Saturday, 24 May 2025
NEWS

กองทัพเรือ จัดเรือหลวงช้าง ตรวจพลสวนสนามทางเรือ เพื่อเป็นเกียรติแด่ พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในโอกาสเยี่ยมอำลาหน่วยในพื้นที่สัตหีบ ก่อนเกษียณอายุราชการ พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เดินทางไปเยี่ยมอำลาหน่วยกอ

กองทัพเรือ จัดเรือหลวงช้าง ตรวจพลสวนสนามทางเรือ เพื่อเป็นเกียรติแด่ พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในโอกาสเยี่ยมอำลาหน่วยในพื้นที่สัตหีบ ก่อนเกษียณอายุราชการ

พลเรือเอก เชิงชาย  ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เดินทางไปเยี่ยมอำลาหน่วยกองทัพเรือ ในพื้นที่สัตหีบ ในโอกาสเกษียณอายุราชการ บนเรือหลวงช้าง ซึ่งจอดลอยลำ บริเวณอ่าวสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยมี พลเรือเอก อะดุง  พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ จากหน่วยต่าง ๆ ของกองทัพเรือในพื้นที่สัตหีบ ให้การต้อนรับ โดยเรือหลวงปิ่นเกล้าได้ยิงสลุต เพื่อเป็นเกียรติแด่ผู้บัญชาการทหารเรือ จำนวน 19 นัด จากนั้นเรือต่าง ๆ ในหมู่เรือสวนสนาม ได้ทำการสวนสนามทางเรือเพื่อเป็นเกียรติแด่ ผู้บัญชาการทหารเรือ  

เมื่อเสร็จสิ้นพิธีสวนสนามทางเรือ ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ได้กล่าวสดุดีแด่ผู้บัญชาการทหารเรือ จากนั้นผู้บัญชาการทหารเรือ ได้กล่าวชื่นชมและขอบคุณกำลังพลทุกนายที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยเห็นแก่ประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ตลอดจนได้เน้นย้ำให้กำลังพลทุกนายร่วมมือ ร่วมแรงและร่วมใจ กันปฏิบัติงานด้วยความเข้มแข็ง ซื่อสัตย์สุจริตเพื่อกองทัพเรือ

สำหรับกองเรือยุทธการ เป็นหน่วยที่มีความสำคัญในด้านการเตรียมกำลังรบทางเรือให้มีความพร้อมที่จะปฏิบัติภารกิจในการปกป้องเอกราชและอธิปไตยของชาติ โดยปฏิบัติการทางเรือ ปฏิบัติการทางอากาศ ปฏิบัติการตามลำน้ำ และปฏิบัติการสงครามพิเศษทางเรือ ตลอดจนการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล รวมทั้งช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน

ทั้งนี้ พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ เป็นผู้บัญชาการทหารเรือ ลำดับที่ 56 ของกองทัพเรือ โดยตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือ พลเรือเอก เชิงชายฯ ได้ดำเนินการตามนโยบายหลัก 9 ด้าน โดยมุ่งเน้นนโยบายผู้บัญชาการทหารเรือท่านที่ผ่านมา ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างรากฐานที่มั่นคง ของกองทัพเรือ และเพื่อให้กำลังพลทุกนายได้ร่วมแรงร่วมใจขับเคลื่อนนโยบายผู้บัญชาการทหารเรือ เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ของกองทัพเรือที่กำหนดไว้คือเป็นหน่วยงานความมั่นคงทางทะเลที่มีบทบาทนำในภูมิภาค และเป็นเลิศ ในการบริหารจัดการ สำหรับนโยบายหลัก 9 ด้าน มาจากยุทธศาสตร์กองทัพเรือ พ.ศ.2560 - 2580 ซึ่งเป็นแผนแม่บทการพัฒนากองทัพเรือด้านต่าง ๆ และนโยบายกองทัพเรือระยะ 5 ปี พ.ศ.2566 – 2570

‘พล.ร.อ.อะดุง’ เข้ารับตำแหน่ง ‘ผู้บัญชาการทหารเรือ’ ลั่น!! สานต่อ ‘กู้เรือหลวงสุโขทัย’ โปร่งใส-ตรวจสอบได้

(29 ก.ย.66) พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม บัญชาการทหารเรือ ได้ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชน ภายหลังรับตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารเรือ ต่อจาก พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ บริเวณหน้าอาคารกองบัญชาการกองทัพเรือพระราชวังเดิม โดยกล่าวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเปิดเผยถึงนโยบายในการบริหารกองทัพเรือ 7 ด้าน ตลอดระยะเวลา 1 ปีในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือ ว่า

ตามที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผมเป็นผู้บัญชาการทหารเรือ ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม 2566 นั้น ผมและครอบครัวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและจะน้อมนำ พระบรมราโชวาทที่พระองค์ได้พระราชทานไว้ในวโรกาสต่าง ๆ มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความจงรักภักดี ซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนชาวไทยอย่างสูงสุด การนำกองทัพเรือใน 1 ปีข้างหน้านี้ ตนจะบังคับบัญชากำลังพลในทุกระดับ เพื่อวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

1. จะปกป้องและรักษาสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
2. จะนำนโยบายรัฐบาล และนโยบายของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มาปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรมในโอกาสแรก
3. จะเป็นปีแห่งการกวดขันระเบียบวินัยกำลังพลให้ปฏิบัติตามคำสั่ง ระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกำหนดที่มีอยู่แล้วอย่างจริงจัง
4. จะเป็นปีแห่งการดูแลสิทธิประโยชน์ สวัสดิการ เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ให้แก่กำลังพลในทุกระดับ เพื่อให้มีขวัญกำลังใจ ที่จะร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ
5. จะดูแลความมั่นคงทางทะเล จะช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยพิบัติ และนำยุทโธปกรณ์มาสนับสนุนรัฐบาลเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยของเราให้เจริญรุ่งเรือง
6. จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้กองทัพเรือเป็นหน่วยงานที่ประชาชนชาวไทยเชื่อมั่น และภาคภูมิใจ
7. จะทำหน้าที่เป็นหน่วยงานความมั่นคงและหน่วยงานรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลที่มีประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการและทำให้ทะเลไทยปลอดภัยและมีความมั่นคง

โดยในปีนี้ตนได้กำหนด มอตโต้ เพื่อให้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานของกำลังพลทุกระดับไว้คือ

"เทิดทูนสถาบัน ยึดมั่นระเบียบวินัย ประชาชนภูมิใจ ทะเลไทยมั่นคง"

พล.ร.อ.อะดุง กล่าวอีกว่า ขอขอบคุณที่เป็นกำลังใจและจะตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุดจะไม่ให้เกิดความผิดพลาดใด ๆ และขอให้ทุกคนเป็นกำลังใจให้กองทัพเรือ

สำหรับเรื่องเรือดำน้ำเปลี่ยนเครื่องยนต์จีนจะนำส่ง รมว.กลาโหมนั้น ขอศึกษารายละเอียด อย่างที่ทราบ พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผบ.ทร. ได้ลงนามแล้วก็ส่งไปให้กองบัญชาการกองทัพไทยแล้ว
และตนจะดำเนินการโดยเร็วที่สุด

เมื่อถามว่า กองทัพเรือพร้อมที่จะใช้เครื่องยนต์ของจีน หรือ พร้อมที่จะให้ยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงเรื่องเรือดำน้ำหรือไม่ พลเรือเอกอะดุง กล่าวว่า ยังไม่ขอตอบขอไปศึกษาและขอให้เป็นไปตามที่ พล.ร.อ.เชิงชาย ดำเนินการ

เมื่อถามว่า มีแผนรองรับหรือไม่ กรณีที่รัฐบาลตัดสินใจเรือดำน้ำไปอีกทางหนึ่ง พล.ร.อ.อะดุง กล่าวว่า การตัดสินใจของรัฐบาลหรือกองทัพเรือตัดสินใจเพื่อผลประโยชน์ของกองทัพเรือและประเทศชาติจะเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด

เมื่อถามถึง ความคืบหน้าการกู้เรือหลวงสุโขทัย พลเรือเอกอะดุง กล่าวว่า เมื่อวันที่ 20 กันยายนได้เปิดเชิญชวนให้บริษัทเอกชนเข้ามาประมูลเรียบร้อยแล้ว ซึ่งครั้งที่ยกเลิกไป ซึ่งพลเรือเอกเชิงชายก็ได้ระบุแล้วว่า ไม่มีอะไรผิดเพียงแต่ว่าเมื่อเปิดซองแล้วทุกบริษัทใส่เอกสารมาไม่ครบ ดังนั้น วันที่ 19 ตุลาคม จะมีการยื่นซองประมูลใหม่ ซึ่งถือเป็นไทม์ไลน์คร่าว ๆ ของการกู้เรือหลวงสุโขทัย และในเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2567 เรือทยอยขึ้น

เมื่อถามถึงกรณีที่ รมว.กลาโหม สั่งการให้จเรทหารมาตรวจสอบความเรียบร้อยเรื่องการกู้เรือหลวงสุโขทัย พลเรือเอกอะดุง ระบุว่า ยังไม่ได้อ่านข่าว แต่ในฐานะเป็นประธานกู้เรือเราทำด้วยความตรงไปตรงมาทุกอย่าง

เมื่อถามว่า ทางการเมืองจับตาดูมีความกดดันห่วงอะไรหรือไม่ พล.ร.อ.อะดุง กล่าวว่า ตนไม่ห่วงอะไรเลย กองทัพเรือจะทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนและทำอย่างตรงไปตรงมา และยืนยันว่าทั้ง 2 เรื่องนี้จะต้องเสร็จในยุคของตน

'อดีตทูตนริศโรจน์' เผย!! ความเปรี้ยง 'ตัวเงินตัวทอง' ไทย Soft Power สร้างชื่อ จนกองถ่ายสารคดีหลายชาติมาขอถ่ายทำ

(29 ก.ย.66) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก Fuangrabil Narisroj ว่า...

ภาพตอนน้องตัวเงินตัวทองกำลังข้ามถนน เหมือนหน้าปกแผ่นเสียงของ The Beatles เลย ตอนนี้น้องเค้าเป็นบุคคลากรทางด้าน Soft Power ที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศอย่างแท้จริง มีกองถ่ายสารคดีจากหลายประเทศติดต่อขออนุญาตถ่ายทำเกี่ยวกับน้องๆ หลายประเทศแล้ว

ร้านคาเฟ่แมว เงิบ!! เจอลูกค้านัดช่างมาทำเล็บ อ้างร้านให้ทำ ด้านร้านสุดเสียใจ ลูกค้าท่านอื่นต้องมาเจอเรื่องแย่ๆ แบบนี้

(29 ก.ย. 66) เพจร้านคาเฟ่แมว 'a daily' ซึ่งเป็นร้านคาเฟ่ที่ขายทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และมีน้องแมวในร้าน ออกมาโพสต์ประสบการณ์เมื่อเจอลูกค้าที่มีพฤติกรรมสุดจะทน ระบุว่า...

เปิดร้านมา 7 ปี พึ่งเคยเจอเคสนี้ค่ะ ไม่รู้ร้านอื่นเคยเจอเหมือนเรามั้ย 

ก่อนอื่นทางร้าน a daily ต้องขออภัยคุณลูกค้าที่ใช้บริการ ในช่วงเวลา 14.30น. - 19.30น. ของวันนี้เป็นอย่างสูง ที่อาจทำให้ไม่สบายใจ และรู้สึกถูกรบกวนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทางร้านรู้สึกผิดและต้องขออภัยอีกครั้งที่ปล่อยให้เหตุการณ์นี้เกิดในเวลานาน โดยไม่ได้จัดการในทันที

เหตุการณ์ คือ วันนี้มีลูกค้าเข้ามาสั่งอาหาร เครื่องดื่ม ขนมทานตามปกติ ผ่านไปสักครู่ก็เริ่มวางข้าวของ ขยายโต๊ะ เสียบอุปกรณ์ ทำเล็บกันอย่างจริงจัง โดยตอนที่เจ้าของร้านมาถึง อย่างแรกค่ะรู้สึกงง ตกใจ รีบหันไปถามพนักงานของเราว่าเค้าได้แจ้ง หรือขออนุญาตเรารึยัง และตำหนิพนักงานก่อนอันดับแรก คำตอบที่ได้จากน้องพนักงาน คือ ลูกค้าเข้ามาใช้บริการตามปกติในตอนแรก แต่ไม่ทราบว่าจะมาใช้พื้นที่ทำเล็บแบบนี้ 

จนตอนท้ายที่สุดของเหตุการณ์ ได้คุยกับช่างที่ทำเล็บ ก็ได้ทราบว่าลูกค้าเป็นคนนัดมาทำที่นี้ โดยทางช่างได้สอบถาม และย้ำกับลูกค้าแล้วว่าสามารถมาทำที่ร้านนี้ได้จริง ๆ หราค่ะ ลูกค้าก็เป็นคนยืนยันเองว่าได้ ทั้งที่จริงแล้วทางร้านไม่ทราบอะไรเลย ซึ่งช่างก็ได้ขอโทษกับทางร้าน

ในมุมของทางร้านนะคะ เรารู้สึกไม่โอเคมาก ๆ เพราะเราเป็นคาเฟ่ที่ขายอาหาร ขนม เครื่องดื่ม 

อย่างแรก การทำเล็บไม่เหมาะจะมาทำในคาเฟ่ ด้วยเรื่องของความสะอาด เศษเล็บ กลิ่นเคมี และพื้นที่ 

อย่างที่สอง หากลูกค้าอยากทำเล็บควรใช้พื้นที่ส่วนตัว หรือไปร้านทำเล็บจะเหมาะกว่า

อย่างที่สาม การมาอุดหนุนทางร้านทางเรายินดีและขอบคุณ แต่ควรแยกความต้องการของลูกค้าเองให้เหมาะ

ตั้งแต่วันนี้ ทางร้าน a daily ไม่อนุญาตให้ใช้พื้นที่แบบนี้นะคะ และเราจะปรับปรุงบริการให้ดียิ่งขึ้นค่ะ

‘หนุ่มนักรังสีฯ’ อวดผมทรงใหม่ ไถเป็นรูปใบหน้า ‘น้องเทนนิส’ เป็นของขวัญหลังคว้าชัยให้ไทย ในศึกเอเชียนเกมส์ครั้งสุดท้าย

(29 ก.ย. 66) เป็นที่ฮือฮากันทั่วโซเชียล หลังจากที่ คุณไมตรี จิตตินันทน์ นักรังสีการแพทย์ คณะทันตแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เผยภาพโดนใจใครหลายๆ คน อวดผมทรงใหม่ ที่เนรมิตเป็นใบหน้า ‘น้องเทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ’ หลังจากที่คว้าชัยชนะ เหรียญทองเอเชียนเกมส์ 2022

โดยเฟซบุ๊ก ‘Mitree Mike Chitinunda’ โพสต์ภาพพร้อมข้อความว่า…

“เอเชียนเกมส์ครั้งสุดท้ายของเทนนิส นักกีฬาที่มีหัวใจนักสู้ คนนี้ตัวจริง”

นักวิจัยไทยสุดยอด!! คิดค้น ‘มาการีน’ จากโอลีโอเจลน้ำมันรำข้าว ปราศจากไขมันทรานส์ มีกรดไขมันอิ่มตัวต่ำ

โดยปกติแล้ว กรดไขมันอิ่มตัว มักพบได้ในผลิตภัณฑ์อาหารหลายประเภท ได้แก่ มาการีน, เนยขาว, เนย, ชีส, ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ และอาหารทอด ซึ่งอาหารเหล่านี้นอกจากจะมีกรดไขมันอิ่มตัวสูงแล้ว ยังอาจพบไขมันทรานส์ (Trans fat) ร่วมด้วย 

ดังนั้น หากมีการบริโภคกรดไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ในปริมาณสูง จะส่งผลต่อการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด แต่ก็ต้องยอมรับว่าในชีวิตประจำวันของทุกคน แทบจะหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เลย

อย่างไรก็ตาม การกินไขมันเพื่อสุขภาพที่ดี ก็สามารถทำได้ ด้วยการเลือกอาหารที่เป็นแหล่งกรดไขมันอย่างเหมาะสมและควบคุมปริมาณที่กินให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลและช่วงวัยต่างๆ 

