Monday, 19 May 2025
NEWS

หนุ่มโพสต์ พ้อ!! คดีไม่คืบหน้า หลังโดนทำร้ายเกือบพิการนานนับ 10 ปี ถาม!! ทำไมผู้ต้องหาคดีพยายามฆ่า ยังลอยนวล พร้อมลงสมัครส.ส. พรรคดัง

(1 พ.ค.66) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Net Teerapan’ ได้โพสต์ตัดพ้อถึงเหตุการณ์ที่ถูกทำร้ายร่างกายเกือบพิการ แต่ผู้ต้องหาคดีพยายามฆ่าลอยนวลนับ 10 ปี แถมยังใช้ชีวิตปกติ ลงสมัคร ส.ส. พรรคดัง โดยระบุว่า

ผมขอเล่าเรื่องชีวิตบัดซบๆของผมทั้งที่ผมไม่ได้เป็นคนก่อเรื่องครับ ผมโดนทำร้ายร่างกายจนเกือบพิการ ผู้ต้องหาคดีพยายามฆ่าไม่ได้รับโทษ 10 กว่าปีไม่คืบหน้า ไม่มีการเยียวยาใดๆ

ชีวิตครอบครัวผมต้องพังลง แต่ผู้ต้องหาพยายามฆ่าใช้ชีวิตสุขสบาย เขามาทำร้ายผมทำไม ผมยังไม่รู้สาเหตุเลยด้วยซ้ำ

เหตุเกิดวันที่ 2 มิถุนายน ปี 2549 ที่ รร.ชื่อดังในหมู่บ้านย่านรังสิต 

ผมโดนตีหัว 3 ครั้งด้วยไม้หน้าสาม จนล้มลงไปที่พื้น เขาก็ยังจะเข้ามาซ้ำอีก ผมรู้สึกตัวและมีสติอยู่ตลอด แต่ ร่างกายอ่อนแรงขยับไม่ได้ โชคดีที่พี่ชายกับเพื่อนได้ลงจากอาคารเรียนและเห็นเหตุการณ์พอดี จึงได้พาไปห้องพยาบาล 

จากนั้นผมถูกส่งตัวไปรพ.เอกปทุมทันที เข้า ICU อยู่ 3 วัน และเข้ารับการรักษาต่อที่ รพ.ศิริราช กะโหลกผมไม่แตก แต่กะโหลกยุบตัวลงไป ผมต้องนอนติดเตียง ต้องใช้เวลาในการรักษาตัวและกายภาพพักฟื้นอยู่ร่วม 2 ปี แต่ก็ยังไม่สามารถใช้ชีวิตแบบปกติได้

ผมเหมือนตกนรกทั้งเป็น ต้องยอมรับเลยว่าในช่วงนั้นผมเคยคิดที่จะฆ่าตัวตายก็บ่อยมาก มันเหนื่อย มันท้อ รู้สึกเหมือนเป็นคนไร้ประโยชน์ ทำไมผมต้องมาเผชิญกับสิ่งนี้ จากที่ผมเคยเป็นนักกีฬา เคยเป็นเด็กกิจกรรมของ ร.ร. ผลการเรียนค่อนข้างดี แต่สุดท้ายไปต่อไม่ได้ เหมือนทุกอย่างมันหายวับไปกับตา

ตัวผู้ต้องหาและครอบครัวของเขา ไม่เคยที่จะติดต่อผม พ่อแม่ผม เพื่อพูดคุย หรือแม้แต่จะมาขอโทษ พ่อผมไปแจ้งความ จนขึ้นศาล เรื่องก็เงียบหาย ไม่ได้รับคำตอบ นัดไกล่เกลี่ยก็ไม่ได้ข้อสรุป จนที่บ้านท้อ ด้วยระยะเวลาที่ยาวนาน ต้องใช้เงิน เป็นเรื่องที่ลำบากกับครอบครัวผมมากๆ การต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม

ทำให้สถานการณ์ที่บ้านมีความตึงเครียด พี่ชาย และผมต้องออกจากบ้านเพื่อทำงานหาเลี้ยงตัวเอง ไม่ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครอบครัว 

ผมและครอบครัวต้องผ่านความยากลำบาก และอดทน รู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมตลอดเวลา แต่กลับทำอะไรไม่ได้

วันนี้ ผมต้องใช้ชีวิตไปพร้อมกับกะโหลกที่ยุบตัว แต่ผู้ต้องหาที่ต้องคดีพยายามฆ่า กลับได้ใช้ชีวิตอย่างปกติทำงานเป็นนักการเมือง และกำลังลงสมัคร ส.ส. พรรคดัง ในจังหวัดปทุมธานี 

ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงยังทำงานในราชการได้ในเมื่อมีคดีพยายามฆ่าผมอยู่แบบนี้

คนรอบข้างให้กำลังใจ ให้ผมพยายาม บอกให้ผมสู้ ให้ผมเรียกร้องเพื่อความยุติธรรมเพื่อชีวิตของผม ที่ผ่านมาผมเงียบ ปล่อยผ่านไปเพราะผมทำอะไรไม่ได้จริงๆ

ผมอยากจะให้เขารับผิดชอบการกระทำของเขาบ้าง ไม่ใช่เงียบหายและใช้ชีวิตเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ในสังคม ขอบคุณครับ


ที่มา : https://www.facebook.com/100004273158909/posts/pfbid021nnuRZ6mFXtidm9WGf5RVG9D7pk6WHXiMTQuXkSjWsBAvZzBm7A3sWYAnv95sVsql/?mibextid=cr9u03

(สุรินทร์) มทบ.25 จัดพิธีมอบใบ ประกาศนียบัตร ให้กับเยาวชน ที่เข้าร่วมการอบรมโครงการ MD25th Music Summer Camp

วันที่ 1 พฤษภาคม 2566 เวลา 11.00 น. พลตรี ชินวิช  เจริญพิบูลย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 พร้อมด้วย นางอุไรวรรณ เจริญพิบูลย์ ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขา มณฑลทหารบกที่ 25 เป็นประธาน ในพิธีมอบใบประกาศนียบัตร ให้กับบุตรหลานกำลังพล และเยาวชนรอบค่าย ที่ผ่านการอบรมดนตรี MD25th Music Summer Camp โดยจัดการอบรมในทุกวันจันทร์ และพฤหัสบดี ตั้งแต่เวลา 09.00 – 12.00 น.  ณ หมวดหมวดดุริยางค์ มณฑลทหารบกที่ 25 ตั้งแต่วันที่ 3 ถึง 27 เมษายน 2566 รวมทั้งสิ้น 5 ครั้ง

เปิดอบรม 2 วิชาคือ วิชาทฤษฎีดนตรีเบื้องต้น และวิชาปฏิบัติเครื่องมือดนตรี จำนวน 10 ชนิดเครื่องมือดนตรี มียอดเยาวชนที่เข้ารับการอบรมจำนวน 25 คน แบ่งเป็นบุตรหลานกำลังพลจำนวน 6 คน และเยาวชนรอบค่ายจำนวน 19 คน ซึ่งเป็นการใช้เวลาว่างช่วงปิดภาคเรียนให้เป็นประโยชน์ ณ โดมอเนกประสงค์ มณฑลทหารบกที่ 25

 
ปุรุศักดิ์  แสนกล้า  ข่าว/ภาพ

นครนายก - กรมกิจการพลเรือนทหารบกจัดโครงการสานฝันปันสุขมอบจักรยานจำนวน 30 คัน

กรมกิจการพลเรือนทหารบกจัดโครงการสานฝันปันสุขมอบจักรยานจำนวน 30 คันให้กับนักเรียนโรงเรียนวังยายฉิม จังหวัดนครนายก

เมื่อเวลา 10.30 น.ของวันที่ 1 พฤษภาคม 2566 ที่โรงเรียนวัดวังยายฉิม ตำบลหินตั้ง อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก พลตรีจินตมัย ชีกว้าง ผู้อำนวยการสำนักกิจการพลเรือน กรมกิจกการพลเรือนทหารบก เป็นประธานจัดกิจกรรมมอบจักรยานโครงการ “จักรยาน สานฝัน ปันสุข” ให้นักเรียนวัดวังยายฉิม ต.หินตั้ง อ.เมืองนครนายก จำนวน 30 คัน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูล สิริวิบูลยราชกุมาร เนื่องในวันคล้ายวันประสูติ 29 เมษายน 2566 โดยมีนางประณีต หงษ์ทอง ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดวังยายฉิม ให้การต้อนรับ พร้อมกันนี้จะนำจักรยานที่ได้รับการพระราชทานส่งมอบให้กับนักเรียนโรงเรียนวัดวังยายฉิมที่มีนักเรียนฐานะยากจน และยากไร้โดยจะส่งมอบจักรยานนี้เพื่อให้เด็กได้ปั่นมาศึกษา ที่โรงเรียนซึ่งบางครอบครัวพ่อแม่มีอาชีพรับจ้างจักรยานที่มีเดิม ก็ชำรุดก็จะนำจักรยานคันใหม่ที่รับการพระราชทานมาทดแทนให้เด็กๆในโรงเรียนได้ใช้สอยในการเดินทางมาเรียนและใช้เป็นพาหนะไปทำประโยชน์อื่นๆได้อีกด้วย

