Sunday, 5 May 2024
POLITICS NEWS

‘จุดยืนดังเดิม!! พิธา’ ลั่น!! พร้อมจับมือ พท. จัดตั้งรัฐบาล พร้อมย้ำ!! ไม่มีวันจับมือ ‘พรรคทหารจำแลง’

(15 มี.ค.66) ที่โรงแรมเอเชียแอร์พอร์ต ดอนเมือง พรรคก้าวไกล (ก.ก.) จัดประชุมใหญ่พรรคเตรียมพร้อมก่อบการยุบสภาฯ มีแกนนำพรรคและว่าที่ผู้สมัครส.ส.ครบทุกเขต เข้าร่วมประชุม

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค ก.ก. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ระบุว่าสามารถร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกลได้แต่มีเงื่อนไขคือการไม่แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า เราไม่มีเจตจำนงในการรวมกับพรรคทหารจำแลงคือพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคพลังประชารัฐ เพราะเป็นพรรคที่ทำรัฐประหาร และตอนนี้ยังจะรักษาอำนาจต่อ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะร่วมมือกัน

เมื่อถามถึงกรณีที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เปิดจดหมายเสนอตัวเชื่อมประสานระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายเสรีนิยม ที่ล้มเหลวทั้งคู่ นายพิธา กล่าวว่า เราไม่สามารถก้าวข้ามความขัดแย้งที่ตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องได้ การจะก้าวข้ามความขัดแย้งและก่อให้เกิดการปรองดองได้จะต้องมีระบบความยุติธรรม และการเสาะหาข้อเท็จจริงก่อน ต้องทำให้วัฒนธรรมคนผิดลอยนวลหมดไปก่อน จึงจะทำให้เกิดการปรองดองที่แท้จริงได้

ส่วนจดหมายของพล.อ.ประวิตรฉบับที่ 4 ทั้งเรื่องการตั้งคณะกรรมการมากรองนโยบาย ตนขอเรียนพล.อ.ประวิตรให้เข้าใจว่านโยบายของตัวเองตั้งแต่พรรคพลังประชารัฐ และในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ยังทำไม่ได้ตั้งเยอะตั้งแยะ จึงขอให้ไปทำนโยบายที่เคยสัญญากับประชาชนไว้เมื่อ 4 ปีที่แล้วให้เสร็จก่อน การที่จะเอานโยบายนโยบายหนึ่งมาผลิตมีกระบวนการของมัน

นายพิธา กล่าวว่า สำหรับกระบวนการทำนโยบายของพรรคก้าวไกลคือการลงพื้นที่พบพี่น้องประชาชนหาปัญหาให้เจอว่าอยู่ที่กฎหมาย งบประมาณ หรือระบบราชการ แล้วค่อยนำมาปฏิบัติ ฉะนั้นคนที่จะนำนโยบายที่เป็นของแต่ละพรรคและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงต้องเป็นคนที่คลุกคลีกับปัญหา ไม่ใช่ว่าตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งแล้วจะสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างในประเทศไทยได้ ถ้าอยากจะปรองดอง ก็ตั้งคณะกรรมการปรองดอง ถ้าอยากจะตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายก็ตั้งคณะกรรมการ ประเทศไทยไม่ได้ขับเคลื่อนง่ายขนาดนั้น

เมื่อถามว่าหากเสียงไม่พอก็พร้อมที่จะเป็นฝ่ายค้านหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า เป็นรัฐบาลจะมีประโยชน์กับประชาชนมากกว่า เราจะหาเสียงให้เต็มที่ ถ้าไปถึงตามเป้าหมาย เรามั่นใจว่าจะมีน้ำหนักทางการเมืองพอที่จะได้เป็นรัฐบาล

เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย เดินเกมรุก นำส.ส.บ้านใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มสามมิตรที่ออกมาจากพรรคพลังประชารัฐ แล้วจะทำให้มีปัญหาในการจับมือร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย หรือไม่ นายพิธากล่าวว่า เราไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้และกระบวนการทำงานของพรรคก็แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามเรื่องนโยบายและจุดยืนของพรรคเพื่อไทยจนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีปัญหาอะไร

ตนจึงคิดว่าจะยังร่วมมือกันได้ ส่วนนี้เป็นเรื่องภายในของพรรคเพื่อไทย กับกลุ่มสามมิตร ทั้งนี้ ตนไม่มีวิธีการทำงานทางการเมืองในลักษณะนั้น และจะพยายามโฟกัสในสิ่งที่พรรคก้าวไกลพยายามอยากจะนำเสนอพี่น้องประชาชนทั้งเรื่องนโยบายและว่าที่ผู้สมัครส.ส.

