เขต 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ หรือที่คนในพื้นที่จะเรียกกันติดปากว่า ‘สส. แคมป์’ เป็น สส. ที่มาจากครอบครัวนักการเมือง และทำงานรับใช้ชาวบ้านในพื้นที่อย่างแท้จริง โดยเริ่มเข้าสู่เส้นทางการเมืองตั้งแต่อายุ 25 ปี ในระดับท้องถิ่น สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ก่อนลงเลือกตั้งสนามใหญ่ในปี 2562 และได้รับเลือกเป็น สส. สมัยแรก และในปี 2566 ยังได้รับความไว้วางใจจากประชาชนในพื้นที่เขต 1 ราชบุรี เลือกเป็น สส. เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน 

สำหรับ ‘กุลวลี’ อยู่ครอบครัวการเมือง นางกอบกุล นพอมรบดี อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดราชบุรี พรรคไทยรักไทย ในปี 2549 นางกอบกุล เสียชีวิต ขณะนั้น กุลวลี ศึกษา ด้าน accounting finance อยู่ที่ออสเตรเลีย มีการปรึกษากันในครอบครัวว่าจะหยุดเส้นทางการเมืองของตระกูลหรือเดินหน้าต่อ ได้ผลสรุปเดินหน้าต่อ กุลวลี จึงเริ่มเส้นทางการเมืองจากระดับท้องถิ่น ในวัย 25 ปี ในฐานะสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี จนก้าวเข้าการเมืองระดับประเทศ ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 

หนึ่งในผลงานของ กุลวลี ที่สำคัญต่อพื้นที่เขต 1 ในการแก้ปัญหาภัยแล้ง ที่ ต.บางป่า ที่ผ่านมาพื้นที่ดังกล่าวเคยประสบปัญหาภัยแล้ง ต่อมามีการสร้างคลองขุดลัดขึ้น ต.บางป่าเป็นพื้นที่เกษตรสวนมะพร้าว อาศัยน้ำจากคลองขุดลัดในการทำการเกษตร ในปี 2557 ซึ่ง นายมานิต นพอมรบดี  อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดราชบุรี เขต 1 พรรคภูมิใจไทย ผู้เป็นบิดา ได้ริเริ่มโครงการไว้ และทาง สส.แคมป์ ได้ลงพื้นที่กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมีการดำเนินโครงการต่อเนื่องมา มีการวางแผนวางท่อส่งน้ำเข้าไปตามสวนของกรมชลประทาน และการสร้างประตูกั้นน้ำ มีสถานีสูบน้ำเติมปริมาณน้ำตลอดเวลา 

อีกพื้นที่คือ ต.พงสวาย เส้นทางเดียวกันกับต.บางป่า ในแนวคลองขุดลัด ที่กำลังดำเนินการของบประมาณในการดำเนินการ เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง รวมทั้งมีการตั้งโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว ในการเป็นสถานที่ปั่นจักรยาน และวิ่งเพื่อสุขภาพ 

ไม่เพียงเท่านั้น ในส่วนการส่งเสริมการท่องเที่ยวอุทยานหินเขางู ทาง สส.แคมป์ มีแนวทางที่จะพัฒนาร่วมกันกับ สำนักงานป่านันทนาการ กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ และความร่วมมือกับส่วนท้องถิ่น วางแนวโครงการสร้างสกายวอล์ค และมีพื้นที่ หุบลับ หรือ ภูผาแรด เป็นหนึ่งในอันซีน ที่อยู่ในแผนการพัฒนาการท่องเที่ยวปี 2569

กล่าวได้ว่า ตลอดระยะเวลาการทำงานการเมืองกว่า 10 ปีที่ผ่านมา สส.แคมป์ ได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนโดยเฉพาะเกษตรกรในการแก้ปัญหาต่าง ๆ พร้อมกับสร้างโอกาสและเพิ่มศักยภาพทางด้านการท่องเที่ยวให้กับทางจังหวัดราชบุรี เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับชาวบ้านในพื้นที่ตลอดเวลา เป็นนักการเมืองที่ทำงานเพื่อชาวบ้านอย่างแท้จริง

