Sunday, 19 May 2024
NEWS

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมคณะเดินทางประชุมร่วมทวิภาคีเมียนมา-ไทย แสวงหาความร่วมมือปราบปรามการค้ามนุษย์

เมื่อวันที่ (25 พ.ค. 66) เวลา 09.00 น.พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พร้อมคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เข้าร่วมการประชุมทวิภาคีเมียนมา-ไทย ว่าด้วยความร่วมมือด้านการปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 10 ซึ่งจัดขึ้นวันที่ 24 - 25 พ.ค.66 ณ โรงแรมปาร์ค รอยัล กรุงเนปิดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งผู้แทนฝ่ายเมียนมา นำโดย พล.ต.ต.อ่อง อ่อง รอง ผบ.ตร.เมียนมา พร้อมคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติเมียนมา เข้าร่วมหารือความร่วมมือด้านการปราบปรามการค้ามนุษย์ร่วมกัน ซึ่งสลับกันเป็นเจ้าภาพ ยาวนานมาจนถึงครั้งที่ 10 แล้ว

ในที่ประชุม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ ในฐานะ ผอ.ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง (ศพดส.ตร.) ได้นำเสนอสถานการณ์การค้ามนุษย์ของประเทศไทย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเมียนมา โดยมีการยกตัวอย่างคดีที่เกิดขึ้น เช่น การช่วยเหลือคนไทยที่ถูกแสวงหาประโยชน์จากการหลอกลวงไปค้าประเวณีที่เมืองป๊อก และเมืองล็อกก่าย ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปี 65 – 66 ที่ผ่านมา โดยสามารถช่วยเหลือคนไทยกลับมายังประเทศไทยได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้เป็นผลมาจากความร่วมมือกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจจากทั้งสองประเทศ ดังนั้นจึงอยากสานต่อความร่วมมือในการปราบปรามการค้ามนุษย์ เพื่อให้ขบวนการของผู้กระทำผิดเหล่านี้ ไม่สามารถกระทำความผิดในลักษณะดังกล่าวได้อีก 

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ กล่าวว่า การเดินทางมาประชุมทวิภาคีร่วมกับตำรวจเมียนมาในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดียิ่ง ที่จะได้ประสานความร่วมมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองประเทศอย่างต่อเนื่อง ในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการปราบปรามการค้ามนุษย์ ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้รับความร่วมมืออันดีจากเจ้าหน้าที่ทางการเมียนมา ในการให้ความช่วยเหลือคนไทยที่เป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ รวมทั้งประสานจับกุมผู้ต้องหาเพื่อนำกลับมาดำเนินคดีที่ประเทศไทย ดังนั้นหลังจากการประชุมทวิภาคีในครั้งนี้ จะยิ่งทำให้การทำงานร่วมกันของเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่ายมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อให้การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติแพการค้ามนุษย์มีประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป

เปิดนาทีชีวิต! คลอดลูกในล็อบบี้โรงแรม ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ฯ ช่วยทำคลอดทารกน้อยปลอดภัย นับเป็นรายที่ 257 “ผบ.ตร. - รอง ผบ.ตร.” ชมเชยเป็นตำรวจมืออาชีพ ยกเป็นตัวอย่าง “สุภาพบุรุษจราจร”

วันนี้ (26 พฤษภาคม 2566) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์  ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศจร.ตร.)  เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (25 พฤษภาคม 2566) ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร ได้ทำคลอดฉุกเฉินที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ในซอยรามคำแหง 50 กทม.             

พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวว่า กรณีล่าสุด เหตุเกิดเวลา 08.40 น. ของวานนี้ ด.ต.จักรภูมิ เสมียนชัย ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ได้รับแจ้งว่ามีหญิงคลอดบุตรมาแล้วบริเวณล็อบบี้ของโรงแรมแห่งหนึ่งในซอยรามคำแหง 50 ขอตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริสนับสนุน หลังรับแจ้ง      พ.ต.ต.พีรวุฒิ ใหม่อ่อง ( โครงการใต้ 1 ) ร.ต.ท.มานะ จอกโคกสูง ( โครงการเหนือ1-8 ) และ ร.ต.ต.อนุชา กัลยา ( โครงการธน1-3 ) นำกำลังชุดเคลื่อนที่เร็ว ประกอบด้วย ด.ต.สุทิน อินทโชติ ( 6-202 ) ด.ต.อุดมศักดิ์ ศาลา ( 6-204 ) ส.ต.อ.ชนะ คณะจันทร์ ( 6-617 ) ส.ต.อ.ศิวา ชินฝั้น ( 6-615 ) ส.ต.อ.พลอย เนื่องมัจฉา ( 6-611 ) และตำรวจช่าง ด.ต.สุนทร สติยศ ( 6-432)จ.ส.ต.วัชรนนท์ คงสินจีราภัทร์ ( 6-434 ) เข้าสนับสนุนยังจุดเกิดเหตุทันที ไปถึงบริเวณล็อบบี้ของโรงแรม พบหญิงสาวชาวเมียนมาคลอดทารกเพศหญิงออกมาแล้ว จึงรีบเข้าช่วยเหลือทั้งแม่และเด็ก

“ตำรวจจราจรฯ ร่วมกับอาสาสมัครให้การช่วยเหลือทารกอย่างเร่งด่วน โดยใช้ลูกยางแดงดูดของเหลวภายในช่องปาก และจมูกเพื่อป้องกันไม่ให้ทารกน้อยสำลัก แล้วเช็ดตัวทารกให้สะอาดเปลี่ยนผ้าห่อตัวทารกให้ใหม่เพื่อสร้างความอบอุ่น ใช้แคลมป์หรือคีมหนีบสายสะดือระหว่างรอหมอ พร้อมทั้งดูอาการของแม่เด็กให้อยู่ในภาวะปลอดภัย ต่อมาทีมแพทย์ประจำรถศูนย์ส่งกลับโรงพยาบาลตำรวจไปถึงที่เกิดเหตุ คุณหมอจึงได้ตัดสายสะดือแม่ และเด็กอย่างปลอดภัย จากนั้นตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ได้ช่วยเคลื่อนย้าย และขี่รถนำทางอำนวยความสะดวกพาแม่ และเด็กนำส่งโรงพยาบาลสิรินธรเรียบร้อยปลอดภัย”  หัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ ศจร.ตร. กล่าว

ผบ.ตร. มอบรางวัลแก่ตำรวจสายตรวจสภ.สาขลา เข้าระงับเหตุปล้นชิงทอง

เมื่อวันที่ (25 พ.ค. 66) เวลา 16.00 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มอบเกียรติบัตรโครงการ “ทำดี มีรางวัล” ตำรวจสายตรวจ สภ.สาขลา เข้าระงับเหตุปล้นชิงทองได้อย่างทันท่วงที

