Sunday, 19 May 2024
NEWS

ผู้ช่วย ผบ.ตร. ห่วงใยประชาชน ขับเคลื่อนโครงการ “สุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย” ลดอุบัติเหตุและการเสียชีวิตบนท้องถนน มุ่งสร้างตำรวจจราจรมืออาชีพ มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล

วันนี้ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท. ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. (มค) ได้ให้ความสำคัญในการอำนวยความสะดวกการจราจร การป้องกันและลดอุบัติเหตุ ตลอดจนลดการเสียชีวิตและบาดเจ็บบนท้องถนน สร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินแก่ประชาชนและสังคม จึงได้จัดทำโครงการ “สุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย”

โดยมอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รองผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง ผอ.ศจร.ตร.) ประชุมขับเคลื่อน เร่งรัดและติดตามประเมินผลความคืบหน้าโครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย โดยมีผู้แทน บช.น., ภ.1-9 และ บช.ก. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รับผิดชอบงานจราจรของ บก.น., ภ.จว., บก.ทล. และเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายจราจรทุกสถานีตำรวจทั่วประเทศ ร่วมประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกลโดยพร้อมเพรียงกัน

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า การดำเนินโครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย มีวัตถุประสงค์เพื่อลดอัตรา    การเสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ประชาชนมีความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน นอกจากนี้ยังเป็นการแก้ไขปัญหาภาพลักษณ์ และพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร เช่น การทุจริต การข่มขู่ บุคลิกท่าทาง ที่ไม่เหมาะสม มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพ การทำงานให้กับข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่งานจราจร และสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนภาคีเครือข่ายและข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ ตลอดจนสร้างขวัญกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจและหน่วยงานที่ปฏิบัติ โดยได้รับความร่วมมือจากบริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ร่วมบูรณาการขับเคลื่อนโครงการ

สุภาพบุรุษจราจร แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ สุภาพบุรุษจราจรประเภทบุคคล โดยจะต้องปฏิบัติตามหลัก 5S คือ  SMlLE ยิ้มแย้มเป็นมิตร SMART บุคลิกภาพดี SALUTE สุภาพให้เกียรติ SERVICE MlND มีจิตอาสาบริการ และ STANDARD มีมาตรฐานสากล โดยจะต้องนำไปสู่จำนวนสถิติอุบัติเหตุบนท้องถนนที่ลดน้อยลง สำหรับสุภาพบุรุษจราจรประเภทหน่วยงาน
จะต้องมีผลการปฏิบัติที่มีจำนวนสถิติอุบัติเหตุบนท้องถนนที่ลดน้อยลง ตามเป้าหมาย คือ ผู้เสียชีวิตลดลงมากกว่า 5 % หรือ

ลดลงมากกว่า 10 คน ขึ้นไป จากค่าสถิติจากบริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถเฉลี่ยปี 2560 – 2562 สำหรับ ภ.1-9 และจากค่าสถิติ อบถ. ปี 2564 สำหรับ บช.น. โดยประเภทบุคคลจะมีการคัดเลือกข้าราชการตำรวจที่เหมาะสมได้รับรางวัลจำนวน บก./ภ.จว. ละ 2 นาย (สัญญาบัตร 1 นาย และ ประทวน 1 นาย) รวม 188 นาย

ซึ่งผู้ได้รับรางวัลจะต้องมีบุคลิกลักษณะตามหลัก 5S ผ่านเกณฑ์ทดสอบความรู้ ผ่านผลการประเมินของประชาชนและผู้บังคับบัญชา มีภาพลักษณ์ วิสัยทัศน์และทัศนคติที่ดีในการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนในประเภทหน่วยงาน จะมีรางวัลในระดับ บก. 29 รางวัล ระดับ บช. 3 รางวัล รวมจำนวน 32 รางวัล โดยในห้วง ต.ค.65 - ปัจจุบันหน่วย บช.น., ภ.1 - 9 และ บก.ทล. ได้เร่งรัดดำเนินกิจกรรมโครงการ เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามโครงการสุภาพบุรุษจราจรประชาชนสัญจรปลอดภัย ในพื้นที่ของหน่วย โดยเฉลี่ย กว่า 1,500 กิจกรรมโครงการต่อหน่วย ซึ่งได้รับความร่วมมือและการตอบรับ จากประชาชนและสังคมเป็นอย่างดีและเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวต่อว่า ในวันนี้ได้ร่วมประชุม เพื่อเร่งรัดติดตามความคืบหน้าและผลการปฏิบัติตามโครงการ ทั้งนี้ได้กำชับ ให้ผู้บังคับบัญชาที่รับผิดชอบงานจราจรทุกหน่วย ประชุมชี้แจงสถานีตำรวจในสังกัด ให้ดำเนินการตามโครงการ สร้างความรู้ความเข้าใจ บทบาทของตำรวจตามหลัก 5S และแนวทางการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุในพื้นที่ตามเป้าหมายของโครงการ พร้อมทั้งเร่งรัดดำเนินกิจกรรมตามโครงการให้บรรลุผลสำเร็จ ทั้ง 2 ประเภท หน่วยที่มีผลการดำเนินการน้อยหรือไม่ครบถ้วน ให้เร่งรัดดำเนินการก่อนเวลาสิ้นสุดโครงการ

พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และมุ่งแสวงหาความร่วมมือ จากภาคประชาชนและภาคีเครือข่าย และให้ผู้บังคับบัญชาให้คำแนะนำ กำชับและกำกับดูแลการปฏิบัติอย่างใกล้ชิด  โดยต้องพร้อมรองรับการตรวจจากผู้บังคับบัญชาและการประเมินผล

พล.ต.ท. ประจวบฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความมุ่งหวังว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวจะประสบผลสำเร็จ ประชาชนสามารถสัญจรอย่างปลอดภัย ป้องกันและลดอุบัติเหตุ ตลอดจนการเสียชีวิตและบาดเจ็บบนท้องถนน

ทั้งยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นมาตรฐานสากล ภายใต้ความร่วมมือของประชาชนและสังคม ดังนั้นสถานีตำรวจและข้าราชการตำรวจทุกนาย จักต้องดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องจริงจังให้เห็นผลเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนและสังคมได้รับประโยชน์สูงสุด

‘พลทหารหนุ่ม’ สุดเศร้า!! เต็มใจมาสมัครเป็นทหารรับใช้ชาติ แต่กลับโดนสาวบอกเลิก เพราะรอไม่ไหว ชาวเน็ตแห่ให้กำลังใจเพียบ!!

เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกท่านหนึ่ง ชื่อ ‘taweenamonpim’ หรือ ‘จ่าวี’ เผยแพร่เรื่องราวสุดเศร้าของพลทหารหนุ่มน้องใหม่ท่านหนึ่ง ขณะกำลังนั่งร้องไห้อยู่ โดยจ่าวีได้เดินเข้าไปสอบถาม จนได้ความว่า พลทหารท่านนี้ ได้สมัครเข้ามาเป็นทหารด้วยความสมัครใจ เมื่อถึงเวลาที่ทางค่ายทหารจะคืนโทรศัพท์มือถือให้แก่เหล่าพลทหารใหม่ เพื่อให้ใช้ติดต่อหาครอบครัว พลทหารใหม่ท่านนี้ ได้ใช้โทรศัพท์เข้าไปส่องโซเชียลเฟซบุ๊กของแฟนสาว เพราะตนมีรหัสเฟซบุ๊กของอีกฝ่าย ทำให้ค้นพบว่าแฟนสาวของตน ได้ลบตนออกจากเฟซบุ๊ก และได้ขึ้นสถานะกับหนุ่มคนใหม่เรียบร้อยแล้ว พลทหารจึงโทรศัพท์ไปพูดคุย จนได้ทราบว่า ฝ่ายหญิงขอเลิก เหตุเพราะรอตนไม่ไหว เนื่องจากตนต้องมาทำหน้าที่รับใช้ชาติเป็นเวลานานหลายเดือน

