Wednesday, 21 May 2025
NEWS

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เดินหน้า “สร้างชีวิต” อย่างยั่งยืน” ลงพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่ครัวเรือนยากจน ในโครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการภาคอีสานร่วมกับกรมการพัฒนาชุมชน และนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการประชาชนฟรี

วานนี้ (วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2566) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ  เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ นายชาญกิจ วิทยาวรากรณ์ กรรมการ  และนางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ร่วมในพิธีมอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้กับครัวเรือนยากจนในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ (จังหวัดที่ 5 ของทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) จำนวน 44 ครัวเรือน คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 934,930 บาท (เก้าแสนสามหมื่นสี่พันเก้าร้อยสามสิบบาทถ้วน) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนอาชีพแก่ครัวเรือนยากจนสามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว ดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ภายใต้ ”บันทึกข้อตกลงความร่วมมือการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ” ร่วมกับกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย โดยมี นายสำเริง ม่วงสังข์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ และนายวิฑูรย์ นวลนุกูล รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เป็นประธานร่วมในพิธี พร้อมด้วย ทีมแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นายวาทิต โสภา (วิน-วาทิต) อาสาสมัครศิลปิน  และคณะมูลนิธิคุณธรรมสงเคราะห์กาฬสินธุ์ ร่วมในพิธี ณ บริเวณวัดป่าพุทธมงคล ตำบลหลุบ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์

พร้อมกันนี้ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้จัดทีมหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ตัดผม และ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น และบริการทันตกรรม โดยมีประชาชนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก 

โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้สนับสนุนอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ช่วยเหลือครัวเรือนยากจน ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแก้ไขปัญหาความยากจน  ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชนและมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ซึ่งมูลนิธิฯ ได้จัดงบประมาณดำเนินการเพื่อจัดหาวัสดุอุปกรณ์การประกอบอาชีพมอบให้แก่ครัวเรือนยากจน ให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว โดยในกลุ่มเป้าหมายแรกดำเนินการในพื้นที่ภาคกลาง 17 จังหวัด รวม 98 ครัวเรือน ต่อมา ได้ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ 17 จังหวัด รวม 230 ครัวเรือน ซึ่งได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในขณะได้พิจารณาพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 20 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ นครราชสีมา อุดรธานี มุกดาหาร หนองบัวลำภู บึงกาฬ ยโสธร ศรีสะเกษ มหาสารคาม ขอนแก่น อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ สกลนคร เลย หนองคาย และ นครพนม ซึ่งปัจจุบันทางมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ลงพื้นที่มอบไปแล้วรวมทั้งสิ้น 5 จังหวัด 120 ครัวเรือน คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 2,397,350 บาท (สองล้านสามแสนเก้าหมื่นเจ็ดพันสามร้อยห้าสิบบาทถ้วน)

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung 

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สั่งการกองปราบปรามขยายผลดำเนินคดีเครือข่ายเว็บพนัน FUN88 พบเป็นเว็บที่แอมและสามีเล่นจนเป็นสาเหตุในการก่อคดี

จากกรณีเมื่อวันที่ 25 เม.ย.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุม นางสรารัตน์ฯ หรือแอม ดำเนินคดีในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นฯ และได้ขยายผลดำเนินคดีเพิ่มเติมได้อีกรวมจำนวน 15 คดี จากการวางแผนฆ่าและพยายามฆ่าผู้เสียหาย เพื่อเป็นการล้างหนี้หรือประสงค์ต่อทรัพย์สิน โดยหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้แอมก่อเหตุ เกิดจากการติดหนี้การพนันออนไลน์เป็นจำนวนมาก ตามที่นำเสนอไปแล้วนั้น กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ขยายผลกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่กองปราบปราม สืบสวนขยายผลและดำเนินคดีกับเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ที่นางสรารัตน์ฯ และ พ.ต.ท.วิฑูรย์ฯ ผู้เป็นสามีได้เข้าเล่นจนติดหนี้จำนวนมากดังกล่าว

จากการสืบสวนทราบว่า เว็บไซต์การพนันออนไลน์ดังกล่าวคือ FUN88 ซึ่งนางแอมและสามีได้นำเงินเข้าเล่นในเว็บพนันออนไลน์ดังกล่าวหมุนเวียนกว่า 93 ล้านบาท จึงได้สืบสวนขยายผลถึงเครือข่ายผู้ที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ดังกล่าว และได้ขออนุมัติหมายจับดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องรวมมากถึง 21 คน สามารถติดตามจับกุมได้แล้ว 13 คน ถูกจำคุกในคดีอื่นจำนวน 2 คน และพบเสียชีวิตแล้ว 1 คน ยังเหลือหลบหนีอีกจำนวน 6 คน โดยดำเนินคดีในความผิดฐาน ร่วมกันจัดให้มีการเล่นหรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่น หรือเข้าพนันในการเล่นทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน และร่วมกันฟอกเงิน

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 19 ก.ค.66 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามได้เปิดปฏิบัติการเข้าค้นเป้าหมายจำนวน 22 จุด ใน 11 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ ปทุมธานี สมุทรปราการ ชลบุรี จันทบุรี เชียงใหม่ เชียงราย กาญจนบุรี สงขลา ตรัง และขอนแก่น ผลการปฏิบัติสามารถตรวจยึดของกลางได้รวมมูลค่ากว่า 15 ล้านบาท ประกอบไปด้วยรถยนต์หรู เครื่องประดับและนาฬิกา บัญชีธนาคาร กระเป๋าแบรนด์เนม และบัญชีคริปโตเคอเรนซี่ เป็นต้น จึงได้ทำการตรวจยึดเพื่อดำเนินการตามกฎหมายฟอกเงินต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า หลังจากที่ได้สรุปสำนวนดำเนินคดีกับนางสรารัตน์ฯ หรือแอม ไปแล้วจำนวน 15 คดี ซึ่งเป็นคดีประวัติศาสตร์ของไทยอีกหนึ่งคดี ซึ่งหนึ่งในสาเหตุของการก่อเหตุดังกล่าวมาจากการติดหนี้การพนันออนไลน์ จึงได้สั่งการให้กองปราบปรามดำเนินการขยายผลดำเนินคดีกับเครือข่ายเว็บไซต์การพนันออนไลน์ดังกล่าว ซึ่งสามารถดำเนินคดีกับเครือข่ายได้จำนวนถึง 21 คน จากนั้นได้เปิดปฏิบัติการเข้าตรวจค้นจุดเป้าหมายมากถึง 22 จุด ทำให้สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 13 คน และตรวจยึดทรัพย์สินได้รวมมูลค่ามากกว่า 15 ล้านบาท ซึ่งทรัพย์สินเหล่านี้จะตรวจยึดตามมาตรการกฎหมายฟอกเงินต่อไป ส่วนผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีอยู่ ก็จะติดตามจับกุมมาดำเนินคดีให้ครบทุกราย 

"ผมรอประเทศไทยเจริญไม่ทัน" ประโยคหดหู่ของเด็กไทยใน ตปท.

(20 ก.ค. 66) นายวรา ตั้งทัศนา คอนเทนต์ครีเอเตอร์ชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Slang A-hO-lic’ ที่มีผู้ติดตามกว่า 1.6 ล้านคน เกี่ยวกับเรื่องมุมมองของคนรุ่นใหม่ในต่างประเทศต่อประเทศไทย โดยระบุว่า…

“ผมรอประเทศไทยเจริญไม่ทัน!” 😔นี่คือ ประโยคนึงที่ผมฟังแล้วสะอึกมาก 

ตอนสัมภาษณ์เด็กไทยที่ต่างประเทศ ถึงสาเหตุว่า…ทำไมตัดสินใจย้ายประเทศมาที่นี่ คือมันเป็นทั้งความเศร้า สะอึก ท้อแท้ แต่เต็มไปด้วยความรู้สึก 108 เลยแบบ…

คืออย่าเข้าใจผิดนะ (คนให้สัมภาษณ์บอกว่า..) “ผมก็รักประเทศไทยนะเว้ยยยย” ผู้คนน่ารัก เป็นมิตร อาหารอร่อยยย แต่ถ้าเราจะต้องมีครอบครัว มีลูกสักคน มันต้องดูคุณภาพชีวิตด้วยปะ

- การที่ลูกได้เรียนโรงเรียนใกล้บ้าน
- การที่ลูกเดินไปโรงเรียนได้
- การที่ไม่ต้องทนรถติด
- การที่มีรถขนส่งมวลชนทั่วถึง
(ผมก็ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการจราจร จริงมั้ย?)