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า สำหรับโครงการ “ทำดี มีรางวัล” 
นั้นเป็นโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจและประชาชนที่ประกอบคุณงามความดีมีจิตสาธารณะ จนเป็นที่ยอมรับของสังคม ตลอดจนข้าราชการตำรวจที่มุ่งมั่นทุ่มเททำงานจนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ สร้างชื่อเสียงให้แก่หน่วยงาน และกรณีนี้จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ.2566 หรือเมื่อวานนี้ เวลาประมาณ 14.00 น. มีคนร้ายเป็นชายไม่ทราบชื่อขับขี่รถจักรยานยนต์และใช้อาวุธปืนพก ขนาด 9 มม. ก่อเหตุชิงทรัพย์ที่ห้างทองเยาวราชบางกอก จังหวัดสมุทรปราการ โดยได้ทรัพย์สินเป็นแหวนทอง จำนวนกว่า 600 วง มูลค่าประมาณ 5,600,000 บาท

หลังก่อเหตุคนร้ายได้ยิงปืนเพื่อเปิดทางหนีออกจากร้านเนื่องจากประตูนิรภัยล็อคอยู่ และขณะกำลังขึ้นรถจักรยานยนต์เพื่อทำการหลบหนี ส.ต.ท.ตฤณ ทรงการุณย์ และ ส.ต.ต. พิพัฒน์ ธรรมไข ผู้บังคับหมู่งานป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรสาขลา หลังได้รับแจ้งเหตุ เมื่อมาถึงจึงได้ตัดสินใจทำการสกัดการหลบหนี และระงับเหตุตามหลักยุทธวิธีสากล จนสามารถระงับเหตุได้ในที่สุด ก่อนประสานมูลนิธิกู้ชีพเพื่อมารักษาผู้บาดเจ็บในที่เกิดเหตุ (ซึ่งก็คือคนร้าย) และรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาแล้วเห็นว่า ตำรวจทั้ง 2 นายเป็นผู้ที่มีความสามารถสูง ปฏิบัติงานตามหลักยุทธวิธีตำรวจสมควรแก่การยกย่องสรรเสริญ ตามโครงการ “ทำดี มีรางวัล” เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ข้าราชการตำรวจและสังคมสืบไป 

ผบ.ตร.กล่าวอีกว่า “ตนขอชื่นชมในความกล้าหาญ ที่ให้การช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว และทันท่วงทีตนจึงได้มอบใบประกาศเกียรติคุณและรางวัลตามโครงการ “ทำดี มีรางวัล” และเงินรางวัล 5,000 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคม ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่จะมอบรางวัลให้กับข้าราชการตำรวจหรือประชาชนที่ปฏิบัติหน้าที่ดีเด่น ทำงานเชิงรุก เพื่อความสงบสุขของประชาชน ประกอบคุณงามความดี ช่วยเหลือประชาชน หรือทางราชการ ประพฤติตนดี คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมและช่วยเหลือประชาชนจนเป็นที่ยอมรับต่อสังคม”

หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลายังต้องพิสูจน์คน!!

‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในอีก 2 เดือนข้างหน้าได้หรือไม่? แต่ที่เหนือกว่าการเป็น ‘นายกฯ’ คือการนำพารัฐนาวาให้อยู่ตลอดรอดฝั่ง

ซึ่งกุญแจสำคัญที่ปฏิเสธไม่ได้ นั่นคือ การมี ‘ทีมที่ดี’ ว่าแล้วลองเหลียวมอง (ว่าที่) ส.ส.ที่จะมาเป็นลูกทีมบริหารของพิธา แต่ละคน สายล่อฟ้าเรียกพี่!!

‘ว.นานาชาติ มธบ.’ เปิดหลักสูตรจีนธุรกิจ ไม่มีพื้นฐานก็เรียนได้ พร้อมชู 4 จุดแข็ง ‘บุคลากร-คอมมูนิตี้-ทุนเรียนฟรี-พันธมิตรธุรกิจ’

วันที่ (25 พ.ค. 66) อาจารย์จุฑามาศ ลิมศุภนาค หัวหน้าหลักสูตรภาษาจีนธุรกิจ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (มธบ.) เปิดเผยว่า ในโลกของการทำงานภาษานั้น นับเป็นหัวใจสำคัญอย่างหนึ่งในการนำพาให้ประสบความสำเร็จในสายงานอาชีพ ปัจจุบันการใช้ภาษาจีนมีอัตราเติบโตมากขึ้น

เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศจีนเติบโตอย่างก้าวกระโดดขยายไปทั่วทุกมุมโลก ทำให้ภาคธุรกิจต้องการแรงงานที่มีทักษะด้านภาษาจีนมากขึ้นด้วย ดังนั้น การมีทักษะด้านภาษาจีนจึงเพิ่มโอกาสในการทำงานและได้เปรียบในการทำธุรกิจ รวมไปถึงเพิ่มความเป็นมืออาชีพอีกด้วย

หลักสูตรภาษาจีนธุรกิจ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เล็งเห็นความสำคัญของการผลิตบุคลากรให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน ดังนั้น การจัดการเรียนการสอนจึงออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคธุรกิจ

โดยให้ความสำคัญกับการเรียนภาษาจีนพร้อมกับบูรณาการความรู้เฉพาะทางในสาขาอาชีพต่าง ๆ ที่นักศึกษาจะได้นำเป็นความรู้ในการประกอบอาชีพตามความต้องการภายหลังจบการศึกษา ไม่ว่าจะเป็น ภาษาจีนเพื่อธุรกิจสายการบิน ภาษาจีนเพื่อการค้าระหว่างประเทศ ภาษาจีนเพื่อการค้าออนไลน์ ภาษาจีนด้านการโรงแรมและการท่องเที่ยว ฯลฯ ดังนั้น บัณฑิตที่จบออกไปจึงสามารถทำงานได้หลากหลายอาชีพ

อาจารย์จุฑามาศ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลักสูตรภาษาจีนธุรกิจ DPU เปิดมานานกว่า 36 ปี โดยเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งแรกในประเทศไทยที่เปิดสอนในสาขานี้ นักศึกษาที่มาเรียนที่นี่จะได้เรียนกับอาจารย์ที่จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำจากประเทศจีนโดยตรง ทั้ง ป.ตรี ป.โท ป.เอก ซึ่งอาจารย์จะมีความเข้าใจในโครงสร้างด้านวัฒนธรรม บริบทต่างๆ ตลอดจนการเติบโตของประเทศจีน โดยความรู้สำคัญที่จะส่งเสริมกับการเรียนภาษาเหล่านี้ก็นักศึกษาจะได้รับการถ่ายทอดควบคู่กับการเรียนรู้ไปด้วย เพราะเนื่องจากมหาวิทยาลัยมีนักศึกษาชาวจีนจำนวนกว่า 3,000 คน ซึ่งนับเป็นคอมมูนิตี้ขนาดใหญ่ นักศึกษาจะได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมทางภาษากับเจ้าของภาษาโดยตรง ได้เรียนรู้การปรับตัวในการอยู่ร่วมกัน ทำงานร่วมกันในวัฒนธรรมที่แตกต่าง

