Monday, 6 May 2024
POLITICS NEWS

'บิ๊กตู่' ดีใจคนรุ่นใหม่สนใจการลงทุน แนะ!! ต้องศึกษาข้อมูลให้ดี อย่าหลงเชื่อจากคำโฆษณา

จากกระแสข่าวนักลงทุนในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ขาดทุนอย่างหนักอยู่ในตอนนี้ บางคนถึงขั้นสูญเงินแทบหมดตัว และมีจำนวนไม่น้อยถึงขั้นล้มละลาย จากที่เคยมีเงินนับหมื่นล้าน แต่เพียงชั่วข้ามคืนกลับมาเหลือเพียงศูนย์บาทเท่านั้น 

โดยก่อนหน้านี้ มีนักการเมืองและนักลงทุนรายใหญ่ทั้งในไทยและต่างประเทศ ต่างออกมาเชียร์ให้ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล โดยระบุว่า เป็นการลงทุนแห่งอนาคต ที่ให้ผลตอบแทนสูง ทำให้คนหลงเชื่อและขาดทุนจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลไปจำนวนมาก

แต่ทว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้ออกมาเตือนหลายครั้งเกี่ยวกับการลงทุนดังกล่าว โดยเมื่อเดือนตุลาคม 2564 ได้แสดงความเป็นห่วง โดยระบุว่า เป็นห่วงนักลงทุนในการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน คนรุ่นใหม่วัยทำงาน หลังพบว่า มีเข้ามาลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ด้วยเหตุเพราะเข้าถึงได้ง่าย ใช้ระยะเวลาสั้นแต่ได้รับผลตอบแทนที่รวดเร็ว 

พร้อมทั้ง ได้ฝากเตือนให้นักลงทุนพิจารณาถึงความเสี่ยงจากการลงทุนประเภทนี้ให้มาก เนื่องจากคริปโตเคอเรนซีไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ เป็นการเก็งกำไรและมีความผันผวนสูง ส่วนผู้ปกครองที่เปิดบัญชีให้เยาวชน ต้องมีความระมัดระวังในการลงทุนและดูแลอย่างใกล้ชิด จึงขอให้ผู้สนใจที่จะลงทุนทำความเข้าใจในลักษณะความเสี่ยง ต้องแน่ใจว่าสามารถยอมรับการสูญเสียเกือบทั้งจำนวนได้ หาข้อมูลและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ และที่สำคัญ อย่าหลงเชื่อคำโฆษณา ต้องเลือกผู้ให้บริการที่ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

จับตาวิสัยทัศน์ไทย ชู BCG บนเวที APEC 2022 คนไทยจะได้อะไร? พัฒนาอย่างไรให้สอดคล้อง?

(15 พ.ย. 65) จากเพจ 'โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

คุณรู้รึเปล่าว่า ประชุม APEC ครั้งนี้ มีหัวข้อหลักคือ BCG (Bio-Circular-Green Economy)

แล้วคุณเข้าใจคำว่า BCG รึยัง???

BCG คืออะไร สำคัญอย่างไร ทำไมเป็นหัวข้อหลักของการประชุม APEC แล้วจะมาเกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศ และระดับโลกอย่างไร….

วันนี้ขอเกาะกระแส การประชุม APEC ซึ่งเป็นหนึ่งในการประชุมระหว่างประเทศที่มีความสำคัญที่สุดในโลก ซึ่งประเทศที่อยู่ใน APEC มีปริมาณประชากร ถึง 1 ใน 3 ของโลก 

ซึ่งจะมีการจัดประชุมประเทศสมาชิกทุกปี โดยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ไทยเราเป็นเจ้าภาพอีกครั้ง หลังจากปี 2546 

แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าการประชุม คือการแสดงวิสัยทัศน์ ของประเทศ 

โดยในการประชุมครั้งนี้ ไทย เรานำเสนอ การพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม เพื่อความยั่งยืน หรือ BCG (Bio-Circular-Green Economy) มาเป็นจุดเชื่อมโยงการพัฒนาในอนาคต

แล้ว BCG คืออะไร คนไทยจะได้อะไร? ประเทศไทยจะพัฒนาอย่างไรให้สอดคล้องกับ BCG

ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จัก BCG กันก่อน ซึ่งมาจาก 3 คำคือ Bio Circular Green ซึ่งเป็นการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน แบ่งออกมาเป็นข้อๆ คือ...