จากข้อมูลของคณะผู้เชี่ยวชาญขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติและองค์การอนามัยโลก (Food Agriculture Organization of the United Nations/World Health Organization; FAO/WHO) พ.ศ. 2552 ได้แนะนำให้บริโภคไขมันในปริมาณไม่เกินร้อยละ 35 ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน และไขมันอิ่มตัวน้อยกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 10 ของพลังงานทั้งหมดที่ควรได้รับต่อวัน และบริโภคกรดไขมันทรานส์ให้น้อยกว่าร้อยละ 1 

จากเงื่อนไขดังกล่าว ทางคณะนักวิจัย ม.มหิดล จึงได้คิดค้นผลิตภัณฑ์มาการีนทางเลือกจากโอลีโอเจลน้ำมันรำข้าวที่ปราศจากไขมันทรานส์และมีกรดไขมันอิ่มตัวต่ำ สำหรับผู้บริโภคทุกเพศวัย โดยใช้เทคโนโลยีที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับอุตสาหกรรมอาหาร และเหมาะสำหรับนำไปผลิตอาหารแก่ผู้ที่สนใจ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้งานในระดับครัวเรือน ถึงระดับอุตสาหกรรม

รองศาสตราจารย์ ดร.สุภัทรา ลิลิตชาญ อาจารย์ประจำภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล หัวหน้าโครงการฯ กล่าวว่า มาการีนเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นไขมันแข็งที่อุณหภูมิห้อง นิยมใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์อาหารหลายประเภท ซึ่งมาการีนส่วนใหญ่ผลิตมาจากน้ำมันพืชที่เป็นของเหลว จำเป็นต้องนำมาผ่านกระบวนการผลิตเพื่อเปลี่ยนน้ำมันเหลวให้อยู่ในรูปของไขแข็งด้วยกระบวนการต่างๆ ได้แก่ การเติมไฮโดรเจน (Hydrogenation) การแยกส่วน (Fractionation) การทำปฏิกิริยาอินเตอร์เอสเทอริฟิเคชัน (Interesterification) หรือ การผสมน้ำมัน (Blending) ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะทำให้กรดไขมันอิ่มตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้พบว่ากระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน (Partial hydrogenation) จะทำให้เกิดไขมันทรานส์ขึ้นด้วย

ทางคณะผู้วิจัยจึงนำกระบวนการโอลีโอเจลเลชันมาประยุกต์ใช้ในการผลิตมาการีนจากน้ำมันรำข้าว โดยทำน้ำมันให้อยู่ในรูปของโอลีโอเจล (Oleogel) มีลักษณะเป็นของกึ่งแข็ง (Semi-solid) เพื่อให้มีคุณสมบัติในการทดแทนไขแข็ง โดยโอลีโอเจลที่ได้จะเป็นโครงสร้างที่ประกอบขึ้นเองเป็นเครือข่ายเจลต่อเนื่อง สามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างได้ตามอุณหภูมิ และมีคุณสมบัติหนืดและยืดหยุ่น 

ที่สำคัญวิธีนี้จะไม่ทำให้องค์ประกอบของกรดไขมันเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ได้เป็นผลิตภัณฑ์ไขแข็งที่มีกรดไขมันอิ่มตัวต่ำและปราศจากไขมันทรานส์ จึงจัดว่าเป็นเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ที่น่าสนใจและเป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถนำไปใช้ช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้

รองศาสตราจารย์ ดร.สุภัทรา กล่าวเพิ่มเติมว่า มาการีนจากโอลีโอเจลน้ำมันรำข้าว เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ทางเลือกเพื่อสุขภาพ เนื่องจากน้ำมันรำข้าวมีสัดส่วนของกรดไขมันที่ดีต่อสุขภาพ มีคุณค่าทางโภชนาการ ปราศจากไขมันทรานส์ มีปริมาณสัดส่วนของกรดไขมันอิ่มตัวเพียงร้อยละ 24-25 และมีสารสำคัญที่ดีต่อสุขภาพ ได้แก่ Gamma Oryzanol ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (Low density lipoprotein cholesterol; LDL-C) และเพิ่มคอเลสเตอรอลที่ดี (High density lipoprotein cholesterol; HDL-C) ในร่างกาย เหมาะที่จะนำไปใช้ประโยชน์ทางด้านการแพทย์อย่างกว้างขวางในรูปอาหารเสริมที่สามารถลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ลดการรวมตัวของเกล็ดเลือด 

อีกทั้งยังมีการศึกษาวิจัยพบว่าช่วยปรับสมดุลของระดับฮอร์โมนในสตรีวัยทอง และ Policosanol ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยปรับสมดุลการสร้างคอเลสเตอรอล และเสริมการทำงานของตับในการเผาผลาญไขมัน ส่งผลให้ระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดลดลง ช่วยสร้างคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-C) ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ รวมถึงลดการจับตัวของเกล็ดเลือดและลดการทำลายของเยื่อบุผนังหลอดเลือด โดยผลิตภัณฑ์มาการีนจากโอลีโอเจลน้ำมันรำข้าวมีลักษณะเป็นไขแข็งทาปาดได้ดี สามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์บราวนี่ คุกกี้ ไอศกรีม ครีมชีส และช็อกโกแลตสเปรด 

ฉะนั้นมาการีนจากโอลีโอเจลน้ำมันรำข้าว จึงเป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจและนำไปสู่การผลิตเชิงการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป และผู้บริโภคที่มีภาวะเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ภาวะคอเลสเตอรอลและไขมันในเลือดสูง และความดันโลหิตสูง

สำหรับโครงการดังกล่าว ได้รับทุนวิจัยจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) ปีงบประมาณ 2560 และ 2562 โดยผลงานวิจัยนี้อยู่ในระดับของเทคโนโลยีที่ ‘พร้อมจะถ่ายทอด’ สู่ผู้ประกอบการ ภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคอุตสาหกรรมอาหารที่สนใจนำไปประยุกต์ใช้เพื่อผลิตอาหารต่างๆ รวมทั้งผู้ประกอบการที่สนใจที่จะนำไปประยุกต์ใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับอาหารฟังก์ชัน (Functional Food) อาหารทางการแพทย์ (Medical food) และโภชนเภสัชภัณฑ์ (Pharmaceutical) เป็นต้น

‘จตุพร’ เชื่อมือ ‘บิ๊กต่อ’ 1 ปี มุ่งปฏิรูปสีกากี-ฟื้นความเชื่อมั่น แนะ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ร่วมมือสร้างความเปลี่ยนแปลงระบบตำรวจไทย

‘จตุพร’ เชื่อ ‘บิ๊กต่อ’ เป็น ‘ผบ.ตร.’ คนเดียวมีฤทธิ์เดชสูง มากภูมิต้านทานแข็งแกร่ง หวังว่าเวลาไม่เป็นอุปสรรค แค่ 1 ปีมุ่ง ‘ปฏิรูปสีกากี’ ได้น้ำได้เนื้อ เร่งขจัดวิ่งเต้น สร้างยุติธรรมให้ประชาชนได้พึ่งพิงอุ่นใจ แนะ ‘บิ๊กโจ๊ก’ นำข้อมูลหารือร่วมมือ ผบ.ตร.ผ่าวิกฤตศรัทธา ฟื้นเชื่อมั่น

(29 ก.ย. 66) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ เรียกร้องให้ ผบ.ตร.คนใหม่ ใช้เวลาในตำแหน่งแค่ 1 ปีให้คุ้มค่าเกิดประโยชน์กับวงการสีกากี ด้วยการปฏิรูปตัวเอง สะสางปัญหาการวิ่งเต้นเอาตำแหน่งเติบโต ซึ่งเป็นปัญหาฉุดรั้งความยุติธรรมไม่เกิดขึ้นกับประชาชน

นายจตุพร กล่าวถึงกรณีการค้นบ้าน ‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และแต่งตั้ง ผบ.ตร. รวมถึงสัปดาห์หน้าจะมีเรื่องใหญ่ในวงการสีกากี ว่า ไม่มั่นใจว่า บิ๊กโจ๊ก จะมีการเดินหน้าต่อหรือไม่ เพราะเคยบอกมีข้อมูลเยอะ ถ้าเปิดเผยออกมาจะตายหมดทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แม้เป็นคำพูดแสดงถึงความรู้สึก อารมณ์คับข้องใจก็ตาม แต่จะปล่อยให้ผ่านเลยไปไม่ได้เช่นกัน

