Monday, 19 May 2025
NEWS

อีอีซี จับมือไอคอนสยาม สนับสนุนสินค้าพรี่เมี่ยมท้องถิ่นยกระดับสู่ตลาดสากล บอกเล่าเรื่องราวอัตลักษณ์ชุมชน สร้างรายได้ให้คน อีอีซีอย่างยั่งยืน

(8 มิ.ย. 66) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี ร่วมกับ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การส่งเสริมและสนับสนุนผลิตภัณฑ์    และการบริการของวิสาหกิจชุมชน และสินค้า ที่เป็นผลผลิตและบริการจากชุมชนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก มาจัดงานแสดงและจำหน่ายผลผลิต ในพื้นที่ของไอคอนสยาม โดยมี นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการ อีอีซี 

นายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด ร่วมกันลงนาม และมีนางธัญรัตน์ อินทร รองเลขาธิการ อีอีซี นายไพรัช วิเศษศิริลักษณ์ ผู้บริหารสายงานบริการลูกค้า บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด เป็นพยาน พร้อมด้วยพิธีเปิดกิจกรรมแสดง และจำหน่ายผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เป็นผลผลิตจากชุมชน ในพื้นที่อีอีซี “Road to EEC Select ผลิตภัณฑ์ชุมชนสู่สากล” ณ เจริญนครฮอลล์ ชั้น M ไอคอนสยาม
 
​นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการ อีอีซี กล่าวว่า การลงนาม MOU ครั้งนี้ ทั้งอีอีซี และไอคอนสยาม ได้ร่วมมือกันสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการจากชุมชนในเขตพื้นที่ อีอีซี เป็นที่รู้จักและยอมรับจากกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นนักท่องเที่ยว และคนรุ่นใหม่ ผ่านภาพลักษณ์ของไอคอนสยามที่เป็นเสมือน Landmark สำคัญในการบอกเล่าวิถีชีวิต และความเป็นไทยสู่สายตานักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในหลากหลายมิติ วันนี้นับเป็นก้าวแรกของความร่วมมือในการผลักดันผลิตภัณฑ์และบริการที่จะเข้าสู่การคัดเลือกและรับรอง EEC Select  ซึ่งนอกจากจะมีแหล่งกำเนิดในเขตพื้นที่ อีอีซี มีการพัฒนาต่อยอดด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และองค์ความรู้ต่างๆ แล้ว ยังให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตที่มีมาตรฐาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และชุมชน ให้มีช่องทางในการจำหน่ายที่ตอบสนองต่อวิถีชีวิตและไลฟ์สไตล์ของผู้คนในปัจจุบัน

​ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ สินค้าและบริการเด่นๆ จากชุมชน ที่ได้รับการคัดเลือกเพื่อสร้างช่องทางจำหน่าย        ผ่านความร่วมมือจากศูนย์การค้าไอคอนสยาม ครั้งนี้ อีอีซี จะดำเนินการต่อยอดเข้าสู่โครงการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (EEC SELECT) และพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ซึ่งเบื้องต้นจะทำการคัดเลือกผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เป็นผลผลิตจากชุมชนที่อยู่ในพื้นที่อีอีซี ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานตรงกับความต้องการของผู้บริโภค หรือได้ใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีที่น่าสนใจ ครอบคลุมหลายกลุ่มธุรกิจ อาทิ อาหาร-เครื่องดื่ม สิ่งทอแฟชั่น เฟอร์นิเจอร์และผลิตภัณฑ์จากไม้ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักรและอุปกรณ์ เครื่องสำอาง ยาสมุนไพร เซรามิก เกษตรแปรรูป Smart Farming และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ BCG เป็นต้น

สำหรับการจัดจำหน่าย ผลิตภัณฑ์หรือบริการของวิสาหกิจชุมชน และสินค้าจากชุมชนในพื้นที่อีอีซี ดังกล่าว จะเริ่มจัดกิจกรรมร่วมกับ ไอคอนสยาม ภายในงาน “Road to EEC Select ผลิตภัณฑ์ชุมชนสู่สากล” ณ เจริญนคร ฮอลล์ ชั้น M ไอคอนสยาม ระหว่างวันที่ 8 - 11 มิถุนายน 2566 ซึ่งอีอีซี จะขอเชิญชวน ให้นักช๊อปปิ้ง นักท่องเที่ยวทุกท่าน ร่วมหาซื้อผลิตภัณฑ์จากชุมชนในพื้นที่อีอีซี ซึ่งนอกจากจะได้ผลิตภัณฑ์หรือบริการ ในท้องถิ่นที่ได้มาตรฐานสูงระดับสากลแล้ว ยังเป็นการกระจายรายได้ให้แก่ชุมชนในพื้นที่อีอีซีอีกด้วย
 
ด้านนายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด กล่าวว่า ไอคอนสยาม มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะรวบรวมทุกสิ่งดีจากทั่วประเทศไทยนำเสนอสู่สายตาชาวโลก ในคอนเซ็ปต์ Co-Creation ซึ่งมีการผนึกกำลังสร้างสรรค์จากชุมชนท้องถิ่น 77 จังหวัดทั่วประเทศ ร่วมสร้าง Platform ธุรกิจ และพื้นที่เชิงวัฒนธรรม

โดยสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่งของผู้ประกอบการรายย่อยจากชุมชนระดับท้องถิ่น วิสาหกิจท้องถิ่น ศิลปินตัวจริง จากทุกภาคและองค์กรภาครัฐ เพื่อช่วยกันสร้างเมืองที่นำเสนอสินค้ายอดนิยมและวัฒนธรรมที่เป็นความภาคภูมิใจ -ของทุกจังหวัด ไอคอนสยามเป็น Platform ต่อยอดการพัฒนาสินค้า เรียนรู้กลไกการค้าปลีกและค้าส่ง สู่ต่างประเทศ การตลาดรูปแบบใหม่อย่างครบวงจร ถือเป็น Commercial Ecosystem ที่มีการบริหารจัดการสินค้าโดยมีผู้เกี่ยวข้องทั่วประเทศและผู้ได้รับประโยชน์ในวงกว้าง สร้างงานสร้างรายได้และนำเสนอคุณค่าของสิ่งขึ้นชื่อของประเทศไทย  
“สำหรับความร่วมมือ (MOU) การส่งเสริมและสนับสนุนผลิตภัณฑ์และการบริการของวิสาหกิจชุมชนและสินค้า OTOP ที่เป็นผลผลิตและบริการจากชุมชนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ในครั้งนี้ ไอคอนสยามพร้อมจะสนับสนุนเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์หรือบริการในท้องถิ่นที่เป็นผลผลิตจากชุมชนในพื้นที่อีอีซีดังกล่าว เพื่อสร้างโอกาสให้ผลิตภัณฑ์จากชุมชนสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ นอกจากนี้ ยังช่วยสนับสนุนต่อยอดความร่วมมือและสร้างตลาดการจัดจำหน่ายไปยังนักลงทุนที่สนใจทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์หรือภาคบริการในพื้นที่อีอีซี เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน และประเทศต่อไปอีกด้วย” คุณสุพจน์ กล่าวเพิ่มเติม
มาร่วมอุดหนุนผลิตภัณฑ์และการบริการของวิสาหกิจชุมชน และสินค้า OTOP ที่เป็นผลผลิตและบริการ จากชุมชนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ภายในงาน“Road to EEC Select ผลิตภัณฑ์ชุมชนสู่สากล” ระหว่างวันที่ 8 - 11 มิถุนายน 2566 ณ เจริญนคร ฮอลล์ ชั้น M ไอคอนสยาม สอบถามข้อมูลโทร. 1338

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง - ผู้ว่าฯ ชัชชาติ เปิดโครงการ “ป่อเต็กตึ๊ง ปันยิ้ม สร้างสุข ผู้สูงวัย”  ลงพื้นที่ 50 เขตกรุงเทพฯ บรรเทาทุกข์ในยุคสังคมผู้สูงวัยในไทย

วันนี้ (วันที่ 8 มิถุนายน 2566)  มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ พร้อมด้วย นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ นายสัก กอแสงเรือง รองประธานกรรมการ นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ และคณะกรรมการมูลนิธิฯ จัดพิธีเปิดโครงการ ป่อเต็กตึ๊ง ปันยิ้ม สร้างสุข ผู้สูงวัย ลงพื้นที่แจกจ่าย "ถุงปันสุข ป่อเต็กตึ๊ง" บรรจุเครื่องอุปโภคบริโภค มูลค่าชุดละ 1,000 บาท ประกอบด้วย ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง น้ำมันพืช น้ำปลา นม ขนม สบู่ ผงซักฟอก และผ้าขนหนู  พร้อมมอบเงินสด จำนวน 1,000 บาท ให้แก่ผู้สูงอายุและผู้ยากไร้ในชุมชน 50 เขตกรุงเทพมหานคร  รวมจำนวน 2,500 ชุด 

คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) โดยมี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ร่วมในพิธี  ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคาร 2 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เปิดเผยว่า ด้วยประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยโดยสมบูรณ์แล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เป็นองค์กรสาธารณกุศลเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกำไร ดำเนินงานสาธารณกุศลทั้งงานสังคมสงเคราะห์และงานบรรเทาสาธารณภัยต่างๆ บำบัดทุกข์ สร้างสุขให้สังคมไทยมากว่า 113 ปี มีความห่วงใยในความเป็นอยู่ ทุกข์สุข ของผู้สูงอายุยากไร้ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก ขาดผู้ดูแล ขาดปัจจัยหลักในการดำรงชีพ 

สำหรับโครงการดังกล่าว มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ริเริ่มดำเนินการแล้วตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2566 เป็นต้นมา เพื่อให้ความช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยกำหนดลงพื้นที่ครบถ้วนทั้ง 50 เขต ในวันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน 2566 ที่จะถึงนี้

ตลอดระยะเวลากว่า 113 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา  เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

โฆษก ตร.แจงปมเลื่อนยศ ร.ต.อ.หญิงเป็นไปตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วยวิธีการแต่งตั้งยศ มีคุณวุฒิบรรจุปริญญาโท สามารถเลื่อนเป็น ร.ต.อ.ได้ภายใน 2 ปี ย้ำ ตร.ให้ความสำคัญตำรวจชั้นผู้น้อย เปิดสอบแข่งขันเลื่อนเป็นสัญญาบัตรกว่า 880 อัตรา 

วันนี้ (8 มิ.ย.66 ) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า “ตามที่ปรากฎจากสื่อเกี่ยวกับการบรรจุและดำรงตำแหน่ง ร.ต.อ.หญิง นั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอเรียนว่า หลักสูตรการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจและบุคคลที่บรรจุหรือโอนมา เป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร (กอส.) เป็นหลักสูตรการฝึกอบรมสำหรับข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตรซึ่งบรรจุจากบุคคลภายนอก เช่น  ทายาทตำรวจ ผู้มีวุฒิปริญญาสาขาต่างๆ ผู้มีวุฒิปริญญาในสาขาวิชาที่ขาดแคลน  นายแพทย์ รพ.ตร. ตำรวจน้ำที่รับโอนมาจากทหารเรือ นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ เป็นหลักสูตรตามระเบียบ ตร. ซึ่งกรณีของ ร.ต.อ.หญิง เป็นผู้มีวุฒิปริญญาซึ่งผ่านการคัดเลือกและได้รับการบรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจชั้นประทวนได้รับเงินเดือนขั้นต่ำ โดยมีเงื่อนไขเมื่อผ่านการอบรมฯ หลักสูตรตามที่ ตร. กำหนดแล้ว จึงจะได้รับการแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตรได้รับเงินเดือนตามคุณวุฒิ

ร.ต.อ.หญิง ดังกล่าว ได้ผ่านการรับสมัครและคัดเลือกบุคคลภายนอกผู้มีวุฒิ ใช้วิธีการคัดเลือกตามกฎ ก.ตร.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกหรือการสอบแข่งขันฯ และตรวจสอบคุณวุฒิและคุณสมบัติเป็นไปตามหลักเกณฑ์ จนได้บรรจุเป็นข้าราชการตำรวจ ยศสิบตำรวจตรีหญิง ในปี พ.ศ. 2563 ในตำแหน่ง ผบ.หมู่ฯ  ต่อมาผ่านการฝึกอบรมหลักสูตร กอส. ในปี พ.ศ.2564 และแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร ยศร้อยตำรวจตรีหญิง ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.64 โดยมีคุณวุฒิที่ใช้บรรจุแต่งตั้งนิเทศศาสตรมหาบัณฑิต (ป.โท) จากนั้นจะใช้ระยะเวลาครองยศ 8 เดือน ได้รับการเลื่อนยศเป็น ร.ต.ท.หญิง และครองยศ ร.ต.ท.หญิง อีก 1 ปี จะได้รับการเลื่อนยศเป็น ร.ต.อ.หญิง รวมระยะเวลา 1 ปี 8 เดือน โดยการเลื่อนยศของ ร.ต.อ.หญิง ดังกล่าว เป็นไปตามตามกฎ ก.ตร.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งยศ พ.ศ.2554 ข้อ 8.2.8 ที่กำหนดให้ข้าราชการตำรวจที่ได้รับยศสูงขึ้น ต้องครองยศตามจำนวนปีที่รับราชการ ยกเว้นผู้ที่บรรจุในคุณวุฒิ ปริญญาโท ให้รับราชการในชั้นยศร้อยตำรวจตรีหนึ่งปี ร้อยตำรวจโทหนึ่งปี”

โฆษก ตร. กล่าวอีกว่า “ในปัจจุบัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความตั้งใจที่จะดูแลขวัญกำลังใจของกำลังพลในส่วนที่เป็นข้าราชการตำรวจชั้นประทวนที่มีความตั้งใจ มีความรู้ความสามารถที่จะเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร มีการเปิดสอบแข่งขันข้าราชการตำรวจชั้นประทวนเป็นตำรวจชั้นสัญญาบัตร ล่าสุด เมื่อปลายเดือน พ.ค.66 มีการเปิดรับสมัครตำรวจชั้นประทวนเป็นสัญญาบัตร จำนวน 430 อัตราสำหรับตำแหน่งทั่วไป และ จำนวน 450 อัตรา สำหรับสายงานสอบสวน”

ไทยสร้างไทย’ โพสต์แจง ถูก ‘กัลฟ์’ ฟ้อง 100 ล้านบาท โดนทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง ปมแถลงปัญหาค่าไฟแพง

เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 66 รองเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย โพสต์ ได้รับหมายศาล ‘กัลฟ์’ ฟ้องคดีอาญาและคดีแพ่ง และเรียกค่าความเสียหายอีก 100 ล้านบาท พรรคไทยสร้างไทย กับพวกรวม 3 คน ปมแถลงค่าไฟแพง

นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส รองเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย โพสต์เฟซบุ๊กชื่อ ‘ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส - Treerat Sirichantaropas’ ระบุถึงกรณีการได้รับหมายศาล ซึ่งบริษัท กัลฟ์ เจพี เอ็นเอส จำกัด ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน โดยนายเนติพงศ์ โฆมานะสิน ผู้รับมอบอำนาจ เป็นโจทย์ยื่นฟ้อง พรรคไทยสร้างไทย เป็นจำเลยที่ 1 กับพวกรวม 3 คน

ทั้งนี้ นายตรีรัตน์ ระบุเนื้อหาว่า วันนี้ผมได้รับหมายศาลโดยกลุ่มบริษัท ‘กัลฟ์’ หลังจากผมได้เคยแถลงข่าวถึงปัญหาค่าไฟแพง โดยผม พร้อมด้วยคุณรณกาจ (ผู้ร่วมแถลงข่าว) และพรรคไทยสร้างไทย ร่วมกันได้ถูกฟ้องทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง และโดนเรียกค่าความเสียหายอีก 100 ล้านบาท

ทั้งนี้ เขายังระบุด้วยว่า ทั้งหมดที่ผมเคยออกมาตั้งคำถาม เป็นการทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนพรรคการเมือง ซึ่งมีหน้าที่เป็นกระบอกเสียงแทนความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะปัญหาค่าครองชีพ ซึ่งภาครัฐหรือคู่สัญญาของรัฐ ต้องสามารถถูกตรวจสอบได้ โดยประชาชนถึงความคุ้มค่า

แต่หากการตั้งคำถามในฐานะประชาชน ทำให้ผมต้องโดนฟ้องทั้งอาญา-ทั้งแพ่ง ผมก็ใช้จังหวะนี้ที่ผมต้องขึ้นศาล เบิกความเอาเอกสารข้อเท็จจริงทั้งหมดมาแสดงให้สาธารณชนได้รับทราบร่วมกัน ถึง “สัญญาการซื้อไฟฟ้าระหว่างรัฐและนายทุน” ส่วนรายละเอียดของคดี ผมจะขออนุญาตแถลงข่าวในภายหลัง

