Thursday, 16 May 2024
NEWS

กลุ่ม Wevo เจ๋ง!! ดันกิจกรรมช่วยเกษตรกรเลี้ยงกุ้งจังหวัดนครปฐม เหมากุ้งเปิดท้ายขายราคาถูก เชิงสะพานขมัยมรุเชษฐ ทำเนียบรัฐบาล

ที่เชิงสะพานขมัยมรุเชษฐ ทำเนียบรัฐบาล กลุ่ม Welunteer หรือเครือข่ายประชาชนอาสา นำโดย ปิยรัฐ จงเทพ หรือ โตโต้ ทำกิจกรรมช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งจังหวัดนครปฐม โดย นำกุ้งขาว จำนวน1 ตัน บรรทุกใส่รถกระบะ 2 คัน มาเปิดท้ายจำหน่ายให้ประชาชนและผู้สนใจ ในราคากิโลกรัมละ 170 บาท

เป้าหมายในครั้งนี้ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งที่ไ้ด้ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากจังหวัดนครปฐม เป็นพื้นที่เชื่อมโยงกับตลาดกลางกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร ส่งผลให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวลไม่กล้ากินกุ้งและอาหารทะเล โดยประชาชนสนใจมาต่อแถวซื้อกันอย่างคึกคัก

สำหรับผู้สนใจยังสามารถเดินทางมาซื้อได้ที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล หรือซื้อจากทางเพจ We Volunteer จนกว่าสินค้าจะหมด โดยตลอดการทำกิจกรรมต้องสวมหน้ากากอนามัยและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคอย่างเคร่งครัด

ด้านตัวแทนเกษตรกรฯ กล่าวว่า หลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้ไม่สามารถไปส่งกุ้งที่ตลาดมหาชัยได้ ซึ่งปกติทุก2เดือนจะต้องไปส่งกุ้งขาย 1 รอบ แต่เมื่อเกิดการแพร่ระบาดขึ้น ทำให้กุ้งจำหน่ายไม่ได้ เมื่อเห็นโพสต์การช่วยเหลือของกลุ่ม WeVo จึงได้ติดต่อประสานงานมาจัดจำหน่ายในราคาส่ง กิโลกรัมละ 170 บาท พร้อมบริการส่งฟรีในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ยืนยันว่าการแพร่ระบาดของโรคไม่เกี่ยวข้องกับกุ้ง แต่แนะนำเพื่อความปลอดภัยต้องปรุงอาหารให้สุกเสมอ

สปป.ลาว มีคำสั่งเรื่องการข้ามชายแดนอย่างเข้มงวด

เมืองสังข์ทอง ออกหนังสือเข้มงวด ห้ามบุคคล นิติบุคคล และประชาชน  ข้ามไป-มา ตามแนวชายแดน เมืองสังข์ทอง สปป.ลาว และเมืองสังคมประเทศไทย เพื่อต้าน สกัดกั้น และป้องกัน เชื้อโควิด-19

กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าดันนโยบายการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลเกษตรมาตรฐานฮาลาล ผ่าน 5 นโยบายใหม่ ตั้งเป้าผลักดันไทยสู่ครัว ‘ฮาลาล’ โลก พร้อมผนึก ‘อินโด-มาเลย์’ ร่วมสร้างมาตรฐานอาหารฮาลาล

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลของไทยมาอย่างต่อเนื่อง หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องยังคงเดินหน้าการขับเคลื่อนแผนงานตามแนวทางดังกล่าว

สำหรับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กำหนดนโยบายผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในการผลิตและส่งออกสินค้าอาหารและผลผลิตเกษตรมาตรฐานฮาลาลสู่ตลาดโลก ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศอย่างมหาศาล เนื่องจาก ในปี 2563 ตลาดอาหารและเครื่องดื่มฮาลาลทั่วโลก มีมูลค่า 1,533,280 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 48,004,350 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าในปี 2569 จะเพิ่มมูลค่าสูงถึง 2,285,190 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 71,545,354 ล้านบาท ขณะที่ประเทศไทยมีผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองฮาลาล ประมาณ 150,000 รายการ

ทั้งนี้ เพื่อให้การตั้งเป้าหมายดังกล่าวสัมฤทธิ์ผล กระทรวงเกษตรฯได้จัดทำวิสัยทัศน์และนโยบายการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลเกษตรมาตรฐานฮาลาล ประกอบด้วย นโยบาย 5 เรื่องได้แก่ 1.นโยบายเพิ่มศักยภาพหน่วยงานรับรองมาตรฐานฮาลาล 2.นโยบายยกระดับความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับสินค้าเกษตรและอาหาร 3.นโยบายเสริมสร้างองค์ความรู้ในการผลิตและการบริหารจัดการ ตั้งแต่ระดับฟาร์มจนถึงผู้บริโภค 4.นโยบายเพิ่มศักยภาพทางตลาดและโลจิสติกส์ และ 5.นโยบายยกระดับความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ

สำหรับ 5 นโยบายนี้มีแนวทางการดำเนินงานสำคัญๆ อาทิ การจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้า (Halal Hub) การจัดตั้งสถาบันฮาลาล การส่งเสริมฐานข้อมูลวัตถุดิบฮาลาล (H Number) ระบบศูนย์ข้อมูลกลางการแลกเปลี่ยนทรัพยากรอิเล็กทรอนิกส์ด้านฮาลาล (System Protocol for Halal Electronic Resources Exchange) วิสัยทัศน์ฮาลาลนี้ถือเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกร สถาบันเกษตรกร ภาคเอกชน ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ในการผลิตและการค้าสินค้าเกษตรและอาหารมาตรฐานฮาลาลอย่างครบวงจร รวมถึงจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคอีกด้วย

รองโฆษกฯ กล่าวอีกว่า ควบคู่ไปกับการทำงานของกระทรวงเกษตรฯ มุ่งเป้าสู่การเป็นครัวฮาลาลโลก ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กำลังขับเคลื่อนแผนงานส่งเสริมการผลิตกับการพัฒนาคุณภาพของเนื้อไก่ที่เป็นวัตถุดิบสำคัญของอาหารฮาลาล รวมถึงผลักดันการแปรรูปไก่ฮาลาลเพื่อการส่งออก ทั้งนี้ ศอ.บต.ได้ร่วมมือกับหลายภาคส่วนในการส่งเสริมฟาร์มเลี้ยงไก่ให้กระจายทั่วพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลี้ยงไก่ KKU-1 ที่เป็นผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ไก่พันธุ์นี้ทั้งเลี้ยงง่าย และดีต่อสุขภาพของผู้บริโภคด้วย เพราะมีกรดยูริคและโคเลสเตอรอลต่ำ ไขมันน้อย เนื้อเหนียวแน่นและนุ่ม เรื่องนี้จึงถือว่าเป็นสร้างประโยชน์อย่างมากต่อการส่งเสริมมาตรฐานอาหารฮาลาล รวมถึงการสร้างอาชีพและรายได้แก่ประชาชนในจังหวัดชายแดนใต้

ขณะที่ กระทรวงพาณิชย์มีแผนการผลักดันการส่งออกไทยในปี 2564 คาดว่าจะขยายตัว 4% หลังจากเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศเริ่มฟื้นตัว และในด้านการต่างประเทศ รัฐบาลได้ผลักดันแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle: IMT-GT) ที่กำหนดแนวทางความร่วมมือในการพัฒนาระบบนิเวศอุตสาหกรรมฮาลาลให้มีความเข้มแข็ง ซึ่งจะช่วยสร้างการยอมรับมาตรฐานฮาลาล และการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลในอนุภูมิภาคให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก นางสาวรัชดา กล่าว

ปีใหม่นี้อาจจะดูหงอยๆ กันหน่อย สังเกตได้พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคช่วงปลายปีลดลง เป็นผลมาจากประชาชนยังกังวลการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำใช้จ่ายลดลง อยู่บ้านมากขึ้น ไม่กล้าออกจากบ้าน

ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลปีใหม่ 64 ระหว่างวันที่ 14-23 ธ.ค.2563 คาดว่า จะมีเงินสะพัดอยู่ที่ 91,467 ล้านบาท ลดลง 33.6% จากปีทุกๆ ปีที่จะมีมูลค่าการใช้จ่ายเกินกว่า 1 แสนล้านบาท ถือเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 15 ปี และมีเงินสะพัดต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี หลังจากประชาชนยังกังวลการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำใช้จ่ายลดลง อยู่บ้านมากขึ้น และไม่กล้าออกจากบ้าน

ธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า หากสถานการณ์การระบาดยังรุนแรงมากขึ้น มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น เชื่อว่า จะทำให้เงินสะพัดในช่วงปีใหม่เหลือเพียง 80,937 ล้านบาท ติดลบ 41.3% แต่หากมีการล็อกดาวน์พื้นที่อื่นใกล้เคียงกับสมุทรสาครมากขึ้น จะมีเงินสะพัดเพียง 65,143 ล้านบาทลดลง 52.7%

อย่างไรก็ตามในกรณีร้ายแรงที่สุดคือ ล็อกดาวน์ทั่วประเทศ จะเหลือเงินสะพัด 38,819 ล้านบาท ติดลบ 71.8% และจะทำให้เศรษฐกิจเสียหายมากถึงเดือนละ 200,000 ล้านบาท หรือวันละเกือบ 7,000 ล้านบาท และจะส่งผลให้คนตกงานจำนวนมาก

ทัพบกอ้าแขน เปิดรับทหารกล้ารุ่นใหม่!! จัดโควตาเยาวชนเรียนดี ในถิ่นห่างไกล หวังสร้างโอกาสอย่างทั่วถึง สมัครออนไลน์ www.crma.ac.th เริ่ม28 ธ.ค. 63 - 15 ม.ค. 64

เมื่อวันที่ 26 พ.ย.พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากนโยบายของกองทัพบกในการคัดสรรบุคคลพลเรือนเพื่อเข้าศึกษาในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โดยทุกปีจะเปิดรับสมัครนักเรียน นักศึกษา เพื่อสอบคัดเลือกเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ในส่วนของกองทัพบกตามคุณสมบัติที่ทางราชการกำหนด

ทั้งนี้ที่ผ่านมา มีนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลที่มีความรู้ความสามารถ แต่มีข้อจำกัดในเรื่องเศรษฐกิจและการเข้าถึงข้อมูล ทำให้ขาดโอกาสที่จะสมัครเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ประกอบกับกองทัพบกต้องการคัดสรรนักเรียนที่เรียนเก่งในระดับแนวหน้าของจังหวัดเข้าเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนากองทัพ ทำให้ในปี 2564 กองทัพบกได้มี 'การปรับปรุงแนวทางการสอบคัดเลือกบุคคลเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพบก'

โดยจัดสรรโควตาแบบเฉพาะกลุ่มให้กับเยาวชนที่มีผลการเรียนดีเยี่ยมและเยาวชนในพื้นที่พิเศษ/ห่างไกล ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของผู้บัญชาการทหารบก ที่ต้องการให้โอกาสกับนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดารมีความมุ่งมั่นที่จะเดินในเส้นทางทหารอาชีพ มีอุดมการณ์ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และเป็นการกระจายโอกาสไปให้เยาวชนในทุกจังหวัด ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในงานด้านความมั่นคง (ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรก)

โดยการสอบคัดเลือกนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพบกในประจำปี 2564 นี้ จะดำเนินการใน 2 ครั้ง คือ การสอบคัดเลือกแบบเฉพาะกลุ่ม ในช่วงเดือนมกราคม และการสอบคัดเลือกในภาพรวมตามปกติ ในห้วงเดือนเมษายน

สำหรับการสอบคัดเลือกแบบเฉพาะกลุ่มกองทัพบกจะเปิดโอกาสให้เยาวชน 2 กลุ่ม เข้ารับการสอบคัดเลือก ประกอบด้วย เยาวชนผู้ที่มีผลการศึกษาและมีลักษณะทหารดีเยี่ยมของแต่จังหวัด จังหวัดละ 1 นาย และเยาวชนผู้ที่อาศัยและศึกษาในพื้นที่พิเศษ ห่างไกล ทุรกันดาร การสอบคัดเลือกแบบเฉพาะกลุ่มจะเปิดรับสมัครทางออนไลน์ที่ www.crma.ac.th ตั้งแต่ 28 ธ.ค. 63 - 15 ม.ค. 64 และกองทัพภาคจะดำเนินการสอบภาควิชาการในพื้นที่เพื่อความสะดวกของนักเรียน โดยกองทัพบกยกเว้นค่าสมัครสอบ และมอบให้หน่วยทหารช่วยอำนวยความสะดวกแก่เยาวชน เช่น การยื่นสมัคร การเดินทางมาสอบ ท้ังนี้ผู้ที่ไม่ผ่านการสอบในแบบกลุ่มเฉพาะ ยังสามารถไปสมัครสอบในภาพรวมรอบปกติได้อีกครั้ง

นโยบายการรับสมัครสอบแบบเฉพาะกลุ่มในปีนี้ กองทัพบกมุ่งหวังเพิ่มโอกาสให้กับเยาวชนผู้มีฐานะยากจนในถิ่นทุรกันดารและประชาชนทั่วไปที่รักในอาชีพทหาร ได้มีช่องทางและสามารถสมัครเข้ารับการคัดเลือกอย่างเท่าเทียมกัน ลดความเหลื่อมล้ำ ที่สำคัญเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความมุ่งมั่นและมีอุดมการณ์รักในอาชีพทหารได้เข้ารับราชการอย่างเป็นรูปธรรม จึงขอเชิญชวนเยาวชนที่มีคุณสมบัติยื่นความประสงค์และขอรับการอำนวยความสะดวกในการสมัครสอบได้ที่หน่วยทหารใกล้บ้าน หรือสอบถามได้ที่ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า 0-37 39-3132 , 0-3739-3010 ถึง 4

เกิดเหตุระเบิดในเมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี สหรัฐอเมริกา โดยกองบัญชาการตำรวจในเมืองแนชวิลล์ เชื่อว่าเป็นเหตุวางระเบิด จากรายงานของ The Associated Press

ดอน แอรอน โฆษกตำรวจ ระบุว่า เหตุระเบิดเมื่อเวลา 6.30 น. ในวันคริสต์มาสตามเวลาท้องถิ่น เป็นการตั้งใจวางระเบิด โดยเหตุระเบิดครั้งนี้ทำให้อาคารบ้านเรือนสั่นสะเทือนและเสียหาย กระจกแตก มีผู้ได้รับบาดเจ็บและต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 3 คน แม้จะไม่มีใครมีอาการสาหัสก็ตาม

ตำรวจยังเชื่อด้วยว่ามียานพาหนะเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดครั้งนี้ โดยรายงานระบุว่าการระเบิดเกิดจากรถแบบ RV คันหนึ่งที่จอดอยู่ และหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานว่า ก่อนการระเบิดมีการเผยแพร่คำเตือนล่วงหน้าด้วย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ดับเพลิง รวมทั้งนักสืบจากสำนักงานสืบสวนกลางของสหรัฐฯ และจากสำนักงานแอลกอฮอล์ ยาสูบ อาวุธปืน และอาวุธระเบิด หรือ ATF กำลังร่วมสืบสวนการระเบิดอย่างหนัก

สำหรับบริเวณที่เกิดเหตุเป็นย่านท่องเที่ยวและย่านใจกลางของเมืองแนชวิลล์ มีทั้งบาร์ ร้านอาหาร ร้านขายปลีก โดยหลังเกิดเหตุมีควันดำและเพลิงไหม้พวยพุ่งจากบริเวณดังกล่าว

นับถอยหลัง อีกไม่นานประเทศไทยจะมีการขนส่งทางรางที่เชื่อมโยงการเดินทางของประชาชนได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

ปัจจุบันมีโครงการที่กำลังดำเนินการก่อสร้างดังนี้

• ก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะเร่งด่วน 7 เส้นทาง ระยะทางรวม 993 กิโลเมตร ยกระดับการเดินทางและขนส่งด้วยระบบรางให้รวดเร็วตรงเวลายิ่งขึ้น

ปัจจุบันก่อสร้างเสร็จแล้ว 2 เส้นทาง ได้แก่

- รถไฟทางคู่ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ระยะทาง 187 กม. เปิดให้บริการปี 2562

- รถไฟทางคู่ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย ระยะทาง 106 กม. เปิดให้บริการปี 2562

กำลังก่อสร้างอีก 5 เส้นทาง ได้แก่

- รถไฟทางคู่ช่วงลพบุรี-ปากนํ้าโพ ระยะทาง 145 กม. ความก้าวหน้า 42.57%

- รถไฟทางคู่ช่วงนครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 169 กม. ความก้าวหน้า 62.91%

- รถไฟทางคู่ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 90 กม. ความก้าวหน้า 67.57%

- รถไฟทางคู่ช่วงมาบกระเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กม. ความก้าวหน้า 53.78%

- รถไฟทางคู่ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กม. ความก้าวหน้า 54.91%

ทั้ง 5 โครงการคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการปี 2566-2567

• ผลักดันโครงการรถไฟทางคู่สายใหม่อีก 2 เส้นทาง

- รถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 326 กม.