- การที่ทุกคนมีน้ำสะอาดกินฟรี/ มีอากาศดี ๆ หายใจ
คือ เรื่องพวกนี้(แม่ง)เป็นเรื่องที่เรียบง่ายมากเลยนะ แต่ที่ไทยกลับให้ไม่ได้ 😔

“ผมรอประเทศไทยเจริญไม่ทันจริง ๆ พี่”

เป็นประโยคที่เศร้า หดหู่ ได้ยินแล้วท้อแท้  และน่าเสียดายมากเลยย แต่ทั้งหมด มันคือความจริง…

ที่ เ ถี ย ง ไ ม่ อ อ ก ! 🥲

นอกจากนี้เจ้าของโพสต์ยังได้เขียนข้อความเพิ่มเติมใต้คอมเมนต์อีกว่า…

ความรู้สึกทุกครั้งที่กลับจากต่างประเทศ ก่อนขึ้นเครื่องต้องถอนหายใจ 1 เฮือก อารมณ์แบบ กลับสู่ความเป็นจริงแล้วสินะ…

ทำไมการได้เดินริมฟุตบาทกว้าง ๆ อากาศดี ๆ น้ำสะอาดดื่มฟรี ระบบขนมวลชนที่เข้าถึงทุกที่ มันถึงกลายเป็น honeymoon period ไปได้(วะ)

(ตัดเรื่องอากาศเย็นออกไปละกันนะ) คือบ้านเรา มันก็ควรจะทำได้ปะวะ มันควรเป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนควรได้สัมผัส ใช้ได้จนชิน ได้รู้สึกว่ามันคือเรื่องปกติ

ไม่ใช่บอกว่าสเน่ห์เมืองคือ อาหารริมฟุตบาทที่เละเทะ ยิ่งสกปรกยิ่งอร่อย และรบกวนคนเดินทางเท้าแบบทุกวันนี้ คือมันกลายเป็นฟีลว่า คนไทยต้องทน ๆ กันไป เก็บเงินสักก้อนแล้วสิ้นปีค่อยไปหาหาความสุขสั้น ๆ ใหม่

ทั้ง ๆ ที่…เราควรได้รับความสุขนั้นทุกวัน ในบ้านของเราเอง…
 

‘อ.เฉลิมชัย’ ชวนคิด ยุคสมัยเปลี่ยนไป ต้องตามเด็กให้ทัน รับ!! ตนเป็นคนแก่ แต่ฟังเด็กรุ่นใหม่ หวังดันชาติเดินต่อ

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้ TikTok บัญชี @jaramphonsornphong แชร์คลิปวิดีโอของ ‘อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์’ ที่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อเด็กรุ่นใหม่ในประเทศไทย พร้อมเผยว่า ตนนั้นก็รู้สึกศรัทธาในความคิดของเด็กรุ่นใหม่เช่นกัน โดยในคลิประบุว่า…

“ความสามารถของคุณดีกว่าเขาหรือ? ก็ไม่ใช่ คนรุ่นใหม่เขารวดเร็ว เพราะเขาต้องแข่งกับโลกทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแค่แข่งกันในประเทศ แต่มันคือการแข่งขันกับโลกทั้งหมด ดังนั้น ความคิดของเด็กเหล่านี้มันจึงต้องรวดเร็ว ฉับไว ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงเร็วจนทำให้คนแก่ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว แต่คุณต้องยอมรับว่านี่คือ ‘โลกใหม่’ โลกใหม่ไม่ใช่เพียงในประเทศของเราอย่างเดียวที่เปลี่ยน แต่มันเปลี่ยนทั้งโลก จงจําไว้ว่า ถ้าตราบใดที่คนรุ่นใหม่ของเรา ไม่เกิดการแปลงเปลี่ยนที่รวดเร็วขนาดนี้ เราจะสู้กับคนทั้งโลกได้อย่างไร?”

“ผมจึงศรัทธาต่อคนรุ่นใหม่ ผมบอกได้เลย ผมสอนคน ผมให้โอกาสเด็กรุ่นใหม่นําเสนอผลงาน ผมชอบความคิดเด็กรุ่นใหม่ ผมรับฟังเขา ในการประชุมทุกครั้งเด็กรุ่นใหม่ เด็กอายุเพียงแค่ 20 กว่าปี สามารถยกมือแล้วบอกว่าสิ่งที่อาจารย์คิดมันผิด ผมคิดว่าน่าจะเป็นเช่นนี้ อาจารย์เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย อาจารย์พิจารณา เป็นต้น ผมเป็นคนแก่ที่ไม่ได้มองเด็กว่าก้าวร้าว แต่ผมเห็นว่าประโยชน์ที่เด็กคอยเสนอนั้นคือประโยชน์ของส่วนรวม ผมไม่เคยคิดว่า สิ่งนี้จะทำให้เด็กกลายเป็นคนที่ก้าวร้าวต่อตัวเอง หรือคอยมาทับถมความคิดของผม แต่กลับกัน ผมกลับศรัทธาต่อความคิดเหล่านี้”

“การบริหารจัดการวัดของผมจึงยิ่งใหญ่และงดงาม เด็กรุ่นใหม่ของผมขึ้นครองอํานาจทั้งหมด คุณรู้ไว้เลยว่าที่วัดผมไม่มีคนแก่ และคนแก่กลายเป็นที่ปรึกษาหมด คนหนุ่มได้มีโอกาสเติบโตก้าวหน้าหมด ทั้งหัวหน้าฝ่ายทุกฝ่าย นี่คือสิ่งที่ผมใช้คนรุ่นใหม่ในการคิดริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ดังนั้น ผมจึงศรัทธาสิ่งนี้มากกว่า ผมเป็นคนไม่เชื่อในอายุ แต่ผมเชื่อในความคิดของทุกคน และมองทุกคนคือ ‘คนเท่าเทียมกัน’ ไม่ใช่คิดว่าคนนี้เป็นคนแก่แล้วคนรุ่นใหม่จะต้องเชื่อฟัง ผมไม่มีความคิดอย่างงั้น ถ้าคิดแบบนั้นแล้วคุณจะเจริญได้อย่างไร?”

“ดังนั้น ในการประชุมของผม คนกว่า 145 คน เด็กรุ่นใหม่ อายุ 20 กว่าปี สามารถยกมือแล้วสวนทางกับคนอายุ 60 ปีได้แบบเสรีภาพ แล้วความคิดของเขาจึงนําเสนอมาสู่สิ่งที่ดีที่สุดให้แก่วัดมากกว่าผม ผมจึงขอบอกว่าพวกเขาเก่งกว่าผม ณ เวลานี้”

“ผมรู้สึกดีใจที่พวกเขาคิดได้ดีกว่า แล้วผลลัพธ์ที่ออกมาก็ทําได้ดีอีกด้วย โดยตอนนี้ผมได้วางมือกับ ‘วัดร่องขุ่น’ ทั้งหมด เพราะผมต้องการให้อิสรภาพทางความคิดพวกเขา ต่อยอดจากความคิดที่ยอดเยี่ยมของผม ไปสู่ความคิดที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า แต่ถ้าพวกเขาใช้ความคิดของผมที่ยอดเยี่ยมตลอดเวลา ความคิดของผมก็จะ ‘ล้าสมัย’ ไปในที่สุด ผมรู้ตัวเองดีว่า วันเวลาของผมจะล้าสมัย ผมต้องสร้างคนรุ่นใหม่ และความใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น เมื่อผมอายุ 50 ปี ผมได้ใช้เวลาทั้งหมด 15 ปีในการสร้างคน เพื่อต่อยอดสมองอันบัดซบของผม ความงี่เง่าของผม สมองแก่ ๆ ของผมจะจบลงแล้ว… ดังนั้น ผมต้องการ ‘สร้างสมองใหม่’ ขึ้นมา”