เมื่อถาม ว่าสามารถทำงานกับคนที่อยู่ในคณะรัฐมนตรีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ต้องดูแยกเป็นคนคนไป แต่หากใครที่มาจากพรรคทหารจำแลงก็น่าจะทำงานด้วยกันยาก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมองไปข้างหน้าวันนโยบายและจุดยืนทางประชาธิปไตยเข้มแข็งมากเพียงใด

‘คนเพื่อไทย’ ขอบคุณ ‘โรม’ ตีแผ่คดี ‘ส.ว.ทรงเอ’ พร้อมจี้!! ‘บิ๊กตู่’ ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง

(15 มี.ค.66) นายก่อแก้ว พิกุลทอง อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงการดำเนินคดีกับ ส.ว. ชื่อดัง หรือ ส.ว.ทรงเอ กรณีตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีเครือข่ายยาเสพติดว่า ต้องขอบคุณตำรวจชุดสืบสวนจับกุมในคดีนี้ ที่กล้าออกมาเปิดเผยข้อมูลให้สังคมได้รับรู้ จนเป็นข่าวใหญ่โตที่คนทั้งประเทศจับตามอง และต้องขอบคุณ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ที่เอาข้อมูลมาอภิปรายและติดตามความคืบหน้าของคดีแบบกัดไม่ปล่อย แต่ก็ยังเกิดคำถามขึ้นในหลายประเด็นกับคดีนี้ที่สังคมยังคงติดใจอยู่

นายก่อแก้ว กล่าวต่อว่า สิ่งที่ตนแปลกใจคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทั้งที่เป็นคดียาเสพติดเป็นที่รังเกียจของทั้งสังคมไทยและนานาชาติเกี่ยวพันกับขบวนการข้ามชาติใหญ่โต ต้องไม่ลืมว่า คนที่ตั้ง ส.ว.คนนี้มา คือ พล.อ.ประยุทธ์และคณะ และคนที่เลือก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี คือ ส.ว.คนนี้ด้วย แถมสังคมยังได้รับทราบว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เช่าที่ทำการพรรคจาก ส.ว.คนนี้อีกด้วย สังคมเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ และพรรค รทสช. มีความสัมพันธ์ กับ ส.ว.คนนี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งหรือไม่ และการที่ พล.อ.ประยุทธ์ นิ่งเฉยกับคดีนี้ จึงเป็นเรื่องที่ทำให้สังคมคลางแคลงใจสงสัยเป็นอย่างยิ่ง

นายก่อแก้ว กล่าวด้วยว่า จากเอกสารชี้แจงข้อเท็จจริง ของพนักงานสืบสวน มีการระบุว่ามีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ สั่งให้ดำเนินการตัดพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงถึง ส.ว.คนดังกล่าวออกให้หมด การสั่งการดังกล่าว ในคดียาเสพติดปกติแล้วจะไม่มีใครกล้าทำ เพราะเป็นเรื่องผิดกฎหมายร้ายแรง และสร้างความเสียหายต่อสังคม และความเชื่อมั่นต่อผู้ใต้บังคับบัญชา

‘บิ๊กตู่’ จ่อลงพื้นที่ จ.ระนอง 16 มี.ค.นี้ เร่งติดตามปัญหาน้ำแล้ง-น้ำท่วม ก่อนยุบสภาฯ

(15 มี.ค. 66) เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2566 ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ ประกอบด้วย นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, พล.อ.อนุพงษ์เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ไปยังท่าอากาศยานนราธิวาส ตำบลโคกเคียน อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส เพื่อตรวจเยี่ยมราชการที่จังหวัดนราธิวาส

อย่างไรก็ตาม วันเดียวกันนี้ พล.อ.อนุพงษ์ ซึ่งเดินทางร่วมคณะไปกับนายกรัฐมนตรี สวมแว่นกรองแสงทางการแพทย์ พร้อมเปิดเผยว่า เจ็บตาเนื่องจากไปพบแพทย์และลอกตามา ซึ่งไม่เป็นอะไรมาก