14 ล้านเสียงเริ่มตาสว่าง หลังกระจ่างชัดในพฤติกรรม ‘พรรคล้มเจ้า‘ ทั้ง ‘หนีการเกณฑ์ทหาร - ปลิ้นปล้อนกลิ้งกลอก - หลอกใช้วัยรุ่นใจแตก‘

(26 พ.ย. 67) กว่าที่คน 14 ล้านเสียงจะเริ่มหูตาสว่าง ก็ต้องใช้เวลาลงลึกต่อสิ่งที่เลือกเข้ามาอยู่นานพอดูถึงจะเข้าใจถ่องแท้ว่าสิ่งที่ดี กับสิ่งที่เลวนั้นมีหน้าตาแตกต่างกันอย่างไร ถึงวันนี้จาก 14 ล้าน จึงหายศีรษะไปกันเยอะแล้ว

หลายคนให้เหตุผลว่าที่เลือกพรรคล้มสถาบันเพราะเบื่อ “ลุงตู่” เป็นเหตุผลง่าย ๆ ที่แสนจะมักง่าย แค่เบื่อนายกคนเก่า เบื่อรัฐบาลเก่า ก็เลยเลือกส่งเดชเชียร์เด็กนิสัยเกเรแถมยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมให้เข้ามาบริหารชาติเพื่อความสะใจ 

พรรคใดที่สามารถจะล้มทหารได้ก็ออกหน้าเชียร์พรรคนั้น โดยที่ไม่ดูตาม้าตาเรือว่าสิ่งที่เลวร้ายกว่าทหารก็คือพรรคการเมืองที่แอบร่วมมือกับตะวันตก ยอมเป็น “เด็กเช็ดรองเท้า” ให้เขา ร่วมมือกันเพื่อมาล้มล้างการปกครองในประเทศชาติของตัวเอง 

ลองถามใจคุณดู ระหว่างรัฐบาลที่มาจากเผด็จการทหาร แต่กลับไม่เคยคิดล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ยังคงปกป้อง รักษา ให้เป็นสถาบันที่เป็นศูนย์รวมใจคนไทยทั้งชาติดังเดิม กับพรรคการเมืองจากนักการเมืองรุ่นใหม่ ที่แอบดีลลับร่วมมือกับต่างชาติ หวังสร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นในสังคมไทย กระทบชิ่งไปถึงสถาบันกษัตริย์ผ่านน้ำมือเด็กวัยรุ่น วัยเรียน ที่ถูกหลอกใช้ จนโดนคดี 112 จำนวนมาก และที่หนีไปต่างประเทศก็ไม่น้อย คุณลองคิดดูสิว่าแบบไหน “มันเหี้ยมจนตัวมอม้าหาย” มากกว่ากัน? 

ผมไม่ได้บอกว่าการปฏิวัติรัฐประหารนั้นเป็นสิ่งที่ดี แม้จะมาด้วยเจตนาที่ดี แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่มีที่ประชาชนแบบเราจะพูดถึงความประทับใจได้อย่างเต็มปากเต็มคำ แต่การที่เราเบื่อหน่ายพรรคหนึ่งพรรคใด ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเลือกพรรคอื่นที่ตั้งธงรบด้วยการเกลียดพรรคที่เราไม่ชอบเหมือนกัน เพราะพรรคที่เราเลือกมันอาจจะเลวในแบบอื่น ซึ่งอาจจะสร้างความเสียหายได้มากกว่า เราไม่ควรเอาประเทศชาติไปล้อเล่นเพียงเพราะเหตุผลว่าเราต้องเลือกพรรคการเมืองสักพรรค หรือเพียงเพราะอยากแก้แค้นพรรคที่เราเกลียด

เพราะผลที่ได้ ก็จะเป็นอย่างที่เห็น เราจึงได้นักการเมืองที่ไร้ความสามารถ หนีการเกณฑ์ทหาร กลิ้งกลอก หลอกใช้วัยรุ่นใจแตก ซุกกระโปรงเด็กผู้หญิง พูดจาโกหกปลิ้นปล้อนประชาชนไปวัน ๆ และมีแนวคิดล้มล้างสถาบันเข้ามากินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน มีดีสักคนไหม?

เอาปากกามาวงให้เห็นหน่อยเถอะครับ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top