- Bio Economy หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ 

เป็นการใช้ทรัพยากรทางชีวภาพ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ เช่นการแปรรูป สินค้าทางการเกษตร เป็น Bio Plastic ที่ย่อยสลายได้

- Circular Economy หรือ เศรษฐกิจหมุนเวียน

เป็นการนำวัสดุ และผลิตภัณฑ์ ที่ใช้แล้ว กลับมาใช้งานใหม่

- Green Economy หรือ เศรษฐกิจสีเขียว เพื่อสิ่งแวดล้อม

เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อม และพัฒนาสังคม

ซึ่งทั้งหมดนี้ ไทยเรามีพื้นฐานรองรับทั้งหมดแล้ว โดยสอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง (Sustainable Economy) 

โดยการพัฒนา BCG จะมุ่งเน้นการพัฒนาจากทรัพยากรทางธรรมชาติที่มีอยู่เดิม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งด้านกระบวนการผลิต และในการนำไปใช้

ซึ่งจะเน้นกับอุตสาหกรรม 4 ด้าน ได้แก่...
- เกษตรและอาหาร 
- สุขภาพและการแพทย์ 
- พลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ 
- การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์

แล้วปัจจุบัน อุตสาหกรรม BCG มีอะไรเกิดขึ้นแล้วบ้าง??? เรามาดูกันทีละด้านเลย

1. Bio Economy หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ 

- การพัฒนาธุรกิจน้ำตาล จาก อ้อย สู่น้ำตาล แปรรูปเป็น เอทานอล พร้อมกับการสกัดขั้นสูง (Bio Refinery) สู่ Bio Plastics และ Bio Chemical 

- การพัฒนาน้ำมันจากธรรมชาติ (Oleo Chemical) ซึ่งเป็นกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของไขมันพืชและสัตว์ 

ปัจจุบันนั้นมีการนำไปใช้งานหลากหลายมาก เนื่องจากเป็นสารกลุ่มชนิดที่สามารถย่อยสลายเองได้ตามธรรมชาติ และนำกลับมาใช้ได้อีก จึงเป็นสารชนิดหนึ่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก

- การพัฒนาอาหารทดแทนเนื้อสัตว์ (plant base meat)

2. Circular Economy หรือ เศรษฐกิจหมุนเวียน

- การจัดการขยะชุมชน และขยะจากเศษอาหาร เพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงาน

- การแปรรูปขยะพลาสติก เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่นเสื้อผ้า

'อั๋น ภูวนาท' ตั้งคำถามรัฐ เอเปคครั้งนี้ไทยได้อะไร? ยันคนไทยไม่รู้เรื่องเลย นอกจากโปรโมตว่าไทยพร้อม

เมื่อไม่นานมานี้ ‘อั๋น ภูวนาท คุนผลิน’ นักร้อง นักจัดรายการวิทยุ และนักแสดงชาวไทยชื่อดัง ได้ไลฟ์พูดคุยกับแฟนคลับในช่องทางสื่อออนไลน์ส่วนตัว หลังจากนั้นช่อง ‘UNJA_FAMILY(แฟนคลับ)’ ในติ๊กต๊อกก็ได้ตัดบางช่วงบางตอนที่ ‘อั๋น ภูวนาท’ ได้พูดถึงการประชุมเอเปก 2022 ที่ในปีนี้ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพ โดยมีเนื้อหาว่า…

“พี่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเอเปกเลย รู้แค่ไทยเป็นเจ้าภาพ ไม่ได้อคตินะว่ารัฐบาลนี้ทำอะไรก็ด่า แต่ถ้าทำดีพี่ก็ชมไง แต่พูดตรง ๆ นอกเหนือจากบอกว่าไทยกำลังจะมีเอเปก ควรบอกให้ประชาชนรู้หน่อยไหมว่าประเทศไทยจะได้อะไร”

