Saturday, 18 May 2024
POLITICS NEWS

บรรยากาศการรับสมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งวันแรกคึกคัก ภาพรวมเรียบร้อยดี พรรคใหญ่ส่งผู้สมัครครบทั้ง 5 เขต

วันนี้ (3 เม.ย.66) ซึ่งเป็นวันแรกของการรับสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ซึ่งที่หอประชุมจำลอง ศรีเลขา โรงเรียนนราธิวาส อำเภอเมืองนราธิวาส บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เดินทางมารอก่อนเวลา โดยคนแรกที่มาถึงเวลา 06.52 น. เป็นผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย เขต 5 จากนั้นพรรคต่าง ๆ ก็ทยอยกันมา อาทิ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคประชาชาติ พรรคเป็นธรรม พรรคภูมิใจไทย พรรคไทยสร้างไทย ส่วนใหญ่เป็นผู้สมัครหน้าเก่า และพรรคใหญ่ส่งผู้สมัครครบทั้ง 5 เขต  ซึ่งทาง กกต.นราธิวาส ได้จัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกตรวจเอกสารเบื้องต้นก่อนการยื่นสมัคร พร้อมนี้สภานักเรียนของโรงเรียนนราธิวาส ได้มาร่วมสังเกตการณ์ด้วย ส่วนบริเวณโดยรอบสถานที่รับสมัครบรรดากองเชียร์และผู้สนใจทั่วไปมาติดตามการรับสมัครเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีการจัดตำรวจคอยดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกการจราจร 

โอกาสนี้ก่อนเข้าสู่การจับสลากหมายเลขผู้สมัคร นายสนั่น  พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ได้กล่าวพบปะให้กำลังเจ้าหน้าที่และผู้สมัคร พร้อมร่วมกับผู้เกี่ยวข้อง อาทิ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส รองผู้บังคับหน่วนเฉพาะกิจนราธิวาส ผู้แทนหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน กองทัพเรือ สังเกตการณ์การรับสมัคร

นายเสน่ห์ รักรงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า จังหวัดนราธิวาส มี 5 เขตเลือกตั้ง มากกว่าการเลือกตั้งครั้งก่อนเมื่อปี 2562 คาดว่าปีนี้จะมีผู้มาสมัครรวมกว่า 70 คน มองว่าในพื้นที่การแข่งขันไม่รุนแรง และจะเป็นไปตามกฎ กติกา ระเบียบกฎหมาย เพราะทุกคนมีความเข้าใจแนวทางปฏิบัติหลัง กกต.นราธิวาส จัดประชุมเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการเลือกตั้ง ส.ส.เชิงสมานฉันท์ ทั้งนี้ ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 575,624 คน (เดิม 550,645) หน่วยเลือกตั้ง 955 หน่วย (เดิม 927) เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก (นิวโหวตเตอร์) ประมาณ 20,000 คน คาดว่าจะมีผู้ออกมาใช้สิทธิ 84-85 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่าเมื่อปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ 79.08 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ ทาง กกต.นราธิวาส ได้สร้างความเข้าใจกระตุ้นให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ผ่านช่องทางประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ อาทิ เพจเฟซบุ๊ก หอกระจายข่าว สื่อกรมประชาสัมพันธ์ เป็นต้น

เดินหน้าสู้!! 'มนัส โกศล' หัวหน้าพรรคแรงงานสร้างชาติ ปราศรัยใหญ่ ยึดมั่นนโยบาย ย้ำจุดยืนเพื่อคนใช้แรงงาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ภายในหมู่บ้านชลเทพ สนามกีฬาโรงเรียนสันต์เสริมวิทย์ ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ พรรคแรงงานสร้างชาติได้มีการเปิดปราศรัย พร้อมทั้ง ได้เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส. พรรคแรงงานสร้างชาติ ทั้ง 4 ภาคทั้วประเทศ โดยคณะสมาชิกพรรคได้เปิดประชุมใหญ่พร้อมกับแถลงนโยบายและจุดยืนของพรรคแรงงานสร้างชาติ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนลงสู้ศึกเลือกตั้งหลังจากที่มีการประกาศยุบสภาพร้อมทั้งจะมีการเลือกตั้งใหม่ภายในเดือนพฤษภาคม 2566 นี้

