Thursday, 22 May 2025
NEWS

‘นักเรียน’ ครีเอทชุดรีไซเคิล ‘ไททานิก’ แถมแล่นได้จริง ชาวเน็ตสุดเอ็นดู!! แห่แซว ชนะแบบล้มลุกคลุกคลาน

เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 66 ได้ผู้ใช้ TikTok รายหนึ่ง ชื่อ @kaewta_wilawan โพสต์คลิปการประกวดชุดรีไซเคิล เนื่องในวันสัปดาห์วิทยาศาสตร์ จนเรียกเสียงฮือฮาในโลกโซเชียล และเสียงชื่นชมจากชาวเน็ตจำนวนมาก พร้อมและข้อความระบุว่า…

“รางวัลชนะเลิศจ้า👍👏#ประกวดชุดรีไซเคิล #สัปดาห์วิทยาศาสตร์ #วิทยาศาสตร์ #เรือไททานิค #โรงเรียนวัดราชโอรส”

ในคลิปเป็นภาพการประกวดชุดรีไซเคิล ในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในแขวงบางขุนเทียน เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร

มีชุดหนึ่งที่โดดเด่น ด้วยไอเดียและการออกแบบที่ไม่เหมือนใคร เพราะมีนักเรียนคนหนึ่งออกแบบชุดรีไซเคิลเป็น ‘เรือไททานิก’ ที่ทำจากลังกระดาษเหลือใช้ และขวดน้ำอัดลม

แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ เรือลำนี้สามารถ ‘แล่น’ ได้จริง จนสร้างความฮือฮาและเสียงหัวเราะให้กับนักเรียนทั้งโรงเรียน และคนที่ชมคลิปจากทาง TikTok จำนวนมาก

โดยสาเหตุที่ทำให้เรื่องลำนี้แล่นได้นั้น เพราะนักเรียนคนดังกล่าวแต่งตัวด้วยชุดเรือไททานิก และใช้ ‘สเกตบอร์ด’ ในการเลื่อนตัวเอง เพื่อให้เหมือนกับว่าเรือกำลังแล่นอยู่จริงๆ

และพบว่า นักเรียนคนดังกล่าว ได้รับรางวัล ‘ชนะเลิศ’ จากการประกวดครั้งนี้ด้วย!!

หลังจากคลิปดังกล่าวเผยแพร่ไป มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก เช่น

“เกมส์ซ่า ท้ากึ๋นมากกก”
“ก็ไม่คิดว่าจะคลานมา”
“คนอื่นเน้นขายสวย อันนี้เน้นเป็นตำนานล้มลุกคลุกคลานแถมได้รางวัลด้วย”
“ละชุดอื่นที่เดินผ่านไปไม่มีคนมองเลยนะ เล่นใหญ่เกิ้น ยอม”
“เฟี้ยวมากก ทำได้ไงเนียย ปรบมือๆๆ”
“เล่นใหญ่มาก”
“แอนนาอึ้ง กรรมการอึ้ง ครูนักเรียนอึ้ง”
“ต้องให้รางวัลความคิดสร้างสรรค์ ความฉลาดและความพยายาม”
“น้องผู้ชายขวามือถึงกับขยี้ตาแล้วหันไปมอง”

วปอ. รวมพลัง สถาบันพระปกเกล้า บอก ”รักเมืองไทย“ กระหึ่มสนามศุภฯ ผ่านการแสดงสะท้อนสังคม รักความเป็นชาติไทย

วันที่ 26 สิงหาคม ที่ สนามศุภชลาศัย พลเอก เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธาน เปิดการแข่งขันฟุตบอลประเพณี วปอ.-สถาบันพระปกเกล้า ภายใต้แนวคิด “รักเมืองไทย” ชิงถ้วยรางวัลสภากาชาดไทย และ ชิงถ้วยรางวัลจาก พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์  ปีนี้จัดขึ้นเป็นปีแรก 

บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก ทั้ง คณาจารย์ ศิษย์เก่า และศิษย์ปัจจุบันของ วปอ. และ สถาบันพระปกเกล้า ประกอบด้วย หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสําหรับนักบริหารระดับสูง (ปปร.) หลักสูตรการเสริมสร้างสังคมสันติสุข (4 ส.) หลักสูตรการบริหารงานภาครัฐและกฎหมายมหาชน (ปรม.) หลักสูตรการบริหารเศรษฐกิจสาธารณะสําหรับนักบริหารระดับสูง (ปศส.) เข้าร่วมกิจกรรมกันอย่างล้นหลาม

ทั้งนี้ได้รับเกียรติจาก พล.ท.ชาติชาย ชัยเกษม ผู้อํานวยการวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท องคมนตรี นายถิรชัย วุฒิธรรม ประธานมูลนิธิเพื่อนักกีฬาไทย พล.อ.ราชรักษ์ เรียนพืชน์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ สถานีวิทยุโทรทัศน์ ททบ.5 พล.อ.วิชัย ชูเชิด ผู้บัญชาการสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ พล.อ.อ.คงศักดิ์ จันทรโสภา รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด นายวิทวัส ชัยภาคภูมิ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า  ดร.ถวิลวดี บุรีกุล รองเลขาธิการ สถาบันพระปกเกล้า ดร.ธิติมา หล่อพิพัฒน์ นายกสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้า พล.อ.มารุต ปัชโชตะสิงห์ สมาชิกวุฒิสภา ร่วมงาน

โดยกิจกรรมเริ่มขึ้นด้วยการแสดงวงดุริยางค์ ของกองบัญชาการกองทัพไทย จากนั้นเป็นการร่วมแสดงของศิษย์ทั้งสองสถาบัน โดยเนื้อหาแสดงถึงความเสียสละ ความรัก ความสามัคคี นำมาซึ่งการรักษาความเป็นไทย มาถึงปัจจุบัน ต่อด้วยขบวนพาเหรด 

สิ่งที่น่าสนใจต้องยกให้การเดินขบวนพาเหรดที่ทั้ง 2 สถาบันได้สะท้อนสังคม รักความเป็นชาติไทย ที่ทั้งสองฝั่ง วปอ.-สถาบันพระปกเกล้า ทำออกมาได้รับเสียงปรบมือสนั่นสเตเดียมเลยทีเดียว รวมไปถึงการเชียร์ของทั้งสองทีม แบบจัดเต็มจัดหนัก เสียงดังสนั่นทั่วทั้งสนามศุภชลาศัย 

ไฮไลต์เป็นการแสดงชุด "รักเมืองไทย" ด้วยการใช้โทนสีแดง ขาว น้ำเงิน ที่แสดงถึง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ฉากแรกเริ่มต้น การแสดงกล่าวถึงความเสียสละของคนไทยสมัยก่อน ที่ร่วมกันปกป้องผืนแผ่นดินไทย

ฉากที่สองกล่าวถึงความหลากหลายของศาสนาในประเทศไทย ถึงแม้จะมีความแตกต่างกัน แต่ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ 

ฉากที่สามกล่าวถึงสถาบันกษัตริย์ ความสามัคคีของคนไทย ไม่ว่าจะอยู่ภาคไหนของไทย ก็ร่วมกันสามัคคี เพื่อถวายแด่พ่อหลวงของปวงไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน

ฉากที่สี่กล่าวถึงประเพณีสี่ภาค การแสดง ศิลปะและประเพณีของแต่ละภาค เริ่มต้นจากภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ ภาคกลาง 

ฉากที่ห้ากล่าวถึงความแตกต่างของเอกลักษณ์และประเพณีของแต่ละภาค ถึงแม้จะแตกต่างกันแต่ทุกความแตกต่างล้วนแสดงถึงความเป็นไทยอย่างลงตัว

ส่วนขบวนพาเหรด "ผสานใจ รักษ์เมืองไทยยั่งยืน" ได้สื่อถึงความสมานฉันท์ของคนไทยที่มีความเทิดทูนจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ผ่านการแสดงพลังของศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันของทั้ง 2 สถาบัน กว่า 200 คน ร่วมขบวนพาเหรดเชิญถ้วยรางวัล และแสดงถึงพลังแห่งความสามัคคี ปรองดอง และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

ต่อด้วยการแข่งขันฟุตบอลคู่แรก ประเภท JUNIOR  ผลการแข่งขันสถาบันพระปกเกล้า ชนะไป 2:0 

ส่วนคู่สองประเภท SENIOR ผลการแข่งขัน วปอ.ชนะไป 1:0 โดยมีนักเตะกิตติมศักดิ์ร่วมแข่งขันด้วย อาทิ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว นายธนกร วังบุญคงชนะ 