“เราได้อะไร? ต้องได้แหละ แต่ได้อะไร? ต้องบอกกันหน่อยนะ เพราะให้หยุด 3 วันมันมีต้นทุนการหยุดอะ ไม่ได้บอกว่าเราไม่ได้ แต่อยากรู้ว่าเราได้อะไร บอกหน่อย จะได้ความรู้ จะได้เข้าใจ”

“อีกอย่างหนึ่งคือเชิญผู้นำระดับโลกมาตั้งมากมาย agenda หลัก ๆ ที่รัฐบาลและผู้นำของไทยจะคุยกับผู้นำที่มารวมตัวกันที่ไทย มีเรื่องอะไรบ้างที่จะเจรจาเพื่อผลประโชยน์ของประเทศไทย เรารู้เรื่องไหมว่าเขาจะคุยเรื่องอะไร…ไม่รู้เรื่องเลยว่าจะขออะไร ผลักดันอะไร ขอความร่วมมืออะไร จากใคร และจะเสนออะไรให้กับประเทศไหน ในมุมไหน ไม่รู้เรื่องเลย”

เตือนสติ ‘กลุ่ม 3 นิ้ว’ เตรียมป่วนเอเปค ชี้ ก่อม็อบล้มประชุมทำชาติเสียหาย โทษหนักถึงคุก

การเคลื่อนไหวของกลุ่มสามนิ้ว เพื่อขัดขวางการประชุมปรากฎในเพจสำนักข่าวราษฎร ในชื่อกลุ่มราษฎรหยุด APEC2022 นำโดยสมบูรณ์ กำแหง, มายด์ ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล และไผ่ ดาวดิน จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา จะออกมานำม็อบป่วนการประชุม APEC 2022 โดยมีหัวขบวนอย่าง Amnesty International Thailand เป็นเจ้าภาพ 

แกนนำสามนิ้วทำตัวเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อน ทั้งที่คดีรอบเอว น่าจะมี Hidden Agenda หากนำม็อบบุกป่วนงานได้ จะทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเสียหายในวงกว้าง ที่สำคัญคือกระทบประชาชนที่คนกลุ่มนี้ชอบอ้างว่ารักนักหนานั่นแหละ

ขนาดมองลงมาจากดาวอังคารยังเห็นว่า ป้ายที่จะนำมาประท้วงนั้นเต็มไปด้วยถ้อยคำแอนตี้จีน โยงไปถึงเรื่องอุยกูร์ แล้ววกเข้าประเด็นพม่า ซึ่งนี่ใช่เรื่องของประเทศไทยไหม แปลกแต่จริงที่แนวคิดนี้ไปสอดคล้องกับนักการเมืองบางคนที่ขึ้นเวทีด่าทอประเทศไทยอยู่ในต่างแดน โดยอวยไต้หวันแนวเดียวกับอเมริกา แอนตี้จีนแผ่นดินใหญ่ ทั้งที่บรรพบุรุษตนเองมาจากมณฑลฝูเจี้ยน

หากยุวชนสามนิ้วยังฮึกเหิมอยากมาม็อบ ขอยกตัวอย่างให้เห็นชัด ๆ ถึงเหตุการณ์ล้มการประชุมอาเซียนของกลุ่มเสื้อแดง นปช. เมื่อ 10 ปีก่อน หากจะอ้างว่าการประท้วงแสดงเสรีภาพและสิทธิส่วนบุคคลตามรัฐธรรมนูญละก็ ขอให้จำไว้แม่น ๆ ว่า ตอนนั้นศาลชี้การกระทำของแกนนำ นปช. ไม่ใช่สิทธิตาม รธน. เพราะนี่คือการใช้เสรีภาพเกินขอบเขตจนละเมิดกฎหมาย ส่วนแกนนำไม่รอดคุกเลยแม้แต่คนเดียว

วันที่ 11 ก.ย. ศาลจังหวัดพัทยาได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3494-3495/2562 ความอาญาและคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในคดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดพัทยา เป็นโจทก์ บริษัทโรแยลคลีฟ บีช โฮเต็ล จำกัด เป็นโจทก์ร่วม โดยยื่นฟ้องนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง อดีตแกนนำ นปช. จำเลยที่ 1 นายนพพร นามเชียงใต้ จำเลยที่ 2 พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ จำเลยที่ 3 นายสมญศฆ์ พรมภา จำเลยที่ 4 ในความคิดต่อความมั่นคงของรัฐ ก่อการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ทำให้เสียทรัพย์บุกรุกความผิดต่อ พ.ร.บ.จราจรทางบก

