Thursday, 22 May 2025
NEWS

ผบ.ฉก.นราธิวาส ออกลาดตระเวนทางอากาศ ตรวจเข้มพื้นที่ป่าในทุกมิติ บูรณาการปฎิบัติกับทุกภาคส่วน ติดตามสถานการณ์เตรียมการป้องกัน และแก้ไขปัญหาไฟไหม้ป่าพรุโต๊ะแดง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธร (ป่าพรุโต๊ะแดง) ตำบลปูโย๊ะ อำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บัญชากองพลทหารราบที่ 15 / ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส เดินทางลงพื้นที่ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามสถานการณ์ พร้อมเตรียมการหาแนวทางป้องกัน และ แก้ไขปัญหาไฟไหม้ป่าพรุโต๊ะแดง โดยได้รับฟังบรรยายสรุปประวัติความเป็นมา การดำเนินงาน ของศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธร (ป่าพรุโต๊ะแดง)  สอบถาม ปัญหา ข้อขัดข้องในการดำเนินงาน พร้อมทั้งสอบถามปัจจัย และสาเหตุของการเกิดไฟไหม้ป่า เนื่องด้วยในบริเวณพื้นที่ป่าพรุโต๊ะแดง อาจเป็นแหล่งหลบซ่อนพักพิงของ ผกร. รวมถึงเคยมีไฟไหม้ป่าบ่อยครั้ง สร้างความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ 

จากนั้น พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส และคณะ ได้เดินทางขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ลาดตระเวนสำรวจทางอากาศพื้นที่ป่าพรุโต๊ะแดง ร่วมบูรณาการปฎิบัติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดย พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว กล่าวว่า ป่าพรุโต๊ะแดงเป็นป่าพรุแห่งสุดท้ายของประเทศไทย ครอบคลุมพื้นที่ของ 3 อำเภอ คือ อำเภอตากใบ อำเภอสุไหงโกลก และอำเภอสุไหงปาดี มีพื้นที่ประมาณ 120,000 ไร่ เป็นป่าที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ด้วยสัตว์ป่าและ พรรณไม้ พื้นที่ป่าพรุมีลำน้ำสำคัญหลายสายไหลผ่าน

EA-รามาฯ-EXAT ร่วมเปิดตัว “EV Smart Building” by EA Anywhere พร้อมหัวชาร์จมากที่สุดใน ASEAN

นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า EA ยกระดับมิติใหม่ของระบบการจัดการพลังงานแบบเดิม สู่รูปแบบการก่อสร้างอาคารและติดตั้งระบบบริการชาร์จไฟที่ทันสมัย ในการเป็น EV Hub แห่งแรกในอาเซียน ภายใต้แนวคิด “EV Smart Building” by EA Anywhere บนอาคารจอดรถ รามาธิบดี – พลังงานบริสุทธิ์ สนับสนุนพื้นที่โดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ซึ่งถือเป็นอาคารต้นแบบแห่งแรกที่ติดตั้งเครื่องชาร์จไฟฟ้ามากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน เป็นจำนวน 578 เครื่อง พร้อมให้บริการสถานีชาร์จทั้งระบบ AC Normal Charge ขนาด 7.3 kW จำนวน 576 เครื่อง ดำเนินการครอบคลุม 100% ทุกช่องจอดรถในอาคาร และระบบ DC Fast Charge 360 kW จำนวน 2 เครื่อง โดยคาดว่าจะพร้อมให้บริการเต็มรูปแบบในเดือนพฤษภาคมนี้

 

อาคารแห่งนี้ออกแบบเพื่อการ Sharing & Charging ที่ส่งเสริมผู้ใช้บริการยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมระบบการบริหารจัดการพลังงานที่ครบวงจรอย่างคุ้มค่า ด้วยนวัตกรรมการจัดการพลังงานไฟฟ้า แบบ Predictive และ Productive ให้สามารถรองรับจำนวนเครื่องชาร์จไฟฟ้าจำนวนมากได้ ไม่ต้องลงทุนในระบบโครงสร้างเพิ่มเติม และมีความสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ใช้งานต่อจำนวนชั่วโมงการชาร์จ ใช้งานง่าย ควบคู่ไปกับ แอปพลิเคชันอัจฉริยะ EA Anywhere ที่สามารถ ค้นหา จอง ชาร์จ จ่าย จบได้ในแอปฯ เดียว

 

"โครงการอาคารจอดรถ รามาธิบดี - พลังงานบริสุทธิ์  นับเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะยกระดับประเทศสู่ EV Hub ด้วย Model  “EV Smart Building” by EA Anywhere สู่การพัฒนาพื้นที่สำหรับ อาคารชุด อาคารสำนักงาน และอาคารขนาดใหญ่ อาทิ ห้างสรรพสินค้า, โรงแรม,  คอนโด, Mix Use และ Community Mall ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพพื้นที่เดิมให้เกิดการใช้พลังงานไฟฟ้า ที่คุ้มค่า ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพสูงสุด” นายสมโภชน์กล่าว

 

ทั้งนี้ ระบบ “EV Smart Building” by EA Anywhere ได้มีการออกแบบระบบการควบคุมกำลังไฟฟ้า โดยคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัย ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการพลังงาน ซึ่งในทุกเครื่องอัดประจุไฟฟ้า จะมีการเชื่อมโยงกับระบบ Smart Monitoring ของบริษัทฯ ผ่านระบบสื่อสารแบบ Real-Time เพื่อตรวจสอบสถานะการทำงาน และ ควบคุมการจ่ายพลังงาน มาพร้อมกับการจัดลำดับความสำคัญของการใช้พลังงาน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