“ณ เวลานี้ สมองของผมใช้ไม่ได้แล้ว สู้เด็กเขาไม่ได้ ดังนั้น ผมจึงต้องยอมรับเลยว่า ผมเป็นคนแก่ที่สู้เด็กไม่ได้ คุณจงยอมรับซะ อย่างเช่นผม ผมยอมรับเลย ผมเป็นนักประชาธิปไตย ผมไม่รู้สึกว่าผมแก่กว่าเขา แต่ผมเห็นว่าเด็กเขาต้องกล้าหาญในการแสดงออก และกล้าแสดงความคิดเห็นออกมา ความคิดเห็นของเขาคือ ‘ความร่วมสมัย’ คุณจําไว้เลยว่านั่นคือสิ่งที่จะทําให้ชาติเติบโตต่อไปได้”

กลับมาอีกครั้ง!! หลักสูตร ‘DAD NIDA’ รุ่นที่ 8 เปิดรับสมัครแล้ว อัดแน่นความรู้ เสริมสกิลผู้นำแห่งยุคดิจิทัล ต่อยอดพัฒนาธุรกิจ

(20 ก.ค. 66) ในยุคดิจิทัล เป็นยุคที่โลกการทำงานมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีสามารถเข้ามาทดแทนการทำงานของมนุษย์ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น เราต้อง Upskill & Reskill ทั้ง Hard & Soft Skills อยู่ตลอดเวลา DAD NIDA จึงออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการพัฒนาตัวเองเป็นผู้นำยุคดิจิทัล

💙 สิ่งที่ผู้เรียนจะได้รับ
✅ ความรู้และประสบการณ์ที่อัดแน่น อัปเดต สอดรับกับโลกยุคดิจิทัล ถ่ายทอดจากผู้เชี่ยวชาญในวงการชั้นนำระดับประเทศ
✅ คอนเนคชันดี ๆ จากหลากหลายวงการ ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน
✅ ความรู้ไปใช้ต่อยอดกับองค์กรเพื่อทำ Digital Transformation
✅ ได้นำความรู้ไปลงมือปฏิบัติจริง ผ่านกิจกรรม Bootcamp และ Design Thinking Workshop

(Celebrate) [Bonus] พิเศษสุด!! ผู้เรียนจะได้รับประกาศนียบัตร 2 ใบ จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) และจากการเข้าร่วมกิจกรรม Design Thinking Workshop [ความร่วมมือ 2 สถาบัน DAD X CITU] (deal)

————————————
✨[สมัครด่วน รับจำนวนจำกัด! ] 
ตั้งแต่วันนี้ ถึง 20 ก.ค. 2566 
>> https://forms.gle/Xdjhu5o3T819ydxn9
————————————
📢 กำหนดการ (ปี 2566)
🛅 ปฐมนิเทศ > 24-26 ส.ค. 
🗓️ เริ่มเรียน 2 ก.ย. - 25 พ.ย. ทุกวันเสาร์ 13.00 - 17.30 น.
————————————
(paper) ดูรายละเอียดหลักสูตร
https://www.dadnida.com
(Call) สอบถามเพิ่มเติม  
(line): @dadnida
โทร: 092-728-6722

‘นร.การบิน’ แชร์ประสบการณ์ ร่วมบินใน ‘ภารกิจฝนหลวง’ ช่วยบรรเทาภัยแล้งให้สวนทุเรียนของชาวเกษตรกรชุมพร

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้ TikTok บัญชี ‘Nutcha Memie’ หรือ ‘คุณมี่’ ซึ่งเป็นนักเรียนการบิน ได้ออกมาเล่าประสบการณ์ขณะที่ได้ขึ้นบินสังเกตการณ์ เพื่อดำเนินการปฏิบัติการฝนหลวงครั้งแรก โดยคุณมี่ได้บอกเล่าความรู้สึกต่อภารกิจครั้งนี้ว่า…

“ชาวบ้านที่ชุมพรร้องเรียนกันว่า ทุเรียนจะยืนต้นตายหมดแล้วค่ะ ทําให้มี่เห็นเครื่องบินฝนหลวงมาจอดเรียงกันเต็มไปหมดเลย ซึ่งศิษย์การบินอย่างมี่นั้นตื่นตาตื่นใจมาก โดยเครื่องบินที่ถูกเลือกมาทําภารกิจในวันนี้ คือ ‘คาซ่า’ จริง ๆแล้วฝนหลวงมีเครื่องบินหลายรุ่นมาก แต่ว่าจะเลือกใช้ให้เหมาะสมกับภารกิจนั้น ๆ พอพี่ช่างเตรียมเครื่องให้เราเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อมาก็จะโหลดสารเคมีขึ้นเครื่อง โดยที่บนเครื่องจะมีนักบิน นักวิชาการ และมีพี่ ๆ ที่ขึ้นไปโปรยสารพอใบพัดเริ่มหมุน มี่ก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นมากเลยค่ะ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้ลองนั่งเครื่องบินคาซ่า วันนี้เราจะบินขึ้นมาที่ความสูงประมาณ 6,000 ฟุต พอถึงตําแหน่งที่เราต้องการทําภารกิจ นักบินก็จะส่งสัญญาณ จากนั้นพี่ ๆ ข้างหลังก็จะเริ่มโปรยสารลงมาเลยค่ะ” 

“โดยหลักการคร่าว ๆ ของฝนหลวง คือเราจะบินขึ้นไปโปรยสารเคมีลงมา ซึ่งสารเคมีจะประกอบด้วย เกลือ คลอรีนและน้ำแข็งแห้ง เราจะโปรยมาตามทางที่เราต้องการให้เกิดฝน เพื่อเป็นการล่อเมฆให้เมฆมาเกาะกลุ่มตามทางที่เราได้วางแผนไว้ ซึ่งพอเมฆรวมตัวกันได้ในปริมาณที่พอเหมาะแล้ว พี่เขาจะขึ้นไปอีกรอบหนึ่งค่ะ เพื่อไปโปรยสารเคมีอีกครั้งให้เมฆมันอิ่มตัวแล้วก็ตกลงมาเป็นฝนค่ะ เพราะฉะนั้น เราก็จะได้ฝนตามแนวที่แบบพวกเราต้องการเลยค่ะ” 

“กลายเป็นว่าช่วงนี้มี่เดินตลาดทุเรียนเต็มตลาดชุมพรเลยค่ะ ต้องขอบคุณพี่ ๆ ฝนหลวงที่ให้โอกาสมี่ได้ขึ้นไปบินสังเกตการณ์ในวันนี้ ดีใจมาก ๆ ถือเป็นประสบการณ์ที่ดี และพี่ ๆ ทุกคนก็น่ารัก ถือว่าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นมากเลยค่ะ”

‘กองทุนประกันสังคม’ ส่อแววล้มละลายภายใน 30 ปี หลังเผชิญวิกฤตสังคมผู้สูงวัย-แรงงานเกิดใหม่น้อยลง

(19 ก.ค.66) ช่องยูทูบชื่อ ‘Kim Property Live’ โดยคุณคิม ชัชวาลย์ วัฒนะโชติ ได้ออกมาอธิบายเกี่ยวกับเรื่องกองทุนประกันสังคมที่ส่อแววล้มละลายในอีก 30 ปีข้างหน้า ในชื่อคลิป ‘แรงงานสะดุ้ง! วิจัยชี้กองทุนประกันสังคมเสี่ยงล้ม รายจ่ายเยอะ เงินเริ่มไม่พอ!’ สรุปใจความสำคัญได้ว่า…

เมื่อไม่นานมานี้ เกิดเหตุประท้วงครั้งใหญ่ในวันแรงงานที่ประเทศฝรั่งเศส สาเหตุการประท้วงเกิดจากระบบประกันสังคมของฝรั่งเศสส่อแววว่าจะมีปัญหา อีกทั้งทางรัฐบาลฝรั่งเศสก็ได้ออกนโยบายยืดเวลาทำงานออกไปอีก 2 ปี จุดกระแสความไม่พอใจอย่างมากในหมู่แรงงาน จนเกิดการประท้วงทั่วฝรั่งเศส