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนยุบสภา พี่น้องทั้ง 3 ป. มีอาการป่วยครบแล้วทั้ง 3 คน โดย พล.อ.ประยุทธ์เจ็บมือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เจ็บขา และล่าสุด พล.อ.อนุพงษ์ เจ็บตา

โดยเวลา 13.15 น. นายกรัฐมนตรี สักการะพระพุทธทักษิณมิ่งมงคล และนมัสการพระเทพศีลวิสุทธิ์ ที่ปรึกษา เจ้าคณะภาค 18 ณ พุทธมณฑลจังหวัดนราธิวาส  ตำบลลำภู อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส ก่อนเป็นประธานในพิธีเปิดแพขนานยนต์ ณ ด่านศุลกากรตากใบ ตำบลเจ๊ะเห อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส

เวลา 16.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ พบปะหัวหน้าส่วนราชการ ทหาร ตำรวจ ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำศาสนาในเขตพื้นทีจังหวัดนราธิวาส ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ตำบลโคกเคียน อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส และเดินทางกลับกรุงเทพฯ

ด้านนายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเดินทางไปตรวจราชการจังหวัดระนอง ในวันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม 2566 เพื่อติดตามการดำเนินงานสำคัญตามนโยบายรัฐบาล รวมถึงอุปสรรคปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อพัฒนาปรับปรุงการขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามแผนและเป้าหมายที่กำหนดไว้ เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งเกิดความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณของประเทศ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง

โดยมีกำหนดการ ดังนี้ โดยเวลา 09.00 น. นายกรัฐมนตรีและคณะ ออกเดินทางท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ ไปยังท่าอากาศยานระนอง ตำบลราชกรูด อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง โดยเครื่องบินของกองทัพอากาศ จากนั้นเดินทางไปตรวจติดตามสภาพปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค และพบปะประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อนปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค ณ อาคารอเนกประสงค์ ที่ว่าการอำเภอสุขสำราญ ตำบลกำพวน อำเภอสุขสำราญ จังหวัดระนอง

‘บิ๊กป้อม’ สั่งคุมเข้ม ‘มาตรการทำเหมืองแร่’ ย้ำหลักใช้แร่อย่างยั่งยืน - เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

(15 มี.ค.66) พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566 ณ ห้องประชุมมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

ที่ประชุมได้รับรายงาน แนวทางการดำเนินการส่งเสริมกิจกรรมเมืองแร่ โดยจะมีการพิจารณาคัดเลือกผู้ประกอบการที่เข้าร่วมรับสมัคร เพื่อรับรางวัลเหมืองแร่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีธรรมาภิบาล พร้อมทั้งจัดให้มีกิจกรรมเหมืองแร่ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีธรรมาภิบาล ประจำปี พ.ศ.2566 และรับทราบ รมว.ทส. ได้เข้าร่วมการประชุมเสวนาโต๊ะกลม ระดับรัฐมนตรี ณ ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย ในหัวข้อบทบาทของรัฐบาลในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุที่สำคัญ และการพัฒนาอุตสาหกรรม อย่างยั่งยืน 

พร้อมทั้งได้กล่าวปาฐกถาแสดงบทบาทของไทย ในเวทีระดับโลกต่อการพัฒนาแร่ โดยใช้หลักการใช้ทรัพยากรแร่อย่างยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ยึดหลัก BCG Model และแนวทางการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์แร่ อย่างคุ้มค่าเพื่อให้ เป็นสมบัติของคนรุ่นต่อไป โดยเน้นกระบวนการรีไซเคิล และอัปไซเคิล เพื่อลดการใช้ทรัพยากรแร่ และได้มีการหารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ความร่วมมือในการสร้างศูนย์กลางความเป็นเลิศด้านการพัฒนาแร่ธาตุที่สำคัญ ระหว่างภูมิภาค แอฟริกา-เอเชียตะวันตก-เอเชียกลาง

‘บิ๊กป้อม’ นั่งหัวโต๊ะ ร่วมประชุมด้านสิ่งแวดล้อม 10 โครงการ จี้!! ทุกหน่วย เร่งแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ปกป้องสุขภาพ ปชช.