“ยิ่งต้องยอมรับความจริงกันว่าในเวลาที่เหลืออยู่ 1 ปีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ว่าที่ ผบ.ตร.คนใหม่ ซึ่งเป็นคนเดียวที่มีฤทธิ์เดช จะสามารถปฏิรูปวงการตำรวจได้หากจะทำ ส่วน รอง ผบ.ตร. ที่เหลืออีก 3 คน คงไม่อาจทำได้ เพราะในตัวเองไม่มีภูมิต้านทานแข็งแรงเท่ากับ ผบ.ตร.คนใหม่” นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวว่า การได้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เป็น ผบ.ตร. ส่วนหนึ่งทำให้สังคมตำรวจหายใจโล่งขึ้น เนื่องจากหลายปีผ่านมาตำรวจเจ็บปวดกับการแต่งตั้ง โยกย้ายข้ามหน้าข้ามตาอย่างมาก หาก ผบ.ตร.ใหม่สะสางการวิ่งเต้น โดยเบื้องต้นให้ตำรวจได้รับความยุติธรรมเสียก่อน จึงจะทำให้เป็นที่พึ่งของประชาชนได้

ทั้งนี้ ความไม่ยุติธรรมในตำรวจถูกสะสมกันมายาวนาน อีกอย่างการเน้นระบบอาวุโส 33% จึงเป็นความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ทำให้ตำรวจไม่มีเส้นสายวิ่งเต้นต้องอยู่ในตำแหน่งอย่างตรอมใจ มองคนอีก 67% วิ่งเต้นก้าวข้ามไปตำแหน่งสูงขึ้นผ่านหน้าไปคนแล้วคนเหล่า จึงเป็นความอยุติธรรมที่รู้ๆกัน แต่ไม่มีการจัดการในสำนักงานตำรวจ ดังนั้นเชื่อว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เพียงคนเดียวซึ่งมีภูมิต้านทานแข็งแรง ย่อมจัดการปฏิรูปตำรวจให้มีความยุติธรรมได้

นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าระบบตำรวจไม่ต้องวิ่งเต้น ก็ไม่ต้องจ่ายเงิน แล้วไม่ไปไถ รีดนาทาเร้น เชื่อว่าระบบตำรวจจะเปลี่ยนได้ ดังนั้นเวลาในตำแหน่ง ผบ.ตร. เพียง 1 ปีจึงไม่สำคัญ และหวังว่าจะเป็นโอกาสเวลาที่ทำให้เห็นความคุ้มค่าได้เกิดขึ้นต่อตำรวจทั้งประเทศ

“ส่วน บิ๊กโจ๊ก จะเปิดเผยข้อมูลหรือไม่นั้น หากนำข้อมูลที่มีมาร่วมมือกัน โดยหารือกับ ผบ.ตร.คนใหม่ จะเกิดประโยชน์ในการแก้ไขปัญหา ชำระสะสางได้อย่างมาก เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปตำรวจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยตัวเอง” นายจตุพร กล่าว

พิธีสวนสนามเนื่องในโอกาสรับ - ส่งหน้าที่ผู้บัญชาการทหารอากาศ และการมอบการบังคับบัญชา

ตามที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้นายทหารรับราชการสนองพระเดชพระคุณ ให้ พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็น ผู้บัญชาการทหารอากาศ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 นั้น 

กองทัพอากาศ ได้จัดพิธีรับ - ส่งหน้าที่ผู้บัญชาการทหารอากาศ ระหว่าง พลอากาศเอก อลงกรณ์  วัณณรถ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ซึ่งเกษียณอายุราชการ กับ พลอากาศเอก พันธ์ภักดี  พัฒนกุล ผู้เข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศ (ท่านใหม่) โดยมีผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพอากาศ ข้าราชการทหารอากาศ ผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ สมาคมแม่บ้านทหารอากาศ และแขกผู้มีเกียรติร่วมในพิธี เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2566 ณ ลานอเนกประสงค์ อุทยานการบินกองทัพอากาศ

โดยพลอากาศเอก อลงกรณ์  วัณณรถ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้ส่งธงประจำตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศ และแฟ้มเอกสารรับ - ส่งหน้าที่ผู้บัญชาการทหารอากาศ ให้แก่ พลอากาศเอก พันธ์ภักดี  พัฒนกุล ผู้เข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศ (ท่านใหม่) เพื่อแสดงถึงการส่งมอบหน้าที่และการบังคับบัญชาอย่างเป็นทางการ ในโอกาสนี้ กองทัพอากาศได้จัดพิธีสวนสนามเพื่อเป็นการเทิดเกียรติ ซึ่งประกอบด้วย

กำลังพลสวนสนามเพื่อเป็นเกียรติ จำนวน 4 กองพัน ดังนี้
- กองพันที่ 1 จัดกำลังพลจาก กรมนักเรียนนายเรืออากาศ รักษาพระองค์ โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช
 - กองพันที่ 2 จัดกำลังพลจาก กองนักเรียน โรงเรียนจ่าอากาศ กรมยุทธศึกษาทหารอากาศ
 - กองพันที่ 3 จัดกำลังพลจาก กรมทหารต่อสู้อากาศยาน รักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน
 - กองพันที่ 4 จัดกำลังพลจาก กรมปฏิบัติการพิเศษ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน

และจัดขบวนยานยนต์สวนสนาม จำนวน 29 คัน ดังนี้
- รถผู้บังคับกองพันยุทธยานยนต์ จำนวน 1 คัน จากกรมทหารอากาศโยธิน รักษาพระองค์ 
หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน
- รถจักรยานยนต์สารวัตรทหารอากาศ จำนวน 2 คัน จากสารวัตรทหารอากาศ
- รถยนต์สารวัตรทหารอากาศ จำนวน 2 คัน จากสารวัตรทหารอากาศ
- รถสายตรวจยานยนต์เบา จำนวน 4 คัน จากกรมทหารอากาศโยธิน รักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน
- รถชุดปฏิบัติการ จำนวน 4 คัน จากกรมทหารอากาศโยธิน รักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน
- รถโจมตี (รถบันได) จำนวน 4 คัน จากกรมปฏิบัติการพิเศษ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน
- รถยิงจรวดต่อสู้อากาศยาน จำนวน 4 คัน จากกรมต่อสู้อากาศยาน รักษาพระองค์ 
หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน
- รถเกราะ V-150 จำนวน 4 คัน จากกรมปฏิบัติการพิเศษ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน
- รถเกราะ Condor จำนวน 4 คัน จากกรมปฏิบัติการพิเศษ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน

นอกจากนี้ยังจัดให้มีการสวนสนามทางอากาศ โดยจัดอากาศยานของกองทัพอากาศ ทำการบินผ่านพิธีในห้วงเวลาที่ 1 ประกอบด้วย หมู่บิน FINALE FLYING ซึ่งเป็นการประกอบกำลังของอากาศยานจำนวน 10 เครื่อง ดังนี้
- เครื่องบินฝึกแบบที่ 2 (T-50) จำนวน 3 เครื่อง จากฝูงบิน 401 กองบิน 4 
- เครื่องบินขับไล่แบบที่ 19 ก (F-16) จำนวน 3 เครื่อง จากฝูงบิน 403 กองบิน 4 
- เครื่องบินขับไล่แบบที่ 20 ก (Gripen 39D) จำนวน 4 เครื่อง จากฝูงบิน 701 กองบิน 7
และห้วงเวลาที่ 2 ประกอบด้วยเครื่องบินขับไล่แบบที่ 20 ก (Gripen 39D) จำนวน 1 เครื่อง จากฝูงบิน 701 กองบิน 7

