Sunday, 5 May 2024
POLITICS NEWS

‘ศุภชัย’ วอน แยกแยะกรณีพบบ้องกัญชาในเหตุ ‘สารวัตรคลั่ง’ ยืนยัน!! ผลศึกษาไม่มีใครพี้กัญชาแล้วคลุ้มคลั่ง

(16 มี.ค. 66) ที่พรรคภูมิใจไทย นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ ‘สารวัตรคลั่งสายไหม’ มีบ้องกัญชาอยู่ในที่เกิดเหตุ ว่า อยากฝากสังคมให้แยกแยะระหว่างแก่นกับกระพี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจนายดังกล่าว มีอาการป่วยทางจิต จึงมีความเป็นไปได้ที่จะหาทุกอย่างในสากลโลกมาเสพก็ได้ และบ้องกัญชาที่มีอยู่เขาอาจไม่ได้เสพก็ได้

ดังนั้น ภาพที่ปรากฏมันไม่ได้แสดงว่าสิ่งที่เป็นประโยชน์ของกัญชาที่มีอยู่มากมายมหาศาล จะกลายเป็นสิ่งไม่ดีไป เพียงเพราะบ้องกัญชาที่อยู่ข้างสารวัตรคนดังกล่าว

'โบว์-ณัฏฐา' โพสต์ข้อความชวนคิด หากรักลุงตู่เลือกลุงตู่ แต่ถ้ารักประเทศไทย มองหาตัวเลือกอื่นๆ ไว้บ้างก็ดี

(16 มี.ค. 66) น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือ โบว์ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'ประเด็นวาระการดำรงตำแหน่งของพล.อ.ประยุทธ์ จะมีผลต่อสนามเลือกตั้ง โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม' ระบุว่า...

ความเป็นนายกฯ ของพล.อ.ประยุทธ์เริ่มนับ 6 เม.ย.60 วันเลือกตั้งคือ พ.ค.นี้ (ถ้าเขาให้เลือก) หลังจากนั้นกว่าจะประกาศผล กว่าจะเจรจารวมเสียง กว่า 250 สว. กับ 500 สส. จะมาร่วมเลือกนายกกัน กว่าจะได้ฟอร์ม ครม. กว่าจะได้เข้าเฝ้าถวายสัตย์ .. ถ้าได้เป็นต่อก็เหลือเวลาปีเศษตามรัฐธรรมนูญ

โดยปกติ ช่วงท้าย ๆ ของตำแหน่ง คนก็เริ่มเกียร์ว่างใส่อยู่แล้ว ทำอะไรได้ไม่เต็มที่

‘ชลน่าน’ ไม่กังวล ‘เสี่ยหนู’ กินข้าวกระชับมิตร ‘บิ๊กป้อม’ ย้ำชัด เป้าหมาย พท.คือจัดตั้ง รบ. ลั่น!! ไม่จับมือสองพรรคนี้

(16 มี.ค. 66) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) พร้อมด้วยนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรค ภท. และนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี รองหัวหน้าพรรค ภท. เข้าพบและร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด จะเป็นการคุยกัน เพื่อจับมือจัดตั้งรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งที่กำลังจะมาถึงหรือไม่ว่า ก็ชวนให้คิดได้ เนื่องจากเขาเคยทำงานร่วมกันมา เป็นพรรคร่วมรัฐบาลเดียวกัน ก็อาจจะมีการร่วมมือกันเพื่อร่วมรัฐบาลเดียวกันหลังเลือกตั้ง เพราะเขาเองก็คงประเมินสถานการณ์มาอยู่แล้ว ว่าเขาน่าจะได้รับคะแนนเสียงมาเท่าไหร่ หากจะมีการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันเขาจะต้องทำอย่างไร

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ที่อาจจะมีการคิดจับมือกันก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เราไม่กังวล ยิ่งเขาประกาศตัวชัดเจนเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผลดีในการที่จะตัดสินใจของพี่น้องประชาชน หากสองพรรคนี้เขาประกาศว่าหลังเลือกตั้งจะมาจับมือกัน ประชาชนจะเห็นด้วยหรือไม่นั้น เขาก็จะไปใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้ง

เมื่อถามว่า หากพรรค พท.ได้เสียงไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ และพรรค พปชร.จับมือกับพรรค ภท. พรรค พท.จะจับมือกับสองพรรคนี้ด้วยหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เรามุ่งมั่นที่จะทำให้ถึงเป้าหมายให้ได้ คือ 310 เสียง การที่เราตั้งเป้าหมายเช่นนั้น เพราะเราไม่ต้องการจับมือกับพรรคที่เป็นแนวร่วมในการยึดอำนาจ พรรคที่สนับสนุนเผด็จการมา เราต้องอาศัยเสียงประชาชนช่วย ฉะนั้น เราจึงต้องทำตรงนั้นให้ถึง