รวมทั้งคดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดพัทยา เป็นโจทก์ บริษัท โรแยลคลีฟ บีช โฮเต็ล จำกัด เป็นโจทก์ร่วม ระหว่างที่นายนิสิต สินธุไพร จำเลยที่ 1 นายสำเรง ประจำเรือ จำเลยที่ 2 พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ จำเลยที่ 3 นายธรชัย ศักดิ์มังกร จำเลยที่ 4 นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือแซ่ด่าน จำเลยที่ 5 นายศักดา นพสิทธิ์ จำเลยที่ 6 นายสิงห์ทอง บัวชุม จำเลยที่ 7 นายธนกฤต หรือวันชนะ ชะเอมน้อยหรือเกิดดี จำเลยที่ 8 นายวรชัย เหมะ จำเลยที่ 9 พ.ต.อ.สมพล รัฐกาญจน์ จำเลยที่ 10 นายพายัพ ปั้นเกตุ จำเลยที่ 11 นายวัลลภ ยังตรง

แกนนำทั้งหมดถูกแจ้งข้อหาหลายข้อหา คือร่วมกันขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน ซึ่งสั่งให้เลิกการมั่วสุม  ร่วมกันเดินแถวเป็นขบวน และกระทำด้วยประการใด ๆ ในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจร ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชน ด้วยวาจาหรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ และมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่ก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร และเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองโดยเป็นหัวหน้า เป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการกระทำผิดนั้น ร่วมกันบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ โดยขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116, 215, 216, 358, 362, 364, 365 และ พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 108, 114, 148 

ฉวยโอกาส 'ก่อม็อบ-ก่อเหตุวุ่นวาย' ช่วงเอเปค 2022 กฎหมายหนัก โทษชัด รัฐจะไม่ใจดีเหมือนที่ผ่านมา

เสรีภาพเป็นสิ่งที่ควรมี แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ภายใต้ความมีอารยะ ใครที่คิดจะออกมาป่วนในการประชุม APEC ครั้งนี้ อยากให้คิดใหม่ เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้น มันจะเป็นปัญหาใหญ่ถึงขั้นกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเลยทีเดียว

(14 พ.ย.65) เพจ 'ฤๅ - Lue History' ได้โพสต์วิดีโอเตือนบุคคลบางกลุ่มกำลังจะก่อม็อบ ในงานจัดประชุมสัปดาห์ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค โดยมีใจความสำคัญดังนี้...

ในวันที่ 18-19 พฤศจิกายน 2565 ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพงานจัดประชุมสัปดาห์ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ที่กำลังจะมีคนบางกลุ่มเฉพาะพวกที่ออกมาประท้วงยกเลิก 112 ฉวยโอกาสก่อม็อบ หรือแม้กระทั่งก่อความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในงาน นี่คืองานระดับโลกมีผู้นำเข้ามามากมาย มีสื่อเข้ามามากมาย 

โดยเตือนว่างานนี้ทางรัฐบาลไม่ได้ใจดีเหมือนที่ผ่านมา เพราะมีกฎกติกาต่างๆ ออกมา รวมถึงการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมากขึ้น การประชุมครั้งนี้มีตำรวจ ทหารทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบประมาณ 50,000 คน ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยในทุกจุดรอบกรุงเทพ และเพิ่มกล้องวงจรปิดกว่าหมื่นตัวที่สามารถเชื่อมโยงได้ทุกพื้นที่ หากมีการชุมนุมเรียกร้องล้ำเส้นขึ้นมาจนเป็นความวุ่นวาย ไปกระทบต่อผู้นำประเทศต่างๆ จะถูกดำเนินคดีข้อหาหนัก และประวัติการก่อคดีจะถูกส่งต่อไปทั่วโลก