 

ปัจจุบัน สถานีชาร์จในโครงข่าย EA Anywhere ดำเนินการโดยบริษัท พลังงานมหานคร จำกัด ให้บริการแล้วกว่า 490 สถานีทั่วประเทศ และตั้งเป้าขยายสถานีชาร์จไปสู่ธุรกิจการจัดการพลังงาน “EV Smart Building” by EA Anywhere ภายในสิ้นปี 2566 เพื่อให้ผู้ใช้รถ EV โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใช้รถในอาคาร มีความมั่นใจในการเลือกใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น

HIGHLIGHT
- โรงพยาบาลรามาธิบดี และ บริษัทพลังงานบริสุทธิ์ โดยรับการสนับสนุนพื้นที่โดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย  ร่วมติดตั้ง การพลังงาน “EV Smart Building” by EA Anywhere ซึ่งเป็นอาคารที่มีหัวชาร์จมากที่สุดใน ASEAN 
- โดยจะให้บริการทั้งรูปแบบ AC Normal Charge ขนาด 7.3 kW จำนวน 576 เครื่อง ดำเนินการครอบคลุม 100% ทุกช่องจอดรถในอาคาร และ แบบ DC Fast Charge 360 kW จำนวน 2 เครื่อง 
- ออกแบบระบบการอัดประจุ ภายใต้หลักการ Sharing and Charging และมีระบบการบริหารจัดการพลังงานในอาคารที่สอดรับกับพฤติกรรมการจอดรถของผู้ใช้งานอย่างแท้จริง 

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สั่งดำเนินคดีบุคคลแอบอ้างเบื้องสูง และบุคคลสำคัญของไทยหลอกลวงผู้ประกอบการเกิดความเสียหาย

ตามที่ปรากฏในข่าวสื่อสังคมออนไลน์ว่ามีกลุ่มทุนจีนสีเทา ชื่อ นายหยู ซิน ฉี(Mr.Yu Xin Qi)  สัญชาติจีน บุคคลดังกล่าวได้จัดตั้งสมาคมชื่อ “มณฑลส่านซีสมาคมแห่งประเทศไทย”และเป็นเจ้าของสมาคมสมาคมดังกล่าวมีลักษณะประกอบการดำเนินงานให้คำแนะนำการลงทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมและสถาบันต่างๆ ในการจัดตั้งสำนักงานเครือข่ายในประเทศไทยเชิญนักธุรกิจชาวจีนโพ้นทะเลที่มีชื่อเสียงของไทยไปประเทศจีนเพื่อเข้าร่วมประชุม  จัดกิจกรรมขนาดใหญ่เช่นการประชุมส่งเสริมการลงทุนนิทรรศการตลอดจนให้บริการส่วนลดยานพาหนะในการเดินทางและบริการรับส่งสนามบินแบบวีไอพีแต่ นายหยู ซิน ฉี มีพฤติการณ์อันน่าสงสัยว่า ได้นำภาพถ่ายที่ตนเองถ่ายคู่กับบุคคลมีชื่อเสียงและบุคคลสำคัญ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำรูปถ่ายคู่ร่วมกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.เพื่อไปสร้างความน่าเชื่อถือ  รวมถึงมีการแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงและบุคคลสำคัญระดับประเทศในการแสวงหาผลประโยชน์ หลอกลวงผู้อื่นเข้ามาเป็นสมาชิกและเรียกเก็บเงินบริจาคเข้าสู่สมาคม มีผู้เสียหายที่ถูกแอบอ้างและถูกหลอกลวงจำนวนหลายราย


พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.ดำเนินการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว จากการสืบสวนพบว่านายหยู ซิ นฉี มีพฤติการณ์การแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงและบุคคลสำคัญระดับประเทศเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จริง  อีกทั้งมีการจัดตั้งสมาคมที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายและไม่มีรายชื่อในสาระบบของกรมการปกครอง  ต่อมา วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566  เจ้าหน้าที่ตำรวจนำหมายค้นศาลอาญาที่ 198/2566 ลง 17 กุมภาพันธ์ 2566 เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 77/525 หมู่บ้านภัสสร 19 ซอย 52 ถนนจตุโชติ แขวงออเงิน เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร  พบ นายหยู ซิน ฉี  (Mr.Yu Xin Qi) สัญชาติจีน  แสดงตัวเป็นเจ้าบ้านและนำตรวจค้น ผลการตรวจค้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจยึดของกลางเพื่อตรวจพิสูจน์ จำนวน 11 รายการ ได้แก่


1.ป้ายไวนิลรูปและตราสมาคม จำนวน 2 ป้าย
2.ของชำร่วยที่ระลึกของสมาคม(กำไล) จำนวน 1 ชิ้น
3.ตราประทับ จำนวน 13 ชิ้น
4.ป้ายสมาคม จำนวน 1 ชิ้น
5.นามบัตรสมาคม จำนวน 2 กล่อง
6.บัตรประจำตัวสภาเครือข่าย จำนวน 1 ชิ้น
7.ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนสมาคมมิตรภาพไทย-ฉ่านซี จำนวน 1 ชิ้น
8.นามบัตรกิตติมศักดิ์ จำนวน 40 ชิ้น
9.เอกสารที่เกี่ยวข้องกับสมาคม จำนวน 1 ชุด
10.หนังสือรับรองบริษัทฯ จำนวน 1 ชุด
11.กระเป๋าถือสมาคมแต้จิ๋ว จำนวน 1 ใบ