สำหรับ พลอากาศเอก พันธ์ภักดี  พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ คนที่ 30 เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 24 นักเรียนนายเรืออากาศรุ่นที่ 31 เคยดำรงตำแหน่งสำคัญ อาทิ เป็นนักบิน ทำการบินกับเครื่องบิน CT-4A,T-37 Twinny, A-37B Dragonfly, F-5E/F Tiger shark, F-16A/B Fighting Falcon และ JAS-39C Gripen มีชื่อนามเรียกขานว่า Armstrong โดยมีประวัติรับราชการในตำแหน่งที่สำคัญ ดังนี้ ครูการบินและนักบินลองเครื่อง (F-16), ผู้บังคับฝูง 403 กองบิน 4 ตาคลี (F-16), รองผู้บังคับการกองบิน 4 ตาคลี, ผู้บังคับการกองบิน 7 (Gripen) สุราษฎร์ธานี,  ผู้ช่วยทูตไทยประจำกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร, รองเจ้ากรมยุทธการทหารอากาศ, เจ้ากรมข่าวทหารอากาศ, รองเสนาธิการทหารอากาศ, เสนาธิการทหารอากาศ และผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีความเชี่ยวชาญทางด้านยุทธการเป็นอย่างมาก และเคยมีส่วนร่วมในการประสานโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตี ยุคที่ 5 ของกองทัพอากาศ (F-35) ก่อนมารับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศ

ทิ้งทวนก่อนเกษียณ ผบ เด่น นำทีมรวบคอลเซนเตอร์อ้างเป็นพนักงานธนาคาร เสียหายหลักล้าน

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ประสานงาน พล.ต.อ.ซอ เทศ ผบ.ตร.กัมพูชา  นำเจ้าหน้าที่ตำรวจชุด PCT5 ผนึกกำลังตำรวจกัมพูชา ตามรวบพนักงานคอลเซนเตอร์คนไทย 3 ราย คาตึกพาณิชย์ที่ใช้เป็นฐานปฏิบัติการ เมืองโอเสม็ด จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา โดยจุดดังกล่าว เป็นแก๊งคอลเซนเตอร์ที่แอบอ้างเป็นพนักงานเร่งรัดหนี้สินของธนาคารแห่งหนึ่ง โทรป่วนคนไทยด้วยกัน เสียหายจำนวนมาก

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./ ผอ.PCT ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. / หน.PCT ชุดที่ 5 , พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น. / รอง หน. PCT ชุดที่ 5 , พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.ณรงค์ฤทธิ์  ทองแพ , พ.ต.อ.พัชรดนัย การินทร์ ผกก.(สอบสวน) บก.สส.บช.น. , พ.ต.ต.คณิตนนท์ ถนอมศรี, ร.ต.อ.วรภัทร แสงเทียนประไพ , ร.ต.ท.พุฒิพงศ์ กองแก้ว ร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 และ ชุดสืบสวนนครบาล (บก.สส.บช.น.)  ร่วมกับ พล.ต.อ.วรรณวีระ สม ผู้ช่วยผบ.ตร.กัมพูชา ,พ.ต.อ.ปิยวัฒน์ เกียรติก้อง ผชท.ตร.ไทย ประจำประเทศกัมพูชา สืบสวนติดตามจับกุมตัว

1.นายภานุ มาลัย อายุ 22 ปี ที่อยู่ 36/4 หมู่ 01 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา 
ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 615/2566
2.นายกฤษณะ ศรียงค์  อายุ 20 ปี  ที่อยู่ 537 หมู่  04  ตำบลลาดกระทิง อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา. ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 621/2566
3.นายพงศกร ศรียงค์  อายุ 20 ปี  ที่อยู่ 36/4 หมู่  01  ตำบลบ้านใหม่ อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา 

ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 622/256 ในข้อหา “ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันอั้งยี่, ร่วมกันเป็นซอ่งโจร, ร่วมกันฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าข้อูมลสุ่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน”

สืบเนื่องจากชุดปฏิบัติการที่ 5 ศปอส.ตร. (PCT 5) ได้รับการประสานขอความช่วยเหลือจากชาวไทย ที่เดินทางไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซนเตอร์ ที่อาคารแห่งหนึ่ง เมืองโอเสม็ด จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา โดยได้ให้ข้อมูลกับชุดสืบสวนว่า ที่อาคารดังกล่าว มีพนักงานคอลเซนเตอร์เป็นชาวไทยทั้งหมด ไม่ต่ำกว่า 100 ราย ทำหน้าที่โทรหลอกผู้เสียหายโดยแบ่งหน้าที่กันทำดังนี้

สาย 1 อ้างตัวเป็นฝ่ายเร่งรัดหนี้สินธนาคารกสิกรไทย ออกอุบายสอบถามผู้เสียหายว่า เลขท้ายบัตรเครดิตสี่หลักนี้ เป็นของผู้เสียหายหรือไม่ ซึ่งเมื่อผู้เสียหายตอบว่าไม่ใช่ ก็จะแจ้งกับผู้เสียหายว่า ข้อมูลของท่านอาจรั่วไหล แนะนำให้แจ้งกับที่ สภ.เมืองตาก โดยให้กดปุ่มสี่เหลี่ยม (#) 2 ครั้ง ระบบจะโอนสายอัตโนมัติไปยัง สาย 2

สาย 2 อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองตาก (ยศ ส.ต.ต. ถึง ด.ต.) สอบถามผู้เสียหายว่าจะแจ้งความเรื่องอะไร และหลอกว่าข้อมูลของผู้เสียหายนั้น มีคนร้ายได้นำไปใช้ ทำให้ผู้เสียหายมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงินและยาเสพติด และผู้เสียหายจะต้องโอนเงินมาตรวจสอบ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ หากผู้เสียหายยังไม่หลงเชื่อ จะทำทีเดินไปเคาะประตูและให้คุยกับตำรวจระดับ ร.ต.อ. ขึ้นไป เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ
 
สาย 3 อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองตาก ระดับ ร.ต.อ. ขึ้นไป หลอกว่าจะดำเนินคดี กับผู้เสียหาย มีการส่งข้อมูลหลอกผู้เสียหายผ่านทางไลน์ เช่น หมายจับ (ปลอม) หรือบางครั้งใช้วิธีวิดีโอคอล และใช้เทคนิคตัดต่อ สร้างความน่าเชื่อถือว่าเป็นตำรวจจริง ๆ ในท้ายที่สุด ผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงได้โอนเงินไปตรวจสอบความบริสุทธิ์ ทั้งที่ไม่ได้กระทำความผิดใดๆ สร้างความเสียหายหลักล้านบาท ชุด PCT 5 จึงได้ประสานงานกับตำรวจกัมพูชา ล่าสุดวันที่ 28 กันยายน 2566 ได้รับรายงานว่าตำรวจกัมพูชา ได้เข้าตรวจค้นและจับกุมตัวพนักงานคอลเซนเตอร์ชาวไทย รายสำคัญได้ 3 ราย ซึ่งทุกคนมีหมายจับไทย ดังนี้
1.นายภานุ มาลัย ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 615/2566
2.นายกฤษณะ ศรียงค์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 621/2566
3.นายพงศกร ศรียงค์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 622/2566
ในข้อหา “ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันอั้งยี่, ร่วมกันเป็นซอ่งโจร, ร่วมกันฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าข้อูมลสุ่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน”ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างนำตัวกลับมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. กล่าวว่า “เราได้ดำเนินการสืบสวนปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์มาโดยตลอด จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังคงคิดหาวิธีที่ใช้นำมาใช้หลอกลวงเอาเงินของคนไทยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เช่นในกรณีนี้ที่ถึงขั้นหลอกผู้เสียหายว่า ข้อมูลอาจรั่วไหล หรือ มีคนร้ายนำข้อมูลของท่านไปใช้ จึงอยากขอฝากเตือนพี่น้องชาวไทยทุกท่าน เมื่อมีเบอร์แปลกโทรหา อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือพนักงานบริษัทต่างๆ ให้ระมัดระวังมิจฉาชีพ ขอให้ยึดหลัก ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไมโอน ไว้ครับ”

'ศาลอาญา' เเจงปมออกหมายค้นบ้าน 'บิ๊กโจ๊ก' ชอบเเล้ว ชี้!! เป็นไปตามพยานหลักฐาน ไม่ต้องคำนึงเป็นบ้าน ขรก.ระดับสูง