 

‘ดร.นพดล’ ลั่น!! รู้ข้อมูลผู้อยู่เบื้องหลังม็อบปฏิรูปสถาบันฯ ชี้!! มีขบวนการคอยชักใยเพื่อบั่นทอนเสาหลักของชาติ

ดร.นพดล กรรณิกา เผยกลางรายการ รู้ข้อมูลผู้อยู่เบื้องหลังและคนปั่นกระแส จนมาเป็นการชุมนุมปฏิรูปสถาบันฯ โดยใช้เครื่องมือ และมีคณะทำงานโดยมีกลุ่มไอที (IT) ด้วยกันทั้งหมด 3 กลุ่ม จนรู้ความจริง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ให้สัมภาษณ์ในรายการสนามข่าว ช่อง FM101 ยืนยันว่า รู้ข้อมูลผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด ตลอดจนผู้ปั่นกระแสจนเป็นที่มาของการชุมนุมปฏิรูปสถาบัน และยืนยันว่ามีกระบวนการอยู่เบื้องหลังจริง ตามที่รัฐบาลตั้งข้อสังเกต

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า อาจารย์สำรวจเสียงประชาชนในโลกโซเชียล ผ่านระบบเน็ตซุปเปอร์โพล เพื่อดูความเคลื่อนไหวข้อความที่มีแฮชแท็กและติดเทรนค์ทวิตเตอร์ เช่น #เยาวชนปลดแอก, #หยุดคุกคามประชาชน, #สู้เป็นไทยถอยเป็นทาส, #whathappeninthailand แล้วอาจารย์บอกว่า ไปดูแล้วมีการปั่นจากต่างประเทศเข้ามา 7 เท่า อาจารย์ไปเช็กอย่างไร?

ดร.นพดล ตอบว่า “เรามีวิธี มีเครื่องมือ และมีคณะทำงานโดยมีกลุ่มไอที (IT) ด้วยกันทั้งหมด 3 กลุ่ม แล้วเราใช้เครื่องมือที่เรามีอยู่ ทุกอย่างที่อยู่ในโลกโชเชียล จะมีอยู่ด้วยกัน 2 กลุ่ม คือกลุ่ม structure กับ unstructure ข้อมูลที่มันมีระบบระเบียบกับข้อมูลที่ไม่มีระบบระเบียบแล้วหลังจากนั้นเราจะกวาดหาทั้งหมด แล้วนำมาจัดเป็น layer ต่างๆ ข้อมูลที่มันออกมาจากที่ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นในโซเชียลหรือนอกโลกโซเซียล ทุกอย่างมันต้องมีแหล่งที่มา เพราะฉะนั้น จะทำให้ทราบว่า มันมาจากไหน ใครเป็นคนเริ่ม และเริ่มเมื่อไร เครื่องมืออันนี้มันมีครื่องมือในการตรวจจับอยู่แล้ว และเครื่องมือที่เราใช้อยู่มันจะสามารถรู้ได้ว่ามันไม่ได้มาจาก proxy มันเป็น uique P ที่เราสามารถจับได้ แล้วก็กลุ่มคนที่ใช้ VPN มันจะเป็น privacy ของเขา”

ดร.นพดล กล่าวต่อว่า มันเริ่มตั้งแต่ต้นปี เรารู้แล้วว่าใครเป็นคนเริ่ม เริ่มวันไหน เริ่มมาตอนแรกไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าไร แต่ดูเหมือนว่าทำกันเป็นขบวนการ เริ่มปล่อยออกมา พอปล่อยออกมาแล้วในช่วงจังหวะหนึ่งเราจะเห็นผมนำเสนอไปไม่ได้ทั้งหมด นำเสนอได้บางส่วนเพราะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเป็น privacy ของคน พอเราจับได้ เราจะเห็นว่ามันไม่น่าจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ

โดยส่วนใหญ่มันมี Milestone หลักของการเคลื่อนไหว Timeline ของการเคลื่อนไหวแล้วก็จะมีช่วงเวลาหรือจังหวะเวลา หรือวันที่วันไหนที่จะเป็นช่วงที่จะปั่น โดยช่วงก่อนหน้านั้นจะเริ่มมีการปั่นมาทีละเล็กทีละน้อย เหมือนกับเป็น normal cuve ขึ้นจากจุดพีคแล้วก็ตกลง ซึ่งมีการทั้งBoostทั้งปั่น และมีที่เป็นตัวปลอม ที่หลายคนรู้จักคำว่า ‘อวตาร’ ซึ่งคนหนึ่งคน สามารถปั่นกระแสแทน ทำให้เราเห็นภาพภาพของคนป็นหลักหมื่น หลักแสน หลักล้าน จากคนคนเดียว เขาสามารถนั่งปั่นเข้าไปเรื่อยๆ และเครื่องมือที่เขาใช้ทำ ก็เป็นของบริษัทของโซเชียลมีเดียที่ต่างชาติเป็นที่นิยม

เราแยกออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 คือเชิงปริมาณ ซึ่งใช้คนๆเดียวสามารถเปลี่ยน SIM เปลี่ยน account เพิ่มaccount สร้าง account ขึ้นมา แล้วก็ปั่นคนเดียวทำได้เป็นหมื่น เป็นแสน เขาใช้เครื่องมือของบริษัทโชเชียลมีเดีย เชิงปริมาณ จำนวนคน คนคนเดียวทำมือถือไม่รู้เป็นร้อยๆ เครื่อง มีอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ใช้แค่มือถืออย่างเดียว เครื่องมืออุปกรณ์เชื่อมต่อออนไลน์ได้ อันนี้คือปั่นยอด ผมเสนอไปหมดแล้วคำว่าช่องทาง แต่ content ใครอะไร อย่างไร ผมไม่ได้สน สุดท้ายเราเกาะคนนี้ไปเชื่อมโยงคนนั้นเป็น networkไป เห็นออกมาเลยว่าเป็นวัฏจักรแบบนี้ เป็นเครือข่ายเขาทำแบบ online - on ground - online - on ground แบบนี้ไปเรื่อยๆ

on ground ก็คือ ลงพื้นที่ปฏิบัติการลงถนน ถ้าอยู่บนโลกออนไลน์เป็นล้าน แต่ on ground หลักหมื่น หลักพัน #whathappenedinThailand ประเทศไทยมีแค่ 12,290 บัญชีผู้ใช้งานเคลื่อนไหวแต่รวมต่างชาติไปเป็น 2.3 ล้านเพราะมันก็มีเทคนิคอะไรบางอย่าง แต่ที่สำคัญก็คือ คำพูดนี้มันเห็นชัดเจนว่ามันปั่นมาจากข้างนอกเยอะ แล้วก็คือใคร มันออกมาจากทั่วโลกมาจากหลายประเทศ แต่ว่ามันไม่ใช่จะใช้ VPN กันได้หมดทุกคน ก็เรียนให้ทราบได้แล้ว เราก็สามารถรู้แล้ว ซึ่งก็คนที่รู้ได้ดีจริงๆ คือ ISP (Internet service provider) เขารู้แน่ๆ

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า อาจารย์สามารถร่าง map ได้ แล้วว่ามันเริ่มต้นจากตรงไหนเครือข่ายเป็นอย่างไร รู้เลยเหรอว่าเป็นใคร?