รถไฟทางคู่สายบ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม ระยะทาง 355 กม.

ระยะทางรวม 681 กิโลเมตร

• เร่งรัดโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง

เพื่อเติมเต็มการเดินทางจากปริมณฑลเข้าสู่ในกลางกรุงเทพมหานครและเชื่อมต่อการเดินทางกับรถไฟฟ้ามหานคร

เส้นทางที่กำลังก่อสร้างขณะนี้ได้แก่

- โครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ระยะทางรวม 15.26 กิโลเมตร 3 สถานี แล้วเสร็จปี 2564 ความก้าวหน้า 78.76%

- โครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะทางรวม 26.30 กิโลเมตร 10สถานี แล้วเสร็จปี 2564 ความก้าวหน้า 81.72%

พร้อมก่อสร้างสถานีกลางบางซื่อ ความก้าวหน้า 99.76%

• ส่วนต่อขยายในอนาคต อีก 3 ช่วง ได้แก่

- โครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ตลิ่งชัน-ศิริราช-ศาลายา

- โครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

- โครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-หัวหมาก และ บางซื่อ- หัวลำโพง (Missing Link)

โดยอยู่ระหว่างการรถไฟฯ ศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบการลงทุน PPP

• ก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง 2 เส้นทาง

2 สายแรกของประเทศไทยเชื่อมโยงเมือง การเดินทาง และพัฒนาเมืองสำคัญในภูมิภาคเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ กระตุ้นการลงทุน ยกระดับรายได้ของประเทศ

• ขณะนี้กำลังดำเนินการก่อสร้าง 2 สายทางคือ

- รถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ-หนองคาย ระยะที่ 1 กรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทางรวม 253 กม. 6 สถานี ขณะนี้เริ่มก่อสร้างงานโยธาแล้ว 2 สัญญา อีก 12 สัญญา อยู่ระหว่างการดำเนินการ คาดว่าจะเปิดให้บริการปี 2568

- รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม. 9 สถานี เปิดพื้นที่การพัฒนาจากกรุงเทพฯ สู่ EEC ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการเตรียมดำเนินการก่อสร้าง รื้อย้ายสิ่งกีดขวาง เวนคืนที่ดิน คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2570


ที่มา : Thailand Future

หลังจากที่ฮ่องกงตรวจพบผู้ติดเชื้อ Covid-19 กลายพันธุ์ของอังกฤษ ที่เรียกสั้น ๆ ว่า B117 เป็นนักศึกษาฮ่องกงที่เพิ่งเดินทางกลับจากลอนดอนจำนวน 2 คน

ทำให้ทางการฮ่องกงไม่รอช้า ออกคำสั่งด่วนเพิ่มระยะเวลาการกักตัวของผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศ นอกเหนือจากจีน เข้าเมืองฮ่องกง ต้องถูกกักตัวเพิ่มจาก 14 วัน เป็น 21 วัน มีผลตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคมนี้เป็นต้นไป

โดยผู้ที่เข้าเมืองทั้งชาวฮ่องกง และ ชาวต่างชาติต้องถูกกักตัวในโรงแรมที่ทางการฮ่องกงกำหนดให้เท่านั้น ที่จำเป็นต้องเพิ่มระยะเวลากักตัวเป็น 21 วัน เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ที่เข้าเมืองปลอดเชื้อไวรัสโคโรน่าจริง ๆ โดยเฉพาะจากไวรัส Covid-19 กลายพันธุ์ ที่ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าจะมีระยะฟักตัวนานกว่าเดิมหรือไม่

นอกจากนี้ ทางการฮ่องกงยังแบนผู้ที่เคยมีประวัติเข้าประเทศอาฟริกาใต้ภายในระยะเวลา 21 วัน เข้าเมืองฮ่องกง และระงับทุกเที่ยวบินจากอังกฤษเรียบร้อย

นับเป็นมาตรการตั้งการ์ดสูงของฮ่องกง ที่จะไม่ยอมให้ Covid-19 สายพันธุ์ใหม่ ที่มีความสามารถในการแพร่ระบาดได้รวดเร็วกว่าเดิมเข้ามาในฮ่องกง

ความวิตกกังวลในเรื่องเชื้อ Covid-19 กลายพันธุ์ตัวใหม่ เริ่มขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมีการพบผู้ติดเชื้อไวรัสตัวใหม่นอกประเทศที่พบการกลายพันธุ์ และล่าสุดในเยอรมันมีรายงานว่า พบผู้ติดเชื้อ Covid-19 สายพันธุ์ B117 แล้วที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ต จากชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากลอนดอนเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม และเป็นผู้ติดเชื้อ B117 รายแรกในเยอรมัน

ขณะนี้ มีมากกว่า 40 ประเทศได้ประกาศแบนเที่ยวบินจากอังกฤษ หรือ แอฟริกาใต้เรียบร้อยแล้ว


แหล่งข่าว

https://www.channelnewsasia.com/news/asia/covid-19-hong-kong-21-days-quarantine-south-africa-13841170

https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/hong-kong-imposes-21-day-quarantine-for-visitors-adds-south-africa-to-banned-list

https://www.scmp.com/news/china/science/article/3115008/what-we-know-so-far-about-new-coronavirus-strain-emerged-britain

https://www.bbc.com/thai/international-55401953

เครดิต : หรรสาระ By Jeans Aroonrat

การพ่ายแพ้อย่างราบคาบในสนามเลือกตั้งเล็ก (อบจ.) และอาจจะรวมถึงทุกๆ ความนิยมที่ลดทอน ของคณะก้าวหน้า ทำให้เห็นได้ชัดถึงก้าวที่ผิดพลาด จนดูเหมือนว่าที่ยืนของคณะก้าวหน้า และพลพรรคของขั้วตรงข้ามรัฐ เริ่มไร้ที่ยืนลงไปเรื่อยๆ

ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ‘ดร.นิว’ นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกมา เผยแพร่ ความพ่ายแพ้แบบแลนด์สไลด์ของคณะก้าวหน้าผ่านเฟซบุ๊กว่า

“เหตุผลสำคัญที่คณะก้าวหน้าพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้ คือ การถือนโยบายที่ผิด หมกมุ่นอยู่กับการบั่นทอนความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ หวังสานต่อภารกิจ 2475 ที่ยังไม่เสร็จของคณะราษฎร ซึ่งมีแต่จะบั่นทอนความมั่นคงของชาติและประชาชน

“คณะก้าวหน้า คือ คนกลุ่มเดิมที่ไม่ได้เข้าเพื่อมาแก้ไขปัญหาของประเทศ ไม่ได้ทำในสิ่งที่ประชาชนต้องการ แต่กลับสร้างปัญหาและความแตกแยกที่รุนแรงให้กับประชาชน โดยที่ไม่ได้สร้างประชาธิปไตย แต่กลับแอบอ้างประชาธิปไตย หลอกใช้มวลชนเป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจ สร้างความแตกแยก และทำลายล้างสถาบันสำคัญของชาติตามรอยคณะราษฎร

“ทำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศที่รักสถาบันพระมหากษัตริย์ออกมาปฏิเสธอย่างหนักแน่น ตลอดจนคนที่รักในประชาธิปไตยอย่างมีสติ ซึ่งเห็นคุณค่าของชีวิตประชาชนเพื่อนร่วมชาติก็ย่อมไม่เห็นด้วย เพราะการที่จะไปสู่การเปลี่ยนแปลงตามที่คณะก้าวหน้าต้องการได้นั้น ต้องผ่านสงครามกลางเมืองระหว่างประชาชนที่เห็นต่างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มีแต่จะนำไปสู่ความรุนแรงและความแตกแยกครั้งมโหฬารที่คนไทยทุกคนจะเป็นผู้พ่ายแพ้

“ในขณะที่สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันประชาธิปไตย เพราะถือประโยชน์สุขของประชาชนทั้งประเทศเป็นใหญ่ บำบัดทุกข์ บำรุงสุข อยู่เคียงข้างกับประชาชนมาโดยตลอด ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดในสถานการณ์ปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานเครื่องมือทางการแพทย์จำนวนมากเพื่อรองรับต่อสถานการณ์และช่วยเหลือประชาชนทั้ง 77 จังหวัด 123 โรงพยาบาลทั่วประเทศ

“แต่ความดีของสถาบันพระมหากษัตริย์แบบนี้จะไม่มีอยู่ในกะลาของคณะก้าวหน้า ซึ่งเต็มไปด้วยการปั่นกระแสบิดเบือนในโลกโซเชียล เพื่อสร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างหลับหูหลับตา ตลอดจนสร้างความแตกแยกให้กับสังคม อยู่เบื้องหลังการยุยงปลุกปั่นก่อม็อบลงถนนมาโดยตลอด ดังนั้นการเสี้ยมให้คนไทยทะเลาะกันเองของคณะก้าวหน้าและเครือข่าย อีกทั้งใช้ช่องว่างทางสังคมทั้งทางกายภาพและโซเชียลมีเดียสร้างความแตกแยกระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ จึงเป็นสิ่งที่เลวร้ายและอำมหิตที่สุด

“พฤติกรรมของคณะก้าวหน้าที่ทำมาโดยตลอดจึงเป็นแค่การแอบอ้างประชาธิปไตย เพื่อหลอกลวงมวลชนในกะลาเป็นเครื่องมืออย่างสกปรกและไร้จิตสำนึกที่สุด ด้วยการสร้างเงื่อนไขความเข้าใจที่ผิดๆเสมือนว่าประชาธิปไตยสามารถสร้างได้ด้วยการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น

“ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง การสร้างประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องสร้างความแตกแยกหรือทำลายใคร เพียงแต่ยกหลักการที่ถูกต้องขึ้นมาสร้างความสามัคคีและความมั่นคงของประเทศชาติ หรือบางทีการหันมาสร้างความมั่นคงให้กับสถาบันพระมหากษัตริย์ แล้วให้สถาบันพระมหากษัตริย์ช่วยสร้างประชาธิปไตยให้กับประชาชน อาจจะเป็น "ทางออกที่แท้จริงของประเทศไทย" ก็เป็นได้


ที่มา: เฟซบุ๊ก Suphanat Aphingyan

การลงทุนในโลหะเงินแท่ง (แบบทองคำแท่ง) เพื่อซื้อเก็บในระยะยาว อาจไม่ได้รับความนิยมมากนักในประเทศไทย โดยส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะการเก็งกำไรด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Silver Online Futures) ในตลาด TFEX เท่านั้น

แต่รู้หรือไม่ว่าในมุมมองของนักลงทุนระดับโลกหลาย ๆ คนนั้นไม่ได้มองว่าโลหะเงินด้อยไปกว่าทองคำเลย โดยในบทสัมภาษณ์ต่าง ๆ นั้นพวกเขามักจะใช้คำว่า "Gold and Silver" อยู่เสมอ คือเรียกโลหะทั้ง 2 ชนิดนี้พร้อมกันเลย

เนื่องจากพวกเขาเชื่อมั่นว่าโลหะทั้ง 2 ชนิดเป็น "เงินที่แท้จริง" เพราะนอกจากทองคำแล้ว โลหะเงินก็ถูกนำมาใช้เป็นเหรียญในสกุลเงินต่าง ๆ มานับพันปี

ด้วยคุณสมบัติที่แข็งแรงทนทานของเงิน (Silver) ที่แม้เมื่อใช้งานไปนาน ๆ แล้วโลหะเงินจะมีสีหมองคล้ำลงจากปฏิกิริยาเคมี แต่ปฏิกิริยานั้นจะเกิดขึ้นเฉพาะที่ผิวเท่านั้น ไม่ได้ทำให้สมบัติต่าง ๆ ของเนื้อเงินเปลี่ยนไป ต่างจากโลหะชนิดอื่น ๆ ที่มักจะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ด้วยความทนทานนี้จึงทำให้โลหะเงินเป็นเครื่องมือในการรักษามูลค่าเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่แพ้ทองคำ

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเราสามารถหาซื้อทองคำแท่งได้ง่ายกว่าโลหะเงินแท่ง จึงดูไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณต้องลำบากไปลงทุนในโลหะเงิน นอกเสียจากว่า "ในเวลานั้นโลหะเงินน่าจะทำกำไรได้มากกว่า"

ประเด็นมันอยู่ตรงนี้!! คือตอนนี้บรรดานักลงทุนระดับโลกอย่างจิม โรเจอร์ส, โรเบิร์ต คิโยซากิ รวมถึงอีกหลาย ๆ คน กำลังพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ราคาโลหะเงินตอนนี้อยู่ในระดับที่น่าลงทุนกว่าทองคำ"

เนื่องจากราคาของมันยังต่ำกว่า All Time High อยู่ถึง 50% เมื่อเทียบกับทองคำที่ทะลุ All Time High ไปแล้ว

(ราคาโลหะเงินปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 25$/Oz. ส่วน All Time High อยู่ที่ประมาณ 50$/Oz.)

บทความนี้จึงได้สรุปข้อมูลเกี่ยวกับโลหะเงิน (Silver) โดยสังเขปมาให้คุณได้เห็นภาพรวมของโอกาสและความเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้ว่าควรจะเชื่อคำแนะนำของนักลงทุนระดับโลกเหล่านั้นหรือไม่ ดังนี้ครับ

1.) "ต้นทุนการผลิตโลหะเงิน" ของแต่ละเหมืองนั้นมีความแตกต่างกันมาก เพราะโลหะเงินนั้นเป็นผลผลิตพลอยได้จากการผลิตโลหะชนิดอื่น เนื่องจากในธรรมชาตินั้นแร่เงินมักจะอยู่ร่วมกับแร่อื่น ๆ เช่น ทองคำหรือตะกั่ว เสมอ แต่โดยเฉลี่ยแล้วต้นทุนจะอยู่ที่ประมาณ 11$/Oz. (ข้อมูลเมื่อปี 60) ซึ่งต่ำกว่าราคาในปัจจุบันถึง 56% ทว่าหากความต้องการของแร่เงินสูงขึ้นก็จะดันต้นทุนสูงขึ้นได้ เนื่องจากจำเป็นต้องใช้กำลังการผลิตจากเหมืองที่มีต้นทุนสูงกว่า (เหมือนกับน้ำมันที่แท่นขุดเจาะในสหรัฐมีต้นทุนสูงกว่าแท่นในซาอุฯ แต่ด้วยความต้องการการใช้งานที่สูงทำให้กำลังการผลิตของซาอุฯไม่เพียงพอ)

2.) "Gold/Silver Ratio" เป็นอัตราส่วนที่ใช้บ่งบอกว่าในเวลานั้นทองคำมีราคาแพงมากแค่ไหนเมื่อเทียบกับโลหะเงิน ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 75/1 (หมายถึงทองแพงกว่าเงินอยู่ 75 เท่า) แต่ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าอัตราส่วน Gold/Silver นั้นควรจะเป็นเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามถ้าย้อนไปเมื่อ 800 ปีที่แล้ว ในสมัยโรมันนั้นอัตราส่วนนี้จะอยู่ที่ประมาณ 12/1 เท่านั้น แต่ปัจจัยสำคัญที่ดันให้อัตราส่วนนี้สูงขึ้นคือการประกาศใช้ Gold Standard