หากมองในมุมของภาครัฐที่ต้องแก้ปัญหาจากนโยบายของรัฐบาลก่อนหน้าก็น่าเห็นใจ จากนโยบายที่คิดว่าทำได้ ในวันนี้กลับทำไม่ได้แล้ว ก็เกิดภาวะกระอักกระอ่วน ที่ต้องหามาตการเพื่อมาแก้ปัญหา แต่หากมองในมุมแรงงานที่ส่งเบี้ยมาตลอดหลายปี และบางส่วนกำลังจะเกษียณแล้ว แต่กลับต้องทำงานต่ออีก 2 ปี จึงทำให้ความแค้นเคืองปะทุขึ้นอย่างที่เป็นข่าว

หลายคนคงคิดว่านี่อาจะเป็นสิ่งที่ไกลตัว แต่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิด เพราะล่าสุดมีรายงานชิ้นหนึ่งจากกรุงเทพเผยแพร่ออกมา ระบุว่า ‘กองทุนประกันสังคม’ เสี่ยงล้มละลายใน 30 ปี 

ก่อนจะไปพูดถึงเรื่องการล้มละลาย ต้องขอพูดถึงหลักการของกองทุนประกันสังคมก่อน กองทุนประกันสังคมเป็นการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข โดยลูกจ้าง นายจ้าง และรัฐบาล ได้ร่วมกันจ่ายเงินเข้ากองทุนฯ ซึ่งเงินกองทุนตรงนี้จะนําไปใช้จ่ายเป็นสิทธิประโยชน์ เช่น ว่างงาน/ตกงาน สิทธิรักษา และเงินบำนาญ สำหรับแรงงานที่ส่งเบี้ยประจำทุกเดือน เงินส่วนนี้จะมาช่วยให้มีความมั่นคงในการงานมากขึ้น 

ในปี 2563 มีผู้ประกันตนมีจํานวน 11.1 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 70 ของลูกจ้างทั้งหมด หรือพูดง่าย ๆ คือลูกจ้างส่วนใหญ่อยู่ในระบบนี้ แต่ละคนก็มีการจ่ายเงินสมทบอยู่ตลอดเวลาและต่อเนื่องทุกเดือน

ตลอดระยะเวลา 30 ปี มีการส่งเงินเข้ากองทุนประกันสังคมอย่างมากมายและต่อเนื่อง ทําให้ขนาดของกองทุนขยายการเติบโตขึ้นอย่างมาก ในปี 2563 เงินกองทุนมีมากถึง 2.283 ล้านล้านบาท 

แต่คําถามคือมันเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่แรงงานส่งเงินมาตลอดหลายสิบปี แต่ทําไมกองทุนนี้ถึงส่อแววล้มละลายล่ะ? และถ้าเป็นแบบนี้แรงงานจะมีเงินเก็บ เงินบํานาญหลังเกษียณได้อย่างไร?

ต้องบอกว่ากองทุนประกันสังคมของไทย ใช้เวลาในการจัดตั้งยาวนานเกือบ 40 ปีแล้ว โดยมีจุดมุ่งหมายสําคัญก็คือการให้ลูกจ้างได้ประโยชน์ แต่ประเด็นสำคัญคือกองทุนนี้ ‘ยิ่งอยู่นาน เงินก็ยิ่งไม่ค่อยพอ’ เงินเริ่มร่อยหร่อไปเรื่อยๆ 

มาดูเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้กองทุนประกันสังคมอาจ ‘ล้มละลาย’

เหตุผลแรก คือ ‘รายจ่าย’ รายจ่ายด้านสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ มีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเวลาผ่านเลยไปค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ค่าครองชีพ ค่าดูแลชีวิต ก็แพงขึ้นตามเงินเฟ้อที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นแนวโน้มของกองทุนก็เริ่มที่จะมีเงินไม่เพียงพอต่อการจ่ายสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกันตนที่พึงจะได้รับ โดยเฉพาะการดูแลของผู้ประกันตนที่เป็นผู้สูงอายุหรือชราภาพ 

ในขณะที่รายจ่ายเพิ่มขึ้น ‘คนชรา / ผู้สูงอายุ’ ก็เพิ่มขึ้นด้วย แต่อีกมุมหนึ่ง ‘อัตราการเกิด’ รวมถึง ‘อัตราการเข้าทํางาน’ ก็มีการลดลงไปเรื่อย ๆ ส่งผลเงินไม่เพียงพอดูแลคนในระบบ ต้องเข้าใจก่อนว่ากองทุนรูปแบบนี้คือการนําเงินคนรุ่นใหม่ที่เป็นคนวัยทํางานเข้ามาในกองทุน เพื่อใช้จ่ายหมุดเวียน แต่หากเงินใหม่ ๆ ไม่เข้ามา แล้วเงินเก่า ๆ ต้องจ่ายแพงขึ้นมากตามอัตราเงินเฟ้อ คําถามคือแล้วมันจะอยู่กันได้อย่างไร? บางคนก็มองว่านี่คือแชร์ลูกโซ่ขนาดใหญ่ที่สุดเลยหรือเปล่า? 

รายงานจากทาง IMF ออกมาบอกว่าประเทศที่ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายเกี่ยวกับผู้สูงอายุในเอเชีย ได้แก่ จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมถึงประเทศไทย หลายคนก็รู้อยู่แล้วว่าประเทศไทยกําลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และจะเป็นสังคมผู้สูงอายุแบบสุดขั้วในอนาคต หมายความว่าคนแก่จะเยอะขึ้น คนที่จะต้องให้ภาครัฐดูแลก็จะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทางกลับกัน คนใหม่ ๆ ที่มาทํางานกลับมีน้อยลงไป

ต่อมาเป็นเรื่อของ ‘การลงทุน’ ในยุคนี้การลงทุนได้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากเทรนด์อัตราดอกเบี้ยเป็นช่วงขาลง หากย้อนกลับไปในช่วง 10-20 ปีที่แล้ว ดอกเบี้ยไทยค่อนข้างสูง เอาเงินฝากแบงก์ก็ได้ดอกเบี้ย สามารถอยู่ได้แล้ว แต่ปัจจุบันดอกเบี้ยมันน้อยลงไปเรื่อย ๆ อยู่ที่ 1-2% การที่จะหวังกินเงินดอกเบี้ยจากเงินฝากมันก็คงเป็นไปไม่ได้ และจะหวังเอาเงินพวกนี้มาใช้จ่าย เป็นรายจ่ายของผู้สูงอายุมันก็ไม่พอ

และล่าสุดในปี 2566 เงินในกองทุนประกันสังคมลดลงถึง 17,000 ล้านบาท โดยปกติมีการเติบโตขึ้นตลอดเพราะว่าคนใหม่ก็ใส่เงินเข้ามา คนเก่าก็ยังไม่ได้เกษียณ ยังทํางานอยู่ แต่ปัจจุบันหลังจากรายจ่ายมันเยอะขึ้น เงินใหม่น้อยลง แล้วก็ปันผลดอกเบี้ยมันก็น้อย ทําให้กองทุนเริ่มจะลดลง และนี่เป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 5 ปี 

การที่ผลตอบแทนมันต่ำเตี้ยแบบนี้ อาจถูกผลักดันให้ลงทุนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น และได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น สำหรับตัวกองทุนประกันสังคม ก็เคยตกเป็นที่สงสัยของผู้คน เนื่องจากมีการถือหุ้น ‘ศรีพันวา’ มูลค่ากว่า 505 ล้านบาท ต่อมาทางดีเอสไอได้ไปตรวจสอบที่ดินของศรีพันวาว่าเป็นที่ดินมิชอบด้วยกฎหมายหรือเปล่า? ซึ่งข้อสงสัยพวกนี้ส่งผลให้ประกันสังคมถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เพราะเหมือนนำเงินเก็บของประชาชนหลังเกษียณมาลงทุน และการลงทุนก็ควรจะต้องดูให้ดีและน่าเชื่อถือ

เรียกได้ว่าปัญหาที่กองทุนประกันสังคมต้องเผชิญนั้นมีมากมายหลายด้านจริงๆ และเท่านั้นยังไม่พอ ยังมีประเด็นที่ว่า รัฐบาลค้างจ่ายเงินเข้ากองทุนประกันสังคมกว่า 7 หมื่นล้านบาท หรือกรณีที่นายจ้างหักเงินลูกจ้างไปแต่ไม่ได้นำส่งเข้าประกันสังคม 

ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นตลอด ทำให้คนมองว่ากองทุนประกันสังคมจะล้มในอีก 30 ปี ทำให้เกิดการเสนอแนวทางแก้ปัญหา เช่น การเร่งรัดหนี้ที่ค้างกองทุน เรื่องนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วง เนื่องจากมีคนไม่ได้หนี้ส่งหนี้เยอะ และหากยิ่งปล่อยไว้นานๆ เข้า ยอดหนี้ก็จะสะสมขึ้นเรื่อยๆ 

ทางด้านที่ปรึกษาด้านหลักประกันทางสังคม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ T.D.R.I ได้ออกมาระบุว่า สาเหตุหลัก ๆ ของไทยคือโครงสร้างที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น ประชากรที่เป็นผู้สูงอายุค่อนข้างเยอะ และมีชีวิตอยู่ยาวนาน ทำให้ต้องใช้เงินในการดูแลมากขึ้นในระยะยาว ส่งผลให้กองทุนต้องจัดสรรเงินมาดูแลในส่วนนี้ และต่อให้กองทุนนำเงินไปลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาตรงนี้ได้ อีกทั้งตามกฎของประกันสังคม ต้องลงทุนในทรัพย์สินที่มีความมั่นคงสูง แต่คำถามที่ตามมาคือจะสร้างผลตอบแทนได้มากพอจริงๆ หรือ? ทาง T.D.R.I จึงมองว่าหากเป็นแบบนี้ไปอีก 25 ปี จะทำให้กองทุนประกันสังคมติดลบและล้มละลายไปในที่สุด 

เมื่อปัญหาเยอะ แถมเงื่อนไขการลงทุนยังจำกัด แล้วจะแก้ปัญหานี้อย่างไร? 

1.ต้องปรับเพดานค่าจ้างเฉลี่ยที่ใช้คำนวณการจ่ายเงินสมทบ จาก 15,000 เพิ่มเป็น 17,500-20,000 บาทต่อเดือน และควรปรับเพิ่มทุกปีตามค่าจ้างเฉลี่ยด้วย หากปรับตรงนี้ได้จะทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่กองทุนประกันสังคมเพิ่มขึ้น 5-6% เลยทีเดียว

2. เพิ่มอายุผู้มีสิทธิรับเงินบำนาญ ซึ่งโดยปกติแล้ว แรงงานที่มีอายุครบ 55 ปีมีสิทธิที่จะได้รับเงินจากกองทุนชราภาพ แต่จะเลื่อนไปเป็น 60 ปี หรือพูดง่าย ๆ คือการเก็บเบี้ยได้มากขึ้น แต่จ่ายออกให้ช้าลงนั่นเอง

ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าปัญหานี้จะถูกแก้ไขออกมาในรูปแบบใด และผู้คนจะเห็นด้วยหรือไม่? และมีแนวโน้มที่จะเกิดการประท้วงเหมือนในฝรั่งเศสหรือไม่? อีกทั้งหากโครงสร้างปัจจุบันไม่สามารถทำได้แล้ว ก็คงต้องเปลี่ยนวิธีการกันใหม่ และต้องหาแนวทางรับมือและกัดการกับความผิดหวังของแรงงานไว้ด้วยนั่นเอง

ยกย่อง!! ‘ครูกฤศ’ ครูผู้เป็นทุกอย่างแห่ง รร.บ้านหนองเหียง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยใจแน่วแน่ ตั้งแต่สอนหนังสือยันงานภารโรง

(19 ก.ค. 66) เพจ ‘ฅนจริงใจไม่ท้อ’ ได้เผยแพร่ข้อความในหัวข้อ ‘ครู’ ผู้เป็นทุกอย่าง ระบุว่า…

‘ครู’ ผู้เป็นทุกอย่าง
“จะทิ้งเขาไปได้ไง ถ้าทิ้งไป เด็กก็ไม่มีครูสอน ผมอยากอยู่ช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่จนครบวาระของผม” 

เสียงยืนยันอันหนักแน่นของ กฤศ จอมพระ หรือ ‘ครูกฤศ’ ครูหนุ่มผู้มีจิตวิญญาณของการเป็นครู ที่พร้อมจะอยู่และทำหน้าที่ทุกอย่างเพื่อเด็กนักเรียน แม้ในวันที่ทั้งโรงเรียนจะเหลือเขาเป็น ‘ครู’ เพียงคนเดียว
เป็นเวลากว่า 4 ปี แล้วที่ ‘ครูกฤศ’ ได้ตัดสินใจเลือกมาสอนหนังสือที่โรงเรียนบ้านหนองเหียง ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา (โรงเรียนที่เคยตกเป็นข่าวโด่งดัง จากกรณี ครูผู้เป็นทุกอย่าง ตั้งแต่รักษาการผู้อำนวยการ ไปจนถึง พ่อครัว นักการภารโรง) โรงเรียนขนาดเล็กที่เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงชั้นป.6 มีจำนวนเด็กนักเรียนทั้งหมด 21 คน

“ผมมาสอนที่นี่เมื่อปี 62 ที่เลือกมาที่นี่เพราะว่า เมื่อ 6-7 ปีก่อนที่ผมจะมาสอนที่นี่ ผมเคยผึกสอนที่โรงเรียนขนาดเล็กมาก่อน เลยทำให้รู้ว่าเด็กที่มาเรียนโรงเรียนแบบนี้ ครอบครัวเขาจะมีฐานะยากจน บางคนไม่มีรองเท้า ไม่มีเสื้อผ้าใส่มาโรงเรียนเลย ก็มาย้อนนึกถึงตัวเองในสมัยเด็กที่บ้านก็มีฐานะยากจน และเคยได้รับการช่วยเหลือจากครูมาก่อน เลยทำให้มีแรงบันดาลใจมาเรียนจนจบได้มาเป็นครู…เลยเลือกมาที่นี่ อยากช่วยเหลือเด็กที่ด้อยโอกาสเหล่านี้ครับ”

‘ครูกฤศ’ เชื่อว่า ด้วยความรู้และประสบการณ์ที่เขามีสั่งสมในช่วงที่ผ่านมา จะช่วยสร้างประโยชน์ให้กับโรงเรียนเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ แม้บนเส้นทางข้างหน้าจะต้องเผชิญกับอุปสรรคที่มากมายสักเพียงใดก็ตาม

“ผมมาวันแรก เห็นโรงเรียนแล้วตกใจ เพราะสภาพทรุดโทรม ทั้งอาคารเรียนก็เก่า หญ้าขึ้นเต็มไปหมด แต่ในใจตอนนั้นก็คิดว่า นี่เป็นโอกาสที่เราจะได้รับประสบการณ์ที่มีค่า เพราะถ้าเราไปอยู่ที่สบายคงไม่ได้ประสบการณ์ที่เข้มข้น”

‘ครูกฤศ’ ได้เริ่มต้นทำงานโรงเรียนบ้านหนองเหียงแห่งนี้ ด้วยตำแหน่งครูผู้ช่วย ซึ่งในขณะนั้นที่นี่ มีบุคลากรทั้งหมด 4 คน งานไหนที่ครูอื่นทำไม่ได้ ‘ครูกฤศ’ จะอาสาทำหมด

“โรงเรียนนี้มีแต่ครูผู้หญิง ผอ.ก็ผู้หญิง ครูธุรการก็ผู้หญิง ครูประจำการก็ผู้หญิง ผมมาตอนนั้นผมเป็นผู้ชายคนเดียวเลย ผมเข้ามาก็ได้รับหน้าที่สอนชั้น ป.3 และงานพัสดุ งานอื่น ๆ ที่ต้องใช้แรงผมก็จะขออาสาทำหมด”

แต่เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งต่าง ๆ ก็เปลี่ยนแปลงตาม ทำให้โรงเรียนแห่งนี้เหลือ ‘ครูกฤศ’ ที่เป็นผู้ทำหน้าที่ทุกอย่างในโรงเรียนนี้เพียงคนเดียว