'ท่านใหม่' กางกฎหมาย ม.32 จี้เอาผิด 3 นิ้วพ่นสีกำแพงวัดพระแก้ว

(29 มี.ค.66) จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจเข้าจับกุมตัว นายศุทธวีร์ สร้อยคำ หรือบังเอิญ อายุ 24 ปี ชาว จ.ขอนแก่น โดยจับกุมตัวได้ขณะที่ผู้ต้องหา กำลังพ่นสีสเปรย์สีดำใส่กำแพงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ถนนหน้าพระลาน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กทม.นั้น

ล่าสุด  หม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล หรือ “ท่านใหม่” ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก  ระบุว่า ไม่ต้องใช้ ม 112 ให้แปดเปื้อนถึงพระองค์ท่านหรอกครับ

มาตรา 32 ผู้ใดบุกรุกโบราณสถาน หรือทําให้เสียหาย ทําลายทําให้เสื่อมค่าหรือทําให้ไร้ประโยชน์ซึ่งโบราณสถาน ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินเจ็ดปีหรือปรับไม่เกินเจ็ดแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

ม.จ. จุลเจิม ยุคล

อยากจะดูว่า อัยการ และ ศาลท่านจะว่าอย่างไร

ทีเส็บ จัดโรดโชว์โครงการ ‘ประชุมเมืองไทย เร่งสร้างเศรษฐกิจไทย’ เยือนพิษณุโลก ชวนผู้ประกอบการไมซ์สมัคร Thai MICE Connect แพลตฟอร์มรวมบริการไมซ์ เชื่อมโยง Buyer-Seller ครบจบในที่เดียว

‘ทีเส็บ’ เปิดตัวโครงการ “ประชุมเมืองไทย เร่งสร้างเศรษฐกิจไทย” ให้งบสนับสนุนองค์กร จัดประชุมและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลภายในประเทศจำนวน 1,000 กลุ่ม หวังสร้างรายได้กว่า 100 ล้านบาท จัดโรดโชว์ปลายทางเมืองไมซ์ซิตี้ทั่วประเทศ กระตุ้นตลาดไมซ์ในประเทศ ช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทย ณ โรงแรมดิ อิมพีเรียล โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ พิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก 


คุณสุวัชชัย นิมมานเทวินทร์ ผู้อำนวยการ สำนักส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ ภาคกลาง กล่าวว่า “ทีเส็บได้ให้การสนับสนุนหน่วยงาน หรือองค์กรที่ดำเนินการจัดประชุมองค์กรและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลในประเทศอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2563 โดยในปี 2566 นี้ ทีเส็บได้เดินหน้าให้การสนับสนุนต่อภายใต้ชื่อโครงการ “ประชุมเมืองไทย เร่งสร้างเศรษฐกิจไทย” เพื่อเร่งกระตุ้นนักเดินทางไมซ์และสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยใช้กลไกการสนับสนุนเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดการจัดงานไมซ์ทั่วประเทศเพิ่มขึ้น ทั้งยังเป็นการกระจายรายได้ไปสู่ทุกภูมิภาคอีกด้วย พร้อมกันนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไมซ์ ชุมชน รวมถึงธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมไมซ์ได้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ ก่อเกิดเป็นเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศ 


สำหรับงานโรดโชว์ในครั้งนี้ที่จังหวัดพิษณุโลก ศูนย์กลางของภาคเหนือตอนล่าง เป็นเมืองไมซ์ซิตี้ที่มีทั้งสถานที่โรงแรม ที่พัก และสถานที่จัดงานมากมาย สามารถรองรับได้ตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ รวมทั้งยังมีสถานที่จัดงานพิเศษที่อิงกับประวัติศาสตร์เมืองเก่าสมัยพระนเรศวร ศิลปวัฒนธรรมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของประเทศไทย และพิษณุโลกยังเป็นแหล่งเพาะปลูกด้านการเกษตรและสมุนไพรที่สำคัญแบบทันสมัยและครบวงจรของประเทศไทยอีกด้วย ที่นี่จึงมีศักยภาพและความพร้อมในทุกด้านที่ผู้ประกอบการสามารถเลือกให้เป็นสถานที่จัดงานไมซ์ได้อย่างยอดเยี่ยม” คุณสุวัชชัยกล่าว 

เตือนภัย มิจฉาชีพสร้างเพจกรมการขนส่งทางบกปลอม หลอกเหยื่อโอนเงินค่าต่อและทำใบอนุญาตขับขี่

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก บช.สอท. ขอประชาสัมพันธ์เตือนภัย มิจฉาชีพสร้างเพจเฟซบุ๊ก และไลน์ของกรมการขนส่งทางบกปลอม แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่หลอกลวงให้ประชาชนโอนเงินค่าทำใบอนุญาตขับขี่ และต่ออายุใบอนุญาตขับขี่ยานพาหนะ ดังนี้