ซึ่งส่งผลให้ทองคำมีบทบาทในแวดวงการเงินมากกว่าโลหะเงินเมื่อเทียบกับอดีต โดยจะสังเกตได้ว่าในช่วงที่เกิดวิกฤติต่าง ๆ อัตราส่วนนี้มักจะสูงขึ้นอยู่เสมอ เพราะผู้คนจะเลือกเก็บวิ่งเข้าหาทองคำมากกว่าโลหะเงิน อย่างการแพนิคในช่วงเมษาที่ผ่านมานั้นอัตราส่วนนี้ได้วิ่งขึ้นไปถึง 114/1 เลยทีเดียว และนับตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมาอัตราส่วนนี้ก็ไม่เคยต่ำกว่า 30/1 อีกเลย จึงแสดงให้เห็นว่าความต้องการของการเก็บโลหะเงินเพื่อรักษาความมั่งคั่งนั้นลดลงไปมาก

3.) "โลหะเงินมีความผันผวน (volatility) มากกว่าทองคำ" หมายความว่าเวลาเงินขึ้นก็จะขึ้นแรงกว่าทอง แต่เวลาลงก็ลงได้มากกว่าทองคำ ซึ่งเป็นข้อดีสำหรับนักลงทุนระยะสั้นที่คุณมีโอกาสที่จะทำกำไรได้มากกว่า แต่สำหรับการลงทุนระยะยาวแล้ว store of value (ตัวเก็บมูลค่า) นั้นไม่ควรผันผวนมากจนเกินไป

4.) "การใช้งานในอุตสาหกรรม" เป็นประเด็นที่น่าสนใจ เพราะโลหะเงินมีสมบัติต่าง ๆ ที่โดดเด่น โดยเฉพาะการเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดีที่สุด, เป็นตัวสะท้อนแสงอันดับต้น ๆ, แข็งแรง, ทนการกัดกร่อน, ขึ้นรูปได้ง่าย, ป้องกันแบคทีเรีย ฯลฯ ทำให้เงินถูกนำมาใช้ในหลายอุตสาหกรรม ทั้งอิเล็กทรอนิกส์, แบตเตอร์รี่, แผงโซลาร์เซลล์ และในทางการแพทย์ ซึ่งคุณจะสังเกตว่าเป็นอุตสาหกรรมที่อยู่ในเทรนด์อนาคตล้วน ๆ!!!

โดยปัจจุบันอุปทานโลหะเงินในอุตสาหกรรมนั้นมีสัดส่วนถึง 56% ของอุปทานทั้งหมด เมื่อเทียบกับทองคำที่มีอยู่เพียง 12% เท่านั้น

สรุปแล้วโลหะเงินนั้นมีความน่าสนใจในแง่ของการป้องกันเงินเฟ้อ เพราะราคายังถือว่าไม่สูงมากเมื่อเทียบกับอดีต (ตามความเห็นของจิม โรเจอร์ส)

อีกทั้งเงินยังเป็นวัตถุดิบสำคัญที่ใช้ในอุตสาหกรรมที่อยู่ในเทรนด์อนาคตจึงอาจทำให้ความต้องการโลหะเงินสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันราคาเงินให้สูงขึ้น

แต่ถ้าคุณจะลงทุนจริง ๆ ก็ควรต้องศึกษาเพิ่มเติมว่าเงิน (Silver) มีความจำเป็นมากแค่ไหนในแต่ละอุตสาหกรรม มีโอกาสถูกทดแทนได้หรือไม่และถ้าการต้องการใช้งานมีมากขึ้นจริง ๆ ก็มีโอกาสที่จะมีการพัฒนาเทคโนโลยีการทำเหมืองเงิน เพื่อให้เงินมีต้นทุนที่ต่ำลงได้เช่นกัน

นอกจากนี้ในแง่ของการลงทุนนั้น โลหะเงินมีข้อด้อยกว่าทองคำอยู่หลายประการทั้งสภาพคล่องที่น้อยกว่า เนื่องจากตลาดเล็กกว่า, ปริมาตรเยอะกว่าในราคาที่เท่ากัน ทำให้เก็บยากกว่า, ความผันผวนที่สูงกว่า ฯลฯ


ที่มา : Kim Property

ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด ให้ความมั่นใจ ‘อาหารทะเลจากมหาชัย’ ปรุงสุกกินได้ พร้อมวอนประชาชนลดดีกรีฉลองปีใหม่ ย้ำให้ติดตามแถลงของศบค.แหล่งเดียว ยืนยัน มีคนไทยในเกาหลีติดโควิด 31 คน ประสานงานช่วยเหลือแล้ว

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)ตอบข้อซักถามถึงกรณีที่ ผู้ประกอบการจากจังหวัดสมุทรสาครร้องเรียนศบค.ว่าจังหวัดอื่น ปฏิเสธรับซื้อสินค้าของจังหวัดสมุทรสาคร ศบค. จะแก้ปัญหาอย่างไร ว่า น่าเห็นใจในภาวะของการตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นมากไปสักนิด

ขอย้ำว่าโรค โควิด-19 เป็นการติดเชื้อทางเดินหายใจ ดังนั้นอาหารทะเลหรืออุปโภคบริโภคที่ออกไปจากสมุทรสาคร แล้วเกิดความรังเกียจนั้นก็ถือว่าแรงเกินไป เพราะในความเป็นจริงไม่ถึงขนาดนั้น หากอาหารทะเลหรืออาหารอุปโภคบริโภคเมื่อปรุงสุกแล้ว มีการทำความสะอาดทุกอย่างสินค้าเหล่านั้นยังใช้ได้เหมือนเดิมตามปกติดังนั้นขอให้ทุกคนเข้าใจและอุดหนุนสินค้าจากจังหวัดสมุทรสาครได้ตามปกติ หากทำความสะอาดก่อนที่จะปรุงสุกแล้วเชื้อโรคก็ไม่ได้ทนทาน ยืนยันเรื่องความปลอดภัย ขอให้ทุกคนช่วยกัน

นายกรัฐมนตรีได้กำชับในศบค. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุขจัดทีมเข้าไปตรวจสอบคุณภาพถึงสถานที่ผลิตเพื่อยืนยันให้มั่นใจว่าสินค้าที่ออกมานั้นเกิดความมั่นใจต่อผู้บริโภคได้ ดังนั้นในจังหวัดก็ต้องให้ความร่วมมือร่วมใจและขอให้ประชาชนทั่วไปมีความมั่นใจด้วย

ส่วนกรณีที่คนไทยในประเทศเกาหลีใต้ ติดโควิด-19 มากกว่า 30 คนนั้น โฆษก ศบค.กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ที่ประชุมศบค. ชุดเล็กได้มีการพูดคุยถึงเรื่องดังกล่าวเช่นกัน โดยรักษาการอธิบดีกรมการกงสุลกระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งว่าทางสถานเอกอัครราชทูตณกรุงโซล ประเทศเกาหลี รายงานมาว่ามีการติดจริง 31 คนในเมืองชอนัน จ.ชุงชองใต้

ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งทางใต้ของกรุงโซลประมาณ 80 กิโลเมตรซึ่งพบว่า เป็นชาวไทยติดเชื้อเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 1 ราย และได้ทำการตรวจผู้สัมผัส กับผู้ป่วยดังกล่าวและผู้มีความเสี่ยง ที่ร้านขายอาหารไทยแห่งหนึ่ง จำนวน 90 ราย พบว่ามีการติดเชื้อ ในชาวไทยเพิ่มขึ้นอีก 31 คนและอยู่ระหว่างการตรวจรอยืนยันอีก 28 คน