สมบัติ เนินใหม่//รัชชานนท์ เนินใหม่// ผู้สื่อข่าวจังหวัดนครนายก

‘ทช.’ ทุ่มกว่า 25 ล้านบาท ซ่อมสะพานท่าเทียบเรือเกาะกูด หนุนการขนส่ง-การท่องเที่ยว หวังกระจายรายได้สู่ชุมชน

‘ทางหลวงชนบท’ ทุ่ม 25 ล้าน ซ่อมสะพานท่าเทียบเรือ เกาะกูด จ.ตราด เสร็จสมบูรณ์ โชว์ใช้โครงสร้างป้องน้ำเค็ม-สู้สนิมหวังยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชน หนุนส่งเสริมเศรษฐกิจการขนส่ง การท่องเที่ยวบนเกาะกูด

1 พ.ค.2566 รายงานข่าวจากกรมทางหลวงชนบท (ทช.) เปิดเผยว่า ทช.ได้ดำเนินการซ่อมบำรุงสะพานท่าเทียบเรือ (ตร.001) อำเภอเกาะกูด จังหวัดตราด เสร็จสมบูรณ์แล้ว ใช้งบประมาณ 25.697 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 360 วัน โดยสะพานท่าเทียบเรือ (ตร.001) เป็นจุดจอดสำหรับเรือลำเลียงสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภค ขนส่งวัสดุก่อสร้างเพื่อใช้ในเกาะกูด และเป็นจุดที่เรือชาวประมงจอดเทียบใช้ในการหลบพายุในช่วงมรสุม ตลอดจนเป็นจุดจอดเรือรบของกองทัพเรือ

ทั้งนี้ตั้งอยู่บริเวณบ้านอ่าวใหญ่ ตำบลเกาะกูด อำเภอเกาะกูด จังหวัดตราด ต่อเชื่อมกับจุดสิ้นสุดบนถนนทางหลวงชนบทสาย ตร.6042 บ้านอ่าวสลัด-บ้านอ่าวใหญ่ ตำบลเกาะกูด อำเภอเกาะกูด จังหวัดตราด ซึ่งโครงสร้างมีการสัมผัสน้ำทะเลตลอดเวลา ทำให้โครงสร้างพื้นเสาและคานของสะพานท่าเทียบเรือได้รับความเสียหาย เกิดสนิมบริเวณเหล็กเสริม ส่งผลให้เกิดการกะเทาะหลุดล่อนของคอนกรีตตลอดชิ้นส่วนของโครงสร้างสะพาน

เพื่อเป็นการเสริมความมั่นคงแข็งแรงให้กับสะพาน ปรับปรุงให้สะพานกลับคืนสู่สภาพที่สมบูรณ์ เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชน พร้อมส่งเสริมเศรษฐกิจการขนส่ง การท่องเที่ยวบนเกาะกูด ช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างยั่งยืน

ทช.จึงได้ดำเนินการซ่อมบำรุงสะพานท่าเทียบเรือฯ โดยคำนึงถึงความแข็งแรงและความคงทนของโครงสร้างต่อสภาวะน้ำเค็ม เน้นวิธีการซ่อมบำรุงที่รวดเร็วอย่างมีคุณภาพ ลดผลกระทบจากสภาพแวดล้อม ซึ่งตัวสะพานจะมีลักษณะเป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก ความกว้างช่วงยาวช่วงละ 5 เมตร ความกว้างช่วงสั้น 2.5 เมตร รวมความยาวสะพาน 100 เมตร
 

‘สธ.’ เปิดบริการ ‘คลินิกผู้สูงอายุ’ ช่วยปชช. เดินทางสะดวก ชี้!! การรักษา-การบริการ ไม่แพ้กับโรงพยาบาลใหญ่

กระทรวงสาธารณสุขเดินหน้าให้บริการ ‘คลินิกผู้สูงอายุ’ ครอบคลุมทั่วประเทศ ตามแผนปี 2566 “ปีแห่งสุขภาพสูงวัยไทย” ตั้งเป้าคัดกรองสุขภาพผู้สูงอายุ 10 ล้านคน ได้รับบริการด้านสุขภาพที่จำเป็นอย่างมีคุณภาพและเท่าเทียม ครอบคลุมและทั่วถึง

นางก้อนทอง พู่ไหม เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนอายุ 78 ปี อาศัยอยู่กับลูกที่ จ.นนทบุรี มีโรคประจำตัวเป็นความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูง ก่อนหน้านี้เข้ารับบริการที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า เจ้าหน้าที่ดูแลให้คำแนะนำและให้บริการเป็นอย่างดี แต่ต่อมาได้เปลี่ยนไปรับบริการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล บ้านวัดแคใน ทำให้ได้รับความสะดวกสบายขึ้น เนื่องจากอยู่ใกล้บ้าน และยังคงได้รับบริการจากเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดีเช่นเดิม

“ตอนนี้เดินทางสะดวกขึ้น เพราะใกล้บ้าน เจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ เอาใจใส่และดูแลอย่างดีเหมือนกัน ดีใจที่เขาเห็นความสำคัญเรื่องสุขภาพของคนอายุมากๆ อย่างเรา ใครที่มีปัญหาสุขภาพหรือโรคประจำตัว อยากแนะนำให้เข้าไปตรวจที่ศูนย์บริการใกล้บ้าน เพราะสะดวกสบาย บริการดีเหมือนโรงพยาบาล” นางก้อนทองกล่าว

ขณะที่ นางวนิดา นวลประเสริฐสุข อายุ 72 ปี อาศัยอยู่ที่ บางกระสอ อ.เมือง จ.นนทบุรี กล่าวว่า ตนมีโรคประจำตัว ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และไวรัสตับอักเสบซี เข้ารับบริการที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าปีละครั้งเพื่อติดตามอาการ เจ้าหน้าที่ดูแลให้บริการดี ประทับใจคุณหมอหน้าตายิ้มแย้มและแนะนำดีมาก ช่วงแรกๆ เข้าพบคุณหมอบ่อย เนื่องจากมีอาการป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเองคุณหมอแนะนำให้รักษาอาการต่างๆ จนหายป่วยได้ และเคยไปรับบริการคลินิกผู้สูงอายุแถววัดแจ้งศิริสัมพันธ์ ให้บริการการคัดกรองสุขภาพ มีกิจกรรมสำหรับผู้สูงอายุให้ออกกำลังกาย มีเจ้าหน้าที่ อสม. และคุณหมอ ออกไปตามบ้านที่มีคนป่วยติดเตียง ไปให้การรักษา ให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น และให้ความรู้ด้านสุขภาพอื่นๆ เช่น การออกกำลังกาย อาหารการกิน และสอบถามปัญหาต่างๆ

วันหยุดแรงงานคึกคัก นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ แห่เที่ยวเกาะล้านพัทยา และหาดนางรำสัตหีบ แน่น

วันที่ 1 พ.ค. 2566   ที่บริเวณท่าเรือแหลมบาลีฮาย อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่เก็บภาพบรรยากาศ วันหยุดวันแรงงาน พบว่านักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ต่างเดินทางไปเที่ยวเกาะล้านกันเป็นจำนวนมาก ทำให้จุดขึ้นเรือสปีดโบ๊ท เดินทางจากฝั่งพัทยาไปเกาะล้านดูคึกคักอีกครั้ง ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่จะเดินทางมาเป็นครอบครัว กรุ๊ปทัวร์ ส่วนนักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนใหญ่จะเดินทางมาทั้งแบบครอบครัว และเป็นกลุ่มเพื่อน โดยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติมีจุดหมายเพื่อที่ต้องการจะเดินทางไปพักผ่อนในช่วงวันหยุด และเที่ยวชมความสวยงามของเกาะล้าน ทั้งนี้กรมเจ้าท่าสำนักพัทยา ได้เข้มงวดให้นักท่องเที่ยวส่วมใสเสื้อชูชีพ เพื่อสร้างภาพลักษณ์และสร้างความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว ในขณะที่เดินทางไปเกาะล้าน
     

ส่วนในพื้นที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตรงกับวันหยุด วันแรงงานแห่งชาติ ที่หยุดยาวติดต่อกัน 3 วัน ตั้งแต่ เสาร์-อาทิตย์-จันทร์ ทำให้มีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศนับพัน หมุนเวียนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวพักผ่อน ชมบรรยากาศธรรมชาติ และเล่นน้ำทะเล บริเวณชายหาดนางรำ พื้นที่ดูแลของกองทัพเรือ ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ทำให้ถนนเส้นทางเข้าหาดนางรำ เข้าช่องแสมสาร และท่าเรือจุกเสม็ด รถติดยาวเหยียดหลายกิโลเมตร


นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี 0909535645

เริ่มแล้ววันนี้!! ‘ธปท.’ ปรับเกณฑ์โครงการ ‘คลินิกแก้หนี้’ เปิดทางให้ ‘ลูกหนี้ที่ค้างชำระมากกว่า 120 วัน’ เข้าร่วมโครงการได้