ที่ผ่านมาจากการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบการรับแจ้งความออนไลน์ พบว่ามีผู้เสียหายจำนวนหลายรายถูกมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อเป็นค่าทำใบอนุญาตขับขี่ใหม่ และค่าต่ออายุใบอนุญาตขับขี่ที่สิ้นสุดการอนุญาตแล้ว ผ่านทางเพจเฟซบุ๊ก และไลน์ที่มิจฉาชีพสร้างปลอมขึ้นมาเพื่อให้คล้ายคลึงกับเพจเฟซบุ๊ก และไลน์ของกรมการขนส่งทางบกจริง โดยเพจปลอมดังกล่าวใช้บัญชีชื่อว่า “กรมการขนส่ง” ภายในเพจได้ใช้รูปภาพ และตราสัญลักษณ์ของกรมการขนส่งทางบก นำรูปภาพ และคัดลอกเนื้อหาจากเพจกรมการขนส่งทางบกจริงมาใช้หลอกลวงประชาชน โดยมีการประกาศเชิญชวนให้ประชาชนทั่วไปแอดไลน์ปลอมติดต่อกับเจ้าหน้าที่โดยตรง อ้างว่าสามารถต่ออายุใบอนุญาตขับขี่ได้ทันที ไม่ต้องรอคิวนาน นอกจากนี้ยังตั้งรูปภาพโปรไฟล์เป็นรูปของผู้บริหารกรมการขนส่งทางบก เพื่อสร้างความน่าเชื่อถืออีกด้วย กระทั่งเมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อติดต่อไปทางไลน์กรมการขนส่งปลอมแล้ว มิจฉาชีพจะให้ส่งข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญ เช่น ภาพถ่ายบัตรประชาชน หมายเลขโทรศัพท์ รูปถ่าย และหลอกให้ชำระค่าบริการ ทำให้ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก  

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้ความสำคัญ และมีความห่วงใยต่อภัยการหลอกลวงผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการใช้ หรือแอบอ้างหน่วยงานราชการต่างๆ มาหลอกลวงประชาชน สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง โดยได้กำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งวางมาตรการในการป้องกันและปราบปรามอย่างต่อเนื่อง และจริงจัง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ซึ่งรับผิดชอบในด้านงานป้องกันปราบปราม ได้กำชับสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดเร่งดำเนินการปราบปรามจับกุมผู้กระทำผิดอย่างต่อเนื่อง และจริงจัง รวมถึงวางมาตรการป้องกันสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของเหล่ามิจฉาชีพ

ที่ผ่านมา บช.สอท. โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบ

โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ ทอดผ้าป่าสามัคคี 74 ปี เพื่อชีวิตผู้ป่วย " สืบสานธารน้ำใจ บุญใหญ่แห่งปี " เพื่อจัดซื้อเวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์

วันที่ 27 มีนาคม 2566  เวลา 13.29 น. - จก.พอ.พล.อ.ท.วรงค์ ลาภานันท์ เจ้ากรมแพทย์ทหารอากาศ พร้อมด้วย พล.อ.ต.อิศรญา สุขเจริญ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ภูมิพลอดุลยเดช ได้จัดให้มีการทอดผ้าป่าสามัคคี 74 ปี โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช พอ. เพื่อจัดซื้อเวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์

โดยพล.อ.ต.นภ ตู้จินดา ผู้อำนวยการ โรงพยาบาล จันทรุเบกษา ให้เกียรติเข้าร่วมงาน และนอ.หญิงนรีกุล จิตตบุณย์ อดีตผอ.กพย.โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช ที่นำน้ำดื่มมาร่วมแจกให้กับบุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล และคนไข้ที่มาโรงพยาบาลในวันนี้ ต้องขอขอบคุณท่านที่มาร่วมงาน ทอดผ้าป่าสามัคคีมา ณ โอกาสนี้


มีคณะแพทย์ และพยาบาล เข้าร่วมงานในครั้งนี้อย่างมากมาย ณ ห้องประชุม พล.อ.อ.ประพันธ์ ธูปะเตมีย์ ชั้น 3 อาคารคุ้มเกล้าฯ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ

โดยคุณวรวุฒิ เค้าอุทัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ โรงพยาบาล ไทยอินเตอร์เนชั่นแนล เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ร่วมทำบุญทอดผ้าป่าสามัคคี โดยการมอบอาหาร และขนม จำนวน 400 กล่อง ให้กับคุณหมอ พยาบาล รวมถึงคนไข้ที่มาโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดชวันนี้ด้วยเช่นกัน

สถานทูตไทยในลอนดอน เตือน ให้ระวังมากขึ้น หลังไอร์แลนด์เหนือ ยกระดับเตือนภัยก่อการร้าย

สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงลอนดอน ออกประกาศเตือนว่า ไอร์แลนด์เหนือยกระดับการแจ้งเตือนภัยคุกคามจากการก่อการร้ายเป็นระดับ 4 แล้ว ขอให้คนไทยระมัดระวังขึ้น

(29 มี.ค. 66) สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงลอนดอน ของสหราชอาณาจักร ออกประกาศฉับใหม่ เพื่อแจ้งเรื่องการยกระดับการเตือนภัยคุกคามจากการก่อการร้ายภายในไอร์แลนด์เหนือ โดยมีเนื้อหาดังนี้

“ด้วยเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2566 นายคริส ฮีตัน-แฮริส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอร์แลนด์เหนือ ได้ประกาศยกระดับการแจ้งเตือนภัยคุกคามจากการก่อการร้ายในไอร์แลนด์เหนือ จากระดับ 3 ‘Substantial’ (เป็นไปได้ที่จะเกิดการโจมตี) เป็นระดับ 4 ‘Severe’ (เป็นไปได้สูงที่จะเกิดการโจมตี) โดยเป็นผลจากการประเมินสถานการณ์ของหน่วยข่าวกรองภายในประเทสของสหราชอาณาจักรจากเหตุการณ์ทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้อาจเกิดความไม่ปลอดภัยต่อเด็กและประชาชนในพื้นที่สาธารณะ”