ดร.นพดล ตอบว่า มันเปิดเผยตัวจริง รู้เลยว่าเป็นใคร แล้วก็คนนี้ไปเชื่อมโยงกับคนนั้น แล้วสุดท้ายก็ on ground ก็ไปอยู่ในกลุ่มนั้น แล้วก็ออกมาแถลงการณ์อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย อะไรแบบนี้ ซึ่งก็เป็นกลุ่มที่เรารู้กัน ซึ่งข้อมูลมี 2 ประเภท กลุ่มข้อมูลเปิดกับกลุ่มข้อมูลปิด ณ ตอนนี้หน่วยงานของรัฐไปจัดการกับกลุ่มข้อมูลเปิด กลุ่มข้อมูลปิดก็อยู่เบื้องหลัง จะมีเครื่องมือในการปฏิบัติการสามารถจัดการได้ ต้องพูดความจริงต้องเอาความจริงมาเปิดเผย แต่สุดท้ายก็ปั่นเป็นความเท็จ สิ่งนี้พวกเราทำกันเอง ไม่ได้หวังสิ่งใดทั้งสิ้น เราอยากเห็นความมั่นคงไม่อยากซ้ำเติมวิกฤต ซึ่งกลุ่มเคลื่อนไหวพยายามจะบั่นทอนเสาหลักของชาติ

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า ถ้าเราดูทิศทางจากการอภิปรายในสภา โดยรัฐบาลเชื่อว่ามีกระบวนการอยู่เบื้องหลัง

ดร.นพดล ตอบว่า ไม่ใช่แค่ความเชื่อ มันเป็นความจริง แต่ผมไม่ได้อยู่ฝ่ายรัฐบาล

เมื่อผู้ดำเนินรายการ ถามว่า มันจะทำให้ การมองว่ากลุ่มเยาวชนถูกปลุกปั่น

ดร.นพดล ตอบว่า ผมอยู่กับข้อมูลเยาวชนจิตใจบริสุทธิ์จำนวนไม่น้อย แรกๆ ก็จะเป็นเยาวชนพลังเงียบบริสุทธิ์ เขาเริ่มข้ามในโซเชียล มันมีขบวนการ ปฏิบัติการ 2 รูปแบบ รูปแบบแรก คือ ใช้ BOT และ A รูปแบบที่ 2 คือใช้กองกำลังหรือกำลังคน เยาวชนเข้ามาในโลกโซเซียลด้วยความบริสุทธิ์สงสัยว่า เรื่องนี้ป็นอย่างไร พอคลิกกด A และ BOT จะปฏิบัติการทันทีส่งเรื่องนั้นเข้ามาทันที ในแง่ลบต่อสถาบัน ส่งมาอีก จากสงสัย เป็นสงสัยจะจริง จากสงสัยจริงน่าจะจริง ภายหลังจะจริง สุดท้ายจริงแน่ หลังจากนั้นจะเป็น name calling ทำให้ความเห็นแตกต่างจากความคิดหลายอย่างเหลือเพียงแค่ 2 ฝั่ง คือพวกชังชาติ กับพวกสลิ่ม สุดท้ายจะเป็นเหมือนฮ่องกงใครเห็นไม่เห็นด้วยกับเรา เห็นต่างเผาเลย

‘รศ.ดร.ปิติ’ โพสต์ภาพสถานที่ประสูติของในหลวงรัชกาลที่ 9 พร้อมบอกเล่าความรู้สึก “คิดถึงในหลวง ร.9 สุดหัวใจ”

(8 มิ.ย. 66) รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เดินทางไปร่วมประชุมที่ Boston สหรัฐอเมริกา ได้โพสต์ภาพโรงพยาบาล Mount Auburn ซึ่งเป็นสถานที่ประสูติของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 พร้อมข้อความระบุว่า…

เมื่อรู้ว่าจะได้มีโอกาสมาประชุมที่ Boston สถานที่แรกที่อยากมา ณ มหานครแห่งนี้คือ สถานที่ประสูติของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในอดีตจัตุรัสแห่งนี้คือ ที่ตั้งของโรงพยาบาล Mount Auburn แห่ง #มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในหลวงประสูติที่นี่เมื่อ 5 ธันวาคม 1927 คราวที่กรมหลวงสงขลานครินทร์มาเรียนแพทย์ที่ Harvard Medical School ปัจจุบันสถานที่แห่งนี่คือที่ตั้งของ Harvard Kennedy School 

#คิดถึงในหลวง ร.9 มากจริงๆ ครับ ดีใจที่เห็นคนนำดอกไม้ช่อเล็กๆ มาวาง ณ สถานที่นี้ด้วยครับ

กรมพัฒนาสังคมฯ’ จัดเวทีนวัตกรรมสร้างสรรค์รวมพลังเพื่อสังคม ส่งเสริมประชาชนให้มีอาชีพ มีรายได้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต

(7 มิ.ย. 66) กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ได้จัดเวทีนวัตกรรมสร้างสรรค์รวมพลังเพื่อสังคม ในโครงการพัฒนานวัตกรรมเพื่อพัฒนาสังคม ที่ห้องประชุมปกรณ์ อังศุสิงห์ อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ

โดยมี นางจตุพร โรจนพานิช อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เป็นประธานเปิดงาน ร่วมกับ ผศ.ดร.เอราวัณ ทับพลี และคณะ รวมกับกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เป็นผู้ดำเนินโครงการ รวมถึงค้นหาแนวทางการพัฒนาการพัฒนานวัตกรรม เพื่อนำมาเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาทางสังคม

นางจตุพร ได้กล่าวว่า การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เป็นกิจกรรมที่จะนำไปสู่ความสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อสังคม โดยการบูรณาการทางสังคมจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคธุรกิจ ภาคสื่อมวลชน เพื่อใช้แลกเปลี่ยนนวัตกรรมทางสังคมเพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้เกิดขึ้น ยกระดับผลิตภัณฑ์นำไปสู่อาชีพสร้างรายได้ โดยการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงาน เพื่อให้ประชาชนในกลุ่มเป้าหมายได้ยกระดับคุณภาพชีวิต เป็นการทำงานบูรณาการในทุกภาคส่วนอย่างยั่งยืน เพื่อส่งเสริมศักยภาพของกลุ่มเป้าหมาย และสามารถพึ่งพาตนเองได้และดำรงชีวิตในสังคมอย่างมีความสุข

นางจตุพร ยังได้กล่าวอีกว่า กิจกรรมในครั้งนี้ ไม่ได้มีเฉพาะแค่ทุกภาคส่วนอย่างเดียว ยังมีภาควิชาการ และมหาวิทยาลัยต่างๆ ภายใต้การนำของ ผศ.ดร.เอราวัณ ทับพลี และคณะ ได้จับคู่นำนวัตกรรมต่างๆ นำไปสู่การปฏิบัติทำให้เกิดผลต่อกลุ่มเป้าหมายอย่างเห็นผลได้ชัด และสามารถวัดผลได้

และยังมีตัวแทนจากหลายหน่วยงาน ที่อยู่ในสังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ทั้งสิ้น 196 องค์กร โดยมีแนวทางในการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐและภาคเอกชน 3 แนวทาง เพื่อพัฒนาการช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายผู้ประสบปัญหาทางสังคม ดังนี้

1.) แนวทางพัฒนานวัตกรรมกระบวนการเพื่อชี้เป้าความสามารถ ศักยภาพของกลุ่มเป้าหมาย โดยประยุกต์แนวคิดการสร้างคุณค่าในตนเอง

2.) แนวทางการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการสร้างรายได้ การจัดหางาน การพัฒนาศักยภาพให้กับกลุ่มเป้าหมาย

3.) แนวทางพัฒนานวัตกรรมกระบวนการเพื่อพัฒนาศักยภาพเครือข่าย ประยุกต์ใช้กลยุทธ์การจับคู่ machine รายการเชื่อมโยงภาคี เครือข่ายกับศักยภาพของกลุ่มเป้าหมาย

จึงขอเชิญชวนท่านที่มีความสนใจ อยากเข้าร่วมเครือข่ายการพัฒนาสังคม กับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อยากชวนทุกท่านมาร่วมกันทำความดีเพื่อสังคมเพื่อให้คนในสังคมทุกคนมีโอกาสที่เท่าเทียม สามารถมีชีวิตที่พัฒนาดีขึ้นและมีความสุขอย่างยั่งยืน
 

‘เกาเข่า’ การสอบวัดผลที่ชี้ชะตานักเรียน ม.ปลายจีนทั้งประเทศ เด็กนักเรียนเกือบ 13 ล้านคน พากันตบเท้าเข้าสนามสอบวันนี้

(7 มิ.ย. 66) เริ่มฤดูการสอบ ‘เกาเข่า’ (高考) หรือ การสอบวัดผลเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาของจีนแล้วในวันนี้ ซึ่งเป็นการสอบใหญ่ระดับประเทศ เพื่อชี้ชะตาของเด็กมัธยมปลายของจีนที่จะต้องแข่งขัน เพื่อเข้าเรียนต่อในสถาบันการศึกษาชั้นนำในฝันได้หรือไม่

โดยในปีนี้ การสอบจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-8 มิถุนายน 2566 หรืออาจมีบางพื้นที่ห่างไกลที่ต้องใช้เวลานานกว่านั้นบ้าง ด้านกระทรวงศึกษาธิการจีนรายงานตัวเลขจำนวนนักเรียนที่เข้าสอบเกาเข่าในปีนี้สูงถึง 12.9 ล้านคน ซึ่งมากกว่าตัวเลขของปีที่แล้ว (2022) ถึง 9.8 แสนคน