(15 มี.ค. 66) พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566 ณ ห้องประชุมมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

คณะกรรมการฯ ได้รับทราบ รายงานผลการประชุม สมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วย พื้นที่ชุมน้ำสมัยที่ 14 จัดขึ้นภายใต้ หัวข้อ ‘Wetlands Action for People and Nature’ โดยมีพิธีมอบรางวัล Wetland City Accreditation ซึ่งประเทศไทยได้รับมอบรางวัล การรับรอง อำเภอศรีสงคราม จีงหวัดนครพนม ให้เป็นเมืองแห่งพื้นที่ชุมน้ำภายใต้อนุสัญญาว่าด้วย พื้นที่ชุมน้ำ

จากนั้น ที่ประชุมได้เห็นชอบ รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) 10 โครงการสำคัญ เพื่อรองรับการพัฒนาพื้นที่ทั่วประเทศ ได้แก่
1.) โครงการประตูระบายน้ำกรงปินัง จ.ยะลา ของกรมชลประทาน
2.) โครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง 2 จ.ปทุมธานี ของการเคหะแห่งชาติ
3.) โครงการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองน่าน ของกรมทางหลวง

4.) โครงการทางเลี่ยงเมืองสกลนคร (ด้านทิศตะวันออก) ของกรมทางหลวง
5.) โครงการทางหลวงหมายเลข 103 อ.ร้องกวาง-อ.งาว ของกรมทางหลวง.
6.) โครงการทางขนานสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ของกรมทางหลวง
7.) แผนงานขยายเขตไฟฟ้าให้หมู่บ้านในโครงการหมู่บ้านพัฒนาเพื่อความมั่นคง พื้นที่ชายแดนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.ปาย และอ.บางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน (กลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 2) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

'บิ๊กป้อม' ยันการเมืองไม่ต้องมีผู้ชนะเด็ดขาด-ไม่มีฝ่ายต้องแพ้ราบคาบ  ลั่น!! พร้อมแปรรูปนโยบายทุกพรรคที่ดีมาสานต่อหากได้เป็นรัฐบาล

(15 มี.ค.66) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้โพสต์เฟซบุ๊ในหัวข้อ ‘บทสรุปสู่ก้าวข้ามความขัดแย้ง’ ระบุว่า ทีมงานได้วิเคราะห์ให้ผมฟังว่าจดหมายทั้ง 5 ฉบับ ไม่มีใครโต้แย้งในสาระสำคัญในเรื่องของเนื้อหา จากสื่อและสังคม แต่ก็มีสื่อบางท่านตั้งคำถามว่า จะทำได้หรือไม่ ซึ่งนั่นก็แปลว่าหากทำได้ก็จะเป็นผลดีต่อประเทศ สื่อบางท่านบ่นว่า ยาวไปหน่อย ก็ต้องตอบว่าสังคมโดยทั่วไป มีทั้งผู้เข้าใจและไม่เข้าใจ รวมทั้งสื่อเองก็อาจจะมีความเข้าใจแตกต่างกัน ระหว่างสื่อที่ทำข่าวการเมือง กับสื่อเศรษฐกิจหรือสื่อกีฬา ทีมงานจึงต้องระมัดระวังเป็นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมโดยทั่วไป

ด้วยเหตุนี้ทีมงานจึงขอให้ผมใช้วิธีการสื่อสารด้วย Facebook จะอธิบายได้ดีกว่า ชัดเจนกว่า เพราะหากผมทำในสิ่งที่ผมไม่ถนัด คือการให้สัมภาษณ์ ซึ่งผมเป็นคนพูดไม่เก่งอยู่แล้ว อาจจะถูกตีความหมายผิดไปจากที่ผมต้องการสื่อสาร และจะต้องมาตามแก้ไขในภายหลัง ซึ่งไม่เป็นผลดีแต่อย่างใดสำหรับการเมือง และสำหรับความคิดของผมที่ต้องการให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า