อีกทั้งทุกปีนักศึกษายังมีโอกาสได้รับทุนการศึกษาไปเรียนคอร์สระยะสั้นในช่วงซัมเมอร์ที่มหาวิทยาลัยของจีนซึ่งเป็นพันธมิตรกัน ขณะเดียวกันยังมีทุนเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศจีนกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยจีนของเราอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น มหาวิทยาลัยครุศาสตร์เทียนจิน มหาวิทยาลัยชนชาติกว่างซี มหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่ง และยังมีสถาบันขงจื่อเส้นทางสายไหมทางทะเล ซึ่งให้ทุนมาปีหนึ่งๆ จำนวนกว่า 20 ทุน ที่สำคัญนักศึกษาที่จบจากหลักสูตรภาษาจีนธุรกิจของเรา ส่วนใหญ่บริษัทที่เป็นพันธมิตรจะรับเข้าทำงานทันที

“หลักสูตรนี้ น้อง ๆ ที่ไม่มีพื้นฐานภาษาจีนก็สามารถเรียนได้ เพราะก่อนจะเปิดเทอมเราจะปรับระดับภาษาจีนให้มีพื้นฐานก่อน และพอเปิดเรียนแล้วเราก็จับคู่บัดดี้ที่เป็นนักศึกษาจีนให้กับเขา เพื่อให้ได้ฝึกสื่อสารกับเจ้าของภาษาอยู่ตลอดเวลา นักศึกษาจะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ล้อมรอบไปด้วยเพื่อนคนจีน จะทำให้เขาคุ้นเคยกับเจ้าของภาษา กล้าที่จะสื่อสาร ทำให้สามารถสื่อสารภาษาจีนได้เร็วขึ้น

นอกจากนี้ หลักสูตรยังมีคลินิกภาษาจีนไว้คอยสนับสนุนการพัฒนาทักษะภาษาจีนขอนักศึกษา โดย นักศึกษาสามารถเข้าไปฝึกฝนทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน หรือติวเพิ่มในส่วนที่เรียนไม่ทันหรือไม่เข้าใจได้ตลอด รวมไปถึงหลักสูตรยังสนับสนุนให้นักศึกษาในชั้นปีที่สูงขึ้นมีประสบการณ์การทำงานในด้านภาษา เพื่อให้นักศึกษาเรียนรู้ทักษะจากการทำงานจริง ทั้งผ่านการฝึกงาน และการทำงาน Part Time ในสถานประกอบการต่าง ๆ เช่น การรับงานแปล พนักงานขายสินค้าให้ชาวจีน การเป็นล่ามฝึกหัด ซึ่งจะมีบริษัทติดต่อมาเข้ามาอยู่ตลอดเวลา

ทางหลักสูตรให้ความสำคัญกับการสนับสนุนให้นักศึกษาได้ฝึกประสบการณ์จริงอีกด้วย ที่ผ่านมา Feedback และเสียงตอบรับจากผู้ประกอบการก็ดีมาก ทั้งยังแสดงความจำนงให้เราส่งนักศึกษาไปทำงานและฝึกงานอยู่อย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น การเปิดโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ (EEC) ก็เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญ ซึ่งนักลงทุนจีนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเยอะมากขึ้น ยิ่งต้องการแรงงานที่สามารถใช้ภาษาไทย และภาษาจีนอีกด้วย” หัวหน้าหลักสูตรภาษาจีนธุรกิจ กล่าว

อาจารย์จุฑามาศ กล่าวอีกว่า นอกจากทักษะด้านภาษาจีนแล้ว มหาวิทยาลัยยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะในทุกด้าน โดยเฉพาะทักษะแรงงานที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ทั้งในเรื่องของเทคโนโลยี ทักษะการวิเคราะห์และแก้ปัญหา ทักษะการเป็นผู้ประกอบการ ทักษะการสื่อสาร ทักษะการทำงานเป็นทีม และทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเราเรียกว่า DPU Core โดยทักษะเหล่านี้จะถูกฝึกฝนผ่านโครงงานที่เรียกว่า Capstone Project ซึ่งจะเป็นโครงการ ที่ให้นักศึกษาต่างคณะต่างสาขามาร่วมกันทำโครงงาน ซึ่งจะได้ฝึกทุกทักษะที่จำเป็นตั้งแต่ปี 1-2-3 ได้ฝึกลองผิด ลองถูก ในการทำธุรกิจซึ่งนักศึกษาจะได้ทั้งทักษะด้านภาษาจีนและทักษะการทำธุรกิจไปด้วย ที่ DPU จึงต่างจากมหาวิทยาลัยอื่นตรงนี้ เราให้นักศึกษาฝึกการทำธุรกิจตั้งแต่ปี 1 และเข้มข้นขึ้นในทุกปี

“แรงงานที่พูดภาษาจีนได้นั้น ขาดแคลนจริง ๆ ผู้ประกอบการมักจะติดต่อมาอยู่เสมอๆ ขอให้ส่งนักศึกษาไปให้ตลอด นักศึกษาหลักสูตรภาษาจีนธุรกิจที่จบอออกไป จึงเป็นที่ต้องการของภาคธุรกิจมาก และระหว่างที่เรียนนักศึกษายังสามารถสร้างรายได้ให้กับตัวเองได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น ล่าม แปลงาน ประสานงาน ขายสินค้าจากประเทศจีนหรือให้นักท่องเที่ยวชาวจีน หรือ ติวเตอร์ต่าง ๆ” อาจารย์จุฑามาศ กล่าวในตอนท้าย

สำหรับผู้สนใจหลักสูตรภาษาจีนธุรกิจ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
 

‘บิ๊ก บลจ.บัวหลวง’ ชี้!! ถึงเวลาที่ไทยต้องสวมบท ‘รจนา’ เลือกข้างระหว่าง ‘จีน - สหรัฐฯ’ หลังมะกันไม่ขาย F-35 ให้

เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 66 นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘ไม่ขาย ก็ไม่ซื้อ’ มีเนื้อหาว่า…

สหรัฐฯ ปฏิเสธไม่ยอมขาย F-35 ให้ไทย เพราะไม่ผ่านการอนุมัติจากสภาของเขา ซึ่งน่าจะมาจากการที่เราซ้อมรบกับจีนบ่อยขึ้น และเราไม่เข้าร่วมขบวนการนาโต้ 2