บรรยากาศในวันสอบเป็นไปด้วยความคึกคักแต่เช้ามืด มีทั้งนักเรียน และผู้ปกครอง เดินทางมายังสนามสอบกันอย่างคับคั่ง แม้บุตรหลานของตนจะเดินเข้าห้องสอบไปแล้ว ก็ยังยืนรอส่งกำลังใจให้อยู่ด้านนอกอาคาร เพื่อส่งกำลังใจให้ ด้วยความหวังว่าการเตรียมตัวอย่างหนักมาตลอดทั้งปี จะสัมฤทธิ์ผลในการสอบที่ใช้เวลาไม่กี่วัน

โดยทั่วไปแล้ว การสอบเกาเข่า จะคล้ายกับการสอบ Entrance บ้านเราในสมัยก่อน ที่ตัดสินกันในสนามเดียวในการคัดเลือกนักเรียนเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย โดยการสอบเกาเข่า จะประกอบด้วยวิชาบังคับ ได้แก่ ภาษาจีน คณิตศาสตร์ และ ภาษาต่างประเทศ (มักเป็นภาษาอังกฤษ) กับ วิชาเฉพาะทาง สำหรับนักเรียนสายวิทย์ ที่จะมีสอบวิชากลุ่มวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ส่วนนักเรียนสายศิลป์ จะแยกสอบวิชาประวัติศาสตร์ สังคมการเมือง ภูมิศาสตร์ และอื่นๆ

แต่ละสาย จะมีคะแนนรวมทั้งหมด 750 คะแนน ซึ่งหากนักเรียนที่คาดหวังที่จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของจีน หรือระดับสถาบันกลุ่ม C9 League ควรทำคะแนนให้ได้อย่างน้อย 600 คะแนนขึ้นไป ซึ่งถึงว่ายากมาก

จากข้อมูลจากการสอบในมณฑลกวางต่งปี 2022 ที่ผ่านมาพบว่า มีผู้เข้าสอบเพียง 3% เท่านั้นที่สามารถทำคะแนนได้เกิน 600 ในขณะที่กลุ่มสถาบันระดับท็อปของจีน เปิดรับนักเรียนใหม่ได้เพียงแค่ 50,000 ที่นั่งต่อปีเท่านั้น คิดเป็นเพียง 0.4% ของจำนวนผู้เข้าสอบทั้งหมด

และด้วยผลพวงของการล็อคดาวน์หลายเมืองในช่วงการระบาด Covid-19 ทำให้ตัวเลขผู้เข้าสอบเกาเข่าในปีนี้ เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ หลังจากที่จีนประกาศยกเลิกมาตรการล็อคดาวน์ และ เปิดประเทศ อันเนื่องจากข้อจำกัดในการเรียนออนไลน์ จึงมีนักเรียนจำนวนมากเรียนไม่ทัน ต้องรอข้ามปีเพื่อมาลงสนามสอบในปีนี้

ถึงแม้ว่าจะดูโหดร้ายสำหรับนักเรียนจีน ที่ต้องถูกกดดันอย่างหนักในการเรียนหนังสือ และกวดวิชา จนหลายคนยอมสละช่วงชีวิตวัยรุ่นในการคร่ำเคร่งเรียนหนังสือ โดยมีเป้าหมายเพื่อประสบความสำเร็จในการสอบเกาเข่า ที่อาจเป็นรากเหง้าประเพณีของระบบการศึกษาจีนที่มีมานานกว่า 2000 ปี แต่จีนก็เปิดกว้างสำหรับผู้ที่ต้องการสอบเกาเข่า สามารถเข้าสอบกี่ครั้งก็ได้ไม่จำกัดอายุ ตราบใดที่ยังมีไฟในการเรียนในมหาวิทยาลัย

อาทิ นาย เหลียง ฉี หนุ่มใหญ่วัย 55 ปีชาวเฉิงตู ที่มุ่งมั่นสอบเกาเข่า ติดต่อกันมาแล้วถึง 26 ครั้งเพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเสฉวน หนึ่งในสถาบันชื่อดังของจีน ที่ต้องมีคะแนนรวมเกาเข่าสูงถึง 605 คะแนนในปีที่ผ่านมา โดยเขาตั้งเป้าว่าจะสอบให้ผ่านเพื่อให้ได้ตอบรับเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเสฉวนสักครั้งในชีวิต แม้ว่าวันนี้ตัวเขาจะเป็นเจ้าของกิจการขายวัสดุก่อสร้างไปแล้วก็ตาม จนชาวเน็ตจีนตั้งฉายาให้เขาเป็น ‘ราชาแห่งเกาเข่า’ ที่ไม่เคยยอมแพ้แม้จะล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วน

จะเห็นได้ว่า ชาวจีนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการศึกษาของบุตรหลานเสมอ และอยากให้มีโอกาสได้เรียนต่อในสถาบันที่ดีที่สุด และระดับสูงที่สุดเท่าที่ความสามารถจะไปถึง แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง และรัฐบาลจีนควรต้องเร่งแก้ปัญหาคือ อัตราการว่างงานในจีนกลับพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาจบใหม่

จากตัวเลขของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีนรายงานว่า อัตราการว่างงานของนักศึกษาจบใหม่ในวัย 16 - 24 ปี ในเขตชานเมืองเพิ่มขึ้นถึง 20.4% จากจำนวนนักศึกษาจีนจบใหม่ต่อปี ราวๆ 11 ล้านคนต่อปี ทำให้นักศึกษาเป็นจำนวนมากต้องลงมาหางานทำในตำแหน่งที่ต่ำกว่าวุฒิการศึกษาของตน ที่นำไปสู่ปัญหาวุฒิการศึกษาเฟ้อ หรืออาการหมดไฟในชีวิตของหนุ่มสาววัยทำงานของจีนในอนาคต

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์
 

กลุ่ม EA’ หนุน ‘ENTEC-UNEP’ ขับเคลื่อนพลังงานสะอาด ภายใต้แนวคิด ‘Climate and Clean Air Conference 2023’

เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 66 ‘กลุ่มพลังงานบริสุทธิ์’ ผู้นำด้านพลังงานสะอาด เดินหน้า ‘E@ Ecosystem’ ชูแนวคิด ESG สนับสนุน ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) และ The United Nations Environment Programme (UNEP) จัดโครงการ Climate and Clean Air Conference 2023 : Air Quality Action Week เปิดประสบการณ์สุดยอดนวัตกรรมฝีมือคนไทย ขจัดมลพิษทางอากาศสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน

ข้อมูลจากโครงการ UN Environment Programme (UNEP) ระบุว่า มลภาวะทางอากาศก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ด้านสาธารณสุข โดยมีสถิติพบว่า ประชากรทั่วโลกเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ด้วยสาเหตุมลพิษทางอากาศ จำนวน 4.8 ล้านคน ในปี 2533 เพิ่มขึ้นเป็น 7 ล้านคน ในปัจจุบัน โดยมากกว่า 90% ของการเสียชีวิตเกิดจากมลภาวะทางอากาศที่เพิ่มขึ้นในประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลาง

โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ ที่มีโรคปอด โรคหัวใจและหลอดเลือดอยู่แล้ว รวมถึงคนจนที่เข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้อย่างจำกัด สำหรับแนวทางลดปัญหามลพิษทางอากาศ ต้องสร้างความร่วมมือลดการปล่อยเชื้อเพลิงฟอสซิลจากการเผาไหม้ถ่านหินในภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร และภาคการขนส่ง อย่างเป็นรูปธรรม

การเปลี่ยนผ่านไปสู่การขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า จึงเป็นมาตรการที่จำเป็นในการต่อสู้กับมลพิษทางอากาศและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ชัดเจน ENTEC จึงได้ร่วมมือกับ UNEP ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ และ EA ผู้นำด้านพลังงานสะอาด ส่งเสริมการใช้พลังงานไฟฟ้าในระบบขนส่งสาธารณะในกรุงเทพฯ เพื่อยกระดับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเมืองอากาศสะอาดภายใต้โครงการ Climate and Clean Air Conference 2023: Air Quality Action Week ที่มีสมาชิกจากประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมเปิดประสบการณ์การเดินทางด้วยรอยยิ้มใส่ใจสิ่งแวดล้อมไปกับ MINE Bus โดย บจ.ไทยสมายล์บัส และ MINE Smart Ferry บจ.ไทยสมายล์ โบ้ท บริษัทในกลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ ที่สร้างมิติใหม่แห่งการขนส่งด้วยนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าด้วยฝีมือคนไทย

นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA ผู้นำด้านพลังงานสะอาด กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับ “Green Product” ที่คำนึงถึง 3 แกนสำคัญ โดยมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม - การดูแลสังคม - การดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบแห่งการมีธรรมาภิบาล มาตลอดระยะเวลา 15 ปี ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างมีกลยุทธ์ “E@ Ecosystem”

โดยลงทุนพัฒนา ตั้งแต่กลุ่มธุรกิจไบโอดีเซล, กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน, ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า MIME Mobility, ธุรกิจสถานีชาร์จ EAAnywhere, ธุรกิจแบตเตอรี่ อมิตา เทคโนโลยี ที่มีกำลังการผลิตซึ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน และเตรียมเพิ่มกำลังการผลิตจาก 1 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) เป็น 4 Gwh พร้อมมีโรงผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานสะอาดอย่างครบวงจร ที่จะช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดปัญหามลภาวะทางอากาศ และลดฝุ่น PM2.5 ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์เชิงรุกของกลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ เพื่อสร้างความสมดุลในทุกมิติ
 

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ฯ รับรางวัล บุคคลต้นแบบ ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์นำทีมตำรวจคว้าหลายรางวัล ร่วมต่อการค้ามนุษย์

เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2566 นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในการเปิดงานวันรณรงค์ต่อต้านการค้ามนุษย์ ประจำปี 2566 ณ ห้องฟินิกซ์ บอลรูม อาคารอิมแพ็ค  เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ จังหวัด นนทบุรี

วัตถุประสงค์เพื่อแสดงเจตนารมณ์ ความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไป จาก ประเทศไทย หรือ Zero Tolerance รณรงค์เผยแพร่การดำเนินงานต่อต้านการค้ามนุษย์ของประเทศไทย สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการต่อต้านการค้ามนุษย์ให้แก่ประชาชนภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานส่วนภาครัฐส่วนกลางและส่วนภูมิภาคองค์กรพัฒนาเอกชน องค์การระหว่างประเทศ รวมทั้งสื่อมวลชน  เพื่อผนึกกำลังของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศไทยในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์และได้รับการยอมรับในเวทีระดับสากล

การจัดงานรณรงค์ ในวันนี้ ได้กำหนดหัวข้อหลักภายใต้แนวคิด TOGETHER WECAN หยุด ค้า คน เมื่อสื่อถึงการรวมพลังทุกภาคส่วนในการขจัดปัญหาการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทย โดย มีผู้เข้าร่วมงานจากหน่วยงานรัฐ หน่วยงานเอกชน และภาคประชาสังคมที่มีบทบาทในการป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์จำนวนมากรวมทั้งผู้แทนจากองค์การระหว่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูตหลายประเทศเข้าร่วมสังเกตการณ์เพื่อร่วมเป็นเกียรติในการมอบรางวัลให้แก่กับผู้ที่ได้คัดเลือกจากหน่วยงานทุกภาคส่วนทั่วประเทศ

ประกอบด้วยการมอบโล่เกียรติยศ รางวัลบุคคลต้นแบบ ซึ่งเป็นรางวัลที่ต้องมีประสบการณ์ทำงานที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์มากกว่า 10 ปีมีจำนวน 2 รางวัลได้แก่ พล .ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ. ตร และ นายประวิทย์ ร้อยแก้ว ลองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีการค้ามนุษย์ สำนักงานอัยการสูงสุด รางวัลบุคคลดีเด่น โดยเป็นปีแรกที่มีการมอบรางวัลนี้มี 15 รางวัล เช่น พ ต .ภาคภูมิ พิศมัย รองผบก สส .ภ.4.หัวหน้าชุดปฏิบัติการปราบปรามการล่วงละเมิด ทางเพศต่อเด็กทางอินเตอร์เน็ต พ.ต.อ ปรเมษฐ โพยนอก ผกก 7 ตรน้ำ นางสาวณัฐกานต์ โนรี ผู้จัดการโครงการสปริงมูลนิธิการศึกษาเพื่อชีวิตและสังคม รางวัลหน่วยงานดีเด่น จำนวน 6 หน่วยงาน เช่น ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ 
และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศพดส ตร และรางวัล จังหวัดต้นแบบตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ National. Referral Mechanism จำนวน 3 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 26 รางวัล

พล .ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมงานวันรณรงค์การต่อต้านการค้ามนุษย์ในวันนี้และได้รับคัดเลือกให้รับรางวัลบุคคลต้นแบบรวมทั้งยังเป็นผู้แทน ศพดส ตร. ในการรับรางวัลหน่วยงานดีเด่นในปีนี้เป็นความภาคภูมิใจหลังจากได้ทำงานในการป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์มาอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณพี่น้องตำรวจทุกท่านที่ได้ร่วมกันทำงานในการต่อต้านการค้ามนุษย์อย่างเต็มที่ในช่วงที่ผ่านมาและขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้ร่วมมือการในการประสานงานพัฒนาแนวทางการทำงานร่วมกันทำงานทำงานในการต่อต้านการค้ามนุษย์อย่างเต็มที่ในช่วงที่ผ่านมาและขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้ร่วมมือการในการประสานงานพัฒนาแนวทางการทำงานร่วมกันในการบังคับใช้กฎหมายและช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์หลังจากนี้จะยังคงทำงานอย่างเต็มที่ร่วมกับทุกท่านเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่ เทียร์1ให้ได้ต่อไป

ชมรมผู้ปกครองสุดทน!! เปิดแถลงโต้ ส.ส.ภูเก็ต พรรคก้าวไกล ปมห้องน้ำโรงเรียนไม่มีชักโครก แจง เป็นการเข้าใจคลาดเคลื่อน

ชมรมผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครภูเก็ต สุดทน!! รวมตัวชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีว่าที่ ส.ส.ภูเก็ต เขต 1 พรรคก้าวไกล บุกมาตรวจเยี่ยมโรงเรียนพร้อมนำข้อมูลคลาดเคลื่อนไปโพสต์ในเฟซบุ๊ก ทำให้โรงเรียนเสียหาย

เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 66 ชมรมผู้ปกครองนักเรียน และประธานเครือข่ายผู้ปกครองสัมพันธ์นครภูเก็ต ประธานชมรมผู้ปกครองนักเรียนในสังกัดเทศบาลนครภูเก็ต นำโดยนายมานะ ห้าวหาญ ประธานชมรมผู้ปกครองสัมพันธ์นครภูเก็ต และประธานชมรมผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนปลูกปัญญา ในพระอุปถัมภ์ฯ ได้ออกมาแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีที่ ว่าที่ ร.ต.สมชาติ เตชถาวรเจริญ ว่าที่ ส.ส.ภูเก็ต เขต 1 ได้มาตรวจเยี่ยมโรงเรียนเทศบาลปลูกปัญญา ในพระอุปถัมภ์ฯ โดยมิได้แจ้งล่วงหน้า ในวันที่ 31 พ.ค.2566 พร้อมทั้งได้บันทึกภาพห้องน้ำ และสถานที่โรงเรียน ไปลงในเพจเฟซบุ๊ก ‘สมชาติ เดชถาวรเจริญ-พรรคก้าวไกล’ และมีการแชร์ไปยังเพจอื่นๆ รวมทั้งสัมภาษณ์ผู้บริหารแล้วนำไปเขียนแบบไม่ชัดเจน ซึ่งสร้างความเข้าใจผิดในประเด็นต่างๆ และนำสื่อมวลชนไปเยี่ยมตามจุดต่างๆ ของโรงเรียน

โดยทางชมรมผู้ปกครองได้ชี้แจงข้อเท็จจริงต่างๆ ตามที่นายสมาชาติ ได้โพสต์ในเฟซบุ๊ก เริ่มจากเรื่องห้องน้ำโรงเรียน ที่ว่าโรงเรียนไม่เปลี่ยนห้องน้ำเป็นโถแบบชักโครก เพราะนักเรียนใช้แบบโถชักโครกไม่เป็น ประโยคนี้ถือว่าเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างมาก เพราะทางโรงเรียนและผู้บริหารพูดเสมอว่า โรงเรียนจะต้องเปลี่ยนส้วมจากโถแบบนั่งยองไปเป็นโถแบบชักโครกให้นักเรียนทุกอาคารเรียน