ด้าน นายมนัส โกศล หัวหน้าพรรคแรงงานสร้างชาติ เปิดเผยว่า ในวันนี้ทางพรรคแรงงานสร้างชาติ ได้เปิดประชุมใหญ่ และเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส. พร้อมทั้งมอบดอกไม้ให้กำลังใจแก่ผู้ลงสมัคร สส. ทั้ง 4 ภาคทั่วประเทศ อีกทั้ง มีการส่งมอบธงพรรคแรงงานสร้างชาติแก่หัวหน้าสาขาทั้ง 4 ภาค โดยการประชุมครั้งนี้มีความสำคัญมากเพราะมีคณะสมาชิกพรรคและว่าที่ผู้ลงสมัคร  สส. เดินทางมาเข้าร่วมการประชุมครบทั้ง 4 ภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ จำนวนกว่า 300 คน 

นายมนัส โกศล ยังกล่าวต่ออีกว่า พรรคแรงงานสร้างชาติมีความพร้อมทุกด้าน โดยเฉพาะการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และนโยบายพรรค พร้อมขับเคลื่อนสวัสดิการพื้นฐานอย่างทั่วถึง ปฏิรูปประกันสังคม ปรับปรุงกฎหมายแรงงาน ส่งเสริมการศึกษา การสร้างอาชีพ การส่งเสริมการจ้างงาน และหัวใจสำคัญประชาชนต้องได้รับการจ้างงานที่เป็นธรรม ประกอบกับ สมาชิกพรรคแรงงานสร้างชาติรวมถึงว่าที่ผู้สมัคร สส. ทุกคนล้วนเป็นบุคลากรที่มีความรู้ มีความสามารถ พร้อมที่จะช่วยกันบริหารขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่พี่น้องประชาชนในทุกภาคส่วน

‘ชัยวุฒิ’ กำชับดูแลผู้เสียหาย ปมข้อมูลหลุด 55 ล้านราย พร้อมเร่งใช้ Digital ID ช่วยยกระดับดูแลความปลอดภัย

(3 เม.ย.66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวถึงกรณี ผู้ใช้งานบัญชี ‘9near’ ที่อ้างว่ามีข้อมูลส่วนตัวของคนไทยกว่า 55 ล้านราย บนเว็บไซต์ Bleach Forums นอกเหนือจากที่เร่งหาหลักฐานและตัวคนร้ายแล้ว ได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องเร่งหาข้อเท็จจริง ดูแลผู้เสียหายจาก 9near ตลอดจนเร่งรัดการใช้ Digital ID และยกระดับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล

ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้เป็นประธานการประชุม ‘การรักษาความมั่นคงปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลของหน่วยงานรัฐ’ โดยได้เชิญหน่วยงานรัฐที่มีข้อมูลส่วนบุคคลขนาดใหญ่หรือมีจำนวนมากหารือ อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ สำนักงาน กกต. เป็นต้น รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงาน กสทช. สำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) ในการประชุม ได้มีการ หารือประเด็นสำคัญดังนี้

1. ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศรวมทั้งฐานข้อมูลของหน่วยงานเป็นไปตามมาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลที่เกี่ยวข้องหรือไม่ มีการตรวจสอบเพื่อป้องกันและแก้ไขช่องโหว่ของระบบที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่ ผลเป็นอย่างไร

โดยนายศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ได้รายงานในที่ประชุมว่า จากการสุ่มตรวจของ สคส. ได้พบการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่เหมาะสมของหน่วยงานของรัฐ และได้ทำการแจ้งเตือนไปแล้ว ที่ผ่านมาก็ได้รับความร่วมมือปรับปรุงตามคำแนะนำ 

ทาง พลอากาศตรี อมร ชมเชย. เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทาง ไซเบอร์แห่งชาติ ให้ข้อมูลว่า THAICERT ของ สกมช. ตรวจพบว่าระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ของหน่วยงานรัฐหลายหน่วยงานถูกโจมตี และยังมีการหลุดรั่วของข้อมูล ซึ่งได้ประสานงาน เร่งแก้ปัญหาและป้องกันปัญหาอย่างต่อเนื่อง

2. แนวปฏิบัติและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลในหน่วยงานของรัฐ อาทิ พรบ. ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ และ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ พรบ. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. ๒๕๖๒ พรบ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ รวมทั้งประกาศคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เรื่อง มาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๕ และ ประกาศคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการในการแจ้งเหตุการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๕ 

ทั้งนี้ หากหน่วยงานทำข้อมูลรั่ว โดยเฉพาะข้อมูลที่มีความอ่อนไหว ต้องรีบแจ้ง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ผู้เสียหาย รวมถึงควรทำการเยียวยาผู้เสียหายด้วย