(29 ก.ย.66) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอาญาได้ออกเอกสารข่าวชี้เเจงกรณีตามที่ปรากฏข่าวจากการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนหลายสำนัก เป็นที่แพร่หลายจนทราบกันทั่วไปในขณะนี้ว่า เจ้าพนักงานตำรวจได้นำหมายค้นซึ่งออกโดยศาลอาญาไปตรวจค้นบ้านพักอาศัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ซึ่งต่อมามีบุคคลอ้างว่าเป็นข้าราชการตำรวจตำแหน่งระดับสูงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ข่าวว่าเป็นบ้านพักอาศัยของตน เจ้าพนักงานตำรวจผู้ร้องขอให้ออกหมายค้นหลอกลวง ศาลด้วยการปิดบังข้อเท็จจริงไม่ให้ข้อมูลต่อศาลว่าบ้านหลังที่ขอให้ออกหมายค้นเป็นบ้านพักของข้าราชการตำรวจตำแหน่งระดับสูง ในลักษณะว่าเป็นเหตุให้ศาลออกหมายค้นไปโดยผิดหลง นั้น

ศาลอาญาตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่า ศาลอาญาออกหมายค้นไปโดยชอบ ตามพยานหลักฐานที่ผู้ร้องขอให้ออกหมายค้นนำเสนอ ซึ่งกรณีหากมีเหตุที่จะออกหมายค้นที่รโหฐานใด ๆ ตามกฎหมาย

เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่สามารถร้องขอให้ศาลออกหมายค้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงว่าที่รโหฐานนั้น จะมีข้าราชการตำแหน่งระดับสูง หรือผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง หรือบุคคลสำคัญคนใด เป็นเจ้าของหรือครอบครองอาศัย อยู่หรือไม่

แต่ในการยื่นคำร้องขอให้ออกหมายค้นหรือในการนำเสนอพยานหลักฐานต่อศาล ผู้ร้องมีหน้าที่ต้องเบิกความหรือให้การต่อศาลตามความเป็นจริงโดยไม่ปิดบังข้อมูลว่า บ้านหลังที่ขอค้นมีบุคคลซึ่งดำรงตำแหน่งข้าราชการระดับสูง หรือผู้มีตำแหน่งระดับสูง หรือบุคคลซึ่งสังคมให้ความสำคัญโดยฐานะหรือโดยสถานภาพทางหน้าที่การงาน ครอบครองเป็นเจ้าของหรือพักอาศัยอยู่หรือไม่ เพื่อศาลจะได้ใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคำร้องขอให้ออกหมายค้นอย่างรอบคอบว่า...

มีเหตุที่จะออกหมายค้นตามกฎหมายจริงตามที่เจ้าพนักงานผู้ร้องขอให้ออกหมายค้นกล่าวอ้างหรือไม่ซึ่งเป็นไปตามหลักการในการรับฟังพยานหลักฐาน มิเช่นนั้นแล้วหากได้ข้อมูลไม่ครบถ้วนย่อมมีความเสี่ยงที่จะกระทบสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการครอบครองอยู่อาศัยในเคหสถานของบุคคลโดยปกติสุข ตามที่มีการรับรองไว้ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

ดังนั้นศาลอาญาจึงอยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบต่อไปว่ามีกรณีที่เจ้าพนักงานผู้ร้องขอให้ออกหมายค้นหรือผู้ที่ให้การเป็นพยานในชั้นขอให้ศาลออกหมายค้นเจตนา ปิดบังข้อเท็จจริงต่อศาลในการนำเสนอพยานหลักฐานตามที่มีการเสนอข่าวหรือไม่

ทั้งนี้เพื่อให้ปรากฏข้อเท็จจริงโดยชัดเจนเพื่อความโปร่งใสและเพื่อให้ผู้ร้องขอให้ออกหมายค้นพึงระมัดระวังมาตรฐานในการ นำเสนอพยานหลักฐานของตนต่อศาล และเพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

วปอ.-พระปกเกล้า ฉลองความสำเร็จฟุตบอลรักเมืองไทย มุ่งสู่ความยั่งยืน และร่วมยินดี “อธิบดีกรมพัฒนาชุมชน-ผบ.พล.ร.6”

เมื่อช่วงค่ำวันที่ 28 กันยายน ที่ห้องเมจิ1 โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ ได้มีงานฉลองความสำเร็จ จัดการแข่งขัน ฟุตบอลประเพณี “รักเมืองไทย” ระหว่าง วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หรือ วปอ. กับ สถาบันพระปกเกล้า 

ภายในงาน ดร.ดำรง ประทีป ณ ถลาง ผู้แทนหลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสําหรับนักบริหารระดับสูง (ปปร.) รุ่น 26 สถาบันพระปกเกล้า ได้กล่าวต้อนรับ นายถิรชัย วุฒิธรรม (วปอ.34) อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครพล.อ.ราชรักษ์ เรียนพืชน์ อดีตกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 พลตรี ณัฎฐ์ ศรีอินทร์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 6 นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม อธิบดีกรมพัฒนาชุมชน ดร.วิกร ภูวพัชร์ ประธานนักศึกษา ปปร.26 พร้อมด้วยคณะกรรมการของทั้ง 2 สถาบัน เพื่อเลี้ยงขอบคุณ และร่วมแสดงความยินดีกับผู้ได้รับตำแหน่งใหม่

ดร.วิกร ภูวพัชร์ กล่าวว่า กิจกรรมการแข่งขันฟุตบอลประเพณี “รักเมืองไทย” ได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี นำมาซึ่งประเพณีที่ดีงาม สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน สร้างความปรองดองสมานฉันท์ ความรัก ความสามัคคีในทุกภาคส่วน ขอบพระคุณคณะกรรมการทุกท่านที่เสียสละ และช่วยกันขับเคลื่อนทำให้กิจกรรมครั้งนี้ลุล่วงผ่านไปด้วยดี และมีความหมายต่อประเทศชาติ และนี่คือก้าวแรกที่จะก้าวต่อไปอย่างมั่นคง

ด้าน ดร.ดำรง ประทีป ณ ถลาง กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการทำงานที่ผ่านมาร่วมกัน แจ้งถึงปัญหาและอุปสรรคในการทำงานที่ผ่านมา มองการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบในการจัดการครั้งต่อไป และวางแผนการจัดงานฟุตบอลประเพณีครั้งต่อไปที่ต้องใช้นักศึกษาทั้งสองสถาบัน ร่วมกันต่อยอด การจัดการแข่งขันฟุตบอลประเพณีรักเมืองไทย ให้เป็นแบบอย่างที่ยั่งยืน

‘รถยนต์ไฟฟ้าจีน’ ผงาด!! ครองอันดับ 1 ในตลาดยานยนต์ ผลจากการศึกษา-ความมุ่งมั่นทางวิทย์ฯ จนกลบทุกข้อกังขา

(29 ก.ย. 66) นายพงศ์พรหม ยามะรัต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Pongprom Yamarat' ระบุว่า…

5-6 ปีก่อน ผมเคยบอกเพื่อน ๆ ในวงการรถยนต์ว่ารถยนต์จีนน่ากลัวนะ วันนึงจะมาแย่ง market share บนโลกได้มากมาย

แต่คำตอบคือ รถจีนหนะเหรอ? แล้วก็หัวเราะกัน

สิ่งที่ผมพยายามบอกทุกคนก็คือ นี่คือเคล็ดไม่ลับในการพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดดของจีน

‘การศึกษา’ และ ‘ความมุ่งมั่นทางวิทยาศาสตร์’ ยังไงหละครับ

เมื่อเห็นจุดเด่นตรงนี้ ก็เดาอนาคตไม่ยาก ผมพูดจนเพื่อนผมชอบบอกว่า ผมโปรจีน จริง ๆ เปล่า ผมแค่ชื่นชมญาติเรา และอยากให้ไทยทำแบบนั้นบ้างต่างหาก

ข่าวรถยนต์วันนี้ไม่มีอะไรดังไปกว่าการเปิดราคา BYD Seal แล้ว BYD Seal เป็นรถไฟฟ้า 100% ที่ค่าย BYD เคยเอามายั่วน้ำลายเมื่อตอนต้นปี แล้วเอามาเปิดตัววันนี้ ในราคาช็อกตลาด

BYD เป็นเจ้าตลาดรถ EV ในจีนมานาน ผมเคยโพสต์ไปว่า Warren Buffet เคยเลือกซื้อหุ้นบริษัทนี้ แต่ไม่ซื้อหุ้น Tesla 

จุดเด่น BYD คือเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ ที่มาทำรถยนต์ เทคโนโลยีแบตจึงเด่น ในต้นทุนที่ถูกกว่าชาวบ้าน