ดร.วิกร ภูวพัชร์ ประธานฝ่ายจัดการแข่งขัน สถาบันพระปกเกล้า กล่าวถึงการ ”รักเมืองไทย” ว่า ประเทศเหมือนครอบครัว การรวมพลังของคนในชาติเหมือนสมาชิกในครอบครัวร่วมกันสร้างครอบครัว หากมีครอบครัวที่อบอุ่นทุกคนในครอบครัวก็มีแต่เติบโตแข็งแรงไปพร้อมกัน ส่วนการแข่งขันฟุตบอลครั้งนี้ เกมส์ฟุตบอลในสนามแพ้ชนะไม่ใช่สิ่งสำคัญ กิจกรรมและความร่วมมือสร้างความสัมพันธ์มิตรภาพและความเสียสละเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน จะเป็นภาพที่งดงามและประทับใจมากกว่า หากทุกท่านเข้าใจและเสียสละในทรัพยากรที่ตัวเองมี บางท่านลงเงิน บางท่านลงแรงตามกำลังที่จะทำได้ ร่วมกันคิด ร่วมกันทำ ด้วยความรักและเข้าใจ มิตรภาพก็จะยั่งยืน

ด้านพันเอก ณัฎฐ์ ศรีอินทร์ ประธานฝ่ายกีฬา วปอ.65 กล่าวว่า ความรัก ทำให้เราสามารถเสียสละและทำทุกอย่างให้ได้ เรามีคนรัก เราสามารถเสียสละทุกอย่างและทำทุกอย่างให้คนรักได้ เรามีครอบครัว เราก็สามารถเสียสละและทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวได้ ดังนั้นเมื่อเราเกิดและอาศัยในผืนแผ่นดินไทย เราจึงต้อง “รักเมืองไทย” เสียสละทุกอย่างและทำทุกอย่างเพื่อผืนแผ่นดินไทยของเรา ศิษย์ วปอ. และ สถาบันพระปกเกล้าทุกคน “รักเมืองไทย” จึงขอเชิญชวนทุกคนมารักเมืองไทยด้วยกัน

‘สภาพัฒน์ฯ’ เผย ตลาดแรงงานของไทยกำลังเผชิญวิกฤต ส่งสัญญาณเตือน!! เด็กจบ ป.ตรี ‘ว่างงานพุ่ง-ได้เงินเดือนต่ำ’

‘สภาพัฒน์ฯ’ เปิดข้อมูลปัญหาของตลาดแรงงานของไทย แจ้งสัญญาณเตือน เด็กจบปริญญาตรี ว่างงานเพียบ ได้เงินเดือนต่ำ และแถมต้องทำงานต่ำกว่าระดับมากขึ้น

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานข้อมูลปัญหาของตลาดแรงงานของไทย และ การว่างงาน พบว่า แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลายลง และตลาดแรงงานของไทยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง แต่ยังพบปัญหาคุณภาพของแรงงานและความไม่สอดคล้องของตลาดแรงงาน (Labor mismatching) ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดในการยกระดับการผลิตของไทยในอนาคต

ข้อมูลความต้องการแรงงานล่าสุด
จากข้อมูลการสำรวจความต้องการแรงงานจากโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในช่วงปี 2561 - 2565 พบว่าความต้องการแรงงานรวมเพิ่มขึ้นจาก 95,566 คนในปี 2561 เป็น 168,992 คนในปี 2565 แต่เมื่อพิจารณาสัดส่วนความต้องการแรงงานที่มีการศึกษาในระดับปริญญาตรีขึ้นไปนั้น ลดลงจาก 30.1% ของความต้องการแรงงานรวม ในปี 2561 เหลือเพียง 17.2% ในปี 2565 เท่านั้น

ส่วนสัดส่วนความต้องการแรงงานในการศึกษาระดับ ปวช. - ปวส. ลดลงเล็กน้อยจาก 23.7% ในปี 2561 เป็น 22.5% ในปี 2565 ขณะที่สัดส่วนความต้องการแรงงานที่มีการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 6 - มัธยมศึกษาปีที่ 6 เพิ่มขึ้นจาก 41.1% ในปี 2561 เป็น 57.3% ในปี 2565 

อีกทั้งเมื่อพิจารณาเฉพาะความต้องการแรงงานเพียงสองระดับการศึกษา คือ ปริญญาตรีขึ้นไปและระดับ ปวช. และ ปวส. พบว่า สัดส่วนเฉลี่ยของความต้องการแรงงานที่มีการศึกษาในระดับปริญญาตรีขึ้นไปลดลง โดยเฉลี่ยในช่วงปี 2561 - 2565 อยู่ที่ 45.6% ขณะที่สัดส่วนเฉลี่ยของความต้องการแรงงานที่มีการศึกษาในระดับ ปวช. และ ปวส. กลับเพิ่มขึ้น โดยเฉลี่ยปี 2561 - 2565 อยู่ที่ 54.4%

เปิดความต้องการแรงงานของบริษัท EEC
เมื่อพิจารณาข้อมูลความต้องการแรงงานของบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพื้นที่ EEC ในปี 2565 จำแนกตามการศึกษา จำนวน 419 โครงการ ซึ่งมีความต้องการแรงงานรวม 52,322 คนนั้น พบว่า ระดับการศึกษาที่มีความต้องการมากที่สุด มีดังนี้

- ความต้องการแรงงานระดับ ป.6 ถึง ม.6 มีสัดส่วนถึง 59.1%
- ความต้องการแรงงานระดับ ปวช. - ปวส. อยู่ที่ 25.2%
- ความต้องการแรงงานระดับปริญญาตรีขึ้นไปอยู่ที่ 14.7% เท่านั้น

ทั้งนี้เมื่อพิจารณาถึงอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ พบว่า ระดับการศึกษาที่มีความต้องการ มากที่สุด มีดังนี้

- ความต้องการแรงงานระดับ ป. 6 ถึง ม.6 มีสัดส่วน 63.9 และ 63.2% ตามลำดับ
- ความต้องการแรงงาน ระดับ ปวช. - ปวส. อยู่ที่ 22.5% และ 23.6% ตามลำดับ
- ความต้องการแรงงานระดับปริญญาตรีขึ้นไปอยู่ที่ 13.5% และ 12.9% ตามลำดับ

โดยอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีความต้องการแรงงานระดับปริญญาตรีขึ้นไปในสัดส่วนที่สูง ได้แก่ อุตสาหกรรมดิจิทัล และอุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร ส่วนอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีความต้องการแรงงานระดับ ปวช. และ ปวส. ในสัดส่วนที่สูง ได้แก่ อุตสาหกรรมระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณากำลังแรงงาน โดยอ้างอิงจากจำนวนนักเรียน นักศึกษาที่อยู่ในภาคอุดมศึกษา (ระดับปริญญาตรีขึ้นไป) พบว่า ในปี 2564 มีจำนวนนักศึกษา ในระดับอุดมศึกษารวม 1,902,692 คน แม้จะลดลงจากจำนวน 2,171,663 ในปี 2561 แต่ยังสูงกว่าเมื่อเทียบกับนักเรียนที่อยู่ในระดับ ปวช. และ ปวส. ในปี 2564 ที่มีจำนวน 374,962 คน

ดังนั้น จากข้อมูลดังกล่าวสะท้อน ให้เห็นถึงสถานการณ์ตลาดแรงงานที่เผชิญกับปัญหาความไม่สอดคล้องกันระหว่างกำลังแรงงานที่ผลิตออกมา (ด้าน Supply) และความต้องการของตลาด (ด้าน Demand) นั่นคือ มีแรงงานจบใหม่ที่เข้าสู่ตลาดที่จบอุดมศึกษาในระดับปริญญาตรีขึ้นไปในสัดส่วนสูงมาก

ด้วยเหตุนี้ จึงส่งผลให้แรงงานในระดับปริญญาตรีต้องทำงานต่ำกว่าระดับมากขึ้น และสัดส่วนผู้ว่างงานในระดับปริญญาตรีจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกลายเป็นข้อจำกัดของตลาดแรงงานไทยในระยะต่อไป

‘คุณอ้อย พอใจ’ เผย ความภาคภูมิใจที่ได้ถวายงาน ‘ในหลวง ร.9’ เมื่อครั้งยังเป็นเจ้าหน้าที่กระจายเสียง กรมประชาสัมพันธ์

เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 66 คุณพอใจ กิจถาวรรัตน์ หรือ ‘พี่อ้อย’ ข้าราชการบำนาญ อดีตหัวหน้าผู้ประกาศของสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี ได้เล่าถึงประสบการณ์ชีวิตการทำงาน ในบทบาทของเจ้าหน้าที่กระจายเสียง ผ่านรายการ ‘Baby Boom ภูมิใจ วัยเก๋า ไปด้วยกัน’ EP.1 ตอน อายุเป็นเพียงตัวเลข ออกอากาศเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 66 รับชมผ่านช่องทางรับชมในเครือ THE STATES TIMES และ MAYA Channel ช่อง 71, 93