บรรยากาศการรับสมัครเลือกตั้ง ส.ส. นครนายก เขต1 ซึ่งเป็นสนามที่ถูกจับตามองมากที่สุด

เป็นที่จับตามองสองตระกูลใหญ่ บุญมา จากฝากฝั่งพรรคเพื่อไทย และกิตติธเนศวร จากฝั่งภูมิใจไทย

โดยในวันนี้ พล.ต.ต. สุรพล บุญมา หรือที่รู้จักกันในนามผู้การแดง ได้เดินทางมาที่สนามรับสมัครโรงเรียนนครนายกวิทยาคม เป็นผู้สมัครคนแรก ตั้งแต่เวลา 7 โมงเช้า 

โดยในวันนี้ได้มีการรับสมัครแบบแบ่งเขตโดยมีผู้สมัครจำนวน 8 ท่าน ได้แก่ พรรคเพื่อไทย ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ ก้าวไกล รวมไทยสร้างชาติ เสรีรวมไทย พลังประชากรไทย ประชาธิปัตย์  

ส่วนการจับเบอร์ในวันนี้นั้นสองพรรคใหญ่ที่ถูกจับตามองในเขต1 ได้แก่พล.ต.ต.สุรพล บุญมา พรรคเพื่อไทย ได้เบอร์ 3 ส่วนด้าน นาย ปิยะวัฒน์ กิตติธเนศวร จากฟังภูมิใจไทยได้เบอร์ 1 

ส่วนในเขต 2 อ.บ้านนา-อ.องครักษ์ ถูกจับตามองเช่นกัน เป็นศึกระหว่างอากับหลานตระกูลกิตติธเนศวร

โดยทางด้านนายเกรียงไกร กิตติธเนศวร จากพรรคเพื่อไทย  ได้เบอร์ 5 

ส่วนทางด้าน(อา) นายวุฒิชัย กิตติธเนศวรได้เบอร์ 1 ซึ่งในสนามเลือกตั้งจังหวัดนครนายกนั้นถูกจับตามองเป็นพิเศษคือเขตหนึ่งซึ่งเป็นผู้สมัครหน้าใหม่กันทั้งคู่

โดยแต่ละผู้สมัครได้มีกองเชียร์กว่า 300 คนมาร่วมเชียร์หน้าหอประชุมเพื่อให้กำลังใจกับผู้สมัครในวันนี้

การวิเคราะห์ 

เปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 พรรคเพื่อไทย นครนายก

ในพื้นที่จ.นครนายก การเลือกตั้งครั้งนี้แบ่งเป็น 2 เขต จากเดิมมีเพียงเขตเดียว ซึ่ง ส.ส.เก่า นายวุฒิชัย กิตติธเนศวร (เสี่ยอ๋า) เดิมสังกัดพรรคเพื่อไทย การเลือกตั้งครั้งนี้ย้ายพรรคเข้ามาสู่ภูมิใจไทย ลงเลือกตั้งเขต 2 อำเภอบ้านนาและองครักษ์ ซึ่งสู้กับหลานชายตัวเอง นายเกรียงไกร กิตติธเนศวร สังกัดพรรคเพื่อไทย 

แต่สนามที่ดุเดือดคือเขต 1 อำเภอเมืองนครนายกและปากพลี ซึ่งมีผู้สมัครอย่าง พล.ต.ต.สุรพล บุญมา ผู้การแดง อดีตรองผู้บังคับการตำรวจภูธรนครนายก ซึ่งประกาศเปิดตัวเข้าสู่บ้านใหญ่ พรรคเพื่อไทย สู้ศึกกับลูกชายอดีตส.ส.อย่างเสี่ยอ๋า คือ นายปิยวัฒน์ กิตติธเนศวร สังกัดพรรคภูมิใจไทย 

‘สกลธี’ เดือด ‘ตะวัน-แบม’ ป่วนเวทีปราศรัย ลั่น!! พปชร. พร้อมฟัง แต่มาให้ถูกกาลเทศะ ครั้งหน้าจ่อเพิ่มการ์ด