เพราะปัจจุบัน นักเรียนใช้แบบนั่งยองไม่เป็น เนื่องจากที่บ้านนักเรียนส่วนใหญ่ใช้ส้วมแบบชักโครกกันหมดแล้ว ซึ่งมีผู้ปกครองนักเรียนได้สนับสนุนโถสุขภัณฑ์มาให้โรงเรียน จึงมีการทยอยเปลี่ยนให้อยู่ แต่ทางชมรมผู้ปกครองเสนอไม่ให้โรงเรียนเปลี่ยนเป็นโถชักโครกทั้งหมด ควรมีเหลือโถแบบนั่งยองไว้ด้วย เพราะนักเรียนบางคนก็สะดวกที่จะใช้แบบนั่งยอง เพราะกลัวเรื่องการติดเชื้อได้ง่าย

ทั้งนี้ ในโรงเรียนมีห้องน้ำทั้งหมด 166 ห้อง อาคาร 1 เป็นอาคารใหม่ส้วมใช้ได้ 100% อาคาร 2 อยู่ระหว่างปรับปรุง ปัจจุบันมีนักเรียนทั้งหมดกว่า 3,400 คน สำหรับภาพที่บอกว่าห้องน้ำโรงเรียนไม่สะอาด โรงเรียนจะเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาและดูแลความสะอาดให้เข้มงวดมากขึ้น

ประเด็นที่ 2 เรื่องก๊อกน้ำที่ใช้งานอยู่ โรงเรียนดูแลอยู่ตลอดเวลา อาจมีบ้างที่มีรอยรั่ว เพราะจำนวนเด็กมาก โรงเรียนมีการซ่อมแซมอยู่ตลอดเวลา

ประเด็นที่ 3 เรื่องข้อร้องเรียนเรื่องทรงผมนักเรียน การแต่งกายที่มีหลายแบบ ซึ่งทางโรงเรียนได้มีการแจ้งให้ผู้ปกครองรับทราบตั้งแต่แรกแล้วตามคู่มือ เพราะโรงเรียนเทศบาลปลูกปัญญา เป็นโรงเรียนในพระอุปถัมภ์ฯ การตัดผมต้องเหมาะสมในการใส่ชุดพิธีการด้วย และชมรมผู้ปกครองนักเรียนได้สนับสนุนงบประมาณและอุปกรณ์ให้โรงเรียน เช่น ทำโครงการเสื้อผ้ามือสองส่งต่อเพื่อนพ้องน้องพี่ ช่วยเหลือผู้ปกครองที่ลำบาก มีการแจกจ่ายปีละพันกว่าชุด และมีโครงการตัดผมฟรีอีกด้วย

ประเด็นสุดท้าย การใช้โทรศัพท์มือถือ โรงเรียนให้นักเรียนสามารถนำโทรศัพท์มือถือมาใช้ในโรงเรียน และใช้ในชั่วโมงเรียนในกรณีที่มีการค้นคว้าข้อมูลต่างๆ กรณีเด็กเล็กมีการจัดเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ให้และแจกคืนในช่วงเย็นก่อนกลับบ้าน เพราะอาจสูญหายได้

อย่างไรก็ตาม ทางผู้ปกครองมองว่า การเข้ามาตรวจสภาพโดยรวมของโรงเรียนปลูกปัญญาฯ ของว่าที่ ส.ส.ภูเก็ต เขต 1 นั้น เป็นเจตนาที่ดีและจะเกิดประโยชน์โดยตรงกับนักเรียน แต่ควรที่จะบอกกล่าวหรือนัดหมายกันล่วงหน้า ไม่ใช่นึกอยากจะเข้ามาก็เข้ามา โดยไม่แจ้งและไม่ขออนุญาตในการขึ้นไปบนอาคารเรียน ซึ่งทางโรงเรียนมีกฎระเบียบในการขึ้นไปอาคารเรียนเพื่อความปลอดภัยของเด็กนักเรียน และเชื่อว่าหากมีการนัดล่วงหน้า ทางโรงเรียนคงไม่สามารถเปลี่ยนโถส้วมหรือเปลี่ยนอะไรได้ อยากจะให้เข้ามาพูดคุยหารือในการแก้ปัญหาร่วมกันมากกว่าที่บุกเข้ามาแบบนี้

ผู้ปกครองบอกอีกว่า หลังเกิดเหตุการณ์ทางชมรมผู้ปกครองได้มีการประสานไปยังว่าที่ ส.ส.ภูเก็ต เขต 1 เพื่อทำความเข้าใจถึงประเด็นต่างๆ ที่ยังมีความคลาดเคลื่อน แต่ยังไม่สามารถนัดมาพูดคุยหารือในปัญหาต่างๆ ร่วมกันได้

บริษัท ดับเบิ้ลพี แลนด์ จำกัด จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย ประชาชน และชุมชนที่เกี่ยวข้อง ต่อการจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ

วันนี้ (7 มิ.ย. 2566) ณ โดมอเนกประสงค์ องค์การบริหารส่วนตำบลเขาดิน อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา พจอ.ณรงค์ นกอิ่ม ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลเขาดิน เปิดประชุมรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย ประชาชน และชุมชนที่เกี่ยวข้อง ต่อการจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ นิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ ร่วมด้วย นายชีวรัตน์ ศิลปรัตน์ ผู้ชำนาญการสิ่งแวดล้อม นายปุณยวิทวิชญ์ ฝูงทองเจริญ ผู้แทนจากบริษัท ดับเบิ้ลพี แลนด์ จำกัด หน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักวิชาการ ผู้นำชุมชน สื่อมวลชนและประชาชนตำบลเขาดิน เข้าร่วมรับฟังฯจำนวนมาก 
บริษัท ดับเบิ้ลพี แลนด์ จำกัด ได้ดำเนินโครงการนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ ในพื้นที่ตำบลเขาดิน อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยผ่านการพิจารณาเห็นชอบในการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) จากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 
เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 และได้ลงนามทำสัญญาร่วมดำเนินงานกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


ทั้งนี้บริษัท ดับเบิ้ลพี แลนด์ จำกัด เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาชุมชนในพื้นที่ ให้ควบคู่ไปพร้อมกับการดำเนินโครงการฯ ยกระดับการดำเนินโครงการฯ จึงได้จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย ประชาชน และชุมชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าคที่ถูกต้อง ตามระเบียบสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะประกอบการพิจารณาจัดตั้ง เปลี่ยนแปลง หรือยุบเลิกเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. 2564 และเพื่อยกระดับ ตำบลเขาดินให้เป็นพื้นที่เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) ต่อไป

อพท.พร้อม ทกจ.กระบี่เข้าพบผู้ว่ากระบี่และนายกอบจ.กระบี่ เพื่อขับเคลื่อน คลองท่อมเมืองสปาเป็นพื้นที่พิเศษ 

เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2566เวลา 10.30 น. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มอบหมายให้ นาวาอากาศเอก อธิคุณ คงมี ผู้อำนวยการ อพท. ดร.ชุมพล มุสิกานนท์ (รองผู้อำนวยการ อพท.)พร้อมด้วย นายสุรัตน์ จรณโยธิน ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกระบี่ และนางสาวศศิธร กิตติธรกุล นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ พร้อมคณะเข้าพบ นายภาสกร บุญญลักษม์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่และ นายสมศักดิ์ กิตติธรกุล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ หลังทางคณะได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูล  รับฟังปัญหาการพัฒนาในพื้นที่ อำเภอคลองท่อมจังหวัดกระบี่ นั้น เพราะยังไม่ได้รับการประกาศเป็นพื้นที่พิเศษ ดังนั้น ขอบข่ายการทำงานของ อพท. จะทำได้แค่ศึกษาถึงศักยภาพของพื้นที่ และทำรายงานเพื่อส่งต่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบนำไปดำเนินงาน แต่ถ้าในอนาคตสามารถประกาศเป็นพื้นที่พิเศษ อพท. จะสามารถดำเนินการในพื้นที่ตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรได้อย่างเต็มที่

ซึ่งในอนาคตมีความเป็นไปได้ที่จะได้รับการประกาศเป็นพื้นที่พิเศษ (คลองท่อมเมืองสปา) ตามขั้นตอนการประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว ได้แก่ แหล่งท่องเที่ยวน้ำตกร้อน สระมรกต พิพิธภัณฑ์ลูกปัดคลองท่อม น้ำพุร้อนเค็ม และร่วมแลกเปลี่ยนและรับฟังข้อเสนอแนะในการประเมินศักยภาพของพื้นที่อำเภอคลองท่อม ตามขั้นตอนการประกาศพื้นที่พิเศษฯ ร่วมกับสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกระบี่ อบต.คลองท่อมเหนือ เทศบาลตำบลคลองท่อมใต้ เทศบาลตำบลห้วยน้ำขาวเพราะอยู่ใกล้กับพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ที่สามารถทำงานเชื่อมโยงกัน คาดว่าจะสามารถประกาศเป็นพื้นที่พิเศษได้ภายในปลายปีนี้