“พอมาช่วงโควิด ครูธุรการเขาก็ขอลาออกไป ไปทำงานโรงงานเพราะใกล้บ้านและได้เงินดีกว่า แล้วตำแหน่งนี้ส่วนกลางเขาไม่มีนโยบายรับเพิ่ม ก็ทำให้เหลือกันแค่ 3 คน แต่พอถึง ตุลา 65 ผอ.ผู้หญิงท่านก็เกษียณไปอีกคน คราวนี้เลยเหลือผมกับครูผู้หญิงแค่ 2 คน ผมก็เอาอนุบาลมาสอน พร้อมกับดูแล ป.4-5-6 ส่วนครูผู้หญิงก็ดูแล ป.1 ถึง 3 แต่พอมาถึงมกรา 66 ครูผู้หญิงเขาก็มาบอกว่า เขาอยากย้ายไปสอนใกล้บ้านเพื่อจะได้อยู่ดูแลลูก และครอบครัว ก็เลยทำเรื่องย้ายออกไปอีก ผมก็เข้าใจว่าความจำเป็นก็ไม่ได้ว่าอะไร ซึ่งต่อมาเขาก็ได้ย้ายไปจริง ๆ ในช่วงกลางเดือนพฤษภา 66 ทำให้ช่วงนั้นผมต้องอยู่คนเดียว”

ด้วยข้อจำกัดทางด้านบุคลากรที่ขาดแคลน ทำให้ ‘ครูกฤศ’ ต้องรับบทบาทของ ‘ครู’ ผู้เป็นทุกอย่างเพียงคนเดียว ซึ่งนั่นคือ บทพิสูจน์หัวใจความเป็น ‘ครู’ ของ ‘ครูกฤศ’ ที่ไม่เคยคิดย่อท้อ

“พอเหลือผมอยู่คนเดียว ผมก็คิดว่าไม่เป็นไร เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด (ในแต่ละวันครูต้องอยู่คนเดียว วัน ๆ ครูทำอะไรบ้าง?) จริง ๆ งานดูเด็ก ๆ ที่ผมรับผิดชอบก็มีหลายอย่างครับ ทั้งดูแลการเรียนการสอนให้กับเด็กทั้ง 8 ชั้นเรียน ในแต่ละวันก็ต้องทำกับข้าวให้เด็กกินเอง ละก็ยังงานธุรการ งานเอกสาร ตัดหญ้า ทำความสะอาด จ่ายตลาดทำเองหมด พอเลิกเรียนก็ขับรถไปส่งเด็กกลับบ้านอีก กว่าจะกลับถึงบ้านที่บางคล้าก็ทุ่มกว่า ๆ ละครับ”

หลัง ‘ครูกฤศ’ ได้ทำหน้าที่เพียงลำพังอยู่ไม่นาน เรื่องราวของครูก็ได้ถูกเผยแพร่ออกไปยังสังคมวงกว้าง จากสื่อสารมวลชนและโชเชียล ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น

“หลังที่ออกข่าวไปก็มีแรงสนับสนุนในหลายด้าน ทั้งสิ่งของ น้ำดื่ม อาหาร เสื้อผ้า อุปกรณ์การเรียน เข้ามามากมายเลย และตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ทางการก็ได้ส่งครูผู้ช่วย มาช่วยสอน 1 คน…เข้ามาก็ช่วยกันทำงาน ทำให้เบาไปเยอะเลยครับ (ถามจริงครูก็เป็นข้าราชการ เด็กที่นี่ก็ไม่เยอะ ไม่คิดจะย้ายไปสอนที่อื่นหรือใกล้บ้านครูเหรอ?) ผมจะทิ้งเขาไปได้ไง ถ้าทิ้งไปเด็กก็ไม่มีครูสอนผมอยากอยู่ช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่จนครบวาระของผม”

ต้องการช่วยเหลือหรือสนับสนุนโครงการพัฒนาโรงเรียนบ้านหนองเหียง 
ติดต่อ ครูกฤศ ได้ที่ โทร 080-638-5719

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นประธานพิธีปิดโครงการสัมมนาขับเคลื่อนกลไกการส่งต่อระดับชาติ (NRM) 

วันนี้ (19 ก.ค.66) เวลา 11.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง (ศพดส.ตร.) ได้เป็นประธานในพิธีปิดโครงการสัมมนาขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการว่าด้วยกลไกการส่งต่อระดับชาติ การบริหารจัดการคดีและการช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ณ ศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี โดยมีข้าราชการตำรวจฝ่ายสืบสวนและสอบสวนในระดับรองสารวัตรถึงระดับสารวัตร จาก น., ภ.1-9, ก., สตม. และ สอท. จำนวนกว่า 120 นาย เข้าร่วมการสัมมนาในครั้งนี้

การสัมมนาในครั้งนี้ สืบเนื่องจากผลการประชุมคณะกรรมการประสานและกำกับการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปกค.) โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.เป็นประธาน มีมติเห็นชอบให้มีแผนปฏิบัติการว่าด้วยกลไกการส่งต่อระดับชาติ (National Referral Mechanism: NRM) และการช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และการบังคับใช้แรงงาน พ.ศ.2565 ซึ่งเป็นการยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และยึดหลักผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง (Victim-Centric) การสัมมนาในครั้งนี้จึงจะเป็นคุณประโยชน์ต่อผู้เข้ารับการอบรม ให้มีความรู้ความเข้าใจและความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ และการช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การสัมมนาครั้งนี้ถือเป็นโครงการที่จะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับปฏิบัติซึ่งจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปฏิบัติในกลไกการส่งต่อระดับชาติ (NRM) ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญที่จะใช้ในการช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ การสัมมนานี้จะช่วยสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลให้เป็นการยกระดับมาตรฐานในการป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ให้อยู่ในระดับสากล

‘ดร.ทมิตา’ เล่าถึงพระเมตตาของ ‘ในหลวงรัชกาลที่ 9’ หลังทรงพระราชทานสัญชาติไทยแก่ชาวกะเหรี่ยง-ชาวมอญ

เมื่อไม่นานนี้ ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่ง ชื่อ ‘dr.tammytiktok’ หรือ ‘ดร.ทมิตา วนาพิทักษ์กุล’ ได้ออกมาเล่าประสบการณ์ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงพระราชทานสัญชาติไทยให้แก่ชาวกะเหรี่ยง และชาวมอญในอำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ โดย ดร.ทมิตา กล่าวว่า…

“โอชุงลาไซค่ะ (แปลว่า สวัสดีค่ะ) ดิฉัน ‘ดร.ทมิตา วนาพิทักษ์กุล’ สาวกะเหรี่ยงบ้านๆ คนหนึ่ง ที่ได้รับ ‘สัญชาติไทย’ จากสถาบันพระมหากษัตริย์ เด็กกะเหรี่ยงที่ไม่มีสัญชาติ เด็กกะเหรี่ยงที่ไม่มีทุนการศึกษา พ่อแม่ยากลำบากจนไม่มีคำไหนที่จะสามารถบรรยายได้ แต่สิ่งที่เราบรรยายจากหัวใจของเราได้ คือ กราบขอบพระคุณในหลวงรัชกาลที่ 9 และราชวงศ์ทุกๆ พระองค์ ที่ยังสานต่อด้วยการดูแลประชาชน คนที่ไร้สัญชาติในอำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์อีกมากมาย และจนถึงทุกวันนี้ทั้งนายอำเภอ ทั้งผู้ใหญ่ที่ใจดีทุกท่าน ก็ยังคงสานต่อสิ่งเหล่านี้อยู่ ทั้งชาวกะเหรี่ยง ชาวมอญ ก็ยังคงได้รับโอกาสดีๆ เหมือนที่ ดร.คนนี้ได้รับเช่นกัน