โดยคุณพอใจ ได้เล่าย้อนกลับไปในสมัยเข้าบรรจุครั้งแรกที่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ จังหวัดนครราชสีมา ก่อนจะย้ายเข้ามารับตำแหน่งที่กรุงเทพฯ ด้วยฝีมือและผลงานของตัวเอง ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างมากเนื่องจากในสมัยก่อน งานสื่อวิทยุกระจายเสียงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก และต้องมั่นฝึกฝนทักษะ และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ จึงจะโลดแล่นในวงการได้อย่างราบรื่น

อย่างไรก็ตาม ในขอบเขตงานที่คุณพอใจได้ทำ และมีความภาคภูมิใจที่สุด คือการได้ถ่ายทอดเสียงพระราชกรณียกิจ ของในหลวง รัชกาลที่ 9 ซึ่งในรัชสมัยของพระองค์ท่านนั้น พระองค์ทรงงานเยอะมาก รวมถึงยังได้มีโอกาสถ่ายทอดเสียงพระราชพิธีต่างๆ ซึ่งทำให้คุณพอใจมีความภาคภูมิใจมากๆ ที่ได้ทำงานตรงนี้

“ในตอนเด็กๆ พี่เคยสงสัยว่า เวลาเขาเล่าเรื่องราว ถ่ายทอดเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ ทำไมเขาถึงดูซาบซึ้งกันจังเลย ซึ่งนั่นเป็นไปด้วยความคิดแบบเด็กๆ ของพี่ในตอนนั้น แต่เมื่อเราโตขึ้น เราได้ไปศึกษา หาข้อมูล เราได้ติดตาม ได้รู้ ได้เห็น ก็ทำให้เข้าใจว่า ที่เขาเคยๆ พูดกันเรื่องพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านนั้น ไม่มีอะไรเกินจริงเลย”

“อย่าลืมนะว่าในยุคสมัยนั้นไม่มีสื่อโซเชียลเหมือนอย่างในยุคสมัยนี้ เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมีการมานั่ง ‘สร้างภาพ’ อะไรกันเลย ทำงานก็คือทำงานกันจริงๆ”

“ดังนั้น พี่พอใจ จึงมีความภาคภูมิใจที่เราได้ทันเห็นพระองค์ท่าน ได้มีโอกาสถวายงานแก่พระองค์ท่าน ได้มีโอกาสทำงานรับใช้บ้านเมืองค่ะ” คุณพอใจ ทิ้งท้าย

หากต้องการติดตามเรื่องราวดีๆ จาก ‘Baby Boom ภูมิใจ วัยเก๋า ไปด้วยกัน’ EP.1 ตอน อายุเป็นเพียงตัวเลข แบบเต็มๆ สามารถคลิกลิงก์ >> https://www.youtube.com/live/FSYnVvf4WZQ?si=MYKTE708E9GwEeb8

‘ธนกร’ โพสต์ซึ้งถึง ‘บิ๊กตู่’ ผู้นำที่มอบโอกาสในการทำงาน ยกเป็น ‘โมเดลนายกรัฐมนตรี’ ที่มุ่งอุทิศชีวิตเพื่อประเทศชาติ

‘ธนกร’ โพสต์ขอบคุณ ‘บิ๊กตู่’ ผู้ให้โอกาส ชื่นชมเป็นผู้จงรักภักดีชาติ สถาบันฯ นักบริหารยอดเยี่ยม มุ่งอุทิศแรงกาย-ใจ ตลอด 9 ปี พัฒนาประเทศทุกมิติ นำพาก้าวข้ามความแตกแยก ยกเป็น ‘โมเดลของการเป็นนายกรัฐมนตรี’ ชี้!! “ตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานอยู่ตลอดไป”

(27 ส.ค. 66) นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุหัวข้อ ‘ลุงตู่’ ในดวงใจ พร้อมกล่าวถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า…

- กราบขอบพระคุณ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และยึดมั่นต่อประชาชน ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ยาวนานของไทย 9 ปี

- กราบขอบพระคุณ พลเอก ประยุทธ์ฯ นายกรัฐมนตรีที่พาสังคมไทย ก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาแห่งความแตกแยกทางความคิดทางการเมือง กลับมาเป็นไทยแลนด์ 4.0 ที่เดินหน้ามุ่งสู่ความ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน 

- กราบขอบพระคุณ พลเอก ประยุทธ์ฯ นายกรัฐมนตรี สำหรับการจัดการวิกฤตโควิด-19 จนไทยได้รับเสียงชื่นชมทั่วโลกและถูกยกย่องให้เป็นประเทศที่ฟื้นตัวหลังโควิด-19 ได้ดีเป็นอันดับ 1 ของโลก

- กราบขอบพระคุณ พลเอกประยุทธ์ฯ นายกรัฐมนตรี ที่ยืนหยัดดูแลคนไทย สร้างความเท่าเทียมอย่างทั่วถึง วางรากฐาน สร้างโอกาสพัฒนาประเทศทั้งเศรษฐกิจ เกษตร อุตสาหกรรม  คมนาคม เทคโนโลยี สังคมและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งงานด้านต่างประเทศที่ประสบคำเสร็จ คืนความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย ในรอบ 30 ปี

สำหรับผมแล้ว พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คือ ‘โมเดลของการเป็นนายกรัฐมนตรี’ เป็นนักบริหารที่ยอดเยี่ยม มุ่งมั่นทำงาน อุทิศแรงกาย-ใจ สติปัญญา ยึดหลักกฎหมาย-นิติธรรม ในการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นผู้บังคับบัญชาดุจกัลยาณมิตร แนะนำการทำงาน ให้คำปรึกษา ในการทำงานของผม ทั้งโฆษกรัฐบาล และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รวมทั้งบทบาทผู้แทนประชาชนในฐานะ สส.ด้วย

เชื่อว่า ข้าราชการและนักการเมืองหลายท่านที่ได้รับแรงบันดาลใจจากพลเอก ประยุทธ์ฯ พร้อมจะทำหน้าที่ สานต่อนโยบาย แผนงานและโครงการต่างๆ ที่ท่านได้ริเริ่มไว้ เพราะวันนี้ พลเอก ประยุทธ์ฯ ได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความดีงาม ทั้งในการบริหารราชการแผ่นดินและการทำงานการเมือง ให้หลายคนกลับมาเชื่อในความซื่อสัตย์ สุจริต ผลของความมุ่งมั่นทำงานเพื่อประเทศชาติและประโยชน์ของพี่น้องประชาชน สมคำกล่าวที่ว่า “ตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานอยู่ตลอดไป”

ในฐานะส่วนตัว พลเอก ประยุทธ์ เป็นคนที่ให้โอกาสผมในทุกๆเรื่อง สำหรับผมแล้ว ท่านเป็นผู้มีพระคุณท่านจะอยู่ในใจผมตลอดไป

ด้วยจิตคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คนที่ 29 ของไทย

ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ

สวนนงนุชพัทยา รับขวัญช้างมหัศจรรย์ถุงน้ำคล้ำแตกแล้วยังอยู่ในท้องแม่อีกสองวัน

ที่ปางช้างสวนนงนุชพัทยา จ.ชลบุรี  นายกัมพล  ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา พร้อมด้วยพระครูเกษมกิตติโสภณ(อาจารย์จ่อย)  เจ้าอาวาสวัดสามัคคีบรรพต  ร่วมเป็นประธาน พิธีเสริมสิริมงคล คล้องพวงมาลัยรับขวัญลูกช้างสมาชิกใหม่ล่าสุดที่เกิดจากแม่ช้าง  พังสาหร่าย  อายุ 22 ปี และพ่อช้างพลายหนิงหน่อง อายุ 27ปีเป็นช้างเชือกที่4ของปีและเป็นช้างที่คลอดที่สวนนงนุชพัทยาลำดับที่ 108  

โดยนายกัมพล  ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ได้ตั้งชื่อว่าพลายบุญมาก  เนื่องจากในวันที่18 สิงหาคม 2566 นั้นแม่ช้างพังสาหร่าย เกิดถุงน้ำคล้ำแตกไหลออกมาพร้อมที่จะคลอดตามธรรมชาติ แต่ปรากฏว่าผ่านไปสองวันลูกช้างพลายบุญมากยังไม่มีวี่แววคลอดออกมาเลยทำให้ทางสัตวแพทย์เป็นกังวลเนื่องจากถุงน้ำคล้ำแตกและสายสะดือขาดแล้วทำให้ลูกช้างมีโอกาสเสียชีวิตในท้องสูง เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2566 เวลา 00.50 น. โดยมีควาญช้างและเจ้าหน้าที่สวนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด โดยลูกช้างก็คลอดออกมาแล้วนอนนิ่งทางเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าดูอาการเร่งเข้าไปช่วยพยุงและเช็ดตัวให้น้องช้างยืนขึ้น เร่งตรวจสอบความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกาย เบื้องต้นลูกช้างและแม่ช้างมีสุขภาพแข็งแรงดี หลังตกลูกเป็นปกติ