แต่นี่ไม่ใช่ข่าวร้ายสำหรับไทย เป็นข่าวดีด้วยซ้ำ เพราะ F-35 เนี่ยะมันมีปัญหาเยอะ เช่น บางทีก็บินไม่ขึ้น หลายครั้งที่เครื่องยนต์มีปัญหา ระบบนำร่องไม่เสถียร ฯลฯ เรียกว่าซ่อมมากกว่าใช้ (อันนี้ข้อมูลมาจากผู้รู้จริง จะลองหาเพิ่มในกูเกิ้ลก็ได้)

ถ้าไม่ติดว่าโยกงบที่จะซื้อ F-35 ไปใช้อย่างอื่นไม่ได้ ก็อาจจะเล็งไปที่ SU-35 จะดีกว่า

ผู้สันทัดกรณีระบุว่า “SU-35 ของรัสเซียนี่น่ะหลายชาติอยากได้มาก เนื่องจากถ้ามีไว้ก็เรียกได้ว่าน่านฟ้าเป็นของเขาเพียงผู้เดียว ขนาด F-35 เห็นแล้วต้องรีบหลบ เพราะ SU-35 มีเรดาร์ขั้นเทพ จะพรางตัวก็ขั้นเซียน ยิงได้ไกลโคตรจนเป้าหมายตายทั้งที่ยังไม่เห็นหน้าในจอเรดาร์”

ส่วนเรื่องการเมืองในไทยยุคนี้ ต้องขอย้ำว่า อย่าไปอินอะไรมากนัก ข่าวสารที่ได้รับต่าง ๆ ก็ไม่แน่ว่าใครเป็นคนเผยแพร่ให้แฟนคลับเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ให้เขาตกลงกันเล่นเถิดเทิงตั้งรัฐบาลกันไปตามลำบากเหอะ พวกเราคั่วป๊อปคอร์นกินไป ดูไป บันเทิงใจดีออก

แต่ถ้าจะดูทิศทางการเมืองที่ถูกต้อง ก็ขอให้ดูที่การต่อสู้ของมหาอำนาจสองฝั่งที่กำลังรุกคืบมาแถวนี้แล้ว โดยที่กระแสโลกที่ ‘ไม่เอานาโต้ ไม่เอากองทัพสหรัฐฯ’ กำลังแพร่กระจายอย่างฉุดไม่อยู่… แหม มันสาแก่ใจอีช้อยยิ่งนัก

ผู้สันทัดกรณีระบุอีกว่า “ไทย พม่า ลาว คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะทำให้อาเซียนรอด มีรัสเซียกับจีนคอยโอบอุ้ม กับพร้อมลงมือทันทีหากฝ่ายตรงข้ามเขยิบ”

สรุปคือ สองขั้วมหาอำนาจขยายอิทธิพลและเป้าหมายมาที่อาเซียนแล้ว แบบไม่มีใครยอมใคร ประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนต่างเลือกข้างแล้ว

เหลือแต่พี่ไทยนี่แหละ ซึ่งมันชัดขึ้นทุกทีว่าเราถูกกดดันให้เลือกข้าง จะเล่นบทเดิมเป็นนางวันทองสองใจอีกไม่ได้ ต้องเป็นรจนาเสี่ยงพวงมาลัยเลือกระหว่าง ‘หยางหยาง’ กับ ‘คริส อีแวนส์’

แหม ก็มันหล่อคนละแบบ จะให้ตัดใครไปได้ลงเล่า!?

ควันหลังเลือกตั้ง!! ย้อนทำความรู้จัก ‘MOU’ จากทั่วโลก เวิร์คหรือไม่? ทางการเมือง

หนึ่งประเด็นที่ดูเป็น ‘เรื่องใหม่’ ของการเมืองไทย และถูกจับตามากที่สุด หลัง ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ออกมาประกาศต่อสาธารณชน เมื่อทราบผลการนับคะแนนไม่เป็นทางการ และปรากฏว่าพรรคก้าวไกลได้คะแนนเสียงมากที่สุด ก็คือ การเตรียมจัดทำข้อตกลง หรือ ‘เอ็มโอยู’ ระหว่างพรรคที่ร่วมจัดตั้งรัฐบาล โดยยืนยันว่า…

“เวลาที่เราจะร่วมรัฐบาลกัน มันไม่ใช่แค่แบ่งกระทรวง หรือดู ส.ส. จำนวนเท่าไร แต่เราจะทำเป็นเอ็มโอยู ที่เป็นเอกสารเปิดเผยต่อสาธารณชน ว่าการร่วมรัฐบาลเราคาดหวังอะไรซึ่งกันและกันบ้าง เวลาทำงานจะได้ไม่สะดุดระหว่างทาง แล้วก็ให้ประชาชนสามารถคาดหวังได้ว่าสิ่งที่เคยสัญญา ก่อนเลือกตั้งและหลังเลือกตั้งยังเหมือนเดิมทุกประการ”

ก่อนอื่น มาดูนิยามของ เอ็มโอยู (MOU-Memorandum of Understanding) ก็คือ “บันทึกความเข้าใจ” ซึ่งทำเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างบุคคล องค์กร หรือสถาบัน ตั้งแต่สองฝ่าย หรือมากกว่านั้น ไม่ได้เป็นสัญญาผูกมัด แต่เพื่อเป็นการแสดงความต้องการอันแน่วแน่ของผู้ลงนามว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไขดังที่ได้ระบุและตกลงกันไว้

ในส่วนของการเมือง เมื่อการเลือกตั้งปรากฏผลลัพธ์ออกมา ว่าไม่มีพรรคการเมืองใดได้เสียงเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในสภาฯ การฟอร์มรัฐบาลจึงต้องออกมาในรูปแบบการเจรจาจัดตั้ง ‘รัฐบาลผสม’ 

ที่ผ่านมาในการเมืองไทย การจัดตั้งรัฐบาลหลายพรรค มักเริ่มที่การดูจำนวน ส.ส. ก่อนตกลงผลประโยชน์ แบ่งโควต้ารัฐมนตรี และจับจองกระทรวงต่างๆ อาจมี ‘การให้สัตยาบัน’ เพื่อเป็นพันธะยึดโยงร่วมกันบ้าง แต่แทบไม่เคยเห็นการทำเอ็มโอยู เป็นตัวหนังสือกำหนดแนวทางดำเนินนโยบายร่วมกัน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องไม่ง่าย เพราะแต่ละพรรคการเมือง ย่อมมีนโยบายและจุดยืนแตกต่างกัน จึงต้องหาความลงตัว แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง เพื่อเดินหน้าทำงานร่วมกันให้ได้ 

แต่สำหรับในหลายประเทศทั่วโลก การจัดทำข้อตกลงร่วมกันของพรรคร่วมรัฐบาลในรัฐบาลผสม ก็อาจไม่ใช่เรื่องแปลกและเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง เรามาลองยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น