“เขาบอกกับผมว่า เขารอผมไม่ได้ เขาบอกว่าเขาไม่ได้รักผมตั้งแต่แรกแล้ว ตอนแรกเขาบอกว่า เขารอผมได้ ผมเลยตัดสินใจมาสมัครเป็นทหาร” พลทหารหนุ่ม กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

หลังจา่กที่คลิปดังกล่าวได้เผยแพร่ออกไป ทำให้มีชาวเน็ตเป็นจำนวนมาก ต่างเข้ามาคอมเมนต์ให้กำลังใจ พร้อมอวยพรขอให้พลทหารหนุ่มได้พบเจอกับความรักครั้งใหม่ที่ดีในอนาคต

ปทุมธานี “24 พ.ค.วันป่าชุมชนแห่งชาติ” กรมป่าไม้ เผยความความสำเร็จ ตั้งป่าชุมชนแล้ว 11,985 แห่ง รวม 6.57 ล้านไร่

เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 66  เวลา 10.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานพิธีเปิด งาน “วันป่าชุมชนแห่งชาติ” พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประธานเครือข่ายป่าชุมชน 68 จังหวัด เข้าร่วม

โดยมี นายบรรณรักษ์ เสริมทอง รองอธิบดีกรมป่าไม้กล่าวรายงานและวัตถุประสงค์ของการจัดงาน ณ ห้องไดมอลด์ฮอลล์ โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ท จังหวัดปทุมธานี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยกรมป่าไม้ ได้กำหนดจัดงาน “วันป่าชุมชนแห่งชาติ” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ขึ้นระหว่างวันที่ 23 - 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 โดยมีกิจกรรมที่สำคัญประกอบด้วย วันที่ 23 พฤษภาคม เวลา 13.00 – 17.00 น. เป็นการจัดกิจกรรมการเดินรณรงค์กระตุ้นจิตสำนึก สร้างการรับรู้ “24 พฤษภาคม วันป่าชุมชนแห่งชาติ” บริเวณลานรอบศูนย์การค้าเซียร์ รังสิต จังหวัดปทุมธานี และวันที่ 24 พฤษภาคม เป็นพิธีเปิดงาน “วันป่าชุมชนแห่งชาติ” ในงานมีการจัดแสดงนิทรรศการ พระราชปณิธาน ด้านการสืบสาน รักษา ต่อยอด, นิทรรศการจากหน่วยงานภาคีสนับสนุนการพัฒนาป่าชุมชน, นิทรรศการสร้างความรู้ความเข้าใจด้านป่าชุมชน ตามพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562, นิทรรศการผลผลิต ผลิตภัณฑ์จากป่าชุมชน ,คลินิกรับคำปรึกษา แนวทางปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ป่าชุมชน พ.ศ. 2562

พร้อมทั้งมีการมอบโล่สำหรับผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายป่าชุมชน, การมอบถ้วยรางวัลเครือข่ายป่าชุมชนต้นแบบ ประจำปี พ.ศ. 2566, การมอบโล่ให้แก่ภาคีเครือข่าย หน่วยงาน องค์กร ที่สนับสนุนการพัฒนาป่าชุมชน ประจำปี พ.ศ. 2566 และการมอบเกียรติบัตรให้กับหน่วยงานที่ร่วมสนับสนุนการจัดนิทรรศการเนื่องในงานวันป่าชุมชนแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2566รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 ในวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเห็นชอบให้วันที่ 24 พฤษภาคม ของทุกปี เป็นวันป่าชุมชนแห่งชาติ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ พระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 เป็นกฎหมายเพื่อส่งเสริมให้ชุมชนได้ร่วมกับรัฐในการอนุรักษ์ ฟื้นฟูจัดการ บำรุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ อย่างสมดุลและยั่งยืนในรูปแบบของป่าชุมชน

เพื่อให้ชุมชนสามารถจัดการป่าชุมชนและได้ประโยชน์จากป่าชุมชน อันจะส่งผลให้ชุมชนดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศให้มีความสมบูรณ์และยั่งยืน ซึ่งจากการดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยกรมป่าไม้ ได้ดำเนินการบริหารจัดการป่าอย่างมีส่วนร่วมตามแนวทางป่าชุมชน มาตั้งแต่ปี 2543 จนถึงปัจจุบัน มีป่าชุมชนที่ได้รับการส่งเสริมให้จัดตั้งตามพ.ร.บ.ป่าชุมชน พ.ศ. 2562 รวมแล้วเป็นจำนวนถึง 11,985 แห่ง รวมเนื้อที่ประมาณ 6.57 ล้านไร่

ซึ่งเป้าหมายการดำเนินการต่อไปนั้น ภายในปี พ.ศ.2570 จะต้องจัดตั้งป่าชุมชนให้ได้จำนวน 15,000 แห่ง และชุมชนที่มีส่วนร่วม 18,000 หมู่บ้าน รวมเนื้อที่หมด 10 ล้านไร่ การจัดงานวันป่าชุมชนแห่งชาติ เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 ให้กับประชาชนทั่วไป หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ได้มีความรู้ความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของป่าชุมชนและทรัพยากรป่าไม้ของชาติ

รวมถึงส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการจัดการและใช้ประโยชน์ป่าชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน พร้อมกันนี้ ยังช่วยส่งเสริมให้สมาชิกเครือข่ายป่าชุมชนและประชาชนทั่วไป ได้มีโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการป่าชุมชนเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาป่าชุมชนเพื่อสร้างรายได้ อันเป็นการสร้างแรงจูงในการเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการป่าชุมชน ซึ่งสอดคล้องเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562

‘เกลือ เป็นต่อ’ ระบายความรู้สึก ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ลั่น!! ไม่เชื่อว่าคนที่วิจารณ์สถาบันฯ จะหันมาปกป้องอย่างบริสุทธิ์ใจ

(24 พ.ค. 66) นายกิตติ เชี่ยววงศ์กุล หรือ ‘เกลือ เป็นต่อ’ นักเขียนบท และผู้กำกับละครชื่อดัง ได้โพสต์คลิปลงใน TikTok ระบายความรู้สึกจากก้นบึ้งของหัวใจ เกี่ยวกับความเคารพรัก ความภักดี และความรู้สึกที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เทิดทูนไว้อยู่เหนือสิ่งอื่นใด โดยมีใจความว่า…

“เอาคนที่ด่าในหลวง มาแก้กฎหมายปกป้องในหลวงงั้นเหรอ? คุณเชื่อก็ได้คุณมีสิทธิ์จะเชื่อ แต่ผมไม่เชื่อ ผมไม่เชื่อว่าคนที่โพสต์ Social ด่าในหลวง จะมาเขียนกฎหมายปกป้องในหลวง ก็แล้วแต่ เพราะอย่างไร สุดท้ายประเทศนี้ก็เป็นประชาธิปไตย แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกคุณก็คือ คุณอย่าหลอกตัวเอง ว่าเขาพยายามจะปกป้อง คุณดูประวัติ ส.ส. บางคนก็ได้ ผมไม่ได้ใส่ร้าย คุณไปดูเอาเอง ว่าสิ่งที่คุณทำเขาเรียกว่าหลับตาข้างเดียวอยู่หรือเปล่า คุณทำไปแล้วคุณโหวตไปแล้วด้วย ผมเป็นคนนึงที่ผมไม่ได้โหวต และผมก็ไม่ได้รู้สึกผิดอะไร”

