Thursday, 22 May 2025
NEWS

‘หนุ่มนักโหราฯ’ ติง!! ระบบภาษีของไทยเรียกเก็บเงินได้น้อยกว่าที่ควร คนจนไม่เข้าเกณฑ์ คนรวยเลี่ยงจ่าย ก็ยากจะพัฒนาประเทศให้เจริญ

เมื่อวานนี้ (14 ส.ค. 66) ผู้ใช้งานติ๊กต็อกชื่อ ‘flukepatsmile’ นักพยากรณ์โหราศาสตร์ไทย ได้เผยแพร่วิดีโอตอบข้อความของผู้ติดตามที่แสดงความคิดเห็นว่า “บ้านเราน่าจะเสียภาษี ภ.ง.ด. ก่อนถึงจะมีสิทธิ์เลือกตั้งนะครับ” โดยระบุว่า 

“ผมว่าหายไปเยอะมาก หรืออาจจะหายไปเกือบครึ่งเลยนะ ประเทศที่พัฒนาแล้ว เขาจะเก็บภาษีได้ประมาณ 70% ของผู้ที่มีรายได้ต้องเสียภาษี ส่วนประเทศอย่างเราจะเก็บภาษีได้ประมาณ 15-20% ของผู้ที่มีรายได้ต้องเสียภาษี การรีดภาษีทําได้เยอะมาก ยกตัวอย่างเช่น หาบเร่ แผงลอย แม่ค้าตลาดนัด ตรวจบัญชีรายได้ในนิติบุคคล ทุก ๆ คนต้องมีตัวร้านที่ชัดเจนเหมือนในต่างประเทศ รถที่ไม่ผ่านการตรวจ เป็นรถเก่าไม่สามารถต่อภาษีได้ หรือว่าจะเป็นรถกระป๋อง รถสามล้อ ผิดรูปผิดแบบต้องยกเลิกทั้งหมด ต้องผลักดันเพื่อเพิ่มอาชีพให้กับคนไทย ชุมชนแออัดในกรุงเทพทั้งหมดต้องถูกผลักออกจากกรุงเทพ เพื่อความพร้อมต่อการสร้างธุรกิจให้เงินไหลเข้ามา พุทธพาณิชย์ทั้งหมดต้องโดนเก็บภาษี ธรรมกายวัดเดียวมูลค่า 4.4 ล้านล้านบาท ถ้าพุทธพาณิชย์ทั้งประเทศจะเป็นเงินเท่าไรลองคิดดู”

ผู้ใช้ติ๊กต็อกรายนี้ยังกล่าวอีกว่า “ประเทศเรามันก็เป็นประเทศที่เป็นความประนีประนอม เพื่อให้ทุก ๆ คนพออยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข คนจนไม่สามารถตรวจภาษีได้ ส่วนคนรวยบางส่วนเลี่ยงภาษี ความลําบากมันอยู่ที่คนชนชั้นกลางซึ่งเป็น 70% ของประเทศ ข้าราชการ พนักงานบริษัท เงินรายได้โตไม่ทันเงินเฟ้อ แต่เป็นคนกลุ่มใหญ่ที่ต้องแบกรับภาษีของประเทศ”

“คนที่บอกว่าการเมืองดีแล้วนู่นนี่นั่นจะดี มันก็เหมือนการทําผัดกะเพราครับ คุณมีสูตรที่ดี มันก็เหมือนคุณมีนักการเมืองที่ดี แต่ว่าไก่ก็เหมือนประชากร ถ้าประชากรไม่มีคุณภาพก็คือไก่เสีย เอาไปทําผัดกะเพรา ถามว่าผัดกะเพราที่สูตรดีจะอร่อยได้ยังไงครับ? เริ่มต้นที่ประชากรเริ่มต้นที่ตัวเราครับผม” ผู้ใช้ติ๊กต็อกรายนี้กล่าวทิ้งท้าย

‘หนุ่มไทย’ ยก ‘นิวซีแลนด์’ เกื้อหนุนพัฒนาศักยภาพเด็กได้สุดยอด ต่างจากระบบการศึกษา ‘ประเทศไทย’ ที่ยังทำได้อย่างไม่เต็มที่

เมื่อวานนี้ (14 ส.ค.66) ผู้ใช้ TikTok บัญชี @Bookboktor หรือ ‘บุ๊ค บอก ต่อ’ ได้ตอบกลับคอมเมนต์ที่เข้ามาถามว่า ‘รักเมืองไทยไหม?’ ซึ่งคุณบุ๊คได้บอกว่า ตนรักประเทศไทย และคิดว่าประเทศไทยวิเศษมาก แต่ถ้าหากมีลูก ตนไม่อยากให้ลูกต้องเติบโตมาในประเทศไทย เนื่องจากระบบการศึกษาที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาศักยภาพเด็กคนหนึ่งได้อย่างถึงที่สุด ซึ่งคุณบุ๊คได้แชร์ประสบการณ์ที่ตนเองได้เคยไปอยู่ที่นิวซีแลนด์ และได้พัฒนาทักษะติดตัวกลับมา โดยระบุว่า…

“ผมมี 4 ทักษะ ที่ได้พัฒนามาตอนอยู่ที่นิวซีแลนด์ ซึ่ง 4 ทักษะนี้ เป็นทักษะที่ผมให้ความสําคัญ และไม่ค่อยเห็นในเด็กไทยรุ่นผม หรือเด็กไทยสมัยนี้คงเก่งขึ้นแล้ว ซึ่งผมไม่แน่ใจ แต่ว่า 4 ทักษะนั้น เริ่มที่อย่างแรก คือ ‘ทักษะรักการอ่าน’ ตอนผมอยู่นิวซีแลนด์ หลัง 5 โมง จะมีการปิดอินเตอร์เน็ต ปิดทีวี ปิดเทคโนโลยีทุกอย่าง และทุกอาทิตย์โฮสต์จะเช่าหนังสือ 10 ถึง 20 เล่ม มาวางไว้ที่บ้าน ไม่อ่านก็ได้ แต่เมื่อมันไม่มีอะไรให้ทํา สุดท้ายพวกเราก็ต้องอ่านหนังสือ จึงทําให้พวกเรารักการอ่าน อย่างที่สอง ‘ทักษะการทํางาน’ ตอนผมเด็ก ๆ ผมต้องช่วยงานบ้านทุกอย่าง ตั้งแต่รดน้ำต้นไม้ กวาดบ้าน ถูพื้น ล้างจาน ทําอะไรทุกอย่าง และหลัง 2 ทุ่ม ผมต้องไปช่วยงานที่โรงแรม โดยไปช่วยล้างจานและจัดโต๊ะ เพื่อที่แขกจะได้ลงมาทานอาหารเช้าวันต่อมา มันเลยทําให้พวกเรามีความรับผิดชอบมากขึ้น”

“ถัดมาอย่างที่สาม ผมรู้สึกว่าโรงเรียนที่นิวซีแลนด์ เขาส่งเสริมให้เด็ก ‘กล้าคิดกล้าทํา’ มากกว่าท่องจํา ซึ่งส่วนใหญ่โปรเจกต์ที่เราต้องทํา มันจะเป็นโปรเจกต์ที่เราต้องเริ่มตั้งแต่การวางแผน มาทํารีเสิร์ชเอง ไม่มีถูก ไม่มีผิด ให้ลองทํา เหมือนเขาเรียกว่าลองถูกลองผิดไป จนสุดท้ายมันออกมาดีที่สุด แต่ก็ไม่ได้ออกมาเป๊ะ แต่ว่าออกมาดีที่สุดเท่านั้นเอง และอย่างที่สี่ คือการที่เขาสอนให้เรารู้จัก ‘การรักการออกกําลังกาย’ สามารถดูแลสุขภาพตัวเองได้ เพราะว่าที่นู่นแทบจะทุกส่วนของเมือง จะมีสวนสาธารณะใกล้ ๆ และก็มีพื้นที่ออกกําลังกาย มีทั้งสนามรักบี้ สนามบาส สนามเทนนิส และสนามบอล ที่สามารถใช้ได้ฟรีเลย”

“อันนี้เลยเป็นเหตุผลหลักที่ผมอยากจะให้ลูกเติบโตมาที่นิวซีแลนด์ เพื่อสร้างทักษะ 4 อย่างนี้ให้มันมั่นคงก่อนที่จะย้ายกลับมาใช้ชีวิตในประเทศไทย ผมคิดว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่วิเศษมาก และไม่มีประเทศไหนที่ผมอยากอยู่มากกว่าประเทศไทย แต่ผมอยากจะให้ลูกผมไปพัฒนา 4 ทักษะนี้ที่ต่างประเทศก่อน แล้วค่อยกลับมายังประเทศไทย”

‘อนุพงษ์’ ยัน!! เบี้ยผู้สูงอายุตอนนี้ยังเหมือนเดิม เชื่อ ระเบียบใหม่ช่วย ปชช.ได้ประโยชน์ทั่วถึงมากขึ้น