หากก่อม็อบแล้วเกิดอะไรขึ้นกับผู้นำต่างประเทศอย่างเช่น ปูติน หรือ สีจิ้นผิง หากถูกดำเนินคดีขึ้นมา จะมาเรียกร้องหาความถูกต้องแบบที่ผ่านมาไม่ได้ ที่สำคัญจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายคุ้มครองประมุขต่างประเทศนั่นคือ มาตรา 133 และ 134 ซึ่งสองมาตรานี้ เป็นกฎหมายคุ้มครองทั้งพระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาทต่างประเทศ หรือผู้แทน, ตัวแทนประมุขรัฐต่างประเทศ โดยทั้งสองมาตราก็มีเนื้อหาเดียวกันกับมาตรา 112 ต่างแค่อัตราโทษของผู้ที่กระทำผิดเท่านั้น

“พอดูถึงตรงนี้อยากจะฝากถึงคนที่บอกให้ยกเลิกมาตรา 112 คุณลืมไปหรือเปล่าว่าเรามีมาตรา 133 และ134 ที่คุ้มครองประมุขต่างประเทศด้วย มันจะกลายเป็นเรื่องย้อนแย้งทางกฎหมาย ลองนึกภาพว่าทั่วโลกเขาจะมองประเทศเรายังไง คุ้มครองประมุขต่างชาติ แต่ไม่อยากคุ้มครองประมุขชาติตัวเอง” พิธีกรในคลิปกล่าว

ยังมีใจความอีกว่าหากมีคนบอกให้ยกเลิกมาตรา 112, 133, 134 ให้หมดเลย ถ้าทำอย่างนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ประเทศไทยจะเป็นประเทศป่าเถื่อนในสายตาชาวโลกทันที ทั้งที่ทั่วโลกมีกฎหมายคุ้มครองประมุขของประเทศตัวเอง แต่เราไม่มีเลย ไม่คุ้มครองใครเลย แล้วใครจะอยากมาประเทศของเรา นั่นหมายความว่าเราไม่ให้เกียรติประมุขของพวกเขา ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์และเป็นเกียรติยศสูงสุดของประเทศ

‘ชลน่าน’ คุย ‘สมาคมประมง’ วาง 4 นโยบายแก้ปัญหา เพื่อฟื้นคืนอาชีพ-อุตสาหกรรมประมงไทย

‘ชลน่าน’ หารือ ‘สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย’ วาง 4 นโยบายแก้ไขปัญหาประมง เพื่อฟื้นอาชีพและอุตสาหกรรมประมงไทยอย่างต่อเนื่อง ทวงคืนอันดับโลกประมงไทย

(14 พ.ย. 65) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ร่วมด้วยนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานคณะนโยบายเกษตรพรรคเพื่อไทย นายจักรพงษ์ แสงมณี กรรมการบริหารพรรคและคณะ พูดคุยหารือและรับมอบข้อเสนอจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยในการแก้ปัญหาประมงอย่างครบวงจร โดยมีนายมงคล สุขเจริญคณา ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย เป็นตัวแทนชาวประมงทั่วประเทศเข้ามอบหนังสือดังกล่าว นพ.ชลน่าน กล่าวว่าพรรคเพื่อไทยได้ลงพื้นไปที่รับฟังปัญหาของสมาคมประมงฯ ที่สำนักงาน และทีมเพื่อไทยไปฟังปัญหาจากชาวประมง ทั้งในเขตจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และหลายจังหวัดในภาคใต้ก่อนหน้านี้แล้วส่วนหนึ่ง รวมถึงในวันนี้สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ก็ได้มาพูดคุยและนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาให้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งถือเป็นความร่วมมือกันอย่างจริงใจที่จะแก้ไขปัญหาประมงของประเทศที่ค้างคามานานหลายปี 

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า แม้ปัจจุบัน สหภาพยุโรปจะได้ปลดใบเหลืองแก่ประมงไทยไปแล้ว แต่นโยบายมาตรการและหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่บริหารจัดการภาคประมงก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือผ่อนคลายลงไป แม้พรรคเพื่อไทยจะเคยนำเสนอประเด็นนี้ไปยังรัฐบาลแต่รัฐบาลก็ยังไม่ได้ผลักดันมาตรการแก้ไขปัญหาใดๆ ที่เป็นรูปธรรมออกมาอย่างจริงจัง ความเดือดร้อนของพี่น้องประมงก็ยังคงอยู่ วันนี้จึงเป็นโอกาสดี ที่ได้พูดคุยและตกผลึกแนวนโยบายและมาตรการเพิ่มเติม เพื่อให้พรรคเพื่อไทย ได้รวบรวมผลิตเป็นพิมพ์เขียวนโยบายแก้ไขปัญหาของพี่น้องประมงในการเลือกตั้งครั้งที่จะมาถึง