พร้อมกันนี้ สวนนงนุชพัทยา ยังได้จัดขบวนนางรำและโขลงช้างกว่า 50 เชือกเข้าร่วมในพิธีรับขวัญช้างน้อย ซึ่งพิธีรับขวัญช้างที่กำเนิดใหม่ของปางช้างสวนนงนุชพัทยา ถือเป็นประเพณีที่ดีงามที่ต้องจัดขึ้นเมื่อมีช้างคลอดใหม่ทุกเชือก ช้างถือได้ว่าเป็นสัตว์คู่บ้าน คู่เมือง ของไทย เบื้องต้นทางสวนนงนุชพัทยาได้จัดทีมสัตว์แพทย์และควาญช้างดูแลอย่างดี  ปางช้างสวนนงนุชพัทยา ยังได้รับหนังสือรับรองมาตรฐานการปฏิบัติที่ดีสำหรับปางช้าง จากกรมปศุสัตว์และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ เป็นแห่งแรกของประเทศไทย

วันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีตหัวหน้าพรรคประชาชาติ ชี้ 5 ปีพรรคประชาชาติเติบโตขึ้น

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา ได้เดินทางไปร่วมประชุมใหญ่สามัญประจำปีพรรคประชาชาติครั้งที่ 2/2566 ที่หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ในฐานะสมาชิกพรรคประชาชาติ และอดีตหัวหน้าพรรค

โดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ได้รับเชิญให้ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษ ก่อนการประชุมใหญ่พรรคประชาชาติจะเริ่มขึ้น ชี้พรรคประชาชาติจะครบ 5 ปีในวันที่ 1 กันยายนนี้ ประจักษ์ชัดว่าประชาชาติไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ มีสมาชิกพรรคเพิ่มขึ้น เติบโตขึ้น เพราะรักษาสัจจะตั้งแต่วินาทีแรกของการก่อตั้งพรรค แม้จะมีคนบางกลุ่มพยายามรั้งไม่ให้เติบโต มีตัวแทนพรรคเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ และมีตัวแทนร่วมคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล ย้ำบทบาทการทำหน้าที่ประธานสภาฯ หลายประเทศเข้าพบคารวะแสดงความยินดีและยกย่องที่ได้เป็นประธานสภาฯครั้งที่ 2 แม้ตนจะเป็นมุสลิมซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศไทย แต่ได้รับการยอมรับจากคนไทยทั้งประเทศ แม้แต่ยูเครนเข้าพบหารือปัญหาการรักษาสันติภาพและเอกราชของประเทศ แนะทุกฝ่ายต้องรับฟังเสียงของผู้ที่กำลังเดือดร้อน ย้ำปัญหาประชาชนต้องเร่งแก้ ไม่ใช่แค่หน้าที่ฝ่ายบริหารอย่างเดียว แม้จะเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ก่อนตั้งรัฐบาลได้เดินหน้าจับมือประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ร่วมมือไทย-อินโดนีเซียในฐานะสองประเทศผู้ผลิตยางพารา หาแนวทางเพิ่มมูลค่ายางพาราให้สูงขึ้น หลังปิดสมัยประชุมสภาฯนี้ มีแผนจะเดินทางไปเยี่ยมรัฐสภาหลายประเทศ ทั้งซาอุดีอาระเบีย กลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง จีน และเกาหลีใต้ เพื่อดึงนักท่องเที่ยว และให้รับนักศึกษาและคนงานไทยเพิ่มขึ้น ย้ำการทำหน้าที่ประสภาฯอย่างเป็นกลาง เพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองและประชาชน 

โดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา กล่าวว่า “วันที่ 1 กันยายนนี้จะครบ 5 ปีของการก่อตั้งพรรคประชาชาติ ซึ่งผมและพวกเราทั้งหลายได้ร่วมกันจัดตั้งพรรคประชาชาติขึ้น 5 ปีถือว่ายังไม่นานนัก ถ้าเปรียบเทียบกับเด็กก็เพิ่งพ้นชั้นอนุบาล พรรคประชาชาติทำงานมา 5 ปีก็ยังถือว่าเราเป็นเด็ก แต่ด้วยความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า และพี่น้องประชาชนไทยทั่วประเทศยอมรับ เพียง 5 ปีเราได้เติบโตทางสมอง ที่คิดต่อสู้กับปัญหาอุปสรรค ทางด้านจิตใจที่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบ มีเมตตาธรรม อยู่ในหลักการของคำสั่งสอนทุกศาสนา ที่ผ่านมามีบททดสอบมากมาย หลายคนบอกว่าประชาชาติเป็นพรรคเฉพาะกิจ ตั้งพรรคแล้วก็เลิกไป เพราะไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเท่าที่ควร แต่ตลอดระยะเวลา 5 ปีพิสูจน์แล้วว่าเราไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจแน่นอน เพราะมีสมาชิกพรรคเพิ่มขึ้นเป็น 24,000 คน และอาจจะเพิ่มเป็น 100,000 คนในอนาคต นี่คือสิ่งยืนยันว่าเราไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ พรรคประชาชาติเติบโตขึ้น แม้จะมีบางพรรคการเมืองจะรั้งความเติบโต พยายามไม่ให้ชนะเลือกตั้ง แต่ด้วยความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเขาไม่สามารถทำให้พรรคล่มจมได้ พระผู้เป็นเจ้ายังเมตตาเพราะเรารักษาอามานะห์ (สัจจะ) ตั้งแต่วินาทีแรกของการตัังพรรคจนถึงปัจจุบัน”

ก่อนหน้านี้มีประเด็นข่าวว่าพรรคประชาชาติอาจถูกยุบพรรค ประเด็น กกต.ตัดสิทธิ์ผู้สมัครเลือกตั้งในจังหวัดสงขลา 2 เขต และจังหวัดสตูล 2 เขตนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ยืนยันไม่มีปัญหาใดๆกระทบต่อหัวหน้าพรรคและพรรคการเมือง โดยชี้แจงว่า “ศาลฎีกาตัดสินว่าผู้แทนประจำจังหวัดทั้ง 4 เขต หมดวาระการดำรงตำแหน่ง ซึ่งเราได้แจ้ง กกต.ไปแล้วว่าเมื่อยังไม่มีการเลือกตั้งใหม่ก็ให้รักษาการไปก่อน แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องเคารพคำตัดสินของศาล ส่งผู้สมัครเลือกตั้งที่ไม่มีสิทธิ์ลงสมัครจะมีผลกระทบต่อหัวหน้าพรรค ขอยืนยันว่า ไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด คำตัดสินของศาลฎีกาถึงที่สุด ผู้แทนประจำจังหวัดหมดวาระไม่สามารถส่งผู้สมัครได้ เท่ากับว่าผู้สมัครเลือกตั้งสี่คนนั้นถูกตัดออก จึงไม่มีผลกระทบต่อหัวหน้าพรรคและพรรคการเมือง ซึ่งไม่มีข้อกังวลใดๆ และได้ชี้แจงแล้ว รวมทั้งผู้สมัครที่ถูกตัดสิทธิ์ก็ยังสามารถดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคได้”

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ย้ำทำหน้าที่ประสภาฯ ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรี โดยกล่าวว่า “การทำหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้นมีความสำคัญ เพราะเป็นหนึ่งในประมุขของอำนาจอธิปไตยของประเทศ คือนายกรัฐมนตรีเป็นประมุขฝ่ายบริหาร ประธานรัฐสภาเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ประธานศาลฎีกาเป็นประมุขฝ่ายตุลาการ สามอำนาจนี้คือเสาหลักของประชาธิปไตย พรรคเล็กอย่างเราก็ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาเป็นประธานรัฐสภา ผมเคยเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกเมื่อปี 2539 เมื่อ 27 ปีที่แล้ว นึกไม่ถึงว่าจะได้มาเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง นี่คือตักดีร (สิ่งที่พระเจ้าลิขิตไว้) เป็นความโปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้าผมก็น้อมรับไว้เพื่อบ้านเมืองและพี่น้องประชาชนจำเป็นต้องทำ เพราะเป็นตำแหน่งสำคัญ ถ้าไม่มีประธานรัฐสภาก็เลือกนายกรัฐมนตรีไม่ได้ เมื่อรับตำแหน่งนี้แล้วผมต้องทำงานหนักกว่าเดิมเพื่อพี่น้องประชาชน เกียรติยศ และศักดิ์ศรีของพวกเราทุกคน”