(15 ส.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการปรับเกณฑ์เบี้ยผู้สูงอายุ ว่า การจ่ายเดิมทางกรมบัญชีกลางเห็นว่าผู้ที่มีรายได้อื่นๆ เช่น บำนาญ คงจะรับเงินไม่ได้ต้องเรียกคืน และในที่สุดก็มีปัญหา จนรัฐบาลต้องจ่ายเงินคืนให้ จากนั้นได้มีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ซึ่ง พม.ได้ส่งเรื่องให้กฤษฎีกาตีความ โดยกฤษฎีกาตีความว่าระเบียบที่ออกนี้ ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ว่า ประชาชนจะต้องมีรายได้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ โดยเฉพาะผู้ยากไร้ รัฐบาลต้องช่วยเหลือ เพราะฉะนั้นการที่กำหนดว่าจะให้ใครตามระเบียบเดิมไม่ได้แล้ว จึงเป็นที่มาของการออกระเบียบใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า แต่อย่างไรก็ตามการจะให้นี้ต้องทั่วถึงและเป็นธรรม โดยจะมีคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติเป็นผู้กำหนดว่าจะทำอย่างไรถึงจะเป็นธรรม ถ้าจะให้ทั่วถึงจ่ายทุกคนก็ได้ หรือจะไปกำหนดกลุ่ม คนที่มีรายได้มากอาจจะไม่ต้องจ่ายก็ได้ ซึ่งระเบียบนี้ก็เปิดทางไว้ อย่างไรก็ตามถ้าคณะกรรมการผู้สูงอายุยังไม่กำหนด ทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็จ่ายแบบเดิมได้ ทั้งผู้ที่ได้รับอยู่แล้วและผู้ที่จะอายุครบ 60 ปีใหม่ สามารถจ่ายตามเกณฑ์เดิมได้

เมื่อถามว่า จะรอให้คณะกรรมการผู้สูงอายุพิจารณาก่อนใช่หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า แล้วแต่คณะกรรมการจะพิจารณาอย่างไร แต่รัฐบาลชุดนี้ไม่มีอำนาจที่จะไปทำ เพราะมันคงผูกพันกับรัฐบาลใหม่แล้ว เนื่องจากใช้งบประมาณมาก อย่างไรก็ตามเรื่องนี้รัฐบาลได้ทำหนทางไว้หมดแล้ว รัฐบาลใหม่มาจะทำอย่างไรก็สามารถทำได้หมด ดังนั้นตอนนี้ผู้สูงอายุเดิมรับเงินอย่างไรก็รับไปตามเดิม ผู้สูงอายุใหม่ก็สามารถรับได้ตามเกณฑ์เดิม ตราบใดที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง

เมื่อถามว่า ตอนนี้ประชาชนยังไม่ต้องกังวลใจในเรื่องนี้ใช่หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่ต้องกังวล และถ้าตนมองในตอนนี้ประชาชนจะได้ประโยชน์ทั่วถึงตามรัฐธรรมนูญ เป็นธรรม และมีรายได้เพียงพอต่อการดำเนินชีวิต หนทางเราเตรียมไว้ให้แล้ว ออกทางไหนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้

'เพชร โอสถานุเคราะห์' เจ้าของเพลงดัง เพียงชายคนนี้ (ไม่ใช่ผู้วิเศษ) เสียชีวิตแล้ว ในวัย 69 ปี คาดหัวใจวายเฉียบพลัน

(15 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพชร โอสถานุเคราะห์ อดีตนักร้องชื่อดัง และอดีตผู้บริหารบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ได้เสียชีวิตแล้วเมื่อคืนวันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลัน

โดยญาติพี่น้องเตรียมนำร่างของ เพชร โอสถานุเคราะห์ ไปบำเพ็ญกุศลที่ศาลโอสถานุเคราะห์ วัดธาตุทอง กรุงเทพฯ และจะมีการแถลงข่าวช่วงบ่ายวันนี้

เพชร โอสถานุเคราะห์ เป็นอดีตนักร้องที่โด่งดังมีผลงานที่เป็นที่รู้จักในเพลง เพียงชายคนนี้ (ไม่ใช่ผู้วิเศษ) นอกจากนี้เพชรยังเคยเป็นรองประธานกรรมการบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพ

สำหรับ ประวัติ เพชร โอสถานุเคราะห์ เกิดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2497 เป็นบุตรชายของนายสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยกรุงเทพ และนางปองทิพย์ โอสถานุเคราะห์

เพชรเกิดที่กรุงเทพฯ เพชรเริ่มเรียนที่โรงเรียนสมประสงค์จนถึง ป.3 จากนั้นก็ย้ายไปเรียนต่อที่ โรงเรียนพิพัฒนาถึงชั้นม.4 (มศ 3 ในอดีต) ย้ายไปเรียนต่อชั้นมัธยมปลายที่ Teaneck High School ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา

หลังจากจบแล้วก็กลับมาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพเป็นเวลา 2 ปี แล้วจึงกลับไปเรียนต่อจนจบปริญญาตรีทางด้านบริหารธุรกิจ สาขาการตลาดที่ มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นอิลลินอยส์ และกลับมาทำงานโฆษณา ก่อนออกผลงานเพลง แล้วหันไปทำงานนิตยสารสำหรับผู้หญิง จากนั้นก็ขยายไปทำงานด้านรายการโทรทัศน์ คือ รายการผู้หญิงวันนี้ และมีงานแต่งเพลงเคยแต่งเพลง หมื่นฟาเรนไฮต์ ให้วงไมโคร

สำหรับงานเพลง เพชรมีผลงานอัลบั้มแรกชุด ธรรมดา…มันเป็นเรื่องธรรมดา มีเพลงดังอย่าง ‘เพียงชายคนนี้ (ไม่ใช่ผู้วิเศษ)’ ในปี 2530 และกลับเข้าวงการเพลงอีกครั้งหลังจากหายหน้าไปร่วม 20 ปีเพื่อทำงานเพลงอีกครั้ง ในปี 2550 ได้ออกผลงานอัลบั้มที่ 2 Let’s Talk About Love ที่ได้ผู้กำกับมิวสิกวิดีโออย่าง เป็นเอก รัตนเรือง, วิศิษฎ์ ศาสนเที่ยง, อภิชาติพงษ์ วีระเศรษฐกุล มาร่วมทำ โดยมิวสิกวิดีโอแต่ละชิ้นมีงบประมาณราว 20,000 ถึง 1 ล้านบาท และในปี พ.ศ. 2551 ได้นำผลงานชุดแรกไปรีมาสเตอร์ที่ประเทศอังกฤษ และนำกลับมาวางจำหน่ายใหม่

เคลียร์ปม 'เบี้ยผู้สูงอายุ' รัฐบาลยันคนกลุ่มเดิมยังได้อยู่ แต่ขอคนรวยโปรดเข้าใจ ปรับเพื่อผู้ลำบากจริงๆ

(14 ส.ค. 66) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้และได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2566 ซึ่งมีสาระหลักเพิ่มเติม คือ เป็นผู้ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ ตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุ ดังนั้นจะต้องมีการออกระเบียบกำหนดรายละเอียดจากนี้อีกโดยคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ซึ่งผู้สูงอายุที่ได้รับเงินเบี้ยยังชีพอยู่ก่อนวันที่ระเบียบใช้บังคับ จะยังมีสิทธิ์รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุต่อไป

ส่วนที่มีการกล่าวว่า การปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าว เป็นเพราะรัฐบาลไม่มีความสามารถในการหาเงิน นางสาวรัชดา ชี้แจงว่า ที่ผ่านมา เศรษฐกิจดีขึ้น รัฐบาลจัดเก็บรายได้เพิ่มมากขึ้น มีการจดทะเบียนการค้าบริษัทต่างชาติ การขอการสนับสนุนการลงทุนต่างชาติเพิ่มต่อเนื่อง มีตัวชี้วัดความสามารถจัดหารายได้ ดูจากตัวเลขการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากร 7 เดือนของปีงบประมาณ 2566 (ต.ค.65-เม.ย.66) เก็บรายได้สูงกว่าปีก่อน 6.5% สูงกว่าเป้าหมายตามเอกสารงบประมาณ 107,101 ล้านบาท หรือ 11.10% ขณะที่ภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในช่วง 7 เดือนของปีงบประมาณ 2566 สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.4% และสูงกว่าเป้าหมายตามเอกสารงบประมาณ 8.9% นี่คือความสามารถของรัฐบาลในการหารายได้

“ส่วนประเด็นที่มีการดรามาว่า เป็นการลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของพลเมืองไทยหรือไม่นั้น รัฐบาลให้ความสำคัญกับประชาชนทุกกลุ่ม มุ่งแก้ปัญหาประชาชนอย่างมุ่งเป้า ใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด ภายใต้ข้อจำกัดของงบประมาณ วันนี้เราเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และจะเพิ่มต่อเนื่อง งบประมาณจากเคยตั้งไว้ ห้าหมื่นล้านต่อปี เพิ่มเป็นแปดหมื่นล้าน และแตะเก้าหมื่นล้านแล้ว ในปีงบประมาณ 2567 ดังนั้น หากลดการจ่ายเบี้ยฯ แก่ผู้สูงอายุเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้สูงหรือผู้สูงอายุที่ร่ำรวย เพราะงบประมาณที่จ่ายให้ไปอาจจะไม่มีความจำเป็น ถือเป็นการใช้นโยบายการคลังที่พุ่งเป้าเพื่อช่วยเหลือไปยังกลุ่มคนที่มีความจำเป็นและเดือดร้อนกว่า อีกทั้ง คือการสร้างความยั่งยืนทางการคลังระยะยาว ขอฝ่ายการเมืองอย่ามองเป็นการลักไก่เลย” นางสาวรัชดา กล่าว

'อดีตนักเรียนไทยในญี่ปุ่น' ฉายภาพ 'มารยาท' ในพื้นที่สาธารณะ 'การปลูกฝัง-ส่งต่อสิ่งดีๆ' รุ่นสู่รุ่น ช่วยสร้างวินัย-พัฒนาชาติเจริญ

(14 ส.ค.66) ข้อมูลของผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Naruphun Chotechuang’ โดย ‘คุณนฤพันธ์ โชติช่วง’ อดีตนักเรียนวิทยาลัยยามชายฝั่งญี่ปุ่น ได้โพสต์ให้ความรู้กรณีมารยาทบนรถไฟของประเทศญี่ปุ่นไว้ว่า...