เริ่มต้นกันที่ ‘เยอรมนี’ ที่หลังสิ้นสุดยุคการบริหารบ้านเมืองโดยพรรคสหภาพคริสเตียนเดโมแครต หรือ ‘CDU’ ภายใต้การนำของ ‘อังเกลา แมร์เคิล’ มานานกว่า 16 ปี ก็นำมาสู่การเลือกตั้งทั่วไป 26 กันยายน 2021 ซึ่งพรรคโซเชียลเดโมแครต ที่นำโดย ‘โอลาฟ ชอลซ์’ ได้เสียงสนับสนุน 25.7% ร่วมกับ พรรคกรีน ที่มีเสียง 14.8% และพรรคฟรีเดโมเครต อีก 11.5% จับมือกันจัดตั้งรัฐบาลผสม โดยมีการลงนาม ‘ข้อตกลงภายใน’ ร่วมกัน จำนวนกว่า 177 หน้า เพื่อเป็นแบบร่างแผนการบริหารประเทศตลอดระยะเวลา 4 ปี

สำหรับสาระสำคัญในข้อตกลงนี้ ครอบคลุมการดำเนินนโยบาย ทั้งการสร้างรัฐทันสมัย การเปลี่ยนแปลงสู่ยุครัฐบาลดิจิทัล มาตรการป้องกันและลดโลกร้อน การส่งเสริมการค้า อุตสาหกรรมการลงทุนและธุรกิจ  การพัฒนาที่อยู่อาศัย การสร้างงาน รัฐสวัสดิการ กระบวนการยุติธรรม และนโยบายต่างประเทศและสหภาพยุโรป

ส่วนที่ ‘สหราชอาณาจักร’ ถ้าย้อนไปดูบรรยากาศหลังการเลือกตั้งในปี 2010 ปรากฏว่าไม่มีพรรคการเมืองได้ครองเสียงเบ็ดเสร็จในสภาฯ โดยพรรคคอนเซอร์เวทีฟที่นำโดย ‘เดวิด คาเมรอน’ ได้เสียงมากที่สุด ได้ตกลงจัดตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคลิเบอรัลเดโมแครต และนำมาสู่การทำ ‘ข้อตกลง’ ร่วมกัน ที่ครอบคลุมวาระสำคัญ เช่น การแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญๆ นโยบายและความรับผิดชอบที่จะผลักดันให้เกิดขึ้น โดยมีการประเมินและทบทวนความคืบหน้าของข้อตกลงและเผยแพร่เป็นเอกสารชี้แจงสู่สาธารณะในช่วงครึ่งเทอม เพื่อประเมินการทำงานร่วมกันรวมถึงพิจารณาความร่วมมือกันในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

คล้อยหลังมา 5 ปี หลังการเลือกตั้งทั่วไปปี 2015 ‘เทเรซา เมย์’ ไม่สามารถพาพรรคคอนเซเวทีฟ ที่ได้ 318 ที่นั่ง แต่ยังไม่สามารถครองเสียงข้างมากในสภาได้ จึงตัดสินใจใช้เวลานานกว่า 2 สัปดาห์ในการเจรจาจับมือพรรคลำดับ 5 อย่าง สหภาพประชาธิปไตยหรือดียูพี ที่มีจำนวน ส.ส. 10 คน เพื่อจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดยที่พรรคดียูพีจะไม่ร่วมรัฐบาล โดยมีการลงนามในข้อตกลงร่วมกัน 

สาระสำคัญคือ พรรคดียูพีจะโหวตสนับสนุนพรรคคอนเซเวทีฟในวาระสำคัญ เช่น การผ่านร่างงบประมาณและการลงมติไว้วางใจ รวมถึงสนับสนุนการออกกฎหมายต่างๆ เกี่ยวกับเบร็กซิท ความมั่นคง และอื่นๆ ขณะเดียวกัน รัฐบาลพรรคคอนเซอเวทีฟต้องให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนโครงการและนโยบายของพรรคดียูพี เช่น การเพิ่มงบประมาณ 1 พันล้านปอนด์ให้กับไอร์แลนด์เหนือ ฐานที่มั่นของพรรคดียูพี เพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณสุข และการศึกษา ในช่วง 2 ปี 

หรือลองแวะมาดูในพื้นที่ใกล้ตัว อย่าง ‘มาเลเซีย’ ประเทศเพื่อนบ้านของไทย ที่เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 15 ปรากฎว่าไม่มีพรรคใดชนะขาดการเลือกตั้งและมีเสียงข้างมากในสภาฯ แต่ในที่สุด ‘อันวาร์ อิบราฮิม’ ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลผสม และสาบานตนรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ปีที่แล้ว

ซึ่งต่อมา ในเดือนธันวาคม มีการลงนามในเอ็มโอยู เพื่อเสถียรภาพของรัฐบาลผสม โดยพรรคแนวร่วมได้ลงนามยืนยันว่าจะสนับสนุน ‘อันวาร์ อิบราฮิม’ ผ่านการออกเสียงให้รัฐบาลหรืองดเว้นการออกเสียงเมื่อมีการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจ รวมทั้งให้การสนับสนุนรัฐบาล อย่างเช่น การผ่านงบประมาณรายจ่าย

ย้อนกลับมาที่บ้านเรา สูตรจัดตั้งรัฐบาลผสม ที่มี ‘ก้าวไกล’ เป็นแกน จับมือกันถึง 8 พรรค จำนวน 313 เสียง เพิ่งผ่านเวลามาเพียงสัปดาห์เศษเท่านั้น ขณะเดียวกันการจัดทำ ‘เอ็มโอยู’ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายที่เคยสัญญาไว้กับประชาชนตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง ก็เป็นเรื่องใหม่ และไม่ง่าย 

แต่ถ้าการทำข้อตกลง เอ็มโอยู ครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้น ในการยกระดับ การ ‘เจรจา’ ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อเปิดทางนำไปสู่การทำงานด้านนโยบายร่วมกันเพื่อประชาชน ก็จะเป็นการเริ่ม ‘เปลี่ยน’ หากจุดสมดุล และเป็นบรรทัดฐานใหม่ของการเมืองไทยนับจากนี้ ที่จะทำให้การบริหารบ้านเมือง เป็นไปตามที่เคยสัญญาและให้คำมั่นกับประชาชนเอาไว้ แทนที่จะเป็นไปเพื่อการรักษาผลประโยชน์ และตำแหน่งแห่งที่ของนักการเมือง เป็นประชาธิปไตยของประชาชนเพียงแค่สี่นาที อย่างที่เคยฝังรากอยู่ในบ้านเรามานาน

พิษณุโลก ตำรวจภูธรภาค 6 แถลงข่าวการจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการปลอมแปลงเอกสารเกี่ยวกับรถยนต์ (ป้ายภาษีรถยนต์)