(1 เม.ย.66) ที่สวนสาธารณะใต้สะพานพระราม 8 นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรค และหัวหน้าทีมกทม. ให้สัมภาษณ์ภายหลังเหตุการณ์ชุลมุน ‘ตะวัน’ ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และ ‘แบม’ อรวรรณ ภู่พงษ์ นักกิจกรรมอิสระ พร้อมกลุ่มได้มาทำกิจกรรมเคลื่อนไหวที่เวทีปราศรัยย่อยพลังประชารัฐ ว่า พรรคพลังประชารัฐตั้งใจมาปราศรัยพบปะพี่น้องชาวกรุงเทพฯ ซึ่งพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ได้พูดเสมอถึงการก้าวข้ามความขัดแย้งและรับฟังทุกฝ่าย ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ถูกกาลเทศะ เพราะเป็นการทำกิจกรรมของนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย การรับฟังและการพูดคุยน่าจะใช้เวทีอื่น และมาในลักษณะที่สงบและเป็นมิตรมากกว่านี้ หากพูดถึงมารยาทตนคิดว่าเป็นการขาดมารยาทในขณะที่พรรคการเมืองหนึ่งหาเสียงและมีคนมาป่วนเวที ในขณะที่ต้องการเสนอนโยบายให้ประชาชน ถ้ามาเบาๆก็ยังคุยกันได้ แต่นี่มาในลักษณะเหมือนกับการก่อกวนไม่ต้องการพูดคุยกัน และมีลักษณะที่เกิดความรุนแรงขึ้นด้วย ตนได้รับรายงานว่าการ์ดเวทีเจ็บไป 4 คน ซึ่งต้องขอปรึกษากับผู้ใหญ่ก่อนว่าทางพรรคจะดำเนินการอย่างไร และส่วนตัวของการ์ดก็จะไปแจ้งความ

นายสกลธี กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามเราต้องเอาการจัดงานครั้งนี้เป็นบทเรียน ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เพราะเข้าสู่การเลือกตั้งแล้ว การจัดเวทีที่ผ่านมาก็ไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ในวันนี้ทางผู้บริหารพรรคก็จะเอาเหตุการณ์นี้ไปเป็นบทเรียนโดยอาจจะมีการจัดการ์ดมากขึ้น และแจ้งตำรวจท้องที่ในเวลาที่มาทำกิจกรรม เพราะไม่อยากให้เกิดภาพการปะทะ ขอให้มาแข่งด้วยการหาเสียงด้วยนโยบายดีกว่าเพื่อให้ประชาชนตัดสินเอง

‘วันชัย’ โพสต์ ปม ส.ว.โดนรุมด่าบนเวทีปราศรัยหาเสียง เตือนนักการเมืองให้เงียบปากไว้บ้าง ระวังจะกลับลำไม่ทัน

‘วันชัย’ โพสต์เฟซบุ๊กหลังส.ว.โดนรุมด่าบนเวทีปราศรัยหาเสียง เตือนนักการเมือง หากไม่มั่นใจจะได้ 376 เสียงขอให้หุบปาก ระวังคำพูดที่เคยรังเกียจบางพรรค สุดท้ายอาจต้องดึงมาร่วมตั้งรัฐบาล ถึงตอนนั้นจะเสียคน

(1 เม.ย.66) นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์เฟซบุ๊ก ‘ทนายวันชัย สอนศิริ’ เรื่อง ‘โจมตี ส.ว. 250 ระวังจะกลับลำไม่ทัน’ โดยระบุข้อความว่า โจมตี ส.ว. 250 ระวังจะกลับลำไม่ทัน ผมเห็นนักวิเคราะห์วิจารณ์ นักหาเสียง นักปราศรัย อะไรๆก็ยังด่ายังว่า ส.ว.250 ทั้ง ๆ ที่ใครต่อใครเขารู้กันหมดแล้ว ว่าถ้าใครจะเป็นรัฐบาลต้องมีเสียงส.ส.เกินกว่ากึ่งหนึ่ง รัฐบาลจะอยู่หรือไป ก็อยู่ที่ส.ส. ไม่ได้เกี่ยวกับส.ว.เลย และก็เป็นที่แน่ชัดว่าพรรคการเมืองใดจะแลนด์สไลด์หรือไม่แลนด์สไลด์ ถ้ารวมเสียงกันแล้วได้เกินกว่ากึ่งหนึ่ง พรรคการเมืองเหล่านั้นก็จะต้องเป็นรัฐบาล พรรคการเมืองนอกนั้นที่มีเสียงข้างน้อยก็ควรจะเป็นฝ่ายค้าน อันเป็นไปตามหลักประชาธิปไตย และ ส.ว.ส่วนใหญ่ก็คงต้องสนับสนุนในหลักการนี้ โดยโหวตให้คนที่มีเสียงข้างมากเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อมันเป็นเช่นนี้ จะปราศรัยโจมตีส.ว.250 ไปทำไม สร้างความเกลียดชังสร้างความบาดหมางกันไปเปล่าๆ ไม่เป็นผลดีแก่ใครเลย โดยเฉพาะกับพรรคที่พูดเรื่องนี้ ปราศรัยโจมตีกันทุกเวที ระวังยิ่งพูดยิ่งจะเข้าตัว

เลือกตั้งเขต 6 สงขลา เดือดปุด ๆ 'น้ำหอม' สู้สุดฤทธิ์ กับ 'เสี่ยโบ๊ต' และ 'รองอั๋น' ที่หวัง 'ปักธง' เป็น ส.ส.