มีท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งสอบถามเรื่องมารยาทบนรถไฟของประเทศญี่ปุ่น จากกรณีที่มีคนไทยไปทำเรื่องขายหน้าแต่ดูเหมือนเจ้าตัวไม่ได้รู้สึกผิดใดๆ แถมยังเหยียดคนที่เข้าไปตักเตือนกล่าวหาว่าเคยไปญี่ปุ่นหรือยังอีก

จากประสบการณ์อยู่ญี่ปุ่นมา 8 ปี คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับหน้าตาทางสังคมและระเบียบข้อปฎิบัติในการอยู่ร่วมในสังคมมาก หลายๆ อย่างมีสิ่งที่เรียกว่า 'มารยาท' หรือ マナー (Manner) ที่ชัดเจนเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่ไม่ได้เขียนไว้ในกฎหมาย หรือข้อบังคับใดๆ แต่เป็นการสอนส่งต่อรุ่นต่อรุ่น ถ้าใครเคยนั่งดูป้ายประกาศในรถไฟญี่ปุ่น ผมว่าทุกคนก็น่าจะเคยเห็นแผ่นรณรงค์มารยาทการใช้รถไฟร่วมกันของญี่ปุ่น 

แต่ถึงแม้จะมีคนทำผิด คนญี่ปุ่นส่วนมากจะใช้สายตาหรือท่าทางที่ดูรู้ว่าไม่พอใจ มากกว่าจะแสดงตัวเพื่อตักเตือนมากกว่า เพราะคนญี่ปุ่นคิดว่ามารยาทเป็นสิ่งที่ควรรู้ เมื่อต้องอยู่ในสังคมส่วนร่วม 

เรื่องแบบนี้ถูกสั่งสอนกันตั้งแต่ยังเด็ก เป็นการให้ความรู้กับเด็กเกี่ยวกับมารยาทการใช้รถไฟคือ...

- ไม่ควรเล่น หรือส่งเสียงดังรบกวนคนอื่น
- ควรเสียสละที่นั่งให้กับผู้สูงอายุ
- ไม่ควรคุยโทรศัพท์ในรถไฟ
- ให้คนลงจากรถไฟไปก่อน 
- ควรต่อเเถวเพื่อขึ้นรถไฟ
- ห้ามทิ้งขยะภายในรถไฟ 

นอกจากกรณีมารยาททางสังคมบนรถไฟแล้ว ญี่ปุ่นยังมีมารยาทในเรื่องต่างๆ ที่ยิบย่อย ยกตัวอย่างเช่น การสอบสัมภาษณ์เพื่อรับเอาใบอนุญาตทำงานหรือเข้าทำงาน นอกจากความรู้ที่ต้องจำเข้าไปแล้ว คือมารยาทในการสัมภาษณ์ที่ถูกต้อง ซึ่งมีผลอย่างมากต่อการผ่านการสัมภาษณ์หรือได้งานด้วย 

ต่อไปนี้ คือ สิ่งที่ผมพอจะนึกออกสมัยที่ผมสอบใบอนุญาตขับเรือสินค้าระดับสามและสองของญี่ปุ่น ร่วมถึงสัมภาษณ์งานบริษัทที่นั้น เมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว

1. เครื่องแต่งกาย การสอบสัมภาษณ์ของญี่ปุ่น เขาไม่ได้ดูเพียงความรู้เท่านั้น เขาดูมารยาทลักษณะนิสัยของผู้เข้าสัมภาษณ์อย่างเข้มงวด จำเป็นต้องเป็นสูทเท่านั้น และต้องเป็นสีดำ สีน้ำเงินเข้ม หรือสีเทาเข้ม เท่านั้น ส่วนดีไซน์ของสูท ถ้าไม่ผิดแปลกเกินไปก็ถือว่ารับได้ ส่วนเสื้อเชิ้ตข้างใน สีขาวคือสีที่ดีที่สุด ถ้าไม่มีก็ต้องเป็นสีโทนอ่อน ไร้ลวดลายใดๆ เน็คไทก็ต้องเป็นแบบเรียบง่าย ลวดลายไม่เด่นจนเกินไป ส่วนรองเท้าต้องเป็นคัทชูเท่านั้น สีจะเป็นสีดำหรือน้ำตาลก็ได้ นอกนั้นไม่แนะนำ ทรงผมควรให้เห็นหูอย่างชัดเจน สีผมเป็นสีธรรมชาติของตัวเอง

2. การเข้าห้องสัมภาษณ์ มีขั้นตอนและวิธีการที่ถูกบอกต่ออย่างชัดเจน ก่อนเข้าห้องต้องเคาะห้องก่อน 2-3 ครั้ง และรอจนกว่าคนในห้องจะพูดว่า เชิญ (どうぞ) ถึงจะเปิดประตูด้วยเสียงที่เบาที่สุด ก่อนทำการโค้งเคารพกรรมการสัมภาษณ์พร้อมพูดว่า ขออนุญาต (失礼します) แล้วปิดประตูให้เบาที่สุด สำหรับผมถูกสอนให้หมุนลูกบิดค้างไว้ ดันประตูจนสุดแล้วจึงคลายลูกบิด เมื่อปิดประตูแล้ว ไปยืนหน้าเก้าอี้ผู้สัมภาษณ์ ทำความเคารพอีกครั้ง พร้อมพูดขอความกรุณาด้วยครับ (よろしくお願いします) รอจนกว่ากรรมการจะบอกว่าเชิญนั่ง ถึงจะนั่งลง การนั่งเก้าอี้ผู้สัมภาษณ์ ควรนั่งเพียง 1/2 ของเก้าอี้ หลังตรง มองตรง รอจนกว่ากรรมการจะถามคำถาม หรือให้ทำตามสิ่งที่เขาต้องการ เมื่อสัมภาษณ์เสร็จ ก็ลุกขึ้นทำความเคารพ เดินไปที่ประตู หันมาทำความเคารพอีกครั้งเอ่ยคำว่าขออนุญาต (失礼します) พร้อมเปิดประตูและปิดประตูด้วยเสียงที่เบาที่สุด

นี่เป็นเพียงขั้นตอนการสัมภาษณ์ที่ผมเคยเจอและก็นำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ก็รู้สึกว่าไม่ได้แย่อะไรด้วย นอกจากนี้ยังมีมารยาทอื่นๆ ที่ลงลึกไป เช่นลำดับการนั่งในรถแท็กซี่เมื่อต้องนั่งกับผู้ที่อาวุโสกว่า ลำดับการเข้าลิฟท์เมื่อต้องเข้ากับผู้ที่อาวุโสกว่า 

เพราะฉะนั้นไม่แปลกเลยที่ประเทศญี่ปุ่นสามารถพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยที่ยังรักษาความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองได้ เพราะสิ่งที่เรียกว่าการปฎิบัติตามกฎระเบียบ และรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีแบบนี้นี่เอง

ปล. 1 ใครที่สนใจเรื่องพวกนี้ ลองหาหนังสืออ่านได้นะครับ มีขายที่ญี่ปุ่น
ปล. 2 ที่จริงอีเมลญี่ปุ่นก็มีแพทเทิร์นตายตัวที่ควรจะต้องเขียนให้ได้ด้วยนะ
ปล. 3 แต่ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ของญี่ปุ่น เริ่มไม่ทำตามขนบแล้วนะ เท่าที่สังเกต

‘นักปอกเปลือกข้าวโพดอ่อน’ ขั้นเทพ!! ใช้เวลาเพียงแค่ 3-4 วิต่อฝัก จนกลายเป็นมือวางอันดับหนึ่ง ทำได้เร็วที่สุด เยอะที่สุด และมีรายได้สูงสุด

(14 ส.ค.66) ที่สงขลา ไปดูอาชีพการรับจ้างปอกเปลือกข้าวโพดอ่อน หรือที่ชาวบ้านทางภาคใต้เรียกกันว่า ‘ปอกดาบคง’ ที่โรงปอกข้าวโพดอ่อน ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านโคกขี้เหล็ก หมู่ 1 ต.ฉลุง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

และเป็นอีกหนึ่งอาชีพของชาวบ้านที่นี่ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้หญิงที่มาทำกัน สามารถสร้างรายได้ 300-500 บาทต่อวัน ขึ้นอยู่กับความสามารถและความรวดเร็วในการปอกของแต่ละคน โดยได้ค่าปอกกิโลกรัมละ 5 บาท 

แต่ที่จะพาไปดูคือนักปอกเปลือกข้าวโพดอ่อนมืออาชีพขั้นเทพ และเป็นมือวางอันดับ 1 ของที่นี่ หรืออาจจะเป็นนักปอกเปลือกข้าวโพดที่เร็วที่สุดในสงขลาหรือในประเทศไทยก็ว่าได้ มีชื่อว่า น.ส.สาหรอ อ่อนแก้ว อายุ 37 ปี หรือขอ ซึ่งเป็นชื่อเล่นที่เรียกกัน

น.ส.สาหรอ หรือ ขอ เป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญและมีทักษะความชำนาญในการปอกเปลือกข้าวโพดอ่อนที่หาตัวจับยาก เพราะมือเร็วมากเรียกว่ามองแทบไม่ทัน ข้าวโพดแต่ละฟักใช้เวลาปอกแค่ 3-4 วินาทีเท่านั้น และเร็วกว่าคนอื่น ๆ 2-3 เท่าตัว