เกลือ เป็นต่อ ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การปกป้องท่านด้วยการลดทอนอำนาจของท่าน จะเรียกว่า ‘เทิดทูน’ ได้อย่างไร ทำอย่างนี้แล้วท่านดีขึ้นอย่างไร ตนไม่ได้เป็นคนที่สุดโต่ง แบบที่ว่าจะวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ควรจะต้องแยกให้ชัดเจนก่อน คือ คำว่า ‘วิจารณ์’ หรือ ‘ใส่ร้ายป้ายสี’ หรือ ‘อาฆาตมาดร้าย’ ต้องบอกตรงนี้เลยว่า หลายคนกำลังเข้าใจผิด เขาคิดว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่คือการวิจารณ์ แต่เปล่าเลย มันคือการใส่ร้ายป้ายสี และแสดงอาการอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งตนในฐานะพสกนิกรคนหนึ่งที่รักพระองค์ท่าน ตนไม่มีสิทธิ์ไปแจ้งความว่าเขาทำผิดมาตรา 112 เหรอ? แล้วตนทำผิดอะไร ในเมื่อตนเห็นคนทำผิดกฎหมายแล้วแจ้งความบอกตำรวจ เพราะตนเห็นว่าเขาเหล่านั้นทำผิดกฎหมาย หลักฐานก็มี หากไม่มีหลักฐานเขาก็รอดไป แต่ถ้ามีหลักฐานจริง เขาก็ผิด ก็ติดคุก

“ทำไมต้องลดทอนอำนาจของประชาชนที่จะทำสิ่งเหล่านี้ให้กับพระมหากษัตริย์ ผมไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อย ถ้ามีการแก้ไขกฎหมายเกิดขึ้น แล้วส่งผลทำให้เสื่อมเกียรติของพระองค์ท่าน ผมจะเป็นคนหนึ่งที่บอกว่า ผมไม่เคยเห็นด้วยเลยกับเรื่องนี้ และผมก็ไม่เคยรู้สึกผิดที่จะพูดอย่างนี้ ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง” เกลือ เป็นต่อ กล่าวทิ้งท้าย

‘ไทยซัมมิท’ ทุ่ม 5 พันล้าน พัฒนาฐานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ รองรับ EV จีน หวังกวาดรายได้ทั้งใน-นอกประเทศ 9 หมื่นล้าน

กลุ่มไทยซัมมิทเดินหน้าลงทุนอีก 5,000 ล้าน พัฒนาฐานผลิตทั้งในและต่างประเทศ ระบุหลังโควิดยอดขายสูงกำไรลดลง เผย ได้งานค่ายบิ๊กทรีในอเมริกา ส่วนในไทยเดินหน้าปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต รับค่ายรถจีนอีกอย่างน้อย 5 แบรนด์ ลั่น ปีนี้โกยรายได้ไม่น้อยกว่า 9 หมื่นล้าน

(24 พ.ค. 66) นางสาวชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานอาวุโส กลุ่มบริษัทไทยซัมมิท ผู้ผลิตชิ้นส่วนรายใหญ่ เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ว่า กลุ่มไทยซัมมิทเตรียมงบประมาณสำหรับการลงทุนไว้ 5,000 ล้านบาทเป็นอย่างน้อย โดยหลัก ๆ เน้นการลงทุนตามอุตสาหกรรม โดยแบ่งเป็นการลงทุนสำหรับธุรกิจในประเทศไทย ที่จะเน้นการลงทุนแม่พิมพ์สำหรับรองรับโมเดลใหม่ ๆ รวมทั้งการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และการลงทุนในต่างประเทศ ทั้งอเมริกาใต้, สหรัฐอเมริกา, อินเดีย รวมไปถึงฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียนทั้งเวียดนามและอินโดนีเซีย

“เรียกว่าการลงทุนของไทยซัมมิทในปีนี้ หลัก ๆ จะเป็นการลงทุนสำหรับฐานการผลิตในต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะในอเมริกา ซึ่งลูกค้าหลักในกลุ่ม Big 3 เริ่มขยับมาลงทุนในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ส่วนในไทยเองเราก็กำลังเตรียมงานเพื่อรองรับลูกค้าในส่วนนี้ล่วงหน้า อย่างน้อย 3-4 ปี ล่วงหน้า ซึ่งต้องรอให้บรรดาค่ายรถยนต์ออกมาประกาศความชัดเจน แต่วันนี้ไทยซัมมิทเตรียมงานในส่วนนี้และยุ่งกับตรงนี้อยู่” นางสาวชนาพรรณ กล่าว

นอกจากนี้ นางสาวชนาพรรณยังเปิดเผยถึงโอกาสของกลุ่มไทยซัมมิท หลังจากมีรถ EV เข้ามาบุกตลาดในไทยอย่างต่อเนื่อง และเร็ว ๆ นี้จะมีค่ายรถแบรนด์จีนอีก 4-5 แบรนด์ พร้อมที่จะขึ้นไลน์ผลิตในประเทศไทย ซึ่งไทยซัมมิทได้มีโอกาสซัพพลายชิ้นส่วน ทั้งแบรนด์ที่ไฟนอลแล้วและแบรนด์ที่กำลังเตรียมเข้ามาทำตลาด ไทยซัมมิทอยู่ระหว่างการนำเสนอราคา

นอกจากนี้ อาจจะมีการลงทุนเพื่อตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ หลังจากก่อนหน้านี้การบริหารจัดการภายในประเทศได้มีการปรับเปลี่ยน และโรงงานบางส่วนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

“ตอนนี้บางรายให้เราเข้าไปเสนอราคาและนำเข้าไปที่จีน พวกที่ยังไม่จบคือยังอยู่ระหว่างทำราคากันอยู่ ส่วนกลุ่มที่จบแล้วกำลังดูว่าแต่ละโมเดลเราได้อะไรมากน้อยแค่ไหน ก็คละ ๆ กันไป ผลประกอบการตอนนี้ยอดขายสูงจริง แต่กำไรกลับลดลง” สำหรับในแง่ของเป้าหมายการดำเนินธุรกิจในปีนี้ คาดว่าจะมีรายได้รวมไม่น้อยกว่า 90,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้จากการดำเนินธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ส่วนนโยบายหลัก ๆ ในการขับเคลื่อนธุรกิจนั้น คือเน้นเติบโตไปในทิศทางเดียวกับอุตสาหกรรม โดยในส่วนของความสามารถในการทำกำไรหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้น ทำให้ภาคธุรกิจมีการปรับเปลี่ยน แม้ว่าจะมียอดขายที่เพิ่มขึ้น แต่ในส่วนของกำไรนั้นกลับลดลง ต้นทุนในการผลิตโดยรวมเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต่างต้องพยายามในการควบคุมบริหารจัดการต้นทุนการผลิตให้ได้ประสิทธิภาพ

“ปีนี้เราเองก็ยังไปไม่ถึงตัวเลขที่ตั้งใจไว้ คือแสนล้าน เพราะปัจจัยทุกอย่างเปลี่ยน แต่ถ้าธุรกิจของคนไทยสามารถก้าวขึ้นไปในระดับนั้นได้จริงจะถือเป็นความภูมิใจและไทยซัมมิทเองอยากจะไปให้ถึงตรงนั้นให้ได้” นางสาวชนาพรรณ กล่าว
.
รวมถึงการเดินหน้าพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพราะอนาคตอันใกล้ผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์ต่าง ๆ โดยเฉพาะแบรนด์จีนที่รัฐบาลไปชักชวนมาลงทุนในประเทศไทยน่าจะเริ่มเดินเครื่องได้ อนาคตเชื่อว่าน่าจะเกิดปัญหาขาดแคลนบุคลากรและอาจจะมีการแย่งงานกัน เพราะอย่างน้อยจะมี 5 โรงงานที่จะเกิดขึ้นใหม่ ถ้าจะประเมินคราว ๆ 1 โรงงานใช้พนักงาน 1,000 คน และกลุ่มผู้ผลิตรายเดิมก็ต้องมีการปรับปรุงขยายไลน์ผลิตเพิ่มเติม