เขตเลือกตั้งที่ 6 จ.สงขลา เป็นอีกหนึ่งเขตเลือกตั้งที่ มีการแข่งขันกันหนัก ระหว่าง น.ส.สุภาพร กำเนินผล 'น้ำหอม' ที่เป็น ส.ส.ในเขตนี้จากการเลือกตั้งซ่อม กรณีที่ 'ถาวร เสนเนียม' ถูกศาลตัดสิทธิ์ ให้พ้นจากการเป็น สส.ในเขตนี้ ในปี 2564 ซึ่งในการเลือกตั้งซ่อมในครั้งนั้น เป็นการแข่งขันระหว่าง น.ส.สุภาพร กำเนิดผล ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นภรรยาของนายเดชอิศม์ ขาวทอง หรือ 'นายกชาย' กับ นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ หรือ 'เสี่ยโบ๊ต' ตัวแทนของพรรคพลังประชารัฐ ลูกชายของนายอนันต์ พฤกษานุศักดิ์ 'คหบดี' ของ อ.สะเดา จ.สงขลาและ อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองสะเดา หุ้นส่วนบริษัท 'ศรีตรัง' ผู้ค้ายางและส่งออกยาง รายใหญ่ของประเทศไทย ส่วนผู้สมัครของพรรคการเมืองอื่นๆ ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนั้น เป็นได้แค่ 'ไม้ประดับ' เท่านั้น

ในอดีตเขตเลือกตั้งที่ 6 ประกอบด้วย อ.สะเดา ยกเว้น ต.สำนักขาม ต.สำนักแต้ว อ.คลองหอยโข่ง ทั้งหมด และ ต.บ้านพรุ ต.พะตง อ.หาดใหญ่ แต่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ กกต.มีการ แบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ พื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 6 คือ อ.สะเดา และ อ.คลองหอยโข่ง ทั้งหมด ทำให้การ 'หาเสียง' การลงพื้นที่เพื่อพบปะประชาชนของผู้สมัครมีความสะดวกขึ้น ที่สำคัญในการ เลือกตั้งซ่อม เมื่อปี 2564 แม้ว่านายถาวร เสนเนียม เจ้าของพื้นที่หลายสมัย จะไม่ได้ลงรับเลือกตั้ง แต่นายถาวร ก็ประกาศให้การ สนับสนุน นายอนุกูล ซึ่งเป็นผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐให้ได้เป็น ส.ส. อย่างเปิดเผย ทั้งที่นายถาวร เป็นอดีต สส.ของพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นหนึ่งในผู้ สนับสนุน ให้นายเดชอิศม์ ขาวทอง 'นายกชาย' ให้เข้าพรรคประชาธิปัตย์ จนได้เป็น ส.ส.เขต 5 จ.สงขลา ของพรรคประชาธิปัตย์ แต่สุดท้ายการเลือกตั้งครั้งนั้น จบลงที่ น.ส.สุภาพร กำเนิดผล จากพรรคประชาธิปัตย์ เอาชนะ นายอุกูล พฤกษานุศักดิ์ ไปถึง 4,000 กว่าคะแนน และเป็นการชนะอย่างถล่มทลายในพื้นที่เล็กอย่าง อ.คลองหอยโข่ง ส่วนนายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ ชนะในพื้นที่ใหญ่ในเขตเทศบาลอำเภอสะเดา แต่เป็นการชนะที่ไม่ขาด

ในการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ยังมีมติส่ง สส.สุภาพร กำเนิดผล ลงสมัครในเขต 6 เช่นเดิม ซึ่งเหมือนกับเป็นการลงป้องกันแชมป์กับคู่ชิงคนเดิม คือนายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ ซึ่งยังคงสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ที่มี พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ 'ลุงป้อม' เป็นหัวหน้าพรรค และเป็นผู้สมัครคนเดียวของ จ.สงขลา จากพรรคพลังประชารัฐ ที่ไม่มีการย้ายพรรคไปอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 'ลุงตู่' รักษาการนายกรัฐมนตรี โดยเสี่ยโบ๊ต ได้รับการปูนบำเหน็จ ในความจงรักภักดีกับ 'ลุงป้อม' ด้วยการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของ 'ลุงป้อม' ในการ เลือกตั้งครั้งนี้