วิธีการปอกเริ่มจากปาดหัวเอาเปลือกนอกอก กรีดส่วนหัวให้รอบ แล้วกรีดหางลอกเปลือกออกเป็นอันเสร็จ แต่พอดู น.ส.สาหรอ ทำแล้วด้วยความที่มือเร็วมาก จนดูแทบไม่ทันเพราะเหมือนรวบรัดทุกขั้นตอนเอาไว้ทีเดียว

โดยแต่ละวัน น.ส.สาหรอ จะปอกเปลือกข้าวโพดอ่อนได้วันละประมาณ 100 กิโลกรัม และปอกได้มากกว่าคนอื่น ๆ 2-3 เท่าตัว และเป็นคนที่ทำเงินจากการปอกเปลือกข้าวโพดอ่อนมากที่สุด ไม่เคยมีใครทำลายสถิติได้

สอบถามสาหรอ บอกว่า ยึดอาชีพรับจ้างปอกเปลือกข้าวโพดอ่อนมานับ 10 ปี แรก ๆ ก็ปอกช้า แต่พอนานเข้าก็เริ่มเข้ามืออย่างที่เห็นในปัจจุบันและช่วงที่ทำใหม่ ๆ ก็มีบ้างที่พลาดโดนมีดบาด แต่ตอนนี้ไม่เคยถูกมีดบาดอีกเลย เพราะจังหวะการปอกทุกอย่างเข้าที่เข้าทางหมดแล้ว เรียกว่าแทบจะหลับตาปอกได้เลย สุดยอดจริง ๆ เวรี่กู๊ด

'หนุ่มอเมริกัน' ยอมรับ!! 'เมืองไทย' ดีกว่าหลายประเทศที่เคยอยู่'อิสรเสรี-มิตรไมตรี-วิถีชีวิต-วัฒนธรรม-การกิน' รวมๆ แล้วทรงเสน่ห์

 

เมื่อไม่นานมานี้ ช่องยูทูบ Thailand & The World ได้แชร์เรื่องราว ‘Wesly Thomas’ หนุ่มอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ตัดสินใจย้ายออกจากสหรัฐอเมริกา เพื่อไปใช้ชีวิตใหม่อยู่ในประเทศโคลอมเบีย ก่อนที่ชีวิตครอบครัวจะจบไม่สวยอย่างที่หวังเอาไว้ และตัดสินใจข้ามน้ำข้ามทะเลมาลองใช้ชีวิตอยู่ใน ‘เมืองไทย’ พร้อมเผยให้เห็นมุมมองใหม่ ๆ เกี่ยวกับที่นี่ โดยระบุว่า…

เมื่อเกือบ 4 ปีก่อน Wesly Thomas นักดนตรีหนุ่มชาวอเมริกัน เชื้อสายจีน-ฟิลิปปินส์ วัย 20 กลาง ๆ ได้ตัดสินใจขายทรัพย์สินต่าง ๆ ที่เขามีอยู่ เพื่อทําในสิ่งที่เขาต้องการ นั่นก็คือการออกเดินทางไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศ หลังจากที่ก่อนหน้านั้นเขาได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศเปรู ซึ่งทําให้เขารู้สึกแปลก ๆ เมื่อได้กลับมายัง ‘ลอสแอนเจลิส’ บ้านเกิดของเขาเอง มันเป็นเรื่องที่ฝืนความรู้สึก เพราะเขาไม่คิดว่าที่นั่นเป็นบ้านของเขาอีกต่อไป

ความรู้สึกที่อยากจะย้ายไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศชัดเจนมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเขาได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวใน ‘ยุโรป’ ยาวนานถึง 7 เดือน และพบกับเพื่อนคนหนึ่งที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์ ที่ได้ตัดสินใจขายสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ เพื่อออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลก ทำให้ Wesly Thomas คิดว่าในเมื่อเพื่อนคนนี้ของเขาทําได้ ทําไมตัวเขาเองจะทําไม่ได้ การอาศัยอยู่ในลอสแอนเจลิส ที่ทุกคนต้องทํางานแข่งขันกัน ก็ดูเหมือนจะเป็นอันตรายกับทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพกาย ซึ่งเขามองว่าสิ่งที่สําคัญกว่าก็คือ การได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ และการมีสุขภาพที่ดี 

อีกปัจจัยหนึ่งที่ทําให้เขาตัดสินใจได้ง่ายขึ้น คือความสัมพันธ์ที่ไม่ดีนักกับพ่อของเขาเอง ทําให้เขารู้สึกไม่สบายใจที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกา นั่นจึงเป็นที่มาของการตัดสินใจขายทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ และจองตั๋วเครื่องบินขาไปเที่ยวเดียวเพื่อที่จะไปอาศัยอยู่ใน ‘ประเทศโคลอมเบีย’ ที่เขาวางแผนเอาไว้ในตอนแรกว่าอาจจะลองอยู่ที่นั่นสัก 1 ปี แต่พอเข้าจริง ๆ เขาได้อยู่ที่นั่นนานถึง 3 ปีกว่า ทั้งนี้ เขาได้แต่งงานกับสาวชาวโคลอมเบีย และก็หย่าร้างในที่สุด

เหตุผลที่ Wesly Thomas ตัดสินใจย้ายออกจากโคลอมเบีย ก็คือการหย่าร้างที่นํามาสู่การถูกถอนวีซ่าในที่สุด นอกจากนั้น ยังมีเรื่องของการถูกขู่ฆ่า โดยพ่อของฝ่ายหญิงที่ไม่พอใจเขา ในขณะที่ Wesly Thomas ได้ให้เหตุผลของการหย่าร้างว่า “มันเป็นปัญหาที่ซับซ้อน” เพราะภรรยาของเขามักจะนําคนนอกเข้ามาเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตคู่อยู่เสมอ แถมยังมีปัญหาการนอกใจ ซึ่งเขาก็พยายามที่จะปรับตัว แม้กระทั่งการเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ ที่เขาเองมองว่าไม่ได้ตอบโจทย์ในชีวิตของเขาเลย วิดีโอบน YouTube กว่าครึ่งหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตในครอบครัว ก็ถูกอดีตภรรยาบังคับให้ลบออก นอกจากนั้นเขายังได้ถูกขู่ฆ่าหลายครั้ง จากบางคนที่ไม่พอใจการนําเสนอเรื่องราวบางอย่าง ที่ทําให้ค่าเช่าบ้านในเมืองเมเดยินสูงขึ้น ทําให้เขามองว่า การย้ายออกจากประเทศแห่งนี้ น่าจะเป็นคําตอบที่ดีที่สุด และไม่มีความคิดที่จะแต่งงานกับผู้หญิงชาวโคลอมเบียอีกต่อไป

สําหรับเหตุผลที่เขาต้องการเดินทางมายัง ‘ประเทศไทย’ ก็เพราะตัวเขาเองต้องการเดินทางกลับมายังเอเชีย สถานที่ที่เป็นรากเหง้าของเขาเอง เพราะที่ผ่านมา การที่ได้เติบโตขึ้น มีประสบการณ์ชีวิตต่าง ๆ มากมาย ทําให้เขาต้องการทราบถึงที่มาที่ไป และทําความรู้จักกับรากเหง้าของตัวเขาเองให้มากขึ้น เขาเลือกเมืองไทย เพราะเป็น ‘เมืองพุทธ’ ครอบครัวของเขาเป็นชาวพุทธ เขาอยากจะให้เวลากับการนั่งสมาธิ และฝึกฝนมวยไทย เรียนรู้การใช้ชีวิตในแบบไทย ๆ และยังสามารถไปเยี่ยมครอบครัวของเขาที่ฟิลิปปินส์ได้ หรือไปท่องเที่ยวในประเทศต่าง ๆ อย่างเช่น เวียดนาม ไปจนถึงตะวันออกกลาง เพื่อที่จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ รวมถึง ‘กัญชาเสรี’ ในเมืองไทย ก็นับเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ทําให้เขาตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

ในทันทีที่ Wesly Thomas เดินทางมาถึงเมืองไทย ก็ได้ออกตระเวนสํารวจพื้นที่ของกรุงเทพมหานครทันที ความรู้สึกแรกคือ เหมือนกลับมาในที่ที่เขาคุ้นเคย ทั้งผู้คนและอาหารที่ชื่นชอบ เขารู้สึกว่ามีอิสระในการที่จะทําอะไรก็ได้โดยที่ไม่มีใครสนใจ ต่างจากในโคลอมเบีย การเดินไปตามข้างทางที่นี่ก็ปลอดภัย แน่นอนว่าอาจจะมีพวกมิจฉาชีพล้วงกระเป๋า แต่จากการที่ได้เคยอาศัยอยู่ในโคลอมเบียมาถึง 3 ปีครึ่ง เขาบอกได้เลยว่า เขาไม่มีอะไรที่ต้องกลัวอีกแล้ว

Wesly Thomas ได้พูดถึงการเปิดเสรีเรื่องกัญชาที่ตอนนี้สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้ โดยไม่ผิดกฎหมาย มีร้านขายกัญชาอยู่มากมาย แต่ก็ไม่สามารถเสพในที่สาธารณะได้ จุดนี้ทําให้เขาคิดถึงโคลอมเบีย และราคากัญชาที่นั่นก็ถูกมากเมื่อเทียบกับไทยที่ราคายังถือว่าสูงอยู่ หลังจากนั้นเขาได้ออกเดินหาอะไรรับประทาน ในระหว่างที่เดินไปตามข้างทางเขารู้สึกสบายใจ และไม่ได้รู้สึกว่าแตกต่างไปจากคนที่นี่ ด้วยการที่เป็นคนเชื้อสายเอเชีย ซึ่งถ้าไม่ได้พูดคุยกับใคร ทุกคนก็คงคิดว่าเขาเป็นคนไทย ไม่มีใครสนใจเลย แม้ว่าเขากําลังถ่ายวิดีโออยู่ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ดี 