ตรงนี้คือสิ่งที่ผู้ประกอบการให้ความสำคัญ เนื่องจากทุกคนต่างต้องการพนักงานที่มีความพร้อมในการทำงานได้ทันที และยังไม่นับรวมอุตสาหกรรมที่ใกล้เคียง หรือมีความใกล้ชิดจะถูกดึงตัวไป ไทยซัมมิท มองว่าตรงนี้อาจจะกลายเป็นปัญหากระทบกันทั้งซัพพลายเชน ถ้าไม่เร่งหาทางออก

ตำรวจไซเบอร์ภูเก็ต รวบ! ผู้ขายซิมม้าออนไลน์กว่า 500 ซิมต่อวัน

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 6 พ.ค.66 เจ้าพนักงานตำรวจ กก.1 บก.สอท.5 ได้รับแจ้งว่ามีบุคคลลักลอบประกาศ และโฆษณาขาย ซิมโทรศัพท์มือถือผ่านเฟสบุ๊ค ชื่อว่า“นาย'ย เอ็ม'ม” เจ้าพนักงานตำรวจจึงได้ตรวจสอบพบว่าเฟสบุ๊คดังกล่าว ชื่อบัญชี “นาย'ย เอ็ม'ม” เลขไอดี “100071837096787”
https://www.facebook.com/profile.php?id=100071837096787 ได้โพสต์ประกาศในเพจเฟสบุ๊ค ชื่อว่า “ซื้อขายซิม ไม่ลงทะเบียน และ ลงทะเบียน AIS DTAC TRUE”  ด้วยข้อความว่า “ Ais TheOneSIM 39.- 100เบอร์, “Dtac 20ซิม 35.- ลงทะเบียน&ไมลงทะเบียน ”, Dtac 39.- มีเงินในซิม  เป็นการขายซิมในราคาต่างๆ ทั้ง 3 เครือข่ายจริง

ต่อมาวันที่ 23 พ.ค.66 เจ้าพนักงานตำรวจ กก.1 บก.สอท.5 ได้นำหมายค้นของศาลจังหวัดระนองเพื่อเข้าค้น บ้านเลขที่ 176/9 ถ.ท่าเมือง ซ.2 ต.เขานิเวศน์ อ.เมือง จว.ระนอง พบนายนรทัต สีนามบุรี 
อายุ 17 ปี ยืนอยู่หน้าบ้าน โดยนายนรทัตฯ ได้นำตรวจค้นภายในบ้าน ผลการตรวจค้นพบซิมโทรศัพท์ซึ่งถูกลงทะเบียนแล้วจำนวนมาก 

เบื้องต้น โดยก่อนจะถูกจับกุมตนประกอบอาชีพขายของออนไลน์ และตนได้สั่งซื้อซิมโทรศัพท์มือถือที่ยังไม่ลงทะเบียนมาจากร้านเทเลวิช สาขาระนอง จากนั้นตนก็นำมาโพสต์ขายผ่านเฟสบุ๊คของตนเองชื่อบัญชี “นาย'ย เอ็ม'ม” เลขไอดี “100071837096787” https://www.facebook.com/profile.php?id= 100071837096787 ลงในกลุ่มเฟสบุ๊คซื้อขายซิม เมื่อมีลูกค้าสนใจสั่งซื้อซิมโทรศัพท์มือถือจากตน ตนก็จะลงทะเบียนใช้งานให้ โดยใช้ข้อมูลจากลูกค้าที่เคยซื้อขายซิมโทรศัพท์มือถือจากตน เมื่อลงทะเบียนเสร็จก็จะส่งให้ลูกค้าตามที่สั่ง เจ้าพนักงานตำรวจจึงแจ้งให้ ทราบว่าเป็นการกระทำความผิดฐาน “เป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใด ๆ เพื่อให้มีการซื้อ หรือขายเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งลงทะเบียน ผู้ใช้ บริการในนาม ของบุคคลหนึ่งบุคคลใดแล้ว แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้” จากนั้นจึงนำส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ,พล.ต.ต.อำนาจ  ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท. ,พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา ผบก.สอท.5 ,พ.ต.อ.เอกวีร์ พงศ์สร้อยเพ็ชร รอง ผบก.สอท.5 ,พ.ต.อ.บัญชา ศรีสุข รอง ผบก.สอท.5,พ.ต.อ.อรรถพล มีเสียง รอง ผบก.สอท.5, พ.ต.อ.ศุภกร ธัญญกรรม ผกก.1 บก.สอท.5 ได้สั่งการว่าที่ พ.ต.ต.สุธี บุดดีคำ ปรก.กก.1 บก.สอท.5, ร.ต.อ.ขวัญชัย ปานคง รอง สว.กก.1 บก.สอท.5, ด.ต.พลชัย  พรหมทองรักษ์  ผบ.หมู่ กก.1 บก.สอท.5 พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม

ตำรวจไซเบอร์ แนะนำประชาชนสแกนใบหน้ายืนยันตัวตนที่สถาบันการเงิน ตัดวงจรภัยออนไลน์

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก บช.สอท. ขอประชาสัมพันธ์แนะนำประชาชนให้ดำเนินการสแกนใบหน้าเพื่อยืนยันตัวตนกับสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อตัดวงจรการกระทำผิดของมิจฉาชีพ ป้องกันภัยทางการเงินออนไลน์ ดังนี้

ตามที่เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้มีการประกาศเผยแพร่ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 ซึ่งกำหนดให้มีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 17 มี.ค.66 ที่ผ่านมาเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์อาชญากรรมทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน คุ้มครองประชาชนซึ่งถูกหลอกลวงจนสูญเสียทรัพย์สิน ผ่านทางโทรศัพท์ หรือวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์จากมิจฉาชีพ โดย พ.ร.ก. ดังกล่าวมีสาระสำคัญ เช่น สถาบันการเงินมีอำนาจและหน้าที่ยับยั้งธุรกรรมทางการเงินที่ต้องสงสัย ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องและเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิด  ผู้เสียหายสามารถแจ้งธนาคารเพื่ออายัดเงินในบัญชีด้วยความรวดเร็ว  ผู้เสียหายสามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ทั่วราชอาณาจักร และมีบทกำหนดโทษสำหรับผู้รับจ้างเปิดบัญชีธนาคาร หรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีเงินฝาก รวมไปถึงการซื้อขายเลขหมายโทรศัพท์ ซึ่งลงทะเบียนแล้ว แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้ เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมามีการกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยีจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีปฏิบัติที่สำคัญเข้าทำการตรวจค้นทั่วประเทศกว่า 40 จุด สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้หลายราย ตรวจยึดซิมโทรศัพท์ของกลางได้รวมกว่า 110,000 ซิม เพื่อตัดวงจรการครอบครองซิมโทรศัพท์มือถือของมิจฉาชีพนำไปใช้หลอกลวงประชาชน

ประกอบกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้กำหนดแนวปฏิบัติขั้นต่ำให้ทำสถาบันการเงินปฏิบัติตามเป็นมาตรฐานเดียวกัน ภายใต้มาตรการการจัดการภัยทุจริตทางการเงิน ลดช่องทางของมิจฉาชีพที่ใช้ในการเข้าถึงประชาชน ซึ่งมีมาตรการที่สำคัญ คือ 1.มาตรการป้องกัน 2.มาตรการตรวจจับและติดตามบัญชี หรือธุรกรรมที่ต้องสงสัย 3.มาตรการตอบสนองและรับมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านมาตรการป้องกัน เช่น การยกเลิกการแนบ link ทางข้อความสั้น (SMS) และอีเมล  การปรับปรุงระบบการรักษาความปลอดภัยบน Mobile Banking ให้เป็นปัจจุบัน และการให้ประชน หรือลูกค้าทำการยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า เพื่อยกระดับความปลอดภัยในการทำธุรกรรมการเงินผ่าน Mobile Banking ในกรณีการเปิดบัญชีแบบไม่เห็นใบหน้า (non-face-to-face)  กรณีการโอนเงินตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไปต่อครั้ง กรณียอดรวมของการโอนเงินทุก 200,000 บาทต่อวัน และกรณีการเปลี่ยนวงเงินในการทำธุรกรรม ซึ่งกำหนดให้แล้วเสร็จในเดือน มิ.ย.66 นั้น  