(1 พ.ค.66) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือประชาชนแก้ไขปัญหาหนี้สิน โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นหนี้เสียให้สามารถแก้ไขกลับไปเป็นหนี้ปกติได้เร็วขึ้น  ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์โครงการคลินิกแก้หนี้ ให้สามารถช่วยเหลือผู้เป็นหนี้เสียกรณีบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น

ทั้งนี้ เกณฑ์ที่ปรับปรุงใหม่นี้จะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2566 เป็นต้นไป โดยกำหนดคุณสมบัติให้ลูกหนี้ที่มีหนี้ค้างชำระมากกว่า 120 วันขึ้นไป สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ จากเดิมที่จำกัดว่าผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องเป็นผู้ที่มีสถานะเป็นหนี้เสียก่อนวันที่ 1 ก.พ. 66 เท่านั้น  ซึ่งการปรับเกณฑ์นี้จะทำให้ผู้มีปัญหาการชำระหนี้สามารถเข้าร่วมโครงการได้โดยไม่ถูกจำกัดช่วงเวลาการเกิดหนี้เสียอีกต่อไป

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลขอเชิญชวนผู้ที่กำลังประสบปัญหาชำระหนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อบุคคล เข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้  ซึ่งโครงการจะพิจารณาเหตุผลความจำเป็นของผู้สมัครเข้าร่วมโครงการแต่ละราย เพื่อจัดทำแผนการชำระหนี้ใหม่ที่เหมาะสมให้กับลูกหนี้เป็นรายกรณี เพื่อให้สามารถชำระหนี้ได้ต่อเนื่องจนปลดหนี้ได้ ซึ่งภายใต้แผนการชำระหนี้ใหม่อาจมีการกำหนดเงื่อนไขบางประการ เช่น มีเงื่อนไขไม่ให้ลูกหนี้ก่อหนี้ใหม่ เพื่อสร้างวินัยและความรับผิดชอบ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาให้กับลูกหนี้ได้อย่างยั่งยืน

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถ สมัครร่วมโครงการผ่านเว็บไซต์ www.คลินิกแก้หนี้.com  หรือสอบถามข้อมูลโครงการเพิ่มเติมที่ LINE Official Account ของโครงการที่ @debtclinicbysam, ทางเฟซบุ๊ค คลินิกแก้หนี้ by SAM  หรือสอบคอลเซ็นเตอร์ โทร. 1443 ได้ทุกวัน เวลา 9:00-19:00 น.

ตำรวจพัทยา สนธิกำลังบุกจับบ่อนบาคาร่า รวบนักพนันอินเดีย 80 ราย คาโรงแรมหรู พบเงินหมุนเวียนกว่า 1,000 ล้านรูปี

เมื่อเวลา 00.16 น.วันที่ 1 พฤษภาคม 2566 พล.ต.ต.กัมพล ลีลาประภาภรณ์ ผบก.ภ.จว.ชลบุรี พ.ต.อ.ฐนพงศ์ โพธิ์ทิ ผกก.สภ.เมืองพัทยา พ.ต.ท.สุรเชษฐ์ เอนกศรี รองผกก.ป.สภ.เมืองพัทยา พ.ต.ท.ฐานานนท์ อธิพันสีห์ รอง ผกก.สส.สภ.เมืองพัทยา พ.ต.ท.ชัยณรงค์ จิตต์สุนทร สว.สส.สภ.เมืองพัทยา นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เมืองพัทยา เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนจังหวัดชลบุรี บุกเข้าจับกุมบ่อนการพนัน ที่โรงแรมเอเซีย เมืองพัทยา ภายในซอยพระตำหนัก 4 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี พร้อมของกลางจำนวนมาก
   

โดยพล.ต.ต.กัมพล ลีลาประภาภรณ์ ผบก.ภ.จว.ชลบุรี เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากสายลับว่า มีนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย มาเปิดห้องพักที่โรงแรมแห่งนี้ แล้วเช่าห้องจัดประชุมชื่อห้อง สำเภา ในการลักลอบเล่นการพนันกัน กระทั่งสืบทราบว่า นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เป็นชาวอินเดีย เข้ามาจองห้องพักเมื่อวันที่ 27-1 พฤษภาคม โดยใช้วิธีการแลกจากประเทศอินเดีย ก่อนจะเดินทางเข้ามาเล่นการพนันในประเทศไทย หลังเล่นจบแล้วก็จะไปคิดผลได้เสียกันในภายหลัง
     

หลังรวบรวมข้อมูลแล้ว จึงได้วางแผนพร้อมนำกำลังบุกเข้าตรวจสอบ จับกุม ขณะที่เข้าไปถึงพบว่านักท่องเที่ยวชาวอินเดียกำลังเล่นการพนันรูปแบบบาคาร่า และแบล็คแจ็ค กันอย่างเพลิดเพลิน เมื่อนักพนันเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะพากันวิ่งหลบหนี แต่เจ้าหน้าที่ได้นำกำลังปิดล้อมไว้หมดแล้ว จึงสามารถควบคุมไว้ได้ทั้งหมด 93 คน เป็นคนอินเดีย 83 คน เป็นผู้ชาย 71 คนผู้หญิง 16 คน ผู้ชายชาวพม่า 4 คน คนไทย 6 คน เป็นผู้ชาย 4 คน ผู้หญิง 2 คน ตรวจสอบพบของกลาง เป็นโต๊ะเล่นการพนันจำนวน 7 โต๊ะ เป็นโต๊ะบาคาร่า 4 โต๊ะ เป็นโต๊ะแบล็คแจ็ค 3 โต๊ะ ไพ่ 25 สำรับ ชิพแทนเงินสด จำนวน 209,215,000 เงินสกุลต่างประเทศ 160,000 รูปี กล้องวงจรปิด 8 ตัว โทรศัพท์มือถือ 92 เครื่อง คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค 3 เครื่อง ไอแพด 1 เครื่อง ที่แจกไพ่ 3 เครี่อง รวมถึงมีบริการเสริฟบารากู่ ให้นักท่องเที่ยวอีก 4 ตัว พร้อมตัวยาประมาณ 800 กรัม นอกจากนี้ยังพบสมุดจดยอดเครดิตในการเล่นการพนัน รวมยอดเครดิตหมุนเวียนกว่า 1,000 ล้านรูปี 

'ททท.' เปิดรับ 'นักท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย' ออกเที่ยวนาน 4 เดือน พร้อมเงิน 5 แสนบาท

เมื่อวันที่ 30 เม.ย.66 โอกาสดีของคนรักการเที่ยวเมืองไทย ททท. เฟ้นหา “นักท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย” เพียงหนึ่งเดียว รับเงิน 5 แสน ออกไปเที่ยวเมืองไทยเป็นเวลา 4 เดือน

เมื่อเร็วๆนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดตัวกิจกรรม ภายใต้ "โครงการ 365 วันมหัศจรรย์เมืองไทย เที่ยวได้ทุกวัน" โดยหนึ่งในกิจกรรมสุดว้าว และเป็นโอกาสดีของคนรักการเที่ยวเมืองไทย คือ กิจกรรมรับสมัคร "นักท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย" เพียงเดินทางออกไปสัมผัสความมหัศจรรย์ของเมืองไทยและจัดทำเนื้อหาประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว พร้อมทั้งสมัครและส่งแฟ้มประวัติผลงานผ่านช่องทางเว็บไชต์ของโครงการ ททท.จะคัดเลือกผู้ร่วมกิจกรรมจำนวน 20 คน จากคอนเทนต์ที่นำเสนอ

จากนั้นคัดเลือกด้วยการสัมภาษณ์กับคณะกรรมการเพื่อเฟ้นหา 1 คนที่จะได้เป็นนักท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่งจะได้รับเงินรางวัลสนับสนุนในการท่องเที่ยว พร้อม Voucher ท่องเที่ยวสำหรับเข้าใช้บริการสินค้าและกิจกรรมด้านการท่องเที่ยว

คุณสมบัติของผู้สมัคร
- ต้องเป็นผู้ที่มีสัญชาติไทย อายุ 20 ปีขึ้นไป
- มีความสามารถในการเขียนคอนเทนต์ได้เป็นอย่างดี
- มีความสามารถในการถ่ายภาพหรือคลิปวิดีโอ และสามารถตัดต่อได้อย่างสวยงาม
- มี Social Media เพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์คอนเทนต์ โดยไม่จำกัดแพลตฟอร์ม
- สามารถออกเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ หรือ ท่องเที่ยวตามปฏิทินท่องเที่ยวของ ททท. ได้ หรือตามแหล่งท่องเที่ยวที่ ททท.กำหนด

โดยผู้ที่ได้รับคัดเลือกเพียงหนึ่งเดียวนั้น จะได้รับเงินสนับสนุนการท่องเที่ยวจาก ททท. เป็นจำนวนเงิน 504,000 บาท (หรือเดือนละ 126,000 เป็นเวลา 4 เดือน) พร้อม Voucher ท่องเที่ยวและของรางวัลอื่นๆ ส่วนผู้ที่ผ่านการเข้ารอบสัมภาษณ์ แต่ไม่ได้รับคัดเลือก ก็ยังได้รับ Voucher ท่องเที่ยว เป็นรางวัลปลอบใจ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับ กรมสรรพากร เตือนภัยออนไลน์