แม่ทัพภาคที่ 4 เยี่ยมให้กำลังใจทหารพราน และพระสงฆ์ ที่ได้รับบาดเจ็บขณะออกบิณฑบาต ในพื้นที่ อ.รือเสาะ พร้อมพบปะประชาชนไทยพุทธ-มุสลิม 

วันที่ 7 มิถุนายน 2566 ที่ โรงพยาบาลรือเสาะ อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส เวลา 10.00 น.  พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 /ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมคณะ เยี่ยมให้ขวัญกำลังใจ อาสาสมัครทหารพราน ศรีสุวรรณ์ ก๋าจุม และอาสาสมัครทหารพราน ไชยชิต นามเขตต์ เจ้าหน้าที่ทหารพรานที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์คนร้ายลอบวางระเบิดรถตู้ขณะเดินทางนิมนต์พระสงฆ์เพื่อบิณฑบาต เหตุเกิดที่บริเวณปากซอยเจริญราษฎร์ 2 หมู่ที่ 2 ตำบลรือเสาะออก อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส เหตุเกิดเช้าวันที่ 2 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ทหารพรานชุดรักษาความปลอดภัยพระสงฆ์ สังกัด กองร้อยทหารพรานที่ 4603 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 46 และพระสงฆ์ จำนวน 3 รูป ได้รับบาดเจ็บ ประกอบด้วย พระ ฉันท์ แสนศิลา (ฉันทโก) อายุ 62 ปี, พระ อำนวย เข็มศิริ (วรปัญโญ) อายุ 72 ปี และพระ ดี ทองอยู่ (ปัญญาธโร) อายุ 70 ปี ซึ่งขณะนี้อาการปลอดภัย และดีขึ้นตามลำดับ โดยแม่ทัพภาคที่ 4 /ผู้อำนวยการรักความมั่นคงภายในภาค 4 และคณะ ได้ลงไปยังจุดเกิดเหตุ บริเวณปากซอยเจริญราษฎร์ 2 หมู่ที่ 2 ตำบลรือเสาะออก อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส เพื่อเข้าไปสำรวจดูความเสียหาย และเข้าไปให้กำลังใจประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เป็นประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณจุดเกิดเหตุ ซึ่งมีบ้านเรือนประชาชนหลายหลังที่ได้รับความเสียหายจากแรงระเบิด ทั้งนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าไปดูแลประสานความช่วยเหลือประชาชนเพื่อเยียวยาความเสียหายแล้ว

ต่อมา แม่ทัพภาคที่ 4 /ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 และคณะ ได้พบปะ และมอบถุงยังชีพเพื่อสร้างขวัญกำลังใจแก่พี่น้องชาวไทยพุทธยังวัดไพโรจน์ประชาราม ตำบลรือเสาะออก อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส พร้อมเยี่ยมให้กำลังใจพระสงฆ์ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยมีพี่น้องชาวไทยมุสลิม และผู้นำศาสนาอิสลามในพื้นที่มาร่วมให้กำลังใจพระสงฆ์ และพี่น้องชาวไทยพุทธในพื้นที่ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นการปลอบขวัญให้กำลังใจระหว่างประชาชนกันเอง 

ทั้งนี้แม่ทัพภาคที่ 4 /ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้กล่าวขอบคุณแทนพี่น้องชาวไทยพุทธในพื้นที่ “ขอบคุณพี่น้องชาวไทยมุสลิมที่ให้ความช่วยเหลือดูแลให้กำลังใจกันไม่ทอดทิ้งกัน ซึ่งได้เห็นถึงความรักความสามัคคี และการอยู่รวมกันระหว่างไทยพุทธไทยมุสลิมที่ยังคงรักช่วยเหลือกันอย่างแน่นแฟ้น และให้คงอยู่ความเป็นพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็งแบบนี้ไว้ ในนามในหน่วยงานภาครัฐ พร้อมให้การช่วยเหลือ ดูแล และจะเคียงข้างประชาชน มาให้กำลังใจขอให้ประชาชนมีขวัญกำลังใจที่เข้มแข็ง พร้อมให้การช่วยเหลือกันไม่ทอดทิ้งกัน จะดูแลพื้นที่วัด ดูแลมัสยิด จะดูแล ประชาชนทั้งไทยพุทธและมุสลิมให้เกิดความปลอดภัยขอให้มั่นใจ เจ้าหน้าที่พร้อมจะดูแล และปกป้องพื้นที่และประชาชนให้ปลอดภัย

ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

สวนนงนุชพัทยา ช่วยเหลือปรับปรุงอาคารเรียนพร้อมสนับสนุนการศึกษาโรงเรียนบนยอดดอยเชียงใหม่ ในถิ่นทุรกันดาร

วันนี้ 7 มิ.ย.66 นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ร่วมกับ กรมศุลกากร ทำพิธีมอบอาคารเรียน หลังได้ช่วยเหลือซ่อมแซม ปรับปรุงอาคารเรียน พร้อมปรับปรุงภูมิทัศน์และมอบอุปกรณ์ทางศึกษาแก่เด็กนักเรียน ณ โรงเรียนบ้านปางห้วยตาด อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่  

โดยในวันนี้ได้ทำการส่งมอบอาคารเรียนและบ้านพักครูทั้งหมด หลังจากได้ซ่อมแซมหลังคาอาคารเรียน บ้านพักครู ห้องเรียนชั้นอนุบาล หน้าต่างประตูที่ชำรุด ห้องน้ำครู-นักเรียน อ่างล้างมื้อ ให้พร้อมใช้งาน ร่วมถึงสนามกีฬา รั้วโรงเรียน และยังปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณโรงเรียนโดยรอบ ก่อสร้างพื้นทางเดินระหว่างอาคารเรียน และเวทีการแสดงความสามารถของนักเรียน พร้อมสนับสนุนอุปกรณ์กีฬา โต๊ะ-เก้าอี้ ชั้นวางของ สำหรับครูจำนวน 12 ห้อง  และทางกรมศุลกากร มอบชุดอุปกรณ์เครื่องคอมพิวเตอร์จำนวน 20 ชุด   อุปกรณ์การเรียน เครื่องกีฬา รวมทั้งมอบเงินสนับสนุนงบประมาณเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา รวมมูลค่ากว่า1 ล้านบาท  รวมถึงเพิ่มครูอัตราจ้างอีก 1 ตำแหน่ง 

นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา กล่าวว่า รู้สึกมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีส่วนร่วมช่วยสนับสนุนในเรื่องของการศึกษาให้กับโรงเรียนบ้านปางห้วยตาด โดยที่ผ่านมามีได้มีการสนับสนุนงบประมาณการศึกษาไปแล้ว โดยการปรับปรุงอาคาร อุปกรณ์การเรียนการสอน ถือว่าเป็นการสนับสนุนขั้นพื้นฐานในเรียนการสอนให้เด็กมีคุณภาพที่ดีขึ้น

น.ส.พัชรียา กาน้อย รักษาการผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านปางห้วยตาด  กล่าวว่า โรงเรียนบ้านปางห้วยตาด เปิดดำเนินการเรียนการสอนมาแล้ว 69 ปี  มีนักเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาล จนถึง มัธยมปีที่3 ปัจจุบันมีนักเรียนทั้งสิ้น 149 คน โดยมีครูทั้งสิ้นจำนวน 18 คน

โดยนักเรียนเป็นชนเผ่า ลาหู่ดำหรือ มูเซอ  โดยปัญหาการเรียนการสอนของโรงเรียนจะมีปัญหาในเรื่องเด็กนักเรียนที่เข้าใหม่จะมีปัญหาในเรื่องภาษาที่ใช้คือภาษาท้องถิ่น จึงต้องมีการสนับสนุนครูฝึกสอนในการสื่อภาษา ซึ่งทางโรงเรียนก็ขอขอบคุณ นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ในการสนับสนุนงบประมาณการศึกษา และ ปรับปรุงอาคารเรียน สื่อการเรียนการสอน แต่ยังไงก็ตามทางโรงเรียนก็ยังต้องการได้รับงบประมาณในการพัฒนาโรงเรียนอย่างต่อเนื่องเพื่อคุณภาพการศึกษาที่มีคุณภาพแก่เด็กๆต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top