“ปัญหา IUU Fishing ของภาครัฐ ที่เร่งรัดแก้ไขดำเนินการอย่างเร่งรีบตั้งแต่ปี 2558 สร้างปมปัญหาต่อเนื่องให้พี่น้องประมง เพราะในวันที่แก้ไขปัญหานั้นพลเอกประยุทธ์ ไม่เคยฟังคำทักท้วงและคำแนะนำของพี่น้องประมงและผู้มีส่วนได้เสีย ดังนั้นหากพรรคเพื่อไทยมีโอกาสบริหารประเทศ เราจะพลิกฟื้นอาชีพประมงและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ด้วยการรื้อกฎหมายที่เป็นปัญหาและอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพ แก้ไขหลักเกณฑ์ให้บังคับใช้อย่างเหมาะสม ยุติธรรม และหากอุปสรรคถูกทำลายและการส่งเสริมถูกต้องเหมาะสมก็เชื่อว่า ประเทศไทยจะกลับมาทวงตำแหน่งประมงลำดับต้นๆ ของโลก สร้างรายได้ให้ชาวประมงอย่างที่เคยเป็นอีกครั้ง” นพ.ชลน่าน กล่าว

‘ก้าวไกล’ ยื่น ‘ศาลปกครอง’ เบรกดีลสายสีส้ม เหตุกลัวรัฐเสียค่าโง่ 6.8 หมื่นล้านบาท

ก้าวไกลเอาจริง ยื่นศาลปกครองหยุดดีลรถไฟฟ้าสายสีส้ม รักษาผลประโยชน์รัฐ 68,000 ล้านบาท ชี้ ถ้าปล่อยให้การประมูลผ่านอาจกลายเป็นค่าโง่ในอนาคต

สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ และณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองพิจารณาหยุดสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีส้ม

สุรเชษฐ์ระบุว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มถือเป็นทุจริตครั้งใหญ่ของรัฐบาลชุดนี้ที่มีมูลค่าจำนวน 68,000 ล้านบาท ตนและพรรคก้าวไกลขอยื่นให้ศาลปกครองหยุดยั่งโครงการนี้ หากปล่อยให้มีการอนุมัติประเทศไทยต้องเสียผลประโยชน์มหาศาล ซึ่งเรื่องนี้ตนได้เคยอภิปรายไม่ไว้วางใจไปแล้วไปเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 ว่าตัวเลข 68,000 ล้านบาท เกิดจากกระบวนการ ‘ปั้นตัวเลข’ มา ‘ปั่นโครงการ’ และในวันนี้ใกล้จะ ‘ปันผลประโยชน์’ สำเร็จแล้ว

หากศาลปกครองไม่ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เรื่องนี้จะถูกส่งไปยังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี แน่นอนว่าเมื่อไปถึงครม. ซึ่งจะทำให้เงินภาษีของประชนถูกใช้เกินจำเป็น 68,000 ล้านบาท

ตนและพรรคก้าวไกล ยอมไม่ได้อย่างเด็ดขาด จึงได้มายื่นฟ้องจำเลย ได้แก่
1.) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
2.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
3.) คณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนฯ
4.) กระทรวงคมนาคม