“ประธานรัฐสภามีหน้าที่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เมื่อวันที่ 5-11 กรกฎาคมที่ผ่านมา ผมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยไปประชุมสมัชชารัฐสภาอาเซียน (AIPA) ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีประเทศสมาชิก 10 ประเทศ และมีประเทศผู้สังเกตการณ์อีก 20 กว่าประเทศ จะขอเล่าให้ฟังว่าประธานรัฐสภาของประเทศไทยได้รับความสนใจจากหลายประเทศมาก เพราะประธานรัฐสภาเป็นมุสลิมในประเทศที่มีมุสลิมไม่ถึง 10% และได้เป็นประธานสภาฯถึงสองครั้ง ประธานรัฐสภาหลายประเทศจึงมาพบเป็นการส่วนตัวเพื่อแสดงความยินดี คารวะ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และประเทศผู้สังเกตการณ์หลายประเทศมาขอพบด้วย เช่น โมร็อกโก และสิ่งที่ผมดีใจมากคือการขอเข้าพบของรองประธานรัฐสภาประเทศยูเครน เขาเป็นประเทศที่กำลังเดือดร้อนและกำลังถูกรุกรานเอกราช และกำลังทำสงครามมาขอพบ ผมก็ยินดี แต่หลายประเทศไม่ให้พบเพราะเกรงใจประเทศมหาอำนาจที่กำลังสู้รบอยู่ แต่ผมไม่เป็นไรยินดีพูดคุย เขาพูดยาวมาก เขาขอโทษที่พูดยาวและรบกวนเวลา ผมได้พูดตอบเขาแทนท่านทั้งหลายว่าไม่เป็นไร เสียงของคนที่เดือดร้อน เสียงของคนที่กำลังต่อสู้เพื่อสันติภาพและเอกราชของตนเอง  เป็นเรื่องที่เราต้องรับฟัง เขานั่งซึมเลย ผมในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติจะรับฟังและเล่าสู่ให้กับฝ่ายบริหารต่อไป คนที่เดือดร้อนกำลังต่อสู้เพื่อเอกราชและสันติภาพ เป็นสิ่งที่เราควรจะรับฟัง เช่นเดียวกับพี่น้องประชาชนในประเทศของเรา ผมเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ถ้าประชาชนเดือดร้อนเราไม่สามารถจะบอกได้ว่าเป็นเรื่องของฝ่ายใด ความเดือดร้อนของประชาชนต้องไม่มีฝ่ายใดที่จะไม่รับฟัง เพราะฉะนั้นถึงแม้ผมจะเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ มีเหตุระเบิดที่มูโน๊ะ ผมและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็พร้อมที่จะลงพื้นที่ และไปดูแลความเดือดร้อนเหล่านี้ พี่น้องประชาชนจะต้องได้รับการดูแลไม่เฉพาะแค่ฝ่ายบริหารเท่านั้น เราฝ่ายนิติบัญญัติก็ต้องดูแลท่าน เพราะท่านเดือดร้อน ท่านเสียชีวิตและทรัพย์สิน เราต้องไม่ทอดทิ้งกัน”

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา กล่าวถึงการพบปะกับประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ว่า “ผมได้รับโอกาสพบกับท่านโจโก วิโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นประธานอธิบดีครั้งที่สอง และเป็นผู้นำคนสำคัญที่ทำให้อินโดนีเซียเจริญก้าวหน้า ได้พูดคุยกันสั้นๆเพียง 20 นาทีที่ทำเนียบประธานาธิบดี ผมบอกท่านว่า ท่านเป็นบุคคลที่ผมอยากพบมาก เขาถามว่าทำไม ผมบอกว่าเพราะท่านคือผู้นำของประเทศอาเซียน ที่พัฒนาประชาธิปไตยมากที่สุดคนหนึ่ง ท่านเป็นผู้นำเศรษฐกิจของอาเซียน ประชากร 280 ล้านคนเจริญก้าวหน้า ด้วยฝีมือของท่านเพราะฉะนั้นท่านจึงเป็นคนที่ผมอยากพบมากที่สุด และอยากจะขอความกรุณาท่านช่วยทำให้เศรษฐกิจที่บ้านผม คือทำราคายางพาราให้สูงขึ้น เพราะขณะนี้ประเทศที่ผลิตยางพารามากที่สุดในโลกอันดับหนึ่งคือประเทศไทยและอันดับสองคืออินโดนีเซีย 2 ประเทศนี้ผลิตยางพาราเกินครึ่งหนึ่งของโลก คือ 54% อีก 10 ประเทศแค่ 46% ถ้าเราจับมือกันเราจะสามารถทำราคายางพาราให้สูงขึ้นได้ เพราะมีประเทศผู้ใช้ยางพารามากกว่าร้อยประเทศ และสินค้าที่ใช้ยางพาราก็มีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ท่านประธานาธิบดีบอกว่าเห็นด้วยและจะมอบให้รัฐบาลอินโดนีเซียมาหารือกับรัฐบาลใหม่ของไทย นี่คืออามานะห์ (ความรับผิดชอบ) ที่ได้พูดหาเสียงกับท่านไว้ ได้นำไปทำแล้ว โดยหารือกับผู้นำประเทศ และได้ไปพบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของอินโดนีเซีย ซึ่งดูแลราคายางพารา เขาเห็นด้วยกับวิธีที่เรานำเสนอ อินชาอัลลอฮฺ (ด้วยความประสงค์ของพระเจ้า) ขอดุอาอ์ให้ ประเทศไทยและประเทศอินโดนีเซียจับมือกัน ทำให้ประชากรทั้งสองประเทศมีการพัฒนา เศรษฐกิจราคายางพารา อย่างน้อยควรจะได้ 70 บาท ต้องทำได้ เมื่อเป็นรัฐบาลมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้ว ผมจะชี้แจงให้เร็ว เพราะอินโดนีเซียบอกว่าต้องรีบหารือระหว่างรัฐบาลต่อไป”

นอกจากนี้ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา มีแผนจะเดินทางเยี่ยมรัฐสภาหลายประเทศ หลังปิดสมัยประชุมสภาฯ “ก่อนหน้านี้ประธานสภาที่ปรึกษาซาอุดิอาระเบียได้มาเยี่ยมคารวะที่รัฐสภาไทย ได้หารือกันดีมากท่านเชิญผมไปเยี่ยมประเทศซาอุดิอาระเบีย และเข้าเฝ้ามกุฎราชกุมารมูฮัมมัด บินซัลมาน ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย เพราะมีเรื่องที่เราพูดคุยกันเรื่องการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เรื่องการลงทุน การศึกษา และศาสนา ซึ่งหลังปิดสมัยประชุมนี้ ผมจะเดินทางไปเยือนประเทศซาอุดีอาระเบีย และกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง เพื่อที่จะดึงนักท่องเที่ยวมาเที่ยวประเทศไทย และขอให้เขารับนักศึกษาไทย และคนงานไทยเข้าทำงานมากยิ่งขึ้น 

'บิ๊กดุง' นั่ง ผบ.ทร. ส่วน 'พล.อ.เจริญชัย' ผบ.ทบ. ด้าน 'บิ๊กตู่' พร้อมนำขึ้นทูลเกล้าฯ ใน 1-2 วันนี้

(25 ส.ค.66) ความคืบหน้าการจัดทำบัญชีปรับย้ายนายทหารประจำปี หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้เรียกประชุมคณะกรรมการแต่งตั้งโยกย้ายชั้นนายพลของกระทรวงกลาโหม หรือ 7 เสือกลาโหมไปเมื่อวันที่ 24 ส.ค.66 ที่ผ่านมา 

โดยมี...

- พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ตท.24) เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด
- พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ รองผู้บัญชาการทหารบก (ตท.23) เป็นผู้บัญชาการทหารบก
- พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ (ตท.24) เป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ
- พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการกองเรือ ยุทธการ (ตท.23) เป็นผู้บัญชาการทหารเรือ

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เตรียมนำขึ้นทูลเกล้า ภายใน 1-2 วันนี้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนทางธุรการ

‘หนุ่ม’ เล่าอดีต เคยเจอ ‘หญิงไทย’ สติหลุด-วีนแตกใส่แอร์ฯ หลังไม่พอใจที่ตนปฏิเสธแกล้งเป็นแฟนให้ผ่าน ตม.