“ในการนี้ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน ขอให้คนไทยที่พำนักอยู่ในไอร์แลนด์เหนือหรือเดินทางไปไอร์แลนด์เหนือในระยะนี้ โปรดใช้ความระมัดระวัง ไม่ตื่นตระหนัก หากพบเป็นเหตุการณ์หรือสิ่งที่ไม่น่าไว้วางใจ ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และติดตามข่าวสารของทางการสหราชอาณาจักรอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน ได้ที่สายด่วนฉุกเฉิน +44 7918 651720 หรืออีเมล [email protected]
 

“อลงกรณ์”ฉายภาพนโยบายเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งเป้าเศรษฐกิจเติบโตอย่างน้อย5% ภายใต้ 3 นโยบายเรือธง(Flagship Policy)และระบบเศรษฐกิจใหม่พร้อมแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 1 ล้านล้านและแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอีก1ล้านล้านบาท

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคในฐานะทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ชี้แจงถึงผลการประชุมว่าด้วยแนวทางนโยบายเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ระหว่างนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคกับทีมเศรษฐกิจวันนี้(29มีนาคม)ว่า พรรคประชาธิปัตย์กำหนดกรอบนโยบายเศรษฐกิจบน3นโยบายเรือธง(Flagship Policy)ได้แก่

 1.เศรษฐกิจฐานราก พรรคประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาคการเกษตรและภาคการท่องเที่ยวด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเนื่องจากเป็น2ภาคเศรษฐกิจที่เป็นศักยภาพของประเทศโดยเฉพาะเกษตรถือเป็นดีเอ็นเอ(DNA) ของประเทศครอบคลุมสาขาพืช ประมง และปศุสัตว์ เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวรวมทั้งธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SME)ซึ่งเป็นธุรกิจสร้างงานสร้างอาชีพใหญ่ที่สุดของประเทศ
ตลอดจนการยกระดับภาคแรงงานในทุกสาขาซึ่งถือเป็นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ

2.เศรษฐกิจมหภาค ทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์กำหนดเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืนไม่น้อยกว่า5%ต่อปีมุ่งกระจายรายได้กระจายความเจริญลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ พัฒนาตลาดทุนยุคใหม่ ส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตร อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและ12อุตสาหกรรมใหม่(12 S-Curves) รวมถึงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในภูมิภาคและการลงทุน
โครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ทั้งระบบขนส่งมวลชน ระบบราง ระบบถนน ระบบขนส่งทางน้ำและทางอากาศภายใต้ยุทธศาสตร์เขื่อมไทย เชื่อมโลก ตลอดจนการปูทางสร้างโอกาสด้วยความตกลงการค้าเสรี(FTA-Mini-FTA)โดยเฉพาะความตกลงว่าด้วยหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาค(RCEP)

3.เศรษฐกิจทันสมัยหรือเศรษฐกิจอนาคต พรรคประชาธิปัตย์เร่งวางรากฐานใหม่ให้ประเทศโดยสร้างเครื่องยนต์ตัวใหม่ทางเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้แก่เศรษฐกิจดิจิตอล (Digital Economy) เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เศรษฐกิจสูงวัย(Silver Economy) เศรษฐกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy)และเศรษฐกิจคาร์บอน(Carbon Economy) เป็นต้น

กองทัพเรือ นำกำลังพลบริจาคโลหิต ครบรอบวันสิ้นพระชนม์ 100 ปี เสด็จเตี่ยอย่างพร้อมเพรียง ยึดตามรอยพระปณิธาน ในการช่วยเหลือประชาชนโดยไม่แยกชนชั้น

วันที่ 28 มี.ค.66 พล.ร.อ.วรวุธ  พฤกษารุ่งเรือง หัวหน้าคณะนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชา ผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธาน การจัดกิจกรรมบริจาคโลหิต “รวมใจปันโลหิต ต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์ เทิดพระเกียรติ ครบรอบวันสิ้นพระชนม์ 100 ปี พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์” โดยมี พล.ร.ท.ชาติชาย  ทองสะอาด รองเสนาธิการทหารเรือ (สายงานกิจการพลเรือน) รองประธานกรรมการจัดงานครบรอบวันสิ้นพระชนม์ 100 ปี ฯ และประธานอนุกรรมการจัดกิจกรรมเทิดพระเกียรติฯ  หัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ/ผู้แทน ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ให้การต้อนรับ ณ โถงชั้นล่าง อาคารกองบัญชาการกองทัพเรือ พื้นที่วังนันทอุทยาน 


ในการนี้ ทัพเรือภาคที่ 1 , 2 และ 3 ได้ร่วมจัดกิจกรรมบริจาคโลหิตฯ ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งการดำเนินการรับบริจาคโลหิตนั้น กรมแพทย์ทหารเรือ/คลังเลือดในพื้นที่ได้จัดเจ้าหน้าที่ เวชภัณฑ์ พร้อมอุปกรณ์มาดำเนินการรับบริจาคโลหิต จากข้าราชการ  ทหารกองประจำการ  ลูกจ้าง และพนักงานราชการ ของหน่วยต่างๆ คาดว่าจะมียอดบริจาคโลหิตรวมทั้งสิ้น ประมาณ 600 ถุง เป็นปริมาณโลหิต  270,000 ซีซี