เนื่องจากในรอบสัปดาห์ มีข่าวการแอบอ้างเป็นกรมสรรพากรหลอกลวงประชาชน และมีคดีออนไลน์ ที่เกิดขึ้นมาก ได้แก่ การซื้อสินค้าแล้วไม่ได้สินค้า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง  ที่ปรึกษาพิเศษ ตร./หัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พร้อมด้วยคณะทำงาน เป็นห่วงพี่น้องประชาชน ที่อาจจะตกเป็นเหยื่ออีก จึงได้ร่วมกับกรมสรรพากร โดย นาย วินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ รองอธิบดีกรมสรรพากร แถลงข่าวเตือนภัย เมื่อวันที่ ๑ พ.ค.๒๕๖๖ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีรายละเอียดดังนี้

 
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (23-29 เม.ย.2566)  มีสถิติการรับแจ้งความคดีออนไลน์มากที่สุดยังเป็นคดีเดิมๆ  5 อันดับ ได้แก่ อันดับ 1. คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ 2. คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ 3. คดีหลอกลวงให้กู้เงิน 4. คดีข่มขู่ทางทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน (Call Center) และ 5. คดีหลอกลวงให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์

    
ภัยออนไลน์ที่น่าสนใจและเกิดขึ้นมากในรอบสัปดาห์ มีจำนวน 2 เรื่อง ดังนี้ 
1. “สรรหาวิธีแอบอ้างสรรพากร  หลอกเอาเงิน”  
1.1  คดีนี้รูปแบบแรก   แก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรหาผู้เสียหายแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร  
และกล่าวหาผู้เสียหายว่ามีการกระทำผิด เช่น ติดค้างค่าภาษีจากการก่อตั้งบริษัท หรือถูกแอบอ้างเอาข้อมูลไปใช้เปิดบริษัท หรือมีคดีฟอกเงิน หรือเลี่ยงภาษี  แล้วให้ผู้เสียหายเพิ่มเพื่อน LINE สถานีตำรวจที่ไกลจากบ้านผู้เสียหาย(LINE ปลอมของคนร้าย) แล้วส่งเอกสารปลอมข่มขู่ให้เชื่อ และหลอกให้โอนเงินอ้างว่าเป็นการตรวจสอบข้อมูล  จากนั้นให้เพิ่มเพื่อน LINE กับ ปปง. (LINE ปลอมของคนร้าย) แล้วหลอกให้โอนเงินเพิ่มอีก 
1.2 รูปแบบที่ 2 แก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรหาผู้เสียหาย  แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากร  
สามารถช่วยยกเลิกหรือสมัครโครงการต่างๆ ของ รัฐบาล เช่น ธงฟ้า คนละครึ่ง ถุงเงิน บัตรประชารัฐ หรือลดหย่อนภาษี หรือช่วยดำเนินการไม่ให้เสียภาษีย้อนหลัง แล้วให้ผู้เสียหายเข้าเว็บปลอมเพื่อกรอกและเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว จากนั้นให้ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นเพื่อเข้าควบคุมเครื่องโทรศัพท์ แล้วโอนเงินของผู้เสียหายออกไป

จุดสังเกต  
1)  ชื่อเว็บไซต์กรมสรรพากรปลอม  เช่น  https://www.rd-go-th.xyz, https://www.rd-go- 
th.co
, https://www.rd-go-th.top และ https://www.rd-go-th.org เป็นต้น ซึ่งไม่ใช่เว็บไซต์ของกรมสรรพากร ซึ่งมีจุดสังเกตหลายจุด  

2) หนังสือราชการที่ใช้ข่มขู่  ไม่เป็นไปตามแบบฟอร์มและภาษาของทางราชการ  

3) บัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ  แบบอักษรที่ใช้ ชื่อ ยศ ตำแหน่ง  ไม่ถูกต้อง  

4) กรมสรรพากร สถานีตำรวจ และ ปปง. ไม่มีช่องทางติดต่อบัญชี LINE ส่วนตัวที่สามารถส่ง 
สติ๊กเกอร์ โทร วีดีโอคอล หรือดู LINE VOOM ได้ 
     

วิธีป้องกัน  
1) ศึกษาช่องทางการติดต่อกรมสรรพากร ซึ่งมี 2 ช่องทาง คือ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาและ 
ทางออนไลน์ ผ่านระบบ e-Filing ของกรมสรรพากร   
2) ตรวจสอบชื่อเว็บไซต์ที่ถูกต้องของกรมสรรพากร คือ https://www.rd.go.th ก่อนกระทำการใดๆ  
3) สอบถามข้อมูลได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. ๑๑๖๑ 
4) สำหรับการดาวน์โหลดเว็บไซต์ของทางราชการหรือแอพพลิเคชั่นต่างๆ  ควรดาวน์โหลดจาก Appstore และ Play Store กรณีมีความจำเป็นต้องกดลิงก์ดาวน์โหลด  ควรไปค้นหาใน Appstore และ Play Store เพื่อเป็นการกรองอีกชั้นหนึ่ง   
 
2. “ซื้อสินค้ามือสอง แต่ได้สินค้ามือเปล่า”คดีนี้มิจฉาชีพทำการสร้างเพจ หรือ โพสตามเพจต่างๆ เพื่อซื้อขายสินค้ามือสอง (โทรศัพท์,ไอแพด,ไอพอด ฯลฯ) หรือสินค้าทั่วไป   โดยใช้รูปโปรไฟล์เป็นผู้หญิงหน้าตาดีหรือสร้างเพจขึ้นมาโดยใช้ชื่ออื่น จนมีผู้ติดตามจำนวนมาก รวมถึงมีหน้าม้ากดเพิ่มเครดิต จนมีความน่าเชื่อถือ หลอกขายสินค้ามือสองหรือสินค้าทั่วไป โดยให้ผู้เสียหายจ่ายเงินมัดจำ หรือ จ่ายเงินก่อน เมื่อผู้เสียหายโอนเงินให้แล้ว จะไม่ส่งสินค้าให้ แล้วบล็อกผู้เสียหายไม่ให้ติดต่อได้  

ซึ่งสถิติการรับแจ้งความคดีออนไลน์มากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่  อันดับ 1)  โทรศัพท์/Ipad โดยโทรศัพท์ส่วนใหญ่เป็น Iphone    โดยหลอกผ่านเพจ Facebook 2) ผลไม้หรือของกิน เช่น อาหารคลีน นมกล่อง    โดยหลอกผ่านเพจ Facebook 3) เสื้อผ้า ของแบรนด์เนม  โดยหลอกผ่านเพจ Facebook/IG 4) เกมส์ (จ้างอัพเลเวล หรือซื้อเกมส์)   โดยหลอกผ่านเพจ Facebook/IG และ 5) บัตรงาน บัตรคอนเสิร์ต  โดยหลอกผ่าน Twitter/IG  
     

ความเสียหายจากการหลอกขายสินค้าและบริการ ตั้งแต่ 1 มี.ค.65 ถึง 29 เม.ย.66 จำนวน 89,577 เคส   ความเสียหาย 1,308,527,198 บาท สำหรับเพจปลอมที่หลอกขายสินค้า ได้แก่ Smart Shop, พิมรี่พาย แม่ค้าออนไลน์,แซลมอน สายพันธุ์นอร์เวย์เจียน, Wholesale sashimi ส่งทั่วประเทศไทย และทุเรียนเขยจันทร์จากสวนคุณชาคริต ปลีก – ส่ง เป็นต้น  

นราธิวาส-“เจาะไอร้อง เจาะไอรัก” อนุรักษ์ ฟื้นฟู สืบสานศิลปะวัฒนธรรมท้องถิ่น” มทภ.4 เผย ปลื้มใจที่ได้เห็นความร่วมมือร่วมใจสืบสานอัตลักษณ์ที่สวยงามในพื้นที่ปลายด้ามขวาน

ที่สนามที่ว่าการอำเภอเจาะไอร้อง ตำบลจวบ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เป็นประธานเปิดโครงการ “เจาะไอร้อง เจาะไอรัก อนุรักษ์ ฟื้นฟู สืบสาน ศิลปะวัฒนธรรมท้องถิ่น “ เพื่อสะท้อนความร่วมมือของคนในชุมชน สืบสานวัฒนธรรมและสื่อความเป็นอัตลักษณ์ในพื้นที่เพื่อให้เกิดความเคารพต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ โดยมี พลตรี ไพศาล หนูสังข์ รองแม่ทัพภาคที่ 4/ รองผู้อำนวยการรักษาคงามมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า , นายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ,รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส,รองผู้บังคับการกองกำลังตำรวจจังหวัดนราธิวาส,นายอำเภอเจาะไอร้อง,ผู้นำศาสนา,ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ และประชาชน ทั้ง 33 หมู่บ้าน ในอำเภอเจาะไอร้อง เข้าร่วมกิจกรรม กว่า 1,500 คน

พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 กล่าวว่า ปลื้มใจที่ได้เห็นพี่น้องประชาชน ทั้ง 33 หมู่บ้าน ได้แต่งการด้วยชุดมลายูท้องถิ่นที่เป็นอัตลัดษณ์ที่สวยงาม โดยโครงการ “เจาะไอร้อง เจาะไอรัก อนุรักษ์ ฟื้นฟู สืบสานศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น“ ในครั้งนี้ ได้พูดอยู่เสมอว่า วัฒนธรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นสิ่งที่สวยงามมีอัตลักษณ์ที่โดดเด่น และน่าภูมิใจไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของภาษา อาหาร การแต่งกาย ที่สะท้อนให้เห็นความหลากหลายทางวัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ ดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ชาวอำเภอเจาะไอร้องได้ให้ความสำคัญต่อการสืบสานวัฒนธรรม ได้จัดประกวดการแต่งกายชุดมลายู การประกวดซุ้มประตูชัย (ปีนตูกรือบัง) ที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในพื้นที่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมที่จะสนับสนุนส่งเสริมความงดงามของวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างเต็มที่ในความร่วมมือร่วมใจกันสื่อให้เห็นถึงความรัก ความสามัคคีของคนในชุมชน และหน่วยงานภาครัฐที่พร้อมจะส่งเสริมให้พี่น้องประซาชนร่วมกันทำพื้นที่ให้น่าอยู่เกิดการพัฒนาต่อยอดสร้างความสนใจจากสื่อสังคมและสามารถส่งเสริมการพัฒนาด้านเศรษฐกิจต่อไปได้ในอนาคต

นายมาหะมะยากี หะยีมะ นายอำเภอเจาะไอร้อง กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนของพี่น้องประชาชนชาวอำเภอเจาะไอร้อง ต้องขอขอบคุณแม่ทัพภาคที่ 4 ที่ได้ให้ความสำคัญและสนับสนุนการจัดกิจกรรมฯ โดยเฉพาะการรณรงค์แต่งกายชุดมลายูท้องถิ่น และการจัดทำซุ้มประตูชัย (ปีนตูกรือบัง) ซึ่งเป็นเสน่ห์ความงดงามในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้สะท้อนความภาคภูมิใจในความเป็นมลายูสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องสะท้อนว่าจังหวัดชายแดนใต้ของไทย เป็นสังคมมลายูที่มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและเปิดรับความแตกต่าง พร้อมจะให้ผู้คนต่างวัฒนธรรมได้เรียนรู้ แลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจอย่างสร้างสรรค์และยอมรับการมีตัวตนของกันและกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมที่สวยงาม

'ต่างชาติ' แชร์!! ประสบการณ์สุดประทับใจใน 3 จว.ชายแดนใต้ ดินแดนที่คนถิ่นมุ่งมั่นทำให้น่าเยือน แต่คนไทยกันเองบิดเบือนให้น่ากลัว

(1 พ.ค.66) จากเฟซบุ๊ก 'Jo Montanee' ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงเสน่ห์แห่ง 3 ชายแดนภาคใต้ ซึ่งวันนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก ระบุว่า...

- “อย่าไปสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นะอันตรายมาก”
- “ถ้าคุณไปคุณต้องระวังให้มากๆ อย่าไปเดินซี้ซั้วในเขตเสี่ยง ไม่ควรออกมาตอนค่ำ” 
- “ครั้งสุดท้ายเราเห็นคุณขึ้นรถไฟแล้วอยู่ดีๆก็หายไปหลายวัน เราคนไทยเป็นห่วงจริงๆนะ นึกว่าเกิดเรื่องกับคุณแล้ว”

นั่นคือ สารพัดคำเตือนจากผู้ชมชาวไทยจนเต็มหน้ายูทูบไปหมด เมื่อได้รู้ว่า Ellis หนุ่มวิศวกร กับ Alicia พยาบาลสาวชาวอังกฤษวัยแค่ 20 กว่า จากช่องยูทูบ ELLIS WR กำลังจะนั่งรถไฟชั้น 3 ไป #ปัตตานี

ความที่ทั้งคู่เป็นยูทูเบอร์ผู้ชอบเที่ยวไทยแบบสัมผัสวิถีชนบท นั่งคุยกับคนไทยท้องถิ่น กินอาหารที่ตลาดประจำตำบล ชนเหล้าขาวในบ้านของพี่น้องไทย กล้ากินเผ็ด กินลาบ กินก้อย และกินซอยจุ๊ พวกเขาจึงน้อมรับคำเตือน แต่ก็ยังมาสัมผัสกับปัตตานีด้วยตัวเองอยู่ดีค่ะ

ทว่า ประสบการณ์ที่คู่รักได้เจอจริงๆ กลับน่าประทับใจมาก! 

เพราะทั้งคู่เดินหลงไปเจอกรุ๊ปทัวร์ของเหล่าคุณแม่คุณป้าอาม่าอาซ้อวัยเกษียณนับสิบชีวิต ที่เดินทางจากกรุงเทพมาเที่ยวปัตตานี แล้ววันนี้ต่างยกพลมาเยี่ยมชมบ้านไทยผสมจีนสไตล์วินเทจโบราณที่เจ้าของเปิดให้เข้าชมฟรี

คุณแม่ๆ เอ็นดูฝรั่งน้อยเลยให้มาจอยกรุ๊ปทัวร์ด้วยกัน ซึ่งแม่ๆ ไม่ได้ทัวร์ที่เดียว แต่หนีบเอลลิสและอลิเซียนั่งรถไปทัวร์จุดต่างๆ อยู่ครึ่งวันเลยจ้า! แถมยังชวนคู่รักมาถ่ายรูปเซลฟี่ซะทุกจุดชมวิวกันเลยทีเดียว ทำเอาเอลลิมึน ทั้งขำฮา ทั้งน่ารัก ทั้งดีต่อใจมากมายค่ะ 

https://youtu.be/s_eIBHf7-bU
พี่โจดูจบคลิปแล้ว…บอกตรงๆ ว่ารู้สึกภาคภูมิใจแทนพี่น้องปัตตานีจริงๆ นะคะ เพราะปัตตานี-ดินแดนที่คนไทยจำนวนมากมองภาพเป็นลบว่า “อย่าไป นี่คือสถานที่แสนน่ากลัว” แต่จริงๆ แล้วกลับเป็นจังหวัดเล็กๆ ที่อบอุ่น ภูมิทัศน์สวยงาม ร่มรื่น บ้านเมืองสะอาดเอี่ยมทุกที่ ถนนหนทางที่เอลลิสถ่ายมาก็ช่างเนี้ยบมาก ไม่เห็นขยะเลยแม้แต่ชิ้นเดียว  

ชาวเมืองที่เอลลิสพบเจอก็ใจดีอ่อนโยน และที่สำคัญคือร่าเริงมาก! ทั้งทีม #การท่องเที่ยวปัตตานี (พี่โจเพิ่งรู้จริงๆว่าปัตตานีมีททท.ประจำจังหวัดด้วย! เบิกเนตรของแท้) ทั้งคุณป้าขายไอศกรีมมะพร้าวของโปรดของทั้งคู่ ป้าเรียกน้องทั้งสองว่าลูกทุกคำ แถมยังเพิ่มไอติมให้น้องฟรีอีก 1 ก้อน แต่น้องไม่รู้เพราะสกิลพูดไทยได้เยอะแต่สกิลการฟังไม่คล่อง เลยตกใจว่าไอติม 20 บาททำไมมันเยอะขนาดนี้ รวมทั้งพ่อค้าแม่ขายตามถนนและท้องตลาด เช่น สาวน้อยมุสลิมขายยาคูลต์ แม่ค้าพุทธที่ขายหมูปิ้งหมาล่า เป็นต้น พวกเขาล้วนแล้วแต่เปี่ยมพลังชีวิตทั้งสิ้น ไม่ใช่ซึมกระทือหดหู่แบบที่คนคิดกัน

แต่สิ่งที่พี่โจประทับใจที่สุด คือ...

เอลลิสถ่ายให้เห็นการอยู่ร่วมกันของ 3 ศาสนา เพราะมันคือ “สัญลักษณ์ของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ” ที่เป็นพยานชั้นดีว่า…ไม่ว่าคุณจะมาจากไหน เป็นคนเชื้อชาติใดศาสนาใด แต่ถ้าอยู่บนผืนแผ่นดินไทย ใต้ร่มเงาพระมหากษัตริย์ไทยด้วยกันหมดแล้ว เราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขและเกื้อกูลค่ะ 

ในวิดิโอ เอลลิสเดินไปเจอมัสยิดโบราณ 500 ปีที่ได้รับการรักษาดูแลอย่างดี สะอาดเอี่ยมอ่องจนเขาออกปากชม

แล้วเมื่อเขากับแฟนสาวเดินเลยไปไม่ไกล ก็เจอวัดจีนที่สีสันสดใสมาก มีผู้คนมากราบไหว้ไม่ขาดสาย มีของกินขายหน้าวัด คนมารอคิวซื้ออย่างมีชีวิตชีวา

ถัดวัดจีนไปก็เจอวัดไทยเลยค่ะ บรรยากาศเงียบสงบ กำแพงสลักภาพนูนต่ำสวยงาม กระจกหลังคาวัดส่องแสงกระทบแดดยามเย็นดูระยิบระยับไปหมด