‘โรม’ ป้อง ‘พ.ต.ท.มานะพงษ์’ มือปราบแก๊งค้ายาทุน มิน ลัต วอน ขรก.น้ำดี ร่วมช่วยกันเอาสิ่งปฏิกูลออกจากระบบราชการ

(16 มี.ค. 66) นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล ได้ให้ความเห็นแก่ผู้สื่อข่าว กรณีเอกสาร แถลงการณ์จากสมาคมตำรวจ สมาคมโรงเรียนนายร้อยตำรวจ และสมาคมพนักงานสอบสวน ปรากฏลายเซ็นประธานสมาคมทั้ง 3 สมาคม ลงนาม พล.ต.อ.วินัย ทองสอง นายกสมาคมตำรวจ, พล.ต.อ. ศักดา เตชะเกรียงไกร นายกสมาคมโรงเรียนนายร้อยตำรวจ และนายไพโรจน์ กุจิรพันธ์ นายกสมาคมพนักงานสอบสวน ออกจดหมายแถลงให้กำลังใจข้าราชการตำรวจที่ประพฤติปฏิบัติชอบ และยืนหยัดตามหลักการของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

นายรังสิมันต์กล่าวว่า เอกสารฉบับนี้มีความสำคัญมาก เพราะเป็นเอกสารที่ยืนยันว่า พ.ต.ท. มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ ในฐานะสารวัตรที่ทำคดีทุน มิน ลัต และ ส.ว.อุปกิต เป็นการกระทำที่ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นการกระทำที่พิสูจน์ว่าตำรวจรายนี้ เป็นตำรวจน้ำดี ตั้งใจทำคดี 

ทั้งนี้ ในเอกสารดังกล่าวปรากฏ 6 ประเด็น ประเด็นแรกยืนยันว่า การร้องขอให้ศาลออกหมายจับเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ประเด็นที่สอง ปัญหาการออกหมายลอยที่มีข้อกล่าวอ้างกันอยู่ ไม่มีทางเกิดขึ้น ประเด็นที่สาม คือการออกหมายจับ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสนอให้ผู้บังคับบัญชา ระดับผู้กำกับ ก่อนการพิจารณาขอหมายจับแต่อย่างใด ประเด็นที่สี่ ลำดับกระบวนการซึ่งยืนยันว่ามีการขอหมายจับก่อนและแจ้งต่อเลขาธิการ ป.ป.ส. เป็นสิ่งที่ทำได้ ส่วนประเด็นที่ห้าในเรื่องของคำสั่ง ปร. 419/2556 เป็นงานคำสั่งภายในที่ใช้ภายใน สตง. ใช้กับพนักงานสอบสวนเท่านั้นไม่ได้ใช้กับหน้าที่ฝ่ายสืบสวน และประเด็นสุดท้าย ในอดีตมีการเพิกถอนหมายจับอดีตอธิบดี DSI แต่ศาลยกคำร้องโดยให้เหตุผลว่าเป็นอำนาจเฉพาะของผู้พิพากษา เมื่อสั่งคำร้องโดยชอบแล้วมิเพิกถอนได้ และสอดคล้องกับกรณีศาลพิจารณาออกหมายจับ ส.ว.คนดังกล่าวแล้ว การสั่งเลิกถอนในภายหลังจะต้องมีเหตุตามกฏหมายบังคับ หรือระเบียบเป็นหลักในการพิจารณาหาได้อ้างเพียงเหตุหลงผิดไม่

'อนุทิน' ปัด!! ร่วมมื้อเที่ยง 'บิ๊กป้อม' ขู่คู่แข่ง ยันคุยได้ทุกพรรค แย้ม!! เงื่อนไขเข้าร่วมรัฐบาลครั้งหน้า กม.กัญชาต้องผ่าน