ผบ.ทหารสูงสุด พร้อม ผบ.เหล่าทัพ สังเกตการณ์ฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิถี ฮาร์พูน บนเรือหลวงจักรีนฤเบศร

วันนี้ (28 มีนาคม 2566) พลเอก เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เดินทางไปตรวจเยี่ยมและสังเกตการณ์การยิงอาวุธปล่อยนำวิถี พื้น - สู่ - พื้น แบบ Harpoon  โดย เรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ เป็นเรือยิงหลัก และเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช เป็นเรือยิงสำรอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2566  


โดยมีพลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก พลอากาศเอก ชานนท์  มุ่งธัญญา รองผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้แทนผู้บัญชาการทหารอากาศ และ พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์  ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมสังเกตการณ์บนเรือหลวงจักรีนฤเบศร ในพื้นที่ทะเลอันดามัน บริเวณระยะ 55 ไมล์  จากแหลมพันวา จังหวัดภูเก็ต โดยมี พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ และ พลเรือเอก เถลิงศักดิ์ ศิริสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะผู้อำนวยการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2566 ผู้บังคับบัญชาระดับสูง ในกองอำนวยการฝึกฯ และผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือ ให้การต้อนรับ

 

ตามที่กองทัพเรือ ได้จัดให้มีการฝึกกองทัพเรือประจำปี มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อดำรงความพร้อมของหน่วยต่าง ๆ ในการปฏิบัติตามแผนป้องกันประเทศ แบ่งการฝึกเป็นวงรอบทุก 2 ปี ตามสถานการณ์ที่ถูกกำหนดขึ้น  


สำหรับการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2566 นี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน 2565 ถึง 22 มิถุนายน 2566 มีพื้นที่การฝึกทั้งในทะเลและบนบก โดยแบ่งการฝึกเป็น 2 ส่วน คือ การฝึกปัญหาที่บังคับการ (Command Post Exercise: CPX) มีระยะเวลาการฝึกรวม 3 สัปดาห์ ทำการฝึกระหว่าง วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ถึง 17 มีนาคม 2566  มีวัตถุประสงค์ เพื่อฝึกการควบคุมบังคับบัญชา และทดสอบแนวความคิดในการใช้กำลังและหลักนิยมต่าง ๆ ของหน่วยบังคับบัญชาในระดับต่าง ๆ และการฝึกภาคสนาม/ภาคทะเล (Field Training Exercise: FTX) ทำการฝึกระหว่างวันที่ 20 มีนาคม - ถึง 12 พฤษภาคม 2566 ซึ่งเป็นการฝึกปฏิบัติการของหน่วยกำลังรบประเภทต่าง ๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคยและประสบการณ์ให้กับกำลังพล รวมทั้งเป็นการทดสอบขีดความสามารถในการปฏิบัติการต่าง ๆ รวมถึงการยิงอาวุธปล่อยนำวิถี พื้น - สู่ - พื้น แบบ Harpoon ในครั้งนี้
   

นอกจากนั้น ยังมีการฝึกในหัวข้อสำคัญที่จะทำการฝึกในห้วงต่อไป คือ การปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก การยิงอาวุธประจำหน่วย และการฝึกดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง ของกำลังภาคพื้นดิน ทั้งกำลังจากหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง รวมทั้งกองทัพบก และกองทัพอากาศ ที่ได้จัดกำลังเข้าร่วมการฝึกในครั้งนี้ด้วย  

   
ในขณะเดียวกัน ได้มีการฝึกด้านการส่งกำลังบำรุง (Logistics Exercise: LOGEX) เพื่อทดสอบขีดความสามารถด้านการส่งกำลังบำรุงและการปฏิบัติของหน่วยสนับสนุนต่าง ๆ พร้อมกันไปด้วย และที่สำคัญ คือ การฝึกในครั้งนี้ ได้มีการเชิญ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ( ศรชล. ) กองทัพบก และกองทัพอากาศ จัดกำลังเข้าร่วมการฝึกในหัวข้อการฝึกต่าง ๆ อีกด้วย


สำหรับ อาวุธปล่อยนำวิถีฮาร์พูน ได้พัฒนาโดยบริษัท McDonnell Douglas Astronautics Company ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นอาวุธปล่อยนำวิถี แบบ พื้น - สู่ - พื้น และอากาศ - สู่ - พื้น เพื่อใช้ทำลายเรือผิวน้ำ ด้วยความเร็ว 60 ไมล์ทะเล ต่อชั่วโมง มีคุณสมบัติถูกออกแบบให้มีหัวรบมีอำนาจทำลายสูง ด้วยดินระเบิดขนาด 500 ปอนด์ สามารถโจมตีเป้าหมายซึ่งมองเห็นได้ หรือที่อยู่ไกลเกินขอบฟ้า สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องในทุก ๆ สภาวะอากาศ เครื่องค้นหาเป้ามีสมรรถภาพสูง ตรวจจับเป้าได้ในระยะไกล มีขีดความสามารถติดตามเป้าในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดี ซึ่งระยะยิงของอาวุธปล่อยนำวิถีฮาร์พูน ที่ไกลที่สุด คือ 75 ไมล์ทะเล และสามารถค้นหาเป้าเรือผิวน้ำภายในพื้นที่รัศมีวงกลมได้มากกว่า 17,500 ตารางไมล์ สามารถทำการยิงได้จากเรือผิวน้ำ ด้วยการใช้แท่นยิงที่ติดตั้งบนเรือผิวน้ำ ซึ่งอาจจะเป็นแท่นยิงของตัวระบบฮาร์พูนเองหรือแท่นยิงของระบบอาวุธอื่น ๆ ซึ่งได้ปรับปรุงให้สามารถทำการยิงอาวุธปล่อยนำวิถีฮาร์พูนได้