วันที่ 25 พฤษภาคม 2566 เวลา 14.00 น .พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผบช.ภ. 6 ได้สั่งการชุด ศปจร.ภ.6 นำโดย พล.ต.ต.บัณฑิต ตุงคะเศรณี รอง ผบช.ภ.6  พล.ต.ต.เสถียร บุญ รอง ผบช.ภ.6 พล.ต.ต.สารนัย คงเมือง ผบก.สส.ภ.6 พ.ต.อ.สุทธิเวท บุญยรัตกลิน รอง ผบก.สส.ภ.6 และ พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ รอง ผบก.สส.ภ.6 ให้ทำการสืบสวนขยายผลกลุ่มผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการปลอมแปลงเอกสารเกี่ยวกับรถยนต์ (ป้ายภาษีรถยนต์) มาปฏิบัติจนเกิดเป็นรูปธรรม โดยได้บูรณาการกำลังทุกหน่วย ในส่วน ภ.5 ร่วมปฏิบัติการ

ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ในพื้นที่รับผิดชอบของ ภ.6 สามารถจับกุมยึดทรัพย์ได้ จำนวน 34 คัน ซึ่งบางส่วนได้ส่งคืนให้กับผู้ถือกรรมสิทธิ์บางส่วนเรียบร้อยแล้ว รวมมูลค่าความเสียหายต่อรัฐและบริษัทไฟแนนซ์เป็นจำนวนเงินมากกว่า 30 ล้านบาท

เนื่องจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ตำรวจภูธรภาค 6 ขยายผลการสืบสวน
จับกุมจาก กองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 6 ได้ดำเนินการจับกุม นายณัฐฉัตร รัตนน้อย อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 15 หมู่ที่ 1 ต.บางซ้าย อ.บางซ้าย จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งได้ทำการรับทำป้ายทะเบียนรถ รับสวมทะเบียนรถ รับจัดทำแผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีรถ ต่อภาษีรถหลุดจำนำ รับทำใบขับขี่ บัตรประชาชน เช็คทะเบียนราษฎร์ เช็คหมายจับ ดึงสำเนาหน้าเล่มรถ สำเนาบัตรประชาชน

โดยระบุว่าใช้ระยะเวลาในการทำไม่นาน เมื่อทำเสร็จจะส่งภาพรีวิวให้ดู จากนั้นจึงจะทำการจัดส่งพัสดุผ่านทางบริการไปรษณีย์ไทยให้แก่ลูกค้า จากนั้นได้ขยายผลทราบว่ามีบุคคลในพื้นที่ ภ.6 ได้ดำเนินการสั่งซื้อรายการดังกล่าวข้างต้น เป็นจำนวนมาก

เบื้องต้นแจ้งข้อหา “ปลอมและใช้เอกสารราชการ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ก่อนนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ตำรวจภูธรภาค 6 ขอความร่วมมือมายังพี่น้องประชาชน เพื่อช่วยกันเป็นหูเป็นตา สอดส่อง
ระวังป้องกันการโจรกรรมรถยนต์และรถจักรยานยนต์ โดยสามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ สายด่วน 191 
ปรีชา นุตจรัส รายงานข่าวพิษณุโลก

ตำรวจไซเบอร์รวบเครือข่ายแก๊งคอลเซนเตอร์อ้างเป็นสรรพากรหลอกส่งลิงก์ดูดเงิน

สืบเนื่องจาก ผู้เสียหายได้รับโทรศัพท์อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากรได้โทรสอบถามเกี่ยวกับโครงการคนละครึ่งและการเสียภาษี จากนั้นได้หลอกล่อให้ผู้เสียหายแอดเป็นเพื่อนทางแอปพลิเคชันไลน์ แล้วส่งลิงค์ให้กดติดตั้ง แอปชื่อว่า “the revenue” ซึ่งแอปดังกล่าวมีหน้าตาคล้ายกับแอปของกรมสรรพากร จากนั้นหลอกให้กรอกข้อมูล หลังจากนั้นผู้เสียหายพบว่าเงินของตนได้ถูกโอนออกไปจำนวน 23,897 บาท เมื่อรู้ว่าถูกหลอกจึงแจ้งความเพื่อติดตามหาคนร้าย

ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ได้นำหมายจับเข้าจับกุมตัว นายสิทธิชัย อายุ 19 ปี ชาวกรุงเทพมหานคร ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น นำเข้าสู่ระบบซึ่งข้อความอันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน เข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน” โดยควบคุมตัวได้บริเวณหน้าหมู่บ้านชมฟ้าวรางกูล คลองสอง ซอยรังสิต-นครนายก 64 ถนนรังสิต-นครนายก ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จว.ปทุมธานี

เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ จากสืบสวนทราบว่ามีเงินหมุนเวียนผ่านบัญชีในระบบนับล้านบาท และคดีนี้มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องอีก 2 คดี ซึ่งขณะนี้ พงส.ได้ดำเนินการออกหมายจับผู้ต้องหา 5 ราย จับกุมได้แล้ว 4 ราย โดยจะขยายผลการสืบสวนจับกุมคนร้ายที่เหลือต่อไป
กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3

สั่งการให้ พ.ต.ท.ภาคภูมิ บุญเจริญพานิช รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.3 พ.ต.ท.เลอศักดิ์ พิเชษฐไพบูลย์ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ,พ.ต.ต.รุ่งเรือง มีสติ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ, และ พ.ต.ต.ธวัช ทุเครือ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ นำกำลังจับกุมตัวผู้ต้องหา

‘หม่อนปลื้ม’ ชี้ ยกเลิกเครื่องแบบลูกเสือ อาจทำเด็กขาดวินัย ลั่น!! อย่าใช้ความเหลื่อมล้ำเป็นข้ออ้างเพื่อยกเลิกการเรียนลูกเสือ

เมื่อไม่นานมานี้ หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล หรือ ‘คุณปลื้ม’ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็น เรื่องการเครื่องแบบ ในความคิดของก้าวไกล ไว้ว่า ตนเข้าใจดีในเรื่องที่กระทรวงศึกษาธิการถูกสังคมในปัจจุบันกดดันเรื่องของความเหลื่อมล้ำ ที่เกิดจากเครื่องแบบนักเรียนลูกเสือ ที่คนรุ่นใหม่หัวก้าวหน้ายกขึ้นมาอ้างเพื่อให้มีการพิจารณายกเลิกการใส่เครื่องแบบลูกเสือ

โดยคุณปลื้มได้กล่าวว่า ตนไม่มีปัญหา และเข้าใจ หากมีคนต้องการให้มีการยกเลิกการใส่เครื่องแบบลูกเสือ แต่ด้วยความที่กระทรวงศึกษาธิการถูกกดดัน และสั่งการไปถึงทุกโรงเรียน ให้ทำหนังสือชี้แจ้งผู้ปกครอง เรื่องการอนุญาตให้นักเรียนไม่ต้องสวมเครื่องแบบลูกเสือ โดยให้สวมแค่ผ้าพันคอลูกเสือเพียงเท่านั้น แบบนี้เมื่อถึงเวลาอาจทำให้เกิดความสับสน นักเรียนบางส่วนอาจใส่เครื่องแบบมา อีกส่วนอาจไม่ใส่มา แบบนี้จะเวิร์กหรือไม่?