(16 มี.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงค่ำวานนี้ (15 มี.ค.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์รายการ ‘ลึกจากสนามข่าว’ ทาง FM 96.0 ชี้แจงกรณีปรากฏภาพแกนนำพรรคภูมิใจไทย ร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกลางวันกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อย่างชื่นมื่นว่า ไม่ได้มีนัยทางการเมือง แต่เป็นการนัดกันล่วงหน้านานแล้ว ตั้งแต่นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรค เดินทางไปพบกับ พล.อ.ประวิตร ในช่วงที่ลงพื้นที่ตรวจราชการที่ จ.นครสวรรค์ และเห็นว่าไม่ได้กินข้าวกับ พล.อ.ประวิตร นานแล้ว ตนจึงได้โทรศัพท์ไปย้ำนัดกันอีกครั้ง ก่อนพบว่ามีเวลาตรงกัน ตนพร้อมคณะจึงได้เข้าไปพบ พล.อ.ประวิตร และร่วมพูดคุยถึงสถานการณ์การเมือง แลกเปลี่ยนความพร้อมของทั้งสองพรรคในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง ซึ่งพล.อ.ประวิตรก็สอบถามถึงการประเมินตัวเลข ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย ตนก็แจ้งว่าน่าจะได้ประมาณ 70 คน ซึ่งท่านก็เห็นว่า ตรงกับผลโพลล์ที่ออกมา พร้อมปฏิเสธพูดคุยถึงการจับขั้วการเมืองใหม่ เพราะปัจจุบันทั้งพรรคภูมิใจไทยกับพรรคพลังประชารัฐเป็นขั้วเดียวกัน คือ ขั้วรัฐบาลอยู่แล้ว

“ผมไปกินข้าวกับผู้จัดการรัฐบาลมันมหัศจรรย์ตรงไหน ถ้าไปกินข้าวกับพรรคเพื่อไทยค่อยตื่นเต้นกันหน่อย การนัดกินข้าวร่วมกันของนักการเมืองในช่วงนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะก่อนหน้านี้ก็มีการนำภาพที่ผมไปกินข้าวเที่ยงกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในช่วงที่ถูกเว้นวรรคปฏิบัติหน้าที่ ไปวิพากษ์วิจารณ์ แต่ผมเห็นว่าทางการเมืองเราสามารถพบปะพูดคุยกันได้ วันนี้ผมโทรไปนัดใคร หรือใครโทรมานัดผมกินข้าว ผมไปหมด หัวหน้าพรรคร่วมฝ่ายค้านจะเชิญพรรคร่วมรัฐบาลไปกินข้าว ผมคิดว่าก็ต้องไป เพราะการนัดกินข้าวก็ไม่ใช่ว่าจะต้องร่วมหัวจมท้ายกัน” นายอนุทิน ระบุ

‘จตุพร’ ซัด ‘เพื่อไทย’ 310 เสียง เพ้อเจ้อทางการเมือง เย้ย!! ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ต้องใช้ 376 เสียง