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ในการปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการให้ผู้อื่นใช้บัญชีธนาคาร และซื้อขายหมายเลขโทรศัพท์โดยผิดกฎหมาย ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมประเภทดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถยับยั้งความเสียหายได้ทันท่วงที รวมถึงสร้างการรับรู้ให้กับภาคประชาชนเพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

โฆษก บช.สอท. กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา บช.สอท. ยังคงมุ่งหน้าปราบปรามจับกุมอาชญากรไซเบอร์อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ทั้งนี้ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 ถือเป็นกฎหมายที่สำคัญ ที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันผลักดัน และวางมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาที่สำคัญของการหลอกลวงออนไลน์ ทำให้ภัยจากอาชญากรรมออนไลน์ลดลงอย่างต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตามฝากประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนเตรียมความพร้อมและเร่งดำเนินการเข้าไปยืนยันตัวตนด้วยการสแกนใบหน้าที่สถาบันการเงิน หรือธนาคารสาขาต่างๆ หรือตามช่องทางที่ธนาคารนั้นได้กำหนดเอาไว้ เพื่อให้การทำธุรกรรมการเงินไม่ติดขัด เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และเพื่อเป็นการตัดวงจรการกระทำผิดของมิจฉาชีพก่อนจะนำเอาทรัพย์สินของประชาชนหลบหนีไป

สมาคมฮกเกี้ยนแห่งประเทศไทย มอบเงินช่วยเหลือเด็กผู้ป่วยโรคมะเร็ง รพ.จุฬาฯ

วันที่ 23 พฤษภาคม 2566 นายสันติ ซอโสตถิกุล นายกสมาคมฮกเกี้ยนแห่งประเทศไทย พร้อมคณะ บริจาคเงินจำนวน 1,000,000 บาท (หนึ่งล้านบาทถ้วน) สมทบทุนหน่วยโลหิตวิทยาและมะเร็งเด็ก ฝ่ายกุมารเวชศาสตร์ รพ.จุฬาลงกรณ์ เพื่อระดมทุนช่วยเหลือเด็กผู้ป่วยโรคมะเร็ง สำหรับค่ายาและค่ารักษาบางประเภทที่ไม่สามารถเบิกได้จากสิทธิประกันสุขภาพพื้นฐาน เช่น ยาพุ่งเป้า หรือ การปลูกถ่ายไขกระดูก รวมถึงสนับสนุนค่าใช้จ่ายในระหว่างรับการรักษาและช่วยเหลือครอบครัวที่มีความขัดสน โดยมี  รศ.พญ.ดารินทร์ ซอโสตถิกุล หัวหน้าสาขาโลหิตวิทยาและมะเร็งเด็ก ฝ่ายกุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาล จุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย เป็นผู้รับมอบ ณ ห้องประชุม VIP ตึก สก. ชั้น รพ.จุฬาฯ

“ป่อเต็กตึ๊ง เสริมสุขภาพ สร้างพลังใจ” นำหน่วยแพทย์อาสาฯ ลงพื้นที่ตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ฯลฯ พร้อมเลี้ยงอาหาร และมอบสิ่งของเครื่องใช้แก่กลุ่มเปราะบางในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งชาย และสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งชายหญิงธัญบุรี จ.ปทุมธานี

เมื่อวันที่ 19 และ 23 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา  มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ มอบหมายให้ ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำโดย นางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นางสาวศิริพร เอกบุตร หัวหน้าแผนกบริการและศาสนพิธี และนายชาญณรงค์ เสาวภา ผู้ช่วยหัวหน้าแผนกบริการและศาสนพิธี  นำทีมแพทย์อาสา เจ้าหน้าที่แผนกหน่วยแพทย์ฯ แผนกบริการ และอาสาสมัครมูลนิธิฯ  ลงพื้นที่สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งชายธัญบุรี และสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหญิงธัญบุรี จ.ปทุมธานี ให้บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา คัดกรองเบาหวาน ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น แจกไม้เท้า บริการตัดผม จัดเลี้ยงอาหาร และนำสิ่งของเครื่องใช้ ประกอบด้วย ชุดตรวจโควิด 19 (ATK) เครื่องนุ่งห่ม รองเท้าฟองน้ำ และเครื่องดื่มโกโก้สำเร็จรูป (แบบชง) มอบให้กับกลุ่มเปราะบาง เพื่อมุ่งหวังให้มีความสุขทั้งกายและจิตใจ มีคุณภาพชีวิตที่ดี และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข รวมงบประมาณการจัดเลี้ยงอาหารและเครื่องอุปโภคบริโภคไม่ต่ำกว่า 1.5 แสนบาท

ตลอดระยะเวลากว่า 113 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา  เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” ต่อไป

#ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ##
#แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

เพชรบูรณ์ รองเสนาธิการ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย ตรวจผลการปฏิบัติงานของหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 16

พลตรี ณัญฐวุฒิ  นิลนนท์ รองเสนาธิการ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย หัวหน้าชุดตรวจติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานตามแผนงาน โครงการ ประจำปี พ.ศ.2566 และคณะ ได้เดินทางมาตรวจผลการปฏิบัติงานของหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 16   สำนักงานพัฒนาภาค 1 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา โดยมี นาวาอากาศเอก ยุทธศาสตร์ ธรรมเดชศักดิ์ ผู้บังคับหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 16   สำนักงานพัฒนาภาค 1 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา นำกำลังพลให้การต้อนรับ พร้อมรับฟังบรรยายสรุปผลการปฏิบัติงานของหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 16  ในการพัฒนาและช่วยเหลือประชาชน

หลังจากนั้นได้เดินทางไปตรวจติดตามแผนงานโครงการ งานอาคารบริการน้ำดื่ม ระบบ RO ที่โรงเรียนบ้านดงน้ำเดื่อ ตำบลช้างตะลูด อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งได้เปิดการเรียนการสอนในระดับอนุบาล ถึงระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีนักเรียนและคณะครู รวม 582 คน ซึ่งทำให้ครู นักเรียนและผู้ปกครอง  ได้มีน้ำสะอาดไว้ดื่มกิน อีกทั้ง ยังช่วยลดค่าใช้จ่าย ในการซื้อน้ำดื่มช่วงเปิดภาคเรียนของผู้ปกครอง  เพื่อตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ความมั่นคงของรัฐบาล เป็นการเตรียม คน ชุมชน พื้นที่ ให้เกื้อกูลกับการผนึกกำลังป้องกันประเทศ

อีกทั้ง ได้เดินทางไปตรวจติดตามโครงการปรับปรุง ถนนลูกรัง เป็น ค.ส.ล. ที่บ้านหนองดินดำ และได้เดินทางไปตรวจติดตามกลุ่มส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงจิ้งหรีด และพบปะเกษตรกรต้นแบบในโครงการเกษตรผสมผสานตามแนวพระราชทานเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้การดำเนินโครงการต่างๆ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ที่หน่วยบัญชาการทหารพัฒนากำหนดไว้ ณ ตำบลบ้านกลาง อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์

ทั้งนี้ หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 16   สำนักงานพัฒนาภาค 1 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา       พร้อมดำเนินโครงการ 8 แผนงานหลัก ในการพัฒนาช่วยเหลือประชาชนชาวจังหวัดเพชรบูรณ์และพื้นที่ที่ได้รับมอบหมายจากหน่วยเหนือ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสร้างความกินดีอยู่ดี และพัฒนาคุณภาพชีวิต ให้กับประชาชนต่อไป