Wesly Thomas เผยว่า ตอนที่อยู่โคลอมเบีย เขาได้เรียนภาษาสเปนอย่างจริงจัง เพื่อที่จะสามารถสื่อสารกับคนที่นั่นได้ และยังเป็นภาษาที่เขาสนใจมาตั้งแต่เด็ก แต่ในเมืองไทยเขาไม่คิดว่าจะเรียนภาษาไทย เว้นเสียแต่ว่าจะตัดสินใจอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต ฉะนั้น เขาจะใช้ชีวิตในการเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ ของที่นี่ ในฐานะนักท่องเที่ยวจริง ๆ

หลังจากที่ได้ไปรับประทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่ง Wesly Thomas ตั้งข้อสังเกตว่า ในเมืองไทย คุณจะมีโอกาสเจอคนที่มีประสบการณ์ในการทํางาน หรือทําสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงสิ่งเดียวมานานหลายสิบปี และเขาได้ยกตัวอย่างร้านอาหารร้านนึงที่เปิดมายาวนานถึง 40 ปี ซึ่งเขาเคยคิดว่า คนพวกนี้อาจจะคิดอะไรแคบ ๆ แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาเป็นส่วนประกอบสําคัญของชุมชนที่พวกเขาอาศัยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคนขายของข้างทาง หรือแม้แต่ตํารวจ ที่คนกลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้รวมตัวกันจนเกิดเป็นชุมชนขึ้นมา

Wesly Thomas เดินสํารวจต่อพร้อมบอกว่า เขารู้สึกดีมากที่เห็นคนเชื้อชาติต่าง ๆ เดินเล่นตามที่สาธารณะอย่างสบายใจและปลอดภัย ซึ่งมันต่างจากที่ลาตินอเมริกาที่ทั้งอันตรายและมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นอยู่เสมอ จนดูเหมือนว่า การขโมยสิ่งของจากคนอื่น เป็นเรื่องปกติไปแล้ว ทั้งนี้ ชาวโคลอมเบีย เป็นคนที่มีความเป็นชาตินิยมสูง แต่สิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือ คนโคลอมเบียด้วยกันเอง หลังจากที่ได้เดินสํารวจมาสักพัก เขาได้พบว่า มีชาวต่างชาติมากมายที่มาอยู่ที่นี่ ทั้งคนญี่ปุ่น, จีน อินเดีย, บังกลาเทศ และตะวันออกกลาง ซึ่งรู้ได้จากร้านอาหารที่นี่

Wesly Thomas ได้เข้าไปเยี่ยมชมวัดแห่งหนึ่ง ทําให้นึกถึงบรรยากาศสมัยเด็ก ๆ จึงได้ถือโอกาสนี้เข้าไปทําการสักการะพระพุทธรูปด้านใน พร้อมกับบริจาคเงินบางส่วน ก่อนที่จะออกไปหาอะไรรับประทานต่อ เขาแนะนําว่า ร้านอาหารที่มีเจ้าของเป็น ‘คนสูงอายุ’ มักจะมี ‘รสชาติที่ดี’ เพราะสูตรอาหารมักจะมีการถ่ายทอดเคล็ดลับจากเจนเนอเรชั่นก่อน มาสู่เจนเนอเรชั่นใหม่ จากนั้นเขาเดินต่อไปยังสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง พร้อมบอกว่า “กรุงเทพฯ เป็นเมืองใหญ่ที่มีประชากรราว 13 ล้านคน แต่มันสะอาดมากจนน่าเหลือเชื่อ” 

Wesly Thomas ได้ทําคลิปวิดีโอสรุป ‘ความประทับใจแรก’ เกี่ยวกับเมืองไทยที่มีมากกว่า 10 อย่างด้วยกัน โดยในช่วงแรกของคลิปวิดีโอ เขาได้เปิดเผยว่า

“เมื่อ 20 กว่าปีก่อน เขาเคยมาท่องเที่ยวในเมืองไทยกับครอบครัว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทําให้เขารู้สึกรักและผูกพันกับ ‘ช้าง’ จนถึงกับทํารอยสักรูปช้างอยู่บนหน้าอก

สิ่งแรกเกี่ยวกับเมืองไทยที่เขาประทับใจ คือ ‘ความหลากหลายของผู้คน’ ถ้าคุณนึกถึงคนไทย คุณอาจจะคิดว่า เป็นคนเอเชียทั่วไปที่หน้าตาเหมือน ๆ กับเขา หรืออาจจะผิวคล้ำกว่าเล็กน้อย แต่ในกรุงเทพฯ ผู้คนดูแตกต่างหลากหลายมาก มีคนจํานวนมากมาจากตะวันออกกลาง, อินเดีย, ศรีลังกา และบังกลาเทศ คนเหล่านี้อาจจะเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2, 3 หรือ 4 ไปแล้ว พวกเขาพูดภาษาบ้านเกิด และสามารถพูดภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่ว อาจจะเพราะไทยมีภูมิประเทศ ที่ตั้งอยู่กึ่งกลางของภูมิภาค ถูกรายล้อมไปด้วยประเทศต่าง ๆ มากมาย อยู่ใกล้กับอินเดีย พม่า มากกว่าอยู่ใกล้ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้”

เมืองไทยยังเป็นแหล่งผลิตเสื้อผ้าอีกด้วย คนในประเทศเพื่อนบ้านจึงเดินทางเข้ามาทําธุรกิจเสื้อผ้าที่นี่ ซึ่งนําไปสู่เรื่องที่ 2 คือ เมืองไทยมีเสื้อผ้าราคาถูก คุณภาพดีมากมาย เสื้อผ้าที่นี่ราคาถูกมาก ๆ ที่เห็นวางขายตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ก็ถูกผลิตขึ้นในเมืองไทย และเขาก็ชอบแฟชันแบบไทย ๆ มาก เขาไม่ได้จะบอกว่ามันดูมีสไตล์มากที่สุด หรือดูดีที่สุด แต่มันดูชิล ผ่อนคลาย จากเสื้อผ้าทรงหลวม ๆ กางเกงขาสั้น และรองเท้าแตะ ซึ่งคนที่นี่นิยมใส่กัน แต่คุณจะไม่เห็นภาพแบบนี้ในลาตินในอเมริกา เพราะมันดูไม่ดี แต่ที่นี่ให้ความสําคัญกับการใส่เสื้อผ้าสบาย ๆ ซึ่งส่วนตัวของเขาเองก็ชอบแบบนี้

สะท้อนให้เห็นภาพเมืองไทยที่ดูสบาย ๆ ในการใช้ชีวิต คุณสามารถหาเสื้อผ้าแบรนด์เนมใส่จากห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ในราคาที่พอ ๆ กับที่อเมริกา แต่ถ้าคุณไปหาซื้อตามสถานที่บางแห่งอย่าง ‘แพลทินัม มอลล์’ คุณจะได้เสื้อผ้าที่มีราคาถูก และมีคุณภาพที่ดีมาก ๆ จากประสบการณ์ที่เขาได้เคยไปซื้อเสื้อผ้าหลายตัวที่นั่น ในราคารวมทั้งหมด เพียง 50 ถึง 60 เหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น เขาเลยอยากจะแนะนําให้คนดู เลิกซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนม และหันไปซื้อจากสถานที่พวกนี้แทน

Wesly Thomas เล่าต่อว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ปลอดภัยมาก อาจจะเพราะในภาพรวมที่เมืองไทยเป็นสังคมพุทธ จริงอยู่… คุณอาจจะเจอผู้หลอกลวงต้มตุ๋น พยายามหลอกเอาเงินจากคุณตามสถานที่ต่าง ๆ แต่ถ้าพูดถึงอาชญากรรมที่รุนแรงกว่านั้น อย่างการโจรกรรม หรือการลักพาตัว อย่างที่มักจะเจอในโคลอมเบีย คุณไม่ต้องห่วงเรื่องพวกนั้นหากมาอยู่ที่นี่ อีกอย่างการที่เป็นคนเอเชียหน้าตาไม่ต่างไปจากคนที่นี่ ทําให้เขาสามารถกลมกลืนกับสังคมเมืองไทยได้อย่างแนบเนียน

ในใจกลางกรุงเทพฯ คุณจะได้ยินเสียงดังต่าง ๆ โดยรอบ จากการก่อสร้างอาคารต่าง ๆ และรถโดยสาร แต่ในย่านที่เขาพักอาศัยอยู่ มันเงียบสงบมาก แทบไม่ได้ยินเสียงอะไรจากถนนเลย ส่วนในโคลอมเบีย คุณจะเจอคนเล่นดนตรีตามสถานที่ต่าง ๆ ที่มีเสียงดังมากทั้งวัน แต่ในเมืองไทยไม่มีเลย คนที่นี่ชอบอยู่เงียบ ๆ สบาย ๆ

เรื่องที่น่าสนใจต่อมาคือ การหารับประทานได้ง่ายมาก ๆ ที่นี่มีร้านอาหารดี ๆ เต็มไปหมด แม้แต่ในห้างสรรพสินค้า อาหารอร่อยและราคาถูก แต่เขาชอบรับประทานตามร้านอาหารทั่วไปมากกว่า เพราะรสชาติดีกว่าและราคาก็ถูกมาก ๆ