‘จตุพร’ ถาม 310 เสียงตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้อย่างไร เหตุฝ่าด่านแรกเลือกนายกฯ ไม่ได้ ต้องใช้เสียงถึง 376 บอกเพื่อไทยประเมินตามความจริง เกลี่ยเสียงทุกภาคอย่างเก่งแค่ 270 เสียงแย่งชิงจากพรรคพันธมิตร แนะประกาศใหม่ขอ 376 เสียงให้สอดคล้องความอยากจะได้สบายใจ
.
(15 มี.ค.66) ที่ผ่านมา นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน ‘อดทนและรอคอย’ โดยประเมินเป้าหมายย้อนแย้งพรรคเพื่อไทย กับตรรกะ 310 เสียงเพื่ออยากตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ไม่จับมือใคร จึงเป็นความเพ้อเจ้อทางการเมือง และเป็นไปไม่ได้ตามกติกา รธน. 2560 ต้องฝ่าด่านเลือกนายกฯ ที่ต้องใช้ถึง 376 เสียง พร้อมแนะให้ประกาศตัวเลขใหม่ เพื่อจะได้ผ่านด่านนายกฯให้ได้ก่อน
.
นายจตุพร กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี 2544 ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยมาถึงขณะนี้รวมเวลากว่า 22 ปี ในช่วงเวลานั้นพรรคถูกยุบ แล้วตั้งพรรคใหม่เป็นพลังประชาชนแล้วมาเป็นเพื่อไทยในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม พรรคการเมืองในสายสกุลทักษิณ ได้เป็นรัฐบาลรวมแค่ 8 ปี ไม่ได้เป็นรัฐบาลถึง 14 ปี
.
กรณีสมศักดิ์ เทพสุทิน กับสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ จะย้ายมาเพื่อไทย นายจตุพร กล่าวว่า ทั้งที่เพื่อไทยจะถูกยุบพรรคสูงยิ่ง แต่แกนนำกลุ่มสามมิตรสองคนนี้ยังแยกมาเพื่อไทย ถ้าพิจารณาสมาชิกทั้งกลุ่มนี้แล้ว เหมือนเป็นการกระจายความเสี่ยง เพราะแยกกันไปสังกัดพรรคอื่นด้วย โดยอนุชา นาคาศัย กับสุชาติ ชมกลิ่น และธนกร บุญคงชนะ แยกไปรวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) แล้วอีกส่วนหนึ่งมาที่เพื่อไทย
.
อีกทั้งเห็นว่า อุดมการณ์หลักของสมศักดิ์คือ ไม่เคยเป็นฝ่ายค้านต้องการเป็นรัฐบาล ดังนั้น การมาเพื่อไทยจึงแสดงถึงแนวโน้มจะได้เป็นรัฐบาล แต่ถ้าเกิดการยุบพรรคหลังการเลือกตั้งและรอตั้งรัฐบาล ย่อมเกิดการแตกกระจายไปอยู่พรรคอื่นเหมือนที่เกิดกับการยุบพลังประชาชนมาแล้ว
.
"ผมเชื่อว่า เมื่อแต่ละฝ่ายต่างมีบทเรียน เขาจะรอให้เลือกตั้งเสร็จ กระทั่งเพื่อไทยไปจับมือกับพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้เสร็จสิ้น จากนั้นการยุบพรรคจะบังเกิดขึ้น พร้อมกับความเสื่อมของเพื่อไทยที่ไปจับมือกับฝ่ายเผด็จการ กระทั่งการแตกตัวจะเกิดขึ้นตามมา โดยไม่ไปสังกัดพรรคใหม่ที่สำรองไว้"
.
นายจตุพร กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยกล่าวอ้างแนวทางการเมืองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย รังเกียจและประณามนักการเมืองยกมือหนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นฝ่ายเผด็จการ เป็นพวกทรยศประชาชน แต่ขณะนี้นักการเมืองฝ่ายเผด็จการได้เข้ามาสังกัดพรรคจำนวนมาก แล้วถูกฟอกกลายเป็นนักประชาธิปไตยผู้ซื่อสัตย์ต่อประชาชนไปโดยฉับพลัน
.
อย่างไรก็ตาม หากประเมินว่า เมื่อกระแสแลนด์สไลด์ถูกสร้างขึ้นอย่างทวนกระแสความจริงแล้ว ถ้าพิจารณาพื้นที่ภาคใต้มี ส.ส.เขต 60 คน แล้วเพื่อไทยมีความยากลำบากมากจะได้ ส.ส.สักเขต ดังนั้น เมื่อเสียพื้นที่ไป 60 เสียง ย่อมเหลือ ส.ส.เขตอยู่ 340 เสียงที่ต้องแย่งชิงกับพรรคการเมืองอื่นและฝ่ายประชาธิปไตยเดียวกัน
.
พร้อมทั้งระบุว่า ในเสียง ส.ส.เขตที่เหลือ 340 เสียง ถ้าเพื่อไทยต้องการ 310 เสียงแล้ว โอกาสเป็นไปได้อย่างน้อยมีเพียง 270 เขตเท่านั้น แล้วส่วนที่เหลือให้พรรคภูมิใจไทย ก้าวไกล รทสช.ไทยสร้างไทย ประชาธิปัตย์ และพรรคอื่นๆ ชิงกันใน 70 เขต ดังนั้น ในเชิงตัวเลขทางการเมือง ย่อมสะท้อนถึงตรรกะเพื่อไทย 310 เสียงเป็นไปไม่ได้เลย