เพื่อให้ศาลปกครองกลางพิจารณาคำขอใน 4 ประเด็น ได้แก่
1.) ยกเลิกการประมูลที่มีปัญหาจัดการประมูลใหม่ให้มีการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม โดยอย่างน้อย BTS และ BEM ต้องเข้าได้
2.) รฟม. ต้องเข้าชี้แจงต่อคณะอนุกรรมาธิการ โดยไม่ปฏิเสธอำนาจนิติบัญญัติอย่างที่ได้เบี้ยวมา 2 ครั้ง
3.) เปลี่ยนคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 ของ พรบ.ร่วมทุนฯ เพื่อให้มีความโปร่งใส เนื่องจากเรื่องนี้เป็นคดีใหญ่ มูลค่าสูง และมีรายละเอียดมาก
4.) คาดว่าศาลคงต้องใช้เวลาพิจารณามากพอสมควร เราจึงได้ ‘ยื่นคำร้อง’ ขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนการพิพากษา และขอไต่สวนฉุกเฉินเพื่อระงับยับยั้งไม่ให้เซ็นสัญญาก่อน เพราะหากปล่อยไป รัฐบาลหน้าจะตามไปแก้ไขอะไรได้ยากและอาจทำให้เกิด ‘ค่าโง่ก้อนใหม่’

‘ธีรรัตน์’ ขอบคุณโพลเชียร์ ‘อุ๊งอิ๊ง-พท.’ เป็นรัฐบาล ขอประชาชนอดทนรอ อีกไม่นานจะได้ออกจากหลุมดำ

(14 พ.ย. 65) น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ สส.กทม.และโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีที่นิด้าโพลเผยแพร่สำรวจประชาชนภาคกลางเมื่อวันที่ 13 พ.ย. และภาคเหนือเมื่อวันที่ 6 พ.ย. พบว่าประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนน.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกฯ และยังเลือกพรรคเพื่อไทยเป็นอันดับหนึ่งในการเลือก ส.ส.แบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อว่า ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคนที่ไว้ใจเลือกพรรคเพื่อไทยให้เป็นพรรคในใจของพี่น้องประชาชน และขอขอบคุณแทน น.ส.แพทองธาร ซึ่งถึงแม้จะยังไม่ประกาศตัวเป็นว่าที่แคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ก็ยังได้รับเสียงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนท่วมท้นมากขนาดนี้ เป็นการตอกย้ำว่าพี่น้องประชาชนให้การสนับสนุนแนวทาง นโยบาย และผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยเช่นเดียวกับที่ได้รับความไว้วางใจเลือกผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งซ่อมนายกอบจ.ร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ 25 ก.ย. และการเลือกตั้งซ่อมนายก อบจ.กาฬสินธุ์วันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา จนได้รับคะแนนเสียงชนะขาดแบบแลนด์สไลด์ 

น.ส.ธีรรัตน์ กล่าวต่อว่า ทั้งหมดถือเป็นกำลังใจให้กับพรรคเพื่อไทยเป็นเสมือนธงนำทางให้พรรคมุ่งมั่นทำงานต่อไป เราจะแปรเปลี่ยนเสียงสนับสนุนที่พี่น้องประชาชนมอบให้ เป็นภารกิจในการคิดค้นนโยบาย เพื่อสร้างรายได้ สร้างชีวิตใหม่ให้กับพี่น้องประชาชน ปลดเปลื้องพันธนาการแห่งความทุกข์ระทมที่พี่น้องประชาชนต้องพบเจอมาตลอด 8 ปีให้กลายเป็นความหวัง เพื่อให้เป้าหมายในการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ พรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ ถือว่าเป็นชัยชนะของพี่น้องประชาชน

นายกฯ ฝาก ปชช.ร่วมกันทำภารกิจสำคัญเพื่อบ้านเมือง โดยให้การต้อนรับแขกผู้มีเกียรติจากทั่วโลก สู่บ้านเมืองเรา ด้วยความอบอุ่นและไมตรีจิต

“ผมขอให้พี่น้องประชาชน และทุกภาคส่วน ได้ร่วมกันทำภารกิจสำคัญเพื่อบ้านเมือง โดยให้การต้อนรับแขกผู้มีเกียรติจากทั่วโลก สู่บ้านเมืองเรา ด้วยความอบอุ่นและไมตรีจิต”

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา 
นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม
โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก
‘ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha’
เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 65

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก ‘ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha’ เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 65 ว่า  พี่น้องประชาชนชาวไทยที่เคารพครับ