ทั้งนี้  กองทัพเรือ ได้เริ่มนำอาวุธปล่อยนำวิถีฮาร์พูน แบบพื้น - สู่ - พื้น เข้าประจำการครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2529 โดยติดตั้งมากับเรือคอร์เวตชุด เรือหลวงรัตนโกสินทร์ ต่อมาได้ทำการปรับปรุง เครื่องบินแบบ F - 27 MK 200 เมื่อปี พ.ศ.2533 ให้สามารถติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีฮาร์พูน แบบอากาศ - สู่ - พื้น เพื่อใช้โจมตีเรือผิวน้ำ ต่อมาเรือที่เข้าประจำการในกองทัพเรือหลายลำ ก็ได้รับการติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีฮาร์พูนเป็นอาวุธหลัก ได้แก่ เรือฟริเกต ชุด เรือหลวงนเรศวร 2 ลำ ( เรือหลวงนเรศวร และ เรือหลวงตากสิน ปัจจุบันประจำการอยู่ใน กองเรือฟริเกตที่ 2 กองเรือยุทธการ) เรือฟริเกตชุด เรือหลวงพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก 2 ลำ เรือหลวงพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกและเรือหลวงพุทธเลิศหล้านภาลัย ปัจจุบันปลดประจำการ)            

โดยการยิงอาวุธปล่อย นำวิถี ฮาร์พูน ในครั้งนี้ ใช้เรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ เป็นเรือยิง มี พลเรือตรี วรพาท รัตตะสังข์ ผู้บัญชาการกองเรือตรวจอ่าว กองเรือยุทธการ เป็นผู้บังคับหมวดเรือยิงอาวุธปล่อยนำวิถีฮาร์พูน ซึ่งผลจากการยิง อาวุธปล่อยนำวิถี สามารถทำลายเป้าหมายที่อยู่ห่างออกไป 55 ไมล์ ( 101.86 กิโลเมตร) ได้อย่างแม่นยำ แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของอาวุธปล่อยนำวิถีชนิดนี้

จนท.ระดมพลทำแนวกันไฟป่า ที่เขาแหลม จ.นครนายก ห่วง!! สัตว์ป่าพลัดหลง หลังลมแรงทำไฟลุกลามเร็ว 

เจ้าหน้าที่ระดมกำลังทำแนวกันไฟป่าพื้นที่เขาแหลม จ.นครนายก หลังปะทุขึ้นอีกครั้งช่วงเย็นวันนี้ พบอุปสรรคลมแรง ทำให้ไฟลุกลามรวดเร็ว

(29 มี.ค.2566) 19.30 น. เพจเฟซบุ๊ก ที่นี่ "นครนายก" โพสต์คลิปความยาว 18 วินาที ระบุว่าไฟไหม้เขาชะพลู ปะทุและลุกลามไปยังเขาแหลม ซึ่งเป็นป่าชุมชนต่อเนื่องกับพื้นที่ป่าอุทยานฯ เขาใหญ่ จ.นครนายก ซึ่งสภาพพื้นที่เป็นเขาสูงชัน ยากต่อการเข้าถึง ทำให้การดับไฟเป็นไปได้ยาก

ขณะที่เพจเฟซบุ๊ก Fire & Rescue Thailand รายงานว่า เพลิงไหม้บริเวณเขาชะพลู ต.พรหมณี อ.เมือง จ.นครนายก (บริเวณด้านหลังโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า) ขณะนี้ไฟยังลุกลามต่อเนื่อง ไปยังเขาแหลม ซึ่งพื้นที่เข้าถึงยากและมีความสูงชัน ทำให้การสกัดกั้นเพลิงเป็นไปได้ยาก

ด้านนายบดินทร์ จันทศรีคำ หรือน้าหมู ชมรมคนรักษ์สัตว์ป่า เปิดเผยว่า ไฟป่าดังกล่าวปะทุขึ้น และลุกไหม้รุนแรงอีกครั้งในช่วง 18.00 น.วันนี้ เนื่องจากมีลมแรง หลังจากเมื่อวานนี้ (28 มี.ค.) เจ้าหน้าที่ได้ระดมกำลังดับไฟไปแล้ว

ล่าสุดเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ปภ. เจ้าหน้าที่อุทยานฯ เขาใหญ่ กู้ภัย อาสาสมัคร ได้ระดมกำลังทำแนวกันไฟในระยะห่างประมาณครึ่งกิโลเมตร เพื่อป้องกันความเสียหายของพื้นที่ด้านล่าง
 

‘บิ๊กตู่’ เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงละศีลอด เดือนรอมฎอน อวยพรพี่น้องมุสลิมมีความสุข-ปลอดภัย-เจริญก้าวหน้า

นายกฯ เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงละศีลอด เดือนรอมฎอน ฮ.ศ.1444 อวยพรให้พี่น้องชาวมุสลิมมีจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง ดำรงตนเป็นคนดีของสังคม มีความอารีต่อสาธารณะ เป็นกำลังสำคัญสรรค์สร้างให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคง 