.
นายจตุพร ย้ำว่า เมื่อเพื่อไทยสร้างกระแสแลนด์สไลด์ขึ้นมาจากที่ไม่มีความจริงหรือปรากฎการณ์บ่งบอกความเป็นไปได้ จึงเป็นอาการที่น่าเป็นห่วง เพราะที่ผ่านมาพรรคการเมืองสายนี้เคยได้เสียงเกินครึ่ง 2 ครั้งเท่านั้น ครั้งแรกในชื่อพรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2548 ที่ควบรวมพรรคอื่นมาสังกัดด้วยจึงได้เสียงถึง 377 เสียง และอีกครั้งในชื่อพรรคเพื่อไทยเมื่อเลือกตั้งปี 2554 ไม่มีพรรคฝ่ายเดียวกันมาแข่งขันด้วย จึงได้เสียง 265 เสียงเกินครึ่งจากทั้งหมด 500 เสียง แล้วเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ
.
สิ่งสำคัญ เห็นว่า การเมืองในวันนี้ แม้เพื่อไทยทำได้ 310 เสียงจริงตามเป้าหมายความอยาก จึงแสดงว่าพรรคฝ่ายเดียวกันอย่างก้าวไกล และ ไทยสร้างไทย อาจได้เสียงไม่เกิน 2-3 เสียงเท่านั้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้กับสถานการณ์ที่เป็นจริงทางการเมืองขณะนี้
.
"เมื่อประกาศแลนด์สไลด์เพื่อสร้างอุปทานหมู่ แต่ไม่อธิบายที่มาของเสียงจากพื้นที่ไหน ยิ่งภาคเหนือตอนบนในพื้นที่จังหวัดพะเยา คงเบียดแย่งชิงได้ยาก แล้วมาเหนือตอนล่างก็ลำบากอยู่ดี ส่วนภาคกลางเป็นพื้นที่บอดของเพื่อไทย และกรุงเทพก็ยังชิงกับพรรคก้าวไกล และพรรคอื่น ๆ อีก ขณะที่ภาคอีสานเป็นพื้นที่หมายมั่นนั้น ยังมีภูมิใจไทย ไทยสร้างไทย ขวางอยู่ ดังนั้น ถ้ารวมเสียงทุกภูมิภาคแล้ว อาจได้เสียงเป็นที่หนึ่งค่อนข้างแน่ แต่ไม่มีวันจะได้ 310 เสียงเด็ดขาด"
.
นายจตุพร ประเมินว่า ถ้าเชื่อเพื่อไทยจะได้ 310 เสียงจริง ต้องได้คะแนนเลือกเกือบ 18 ล้านเสียง แต่เมื่อเลือกตั้งปี 2554 ได้ 8 ล้านจึงต้องหาเพิ่มอีก 10 ล้านเสียง ดังนั้นการเดินทางหาเสียงไปสู่ตัวเลข 310 เสียงจึงหาความจริงไม่เจอ แต่หาความสบายใจได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อหวังปลุกอุปทานหมู่ให้เป็นกระแสฟีเวอร์ไปสู่เสียงแลนด์สไลด์นั้น จึงขนคนมาฟังปราศรัยให้แน่นหนาจำนวนมากเข้าไว้ จึงวัดอะไรไม่ได้ที่จะได้เสียง 310 เสียง
.
อีกทั้ง เน้นว่า ภายใต้กฎกติกาตาม รธน. 2560 การได้ 310 เสียงก็ยังไม่สามารถบรรลุถึงเป้าหมายตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ เพราะ รธน.ต้องให้ฝ่าด่านเลือกนายกฯ ก่อน ดังนั้น เสียงเกินครึ่งหนึ่งของที่ประชุมรัฐสภาคือ 376 เสียง (จาก ส.ว. บวก ส.ส. รวม 750 เสียง) เพื่อไทยยังขาดอีก 66 เสียง จะเอามาจากไหน หวังเอาเสียงจากฝ่ายประชาธิปไตย ก็ไม่ได้อยู่ดี เพราะเพื่อไทยชิงไปครอบครองไว้หมดแล้ว ดังนั้น จะตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้อย่างไร
.
"จะไปหวังให้เสียง ส.ว.มาหนุนช่วย โหวตให้ได้นายกฯ แล้ว ส.ว.จะโหวตให้หรือไม่? ถ้าสุดท้ายโหวตเลือกนายกฯ ไม่ได้ แล้วใครละจะเป็นนายกฯ ให้ จะเป็นลุงรักสงบ ก้าวข้ามขัดแย้ง (พล.อ.ประวิตร) หรือไม่? ดังนั้น หลักทางการเมืองของเพื่อไทยทั้งกวาดเรียบ 310 เสียงและตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ไม่จับมือใคร จึงอธิบายให้เป็นจริงอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้เลย"
.
นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อเพื่อไทยหลงจินตนาการในตัวเลข 310 เสียง แล้วยังเลยเถิดไปถึงความเพ้อฝันการเมืองไม่จับมือใครตั้งรัฐบาล โดยเฉพาะไม่ร่วมมือกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แต่ช่วงหลังกลับเสียงแผ่วเบาอ้ำอึ้ง ว่า ถ้าไม่ได้ 310 เสียง ต้องไปรอผลเลือกตั้งของประชาชนที่ครั้งจึงตัดสินใจ