เหตุผลอีกอย่างที่ต้องการมาเมืองไทย คือการมาเรียน ‘มวยไทย’ ซึ่งเขาเคยเรียนทั้งการชกมวย บราซิลเลียนยิวยิตสู และเทควันโดมาก่อน โดยเขาวางแผนที่จะไปเรียนมวยไทยที่เชียงใหม่ ซึ่งยิมมวยไทยที่นี่มีอยู่มากมายให้เลือก มันเป็นเหตุผลที่หลายคนเลือกเดินทางมายังเมืองไทยด้วย เขาชอบการที่มวยไทยเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่นี่ ซึ่งช่วยทําให้คนมีระเบียบวินัยและรักสันติ มันสอนให้เรารู้จักการให้ความเคารพผู้อื่น นั่นเป็นเหตุผลที่ทําให้เขารักศิลปะการต่อสู้ นักชกที่ดีที่สุดก็มักจะเป็นคนที่สงบเสงี่ยมที่สุด คุณไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคุณอาจจะถูกใครสักคนที่เรียนมวยไทยเตะเอาก็ได้ นั่นทําให้ลดโอกาสในการกระทบกระทั่งกัน การเรียนศิลปะการต่อสู้จึงช่วยลดโอกาสการเกิดความวุ่นวายในสังคม อีกอย่างมันยังช่วยให้คุณสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้นอีกด้วย

Wesly Thomas ได้ตัดภาพไปที่ห้องน้ำในที่พัก ซึ่งเขาได้เล่าต่อว่า ห้องน้ำที่นี่ เวลาคุณอาบน้ำทุกอย่างจะเปียกไปหมด เพราะมันอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ทั้งส่วนที่ใช้อาบน้ำและโถส้วม แต่ด้วยอากาศที่ร้อนในเมืองไทย ทุกอย่างสามารถแห้งได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งข้อดีของมัน เหมือนคุณได้ทําความสะอาดห้องน้ำเป็นประจํา มันดูสมเหตุสมผลดีที่จัดเลย์เอาท์ห้องน้ำแบบนี้ เครื่องทําความอุ่นที่นี่ก็ต่างไปจากโคลอมเบีย หรือแม้แต่เวียดนาม ที่มักจะใช้เครื่องทําความอุ่น ติดตั้งอยู่ทางด้านหลังของฝักบัว ในขณะที่เมืองไทย มีเครื่องทําความอุ่นแยกออกมาต่างหาก

เรื่องต่อมาคือการเปิด ‘เสรีกัญชา’ ซึ่งไทยเพิ่งเปิดเสรีกัญชาไปได้ราว 1 ปีกว่า ๆ แทบทุกแห่งที่คุณไป คุณจะเห็นร้านกัญชาเต็มไปหมด

อีกเรื่องคือ ในโคลอมเบีย คุณจะเห็นสาวสวยมากมาย แต่ในเมืองไทย อเมริกา และในอีกหลายประเทศ เขาขอพูดตรง ๆ ว่า คุณจะกลับมาสู่ความเป็นจริง มันไม่ได้มีสาวสวยมากมายเหมือนในโคลอมเบีย เขาไม่ได้กําลังจะบอกว่า เมืองไทยไม่ได้มีคนสวยเหมือนในโคลอมเบีย เขาเพียงแต่คิดว่าคนที่นี่ไม่ให้ความสําคัญกับการแต่งตัวสวย ๆ เหมือนในประเทศอื่น อย่างโคลอมเบีย หรือในประเทศแถบเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ ผู้คนที่นี่เลือกที่จะแต่งตัวแบบสบาย ๆ มากกว่า บางทีเขาอาจจะต้องลองไปเดินตามห้างหรู ๆ หรือที่ที่มีคนรวยอาศัยอยู่

ในเมืองไทยยังมีร้านสะดวกซื้ออย่าง ‘เซเว่น อีเลฟเว่น’ เต็มไปหมด และมีทุกอย่างขาย รวมไปถึงยารักษาโรคบางอย่างอีกด้วย

สิ่งที่เขาสังเกตเห็นอีกอย่างก็คือ ชาวยุโรปจํานวนมาก ที่อาศัยอยู่ในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นชาวดัตช์ อังกฤษ เยอรมัน หรือแม้แต่คนอเมริกัน ต่างพยายามปรับตัวให้เข้ากับ ‘วัฒนธรรมไทย’ พวกเขาไม่ได้พยายามจะนําสิ่งต่าง ๆ ในตะวันตกมาใส่ให้กับสังคมไทย ต่างจากที่โคลอมเบียที่ทุกอย่างแทบจะเป็นนาฬิกาไปแล้ว เมืองไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม แต่พวกเขาสามารถรักษาความเป็นไทยเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ดูเหมือนว่าคนที่นี่จะภูมิใจในความเป็นไทยมาก ๆ พวกเขาจึงพยายามรักษาวัฒนธรรมไทยเอาไว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง

Wesly Thomas เผยว่า ในเมืองไทยทิศทางการขับรถจะสวนทางกับที่อื่น ๆ แต่ที่น่าสนใจกว่านั้น ทุกแยกของถนนจะมีสัญญาณไฟนับเวลาถอยหลัง

เมืองไทยเป็นประเทศที่มี ‘พระมหากษัตริย์’ ทรงเป็นประมุข คุณสามารถสังเกตได้จากพระบรมฉายาลักษณ์ ตามสถานที่ต่าง ๆ เต็มไปหมด

“ในเมืองไทยคงไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นเท่ากับการได้นั่งวินมอเตอร์ไซค์ โดยที่ไม่ได้สวมหมวกกันน็อกอีกแล้ว” ก่อนที่ Wesly Thomas กล่าวทิ้งท้าย โดยเขายังได้พูดถึงเชียงใหม่สถานที่ท่องเที่ยวต่อไปของเขา และนั่นก็คือความประทับใจแรกต่อเมืองไทย ในสายตาของหนุ่มชาวอเมริกัน ที่นําเสนอมุมมองบางอย่าง ที่อาจจะแตกต่างไปจากนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ 

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมคุณแม่สุมิตรา เข้ารับพระราชทานรางวัลงานวันแม่แห่งชาติ ประจำปี 2566


เมื่อวันที่ 13 ส.ค.66 เวลา 17.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย คุณแม่สุมิตรา หักพาล เข้าร่วมงานวันแม่แห่งชาติ ประจำปี 2566 ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ ชั้น 4 ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ แจ้งวัฒนะ พร้อมเข้ารับพระราชทานรางวัลแม่ดีเด่นแห่งชาติ และโล่เกียรติคุณลูกที่มีความกตัญญูกตเวทีอย่างสูงต่อแม่ ประจำปี 2566 จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  

พิธีดังกล่าวจัดขึ้นโดยสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมีหน่วยงานราชการและองค์กรต่างๆ เข้าร่วมเฉลิมพระเกียรติของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 91 พรรษา และเพื่อยกย่อง เทิดทูนพระคุณ และบทบาทของมารดาที่มีต่อสถาบันครอบครัวและสังคม นอกจากนี้ มีการพระราชทานรางวัลแม่ดีเด่นประจำปี 2563 – 2566 รวมกว่า 252 คน พระราชทานโล่เกียรติคุณแก่ลูกที่มีความกตัญญูกตเวทีอย่างสูงต่อแม่ ประจำปี 2566 จำนวน 164 คน, พระราชทานโล่รางวัลแก่ผู้ชนะเลิศการประกวดงานเขียนเทิดพระคุณของแม่ จำนวน 3 คน และพระราชทานโล่เกียรติคุณแก่ผู้มีอุปการคุณ จำนวน 80 คน ซึ่งในวันนี้ คุณแม่สุมิตรา หักพาล มารดาของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับพระราชทานพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นคุณแม่ดีเด่นประจำปี 2566 และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังได้รับคัดเลือกให้เข้ารับพระราชทานโล่เกียรติคุณลูกที่มีความกตัญญูกตเวทีอย่างสูงต่อแม่ ประจำปี 2566  อีกด้วย

'ชัยวุฒิ' ร่วม 'บวงสรวง-เททองหล่อ' ชนวนนำฤกษ์วัตถุมงคลพญาครุฑ รุ่น 'สมบัติแผ่นดิน 140 ปี ไปรษณีย์ไทย' คงไว้ซึ่งศิลป์แห่งปฐมบท

เมื่อวานนี้ (13 ส.ค.66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานในพิธีบวงสรวงและเททองหล่อชนวนนำฤกษ์วัตถุมงคลพญาครุฑ รุ่น 'สมบัติแผ่นดิน 140 ปี ไปรษณีย์ไทย' เพื่อสืบสานตำนานศิลป์ปฐมบท 'ครุฑยุดแตรงอน' สัญลักษณ์ของกรมไปรษณีย์โทรเลข โดย สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี หรือ เจ้าคุณธงชัย เจ้าคณะใหญ่หนกลาง กรรมการมหาเถสมาคม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหารเป็นประธานพิธีฝ่ายสงฆ์ ณ ไปรษณีย์กลาง บางรัก กรุงเทพฯ

ทั้งนี้ วัตถุมงคลพญาครุฑฯ จำลองมาจากประติมากรรมที่ประดับบนอาคารไปรษณีย์กลาง ซึ่งออกแบบโดยศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี

กาลเทศะ ‘ชาวเน็ต’ สวดยับ!! สาวเต้นเซิ้งบนรถไฟญี่ปุ่น เสียมารยาท พอโดนสอนกลับด่าสาระแน แถมเหยียดเคยไปญี่ปุ่นรึยัง

ดรามา!! แก๊งคนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่น เซิ้งบนรถไฟถ่าย TikTok เอาคอนเทนต์ จนคนมองเพียบ ทั้งที่เป็นมารยาทที่ญี่ปุ่นห้ามคุยกันบนรถไฟ พอคนไปเตือนกลับโดนด่าสาระแน บอกคนญี่ปุ่นเขาโอเพ่น