แต่....เลือกตั้งใหญ่ครั้งนี้ ไม่เหมือนกับการเลือกตั้งซ่อม เมื่อ 2 ปีก่อน เพราะ นอกจากส.ส.น้ำหอม และเสี่ยโบ๊ตที่เป็นคู่ชิงในการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมาแล้ว ยังมีผู้สมัครจากพรรคการเมืองอื่น ๆ ลงสมัครในพื้นที่ เขต 6 อีกหลายพรรค และหนึ่งในหลายพรรคที่กล่าวมามี นายภูวดล (อั๋น) วงษ์โสภณากุล ซึ่งลาออกจากการเป็น เลขานุการนายก อบจ.สงขลา มาเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง ในเขตที่ 6 โดยสวมเสื้อพรรครวมไทยสร้างชาติของลุงตู่และที่สำคัญคือมีนายถาวร เสนเนียม ซึ่งเป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยภักดี ประกาศให้การ สนับสนุนนายภูวดล วงษ์โสภณากุล เช่นเดียวกับที่เคยให้การสนับสนุนนายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ มาแล้วในการเลือกตั้งซ่อมเมื่อ 2 ปีก่อน

‘ชัยวัฒน์ ก้าวไกล’ ซัดรัฐไร้น้ำยาคุ้มครองข้อมูลคนไทย หลังปล่อยแฮกเกอร์ขโมยข้อมูล ปชช.ซ้ำซาก

‘ชัยวัฒน์’ มือเศรษฐกิจดิจิทัลพรรคก้าวไกล ติงระบบภาครัฐหละหลวม ปล่อยแฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวประชาชนซ้ำซาก คาดสาเหตุช่องโหว่ในระบบจากรูรั่วซอฟต์แวร์ที่ไม่อัปเดต - ขาดกระบวนการเข้ารหัสข้อมูล ชูนโยบายก้าวไกล ปกป้องข้อมูลประชาชน ก่อนใช้ข้อมูลต้องขอความยินยอม - ระบบแจ้งเตือนทันทีถ้าข้อมูลรั่ว

(31 มี.ค.66) ชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการเงินและยุทธศาสตร์ข้อมูล หนึ่งในทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีแฮกเกอร์ใช้ชื่อ ‘9near’ โพสต์ขายข้อมูลที่อ้างว่าเป็นข้อมูลส่วนตัวของคนไทยกว่า 55 ล้านรายการ และอ้างว่าขโมยมาจากหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่ง

ชัยวัฒน์ กล่าวว่า จากที่เข้าไปดูแฮกเกอร์รายนี้ มีตัวอย่างข้อมูลประมาณ 93,000 คน ทั้งเลขบัตรประชาชน ชื่อนามสกุล วันเดือนปีเกิด ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ จึงมีความเป็นไปได้สูงว่ามีข้อมูลรั่วไหลจริง และการที่หลุดออกมามากขนาดนี้ แสดงว่าแฮกเกอร์สามารถเข้าถึง (access) ฐานข้อมูลได้

ในช่วงที่ผ่านมา เราเห็นข่าวลักษณะนี้บ่อยครั้ง สะท้อนว่าการจัดการควบคุมความเสี่ยงด้านไซเบอร์ของภาครัฐ โดยเฉพาะการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน มีความหละหลวมมาก ดังนั้น เรื่องพื้นฐานที่ภาครัฐต้องทำ เพื่อไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คือ ประการที่หนึ่ง ต้องมีมาตรการป้องกัน เพราะการที่แฮกเกอร์เข้าไปได้แสดงว่าระบบไอทีของภาครัฐมีช่องโหว่ ซอฟต์แวร์ต่างๆ อาจไม่ได้รับการอัปเดตปิดรูรั่วอย่างสม่ำเสมอ เรื่องนี้สามารถป้องกันได้ถ้าหน่วยงานรัฐจริงจัง

ประการที่สอง คือมาตรการลดความเสี่ยง เพราะบางครั้งต่อให้มีระบบป้องกันแล้ว แต่แฮกเกอร์ที่มีความสามารถสูง ก็อาจจะเข้าไปได้ ดังนั้น สิ่งที่หน่วยงานรัฐต้องมีและสามารถทำได้ คือการเข้ารหัสฐานข้อมูล (Encryption) เปรียบเสมือนล็อกกุญแจข้อมูลไว้ ถ้าไม่มีกุญแจ ต่อให้เข้าถึงฐานข้อมูล แต่ก็จะอ่านข้อมูลไม่ออก ข้อมูลประชาชนก็จะไม่รั่วไหล