อีกทั้ง เสนอว่า แม้เพื่อไทยจะอธิบายที่มาของเสียงแลนด์สไลด์และตั้งรัฐบาลพรรคเดียวไม่ได้ แต่ทำไมคนจึงเชื่อกัน ดังนั้น พรรคคงต้องอธิบายให้ประชาชนมั่นใจในความเชื่อตัวเลข 310 เสียงจะตั้งรัฐบาลพรรคเดียวอย่างไร ช่วยชี้แจงตรรกะย้อนแย้งเช่นนี้ด้วย

ยิ่งกว่านั้น นายจตุพร คาดว่า เมื่อสมศักดิ์กับสุริยะ เข้าพรรคเพื่อไทย ย่อมกระทบกับลำดับ ส.ส.บัญชีรายชื่อต้องไปเบียดขับลำดับของนักการเมืองประชาธิปไตยใหญ่ให้ถูกร่นขยับลงมาอย่างเห็นๆ กันอยู่แล้ว จากนั้นนักการเมืองใหญ่คงต้องกล้ำกลืนพูดถึงประชาธิปไตย แลนด์สไลด์ และเผด็จการกันต่อไป ส่วนประชาชนเมื่อได้ยินคำขานเลข 310 เสียง ยิ่งสะใจ แล้วลืมตรึกตรองถึงความจริงและความเป็นไปได้

รวมทั้ง เห็นว่า ในตรรกะทางการเมืองแล้ว ยังมีชุดความจริงอยู่อย่างเดียวคือ ความอยากได้ 310 เสียงย่อมไม่แตกต่างจากตัวเลข 251 เสียงที่เกินครึ่งของสภาผู้แทนราษฎร (ทั้งหมด 500 เสียง) ดังนั้น เพื่อไทยต้องการอะไร ใครเอาความคิดที่แหลมคมเช่นนี้มาหลอกให้เดินหน้าหาเสียงปลุกปั่นอุปทานหมู่จากประชาชน แต่ทำให้เป็นจริงไม่ได้ และหวังดึง ส.ว.มาโหวตให้ยิ่งยาก

นายจตุพร มั่นใจ เสียง ส.ว.นั้น คงไม่แตกแถวการลงมติเลือกนายกฯ โดยส่วนแรกต้องโหวต พล.อ.ประยุทธ์ แล้วต่อมาลงมติเลือก พล.อ.ประวิตร นอกจากจากสองคนนี้ ส.ว.ไม่โหวตให้อยู่แล้ว ดังนั้น การประเมินทางการเมืองใน รธน. 2560 จึงต้องอยู่กันด้วยความจริง เพราะนายกฯ มาจากการโหวตของสองสภาที่มีเสียง 750 เสียง เกินครึ่งคือ 376 เสียง สิ่งนี้เป็นตัวเลขความเป็นจริง ไม่ใช่ 310 เสียงและได้ตั้งรัฐบาลพรรคเดียวตามเพื่อไทยประกาศ เนื่องจากต้องผ่านด่านเลือกนายกฯ ก่อน

"เมื่อ 310 เสียงไม่มีความเป็นไปได้แล้ว ผมเรียกร้องให้ประกาศใหม่เป็น 376 เสียง ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว และสามารถอธิบายด้วยตรรกะที่เป็นวิทยาศาสตร์ น่าเชื่อถือด้วยหลายศาสตร์ได้ชัดเจน แต่ 310 เสียงจะไม่จับมือกับใคร และตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้อย่างไร ช่วยอธิบาย โดยจะลากเอาทางรัฐศาสตร์ กฎหมาย การเมืองศาสตร์ คณิตศาสตร์ และไสยศาสตร์มาตอบก็ได้กับการไม่จับมือใคร แล้วยังตั้งรัฐบาลพรรคเดียวอีก"

พร้อมย้ำว่า ไม่เข้าใจว่า เพื่อไทยพูดเน้นแต่ตัวเลข 310 เสียงกับการตั้งรัฐบาลพรรคเดียว และไม่จับมือกับใครไปทำไม เพราะความจริงเป็นไปไม่ได้ทั้งด้วยหลักคณิตศาสตร์และ กติกา รธน. ดังนั้นทางการเมืองต้องมีความตรงไปตรงมาและให้ความจริงกับประชาชน

นายจตุพร กล่าวว่า ตลอดเวลา 22 ปีของพรรคสายสกุลทักษิณ มีช่วงสูญเปล่าเวลาไปถึง 14 ปี แล้ววันนี้ ยังไม่รู้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) จะเปิดคดีอะไรมาเล่นงานอีก ยิ่งคดีถือครองที่ดิน สปก. ที่นักการเมืองหลายพรรคพัวพันอยู่ อีกทั้งยังมีคดีอื่นที่ทำเสร็จแล้ว แต่รอเวลาประกาศ ซึ่งจะทำให้กิดวิกฤตจริยธรรมร้ายแรงทางการเมืองอีก นอกจากนี้ การยื่นบัญชีให้ ปปช. เพียงแค่ตรวจสอบก็สามารถเล่นงานในคดีความผิดที่ลงโทษจริยธรรมนักการเมืองไปแล้ว 2 รายเป็นมาตรฐานคดีอยู่แล้ว