ถ้าคุณเคยเป็นทหาร คุณจะรู้ว่าส่วนสำคัญในการฝึกวินัยของทหาร มันเริ่มตั้งแต่การใส่เครื่องแบบ เพราะถือเป็นสิ่งสำคัญ เป็นการฝึกวินัยในการดูแลเครื่องแบบ ตั้งแต่การซักรีด การติดดาว ติดยศให้ถูกต้อง การขัดรองเท้าให้เงา ทั้งหมดนี้เป็นการฝึกวินัย ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นลูกเสือที่ดี ที่ไม่ได้มีแค่เรื่องจิตอาสาเพียงเท่านั้น แต่ยังสอนในเรื่องของการทำอาหาร การเดินป่า การผูกเชือก และทักษะการเอาตัวรอด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์ต่อเยาวชนทั้งสิ้น

ดังนั้น หากจะมีการรณรงค์ให้ยกเลิกการสวมเครื่องแบบลูกเสือ ในสถาบันการศึกษาของภาครัฐฯ และเอกชน อย่างที่มีการบังคับกันอยู่ในขณะนี้ ผมมองว่า หากจะให้มีการเรียนลูกเสืออยู่ ก็ควรจะต้องมีการสวมเครื่องแบบลูกเสือ

คุณปลื้มยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในสมัยก่อนที่มีการเรียนและแต่งเครื่องแบบลูกเสือ ก็ไม่ได้มีความเหลื่อมล้ำ เพราะฉะนั้น หากจะอ้างเรื่องของความยากจนและภาระทางการเงิน แล้วทำไมสมัยก่อนถึงแต่งเครื่องแบบลูกเสือกันได้? แล้วถ้าหากมีการประกาศว่าไม่ต้องมีการแต่งเครื่องแบบลูกเสือ แต่เมื่อถึงวันสำคัญที่ต้องแต่งเครื่องแบบจะทำอย่างไร?

“หากเราต้องการอยู่ในสังคมที่ไร้การฝึกวินัยในเรื่องการแต่งกาย นี่นับเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมีการถกเถียงกันในแง่ของนโยบายต่อไป และผมคิดว่า ไม่ควรยกเรื่องของความเหลื่อมล้ำ และความยากจนมาอ้างเพื่อเป็นการต่อยอดวาระในการยกเลิกการเรียนลูกเสือแบบถาวร”

ย้อนไทม์ไลน์ ‘บิตคอยน์’

ย้อนไทม์ไลน์เส้นทางการเติบโตของ ‘บิตคอยน์’ มาดูกันว่าตลอดระยะเวลา 14 ปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์เกิดอะไรขึ้นบ้าง

 

ปลัด แรงงาน แถลงจัด Job Expo Thailand 2023 ภายใต้งาน “คนไทยมีงานทำ คนหางาน งานหาคน”

วันที่ 25 พฤษภาคม 2566 นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงาน Job Expo Thailand 2023 ท่ามกลางสื่อมวลชนและแขกผู้มีเกียรติ ณ ห้องประชุม ชั้น 5 กระทรวงแรงงาน โดยมีนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน นายสันติ นันตสุวรรณ นายสิบหมื่นชัย โพธิสินธุ์ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน ผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน และผู้แทนจากภาคบริษัทภาคเอกชน ร่วมงาน 

นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน จัดงาน Job Expo Thailand 2023 มหกรรมการจัดหางานครั้งยิ่งใหญ่ระดับประเทศ ภายใต้งาน “คนไทยมีงานทำ คนหางาน งานหาคน”

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้สมัครงาน ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาใหม่ ผู้ว่างงาน คนพิการ ผู้สูงอายุ หรือทุกคนที่ต้องการมีงานทำ กับนายจ้าง สถานประกอบการ ได้พบและพิจารณาคัดเลือกกันโดยตรง เพื่อประหยัดเวลา ลดค่าใช้จ่ายของทั้งสองฝ่าย รวมทั้งส่งเสริมให้คนไทยทราบความต้องการของตลาดแรงงาน ได้รับบริการแนะแนวอาชีพ คำปรึกษาด้านอาชีพที่ถูกต้อง ตลอดจนการเตรียมความพร้อมในการพัฒนาความรู้ทักษะฝีมือแรงงานให้มีศักยภาพสูงขึ้น เพื่อจะได้เตรียมตัวเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้เกิดการจ้างงาน ลดปัญหาการว่างงานและขาดแคลนแรงงาน โดยไฮไลท์สำคัญของงานอยู่ที่ตำแหน่งงานหลากหลายทั้งในประเทศและต่างประเทศที่กรมการจัดหางงานรวบรวมไว้มากกว่า 500,000 อัตรา เพื่อรองรับคนหางานทุกช่วงวัย ทุกระดับวุฒิการศึกษา และการเชิญชวนนายจ้าง สถานประกอบการชั้นนำ ร่วม 400 แห่งมารับสมัครและสัมภาษณ์ผู้สมัครงานภายในงาน ควบคู่กับการสัมภาษณ์งานออนไลน์ผ่านระบบ Zoom เพื่ออำนวยความสะดวกให้คนหางานจากทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าว่าจะมีผู้ร่วมงานตลอด 3 วันมากกว่า 5 หมื่นคน 

“การจัดงาน Job Expo Thailand 2023 ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสถานประกอบการภาคเอกชน จำนวน 395 บริษัท ที่พร้อมใจนำตำแหน่งงานมาให้ผู้สมัครเลือกช็อปภายในงาน อาทิ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ชิสเทม จำกัด บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทย สมายส์ บัส จำกัด บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด บริษัท ฟอร์ท เวนติ้ง จำกัด บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) บริษัท โพสเซฟี่ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าพี่น้องประชาชนทุกคนที่มาร่วมงาน มีโอกาสที่จะได้งานกลับไป และเห็นภาพทิศทางตลาดแรงงานชัดขึ้น สามารถเตรียมพร้อมและพัฒนาทักษะตนเอง ให้เป็นแรงงานที่มีศักยภาพสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและขยับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศได้อย่างยั่งยืน” ปลัด.แรงงาน กล่าว 
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า JOB EXPO THAILAND 2023 มีกำหนดจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 8 – 10  มิถุนายน 2566 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา Hall EH 100 – 102 กรุงเทพมหานคร ภายในงานมี 7 โซนหลัก