ตอนนี้จะได้มีการเชื่อมโยงไปมา ตามที่เราเคยมีการดูแลข้ามประเทศโดยใช้ การติดต่อผ่านทางออนไลน์ , เฟสไทม์ , วีดีโอคอนเฟอเรนซ์กัน โดยกลุ่มทางการแพทย์กระทรวงสาธารณสุขได้ติดต่อกับกลุ่มบุคคลเหล่านี้แล้ว เพื่อดูแลเรื่องการติดเชื้อว่าอะไรเป็นอย่างไร ขณะนี้ทีมแพทย์จากกรมการแพทย์ได้ตั้งกลุ่มไลน์และได้ประสานงานช่วยเหลือแล้ว

โฆษกศบค. ยังกล่าวถึงกรณีชาวต่างชาติไม่ปฏิบัติตามมาตการป้องกันการติดเชื้อว่าว่า ต้องขอขอบคุณผู้ประกอบการในประเทศไทยที่ได้เข้มงวดในการทำมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด โควิด-19 และขณะนี้เราได้ประกาศอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ 100% ต้องสวมหน้ากากอนามัย หน้ากากผ้า

ดังนั้นทุกคนต้องเตือนกันได้ว่าใครที่ไม่สวมใส่หน้ากากอนามัยต้องเตือนกันได้โดยไม่ถือโทษโกรธกัน ซึ่งทาง ผู้ช่วยโฆษกศบค. จากกระทรวงการต่างประเทศจะได้ประสานข้อมูลไปยังผู้ที่เป็นชาวต่างชาติที่อยู่ในเมืองไทยเพื่อขอความร่วมมือในการที่จะต้องปฏิบัติตนให้เหมือนกับคนไทยทุกคน

เมื่อมาอยู่ร่วมกันในประเทศไทยก็ต้องเลือกที่จะใช้มาตรการป้องกันควบคุมโรครวมกันเหมือนอย่างที่เราทำได้ผลมาแล้ว เพราะตัวเลขการติดเชื้อครั้งนี้มากกว่าครั้งที่แล้วเพราะฉะนั้นเราต้องจะเข้มมากกว่าครั้งก่อนอีกมาก เช่นในต่างจังหวัดมีชาวต่างชาติทั้งสวมใส่หน้ากากอนามัยและสวมใส่หมวกกันน็อคขณะขับขี่รถจักรยานยนต์

ดังนั้นคงถือว่าเป็นส่วนน้อยที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานสาธารณสุข ดังนั้นขอความร่วมมือให้ 100% ดังนั้นขอฝากให้ทุกคนดูแลป้องกันตัวเองด้วย และต้องขอความร่วมมือให้เราปฏิบัติกันสักพักใหญ่ๆ เพื่อต้องการให้ตัวเลขสองถึงสามหลักที่เกิดขึ้นในขณะนี้ลดลงให้ได้โดยเร็ว

ความร่วมมือของคนไทยและคนต่างชาติต้องร่วมมือกันเราจึงจะมีอิสรภาพอย่างนี้ได้เพราะถ้าไม่ร่วมมือความเข้มข้นก็จะต้องตามมาโดยที่คงไม่มีใครชอบที่จะถูกจำกัดอิสรภาพต่าง ๆ ดังนั้นขอความร่วมมือไปยังพี่น้องชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยตอนนี้ด้วย

ทั้งนี้ หากประชาชนจะเดินทางข้ามจังหวัดในช่วงวันหยุดยาวปี สามารถตรวจสอบข้อมูล ผ่านการแถลงข่าวของศบค.ได้ทุกวัน ทั้งในเรื่องตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายจังหวัด ส่วนการเดินทางขณะนี้จำกัดเฉพาะจังหวัดสมุทรสาครที่กำหนดว่าไม่ควรเดินทางออกนอกจังหวัด

ส่วนจังหวัดอื่นๆยังสามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้ แต่พยายามอย่าเดินทางไปในที่ที่เป็นสถานที่ชุมชน แต่การจะไปเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่นั้นก็ยังสามารถเดินทางได้ ยังไม่มีการประกาศพื้นที่ควบคุมสูงสุดแต่อย่างใด ดังนั้นขอให้ติดตามเป็นรายวันไป

ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีให้รวมศูนย์แถลงข่าวมาที่ทำเนียบรัฐบาล มีความกังวลว่าตัวเลขผู้ติดเชื้ออาจจะไม่อัพเดท ช้ากว่าข้อเท็จจริง จะมีการให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดในแต่ละพื้นที่สามารถแถลงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันประชาชนสับสนและคลายความกังวลหรือไม่

โฆษกศบค.กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีความสับสนในพื้นที่และมีความกังวลเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากข้อมูลที่เข้ามาในส่วนกลางไม่ได้เป็นทางเดียวแต่ออกมาเป็นคนละทิศและทางดังนั้น นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการศบค. ได้รับทราบข้อมูลดังกล่าวจึงให้มีการรวมศูนย์ชุดข้อมูล ให้เป็นเหมือนช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ดังนั้นขอให้ทุกคนทราบว่าชุดข้อมูลที่เป็นชุดเดียวในเวลาที่ใช้แถลงข่าว 11.30 น. ในรอบ 24 ชั่วโมงมาแถลงข่าวเพื่อรายงานหนึ่งครั้งนั้นถือว่าไม่ช้าจนเกินไป ไม่มีอะไรต้องเร่งด่วนมากขนาดนั้น และความเร่งด่วนที่เกิดขึ้นโดยอยากจะได้ข้อมูลรวดเร็วแต่ปรากฏว่ายังบวก ๆ ลบ ๆ จึงเกิดความผิดพลาดกันไปใหญ่ เหมือนกับที่ขณะนี้มีข้อมูลว่ามีผู้ติดเชื้อแล้ว 36 จังหวัด แต่เท่าที่ตรวจสอบข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำอีกยังอยู่ที่ 31 จังหวัดแต่หากจะถามว่าเพิ่มขึ้นหรือไม่ก็รอในรอบ 24 ชั่วโมงก็ถือว่าไม่ช้าเกินไป

เพราะขณะนี้เราไม่ได้มีการล็อคดาวน์แต่อย่างใด ดังนั้นความถูกต้องและละเอียดของข้อมูลจึงต้องเน้นย้ำ ตนมั่นใจที่จะเสนอต่อทุกคน ดีกว่าข้อมูลออกไปหลายรอบแล้วไม่ตรงกัน สื่อ แต่ละสื่อก็จะไปนำเสนอเองทำให้เกิดความงุนงงขึ้นในสังคม ดังนั้นขอใช้ช่องทางศูนย์แถลงข่าวของศบค.แถลงข่าวอย่างเป็นทางการเพียงช่องทางเดียว เหมือนอย่างที่เราทำกันมาตลอดและเป็นรูปแบบที่เป็นที่ยอมรับได้โดยไม่มีการปกปิดข้อมูล

“ขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่ให้ความร่วมมือ เพราะนี่คือสิ่งที่เราจะก้าวไปด้วยกันจึงขอเน้นย้ำในข้อเท็จจริงที่เราร่วมมือขอให้คงไว้ให้นานที่สุด ภาครัฐและภาคเอกชนภาคประชาชนประชาสังคมขอให้รวมกันเป็นหนึ่งเพื่อสู้กับไวรัส โควิด-19 ถึงแม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อ เป็นพันคนแล้ว และกระจายไปในหลายจังหวัดเราก็ไม่ได้เพิ่งเจอครั้งนี้เป็นครั้งแรก ดังนั้น ขอให้ย้อนไปในประสบการณ์ที่ผ่านมา

เราก็ผ่านมาแล้วดังนั้นขอความร่วมมือกันอีกครั้งหนึ่งถึงแม้ว่าปีใหม่นี้ทุกคนอยากจะสนุกสนานจึงขอร้องว่าให้ลดน้อยลงกันสักนิดขอให้มีความสุขกันได้โดยมีหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย ที่จะช่วยทำให้ทุกคนซึ่งอยู่ในทุกที่มีความปลอดภัยดังนั้นขอย้ำให้ช่วยกันสวมใส่และมีความสุขในบรรยากาศปีใหม่กับครอบครัว ขอให้ทุกคนต่างช่วยกันและเราจะผ่านพ้นไปด้วยกัน”