‘บิ๊กป้อม’ ปัดเปลี่ยนขั้วการเมืองใหม่ ยัน!! กินข้าวกับ ‘ภูมิใจไทย’ ไร้การเมือง

(15 มี.ค. 66) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณีที่ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงอาการปวดท้องว่าหายหรือยัง พล.อ.ประวิตร ตอบว่า “หายแล้ว”

ผู้สื่อข่าวถามถึงการไปรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับแกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่นำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เมื่อช่วงเที่ยงในวันเดียวกันนี้ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ทานข้าวพูดคุยกันปกติ ไม่ได้คุยเรื่องการเมือง ส่วนที่กินข้าวกับนายอนุทิน เมื่อกินข้าวด้วยกันก็เป็นพวกเดียวกันอยู่แล้ว ก่อนย้อนถามสื่อว่า “ทำไม กินไม่ได้หรือ?”

เมื่อถามว่าได้แลกเปลี่ยนความเห็นกันหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวย้ำว่า “คุยกัน กินข้าวอยู่ด้วยกัน”

เมื่อถามว่า มีข้อสังเกตว่าการไปพูดคุยกันอาจจะเป็นขั้วการเมืองใหม่ ระหว่างพรรคพลังประชารัฐ กับภูมิใจไทย พล.อ.ประวิตร ตอบว่า “ไม่รู้ คุณคิดเองทั้งนั้น”

‘รมว.เฮ้ง’ สั่ง ‘กพร.’ เปิดฝึกอบรมทำอาหารไทย ชู ‘ผัดไทย’ สตรีทฟู้ดสุดฮิต ให้เมนูเป็นที่คนไทยต้องทำได้

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เปิดฝึกอบรมสาขาประกอบอาหารไทย นำ ‘ผัดไทย’ ให้เป็นเมนูที่ทุกคนต้องทำได้ ช่วยเผยแพร่อาหารไทย  ผัดไทย ให้เป็นที่นิยมมากขึ้น

(15 มี.ค. 66) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากกระแสข่าว ‘ผัดไทย’ ได้ถูกบรรจุชื่อ ‘pad thai’ (ผัดไทย) ให้เป็นคำสากลที่ทั่วโลกรู้จัก ในเว็บไซต์ Oxford Dictionaries ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่อาหารไทยดังไปไกลทั่วโลก ‘ผัดไทย’ เป็นอาหาร Street Food ยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวรู้จักกันทั่วโลก หากได้มาเยือนประเทศไทยจะเป็นเมนูที่ต้องไม่พลาดอย่างแน่นอน จึงได้สั่งการให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ดำเนินการเปิดฝึกอบรมหลักสูตรการประกอบอาหารไทยประยุกต์ เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้มีมีความรู้ในการประกอบอาหารอย่างเมนูเด็ดอย่าง ‘ผัดไทย’ ให้เป็นเมนูที่ผู้เข้าฝึกอบรมทุกคนต้องทำได้ และนำความรู้ที่ได้รับไปประกอบอาชีพให้มีรายได้ และสามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้

นอกจากนี้ ยังถือเป็นถ่ายทอดและเผยแพร่อาหารไทยอย่าง ‘ผัดไทย’ ให้ชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทยได้ลิ้มลองไม่ว่าจะอยู่จังหวัดใดก็ตาม

'ก้าวไกล' กว่าที่เป็น หาก 'พรรคก้าวไกล' ได้แม่ทัพใหม่ที่ชื่อ 'อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ' 'คนรุ่นใหม่-การเมืองสร้างสรรค์' แท้จริง อาจบังเกิด!!

เป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่น่าสนใจ หลังจาก นายเถกิง สมทรัพย์ อดีตนายกสมาคมนักข่าววิทยุโทรทัศน์ไทย โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก (แต่ล่าสุดก็ได้ลบไปแล้ว) ว่า...

แว่วข่าวมานับเดือนแล้วว่า…คุณบุญยอด สุขถิ่นไทย จะอำลาประชาธิปัตย์…รวมทั้ง คุณจุติ ไกรฤกษ์ ด้วยอีกคน

วันก่อนคุณบุญยอด ประกาศอำลาประชาธิปัตย์ไปอยู่รวมไทยสร้างชาติ

ส่วนคุณจุติ ยังอยู่กับพรรค…คาดกันว่า อีกวันสองวันคงชัดเจนตามข่าวที่ร่ำลือกันมา

เหลือเพียงคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ…ที่ยังนั่งรอเทียบเชิญจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่เคยบอกว่าจะมาชวนไปช่วยงานเลือกตั้ง