(26 ส.ค.66) จากเฟซบุ๊ก Joe Amatyakul ได้โพสต์ข้อความหลังเห็นประเด็นดรามา แก๊งคนไทยวีนแตกใส่แอร์โฮสเตส บนเครื่องบินลำหนึ่ง เหตุปฏิเสธไม่ยอมช่วยยกกระเป๋าให้ พร้อมแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวที่ตนเคยพบเจอคล้ายๆ กัน โดยระบุว่า…

“เห็นข่าวคนไทยโวยจนถูกไล่ลงจากเครื่อง

ย้อนคิดถึงราว 30 ปีก่อน ตอนนั้นยังหนุ่มๆ อยู่ที่อเมริกา บินไปๆ กลับๆ ไทยบ่อยๆ ส่วนใหญ่เลือกเปลี่ยนเครื่องที่ญี่ปุ่น (เพราะเจตนาจะแวะเที่ยวญี่ปุ่นเป็นของแถม)

ต้องเล่าก่อนว่า ยุคนั้นคนไทยต้องทำวีซ่าญี่ปุ่น ซึ่งอนุมัติแสนยากเย็น แต่ผมไปญี่ปุ่นบ่อยๆ โดยไม่เคยทำวีซ่า เพราะญี่ปุ่นอนุโลมให้คนไทยที่มีวีซ่าระยะยาวของสหรัฐอเมริกา สามารถเข้าญี่ปุ่นได้ 7 วันโดยไม่ต้องทำวีซ่า

เข้าเรื่องซะที…มีครั้งนึงที่บินจากไทย (และจะแวะญี่ปุ่นโดยใช้วีซ่าอเมริกาตามเคย) ผมได้นั่งกับหญิงคนนึง คุยกันซักพักเธอก็ออกปากขอร้องว่า เดี๋ยวตอนผ่าน ตม. เธอขอเดินควงแขนผม แกล้งเป็นแฟนได้ไหม เพราะเธอกังวลมากๆ ว่า เธอจะไม่ผ่าน ตม. และถูกส่งกลับไทย แน่นอนผมปฏิเสธทันที บอกเธอไปตามจริงว่าผมไม่มีวีซ่าญี่ปุ่น จะเข้าโดยใช้วีซ่าอเมริกาแทน ดังนั้นผมจะเสี่ยงอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ต้องเซฟตัวเองเหมือนกัน เธอเริ่มตีโพยตีพายว่าชีวิตลำบากงั้นงี้ ต้องจำนองที่นาจ่ายให้นายหน้า เพื่อจะมาเป็น Curry (เธอใช้คำนี้) ที่ญี่ปุ่น เพื่อหาเงินส่งน้องๆ และส่งพ่อแม่ทยอยใช้หนี้ ถ้าถูกส่งกลับคือล่มจมแน่ๆ แต่ผมก็ยืนยันว่าช่วยไม่ได้จริงๆ

เธอโวยเสียงดัง สติหลุด ยกกระเป๋าลงมาหยิบของ แต่เรียกให้แอร์ยกกลับขึ้นไปเก็บ แอร์ไม่ยอมยกให้ เธอก็ด่า ขว้างถ้วยน้ำใส่แอร์ด้วยและด่า Fuck หลายครั้ง ตอนนั้นผมรู้สึกอายแทนคนไทยทั้งชาติ เลยแกล้งหลับตลอด พอเครื่องลงจอด มีเสียงประกาศว่าให้ทุกคนนั่งอยู่กับที่ก่อน ซักพักก็มีตำรวจเข้ามาจับกุมเธอถึงที่นั่ง พอเธอถูกคุมตัวไป ผดส.ปรบมือกันใหญ่ แต่ผมสงสารเธอมาก ผมไม่ทราบว่าต่อจากนั้นเธอโดนอะไรบ้าง ถ้าเธอถูกส่งกลับจริงทั้งครอบครัวต้องลำบากสาหัสแน่ๆ ใดๆก็ตาม การใช้อารมณ์มักไม่ใช่ทางออกเสมอ

สุดอาลัย ‘น้องเพลง’ เอ่ยฝาก ‘คุณย่า’ กอดพ่อเอ๋หลังครอบครัวอัศวเหม เกิดความสูญเสียอีกครั้ง

(26 ส.ค.66) ช่วงต้นปีที่ผ่านมาครอบครัวอัศวเหม เพิ่งสูญเสีย ‘เอ๋ ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม’ หลังหมดสติจากการซ้อมแข่งรถที่ จ.บุรีรัมย์ ล่าสุดก็เกิดข่าวเศร้าอีกครั้ง หลังจากที่ต้องสูญเสีย ‘นางจันทร์แรม อัศวเหม’ ภรรยาของ นายวัฒนาอัศวเหม อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงมหาดไทยและอดีตสส.สมุทรปราการ มารดาของ เอ๋ ชนม์สวัสดิ์ และเป็นคุณย่าของ ‘น้องเพลง ชนม์ทิดา อัศวเหม’

ล่าสุดน้องเพลง ได้โพสต์อาลัยคุณย่า แปลเป็นภาษาไทยว่า “จะอยู่ในใจเสมอไป รักคุณ คุณย่า ได้โปรดกอดคุณพ่อให้ฉันด้วย”

ทั้งนี้ทางครอบครัวจะจัดพิธีบำเพ็ญกุศล ที่วัดธาตุทอง

ย้อนอดีต ‘บังเปีย’ ชาวไทยมุสลิม ผู้ริเริ่มทำ ‘โรตีสายไหม’ จนเป็นของขึ้นชื่ออยุธยา แต่แท้จริงนั้นจุดกำเนิดอยู่ที่สัตหีบ

(26 ส.ค.66) เพจเฟซบุ๊ก ‘จานโปรด’ ได้โพสต์บรรยายที่มาของ ‘โรตีสายไหม’ สินค้าชื่อดังในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยระบุว่า…

“โรตีสายไหม ทำไมต้องอยุธยา

ไปเที่ยวอยุธยาทีไร เป็นต้องเห็นโรตีสายไหมวางขายตามร้านข้างถนนแทบจะทุก 1 กิโลเมตร เรียกได้ว่าเป็นของขึ้นชื่อประจำจังหวัดอยุธยาแล้ว แป้งโรตีหอมๆ กินคู่กับเส้นสายไหมที่หอมหวานกำลังดี

หลายคนอาจจะนึกเถียงอยู่ในใจว่า แป้งที่ห่อนั้นไม่ใช่แป้งโรตี แต่เป็นแป้งเปาะเปี๊ยะต่างหาก

โรตีสายไหมที่โด่งดังขึ้นชื่อในอยุธยานั้น คาดว่าเป็นขนมที่สืบทอดมาจากชาวไทยมุสลิม โดยบังเปีย หรือ คุณซาเล็มแสงอรุณ ชาวอำเภอวังน้อย อยุธยา

ในปี พ.ศ. 2499 บังเปีย ในวัย 11 ปี ที่มีฐานะครอบครัวยากจน ต้องตระเวนไปรับจ้างตามต่างจังหวัด จนได้ไปอยู่กับอาที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี และประกอบอาชีพขายขนมโรตี ทุกๆ วัน บังเปียจะต้องเคี่ยวน้ำตาลเพื่อทำขนม แล้วบังเปียก็สังเกตได้ว่าเมื่อเคี่ยวนานไปน้ำตาลจะเริ่มจับตัวเป็นก้อน บังเปียจึงลองดึงน้ำตาลให้เป็นเส้นฝอยๆ เหมือนสายไหมแล้วหยอดใส่แป้งโรตี กลายเป็นขนมชนิดใหม่ขึ้นมาที่เรียกว่า ‘โรตีสายไหม’

หลังกลับมาที่อยุธยา บังเปียก็ยังยึดอาชีพขายโรตีสายไหมอยู่ เพียงแต่ปรับจากแผ่นแป้งโรตี มาใช้แผ่นแป้งเปาะเปี๊ยะของจีนแทน เนื่องจากใช้เวลาทำน้อยกว่า วัตถุดิบมีราคาถูกกว่า และรสชาติก็เข้ากันกับสายไหมได้ดีกว่าเพราะไม่ทำให้เลี่ยนจนเกินไป ก็เลยกลายเป็นโรตีสายไหมเวอร์ชั่นที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้

หลังจากโรตีสายไหมของบังเปียเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในอยุธยา บังเปียมีการปรับและพัฒนาสูตรอย่างสม่ำเสมอ และเริ่มขยายกิจการไปยังจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงให้พี่น้องมาทำกิจการโรตีสายไหมด้วยกัน เราจึงได้เห็นร้านโรตีสายไหมที่เป็นสูตรของบังเปียกระจายไปทั่วอยุธยา ตลอดถนนสายเอเชีย ถนนอู่ทอง ถนนมิตรภาพ เราจะเห็นร้านเต๊นท์ผ้าใบที่มีสายไหมสีสดใสวางอยู่ในถุงอยู่เสมอ

ทุกวันนี้ โรตีสายไหมกลายเป็นของขึ้นชื่อของอยุธยา ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และผลักดันจนกลายเป็นสินค้าOTOP สุดขึ้นชื่อ ที่แขกไปใครมาอยุธยาก็ต้องติดไม้ติดมือกลับบ้านไปคนละอย่างน้อย 3 ถุงแน่ๆ”

 

'นครศรีฯ' วิกฤติ!! หลังไฟไหม้ 'ป่าพรุควนเคร็ง' ยังลุกลามอยู่ 'กินวงกว้าง-ไหม้มา 2 สัปดาห์' นายกฯ ยันผู้ว่าฯ ไม่ผ่านมาสักคน

นำเรียนไปยังนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกระทรวงทรัพย์ฯ กรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ไฟไหม้ป่าพรุควนเคร็ง อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช มาแล้วสองอาทิตย์ ยังไม่สามารถควบคุมได้ ไฟป่ายังลุกโชนอยู่ และลุกลามกินวงกว้างออกไปเรื่อย เจ้าหน้าที่ควบคุมไฟป่าทำงานกันอย่างหนัก เมื่อคืนก็ทำงานกันทั้งคืน

ไม่เห็นความตื่นตัวของผู้หลักผู้ใหญ่เข้าไปสั่งการ ดูแล เห็นมีเพียง 'นริศ ขำนุรักษ์' รัฐมนตรีช่วยมหาดไทยที่ลงไปดูแลมาครั้งหนึ่ง นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกระทรวงทรัพย์ฯ ผู้ว่าราชการจังหวัด ไม่เห็นหน้าเห็นตา หรือทำงานรอเกษียณอย่างเดียว 

ปีนี้แม้จะมีฝนตกลงมาบ่อยในภาคใต้ แต่เป็นการตกแบบแป๊บๆ ยังไม่มีน้ำเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงป่าพรุ เมื่อเกิดไฟไหม้จะเกิดจากอะไรก็ตาม จึงอยู่ในภาวะที่ควบคุมยาก เพราะสภาพความแห้งแล้ง

รัฐมนตรีกระทรวงทรัพย์ฯ ทราบแล้วขยับตัวด้วย อย่ามัวแต่ต่อรอตำแหน่งรัฐมนตรีกับรัฐบาลใหม่จนลืมภารกิจหลัก หรือว่ารอขยับก้นไปกระทรวงพาณิชย์ จึงไม่สนใจภารกิจที่เคยพล่ำบ่นว่า “รักสิ่งแวดล้อม”

นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เหมือนกัน ตอนหาเสียงลงไปนครศรีธรรมราช 2-3 รอบ พล่ำบนรักคนใต้ รักคนนครฯ แต่ตอนนี้ไฟไหม้ป่าพรุเงียบกริบ หรือคิดว่าส่งมอบภารกิจให้เศรษฐา ทวีสิน ไปแล้ว

ข้อเท็จจริง แม้ เศรษฐา จะได้รับโหวตเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี และโปรดเกล้าลงมาแล้ว แต่ยังทำหน้าที่ไม่ได้ เนื่องจากยังต้องรอเข้าไปถวายสัตย์ปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่ง ภารกิจจึงยังอยู่ที่ 'ลุงตู่-ประยุทธ์ จันทร์โอชา' นะจ๊ะ

เวลานี้ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการในพื้นที่ทำงานกันไป ฝ่ายนโยบายไม่มีใครสนใจ ไม่รู้ว่ามีกำลังพลเพียงพอไหม อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือพอหรือเปล่า อย่าปล่อยให้เขาทำงานเพียงลำพัง โดดเดี่ยวเลยครับ ผู้ว่าราชการจังหวัดคนพื้นที่ ใกล้ที่เกิดเหตุพลิกตัวบ้างก็จะดีครับ

ป่าพรุควนเคร็ง เป็นป่าพรุเสม็ดขาวเกือบจะเป็นแหล่งสุดท้ายของประเทศไทยแล้ว จะมีอยู่ก็ที่ป่าพรุโต๊ะแดง นราธิวาส รัฐบาลควรจะสำนักอนุรักษ์ป่าพรุควนเคร็งเอาไว้ให้เป็นมรดกของลูกหลาน

ป่าพรุควนเคร็งนอกจากจะเป็นพรุเสม็ดขาวแล้ว ยังเป็นแหล่งรวมของสัตว์ปีก สัตว์เลื่อยคลาย นก ปลา นานาชนิด เป็นแหล่งอาหารของคนนครศรีธรรมราช รัฐบาลไม่ควรปล่อยให้มีสภาพเป็นเช่นปัจจุบัน ขาดการเอาใจใส่ดูแลจริงจัง ไฟไหม้เกือบทุกปี โดยไม่มีวิธีในการป้องกัน แค่ทำแนวกันไฟคงจะไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องแล้ว ต้องสุมหัวกันคิดใหม่ว่าจะป้องกันอย่างไร แลคิดหาวิธีฟื้นระบบนิเวศของป่าพรุขึ้นมาใหม่

ผมเอง #นายหัวไทร ในฐานะคนนครศรีธรรมราช คนป่าพรุมาก่อน ก็ไม่ใช่แค่ตำหนิคนอื่น ไม่ทำอะไร นำเรียนว่า ผมและทีมงานทำโครงการลำพันคืนถิ่น จัดหาและปล่อยปลาดุกลำพันคืนป่าพรุมาแล้ว 6 ครั้ง เพื่อให้ป่าพรุเป็นคลังอาหารของคนนครศรีธรรมราช และกำลังจัดหาทุนปล่อยปลาดุกลำพันคืนป่าพรุควนเคร็งครั้งที่ 7 ต่อไป

อีกโครงการที่จะทำเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศของป่าพรุควนเคร็ง คือการจัดทำโครงการปลูกจาก 'โครงการหิ้วชั้น แบกจอบ ไปปลูกจาก' ปีที่แล้วปลูกไป 4500 ต้น ปีนี้เรากำลังจัดหาทุน 'หิ้วชั้น แบกจอบ ไปปลูกจาก ปี 2' ประมาณการว่าจะปลูกวันที่ 3 ธันวาคม 2566 ที่จะถึงนี้ มีงบประมาณตั้งต้นจากมูลนิธิร่วมพัฒนาภาคใต้ แล้ว 30,000 บาท แต่ต้องใช้งบ 100,000 บาท ใครมีจิตศรัทธา จิตเป็นกุศลก็ร่วมบุญกันได้ครับ จะปลูกไล่เลี่ยกับช่วงปล่อยปลาดุกลำพันนะครับ

แต่เบื้องต้นนี้ทุกองคาพยพควรจะช่วยกัน ร่วมแรงร่วมใจดับไฟป่าพรุควนเคร็งก่อน เวลานี้หมอกควันจากไฟไหม้ป่า เริ่มกระทบต่อการดำรงชีวิตของชาวบ้านแล้ว และกระทบไปถึงตำบลแหลม อ.หัวไทร แล้ว

‘เศรษฐา’ แนะ!! ‘คนรุ่นใหม่’ ก่อนจะเป็นนายตัวเอง ควรไปเป็น ‘ขี้ข้า’ เขาก่อน จะได้รู้ซึ้งถึง ‘การถูกกระทํา’

เมื่อไม่นานนี้ ผู้ใช้ TikTok บัญชี @zadlifez แชร์คลิปวิดีโอของ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้แนะนำแนวทางสำหรับเด็กรุ่นใหม่ ว่าก่อนจะไปเป็นนายตัวเอง ควรต้องไปเป็น ‘ขี้ข้า’ เขาก่อน โดยระบุว่า…

“อย่างไรการศึกษาก็เป็นเรื่องที่สําคัญที่สุด ผมมาจากโอลด์สคูล ยังไงคุณต้องเรียนหนังสือ และหน้าที่ของพ่อแม่คือส่งลูกให้เรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะสามารถเรียนได้ และต้องไปโรงเรียนที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถไปได้ และในกําลังทรัพย์ที่เขาสามารถจะกู้เองหรือว่าพ่อแม่สามารถซัพพอร์ตได้”

“เรื่องของการทํางานมีหลายทฤษฎี ผมขออย่างเดียว คือ จบมาแล้ว อย่าไปทําสตาร์ตอัป อย่าเพิ่งไปเป็นเจ้าของกิจการ ขอใช้คําหยาบ ๆ แล้วกันนะ เพื่อที่จะได้เข้าใจ… คือ คุณต้องไปเป็น ‘ขี้ข้า’ เขาก่อน คุณต้องเป็นลูกน้องเขาก่อน คุณต้องเข้าใจถึงความรู้สึกของการเป็นลูกน้องเขาก่อน นี่คือสิ่งที่ผมขอลูกผมทั้ง 3 คน ว่าต้องทํา คุณต้องไปเป็นลูกน้องเขาก่อน คุณต้องถูกใช้ก่อน คุณต้องเข้าใจความรู้สึกของการถูกใช้ก่อน เพราะในวันข้างหน้า เมื่อคุณจะเป็นเจ้าคนนายคน หรือคุณจะเป็นใหญ่เป็นโต เป็นเจ้าของกิจการบริษัท คุณจะได้รู้ซึ้งถึงการที่คุณ ‘ถูกกระทํา’”

“ผมว่าผมเป็นคนหัวโบราณนะ ผมไม่คิดว่ามีกี่คนที่เป็นแบบ ‘สตีฟ จ็อบส์’ หรือว่าเป็นแบบ ‘มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก’ ได้ คนอีก 500-600 คนที่จบมาทําสตาร์ตอัป แล้วประสบความสำเร็จมากพอที่จะสู้ได้ เป็นมหาเศรษฐีได้ มีเยอะขนาดนั้นเชียวหรือ…”

ความสำเร็จโครงการการสืบสวนสอบสวนยุค 5G ระหว่าง นักศึกษาธรรมศาสตร์ กับสืบนครบาล

เมื่อวันที่  25  สิงหาคม 2566 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ประธานพร้อมด้วย ดร.ญาดา เดชชัย เธียรประสิทธิ์ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์  ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.อิสเรศ ปาลาพงศ์ รอง ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น. , ผกก.สส.1-4 บก.สส.บช.น. , ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ , ผกก.ฝอ.ฯ , คณะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยคณะครูพี่เลี้ยงจากสืบนครบาล,สถานีตำรวจนครบาล ห้วยขวาง ลุมพินี พระโขนง และพญาไท ที่ร่วมโครงการฯ และคณะอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ร่วมพิธีปิดโครงการ การสืบสวนสอบสวนยุค 5G ห้องปฏิบัติการกฎหมาย Special Law Lab "Young Lawyers - Police Engagement (YLPE) Project (TU Law and Royal Thai Police) รวม 14 วัน
ณ ห้องประชุมอัจฉริยะ ชั้น 4 บก.สส.บช.น.