ราเมธ  บงแก้ว/มนสิชา  คล้ายแก้ว

บก.สส.สตม. รวบ 3 ผู้ต้องหาแดนมังกรหนีหมายจับ กบดานไทย

 ตามที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พิจารณาดำเนินการกรณี    สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย มีหนังสือมายังกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งข้อมูลผู้ต้องหาสัญชาติจีนที่มีหมายจับของสาธารณรัฐประชาชนจีน ดังนี้

1. นางสาวเยี่ยนฟาง (นามสมมติ) อายุ 35 ปี เป็นผู้ต้องหาในการหลบเลี่ยงภาษี 25 ล้านหยวน (ประมาณ 125 ล้านบาท)

2. นายชิงอี (นามสมมติ) อายุ 44 ปี เป็นผู้ต้องหาในการลักลอบนำเข้าขยะ 15 ตัน

3. นายหยวน (นามสมมติ) อายุ 45 ปี เป็นผู้ต้องหาในการลักลอบนำเข้าขยะพลาสติก 474 ตัน

จากการตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่า ผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยโดยถูกต้องตามกฎหมาย และการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังไม่สิ้นสุด ผบก.สส.สตม. จึงได้อนุมัติให้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าเป็นบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับ มีพฤติการณ์ที่สมควรเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร และได้สั่งการให้ กก.1 บก.สส.สตม. สืบสวนติดตามผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย เพื่อนำตัวมาดำเนินกระบวนการในการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร กก.1 บก.สส.สตม. จึงได้ระดมกำลังในการสืบสวนติดตามผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จนกระทั่งต่อมาได้พบ นางสาวเยี่ยนฟาง ที่คอนโดย่านพระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ, พบนายชิงอี ในบริษัทแห่งหนึ่งใน ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี   จ.สมุทรปราการ และพบนายหยวน ที่ ต.หนองข้างคอก อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี จึงได้แจ้งหนังสือแจ้งการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ให้ได้รับทราบ และนำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อรอการส่งกลับไปดำเนินคดีที่สาธารณรัฐประชาชนจีนต่อไป

‘ปรเมษฐ์’ มองภาพ ‘ชัชชาติ’ และ ‘พิธา’ จากคนไร้ผลงาน สู่ความหวังของหมู่บ้าน ที่ประชาชนต่างพากันเทคะแนนให้ .

(23 พ.ค. 66) นายปรเมษฐ์ ภู่โต ผู้ดำเนินรายการ คุยถึงแก่น สถานีโทรทัศน์ NBT โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กวิเคราะห์ความแตกต่าง ระหว่างนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ โดยระบุว่า…

‘ชัชชาติ’ กับ ‘พิธา’ ความเหมือน และ ความต่าง...!!

ทั้งสองคนนี้ล้วนแล้วแต่ผ่านการชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนที่ท่วมท้นทั้งคู่ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ชัยชนะของทั้งสองคน ล้วนเป็นผลมาจากความสำเร็จ จากการทำการตลาดการเมือง ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าคู่แข่งการเมืองคนอื่นๆ ประสิทธิภาพดังกล่าว สามารถสร้างให้คนที่ ‘ไม่เคยมีผลงานระดับชาติ’ เป็นที่ประจักษ์ชัดเจน กลายมาเป็นคนที่ป๊อปปูล่า เป็น ‘ความหวังของหมู่บ้าน’ ที่ใครก็ตามที่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงต้องเลือก

ขณะเดียวกันทั้งสองคน (รวมถึงทีมที่วางกลยุทธเบื้องหลัง) ได้สร้างภาพให้คู่แข่ง กลายเป็น ‘สิ่งเก่า’ ที่ชำรุด ไม่เหมาะที่จะใช้งานอีกต่อไป

สำหรับชัชชาตินั้น แม้จะเคยมีประสบการณ์เมื่อ เป็นรัฐมนตรีคมนาคมในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์  แต่ก็ไม่มีผลงานอะไรที่โดดเด่นชนิดที่หยิบขึ้นมาอวดอ้างได้ มิหนำซ้ำปัญหาบางเรื่อง นอกจากจะอวดไม่ได้แล้ว เขายังต้องออกตัวว่า “ผมไม่เกี่ยว” อย่างเช่น เรื่องที่องค์การบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ติดธงแดงประเทศไทย ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการบินของประเทศ อย่างมาก และเป็นปัญหาใหญ่ให้ คสช.ต้องเข้ามาสะสาง แต่ด้วยกระบวนการทำการตลาดการเมืองที่เหนือชั้น ทำให้ อดีต รมว.คมนาคม ที่ไม่มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันกลายมาเป็น ‘บุรุษผู้แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี’ ชนะการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. แบบถล่มทลาย ได้คะแนนจากคนกรุงเทพฯ ไป 1.3 ล้านคะแนน ผ่านมาเกือบ 1 ปี ในตำแหน่ง ผู้ว่าฯ กทม. ผลงานประทับใจแค่ไหน ก็เห็นๆ กันอยู่

ส่วนพิธา ผู้ที่สถาปนาตัวเองตั้งแต่ไก่โห่ว่าเขาคือ ‘ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30’ หากดูโปรไฟล์เขาตามเนื้อผ้า นอกเหนือจากดีกรีนักเรียนนอกจบจากสถาบันมีชื่อเสียง ก็มีประสบการณ์แค่เป็นส.ส.สมัยแรก ที่ถูกพูดถึงเพราะการอภิปรายในสภาที่โดดเด่น และก้าวสู่ตำแหน่งหัวหน้าพรรคก้าวไกล เพราะพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ และธนาธร หัวหน้าขบวนการตัวจริงถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ส่วนประสบการณ์ในการบริหารองค์กรธุรกิจครอบครัว หรือ การทำงานกับภาคเอกชนอื่นๆ พูดแบบกลางๆ ก็ไม่ถึงขนาดเปรี้ยงปร้าง โดดเด่นอะไร แต่ด้วยกระบวนการที่ทรงพลังของพรรคก้าวไกล บวกและหรือ การประสานพลังกับขบวนการ ที่มุ่งหมายในการเปลี่ยนโครงสร้างสังคมไทยแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ที่สามารถยึดครองพื้นที่ในโซเชียลมีเดียได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เหนือกว่าพรรคการเมืองคู่แข่งทุกพรรคหลายช่วงตัว (ขบวนการนี้ใหญ่โตกว่าขบวนการสร้างชัชชาติให้ชนะเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.มาก) ได้สร้างให้พิธาให้กลายมา ‘ตัวชูโรง’ เป็นฮีโร่ของคนรุ่นใหม่ ตลอดจนผู้ที่หวังเห็นความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย บรรดานักอุดมคติ NGO สื่อ อินฟลูเอนเซอร์ ศิลปิน ฯลฯ

ผู้คนในหลายวงการเหล่านี้ ต่างพร้อมใจกันมองข้าม เรื่องส่วนตัวด้านลบของพิธา ไม่ว่าจะเป็นการพูดกลับไปกลับมาเรื่องงานศพพ่อ เรื่องชีวิตครอบครัวในอดีต ล้วนแต่ไม่มีผลในการสั่นคลอนคะแนนนิยมเขาแม้แต่น้อย และพาพรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลาย ชนิดที่คนไปเลือกไม่สนใจด้วยซ้ำว่า ผู้สมัครของพรรคเป็นใคร และผู้คนจำนวนมาก ไชโยโห่ร้องด้วยความยินดีบ้างก็ขึ้นสเตตัสอย่างปิติว่านี่คือ ‘สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง’ ทุกๆ การเลือกล้วนมีราคาที่ต้องจ่าย เพียงแต่จะคุ้มหรือไม่คุ้มเท่านั้น!! ดังเช่นคน กทม. กว่า 1.3 ล้านคน มอบให้กับชัชชาติ และ 1 ปีที่ผ่านมาคือคำตอบ

ส่วนกรณีของพิธานั้น เพิ่งจะเริ่มต้น คงต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ ว่าผลของการเลือกนั้นจะคุ้มกับราคาที่คนไทยต้องจ่ายหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ราคาที่คนไทยต้องจ่ายสำหรับพิธานั้น ‘แพงกว่า’ ราคาที่คน กทม.จ่ายให้ชัชชาติหลายเท่านัก!!