เตรียมตั๋วพักผ่อนกันได้เลย (หากโควิด-19 จาง) หลังรัฐบาลกำลังพิจารณาวันหยุดพิเศษเพิ่มเติมจากปกติใน 2 กรณีเป็นอย่างน้อย คือ กรณีแรก อาจเพิ่มวันที่ 12 ก.พ.64 ให้เป็นวันหยุดเพิ่ม เพื่อให้หยุดยาว 3 วัน คือวันที่ 12 - 14 ก.พ.64

วิชิต ประกอบโกศล นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า ได้ประชุมร่วมกับ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านการท่องเที่ยวทั้งภาครัฐและเอกชน ถึงการเตรียมการเพื่อกำหนดวันหยุดเฉพาะกิจในปี 64 เพิ่มเติม

โดยเบื้องต้นที่ประชุมได้เห็นชอบร่วมกันว่า ในปีหน้ารัฐบาลกำลังพิจารณาวันหยุดพิเศษเพิ่มเติมจากปกติใน 2 กรณีเป็นอย่างน้อย คือ กรณีแรก อาจเพิ่มวันที่ 12 ก.พ.64 ให้เป็นวันหยุดเพิ่ม เพื่อให้หยุดยาว 3 วัน คือวันที่ 12 - 14 ก.พ. 64 เพื่อให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ

ส่วนอีกกรณีนั้น ที่ประชุมเห็นตรงกันว่ามีความเหมาะสม คือการเพิ่มวันหยุดในช่วงเทศกาล หรืองานประเพณีต่างๆ ของจังหวัดหรือภูมิภาคนั้นๆ เช่น เทศกาลบุญบั้งไฟ เทศกาลเข้าพรรษา หรือเทศกาลกระทงที่มีชื่อเสียงของแต่ละจังหวัด

ก็อาจประกาศให้เป็นวันหยุดในภูมิภาคนั้น ซึ่งจากนี้ทุกหน่วยงานจะไปดูรายละเอียดอีกครั้งว่า วันหยุดในช่วงเทศกาลนั้นจะให้หยุดในระดับกลุ่มจังหวัด หรือหยุดในภูมิภาคนั้นเลย เช่น เทศกาลบุญบั้งไฟในภาคอีสานก็ให้ภาคอีสานมีวันหยุดเพิ่มเติมเฉพาะภูมิภาคนั้น ซึ่งทั้งหมดจะเสนอที่ประชุมครม.พิจารณาเห็นชอบอีกครั้ง

รายงานฉบับล่าสุดจากธนาคารโลกระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนฟื้นตัวสู่ภาวะปกติเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์ควบคุมโรคระบาดอันมีประสิทธิภาพ การสนับสนุนเชิงนโยบายที่แข็งแกร่ง และการส่งออกที่ยืดหยุ่นของจีน

จากรายงานดังกล่าวได้ระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนจะเติบโตร้อยละ 2 ในปีนี้ และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 7.9 ในปี 2021

อย่างไรก็ตามสภาพการณ์ภายนอก (จีน) จะยังคงเป็นเรื่องท้าทายและไม่แน่นอนสูง โดยในรายงานระบุว่า พ้องกับความเห็นจากที่ประชุมทางเศรษฐกิจของจีนเมื่อ 18 ธันวาคม ที่ชี้ว่าจีนยังคงเผชิญความไม่แน่นอนจากภายนอกท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดที่เปลี่ยนแปลงไป และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศยังไม่อยู่ในระดับมั่นคง

ยิ่งไปกว่านั้น ในรายงานยังได้แนะนำให้ประคับประคองความไม่แน่นอนในระยะใกล้ด้วยการปรับใช้กรอบนโยบายอันยืดหยุ่น เพื่อรักษาฝีก้าวการฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งของจีนและของโลกให้เหมาะสมกัน

โดยการออกนโยบายก่อนเวลาอันควรและการจำกัดควบคุมมากเกินไป อาจจะบั่นทอนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ รายงานระบุ นอกจากนโยบายการเงินที่ยืดหยุ่นและเน้นการสนับสนุนแล้ว จีนควรใช้พื้นที่การคลังเพื่อป้องกันความเสี่ยงขาลง พร้อมรับรองความราบรื่นของการหมุนเวียนอุปสงค์จากภาครัฐสู่เอกชน

รายงานยังเรียกร้องจีนปรับเปลี่ยนเป้าหมายการคลังจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิมเป็นการใช้จ่ายทางสังคมและการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อให้เกิดการเติบโตที่ครอบคลุมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกว่าเดิม


ที่มา: Xinhuathai

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (25 ธันวาคม พ.ศ.2563)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 81 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 5,910 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 21 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 4,130 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,713 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 81 ราย เป็นคนไทย 6 ราย สัญชาติรัสเซีย 2 ราย เยอรมัน 1 ราย

เดินทางมาจากต่างประเทศ จากสหรัฐอเมริกา 3 ราย ,รัสเซีย 2 ราย ,สวิตเซอร์แลนด์ 1 ราย ,เยอรมนี 1 ราย ,เมียนมา 1 ราย ,สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย ผ่านการคัดกรองและเข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้

ผู้ติดเชื้อในประเทศ (อยู่ระหว่างการสอบสวน)จำนวน 37 ราย จาก เกี่ยวเนื่อง cluster จังหวัดสมุทรสาคร 26 ราย รอสอบสวน 11 ราย

ผู้ติดเชื้อในแรงานต่างด้าว (คัดกรองเชิงรุกในชุมชน) 35 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 149 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 363 ราย รักษาหายแล้ว 354 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 6.93 แสน ราย รักษาหายแล้ว 5.64 แสน เสียชีวิต 20,589 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 37 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1 แสน ราย รักษาหายแล้ว 81,099 ราย เสียชีวิต 446 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.2แสน ราย รักษาหายแล้ว 99,927 ราย เสียชีวิต 2,532 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.66 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.3 แสน ราย เสียชีวิต 9,055 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,495 ราย รักษาหายแล้ว 58,332 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,432 ราย รักษาหายแล้ว1,281 ราย เสียชีวิต 35 ราย

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล ย้ำการระบาดของโควิด 19 ระลอกใหม่ เกิดจากภาครัฐหละหลวม แนะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เร่งจัดการเจ้าหน้าที่รัฐต้นตอทำโควิดระบาด

หลังการอภิปรายญัตติด่วนด้วยวาจาต่อกรณีการระบาดของโควิด 19 ระลอกใหม่พร้อมคำแนะนำให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปรับทัศนคติตัวเอง ที่เอาแต่โทษคนอื่นไม่เคยรับผิดชอบใดๆแล้ว

ล่าสุด วิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกและ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ออกบทความเสนอแนะสิ่งที่นายกรัฐมนตรี ควรจะต้องเร่งดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผ่านเฟซบุ๊ค Wiroj Lakkhanaadisorn - วิโรจน์ ลักขณาอดิศรโดยระบุว่า เบื้องต้นต้องยอมรับว่า การแพร่ระบาดในครั้งนี้ เกิดจากความหละหลวม และการปล่อยปละละเลย ให้มีการลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายของแรงงานต่างชาติผ่านช่องทางทางธรรมชาติ

โดยมีประชาชนแจ้งเบาะแสมากมายว่า มีการเรียกรับผลประโยชน์ หรือไถสินบนจากเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ทำเป็นขบวนการ อาจมีทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือน เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 'ทหาร' ซึ่งมีหน้าที่ในการควบคุมตามแนวชายแดน

ในเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ควรต้องตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง เพื่อสอบสวนให้ชัดว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และข้าราชการคนใด ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบนำแรงงานต่างชาติเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายบ้าง

ท่าทีกล่าวโทษไปที่ข้าราชการผู้ปฏิบัติงาน และเพ่งโทษไปที่ตำรวจ และข้าราชการพลเรือน โดยปกป้องทหารอย่างออกนอกหน้า รวมทั้งการไปถามขู่ผู้ว่าราชการ จ.สมุทรสาคร ว่าปล่อยปละให้แรงงานต่างชาติเข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมายที่ จ.สมุทรสาคร ได้อย่างไร เป็นการถามคำถามที่ไร้วุฒิภาวะอย่างมาก เพราะ จ.สมุทรสาคร นั้นเป็นปลายทางของปัญหา

คำถามนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ควรต้องไปถามกองทัพ ที่มีหน้าที่ดูแลแนวชายแดนมากกว่า อย่างไรก็ตาม เรื่องขบวนการลักลอบนำเอาแรงงานต่างชาติเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย นี้ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ เพราะคือ ปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งแม้แต่ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 หัวหน้าชุดทำคดีโรฮีนจา ที่มีการจับกุมทหาร 4 นาย สุดท้ายยังต้องขอลี้ภัยเสียเอง เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะปล่อยให้เรื่องเงียบไปไม่ได้

ประการต่อมา เชื่อว่าทั้งแรงงานต่างชาติเข้ามาผิดกฎหมายและแรงงานข้ามชาติที่เคยถูกกฎหมายแต่หมดอายุและไม่อาจข้ามพรมแดนกลับไปยังประเทศของตนเองได้ มีจำนวนหลายแสนคน ซึ่งต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ แทนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะใช้มาตรการมุ่งให้ความสำคัญกับการควบคุมการระบาดเป็นสำคัญ

กลับประกาศที่จะกวาดล้างแรงงานต่างชาติผิดกฎหมายเหล่านี้ เมื่อเวลา 9.00 น. ของวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ.2563 ส่งผลให้ แรงงานต่างชาติผิดกฎหมายต่างพากันหลบหนีออกจากพื้นที่ จ.สมุทรสาคร บางส่วนก็ถูกนายจ้างลอยแพ พาไปทิ้งตามต่างจังหวัดต่างๆ เนื่องจากนายจ้างกลัวความผิด ทำให้การระบาดกระจายตัวออกจากพื้นที่ จ.สมุทรสาคร โชคดีที่ในช่วงบ่ายในวันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ กลับลำ ประกาศยอมให้มีการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างชาติผิดกฎหมายชั่วคราว จึงทำให้การหลบหนีแบบผึ้งแตกรังของแรงงานต่างชาติผิดกฎหมาย ชะลอตัวลง

แต่ปัญหานี้คงเป็นฝุ่นที่ พล.อ.ประยุทธ์ ซุกเอาไว้ใต้พรมมายาวนาน จึงยังไม่ได้ตัดสินใจในประเด็นนี้ โดยรีรอว่าต้องเอาไปผ่าน ครม. ก่อนซึ่งก็จะยิ่งทอดเวลาไปอีกกว่าสัปดาห์ ตราบใดที่มีรัฐบาลนี้ยังประวิงเวลาไปเรื่อยๆ ก็ยังเสี่ยงที่จะมีแรงงานต่างชาติที่ผิดกฎหมายหลบหนีออกจากพื้นที่ไปเรื่อยๆ ทำให้เสี่ยงมากที่จะทำให้การระบาดแพร่กระจายออกไปอีกในวงกว้าง ซึ่งเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะล่าช้าทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้

นายวิโรจน์ ยังตำหนิรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อีกว่า ได้ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่เดือน มีนาคม พ.ศ.2563 แทนที่จะใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาใช้ในการวางระบบ เตรียมความพร้อม ในการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเป็นรูปธรรม แต่ในทางปฏิบัติกลับเอาอำนาจไปใช้คุกคามประชาชนที่มาชุมนุมต่อต้านรัฐบาล ขณะที่การเตรียมการรับมือกับการระบาดของโรคโควิด-19 มีแต่ความล่าช้า และไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรม

ที่ทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจได้ ไม่ว่า การจัดเตรียมสถานกักกันโรคในพื้นที่ระดับจังหวัด (Local Quarantine) และการส่งเสริมให้มีสถานกักกันโรคโดยองค์กร (Organizational Quarantine) ก็ยังไม่เพียงพอต่อการกักกันโรคของแรงงานต่างชาติที่เข้าประเทศมาทำงาน นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการกักกันโรคก็ยังมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก โดยสูงในระดับ 20,000 บาทต่อคน ทำให้การจ่ายสินบนให้กับเจ้าหน้าที่รัฐหัวละ 6,500 บาท มีแรงจูงใจมาก

รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ ควรต้องเร่งจัดให้มีสถานกักกันโรคให้เพียงพอ และเร่งออกมาตรการในการอุดหนุน เพื่อให้ค่าใช้จ่ายในการกักกันโรคมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำลง ซึ่งเป็นโมเดลที่ไต้หวันทำได้สำเร็จ และได้ผลมาแล้ว ถ้ายังคงปล่อยปละละเลยก็จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นอีก จากแรงงานต่างชาติในภาคบริการ และภาคเกษตร

นอกจากนี้ นายวิโรจน์ ยังระบุถึงความไม่พร้อมในอีกหลายด้าน เช่นโรงเรียนที่ไม่มีงบประมาณเพื่อจัดหาจัดเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการป้องกันโรคระบาดได้อย่างเพียงพอ ด้านการแพทย์ และสาธารณสุข ได้เตรียมวัคซีนไว้เพียงพอสำหรับประชาชนเพียงแค่ 13 ล้านคน เท่านั้น อีกเรื่องที่รัฐบาลนี้ตายน้ำตื้น

และไม่ควรจะให้เกิดขึ้นอีก ก็คือ การจัดเตรียมอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้มีความพร้อม เช่น หน้ากาก N95 ชุด PPE และ Face Shield เป็นต้น ไม่ควรปล่อยให้มีเหตุการณ์ที่ รพ.นครท่าฉลอม ต้องออกมาขอรับบริจาคจากประชาชน เกิดขึ้นอีก

"สำหรับมาตรการการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย ทางพรรคก้าวไกลขอยืนยันว่า รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งแก้ไข มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อย ที่ไม่เคยมีสินเชื่อกับทางธนาคารมาก่อน สามารถเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำได้ และควรขยายระยะเวลาในการผ่อนชำระจาก 2 ปี เป็น 5 ปี เป็นอย่างน้อย เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถอยู่รอด

และรักษาระดับการจ้างงานได้ ในสถานการณ์ที่มีการระบาดของโควิด-19 และในกรณีที่รัฐบาลมีความจำเป็นต้องล็อคดาวน์จริง ๆ สิ่งที่พรรคก้าวไกลเรียกร้องก็คือ รัฐบาลจำเป็นต้องจัดเตรียมมาตรการเยียวยาให้พร้อมกว่าที่ผ่านมา ประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบต้องได้รับเงินเยียวยาอย่างรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องมีการลงทะเบียนซ้ำ มีจุดแจกจ่ายอาหารสำหรับประชาชนให้ทั่วถึง เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน สิ้นหวัง อย่างที่เคยประสบมา"

สุดท้าย นายวิโรจน์ ระบุว่า รัฐบาลต้องเลิกโทษ และผลักภาระให้ประชาชนรับผิดชอบตัวเอง ไม่เหมารวมโทษไปที่ประชาชนทั้งหมด เพื่อให้ตัวเองลอยตัวไม่ต้องรับผิดชอบอะไร รัฐบาลที่ดีมีหน้าที่ต้องถอดบทเรียน จากปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อมากำหนดนโยบาย วางมาตรการ และกลไกต่างๆ ในการป้องกันและแก้ปัญหา

สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องทบทวนตัวเอง ก็คือ จากกรณีสนามมวยลุมพินี กรณีคณะ VIP ลูกทูต และทหารอียิปต์ ที่ จ.ระยอง กรณีโรงแรม 1G1 ที่ฝั่งท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน จนถึงกรณีตลาดแพปลา ที่ จ.สมุทรสาคร รัฐบาลได้ถอดบทเรียนอะไรบ้าง ได้ทำอะไรเป็นรูปธรรมไปแล้วบ้าง ถ้ายังไม่ได้ทำอะไร ก็ควรต้องรีบทำ ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาจะเกือบปีแล้ว จะมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โทษประชาชนไปเรื่อย ๆ ปลูกผักชีแก้ผ้าเอาหน้ารอดแบบนี้ไปวัน ๆ แบบนี้ไม่ได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top