ปัตตานี จึงเป็นตัวแทนอย่างดีของจิตวิญญาณแบบประเทศไทย ที่ยากจะหาประเทศไหนเสมอเหมือนได้ 

สุดท้าย พี่โจขอฝากอีกหนึ่งคลิปนะคะ ของฝรั่งหนุ่มหัวใจไทยแลนด์สุดๆ คือคุณ Paddy Doyle เขาก็เจอคำเตือนสยองจากคนไทยอย่างนี้เช่นกัน แต่พอเขาถามคนที่เคยไป ทุกคนบอกว่าไปเที่ยวได้นะ 3 จว.ชายแดนใต้สวยมากๆ แพ้ดดี้จึงตะลุยเที่ยวทั้ง ปัตตานี ยะลา และนราธิวาสอย่างสนุกสนานมาแล้ว

ยอดวิวคลิปนี้ ตอนปัตตานี พุ่งสูงถึงแสนกว่าวิวจนแพ้ดดี้เองยังงงเลยค่ะ!

https://youtu.be/zujngkYh8bo

“พรรคประชาธิปัตย์”ตั้งเป้าเติมทุนเกษตรอินทรีย์แปลงใหญ่ 3 ล้านขยายเกษตรอินทรีย์2ล้านไร่ผลิตปุ๋ยชีวภาพ 5 ล้านตัน เดินหน้าเกษตรคาร์บอนต่ำลดโลกร้อน 

“อลงกรณ์”ประกาศกลางเวทีดีเบตปักธง 10 นโยบายเกษตรกรรมยั่งยืน ภายใต้ยุทธศาสตร์”เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคง เกษตรยั่งยืน” 

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคในฐานะทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมการดีเบตในหัวข้อ”พรรคการเมืองกับนโยบายเกษตรกรรมยั่งยืนและปัญหาความมั่นคงทางอาหาร”ที่อาคารชีววิถี
จัดโดยภาคีเครือข่ายสมาคมสมาพันธ์เกษตรกรรมยั่งยืน เกษตรอินทรีย์ ไบโอไทย มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ โดยกล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ตั้งเป้าหมายของนโยบายเกษตรทันสมัยสู่ครัวไทยครัวโลก
1.ประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารท็อปเทน
ของโลกอย่างมีความรับผิดชอบต่อเกษตรกรและผู้บริโภค
2.เพิ่มGDPเกษตรเป็น10%
3.เพิ่มรายได้เกษตรกร 100%
จึงได้กำหนด 10 นโยบายเกษตรกรรมยั่งยืน เกษตรสุขภาพ และความมั่นคงทางอาหารเชิงปริมาณและคุณภาพภายใต้ยุทธศาสตร์”3 เอส.”(3 S : safety security sustainability) เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคง เกษตรยั่งยืนตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนบนฐานเทคโนโลยี ศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาไทย

1. ส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน ขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์ 2 ล้านไร่ เดินหน้าเกษตรคาร์บอนต่ำลดโลกร้อน
2. เติมทุนเกษตรอินทรีย์แปลงใหญ่ 3 ล้าน ส่งเสริมสนับสนุนสภาเกษตรอินทรีย์PGSแห่งประทศไทยเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ออกานิคและกสิกรรมธรรมชาติ
3. เพิ่มปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก ปุ๋ยอินทรีย์ 5 ล้านตัน จัดตั้งศูนย์บริการปุ๋ย-น้ำชุมชนทุกตำบล
4. ตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตร นวัตกรรม เครื่องจักรกล(AIM C:Agritech Innovation Machine Center) Application Agrimap ส่งเสริมการวิจัยพัฒนานวัตกรรมชีวภัณฑ์ เกษตรอัจฉริยะ เกษตรอินทรีย์ อบรมบ่มเพาะและถ่ายทอด พัฒนาเกษตรกร-สหกรณ์และสถาบันเกษตรกร
5. คุ้มครองสิทธิเกษตรกร พันธ์ุพืชพันธ์ุสัตว์และ ความหลากหลายทางชีวภาพ(Biodiversity )โดยเฉพาะในส่วนเกี่ยวข้องกับ FTA ที่จะเจรจา และข้อตกลงอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งปัจจุบันและอนาคตเช่น UPOV - CPTPP และ FTA EU /UAE EFTA
6. เร่งสนับสนุนการขับเคลื่อนกลไกเกษตรกรรมยั่งยืนระดับชาติ คณะกรรมการเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง คณะกรรมการเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบล คณะกรรมการเกษตรกรรมยั่งยืนระดับพื้นที่ 77 จังหวัด
 

7. สนับสนุนความมั่นคงทางอาหารทั้งเชิงปริมาณ คุณภาพ และโภชนาการที่ดี
8. ส่งเสริมอาหารแห่งอนาคต เช่น โปรตีนทางเลือกใหม่ได้แก่โปรตีนจากพืช โปรตีนจากแมลงสาหร่าย ผำ แหนแดง อาหารฮาลาล
9. ส่งเสริมเกษตรปลอดภัย เกษตรสุขภาพ ลดใช้ปุ๋ยเคมีและสารพิษอันตราย 
10. สร้างกลไกใหม่ ขยายความร่วมมือภาคีเครือข่ายระหว่างภาคเอกชน ภาคเกษตรกรและภาควิชาการ และภาครัฐเพิ่มบทบาทด้านเกษตรกรรมยั่งยืนของ”มกอช.”  “อย.”และกรมพัฒนาที่ดิน กรมประมง กรมปศุสัตว์ กรมข้าว กรมส่งเสริมการเกษตรเป็นต้น

ผู้พิพากษาสตรีเชื้อชาติอินเดียคนแรกของประเทศไทย สะท้อน!! 'ทุกโอกาส-เชื้อชาติ' เกิดขึ้นได้ใต้พระบรมโพธิสมภาร

“ดร. พูยา ทริปาทิ : ผู้พิพากษาสตรีเชื้อสายอินเดียคนแรกของประเทศไทย ตอนที่ 1”

วันเสาร์ที่ 4 มีนาคม 2566 ณ อาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สุรัตน์ โหราชัยกุล ได้สัมภาษณ์ ดร. พูยา ทริปาทิ ผู้พิพากษาสตรีชาวไทยเชื้อสายอินเดียคนแรก ขณะวันเวลาสัมภาษณ์ ดร. พูยา ทริปาทิดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลจังหวัดบุรีรัมย์ บทสัมภาษณ์แบ่งออกเป็น 2 ตอน ตอนที่ 1 นำลงเพจภารัต-สยามวันที่ 1 เมษายน 2566 ตอนที่ 2 นำลงเพจฯ วันที่ 8 เมษายน 2566 เรื่องราวของผู้พิพากษาท่านนี้หลายประเด็นน่าสนใจมาก ลองอ่านบทสัมภาษณ์ดูนะครับ

สุรัตน์ : พอจะเล่าภูมิหลังของครอบครัวให้ผมฟังก่อนได้ไหมครับ

ดร. พูยา : คุณพ่อเติบโตที่ประเทศอินเดีย บ้านเกิดชื่อมาร์จา (Marcha) เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ใน [มลรัฐอุตตรประเทศ (Uttar Pradesh)] ประเทศอินเดีย เมื่อคุณพ่ออายุได้ 19 ปี ท่านก็ตัดสินใจมาประเทศไทย ในบรรดาสมาชิกครอบครัวของเรา คุณพ่อเป็นคนแรกที่เดินทางมาประเทศไทย เพราะแม้จะเป็นคนขยันและเรียนหนังสือเก่ง แต่คุณพ่อไม่อาจเรียนต่อที่ประเทศอินเดียได้ เนื่องจากสถานภาพทางการเงินที่บ้านไม่ค่อยจะดีนัก ในจำนวนบุตรทั้งหมด 4 คน คุณพ่อมีพี่สาวหนึ่งคน ถัดมาเป็นคุณพ่อและมีน้องชายอีกสองคน ในฐานะที่คุณพ่อเป็นลูกชายคนโต ซึ่งโดยวัฒนธรรมอินเดียแล้ว ต้องเป็นผู้แบกรับภาระหน้าที่ของครอบครัวมากที่สุด

สุรัตน์ : ทำไมต้องประเทศไทย

ดร. พูยา : เหตุที่คุณพ่อเลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายเพื่อแสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เพราะก่อนหน้านี้มีบุคคลผู้หนึ่งที่คุณพ่อนับถือเหมือนคุณลุงหรือที่ดิฉันนับถือเหมือนคุณปู่นั้น ได้เข้ามาอาศัยอยู่ที่ประเทศไทยอยู่ก่อนแล้ว คุณปู่เป็นครูสอนภาษาบาลีสันสกฤตที่ประเทศไทย และเคยมีโอกาสสอนบุคคลสำคัญทางการเมืองบางท่านด้วย