จดหมายฉบับนี้ จั่วหัวว่า เป็นบทสรุป สู่ ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง’ ซึ่งผมได้อธิบายไปแล้ว ในหลายฉบับที่ผ่านมาว่าปัญหาความไม่เข้าใจในเรื่องของแนวคิด ของฝ่าย ‘อนุรักษ์นิยม’ กับ ‘ฝ่ายประชาธิปไตยเสรีนิยม’ มีมาอย่างยาวนาน แล้วก็ยังวนเวียนอยู่ในสังคมไทยในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีเรื่องความไม่เข้าใจในเรื่องที่มาของปัญหา ว่าเกิดมาจากอะไร ทีมงานจึงถือโอกาสนี้อธิบายให้เข้าใจ ว่าประเทศไทยของเรานั้นเลือกที่จะปกครองในระบอบประชาธิปไตย นั่นก็คือการปกครองด้วยเสียงข้างมาก กล่าวคือผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด ที่ได้รับเสียงข้างมากจากประชาชน ก็จะถือว่า เป็นมติของประชาชน อันจะส่งผลให้ผู้สมัครท่านนั้นได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และหากพรรคใดรวมเสียงข้างมากได้ก็จัดตั้งรัฐบาลในสภา ซึ่งเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ในหลักการแล้ว นับได้ว่า สภานี้เป็น ‘สภาของประชาชน’ ไม่ใช่เป็น ‘สภาของนักการเมือง’

เมื่อสภาเป็นของประชาชน การใช้เสียงข้างมากเพื่อหาข้อยุติในความเห็นต่าง บนผลประโยชน์ของส่วนรวมนั้นจึงเป็นเรื่องปกติ ซึ่งไม่นับว่าเป็นความขัดแย้ง ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ มีการใช้มติของเสียงข้างมากในสภาบนผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องแล้วก็ไปอ้างว่าเป็นมติพรรค จึงไปฝืนความรู้สึกของ มติประชาชนที่เห็นต่าง และมีการทักท้วงจากสื่อและสังคมในกรณี ที่ขัดแย้งกันซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่สภาก็ไม่ฟังทำให้ประชาชนมีความรู้สึกว่า สภาไม่ใช่เป็นของประชาชนอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นสภาของนักการเมือง จะเอาเป็นที่พึ่งต่อไปไม่ได้แล้ว และประชาชนก็ตัดสินใจออกมาต่อต้าน มติของสภาและขับไล่รัฐบาล โดยไม่คิดแก้ไขตามกลไกของประชาธิปไตยคือ รอให้มีการเลือกตั้ง จึงทำให้เหตุการณ์ลุกลามกลายเป็นวิกฤติที่ทำให้ฝ่ายทหารต้องนำกำลังออกมาเพื่อยุติปัญหา ซึ่งเท่ากับว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมกลับเข้ามาควบคุมอำนาจอีกครั้งหนึ่ง

นี่คือสิ่งที่ทีมงานพยายามอธิบาย ครั้งแล้วครั้งเล่าให้ผมฟังเพื่อให้เข้าใจว่า ที่มาของปัญหาเกิดจากภายในสภาแต่มาจบกันนอกสภา หลังจาก ‘ฝ่ายอนุรักษ์นิยม’ ควบคุมอำนาจได้แต่ก็พ่ายแพ้ทุกครั้ง เมื่อการได้อำนาจต้องผ่านการเลือกตั้งในทางตรงข้าม ‘ฝ่ายประชาธิปไตย’ แม้จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชน ที่เป็นเสียงส่วนใหญ่เสมอ แต่ก็พิสูจน์แล้วว่าไม่มีพลังพอที่จะต้านทานการเข้ามาควบคุมจากกลไกที่มีอำนาจอย่างแท้จริง ต่อโครงสร้างอำนาจของประชาชน เมื่อประเทศต้องอยู่ในสถานะที่ ‘ผู้ล้มเหลวทั้งสองฝ่าย’ ต่างก็ผลัดเข้ามาควบคุมอำนาจอาการหมดสภาพที่จะก้าวต่อไปสู่ความเจริญจึงเกิดขึ้นกับประเทศของเรา

นโยบายของแต่ละประเทศย่อมแตกต่างกัน ผู้นำทั่วโลกของแต่ละยุคแต่ละสมัยต่างก็ปรับเปลี่ยนนโยบาย ขึ้นอยู่กับสถานะการณ์ ในช่วงเวลานั้นๆ การเมืองไทยก็เช่นกัน นโยบายในการบริหารประเทศของแต่ละพรรค การเมืองที่ต่างก็กำลังเสนอออกมาในขณะนี้ นับได้ว่าเป็นนโยบายที่ดีเพราะกลั่นกรอง มาจากบุคลากรชั้นนำของแต่ละพรรค แต่เป็นที่น่าเสียดายหากนโยบายเหล่านั้นจะไม่ได้รับการนำไปใช้เพราะ ต้องไปเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล

ผมตั้งใจว่าเมื่อ พรรคผมเป็นรัฐบาล ผมจะตั้งคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือก นำนโยบายดีๆ ของทุกพรรค ที่ใช้ในการรณรงค์หาเสียง เอามาทำและปฏิบัติให้เกิดขึ้นได้จริง โดยไม่ได้มีความรังเกียจหรือแบ่งแยก หากนโยบายเหล่านั้นเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าไปได้ นี่คือการเมืองที่อยู่ในใจผม การเมืองที่ไม่ต้องมี ‘ผู้ชนะเด็ดขาด’ ‘ไม่มีฝ่ายใดต้องแพ้ราบคาบ’ ทุกคนทุกฝ่ายต้องตระหนัก ถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องช่วยกัน ร่วมมือกันฟื้นฟู และพัฒนาประเทศให้เดินไปข้างหน้าอย่างเท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลก

ผมขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า ‘ผมพูดไม่เก่ง’ แต่ ‘ผมมีหัวใจ’ หัวใจที่ใหญ่พอจะยอมรับความแตกต่างทางความคิด เพื่อนำพาให้ ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง’ วิธีที่ผมคิดไว้คือให้ความเคารพอย่างแท้จริงต่อ ‘ประชาชนเสียงส่วนใหญ่’ ด้วยความเชื่อมั่นว่า ‘ประเทศจะเดินหน้าไปได้ด้วยการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย’ เท่านั้น

เพียงแต่ว่าเป็น ‘ประชาธิปไตยที่เปิดกว้างให้คนทุกกลุ่มเข้ามาร่วมมีบทบาท’ เคารพใน ‘เสียงส่วนใหญ่’ แต่ ‘เปิดใจรับฟังเสียงส่วนน้อยที่มีความรู้ ความสามารถด้วยเจตนาดีต่อความเป็นไปของประเทศ’

'ชัยวุฒิ' ร่วมประชุม WSIS ชู กฎหมายใหม่ไทย ทันต่อภัยคุกคาม พร้อมเสนอประเทศสมาชิก 'ใส่เกราะ-ระวังภัย' โลกไซเบอร์ร่วมกัน    

(15 มี.ค.66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะผู้เเทนไทย ได้ร่วมงาน World Summit on the Information Society Forum ประจำปี ค.ศ. 2023 (WSIS Forum 2023) จัดโดย สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) และองค์การระหว่างประเทศภายใต้สหประชาชาติ  ระหว่างวันที่ 13 - 17 มีนาคม 2566 ณ ศูนย์การประชุมนานาชาตินครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส

ทั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคมของไทย ได้ร่วมกล่าวการประชุม High-Level Policy Session หัวข้อ 'Building confidence and security in the use of ICTs' ได้กล่าวถึงความสำคัญของนโยบายการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และกฎหมายด้านดิจิทัล ของไทยที่พร้อมรับมือกับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ รวมถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์อย่างจริงจัง โดยเฉพาะการจัดทำร่างพระราชกำหนดมาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็นกฎหมายใหม่ ที่ทันต่อภัยคุกคาม และส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ในการร่วมกันเพื่อช่วยแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที 

ในการประชุมดังกล่าว รัฐมนตรีชัยวุฒิ ได้เสนอแนวทางร่วมแก้ปัญหา Online Scams ที่เป็นปัญหาของทุกประเทศทั่วโลก และต้องใช้ความร่วมมือ ระหว่างประเทศในการแก้ปัญหา

ครม. ไฟเขียว งบประมาณ 2.4 หมื่นล้าน  สร้างทางด่วนฉลองรัช ช่วงจตุโชติ-ถ.ลำลูกกา 

เมื่อวานนี้ (14 มี.ค.66) เพจ ‘ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี - PMOC’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับการสร้างทางด่วนฉลองรัช ช่วงจตุโชติ-ถ.ลำลูกกา โดยระบุว่า…

‘ยุคแห่งการพัฒนา’ ครม.ไฟเขียว งบ 2.4 หมื่นล้าน สร้างทางด่วนฉลองรัช ช่วงจตุโชติ-ถ.ลำลูกกา รองรับการเดินทาง และขนส่งสินค้ากทม. - จังหวัดใกล้เคียง แก้รถติด ถ.รังสิต-นครนายก และถนนโดยรอบ