“จากที่ดูตัวอย่างข้อมูล เห็นว่ามีเบอร์โทรศัพท์มือถืออยู่ด้วย ซึ่งอาจเกิดจากการลงทะเบียนด้วยตัวเองของประชาชน เกี่ยวกับการเข้ารับบริการภาครัฐ” ชัยวัฒน์กล่าว

ชัยวัฒน์กล่าวอีกว่า ประเทศไทยมีพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ.2562 เน้นดูแลหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ เช่น หน่วยงานการเงินการธนาคาร การสื่อสาร รวมถึงด้านสาธารณสุข แต่การที่ข้อมูลภาครัฐรั่วไหลหลายครั้ง ทำให้ต้องตั้งคำถามว่ากฎหมายนี้มีประโยชน์จริงหรือไม่ ทำไมหน่วยงานรัฐยังอ่อนแอในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลประชาชน รัฐต้องตอบคำถามว่าปัญหาอยู่ตรงไหนกันแน่

ชัยวัฒน์กล่าวว่า ถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล เรามีนโยบายแปลงข้อมูลเป็นขุมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลของประชาชนหรือข้อมูลของภาคธุรกิจ ให้เป็นรูปแบบดิจิทัลเพื่อสร้างเศรษฐกิจใหม่ๆ โดยวางบทบาทให้รัฐต้องเปลี่ยนเป็นผู้สร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล 3 อย่าง ได้แก่ หนึ่ง การพัฒนามาตรฐานข้อมูลและสร้าง ‘ถนนข้อมูล’ ที่จะทำให้ข้อมูลสามารถเชื่อมโยงกันได้ภายใต้มาตรฐานเดียวกัน

‘บิ๊กตู่’ เตรียมหารือ ‘เลขาธิการอาเซียน’ แก้ปัญหาฝุ่น PM2.5

เมื่อวานนี้ (30 มี.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงาน่วา ดร.เกา กิม ฮวน (Dr. Kao Kim Hourn) เลขาธิการอาเซียน เข้าเยี่ยมคารวะพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งนายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ว่า นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีในการเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการอาเซียนอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เชื่อมั่นว่าด้วยความสามารถและประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ ไทยพร้อมสนับสนุนและร่วมมืออย่างเต็มที่ เพื่อความสำเร็จและความเข้มแข็งร่วมกันของประชาคมอาเซียน พร้อมย้ำว่าไทยยังยึดมั่นในระบบพหุภาคีและภูมิภาคนิยม ซึ่งอาเซียนจะเป็นส่วนสำคัญในนโยบายต่างประเทศของไทยต่อไป

ทางด้านเลขาธิการอาเซียน กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี พร้อมเชื่อมั่นว่าด้วยความร่วมมือภูมิภาคอาเซียนจะเดินหน้าได้อย่างมั่นคงและเข้มแข็งในอนาคต ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งได้เห็นความก้าวหน้าของอาเซียนในทุกด้าน ขณะเดียวกันภาคีภายนอกก็ให้ความสนใจและต้องการเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับภูมิภาคอาเซียนเป็นอย่างมาก ขอบคุณไทยในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียนที่สำคัญ ซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันในการส่งเสริมความร่วมมือและการบูรณาการในภูมิภาคเสมอมา

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีและเลขาธิการอาเซียน ได้หารือในประเด็นที่มีความสนใจร่วมกัน ดังนี้

ไทยยินดีที่อาเซียนยังคงบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสันติภาพและความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาค ท่ามกลางความท้าทายมากมาย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความผันผวนทางเศรษฐกิจ และการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นควรที่จะเร่งฟื้นฟูทางเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีที่มีอยู่อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะ RCEP นอกจากนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายยังเห็นถึงความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัลของอาเซียน เพื่อสร้างความเข้มแข็งและความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานของอาเซียน รวมทั้งยกระดับเศรษฐกิจของภูมิภาคให้ทันสมัย สอดรับกับบริบทใหม่ของการค้าโลก โดย พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า ไทยสนับสนุนการดำเนินการภายใต้ข้อริเริ่มด้านดิจิทัลของอาเซียน ส่วนเลขาธิการอาเซียน ระบุว่า การเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัลถือเป็นประเด็นสำคัญที่อาเซียนให้ความสำคัญ