สิ่งสำคัญที่น้องๆ คนรุ่นหลังอาจจะไม่รู้ เพราะหนูโตขึ้นมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกให้พวกหนูหมดแล้ว แต่คนรุ่นก่อนอย่างพี่ที่ผ่านการใช้ชีวิตที่ยากลำบากมา ไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีทีวีดู แต่มีหนึ่งสถาบันฯ ที่เข้ามาช่วยซัพพอร์ต คือ ‘สถาบันพระมหากษัตริย์’ วันนี้เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร เราไม่ว่า… แต่ขออย่ามาเหยียบ อย่ามาย่ำสถาบันฯ นี้เลยค่ะ เพราะยังมีคนอีกมากมายที่รักและยังคงธำรงไว้ เทิดเกล้า เทิดกระหม่อม ขออย่าไปยุ่งเลยค่ะ เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเรารู้ดีอยู่แล้ว ดังนั้น ทำดีเพื่อพ่อหลวงของเรา รับผิดชอบตัวเองตามรอยพระราชดำรัส เศรษฐกิจพอเพียง ไม่มีคำว่าเศรษฐกิจไม่ดีค่ะ ถ้าหากว่าวันนี้เรารับผิดชอบตัวเอง ขอบคุณค่ะ”

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัยออนไลน์ “ระวัง: แอพดูดเงินปลอมอาละวาด ปลอม Google Play และใช้นามสกุลเว็บ .CC”

เนื่องจากในรอบสัปดาห์  มีการรับแจ้งความออนไลน์คดีหลอกให้กดลิงก์แอปพลิเคชันควบคุมโทรศัพท์ แล้วโอนเงินออกไป สร้างความเสียหายให้กับพี่น้องประชาชนเพิ่มมากขึ้น พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง  ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. หัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นห่วงพี่น้องประชาชน ที่อาจจะตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ จึงมอบหมายให้  พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมด้วยคณะทำงาน แถลงข่าวเตือนภัย เมื่อวันที่ 19 ก.ค.2566 เวลา 11.00 น. ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวว่าในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (9-15 ก.ค.2566) มีสถิติการรับแจ้งความคดีออนไลน์มากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่  อันดับ 1) คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ 2) คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ 3) คดีหลอกลวงให้กู้เงิน 4) คดีหลอกลวงให้ติดตั้งโปรแกรมควบคุมระบบในเครื่องโทรศัพท์ฯ และ 5) คดีข่มขู่ทางทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน (Call Center) ซึ่งเมื่อช่วงเดือน มีนาคม 2566 - มิถุนายน 2566 สถิติคดีหลอกลวงให้ติดตั้งโปรแกรมควบคุมระบบในเครื่องโทรศัพท์ฯ อยู่ในลำดับที่ 7 แต่ช่วง 2 สัปดาห์นี้สถิติการรับแจ้งความเพิ่มมากขึ้นจนขยับมาอยู่ลำดับที่ 4  มีสถิติการรับแจ้งความออนไลน์ในรอบ 2 สัปดาห์ห้วงวันที่ 2-15 ก.ค.2566 จำนวน 595 เคส ความเสียหาย 90.5 ล้านบาทเศษ เห็นได้ว่าคนร้ายได้พัฒนารูปแบบและวิธีการหลอกลวง ถือเป็นความจำเป็นเร่งด่วนต้องแจ้งเตือนให้ประชาชนทราบ

พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผบก.ตอท.บช.สอท. กล่าวว่า “ตำรวจเตือนให้กดโหลดแอปพลิเคชันจาก Google Play Store คนร้ายก็เขียน Google Play ในเว็บไซต์ปลอมตบตา” โดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้านครหลวงส่ง SMS แจ้งว่า “เนื่องด้วยเจ้าหน้าที่คำนวณค่า FT ไฟฟ้าผิด ทำให้เก็บค่า FT ไฟฟ้ามาเกินให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ http://mea.bwz-th.cc” เหยื่อหลงเชื่อกดลิงก์เพิ่มเพื่อนไลน์ ขอชื่อและเบอร์โทรศัพท์ แล้วคนร้ายจะโทรมาพร้อมหลอกให้โหลดแอปพลิเคชันการไฟฟ้านครหลวงปลอมที่ส่งลิ้งมาให้ทางไลน์  ซึ่งเมื่อกดเข้าไปจะมีข้อความและสัญลักษณ์ด้านบนเป็น Google Play เพื่อให้เหมือนว่าเป็นการโหลดจาก Google Play แต่ความจริงเป็น Google Play ปลอม จากนั้นจะหลอกให้กดโหลดแอปพลิเคชั่นควบคุมเครื่องโทรศัพท์  แล้วให้เหยื่อกรอกชื่อ หมายเลขโทรศัพท์ ตั้งรหัสผ่าน 6 ตัว 2 ชุด ที่ไม่ซ้ำกัน กดยืนยันข้อมูล 3 จุดให้เป็นสีน้ำเงิน เพื่อยืนยันตัว จากนั้นหน้าจอจะเกิดข้อความค้าง ขึ้นข้อความว่า “อยู่ระหว่างโหลดข้อมูล” โดยคนร้ายจะหลอกว่าให้โหลดข้อมูลไม่ต่ำกว่า 15% แล้วเงินจะเข้าบัญชี แต่ปรากฏว่าในระหว่างนั้นคนร้ายได้สุ่มนำรหัสที่เราใส่ไป หรือจากวันเดือนปีเกิดเรา หรือจากหมายเลขโทรศัพท์ไปทดลองเข้าแอปธนาคารในโทรศัพท์ โอนเงินออกจากบัญชีเหยื่อไป

จุดสังเกตุ  
การเปรียบเทียบของปลอม-ของจริง 
ของปลอม ของจริง
1) ไลน์เป็นชื่อบัญชีส่วนบุคคล สามารถโทรหากันได้ 1) ไลน์เป็นชื่อบัญชี MEA Connect ซึ่งเป็นบัญชีทางการ (Official) ไม่สามารถโทรหากันได้
2) เว็บไซต์ปลอม นามสกุลของโดเมนของ มักลงท้ายด้วย .cc    2) เว็บไซต์ชื่อ www.mea.or.th นามสกุล ของโดเมนคือ .or.th
3) บนหน้าจอระบุหน้าเว็บไซต์ Google Play 
แต่ลิงก์ที่แสดงเป็น http://mea.tw-th.cc 3) เมื่อต้องการ Download App บน Google Play 
ลิงก์ที่แสดงจะระบุ https://play.google.com
4) แอปพลิเคชันของปลอม MEA Smart Life ไม่มีข้อมูลติดต่อของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ และแอปฯ ในเครือ 4) แอปพลิเคชันของจริง MEA Smart Life มีข้อมูลติดต่อของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ และมีแอปฯ ในเครือ

วิธีป้องกัน 

1) ไม่เปิดอ่านหรือ กดลิงก์ใน SMS แปลกปลอม หรือติดตั้งแอปพลิเคชันที่มิจฉาชีพหลอกให้ติดตั้ง 
2) กรณีมีการส่ง SMS ที่ผิดปกติ ควรโทรศัพท์ตรวจสอบกับการไฟฟ้านครหลวง MEA call center 
โทร. 1130 โดยตรง 
3) หากต้องการติดตั้งแอปพลิเคชันใดๆ ควรโหลดและติดตั้งจาก Google Play store หรือ Apple 
Store เท่านั้น ไม่ควรดาวน์โหลดจากลิ้งค์หรือข้อความที่มีคนส่งให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอแจ้งเตือนให้พี่น้องประชาชนได้รู้เท่าทัน รูปแบบกลโกงของคนร้ายที่ได้พัฒนาวิธีการหลอกลวง โดยการส่ง sms พร้อมแนบลิงก์ควบคุมเครื่องโทรศัพท์มาด้วย  และมีวิธีการป้องกันง่ายๆ คือ ไม่เปิดอ่านหรือ กดลิงก์ใน sms แปลกปลอม หรือติดตั้งแอปพลิเคชันที่มิจฉาชีพหลอกให้ติดตั้ง หากต้องการติดตั้งแอปพลิเคชันใดๆ ควรโหลดและติดตั้งจาก Google Play store หรือ Apple Store เท่านั้น และเพื่อให้รู้เท่าทันภัยออนไลน์ในรูปแบบใหม่  สามารถติดตามข้อมูลการแจ้งเตือนภัยออนไลน์ได้จาก เว็บไซต์ และเพจ เตือนภัยออนไลน์ หมายเลขโทรศัพท์ 081-866-3000 หรือโทรสายด่วน 1441 