‘พระอาจารย์ต้น’ ให้แง่คิด คติสอนใจ เมื่อสังคมยุคใหม่เปลี่ยนผัน แนะ พ่อแม่รับมืออย่างไร เมื่อลูกไม่เห็นความสำคัญของการกตัญญู

ท่านพระอาจารย์ จารุวณฺโณ ภิกฺขุ หรือ ‘พระอาจารย์ต้น’ ได้โพสต์คลิปผ่านติ๊กต็อก ชื่อ ‘ajahnton’ ตอบคำถาม ถึงเรื่อง มุมมองของคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน ที่มองว่าความกตัญญู ไม่ได้มีความสำคัญมากนัก ไม่จำเป็นที่จะต้องตอบแทนพระคุณพ่อแม่ เพราะพ่อแม่มีหน้าที่ต้องเลี้ยงดู แนวคิดแบบนี้จะทำให้ลูก มีวิบากหรือไม่? โดยพระอาจารย์ต้นได้ให้แง่คิดไว้ว่า…

“การที่พ่อแม่ถามแบบนี้ คือการถามเพื่อทวงบุญคุณ หรือเพื่ออะไร? เพราะหากยึดตามหลักการทางพุทธศาสนา การที่คิดว่า มารดาบิดาไม่มีคุณสำหรับลูกนั้น จัดอยู่ใน ‘มิจฉาทิฐิ’ หมายถึง ‘ความเห็นผิดจากความเป็นจริง หรือผิดจากทำนองคลองธรรม’ ซึ่งจริงๆ แล้ว หลักคำสอนนี้ไม่ใช่หลักคำสอนเพื่อที่จะสอนให้บังคับลูกตอบแทนบุญคุณมารดาบิดา แต่หลักคำสอนนี้ เป็นการสอนเพื่อให้ได้รู้ว่า จิตสำนึกของคนคนหนึ่งที่ควรจะมีต่อมารดาบิดา ที่จะต้องแสดงออกในเรื่องของความกตัญญู เป็นการพูดถึงจิตใต้สำนึกที่เขาควรจะมี ไม่ใช่เรื่องของการบังคับ หรือไม่บังคับ เพราะแม้จะบอกว่า บุตรควรพึงตอบแทนบุญคุณมารดาบิดา ถึงจะพูดไปเท่าไร หากคนคนนั้น ไม่มีความคิดที่จะตอบแทน ไม่มีจิตสำนึกภายในจิตใจ เขาก็ไม่ตอบแทนอยู่ดี เพราะสิ่งนั้นไม่ใช่จิตใต้สำนึกจากภายใน”

เพราะฉะนั้น หลักคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดถึง คือ การสะท้อนถึงมุมมองเกี่ยวกับจิตสำนึกของคน ที่ควรจะมีความกตัญญูอยู่แล้วภายในตัวของมนุษย์ เพราะหากมนุษย์ไม่ได้แสดงออกถึงความกตัญญู มนุษย์จะแสดงออกถึงความแตกต่างของตนเองออกมา ในฐานะของมนุษย์คนหนึ่งที่แตกต่างจากสัตว์อย่างไร? เพราะสัตว์ก็ไม่มีจิตสำนึกของความกตัญญูเช่นกัน แต่ก็ยังมีสัตว์บางชนิดที่มีความกตัญญูต่อตัวผู้เลี้ยงอยู่ เช่น สุนัข นั่นหมายความว่า สุนัขดีกว่ามนุษย์ในเรื่องของความกตัญญูใช่หรือไม่

ดังนั้น จึงไม่เกี่ยวกับว่าเขาจะตอบแทน หรือไม่ตอบแทนอะไรทั้งสิ้น มันเกี่ยวกับจิตสำนึก แต่การที่พระพุทธองค์ตรัสเอาไว้ว่า คนที่มีความกตัญญู ตั้งอยู่ในฐานะแห่งความเจริญได้ เพราะมูลเหตุปัจจัยของความกตัญญูจะทำให้คนคนนั้นเข้าถึงความเจริญ ฉะนั้น การกตัญญู จึงเป็นสิ่งที่มนุษย์พึงกระทำ ซึ่งคำว่า ‘พึงกระทำ’ นั้น ไม่ใช่ ‘ข้อบังคับ’ เพราะคำว่า ‘พึง’ นั้นหมายถึง ‘สิ่งที่เหมาะสม’ หรือเป็นสิ่งที่สมควรกระทำ

แต่หากจะมองว่า ไม่จำเป็นต้องตอบแทนบุญคุณก็ได้ และไม่จำเป็นต้องกตัญญูก็ได้ พ่อแม่ไม่ได้มีบุญคุณกับเรา มันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่พ่อแม่ต้องเลี้ยงดู ก็ย่อมมองได้ แต่สิ่งนั้นจะทำให้คนคนนั้นไม่ได้สร้างเหตุแห่งความเจริญแก่ตัวเขาเอง

สิ่งนี้ไม่ได้พูดเพื่อจะด้อยค่าให้คนคนนั้นตกต่ำ แต่พูดเพื่อชี้ตามเหตุปัจจัย และเหตุผลที่เขาจะได้รู้จักว่า ทิศทางของชีวิต ไม่ใช่การอยากจะได้ อยากจะทำสิ่งใดก็ทำไปเลย ตามอำเภอใจของตัวเอง แล้วจะได้สิ่งนั้นจริงๆ แต่มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยแห่งการกระทำที่เขาได้กระทำลงไป กล่าวคือ หากคนคนนั้นทำในเหตุที่นำมาซึ่งความเจริญ ผู้นั้นก็จะได้ความเจริญ ความกตัญญู คือส่วนหนึ่งของเหตุแห่งความเจริญ หากผู้นั้นไม่ได้ทำเหตุแห่งความเจริญ แม้ว่าจะปรารถนาความเจริญ ผู้นั้นก็ไม่ได้เข้าถึงความเจริญ เพราะถ้าผู้นั้นไม่ไดสร้างความกตัญญู ซึ่งเป็นเหตุปัจจัยหนึ่งที่จะนำเขาไปสู่ความเจริญ ผู้นั้นก็จะเจริญไม่ได้ แม้จะอยากให้ชีวิตเจริญแค่ไหนก็ตาม ผู้นั้นย่อมถึงความตกต่ำ และเมื่อถึงความตกต่ำแล้ว ท้ายที่สุดแล้วก็จะเกิดการแสดงออกถึงภาวะความเดือดร้อน และเรียกร้องให้ผู้อื่นมาช่วยเหลือตนเอง

เมื่อถามว่า หากมองว่า การมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ นับว่าเป็นการทำความดีขั้นต้นที่ควรจะต้องทำเลยใช่หรือไม่ พระอาจารย์ต้นตอบว่า “ก็ขึ้นอยู่กับคนที่เขาจะคิดได้ ต้องดูว่า เด็กบางคนก็ไม่ได้เติบโตมาจากครอบครัวที่ทำให้เขาได้รู้สึกถึงความสัมพันธ์ที่ดี ที่ทำให้เขาจะต้องไปดึงเอาสำนึกที่ดีมาแสดงออกถึงความกตัญญู แต่หากบอกว่า มารดาบิดาให้การเลี้ยงดูมาอย่างดีแล้ว แต่ความสำนึกนั้นยังไม่ดี ก็ไม่เป็นอะไร ขอพ่อแม่ อย่าไปทวงบุญคุณจากลูก แต่อยากให้พ่อแม่กลับมาเรียนรู้กับตัวเองให้ดีว่า เมื่อเราไม่สามารถที่จะพึ่งพาลูกได้แล้ว เราจะต้องพึ่งพาตัวเอง”