สุรัตน์ : เมื่อมาถึงเมืองไทยแล้ว คุณพ่อประกอบอาชีพอะไรครับ

ดร. พูยา : แรก ๆ คุณพ่อก็เป็นลูกมือช่วยคุณปู่ค่ะ ในขณะเดียวกันคุณพ่อก็เริ่มเรียนภาษาไทยที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์และภาษาอังกฤษที่สถาบันสอนภาษา AUA ไปด้วย ครั้นเมื่อคุณปู่ถึงแก่กรรม คุณพ่อก็เคว้งคว้างอยู่ระยะหนึ่ง สักพักคุณพ่อก็กลับประเทศอินเดียเพื่อแต่งงานกับคุณแม่ แล้วพาคุณแม่มาอยู่ที่ประเทศไทยด้วยกัน แต่ชีวิตก็ไม่ง่าย คุณพ่อรับจ้างทำทุกอย่าง งานหนักเบาแค่ไหน คุณพ่อทำหมด ขอให้ได้เงินมาเลี้ยงครอบครัว มีอะไรที่คุณแม่ช่วยได้ คุณแม่ก็จะช่วย คุณแม่จะสนับสนุนผลักดันช่วยคุณพ่อทำทุกอย่างโดยหวังว่าวันหนึ่งชีวิตจะต้องดีขึ้น

สุรัตน์ : ท่านผู้พิพากษามีพี่น้องกี่คนครับ

ดร. พูยา : หลังจากที่คุณพ่อและคุณแม่แต่งงานกันได้หนึ่งปี ก็มีพี่ชาย ถัดมาอีกปีก็มีดิฉัน ยิ่งมีลูกสองคนไล่เลี่ยกัน ก็ยิ่งต้องขยัน แม้คุณพ่อจะยังเคว้งคว้างอยู่บ้าง ทว่าคุณแม่ก็ไม่หยุดผลักดันคุณพ่อ คุณแม่จะพูดเสมอว่า ต้องขยัน ต้องเก็บเงินให้ลูก คุณแม่ก็ช่วยเต็มที่ จะให้เก็บลังไม้ลังเบียร์เพื่อนำไปขายต่อ คุณแม่ก็ทำ คุณแม่เป็นช้างเท้าหลังจริง ๆ ผลักดันทุกอย่าง ตั้งแต่ดิฉันโตมา ดิฉันเห็นคุณแม่เก็บหอมรอมริบมาโดยตลอด คือไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเลย คุณแม่เป็นคนเก็บเงินเก่งมากค่ะ ดิฉันไม่เคยเห็นคุณแม่ซื้อแม้กระทั่งเครื่องสำอางให้ตัวเองเลย คุณแม่ยึดมั่นในการใช้ชีวิตอย่างสมถะ

สุรัตน์ : นามสกุล ทริปาทิ ของท่านผู้พิพากษา จริง ๆ ก็คือตริปาถี (Tripathi) ซึ่งผันไปเป็น ตริเวที (Trivedi) หรือติวารี (Tiwari) ด้วยนั้น เป็นนามสกุลคนวรรณะพราหมณ์ ตรงนี้หลายคนอาจจะเข้าใจว่าคนวรรณะพราหมณ์ก็ต้องมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีหรือเปล่าครับ

ดร. พูยา : การอยู่วรรณะสูงก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นคนรวยมีฐานะดีเสมอไป และการอยู่วรรณะพราหมณ์ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องมีอาชีพเป็นนักบวชเท่านั้น เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ทุกคนต่างล้วนต้องทำงานหาเลี้ยงชีพโดยไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นนักบวชเท่านั้น

สุรัตน์ : ผมพอสรุปได้ไหมว่า คุณพ่อคุณแม่ของท่านผู้พิพากษามีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน แต่ในขณะเดียวกันก็เสริมส่งหรือจรรโลงไว้ซึ่งเสถียรภาพของครอบครัว

ดร. พูยา : ใช่เลยค่ะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีข้อขัดแย้งเลย เวลาคนสองคนที่ต่างกันมาอยู่ด้วยกัน ก็จะมีมุมมองที่ไม่เหมือนกันบ้าง แต่มุมมองที่ต่างกันก็พยายามปรับเข้าหากันได้ ซึ่งท้ายที่สุดก็คือการหาเหตุผลของแต่ละมุมมอง ดิฉันในฐานะลูกก็ได้เรียนรู้เรื่องมุมมองที่ต่างกันด้วย ตรงนี้ทำให้เราเริ่มคิดอะไรหลายอย่างไม่เหมือนกับเด็กในวัยเดียวกัน อย่างเดียวที่ทำได้ตอนเป็นเด็กคือคิด จะทำอะไรมากกว่าคิดไม่ได้ ดิฉันเริ่มคิดเรื่องต้นตอของปัญหาในสมัยยังไม่เข้าสู่วัยรุ่น ถ้าเราเข้าใจต้นตอของปัญหา เราก็จะหลีกเลี่ยงปัญหาได้ไม่น้อยเลย คุณพ่อและคุณแม่ก็สอนเรื่องนี้อยู่เป็นประจำ เช่น ถ้าไม่ทำแบบนี้หรือแบบนั้น ปัญหาก็จะไม่เกิดขึ้น จำได้อีกว่า ตอนนั้นเริ่มคิดได้ด้วยว่า ชีวิตของเราไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ ความสมบูรณ์แบบคือความไม่สมบูรณ์แบบ แม้จะยังเด็กอยู่แต่ความคิดความอ่านของดิฉันก็มีความเป็นผู้ใหญ่มาก แต่บางทีดิฉันก็คิดนะว่าเราก็เป็นเด็ก ทำไมเราต้องไปคิดอะไรมาก เราควรจะสนุกสนานตามประสาเด็กมากกว่าไหม

สุรัตน์ : ผมพอจะสรุปได้ไหมว่า ชีวิตของครอบครัวท่านผู้พิพากษาไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนกับหลายครอบครัว แต่ท่านผู้พิพากษากลับนำสิ่งนี้มาเป็นแหล่งแรงบันดาลใจในการสร้างชีวิตของตน

ดร. พูยา : ถูกต้องค่ะ คือเราต้องดูว่าปัญหาคืออะไร มูลเหตุของปัญหาคืออะไร แล้วก็แก้ปัญหาให้ตรงจุด เด็กหลายคนอาจจะไม่มองแบบดิฉัน อาจจะมองว่าเรามาจากครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบ ก็เลยเลือกทางเดินที่ไม่ควร แต่ดิฉันไม่คิดแบบนั้น คุณพ่อสอนให้เข้มแข็งและสู้กับปัญหาเสมอ อย่าวิ่งหนี อีกหนึ่งคุณค่าทางความคิดที่ครอบครัวให้มาคือ การรู้ค่าของเงิน ไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ตอนที่ดิฉันยังเป็นเด็กอยู่ ยังไม่มีรถไฟฟ้าบีทีเอส ดิฉันก็ขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียน ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวค่ะ

สุรัตน์ : เรียนหนังสือที่ไหนครับ

ดร. พูยา : ระดับชั้นอนุบาลและประถมศึกษาเรียนแถวบ้านค่ะ ส่วนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายเรียนที่โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย ในระหว่างที่เรียนโรงเรียนนี้ ดิฉันเป็นเด็กที่ค่อนข้างโตกว่าวัย เป็นคนมีระเบียบวินัย แต่ก็เป็นคนเฮฮาด้วย ตอน ม.5 กับ ม.6 ก็ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าห้อง คงอาจจะเพราะเพื่อน ๆ มองว่าดิฉันเป็นคนมีความรับผิดชอบ ส่วนเรื่องเรียนดิฉันก็ไม่เคยประนีประนอม ตั้งใจให้ถึงที่สุดค่ะ ต้องยกความดีให้คุณพ่อ เรื่องเรียนคุณพ่อผลักดันและส่งเสริมเสมอ

สุรัตน์ : ดูจากภูมิหลังของครอบครัวคุณพ่อแล้ว ที่บ้านก็ไม่น่าจะมีความคิดเรื่องส่งเสริมลูกสาวเรียนหนังสือหรือเปล่า คือสมัยหนึ่งคนไทยเชื้อสายอินเดียก็มักจะคิดกันว่า ลูกสาวจะไปเรียนอะไรเยอะแยะ เดี๋ยวสักพักก็คงจะแต่งงานแล้ว

ดร. พูยา : คุณพ่อไม่เคยคิดแบบนี้เลย ดิฉันก็เคยรู้สึกแปลกใจเหมือนกัน เป็นไปได้ว่าคุณพ่อมาอยู่ประเทศไทยตั้งแต่อายุยังน้อยและประเทศไทยไม่มีค่านิยมดังกล่าวจึงเปลี่ยนแปลงความคิดจากสิ่งที่นิยมปฏิบัติในบ้านเกิด คุณพ่อจึงไม่เคยมองหรือปฏิบัติระหว่างพี่ชายกับดิฉันแตกต่างกัน และไม่เคยนำเรื่องความแตกต่างทางเพศสภาพมาเป็นข้อจำกัดหรือกีดกันไม่ให้ดิฉันได้รับการศึกษา ในทางตรงกันข้ามคุณพ่อสนับสนุนให้เราพี่น้องทั้งสองคนเรียนหนังสือ ตั้งใจเรียน ถ้าเรียนได้ ก็จะสนับสนุนอย่างเต็มที่

สุรัตน์ : หลังจากอยู่ประเทศไทยมาพักหนึ่งแล้ว สถานภาพทางการเงินของที่บ้านดีขึ้นบ้างไหมครับ