ผช.ผบ.ทร. เป็นผู้แทน ผบ.ทร.ร่วมงานเลี้ยงรับรองเนื่องในวันชาติฝรั่งเศส

พล.ร.อ.สุวิน แจ้งยอดสุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ (ผช.ผบ.ทร.) เป็นผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) พร้อมด้วยคณะผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือ ร่วมงานเลี้ยงรับรองเนื่องในวันชาติฝรั่งเศส ตามคำเชิญของสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยมี นายตีแยรี  มาตู (H.E. Mr. Thierry  MATHOU) เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย และภริยา เป็นเจ้าภาพ ณ ห้องบอลรูม โรงแรมสวิสโฮเตล ถ.รัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร

ไทยกับฝรั่งเศส สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ.2399 ผ่านการลงนามสนธิสัญญาเจริญสัมพันธไมตรี โดยประเทศไทยถือเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดของฝรั่งเศสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพเรือไทย และกองทัพเรือฝรั่งเศส เป็นไปด้วยดี โดยฝรั่งเศสมีสำนักงานผู้ช่วยทูตทหาร ฝรั่งเศส/กรุงเทพฯ ในส่วนของกองทัพเรือมีผู้ช่วยทูตทหารเรือ/ปารีส ทั้งนี้ความร่วมมือระหว่างกองทัพเรือกับกองทัพเรือฝรั่งเศส ประกอบด้วย 

- ด้านการศึกษา ซึ่งกองทัพเรือจัดส่งข้าราชการไปศึกษาอบรมหลักสูตรต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
- การเยี่ยมเยือนและการเยี่ยมคำนับ เป็นการเยี่ยมเยือนเมืองท่าของเรือรบ ซึ่งเรือรบฝรั่งเศสมีการเยี่ยมเยือนเป็นระยะ และการเข้าเยี่ยมคำนับของผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือ
- การฝึก มีการฝึก PASSEX ซึ่งเป็นการฝึกในโอกาสที่เรือรบของฝรั่งเศสเดินทางผ่านน่านน้ำ หรือแวะเยี่ยมประเทศไทย เพื่อเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ของกองทัพเรือทั้งสองประเทศ
- การจัดหายุทโธปกรณ์ กองทัพเรือมีการจัดหาเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงแบบ EC-645T2 รวมทั้งยุทโธปกรณ์อื่นอีกหลายรายการ

เป็นไปตามนโยบายผู้บัญชาการทหารเรือในการเสริมสร้างความสัมพันธ์และการมีบทบาทนำด้านความร่วมมือ และความมั่นคงในภูมิภาคให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

‘พระ-เณร’ สำนักสงฆ์เขาหลักจันทร์ ปลูกผักสวนครัวขาย  หาเงินจ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ หลังชาวบ้านทำบุญน้อยลง

(18 ก.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สำนักสงฆ์เขาหลักจันทร์ หมู่ที่ 12 ต.น้ำผุด อ.เมือง จ.ตรัง พระเคารพ ญาติโก เจ้าสำนักสงฆ์พร้อมด้วยพระลูกวัด ได้ใช้ที่ดินว่างข้างสำนักสงฆ์ฯ และข้างกุฎิพระ เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ ปลูกพืชผักสวนครัวหลากหลายชนิด เช่น ตะไคร้ พริก มะเขือยาว มะเขือเปราะ ถั่วพู ถั่วฝักยาว บวบ และแตงกวา ซึ่งเป็นพืชอายุสั้น สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เร็ว เพื่อนำออกจำหน่าย หารายได้มาจ่ายค่าน้ำค่าไฟของสำนักสงฆ์ฯ ซึ่งรวมกันไม่ต่ำกว่า 5,000 บาทต่อเดือน

สาเหตุเกิดจากเป็นสำนักสงฆ์ที่อยู่ห่างไกล ประกอบกับชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพกรีดยางพารา ถ้าฝนตกชุก ตกบ่อย ก็จะขาดรายได้ จึงพากันเข้าวัดทำบุญน้อยลง กระทบถึงรายได้ที่ไม่เพียงพอของสำนักสงฆ์ด้วย พระสงฆ์สามเณรจึงต้องช่วยกันปลูกผักหารายได้เสริมอีกทางหนึ่งด้วย

โดยเมื่อเก็บผลผลิตแล้วจะนำใส่ถุง ขายถุงละ 20 บาท เพื่อให้ชาวบ้านที่เดินทางไปทำบุญได้เลือกซื้อ แต่หากชาวบ้านคนไหนไม่มีเงิน ก็หยิบเอาไปกินฟรีได้หรือตามแต่กำลังศรัทธา ซึ่งถือเป็นประโยชน์ 3 ทางคือชาวบ้านได้ช่วยพระ พระได้ช่วยชาวบ้าน และพระได้ออกกำลังกายลดโรค ลดพุงไปในตัว

ซึ่งพืชผักทุกชนิดปลูกไม่เกิน 3 เดือนก็เก็บขายได้ ทั้งยังปลอดภัยจากการใช้สารเคมี เพราะมีการใช้กาวดักแมลง และใช้น้ำหมักชีวภาพ โดยผักที่เหลือจากที่วางขายที่สำนักสงฆ์แล้ว จะมีญาติโยมที่เป็นแม่ค้า นำออกไปช่วยเร่ขายตามบ้าน สร้างรายได้ 400-500 บาทต่อสัปดาห์ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ จึงคิดจะขยายพื้นที่ปลูกผักเพิ่มขึ้น เพื่อให้มีรายได้ไม่ต่ำกว่าวันละ 300 บาท จึงวอนผู้ใจบุญแวะอุดหนุนพืชผักปลอดภัยได้ทุกวัน หรือติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่พระเคารพฯ หมายเลขโทรศัพท์ 083 280 2764

ด้านพระธิติศักดิ์ สุธัมโม พระสำนักสงฆ์เขาหลักจันทร์ กล่าวว่า ผักที่ปลูกมีแตงไข่เข้ ถั่วฝักยาว มะเขือ พริก ตะไคร้ บวบ โดยขายถุงละ 20 บาทเหมือนกันหมด ซึ่งเงินรายได้ส่วนนี้นำไปเสียค่าไฟทั้งนั้น ซึ่งค่าไฟประมาณ 5,000 กว่าบาทต่อเดือน แต่ไม่มีค้างจ่ายเพราะพระอาจารย์จะขอทุกวันพระหรือถ้าไปกิจนิมนต์ก็จะขอด้วย แต่ยังไม่พอ ซึ่งนอกจากจะหาค่าไฟให้วัดแล้ว ชาวบ้านก็ได้ทำบุญด้วยเท่ากับได้มาช่วยวัด ช่วยพัฒนาวัด และได้กินผักปลอดสารพิษ ถือเป็นรายได้ 2 ทางและได้ออกกำลังกาย ตามที่พระอาจารย์เคยสอนว่า กำจัดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตด้วยการออกกำลังกาย เพราะพระฉันของดี ๆ เยอะ จึงทำให้เกิดโรคเบาหวาน ความดัน ไขมันต่าง ๆ จึงแก้ได้ด้วยการออกกำลังกาย

ชื่นชม!! ‘พีรญา-พีรชยา พลับพลา’ คว้าเหรียญทอง จากการแข่งขันกระโดดเชือกชิงแชมป์โลก 2023

(18 ก.ค. 66) เพจ ‘Thai Jump Rope’ โพสต์ข้อความแสดงความยินดีกับ 2 เด็กไทยสุดเก่ง ระบุว่า…

👍ขอแสดงความยินดีกับน้อง น.ส.พีรญา พลับพลา และ น.ส.พีรชยา พลับพลา ฝาแฝดไทยสุดเก่ง 🇹🇭
ที่คว้าเหรียญทอง 🥇ในการเเข่งขันในรายการ ‘Wheel Pair Freestyle’ หญิงล้วน ในรุ่น Junior World Jump Rope Championship 2023 ณ สหรัฐอเมริกา ได้เป็นผลสำเร็จ

📌สรุปตลาดหุ้น ประจำวันที่ 18 ก.ค. 66 

📌สรุปตลาดหุ้น ประจำวันที่ 18 ก.ค. 66 
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top