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงภัยคุกคามรูปแบบใหม่ๆ อาทิ ทางไซเบอร์ เป็นความท้าทายที่อาเซียนควรร่วมกันจัดการ โดยขอให้เลขาธิการอาเซียนหารือเพื่อดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม การดำเนินการในภาพรวม ในฐานะภูมิภาคจะทำให้เกิดผลสำเร็จที่เห็นผลลัพธ์อย่างจริงจังได้ ขณะเดียวกัน ยังได้มีการหารือถึงการเพิ่มขีดความสามารถ และการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับความท้าทายที่ส่งผลต่อความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น โรคระบาด การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และภัยธรรมชาติ ซึ่งไทยพร้อมร่วมมือกับทุกฝ่ายอย่างใกล้ชิด เพื่อสนับสนุนอาเซียนในการรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที โดยเลขาธิการอาเซียนย้ำความพร้อมของสำนักเลขาธิการอาเซียนที่จะสนับสนุนและส่งเสริมความร่วมมือนี้อย่างเต็มที่ โดยยังได้ขอบคุณและชื่นชมไทยที่เป็นที่ตั้งของศูนย์ต่างๆ ของอาเซียน

จากนั้น พลเอกประยุทธ์ กล่าวขอบคุณสำนักเลขาธิการอาเซียนที่สนับสนุนการทำหน้าที่ผู้ประสานงานของอาเซียนในด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนของไทยมาโดยตลอด จนนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมต่างๆ ซึ่งทั้งสองยังเห็นถึงความจำเป็นที่ต้องร่วมกันขับเคลื่อนวาระความยั่งยืนให้เป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญของอาเซียนต่อไป ส่งเสริมความร่วมมือที่จะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างความยั่งยืนของภูมิภาค ซึ่งไทยยินดีรับฟังข้อเสนอแนะจากสำนักเลขาธิการอาเซียนในการส่งเสริมความร่วมมือของอาเซียนในด้านนี้

พร้อมกันนี้ ไทยยินดีที่การจัดทำวิสัยทัศน์ของประชาคมอาเซียนภายหลังปี ค.ศ. 2025 มีความคืบหน้าเป็นอย่างดี โดยนายกรัฐมนตรีหวังว่าวิสัยทัศน์ใหม่ของอาเซียนจะมีความครอบคลุม มองไปข้างหน้า และเกิดผลเป็นรูปธรรมต่อประชาชนในภูมิภาค สร้างความเข้มแข็งให้แก่ประชาชนเพื่อรับมือกับความท้าทายต่างๆ

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรียังเน้นย้ำถึงสถานการณ์หมอกควันข้ามแดนที่เป็นความท้าทายที่รุนแรงของภูมิภาค พร้อมขอรับการสนับสนุนจากเลขาธิการอาเซียนในการผลักดันการแก้ไขปัญหา ขอให้ช่วยประสาน หารือ หรือสนับสนุนการจัดการประชุมจัดอย่างเร่งด่วนกับประเทศสมาชิกเพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางในการแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะการลดจำนวนจุดความร้อน (Hotspot) ให้ได้โดยเร็ว เพราะส่งผลไม่ใช่แค่ไทย แต่รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านด้วย ทั้งทางสุขภาพและการท่องเที่ยว ซึ่งเลขาธิการอาเซียนเห็นด้วยในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเร็ว ซึ่งอาเซียนมีกลไก (Mechanism) ที่จะช่วยขับเคลื่อนความร่วมมือ และพร้อมสนับสนุนให้เกิดความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

‘บิ๊กป้อม’ ฟิตจัด เร่งแก้ปัญหาน้ำเน่าเสีย จ.เพชรบุรี หลังกระทบหอยแครงพื้นบ้าน-ความเป็นอยู่ของชาวบางตะบูน

(31 มี.ค. 66) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) พร้อมคณะได้ลงพื้นที่ปฏิบัติราชการต่อเนื่องจากช่วงเช้า โดยในช่วงบ่ายได้เดินทางไปยัง เทศบาลตำบลบางตะบูน อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี เพื่อร่วมหารือกับจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยได้รับฟังการบรรยายสรุปภาพรวมของจังหวัดเพชรบุรี จาก ผวจ.และสภาพปัญหาผลกระทบของน้ำเน่าเสีย ในพื้นที่ตำบลบางตะบูน จากนายกเทศมนตรี รวมทั้ง รับทราบรายงานแผนงานและโครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่สำคัญ และแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสีย ใน 3 จังหวัด (ราชบุรี, สมุทรสงคราม และเพชรบุรี) จากเลขาธิการ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top