(28 มี.ค.66) ที่โรงแรมอัล มีรอซ กรุงเทพ ถนนรามคำแหง เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงละศีลอด เดือนรอมฎอน ปี ฮ.ศ. 1444 โดยมีนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายอรุณ บุญชม ประธานคณะผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรี เป็นผู้แทนจุฬาราชมนตรี เอกอัครราชทูตประเทศมุสลิมประจำประเทศไทย คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และตัวแทนมุสลิมเข้าร่วมงาน 

โดยเมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางถึง นายชาติชาย บัลบาห์ อัญเชิญพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติที่ได้มาร่วมงานเลี้ยงละศีลอดรอมฎอนอันศักดิ์สิทธิ์ ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1444 ในวันนี้ ซึ่งเป็นห้วงเวลาสำคัญทางศาสนาอิสลาม ที่พี่น้องชาวมุสลิมทั้งที่อาศัยอยู่ในประเทศและต่างประเทศ จะได้ร่วมกันปฏิบัติศาสนกิจอันประเสริฐยิ่งอย่างสมบูรณ์ตามหลักศาสนาที่ได้บัญญัติไว้อีกครั้ง ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลายลง ด้วยการถือศีลอดด้วยจิตใจที่มั่นคง แน่วแน่ และอดทน อันเป็นการส่งพลังแห่งศรัทธาต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และยังเป็นโอกาสอันดีที่พี่น้องชาวมุสลิมจะได้น้อมจิตรำลึกถึงพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้ เพื่อเป็นแบบอย่างในการดำรงตนให้เป็นผู้ที่อยู่ในกรอบแห่งความดี มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ นำมาซึ่งความรัก ความสามัคคี และความสุขต่อตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติ รวมถึง การจัดงานเลี้ยงละศีลอดในวันนี้ เป็นวาระโอกาสแห่งความสิริมงคลในการเริ่มต้นเดือนรอมฎอน 

นายกรัฐมนตรี กล่าวขออวยพรให้พี่น้องชาวมุสลิมได้ปฏิบัติศาสนกิจอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ขอให้บรรลุผลสำเร็จตามที่ตั้งมั่นไว้ และขออานุภาพแห่งองค์อัลลอฮ์ที่พี่น้องมุสลิมทุกคนนับถือ ได้โปรดประทานพรอันประเสริฐ ความสุขสวัสดีปลอดภัย และความเจริญก้าวหน้า รวมทั้งอวยพรให้พี่น้องชาวมุสลิมมีจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง ดำรงตนเป็นคนดีของสังคม มีความอารีต่อสาธารณะ และเป็นกำลังสำคัญในการสรรค์สร้างให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงต่อไป 

‘อ.ปริญญา’ เปิดค่าปรึกษากฎหมายศูนย์นิติศาสตร์ เผย ‘โทรปรึกษา-เจอตัว-แถลงข่าว’ มูลค่า 0 บาท

อ.ปริญญา เผยค่าปรึกษากฎหมายศูนย์นิติศาสตร์ โทรปรึกษา-เจอตัว-แถลงข่าว 0 บาท ใกล้ที่ไหนใช้บริการได้ที่นั่น ค่าใช้จ่าย 0 บาททุกรายการ

หลังจากทนายตั้ม หรือนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ออกมายอมรับค่าแถลงข่าว 3 แสน แจงเป็นค่าเสี่ยงถูกฟ้องกลับ ยันจะเรียกเก็บต่อไป แต่ต้องเปลี่ยนคำจากค่าแถลงข่าว เป็นค่าดำเนินการตามเรื่องและเงินสำหรับฟ้องร้อง พร้อมแจกแจงด้วยว่า ปกติคิดเงินค่าโทรศัพท์ปรึกษากับทีมงานเป็นเวลา 20 นาที ราคา 1,000 บาท ปรึกษากับตน 1,500 บาท หากมาพบตนที่สำนักงานครึ่งชั่วโมง 3,000 บาท ยืนยันว่าโปร่งใส สามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินได้ เพราะเสียภาษีอย่างถูกต้อง ไม่ผิดมารยาททนายความ

ล่าสุด นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “ค่าปรึกษากฎหมายและคดี ศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โทรปรึกษา 20 นาที 0 บาท โทรปรึกษาทีม 20 นาที 0 บาท เจอตัวที่สำนักงาน 30 นาที 0 บาท แถลงข่าว 0 บาท

‘พปชร.’ เคาะ ‘บิ๊กป้อม’ เบอร์ 1 แคนดิเดตนายกฯ  ขยับลำดับปาร์ตี้ลิสต์ ‘อภิชัย-นิพิฏฐ์’ เพื่อความเหมาะสม

กก.บห.พปชร.เคาะ ‘บิ๊กป้อม’ เบอร์ 1 แคนดิเดตนายกฯ ปรับลำดับปาร์ตี้ลิสต์ ‘อภิชัย-นิพิฏฐ์’ เพื่อความเหมาะสม

(28 มี.ค.66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค กล่าวภายหลังประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงว่า ที่ประชุมหารือถึงรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค โดยเบอร์ 1 คือพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค ส่วนเรื่องอื่นไม่ควรเปิดเผย

ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวการปรับเปลี่ยนลำดับปาร์ตี้ลิสต์ของพรรค นายวิรัช กล่าวว่า มีเปลี่ยนนิดหน่อย คือ นายอภิชัย เตชะอุบล ลำดับที่ 12 กับนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ลำดับ 18 โดยเหตุผลที่เปลี่ยนเพื่อความเหมาะสม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top