‘รัฐบาลลุงตู่’ ผู้พาประเทศไทยฝ่าสารพัดวิกฤต ท่ามกลางเสียงวิพากษ์ ‘8 ปี’ ที่ไทยถดถอย

จากกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน ว่าที่แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย เคยให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยถดถอยในทุกด้าน  

ล่าสุด บัญชี tiktok ‘เรารักลุง’ ได้ทำคลิปตอบโต้คำสัมภาษณ์ดังกล่าวให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักธุรกิจใหญ่ที่มองว่า ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทย ภายใต้รัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถือว่า ‘ถดถอย’ 

แต่รู้หรือไม่ว่า ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤตอะไรบ้าง?
ย้อนไปแค่ 3 ปีก่อน ที่ประเทศไทยต้องต่อสู้กับวิกฤตโควิด – 19 ที่ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจ การค้า และระบบสาธารณสุขของประเทศ ไม่เพียงเท่านั้นยังซ้ำด้วยวิกฤตด้านพลังงาน จากผลพวงสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ทำให้ราคาพลังงานถีบตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเผชิญกับสารพัดวิกฤต แต่ประเทศไทย ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ สามารถนำพาประเทศฝ่าวิกฤตครั้งใหญ่มาได้อย่างรวดเร็ว เป็นที่ยอมรับขององค์กรระดับโลกอย่าง ธนาคารโลก ที่ให้ความเห็นว่า เศรษฐกิจไทยภายหลังวิกฤตโควิด สามารถฟื้นตัวได้เร็วเกินคาด โดยจะกลับมาสู่ระดับก่อนที่เกิดโควิด – 19 ภายในปี 2566 และมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน ผู้อำนวยการ องค์การอนามัยโลก (WHO)  ได้ออกมาชื่นชม พลเอกประยุทธ์ และระบบสาธารณสุขของไทย รับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งในแง่ การควบคุมโรค และการรักษาผู้ป่วย

ขณะที่ในมิติด้านเศรษฐกิจ ภายใต้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ มีโครงการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรมมากมาย ยกตัวอย่าง เขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นพื้นที่พัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่จะเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับประเทศและสร้างการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจในอนาคต อีกทั้งยังสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติได้อย่างมหาศาล

ทางด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม เป็นอีกหนึ่งผลงานเป็นที่ประจักษ์เป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ ทั้งระบบราง เรือ และถนน ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ ในกรุงเทพ โครงการรถไฟความเร็วสูง และโครงการรถไฟทางคู่ 8 เส้นทาง ซึ่งจะสามารถเชื่อมโยงการเดินทาง การขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

‘บิ๊กตู่’ ยก กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน กลไกช่วยงานรัฐสำเร็จ หลัง ครม.ไฟเขียวเพิ่มค่าตอบแทนเป็นขวัญกำลังใจ

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha’ ว่า พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักครับ

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ (14 มี.ค.66) ได้เห็นชอบในหลักการ เรื่องการปรับเพิ่มอัตราเงินตอบแทน ตำแหน่งกำนัน, ผู้ใหญ่บ้าน, แพทย์ประจำตำบล, สารวัตรกำนัน, ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ  ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม ค่าครองชีพ และทัดเทียมกับค่าตอบแทนของเจ้าหน้าที่รัฐอื่นๆ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ ที่มีบทบาทสำคัญในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขพี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นกลไกการทำงานของรัฐบาลสู่ความสำเร็จ ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่มีวันหยุดราชการ อาทิ  การเฝ้าระวังการควบคุมโรคระบาด/โควิด, การรักษาความสงบเรียบร้อย, การป้องกันและแก้ปัญหายาเสพติด, การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการช่วยเหลือ สนับสนุน ส่งเสริมการปฏิบัติงานของทุกกระทรวงในพื้นที่ เช่น การลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นต้น 

นอกจากนี้ ครม. ได้เห็นชอบให้เพิ่มค่าตอบแทนของผู้บริหารและสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ที่ไม่ได้รับการปรับเพิ่มมานานกว่า 11 ปี เพื่อให้เหมาะสม เสมอภาค และเท่าเทียมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือเทศบาล ซึ่งต่างก็มีส่วนสำคัญในการบริหารราชการแผ่นดิน และการพัฒนาประเทศ ให้มีประสิทธิภาพ ส่งผลดีต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนในภาพรวม


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top