ดร พูยา : สถานภาพทางการเงินของที่บ้านก็ดีขึ้นตามลำดับ เริ่มมีช่องทางทำธุรกิจนำเข้าส่งออกบ้าง ตรงนี้ก็ทำให้คุณพ่อมั่นใจว่าจะสนับสนุนเรื่องการเรียนของลูกทั้งสองอย่างเต็มที่ แต่แล้วครอบครัวก็กลับมาย่ำแย่อีกครั้งในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ซึ่งตอนนั้นดิฉันก็กำลังเรียนหนังสือระดับประถมศึกษา รู้ว่าคุณพ่อและคุณแม่ลำบาก แต่คุณพ่อและคุณแม่พยายามไม่ให้เราพี่น้องรับรู้ถึงผลกระทบที่ได้รับจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งนั้น ถึงตรงนี้ดิฉันก็ได้เรียนรู้เรื่องการใช้เงินอีกครั้ง คือทำให้เราคิดได้ตลอดเวลาว่า จะใช้เงินกับสิ่งจำเป็นเท่านั้น เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ สมัยเรียนกระเป๋าที่ใช้ก็เป็นกระเป๋าเป้ธรรมดา ไม่ได้ใช้กระเป๋ามียี่ห้อแต่อย่างใด อะไรที่พี่ชายไม่ใช้แล้ว ดิฉันก็นำของเก่าหลายชิ้นของพี่ชายมาใช้ต่อ เช่น ตำราเรียน เพราะระดับประถมศึกษา เราพี่น้องเรียนโรงเรียนเดียวกัน ซึ่งก็ดีนะ ไม่รู้จะสิ้นเปลืองไปเพื่ออะไร ชีวิตไม่ได้มีอะไรหรูหรา โรงเรียนที่เข้าเรียนก็เพราะใกล้บ้าน จับฉลากได้ นั่งรถเมล์ขาไปจากบ้าน เวลากลับบ้านส่วนใหญ่ก็จะเดินกลับ ได้ออกกำลังกายไปในตัว

สุรัตน์ : ไม่เคยตัดพ้อต่อว่ากับชีวิตบ้างหรือ

ดร. พูยา : ไม่เลยค่ะ รู้สึกเป็นประสบการณ์ชีวิตมากกว่า อย่างที่บอกค่ะว่าดิฉันมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุยังน้อย ประกอบกับคนรอบตัวดิฉันส่วนใหญ่ก็ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย โรงเรียนที่เข้าเรียนก็เป็นโรงเรียนรัฐบาล มีทั้งนักเรียนนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างกลับบ้าน นั่งสองแถวบ้าง บางคนก็เดินกลับ นักเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้มีรถยนต์ส่วนตัวมารับส่ง สมัยที่เป็นนักเรียน สิ่งที่เราคิดอยู่ในเวลานั้นคือตั้งใจเรียน เพื่อน ๆ มักจะมองดิฉันว่าเป็นคนเปิดเผยเฮฮา แต่จริง ๆ แล้วดิฉันก็มีโลกอีกใบหนึ่ง ซึ่งหลาย ๆ คนไม่ค่อยทราบ โลกนี้คือโลกแห่งการตั้งใจเรียนหนังสือ เวลาอยู่กับหนังสือก็คืออยู่กับหนังสือจริง ๆ หลายครั้งที่เพื่อนดิฉันก็รู้สึกแปลกใจกับผลการเรียนของดิฉัน ต่อมาเพื่อน ๆ ก็รู้ว่า ดิฉันเป็นเด็กเรียนดีคนหนึ่ง เป็นนักเรียน 1 ใน 5 ของห้องที่ทำคะแนนได้สูงสุดเสมอ

สุรัตน์ : ตรงนี้ต้องยกเครดิตให้คุณพ่อหรือเปล่าครับ

ดร. พูยา : ถูกต้องค่ะ คุณพ่อผลักดันดิฉันตลอด บางทีเวลาดิฉันอ่านหนังสือและดูโทรทัศน์ไปพร้อม ๆ กัน คุณพ่อก็จะถามว่าจะดูโทรทัศน์หรืออ่านหนังสือ เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะถ้าเราดูโทรทัศน์ก็จะไม่มีสมาธิในการอ่านหนังสือ ดิฉันก็เลือกที่จะอ่านหนังสือ

สุรัตน์ : คือคุณพ่อเป็นคนเข้มงวดเรื่องเรียนหนังสือ

ดร. พูยา : ใช่ค่ะ อาจจะเป็นเพราะคุณพ่อเป็นคนเรียนหนังสือดี แต่ไม่อาจเรียนต่อได้เพราะขาดแคลนทุนทรัพย์

สุรัตน์ : คือที่คุณพ่อขาดโอกาสทางการศึกษา ก็กำลังมาปรากฏในตัวท่านผู้พิพากษาหรือเปล่า

ดร. พูยา : น่าจะใช่นะคะ จุดนี้ก็ทำให้หลายคนที่ครอบครัวดิฉันรู้จักเข้าใจไปว่าคุณพ่อกดดันลูกสาว โดยเฉพาะสังคมชาวไทยเชื้อสายอินเดียบางกลุ่มซึ่งอาจจะมีทัศนคติทำนองว่า “ลูกของฉันโตมาแล้ว ต้องเป็นหมอ ต้องเป็นวิศวกร” ที่บ้านดิฉันไม่ได้มีทัศนคติแบบนี้ มีทัศนคติเพียงว่า ลูกต้องตั้งใจเรียน เพราะพ่อแม่ให้ได้เท่านี้ ทรัพย์สินเงินทองไม่รู้ว่าจะมีให้หรือไม่ แต่ที่จะให้ได้แน่นอนคือการศึกษา คือถ้าจะเรียน ก็จะสนับสนุนให้เรียน เคยถึงกระทั่งว่าช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ คุณแม่นำสร้อยคอไปจำนำเพื่อเป็นทุนการศึกษาสำหรับลูก ดังนั้น สำหรับคุณพ่อและคุณแม่แล้ว จะเรียนอะไรก็เรียนเถิด ไม่เคยมาตีกรอบว่าดิฉันควรเรียนอะไร และในที่สุดดิฉันก็เลือกเรียนศิลป์-ภาษา เพราะไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์สักเท่าไร ก็คือยังเรียนคณิตศาสตร์เสริม แต่เป็นตัวที่ง่ายกว่าที่นักเรียนสายวิทย์-คณิตฯ เรียนกัน ตรงนี้คุณพ่อก็ไม่ถอยอีก เมื่อเราไม่ชอบเรียนคณิตศาสตร์ ท่านก็บอกว่าหนีปัญหาไม่ได้ ในที่สุดก็จ้างครูพิเศษสอนคณิตศาสตร์ให้ดิฉันด้วย

สุรัตน์ : แล้วสมัยเรียนท่านผู้พิพากษาได้ทำกิจกรรมบ้างหรือเปล่าครับ

ดร. พูยา : ทำคะ แต่ทำถึงแค่ ม.5 เช่น จัดกีฬาสี เมื่ออยู่ชั้น ม. 6 ดิฉันทำกิจกรรมน้อยลงค่ะ สนใจเรื่องเรียนมากขึ้น ดิฉันรู้ตัวแล้วว่า ถ้าไม่เอาจริงตอน ม.6 ชีวิตคงไม่ง่ายแล้ว ที่สำคัญดิฉันไม่อาจทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจที่คุณพ่อกับคุณแม่มีต่อตัวดิฉันได้ ตอนนั้นจำได้ว่า ถึงอย่างไรดิฉันก็ต้องสอบเอ็นทรานซ์ให้ติดสักแห่งหนึ่ง แต่คณะและมหาวิทยาลัยที่ใฝ่ฝันคือ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

นายกฯ ส่งความปรารถนาดีถึงผู้ใช้แรงงานทั่วไทย ย้ำ!! ทุกคนล้วนมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ

(1 พ.ค. 66) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวปราศรัยเนื่องในโอกาสวันแรงงานแห่งชาติ ประจำปี 2566 ซึ่งตรงกับวันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปี เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้ใช้แรงงานทุกคน เผยแพร่ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยและสถานีโทรทัศน์ต่างๆว่า เนื่องในโอกาสวันแรงงานแห่งชาติ ประจำปี 2566 ขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังผู้ใช้แรงงานทุกคน ย้ำผู้ใช้แรงงานทุกคนถือเป็นบุคลากรที่มีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาประเทศที่ต้องได้รับการดูแลเพื่อยกระดับคุณชีวิต พร้อมทั้งพัฒนาทักษะในด้านต่าง ๆ เพื่อรองรับกับความต้องการของตลาดแรงงาน และสร้างความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที

ในนามของรัฐบาลขอชื่นชมทุกภาคส่วนและขอบคุณผู้ใช้แรงงานทุกคน ที่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ตลอดจนมุ่งมั่นในการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของตน เพื่อเป็นแรงงานฝีมือที่มีคุณภาพและเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยทั้งในภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรม และภาคธุรกิจบริการมาโดยตลอด จนทำให้ประเทศของเราเจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาประเทศ พร้อมทั้งสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงท่ามกลางวิกฤติการณ์ของสังคมโลก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top