การเดินทางบนรถสาธารณะต้องคำนึงถึงคนอื่นเป็นสำคัญ ไม่ส่งเสียงดัง ไม่ทานอาหาร ไม่ยืนขวางประตู และไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับใคร ถือเป็นมารยาทขั้นพื้นฐานที่ต้องพึงนึกถึงเอาไว้ และยิ่งไปในต่างแดนแล้ว ยิ่งต้องศึกษาและระมัดระวังเรื่องมารยาทมากกว่าเดิม มิเช่นนั้นอาจนำมาซึ่งความอับอายให้กับเพื่อนร่วมชาติได้

ล่าสุด ในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์คลิปของสาวไทยคนหนึ่ง ที่ขึ้นรถไฟในญี่ปุ่น แต่เธอกลับไม่รักษามารยาท ส่งเสียงดังและเต้นเซิ้งเพื่อถ่ายคอนเทนต์ TIkTok จนคนญี่ปุ่นและคนต่างชาติที่อยู่ด้านหลังต่างมองกันเป็นตาเดียว แต่เธอก็ไม่ได้แคร์และยังคงถ่ายคลิปต่อ อีกทั้งยังพบว่าเธอไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อต้องขึ้นรถไฟในญี่ปุ่นด้วย

ทั้งนี้ บนรถไฟในญี่ปุ่นนั้น จะมีการติดป้ายและขอความร่วมมือผู้ที่ใช้รถไฟให้ปิดเสียงโทรศัพท์ งดการพูดคุยหรือส่งเสียงดังที่ก่อให้เกิดการสร้างความรำคาญต่อผู้โดยสารคนอื่น หากใครที่ต้องการรับสายหรือพูดคุยเรื่องงานหรือในเรื่องที่จำเป็น ก็จะเดินไปคุยตรงรอยต่อของขบวน และพูดคุยด้วยเสียงเบาเพื่อรบกวนคนอื่นให้น้อยที่สุด

หลังจากที่คลิปนี้เผยแพร่ออกไป ก็มีคนเข้ามาคอมเมนต์และสอนมารยาทสาวคนนี้อย่างมาก และเธอก็โต้กลับอย่างเผ็ดร้อน เช่น เมื่อมีคนบอกว่า ไม่อายเหรอ เธอกลับตอบว่า “คนญี่ปุ่นเขาเปิดรับกับเรื่องแบบนี้ พี่เคยไปญี่ปุ่นยังคะ โลกไปถึงไหนแล้ว” หรืออีกคนที่บอกว่า ไปโชว์บ้านนอกให้ต่างชาติดู เธอก็ตอบกลับว่า “แต่ยังดีมีเงินไปเที่ยวให้ต่างชาติดู แล้วคุณล่ะไปบ้างยัง หรืออยู่แค่…”

อีกคนที่มาบอกว่า คนไทยควรปลูกฝังมารยาทในที่สาธารณะมากกว่านี้ คนไทยบางคนเรียนรู้แล้ว แต่บางคนยัง เธอก็ตอบว่า “มันเป็นสิทธิส่วนบุคคลอ่ะเนอะ จะเต้น จะรำ มันก็ตัวฉันเอง ไม่เกี่ยวกับคุณเลย หรืออยากทำบ้าง? ลองลงรูปตัวเองดู อยากเห็นหน้าคนเมนต์คนนี้จัง” และอีกคนที่บอกว่า “ไม่เกรงใจคนอื่นเวลาถ่ายติดหน้าเขาเหรอ” เธอก็ตอบว่า “ถ้าติดหน้าคุณก็ไปแจ้ง พรบ. คอมพิวเตอร์เอานะ สาระแน” และ สายตาของคนเสื้อดำคือคำตอบ มารยาทสอนไม่ได้เนอะ เธอก็ตอบว่า “สอนตัวเองก็พอเนอะ ไม่ต้องสาระแนสอนคนอื่น อุอิ”

อย่างไรก็ตาม พบว่าคลิปนี้เธอไม่ได้ทำคนเดียว แต่เพื่อน ๆ ก็ยังทำเหมือนกัน โดยมีอีกคลิปที่ทั้งแก๊งนี้ตั้งกล้องถ่ายในพื้นที่สาธารณะที่มีคนเดินพลุกพล่าน และมีคนมองเข้ากล้องกันเป็นจำนวนมาก แต่กลับไม่สนใจ และยังอ้างว่าคนญี่ปุ่นค่อนข้างเป็นมิตร ไปไหนก็มีแต่คนทักขอถ่ายรูป ที่ตรงนั้นก็ที่สาธารณะด้วย

ด้านคนไทยหลายคนที่เห็นต่างไม่พอใจอย่างหนัก เข้าไปรุมต่อว่าถึงความไม่มารยาท และยืนยันว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่แค่ห้ามทำที่ญี่ปุ่น แต่ที่ไหนก็ไม่ควรทำแม้กระทั่งประเทศไทย ไม่ใช่ทุกคนจะสนุกกับการใช้พื้นที่สาธารณะถ่ายทำคอนเทนต์ บางคนก็บอกว่า การที่คนญี่ปุ่นมองแต่ไม่พูด ไม่ได้หมายความเขาโอเค จะทำอะไรนอกจากจะให้เกียรติคนอื่นแล้ว ก็ควรให้เกียรติตัวเองด้วยเช่นกัน

‘รมว.สุชาติ’ ห่วงคนหางาน ถูกนายหน้าหลอกไปทำงานที่ดูไบ ลวงให้ใช้วีซ่าท่องเที่ยวทำงาน ย้ำ!! อย่าหลงเชื่อเด็ดขาด

(13 ส.ค. 66) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากฝ่ายแรงงานประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ว่ามีแรงงานไทยถูกนายหน้าชักชวนให้มาทำงานออนไลน์ผิดกฎหมาย ที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ผ่านเฟซบุ๊ก เพจ ‘คนไทยในดูไบ’ โดยประกาศรับสมัครพนักงานการตลาด แอดมิน และระบุอย่างชัดเจนว่าให้ทำงานเว็บพนันออนไลน์ เมื่อไปถึงนายจ้างจะยึดหนังสือเดินทางไว้ และให้หลอกคนไทยผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อมาลงทุน หรือหลอกลวงเอาทรัพย์สิน เมื่อปฏิเสธการทำงาน นายจ้างจะคิดค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนมาก

ซึ่งที่ผ่านมามีเหยื่อหลงเชื่อและเดินทางไปทำงานหลายราย  แต่เมื่อเกิดปัญหามักเอาผิดกับนายจ้างไม่ได้เนื่องจากไม่มีหลักฐาน เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้เอามือถือเข้าสถานที่ทำงาน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาผมได้กำชับกรมการจัดหางานให้ทำงานอย่างหนักเพื่อกวาดล้างมิจฉาชีพที่หลอกลวงคนไทยไปทำงานต่างประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจลักลอบทำงานผิดกฎหมาย พร้อมประกาศเตือนและได้ประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังพบกรณีแรงงานไทยถูกหลอกไปทำงานผิดกฎหมายอยู่บ้าง ซึ่งส่วนหนึ่งเดินทางไปด้วยความสมัครใจ จึงขอย้ำเตือนผู้ที่คิดจะลักลอบเดินทางไปทำงานต่างประเทศโดยวิธีผิดกฎหมายว่าไม่คุ้มค่า เพราะอาจไม่ได้ทำงานตามที่ตกลง ถูกบังคับใช้แรงงาน และเสี่ยงถูกทำร้ายร่างกาย

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางาน ต้องทำงานอย่างเข้มงวดและเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นเพื่อป้องกันมิให้คนไทยตกเป็นเหยื่อโดยการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้วิธีเดินทางไปทำงานต่างประเทศถูกต้องตามกฎหมาย 5 วิธี ได้แก่ บริษัทจัดหางานจัดส่ง, กรมการจัดหางานจัดส่ง, เดินทางไปทำงานด้วยตนเอง, นายจ้างในประเทศไทยพาลูกจ้างไปทำงาน และนายจ้างในประเทศไทยส่งลูกจ้างของตนไปฝึกงาน

และเตือนภัยคนหางานให้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมกลโกงของมิจฉาชีพ ผ่านสื่อต่างๆ รวมทั้งปราบปรามผู้กระทำความผิด ตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 (ช่วงเดือน  ตุลาคม 2565 – กรกฎาคม 2566) ที่ผ่านมาดำเนินคดี ตามมาตรา 66 กับผู้ที่กระทำการโฆษณาชักชวนคนหางานไปทำงานต่างประเทศผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ข้อหา “โฆษณาการจัดหางานไม่เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด” จำนวน 36 คดี ตรวจพบการกระทำความผิดของสาย/นายหน้า ทั้งสิ้น 142 ราย ผู้เสียหายถึง 471 คน ค่าเสียหาย 32,750,330 บาท

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจไปทำงานต่างประเทศสามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศที่ตนจะเดินทางไปทำงาน เพื่อป้องกันการหลอกลวงผ่านระบบ e – Service กรมการจัดหางาน ที่เว็บไซต์ doe.go.th หรือเว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ doe.go.th/overseas หรือที่ Facebook : กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

‘ส.ก.วิพุธ’ จี้!! กทม. ตรวจเข้มร้านที่ สส.ก้าวไกลมีเรื่องวิวาท พบเปิดเกินเวลา-ส่งเสียงรบกวน ชาวบ้านเคยร้องเรียนแต่ไร้ผล