จุดขาย BYD Seal นี่แหละครับที่น่าสนใจ

วันนี้เค้าไม่สนใจตลาดรถ ‘ราคาถูก แต่คุณภาพต่ำ’ แต่มาเน้น ‘ราคาเอื้อมถึง ในคุณภาพที่ดีกว่าคู่แข่ง’ หรู คุณภาพสูง แข็งแรง เทคโนโลยีเยี่ยม ทนทาน ใช้งานง่าย ในราคาสบายกระเป๋า อุปกรณ์ภายในพรีเมียม ประตู ที่วางแขน บุนุ่มหมด เบาะหน้าหลัง เน้นตัวใหญ่ นั่งสบาย ไม่ลดต้นทุน

เอาจริง ๆ คือเบาะให้มาใหญ่ สบายกว่า Mercedes C-E กับ Tesla อีก

BYD Seal ใหญ่กว่า Tesla 3 ไม่มาก แต่ภายในใหญ่สู้ Camry, Accord ได้

จุดเด่นของแบตเตอรี่เค้าคือ High performance + วิ่งได้ไกล + ทนทาน + fitting กับรถง่าย + ไม่ติดไฟ 
ในขณะที่แบตรถ EV เกือบทุกยี่ห้อในโลก ติดไฟนะครับ

ราคาที่เปิดตัวมาเมื่อ 6 โมงเย็น ถือว่าทำค่ายรถญี่ปุ่นช็อกทันที เริ่ม 1.325 ล้าน จนถึง 1.599 ล้าน ราคานี้ ตั้งแต่ Honda Civic, Honda Accord, Toyota Corolla, Toyota Camry, Mazda 3 สะเทือนหนักแน่
ตัว 1.599 ล้าน เป็น dual motors 530 แรงม้า แรงบิด 670 nm. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.8 วินาที
นั่นคือไล่ Porsche, Lamborghini ได้แล้ว

โหดมาก วันแรก ยอดจองเกือบ 900 คันแล้ว ราคานี้ ใครกำเงินแถว ๆ นี้ ผมว่ามีเขวไป BYD กันทั้งเมือง
นี่แหละครับ

ประเทศที่เจริญเพราะความมุ่งมั่นด้านการวิจัย และวิทยาศาสตร์ยังไงหละครับ

‘บิ๊กโจ๊ก’ ร่วมยินดี ‘บิ๊กต่อ’ นั่ง ผบ.ตร.คนใหม่ พร้อม ‘พูดคุย-ถ่ายภาพ’ ลบข้อครหาปมขัดแย้ง

(29 ก.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อคืนวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เดินทางไปยังห้องทำงานของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุวิมล ที่กองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ กองปราบปราม เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี เพื่อแสดงความยินดีกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุวิมล ที่ได้รับเลือกจากคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) ให้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คนใหม่

โดยทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมกับถ่ายภาพเป็นที่ระลึก เพื่อลบข้อครหาว่าทั้งสองขัดแย้งกัน ก่อนจะเดินทางกลับ

หลังจากก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวความขัดแย้งระหว่าง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ว่าที่ ผบ.ตร.กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ตั้งแต่เช้าวันที่ 25 ก.ย.เป็นต้นมา หลังจากมีเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกค้นบ้านพักของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โดยกล่าวหาว่า ลูกน้องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พัวพันกับเว็บพนันออนไลน์

ขณะที่กระแสข่าวระบุว่า เป็นการดิสเครดิต พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ก่อนการแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ ซึ่งจะมีการประชุมในวันที่ 27 ก.ย.

ต่อมาวันที่ 27 ก.ย.คณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) มีมติเลือก พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็น ผบ.ตร.คนใหม่ ขณะที่วันดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ขอลาหยุด ถึงวันที่ 29 ก.ย.

(สุรินทร์) นพค.54 จัดพิธี รับ-ส่ง หน้าที่ ผู้บังคับหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 54 อย่างสมเกียรติ

วันที่ 29 กันยายน  2566 ที่ หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 54 กองบัญชาการกองทัพไทย (หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา) พันเอกกิรชิต คุณาวงค์ ผู้บังคับหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 54 (ท่านเดิม) กระทำพิธีรับ-ส่งหน้าที่ ผู้บังคับหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 54 ให้กับ พันเอกเกียรติศักดิ์  พรมตวง อย่างสมเกียรติ (ท่านใหม่)โดยมี พันเอกพิชิต ทรงลักษณ์ รองผู้บังคับหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 54 หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ผู้นำชุมชน และ กำลังพลในหน่วยฯ ร่วมพิธี โดยได้ทำพิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประจำหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 54 พิธีลงนามรับ-ส่งหน้าที่ ณ ห้องประชุม บก.นพค.54 และ พิธีรับ-ส่งหน้าที่ ที่หน้า บก.นพค.54 ประวัติความเป็นมาของหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 54

จัดตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2509 ตั้งอยู่ที่ บ้านกันตรวจระมวล ตำบลกันตรวจระมวล อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ต่อมาในปี 2524 เคลื่อนย้ายหน่วยเข้าที่ตั้งปัจจุบัน ณ บ้านลำพุก ตำบลตาเบา อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ใน ปี 2534 เปลี่ยนนามหน่วย เป็น หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 54 สำนักงานพัฒนาพิเศษ หน่วยปฏิบัติการทหารพัฒนา และต่อมา ในปี 2552 เปลี่ยนนามหน่วย เป็น หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 54 สำนักงานพัฒนาภาค 5 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา การจัด เป็นอัตราการจัดเฉพาะกิจ ประกอบด้วย กองบังคับการหน่วยช่างพัฒนา หน่วยพัฒนาคุณภาพชีวิต และหน่วยบริการสนับสนุน พื้นที่รับผิดชอบ รับผิดชอบพื้นที่ในการพัฒนา 2 จังหวัด คือ จังหวัดสุรินทร์และจังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีพื้นที่เป้าหมายในการพัฒนาเพื่อความมั่นคง ตามแนวชายแดน ตามนโยบายของหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ได้แก่ พื้นที่เป้าหมายโครงการพระราชดำริ 2 แห่ง คือ โครงการทับทิมสยาม 04 ตำบลเทพรักษา อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ และศูนย์ศิลปาชีพบัวเชด ตำบลอาโพน อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ ตำบลเป้าหมาย เพื่อความมั่นคงตามแนวชายแดนใน 4 อำเภอชายแดน คืออำเภอพนมดงรัก อำเภอกาบเชิง อำเภอสังขะ และอำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ จำนวนทั้งสิ้น 10 ตำบล และพื้นที่ตำบลอื่นๆในอำเภอชายแดน จำนวน 17 ตำบล พื้นที่ตอนใน ที่เหลือของจังหวัดสุรินทร์ จำนวน 13 อำเภอ และจังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 20 อำเภอ 

ส่องคอมเมนต์ชาวเวียดนาม หลังไทยคว้าเหรียญทองเอเชียนเกมส์ การเป็นเจ้าเหรียญทองซีเกมส์ ทำไมช่างดูไร้ความหมาย

(29 ก.ย. 66) ผลสรุปการแข่งขัน ‘เอเชียนเกมส์ 2022’ ครั้งที่ 19 นครหางโจว ที่ประเทศจีน

- อันดับ 1 ยังเป็น จีน เจ้าภาพที่คว้าเหรียญทอง ไปแล้ว 90 เหรียญทอง 51 เหรียญเงิน 26 เหรียญทองแดง
- อันดับ 2 เกาหลีใต้ 24 เหรียญทอง 23 เหรียญเงิน 39 เหรียญทองแดง
- อันดับ 3 ญี่ปุ่น มี 18 เหรียญทอง 30 เหรียญเงิน 30 เหรียญทองแดง

ส่วนทีมชาติไทย ได้เพิ่มมา 1 เหรียญทองแดง จากกีฬาเทนนิส ประเภทชายคู่ โดย ‘ณัฐ ปรัชญา อิสโร’ และ ‘แม็กซ์ แม็กซิมัส ภราพล โจนส์’