ตำรวจไซเบอร์ รวบขบวนการแอดมินฝ่ายสินเชื่อทิพย์ หลอกโอนเงินกว่า 30 ครั้ง เสียหายกว่าล้านบาท

จากกรณีขบวนการหลอกให้กู้เงินออนไลน์สินเชื่ออนุมัติไว หลอกลวงผู้เสียหายกดลิงก์แอดไลน์ “แอดมิน ฝ่ายสินเชื่อ” ใช้โปรไฟล์ปลอมสร้างความน่าเชื่อถือ หลอกให้โอนเงินออกจากบัญชีธนาคารผู้เสียหายกว่า 30 ครั้ง เชื่อมโยง 9 Case ID มูลค่าความเสียหายกว่า 1,470,000 บาท

ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายได้เห็นโฆษณาเงินกู้พร้อมลิงก์ไลน์ในการติดต่อ จึงกดลิงก์ดังกล่าวและแอดไลน์คนร้าย ชื่อว่า “ฝ่ายสินเชื่อ” จากนั้นจึงได้พูดคุยรายละเอียดในการขอกู้ยืมเงิน ต่อมาคนร้ายซึ่งอ้างเป็นฝ่ายสินเชื่อได้แจ้งให้ผู้เสียหายทราบว่าบริษัทอนุมัติเงินกู้ตามที่ขอกู้แล้ว ผู้เสียหายจึงกดเข้าลิงก์ปรากฏว่ามียอดเงินอนุมัติให้กู้จริง แต่ให้โอนเงินเพื่อยืนยันสภาพคล่องและสร้างเครดิตผู้กู้รายใหม่ ผู้เสียหายจึงได้โอนเงินให้จำนวนหลายครั้ง

ต่อมาวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.สอท.5 บช.สอท. ได้ทำการสืบสวนติดตามขยายผล จนทราบว่า นางสาวสุจิรา  ประทุมสูตร อายุ 18 ปี ได้พักอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดจันทบุรี และจับกุมได้ขณะยืนอยู่หน้าบ้านเช่าไม่มีบ้านเลขที่ หมู่ 5 ตำบลสามพี่น้อง อำเภอแก่งหางแมว จังหวัดจันทบุรี ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” ตำรวจชุดจับกุม จึงได้แสดงตัว พร้อมแสดงหมายจับให้ นางสาวสุจิรา ฯ ดูและให้อ่านเองจนเป็นที่พอใจ สอบถามนางสาวสุจิรา ฯ  รับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริง และไม่เคยถูกจับกุมตามหมายจับมาก่อน
เตือนภัย การเงินมีปัญหา ปรึกษาสถาบันการเงิน แหล่งสินเชื่อที่มีตัวตน น่าเชื่อถือและตรวจสอบได้

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ,พล.ต.ต.อำนาจ  ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา ผบก.สอท.5, พ.ต.อ.เอกวีร์ พงศ์สร้อยเพ็ชร รอง ผบก.สอท.5, พ.ต.อ.บัญชา ศรีสุข รอง ผบก.สอท.5, พ.ต.อ.อรรถพล มีเสียง รอง ผบก.สอท.5, พ.ต.อ.ศุภกร ธัญญกรรม ผกก.1 บก.สอท.5, ได้สั่งการว่าที่ พ.ต.ต.สุธี บุดดีคำ ปรก.กก.1 บก.สอท.5,
ร.ต.อ.ขวัญชัย ปานคง รอง สว.กก.1 บก.สอท.5 พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม
 

พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้ระดมกวาดล้างอาญกรรมทางเทคโนโลยี แก๊งคอลเซ็นเตอร์

เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ให้ทำการสืบสวนผู้กระทำความผิดซึ่งเกิดขึ้นในช่องทางสื่อออนไลน์ ต่อมาชุดสืบสวนได้ตรวจพบว่าทวิตเตอร์ชื่อ “น้าจอนปืนเถื่อน” มีพฤติการณ์โพสต์ขายอาวุธปืนไม่มีทะเบียนทางออนไลน์

จึงได้ให้สายลับทำการติดต่อขอซื้อปืน ในราคา ๔,๗๐๐ บาท ต่อมาทางกลุ่มคนร้ายแจ้งว่าได้ทำการส่งอาวุธปืนมาให้ผู้ซื้อเรียบร้อยแล้ว และต่อมาได้มีโทรศัพท์ติดต่อกลับมาหาผู้ที่สั่งอาวุธปืนว่าเป็นการติดต่อมาจากบริษัทขนส่งเคอรี่ ตรวจพบพัสดุที่ผู้สั่งได้สั่งเป็นพัสดุผิดกฎหมาย แต่ทางเจ้าหน้าที่จะช่วยเหลือ ไม่แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ให้ทางผู้สั่งซื้อโอนเงินไปให้ทางพนักงานจำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท เพื่อแลกกับการไม่ดำเนินคดี ซึ่งเป็นการข่มขู่หลอกลวงให้เหยื่อโอนเงินอีกรอบหนึ่งในลักษณะแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์

ต่อมาในวันนี้ (๒๓ พ.ค.๖๖) เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.๒ ได้รวบรวมหลักฐานและนำหมายค้นของศาลจังหวัดมีนบุรี เข้าทำการตรวจค้นสถานที่จำนวน ๔ จุด ได้พบกลุ่มคนร้ายจำนวน ๕ คน

ซึ่งกลุ่มคนร้ายส่วนใหญ่เป็นเยาวชน อายุไม่ถึง ๑๘ ปี ซึ่งมีเพียงนายบุญมี คงคา อายุ ๒๔ ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของ ศาลจังหวัดนนทบุรี ที่ จ ๒๙๕/๒๕๖๖ เพียงคนเดียวที่ไม่ใช่เยาวชน 
จากคำให้การทราบว่า เป็นการกระทำร่วมกันเป็นขบวนการซึ่งมีการแบ่งหน้าที่กันทำ โดยจะมีคนจัดหาบัญชีม้า คนทำหน้าที่แอดมินเพจที่ใช้หลอกลูกค้าและตอบข้อความลูกค้า คนทำหน้าที่โทรกลับไปข่มขู่เหยื่อและหลอกว่าเป็นบริษัทขนส่งอ้างมีของผิดกฎหมาย และผู้ที่ทำการกดเงินที่ได้จากการกระทำความผิดจากบัญชีม้า และ จากการสอบถามผู้ต้องหาเบื้องต้นให้การว่า ได้เรียนรู้มาจากกลุ่มเพื่อนรุ่นเดียวกันที่เคยกระทำความผิดลักษณะนี้

แต่อาจจะมีรูปแบบต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการหลอกขายสินค้าทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย และหลอกให้ทำงาน เป็นต้น ได้ใช้ช่องโหว่ของกฎหมายที่ผู้เสียหายไม่กล้ามาแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ เนื่องจากเกรงกลัวว่าตนเองจะต้องได้รับโทษ เพราะเกิดจากการสั่งสินค้าที่ผิดกฎหมาย กลุ่มคนร้ายจึงย่ามใจกระทำผิดเรื่อยมา

เนื่องจากได้เงินดีและไม่มีเหยื่อกล้าที่จะแจ้งความ จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ต้องหากลุ่มนี้ร่วมกันทำมาเป็นเวลากว่า ๑ ปี เงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า ๒ ล้านบาท เงินที่ได้นำมาใช้จ่ายและเที่ยวเตร่ จึงได้นำผู้ต้องหาและพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

เตือนภัย ไม่ควรซื้ออาวุธปืนผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะช่องทางใดก็ตาม และไม่หลงเชื่อกลโกงแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ที่โทรข่มขู่ “ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน”

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ณัฐกรณ์ ประภายนต์ ผบก.สอท.๒, พ.ต.อ.ไพโรจน์ หมื่นกล้าหาญ รอง ผบก.สอท.๒ ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.สุวัฒชัย ศรีทองสุข ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.๒ พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top