(13 ส.ค. 66) นายวิพุธ ศรีวะอุไร ส.ก.เขตบางรัก กล่าวถึงกรณีเหตุทะเลาะวิวาทระหว่าง สส.พรรคก้าวไกล กับประชาชนรายหนึ่ง ในสถานบันเทิงซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เขตบางรัก ว่า เหตุทะเลาะวิวาทในสถานบันเทิงดังกล่าว ตามที่ปรากฏในคลิปเกิดขึ้นในช่วงเวลา 02.30 น. ซึ่งเป็นการเปิดเกินเวลา และไม่ใช่ครั้งแรกที่พบว่ามีการเปิดเกินเวลา เหตุการทะเลาะวิวาทที่เกิดขึ้นทุกครั้ง ส่งผลให้ประชาชนที่พักอาศัยอยู่ในบริเวณนั้นไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

นายวิพุธกล่าวว่า ประชาชนเคยร้องเรียนร้านนี้มาที่สภากรุงเทพมหานครแล้ว ในเรื่องของการเกินเวลา และส่งเสียงรบกวนทำให้ผู้คนแถวนั้นได้รับผลกระทบ ไม่สามารถพักผ่อนและใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยประชาชนได้แจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ แต่ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขให้แต่อย่างใด

ล่าสุดได้ร้องเรียนมาที่ตน ในฐานะรองประธานคณะกรรมการปกครองและรักษาความสงบเรียบร้อย ของสภากรุงเทพมหานคร จึงขอให้กรุงเทพมหานครและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้มงวดกับร้านอาหารที่เปิดเกินเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในอนาคต

‘CPALL’ อนุมัติโครงการสะสมหุ้นสำหรับพนักงาน ครั้งที่ 4 หนุนการมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ-สร้างความจงรักภักดีกับองค์กร

เมื่อวันที่ 12 ส.ค. 66 บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ‘CPALL’ แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2566 ได้มีมติอนุมัติโครงการสะสมหุ้นสำหรับพนักงาน ครั้งที่ 4 (Employee Joint Investment Program – EJIP) ซึ่งโครงการดังกล่าวเกิดจากการที่บริษัท และ บริษัทย่อย มีนโยบายให้พนักงานได้มีส่วนร่วมในความเป็นเจ้าของบริษัท และเกิดความจงรักภักดีอยู่กับองค์กร โดยโครงการดังกล่าว เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2566 ถึงวันที่ 30 ก.ย. 2569 รวมระยะเวลา 3 ปี

ทั้งนี้ พนักงานที่เข้าร่วมโครงการต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
- เป็นพนักงานตั้งแต่ระดับผู้ช่วยผู้จัดการแผนกหรือเทียบเท่าขึ้นไป โดยเป็นไปตามความสมัครใจของผู้ที่มีสิทธิเข้าร่วมโครงการ ทั้งนี้ไม่รวมกรรมการบริษัทฯ และ ที่ปรึกษา
- พนักงานจะต้องมีอายุการทำงาน นับจนถึงวันเริ่มจ่ายเงินสะสมไม่น้อยกว่า 3 ปี
- พนักงานที่มีอายุการทำงานไม่ครบ 3 ปี ต่อมาภายหลังมีอายุการทำงานครบ 3 ปี ให้มีสิทธิสมัครเข้าร่วมโครงการได้ตามรอบของระยะเวลาที่บริษัทฯ กำหนดไว้
- กรณีที่พนักงานได้รับการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชาหรือผู้บริหารให้มีสิทธิสมัครเข้าร่วมโครงการได้ เมื่อมีอายุงานรวมแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี

รูปแบบของโครงการ
1.) บริษัทและบริษัทย่อยจะหักเงินเดือนพนักงานผู้ที่มีสิทธิและสมัครใจเข้าร่วมโครงการในอัตราร้อยละ 5 ของเงินเดือนทุกเดือนจนกว่าจะสิ้นสุดโครงการเพื่อสะสมเข้ากองทุน
2.) บริษัทและบริษัทย่อยจะจ่ายสมทบเพิ่มเข้ากองทุนในอัตรา 80% ของเงินที่หักจากพนักงานทุกเดือน
3.) บริษัทหลักทรัพย์ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากบริษัทให้เป็นผู้ดำเนินการโครงการ จะนำเงินสะสมของพนักงานรวมกับเงินสมทบของบริษัท และบริษัทย่อยไปทำการซื้อหุ้น CPALL ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในวันที่กำหนดของทุกเดือน

ผลประโยชน์ในหุ้น
- เงินปันผลจะตกเป็นของพนักงานโดยตรง
- ผลประโยชน์ด้านราคาจะตกเป็นของพนักงานเมื่อมีการขาย
- พนักงานสามารถใช้สิทธิอื่นๆ ในหุ้นที่ถือ เช่น สิทธิการจองหุ้นเพิ่มทุน ใบสำคัญแสดงสิทธิการเข้าประชุมผู้ถือหุ้น

วิธีการขายหุ้นในโครงการ
- พนักงานไม่มีสิทธิขายหุ้นจนกว่าจะครบกำหนดอายุโครงการ เว้นแต่ พ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน ถึงแก่กรรม ขอลาออกจากโครงการ หรือ เกษียณอายุ
- บริษัทกำหนดให้พนักงานที่เข้าร่วมโครงการมีสิทธิขายหุ้นก่อนครบกำหนดอายุโครงการได้เมื่อโครงการมีอายุครบครึ่งหนึ่ง (1 ปี 6 เดือน) โดยให้ขายหุ้นได้ในจำนวนไม่เกินครึ่งหนึ่งของจำนวนหุ้นที่มีอยู่
- พนักงานที่ขอลาออกจากโครงการจะไม่มีสิทธิได้เงินสมทบของบริษัท ในระยะเวลาที่เหลือของโครงการ รวมทั้งไม่มีสิทธิสมัครเข้าร่วมโครงการในครั้งถัดไป 1 ครั้ง (ถ้ามี)

‘มหาดไทย’ ออกระเบียบใหม่ วิธีจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุปี 66 ชี้!! ผู้ที่ไม่มีสิทธิ แต่ได้รับเบี้ยไปก่อนหน้า ไม่ต้องเรียกเงินคืน

(13 ส.ค. 66) ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ระเบียบกระทรวงมหาดไทยฉบับใหม่ หลักเกณฑ์จ่ายเงินเบี้ยยังชีพ ผู้สูงอายุ พ.ศ. 2566 มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่ 12 สิงหาคม 2566 ระบุหากผู้สูงอายุที่ไม่มีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ แต่ได้รับเงินเบี้ยยังชีพด้วยความสุจริต ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระงับสิทธิ แต่ยกเว้นไม่ต้องเรียกเงินคืน

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566 ลงนามโดยพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

ระเบียบดังกล่าวระบุว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุง หลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 69 และมาตรา 77 แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 5 และมาตรา 88 แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 มาตรา 6 และมาตรา 90 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. 2542 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงออกระเบียบไว้ ดังนี้

ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพ ผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566”

บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง ประกาศ หรือมติอื่นใดซึ่งขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้ ให้ใช้ระเบียบนี้แทน

ข้อ 2 ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป)

สาระสำคัญของระเบียบฉบับนี้
ข้อ 4 ในระเบียบนี้ ‘ผู้สูงอายุ’ หมายความว่า บุคคลซึ่งมีอายุหกสิบปีบริบูรณ์ขึ้นไป ‘เบี้ยยังชีพ’ หมายความว่า เงินที่รัฐมอบให้แก่ผู้สูงอายุตามกฎหมายเพื่อใช้ในการยังชีพ

‘องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น’ หมายความว่า ‘เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล และเมืองพัทยา’ ‘ผู้บริหารท้องถิ่น’ หมายความว่า ‘นายกเทศมนตรี นายกองค์การบริหารส่วนตาบล และนายกเมืองพัทยา’

หมวด 1 คุณสมบัติของผู้มีสิทธิจะได้รับเงินเบี้ยยังชีพ

ข้อ 6 ผู้มีสิทธิจะได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
(1) มีสัญชาติไทย
(2) มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(3) มีอายุหกสิบปีบริบูรณ์ขึ้นไป ซึ่งได้ยืนยันสิทธิขอรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ต่อองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น
(4) เป็นผู้ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุกำหนด

ขณะที่ในหมวด 5 ข้อ 14 ระบุ สิทธิของผู้มีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุตามระเบียบนี้สิ้นสุดลงในกรณี ดังต่อไปนี้
(1) ตาย
(2) ขาดคุณสมบัติตามข้อ 6
(3) แจ้งสละสิทธิการขอรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็นหนังสือต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ตนมีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

กรณีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุดังกล่าวสิ้นสุดลงตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนสั่งระงับการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุสำหรับบุคคลดังกล่าว

ทั้งนี้ หากผู้สูงอายุที่ไม่มีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ แต่ได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุด้วยความสุจริต ให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนรายงานผู้บริหารท้องถิ่นทราบ เพื่อระงับการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพ ผู้สูงอายุต่อไป โดยยกเว้นการเรียกเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุคืน

นอกจากนี้ ในบทเฉพาะกาล ข้อ 17 ระบุว่า บรรดาผู้สูงอายุที่ได้ขึ้นทะเบียนและรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อยู่ก่อนวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ ให้ยังมีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นต่อไป

การดำเนินการใดที่ดำเนินอยู่ก่อนวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของระเบียบฉบับนี้ ให้ถือว่าการดำเนินการนั้น เป็นการดำเนินการโดยชอบด้วยระเบียบนี้แล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top