ล่าสุด ทีมเซปักตะกร้อหญิงไทย คว้าเหรียญทองมาให้ทัพนักกีฬาไทยเพิ่มอีก 1 เหรียญ จากการแข่งขันเซปักตะกร้อหญิง ที่ทีมชาติไทยลงสนามพบกับทีมตะกร้อหญิงเกาหลีใต้ โดยทีมชาติไทย เอาชนะเกาหลีใต้ไปได้ 2-0 เซตรวด 21-13, 21-4 คว้าเหรียญทองได้อีกสมัย

ทำให้ทัพนักกีฬาไทย ได้มา 7 เหรียญทอง 3 เหรียญเงิน 9 เหรียญทองแดง อยู่อันดับที่ 6 บนตารางเหรียญเอเชียนเกมส์ 2022

อย่างไรก็ตาม ไทย ยังมีลุ้นเหรียญทองในวันต่อๆ ไปจากการแข่งขันกีฬาประเภทอื่น เช่น มวยสากล, แบดมินตัน, กรีฑา, วอลเลย์บอลหญิง เป็นต้น

จากการผลสรุปการแข่งขันนี้ ทำให้ชาวเวียดนามได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก หลังจากที่ไทยคว้า 7 เหรียญทองมาครองได้สำเร็จ ในศึกเอเชียนเกมส์ 2022 โดยความคิดเห็นส่วนใหญ่แสดงให้เห็นถึงความผิดหวังในตัวนักกีฬาทีมชาติของเวียดนามเอง ที่ยังความพร้อมและทักษะในการแข่งขันกีฬาในระดับภูมิภาคเอเชีย อาทิ

- “ดูตารางเหรียญแล้วรู้สึกเศร้าแทนทีมกีฬาเวียดนาม”
- “เพราะเหตุใดในซีเกมส์ เวียดนามมักจะอยู่ในอันดับต้นๆอยู่เสมอ แต่ในเกมระดับเอเชียเวียดนามกลับอยู่ต่ำกว่าไทย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์เสมอเช่นเดียวกัน”
- “ผมไม่แน่ใจว่า นักกีฬาของเราจะสามารถแข่งขันในระดับทวีปได้หรือเปล่า แล้วเราจะไปโอลิมปิกได้อย่างไร”
- “บอกตามตรงนะ ผมคิดว่าเวียดนามไม่มีคุณสมบัติที่เพียงพอ”
- “50 เหรียญทองในซีเกมส์ยังไม่เทียบเท่ากับการได้ 1 เหรียญทองของเอเชียนเกมส์เลย นี่มันคงเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับเวียดนาม ในการคว้าเหรียญทองในการแข่งขันที่ไม่ใช่ระดับหมู่บ้าน”

- “ปัญหาทางด้านกีฬาของเวียดนามยังมีอยู่เป็นเวลานานแล้ว เราไม่มีการลงทุนที่เพียงพอ และที่สำคัญเราไม่สามารถเข้าถึงเงินทุน และทรัพยากรการลงทุนเหล่านั้นได้”
- “ในซีเกมส์ เวียดนามมีอันดับเหนืออินโดนีเซียและไทย แต่ทำไมในระดับเอเชียนเกมส์มันถึงแตกต่างกันมาก”
- “นี่เป็นผลจากการลงทุนน้อย และการลงทุนของเราก็เปล่าประโยชน์”
- “เมื่อออกทะเลใหญ่เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามหาสมุทรกว้างใหญ่ขนาดไหน โดยเฉพาะเมื่อเราเคยชินกับการพายเรือเล่นในหนองน้ำหมู่บ้าน”
- “ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ได้โปรดหยุดรอเวียดนามสักครู่…”

- “อยากจะเปลี่ยนเหรียญทองซีเกมส์ทั้งหมด มาเป็นเหรียญทองเอเชียนเกมส์ ไม่รู้จะได้หรือเปล่า?”
- “วงการกีฬาของเวียดนามควรจะมีการเริ่มต้นลงทุนได้แล้ว”
- “ในเรื่องการกีฬาการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจิตวิทยาของนักกีฬาของบ้านเรานั้นมันอ่อนแอ”
- “ไม่แน่ใจว่าพวกเขาเต็มใจที่จะอุทิศให้กับการกีฬาของประเทศมากน้อยเพียงไหน เหรียญทองคือบทพิสูจน์ที่สำคัญที่สุด”
- “รู้สึกว่าทีมกีฬาเวียดนามในครั้งนี้ ไม่ได้เตรียมตัวเป็นอย่างดีสำหรับการแข่งขันเหมือนกับครั้งที่แล้ว”

- “นักกีฬาหลายคนไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้ นี่ยังไม่ต้องพูดถึงความหวังรุ่นเหรียญรางวัล”
- “เวียดนามเก่งแค่ระดับหมู่บ้านเท่านั้น”
- “ออกมาสู่ระดับเอเชีย เห็นได้ชัดเลยว่าการอยู่อันดับ 1 ในกีฬาซีเกมส์นั้นมันไม่มีความหมาย”
- “เรารู้ตัวดีว่าระดับของเวียดนามอยู่ในระดับของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
- “เวียดนามจำเป็นต้องทบทวนกลยุทธ์การพัฒนากีฬาของตนให้ครอบคลุมมากขึ้น ตอนนี้เวียดนามกำลังล้าหลังอยู่”

- “เราใส่ใจแต่เหรียญทองซีเกมส์จนมากเกินไป ตอนนี้เหรียญโอลิมปิกก็เลิกฝันไปได้เลย”
- “หลายประเทศมีประชากรน้อยกว่าเวียดนาม แต่พวกเขาก็ได้อันดับที่สูงกว่า และนั่นคือสิ่งที่เราต้องคิดและทบทวน”
- “กีฬาระดับนี้ เป็นตัววัดถึงความสามารถ ของนักกีฬาได้ดีกว่าในระดับซีเกมส์เป็นอย่างมาก เรามาดูกันว่าเวียดนามจะอยู่ที่อันดับไหน”
- “นี่คือระดับที่แท้จริงของกีฬาเวียดนาม”
- “ถ้ายังเป็นแบบนี้ความหวังในการคว้าเหรียญโอลิมปิกคงจะไม่เกิดขึ้น”

- “ระดับเอเชียทำให้เห็นว่า กีฬาของเวียดนามยังอ่อนแอมาก ไม่รู้ว่าเราจะมาลงทุนกับ Tournament อย่างซีเกมส์ทำไม ยิ่งทำแบบนั้นเราก็ไม่สามารถไล่ทันไทยอินโดนีเซียหรือว่ามาเลย์ได้”
- “ผมรู้สึกเสียใจมากกับระดับเอเชียของเรา ถึงแม้ว่าจะได้แชมป์ซีเกมส์ แต่ว่าก็อ่อนแอมากในระดับเอเชีย นี่คือความน่าผิดหวังอย่างแท้จริง”
- “เอเชียนเกมส์ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเรายังตามหลังไทย อยู่มากไม่ต้องพูดถึงประเทศอื่นๆ ในเอเชียเลย”
- “พอไปสนามระดับเอเชีย เวียดนามแพ้ทุกประเทศในภูมิภาค เราเก่งเฉพาะในซีเกมส์เท่านั้น 
ประเทศไทยนำโด่งไปแล้วสำหรับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
- “ประเทศเพื่อนบ้านของเราได้เหรียญทองกันหมดแล้ว แล้วเวียดนามล่ะ?”

- “เวียดนามแข็งแกร่งในกีฬาพื้นบ้าน ในขณะที่กีฬาที่มีการแข่งขันในระดับโอลิมปิกไม่สามารถสร้างผลงานให้ประสบความสำเร็จได้”
- “ได้โปรดเถิดนักกีฬาเวียดนาม โปรดสร้างผลงานอย่างเต็มที่ อย่าให้น้อยหน้าประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลย”
- “ไทยและอินโดนีเซียได้เหรียญทองไปแล้ว เราไม่สามารถประเมินอะไรได้เลยจากการแข่งขันกีฬาพื้นบ้านอย่างซีเกมส์”
- “มันทำให้เราไม่รู้ตัวว่าเวียดนามยังไม่ดีพอ”

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความคิดเห็นของชาวเวียดนามส่วนนึงเท่านั้น ยังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่วิพากษ์วิจารณ์ศักยภาพของนักกีฬา สมาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวงการกีฬาของประเทศเวียดนาม ถึงความไม่เตรียมพร้อม การบริหารจัดสรรงบประมาณ และขาดทักษะสำคัญๆ หลายประการ ในการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top