สัปดาห์นี้ เป็นอีกก้าวสำคัญของประวัติศาสตร์ ที่ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ที่มีประชากรรวมกันเกือบ 3,000 ล้านคน หรือประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรโลก มีมูลค่าการค้ารวมกันเกือบครึ่งหนึ่งของการค้าโลก ซึ่งจะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม จากเวทีการประชุมผู้นำเอเปคครั้งนี้ รวมทั้งการประชุมที่เกี่ยวเนื่องและคู่ขนานกันอีกจำนวนมาก ตลอดทั้งปีที่ประเทศไทยของเราเป็นเจ้าภาพครับ

หนึ่งในการประชุมคู่ขนานดังกล่าว คือ โครงการ 'APEC Voices of the Future' ที่เปิดโอกาสและพื้นที่ในการแสดงออก-แสดงความคิดเห็น ให้แก่ผู้แทนเยาวชน-คนรุ่นใหม่นับร้อยชีวิต จาก 21 เขตเศรษฐกิจ ได้เข้าร่วมกิจกรรม ใช้พลังบริสุทธิ์อย่างสร้างสรรค์ ในการเสนอแนะเชิงนโยบาย และแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ รวมถึงยกประเด็นที่เยาวชนเป็นกังวลว่าจะส่งผลต่อคนรุ่นต่อไปที่จะต้องเติบโตขึ้นมาดูแลโลกใบนี้ในอนาคต  ถึงผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค รัฐมนตรี เจ้าหน้าที่อาวุโส สมาชิกสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจ และผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทเอกชนต่าง ๆ ในช่วงการประชุมเอเปคนี้

โดยในวันนี้ (14 พ.ย.65) ผมได้ให้การต้อนรับคณะผู้แทนเยาวชน จากโครงการดังกล่าวนี้ พร้อมกับรับฟังแถลงการณ์เยาวชน (Youth Declaration) ที่กล่าวโดยสรุปตามแนวคิดหลัก 3 ประการของเอเปคได้ ดังนี้ : 

OPEN เปิดโอกาสทางการศึกษา โดยเฉพาะเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล และมุ่งเน้นความรู้-ทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21 ตลอดจนเสริมสร้างศักยภาพระบบเศรษฐกิจเดิม ด้วยมาตรฐานสากลใหม่ ที่ขจัดอุปสรรคในอดีตและทันต่อการเปลี่ยนแปลง 

‘ณัฐชา’ ซัด!! กองสลากฯ ออกกฎขายสลากเอื้อนายทุน หลังประกาศผู้รับโควตาที่อายุ 70 ปี+ ต้องมีใบรับรองสุขภาพ

‘ณัฐชา’ ซัดเดือด กองสลากฯ ประกาศกฏผู้สูงอายุ 70 ปี+ ต้องตรวจสุขภาพไม่มีโรคส่วนตัวถึงขายได้ ชี้หยุดประเคนผลประโยชน์ให้ทุนใหญ่

(14 พ.ย. 65) ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.เขตบางขุนเทียน พรรคก้าวไกล เปิดเผยว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนจากพ่อค้าแม่ค้าสลากกินแบ่งรัฐบาลรายย่อย ว่าพวกเขาได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากหลังจากที่มีประกาศจะให้คนที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไปที่มีโควตาขายสลากต้องมีใบรับรองสุขภาพว่าสุขภาพดี

ณัฐชาระบุว่า ในความเป็นจริงผู้ที่มีอายุ 70ปี ขึ้นไปจะไม่มีโรคประจำตัวเลยคงยาก แค่ที่พบเห็นทุกคนที่ไม่ว่าจะเดินหรือนั่งขายสลากพวกเขาแข็งแรงในระดับที่ช่วยเหลือตัวเองได้ ประกาศที่ออกมาตนมองว่าเป็นการบีบและตอกย้ำว่าประเทศไทยต้องมีรัฐสวัสดิการ ไม่เช่นนั้นผู้สูงอายุ พวกเขาจะถูกคัดออกจากระบบและกดดันให้ไม่สามารถมีพื้นที่ในการทำมาหากินอะไรได้เลย เบี้ยคนชราวันละ 20 บาทไม่สามารถรองรับชีวิตใครได้ 

“ผมว่าประเทศไทยต้องเลิกดูถูกผู้สูงอายุได้แล้ว พวกเขาต้องได้รับการดูแลให้มีศักดิ์ศรีในสังคม” ณัฐชา กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top