ทั้งนี้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ได้รับชมการรายงาน สรุปผลการศึกษางานพร้อมทั้งมอบประกาศนียบัตร ให้แก่นักศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการฯ

นักศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการ กล่าวแสดงความในใจว่า ได้เข้าใจชีวิตตำรวจ และการทำงานของตำรวจที่ไม่เคยรู้ ว่าหนัก เครียด ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะหน้างานสืบสวน ของสืบนครบาล ต้องมีความอดทน เสี่ยงอันตราย  อยากให้โครงการนี้ มีการขยายผลต่อไปอีก และขอบคุณ ท่านพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ตลอดจนผู้การจ๋อ และคณะครูพี่เลี้ยงสืบนครบาล

'ลุงตู่' ยก 9 ประเด็นสำคัญในช่วงระยะเวลา 9 ปี 'ทุกแรงขับเคลื่อน' เกิดขึ้นได้ เพราะคนไทยร่วมใจเป็นหนึ่ง

(26 ส.ค. 66) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โพสต์เฟซบุ๊ก ‘ประยุทธ์จันทร์โอชา Prayut-Chan-o-cha’ โดยระบุว่า…

พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักครับ

ตลอดระยะเวลา 9 ปี ของการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย เป็นช่วงเวลาที่มีความหมายมากที่สุดของชีวิต เป็น 9 ปีที่ได้ทำงานเพื่อปกป้องแผ่นดินไทย ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของผม และของเราทุกคน เป็น 9 ปีที่ผมได้ใช้สติปัญญา ทุ่มเททุกศักยภาพและกำลังความสามารถ สานพลังจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน รวมทั้งเชิดชูสถาบันอันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย และเป็น 9 ปีของประเทศไทยที่ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด มีความเจริญก้าวหน้าในหลายด้านทัดเทียมนานาอารยประเทศ และพร้อมยกระดับไปสู่ประเทศชั้นนำของโลก ในอนาคตอันใกล้นี้ ด้วยเหตุผลสำคัญได้แก่

1. เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมี ‘ยุทธศาสตร์ชาติ’ ระยะยาว 20 ปี เพื่อเป็นเข็มทิศนำทางและกรอบแนวคิดในการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ให้เกิดความต่อเนื่อง เป็นเป้าหมายให้ทุกภาคส่วนได้ทำงานร่วมกัน ขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกระดับ

2. มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมครั้งยิ่งใหญ่ ในทุกระบบ ทั้งทางถนน ทางราง ทางทะเล และทางอากาศรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในอนาคต ยกบทบาทของประเทศจากความโดดเด่นทางภูมิรัฐศาสตร์ ให้เป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ ด้านการบิน ด้านการขนส่งสินค้า ด้านการท่องเที่ยว ฯลฯ

3. มีความพร้อมเรื่อง ‘เศรษฐกิจดิจิทัล’ และ ‘เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม’ โดยมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล และ 5G ที่โดดเด่นในภูมิภาค เป็นที่ดึงดูดการลงทุนบริษัทชั้นนำของโลกหลายราย ซึ่งจะส่งเสริมบทบาทให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้าน 5G - Data center - Cloud services ที่สำคัญในภูมิภาค มีการใช้ประโยชน์ของประชาชนในชีวิตประจำวัน การศึกษาหาความรู้ การประกอบอาชีพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของตนและสร้างรายได้ที่สูงขึ้นของคนทุกกลุ่ม ทุกสาขาอาชีพ

4. มีการกำหนด 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งล้วนเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต รวมทั้งมีเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเขตส่งเสริมเศรษฐกิจเพื่อกิจการพิเศษ ทั้งด้านการแพทย์ ด้านนวัตกรรม ด้านดิจิทัล เป็นต้น ที่เป็นแหล่งบ่มเพาะแรงงานทักษะสูง-แรงงานแห่งอนาคต รวมถึงเกษตรอัจฉริยะ เพื่อตอบสนองตลาดแรงงานในอนาคตและการพัฒนาประเทศในศตวรรษที่ 21

5. สร้างกลไกในการบริการจัดการทรัพยากรที่สำคัญของชาติ (1) ‘น้ำ’ ออกกฎหมายน้ำฉบับแรกของประเทศ มีสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) บูรณาการหน่วยงานน้ำในทุกระดับ (2) ‘ดิน’ ตั้งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) และจัดทำแผนที่ One Map เพื่อแก้ปัญหาที่ดินทับซ้อนมาหลายสิบปี รวมทั้งจัดสรรที่ดินทำกินให้กับผู้ยากไร้-เกษตรกร (3) ‘ป่า’ เช่น ออกกฎหมายป่าชุมชน ไม้มีค่า และตลาดคาร์บอนเครดิต เพื่อส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ

6. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เช่น (1) ส่งเสริมสวัสดิการกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก-ผู้สูงอายุ-ผู้พิการ (2) ส่งเสริมบทบาทกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กองทุนยุติธรรม และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อสร้างสังคมที่เท่าเทียม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (3) การยกระดับศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ด้วยการศึกษา รองรับความท้าทายใหม่ๆ ของโลกในอนาคต

7. ปฏิรูปกฎหมายไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน อำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ และดึงดูดการลงทุนเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ รวมทั้งแก้ไขและบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล สามารถแก้ไขวิกฤตชาติได้ในหลายเรื่อง เช่น ปลดธงแดง ICAO และแก้ปัญหาการประมงผิดกฎหมาย IUU สร้างความเชื่อมั่นประเทศไทยในเวทีโลก

8. ประยุกต์เทคโนโลยีที่ทันสมัยในระบบราชการไทย เพื่อยกระดับการให้บริการแก่ประชาชนและเอกชน ที่เข้าถึงง่าย- สะดวก - โปร่งใส เช่น (1) บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ช่วยให้การจ่ายเงินช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางตรงเป้าหมาย เต็มเม็ดเต็มหน่วย ตรวจสอบได้ (2) UCEP สายด่วน 1669 บริการการแพทย์ฉุกเฉิน ฟรีทุกสิทธิ์ ทุกโรงพยาบาล เป็นต้น

9. สร้างความสัมพันธ์ทั่วโลก ทั้งในรูปแบบทวิภาคี-พหุภาคี และเขตการค้าเสรี (FTA) รวมทั้งรื้อฟื้นความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย เพื่อขยายความร่วมมือ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และตลาดการค้าระหว่างกัน

ทั้งนี้ การเดินทางของประเทศไทยในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้ราบรื่น หรือง่ายดาย ยังคงมีวิกฤตโควิด วิกฤตความขัดแย้งในโลก ที่ส่งผลกระทบด้านราคาพลังงาน ค่าครองชีพ และเงินเฟ้อจนถึงในปัจจุบัน แต่ด้วยความร่วมมือร่วมใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทย ช่วยให้เราฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ และฟื้นตัวมาได้ ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ยังคงผันผวน

ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน เพื่อนข้าราชการ และทุกภาคส่วน ที่ได้เสียสละและอดทนในทุกสถานการณ์ที่ผ่านมา เพื่อให้ส่วนรวม สังคม และประเทศชาติ กลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง ซึ่งผมมั่นใจอย่างยิ่งว่าประเทศไทยนับจากวันนี้เป็นต้นไป จะไม่ได้เริ่มนับที่ 1 อีกต่อไป หากทุกอย่างที่เราสร้างกันมานั้นได้รับการต่อยอด ก็จะทำให้เราเดินทางเข้าสู่ ‘เส้นชัย’ ได้เร็ววันขึ้นครับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top