เพื่อนๆ หรือชาวคณะท่องเที่ยวที่เคยฟังผมพูดบนรถทัวร์ระหว่างไปเที่ยวญี่ปุ่นเมื่อสิงหาคม 2565…คงจะจำกันได้บ้างว่า ผมเคยพูดเล่นๆ ว่า ใจผมนั้นอยากให้คุณอภิสิทธิ์ลาออกจากประชาธิปัตย์ไปเป็นสมาชิกพรรค 'ก้าวไกล'

ผมพูดเล่นๆ แบบนี้กับเพื่อนๆ ใกล้ตัวหลายครั้ง…

เพราะผมเชื่อว่า คุณอภิสิทธิ์จะยังไม่สามารถกลับเข้ามามีบทบาทนำในพรรคประชาธิปัตย์ได้อีกหลายปี

แต่คุณอภิสิทธิ์เป็นคนมีความสามารถ และมีแนวความคิดที่เหมาะสมจะมาอยู่ร่วมกับ 'พรรคก้าวไกล'

คุณอภิสิทธิ์จะสามารถปรับทิศทางการเมืองของคนในพรรคก้าวไกลให้เดินไปในแนวทางที่สร้างสรรค์กว่าที่เคยเป็นมา

คือลดเลิกความคิดรุนแรงสุดโต่งที่รังแต่จะนำคนรุ่นใหม่ไปสู่เส้นทางผิดๆ และทำลายล้างความคิดดีๆ

ผมเชื่อว่าคุณอภิสิทธิ์จะช่วยสร้างความสมดุลให้กับพรรคที่เป็นที่รวมของคนรุ่นใหม่พรรคนี้ให้มาในแนวทางที่เป็นประโยชน์จริงๆ ต่อการพัฒนาสังคม

แทนที่จะปลุกระดมให้หมกมุ่นอยู่กับแนวคิดทางการเมืองสุดโต่งที่ก่อเกิดการแตกแยกมากกว่ามุ่งหน้าพัฒนาประเทศ

‘ณัฐชา’ ฉะ ‘แรมโบ้’ เหลือสำนึกความเป็นคนบ้าง หลังหนุน จนท. ปิดปากลากตัว คนเห็นต่าง ‘บิ๊กตู่’

(15 มี.ค.66) ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.เขตบางขุนเทียน กรุงเทพ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ขอฝากไปยังคุณแรมโบ้ เสกสกล อัตถาวงศ์ อย่าทำตัวเป็นโบโบ้ที่ซื่อสัตย์กับเผด็จการ หนุนพฤติกรรมป่าเถื่อนชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่กดขี่ข่มเหงประชาชนให้มากนัก อย่างน้อยก็เคยเป็นแกนนำมวลชนคนเสื้อแดงที่เคยถูกกดขี่ข่มเหงจากอำนาจไม่เป็นธรรม จะพูดจาอะไรให้เหลือสำนึกความเป็นคนที่มีคุณธรรมและมนุษยธรรมไว้บ้าง

ทั้งนี้ ณัฐชา กล่าวว่า รู้สึกสมเพชกับสิ่งที่นายแรมโบ้ทำ มีการเล่าเป็นฉากๆ เพื่อแก้ตัวให้การกระทำอันป่าเถื่อนภายใต้ความเพิกเฉยของนายกรัฐมนตรี กรณีคุณป้าท่านหนึ่งเตรียมขวางขบวนเพื่อขอเข้าพบนายกฯ ที่จังหวัดราชบุรี ว่าเป็นการกระทำที่ไม่เกินกว่าเหตุแถมยังขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่ปกป้องนายกฯแด้วย

นายณัฐชา กล่าวว่า ในฐานะนักการเมือง พวกเราไปหาเสียงมาทั่วประเทศ มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เหตุการณ์แบบนี้เราก็เคยเจอ แต่ในเมื่อประชาชนมีสิทธิที่จะคิดและแสดงความเห็น เราก็ต้องรับมือเหตุการณ์เหล่านี้ด้วยวุฒิภาวะ แน่นอนว่าตนไม่เห็นด้วยกับการป่วนหรือคุกคามใช้ความรุนแรงในการแสดงออก แต่เรามีวิธีจัดการได้มากมายโดยไม่ใช้การกระทำเหมือนเห็นประชาชนไม่ใช่คนอย่างนี้

ณัฐชา ย้ำว่า การที่เจ้าหน้าที่เข้าไปฉุดกระชากลากตัวเข้าซอกแคบ ๆ ปิดตา ปิดปากแถมยังเอาร่มบังระหว่างจับกุมคุมตัว ไม่ใช่วิธีการตามหลักสากลแน่นอน แต่คือการละเมิดและทำร้ายร่างกายอย่างชัดเจนและอุกอาจ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top