ซึ่งมีกิจกรรมที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ อาทิ นิทรรศการเทิดพระเกียรติศาสตร์แห่งพระราชา ศาสตร์แห่งความพอเพียง และโครงการจิตอาสา 904 โคก หนอง นา โมเดล กิจกรรมคนไทยไม่ทิ้งกัน คนหางาน งานหาคน Job Matching กิจกรรม Platform “ไทยมีงานทำ” กิจกรรมรวมใจสร้างงาน สร้างอาชีพ กิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการมีงานทำ และกิจกรรมส่งเสริม พัฒนา คุณภาพแรงงาน และกลุ่มเปราะบาง ไทยไม่ทิ้งกัน ล้านงานเพื่อล้านคน และบริการดีๆจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน ได้แก่ การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้แก่ผู้ประกันตนจากโรงพยาบาล การให้ความรู้ เกี่ยวกับสิทธิผู้ประกันตนทุกมาตรา การตรวจสอบสิทธิผู้ประกันตน และเปิดรับสมัครผู้ประกันตนตามมาตรา 40 โดยสำนักงานประกันสังคมและหน่วยพยาบาล นิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน คลินิกแรงงาน และนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายพื้นฐานสำหรับแรงงานที่ควรทราบ โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน 

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมบนเวที อย่างการเสวนาในหัวข้อต่างๆ ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ เช่นหัวข้อ “คนยุคใหม่วางแผนทางการเงินอย่างไร” “การสร้างตัวตนสู่การสร้างรายได้บน TIKTOK แพลตฟอร์มยอดนิยมในปัจจุบัน” และ“การเกษตรเพื่อความยั่งยืน” มินิคอนเสิร์ต จากศิลปินชื่อดัง อาทิ YourMood , มีนตรา อินทิรา และปราง ปรางทิพย์ และกิจกรรมเชิญชวนผู้ร่วมงาน ร่วมสนุกลุ้นรับของรางวัล

‘เสี่ยเฮ้ง’ โพสต์ซึ้ง หวนคิดถึงมิตรภาพในวันวาน พร้อมรำลึกบุญคุณผู้ให้ความสนับสนุนสมัยเป็นนักกีฬา

เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 66 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้โพสต์รูปภาพพร้อมแคปชันสุดซึ้น ชวนให้คิดถึงวันวานในอดีต สมัยที่ตนยังเป็นนักกีฬาฟุตบอลตัวแทน จังหวัดชลบุรี และระลึกถึงผู้มีพระคุณที่เคยให้การสนับสนุนทีมฟุตบอลของตน โดยระบุว่า…

‘คิดถึงเพื่อน’ และ ‘2 ผู้มีพระคุณ’

และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งภาพที่เล่าเรื่องราววันวาน เปิดภาพขึ้นมาดูทีไรก็ชวนให้คิดถึงเพื่อนๆ ปนเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มระหว่างทบทวนความทรงจำ

ผมให้ชื่อภาพนี้ว่า ‘มิตรภาพ - มิตรไมตรี’ กับบรรยากาศเมื่อ 30 ปีก่อน ระหว่างเก็บตัวนักกีฬาฟุตบอล เยาวชน แห่งชาติ  ในครั้งนั้นฝีเท้าผมก็โดดเด่นไม่เบา ถึงขั้นได้เป็นตัวแทนจังหวัดชลบุรี พร้อมกับเพื่อนๆ อีกจำนวนหนึ่ง ไปแข่งคัดเลือกที่จังหวัดจันทบุรี 

ตอนนั้นผมได้เดินทางไปเก็บตัวกันที่เขื่อนเขาแหลม กาญจนบุรี อากาศดีมากๆ ทำให้หวนคิดถึงผู้มีพระคุณ คือ ‘เฮียกิม’ กับ ‘ซ้อ’ เจ้าของ ‘ร้านวิรัช เบนไทร์’ ที่เป็นสปอนเซอร์ออกค่าใช้จ่าย ให้ผมและเพื่อนๆ ในทีมฟุตบอล 

ครอบครัว ‘เฮียกิม’ กับ ‘ซ้อ’ ชอบฟุตบอล เป็นชีวิตจิตใจ ท่านมีเมตตากับพวกเราทุกคน ท่านเสียสละ ทรัพย์สินเงินทองในเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมด ท่านคือผู้เสียสละ ให้วงการกีฬาฟุตบอล ชลบุรีมากที่สุด ผมยังระลึกบุญคุณท่านไม่ลืมเลือน

ใครได้อ่านข้อความนี้ ฝากไปถึง ‘เฮีย’ กับ ‘ซ้อ’ เจ้าของร้าน ‘วิรัช เบนไทร์’ ว่าจากวันนั้นจนวันนี้ผมไม่เคยลืมบุญคุณท่านเลย…

หลายคนบอกว่า ชอบอ่านเรื่องเล่าที่ผมเขียนหน้าเพจ ผมขอเท้าความย้อนไปก่อนว่า ผมเป็นคนชอบ ‘อ่านหนังสือ’ ศึกษาความรู้รอบด้านมาตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่น ทักษะการเขียนหนังสือของผมจึงเป็นผลพลอยได้มาจากการ ‘อ่านอย่างสม่ำเสมอ’ และผมก็ชอบมากที่จะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ผมคิดว่าสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่านได้ การเล่าเรื่องลง Facebook จึงเป็นอีก 1 งานอดิเรกที่ผมตั้งใจเขียนมาก

“อลงกรณ์” ผนึกความร่วมมือไทย-จีนส่งเสริมการค้าการลงทุนอุตสาหกรรมอาหาร

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กล่าวเปิดงาน
การประชุมส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารจัดโดย คณะกรรมการเทศบาลเมืองแต้จิ๋วแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน รัฐบาลเทศบาลเมืองแต้จิ๋ว และสมาคมการค้าแลกเปลี่ยนเศรึไทย-เอเซีย
วันนี้ ที่รร.อนันตารา กรุงเทพฯ.มีผู้ร่วมงานประกอบด้วยนายหวัง ลี่ผิง อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจและพาณิชย์ สถานทูตจีนประจำประเทศไทยเหอ เสี่ยวจวิน เลขาธิการคณะกรรมการพรรคเทศบาลประจำแต้จิ๋ว เฉิน เสี่ยวตัน ผู้อำนวยการสำนักการค้าเทศบาลประจำแต้จิ๋ว

นายเมฆินทร์ เอี่ยมสะอาด คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ.
ดร.แทนคุณ จิตต์อิสระ  คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีพาณิชย์
นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานหอการค้าไทยจีน 
นายวิชัย มณีกิติกุล รักษาการแทนนายกสมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย และตัวแทนภาคเอกชนไทยและจีน

โดยนายอลงกรณ์กล่าวว่า อุตสาหกรรมอาหารเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตจึงเป็นโอกาสของประเทศไทยและจีนในการขยายความร่วมมือเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารไทยและอาหารจีนซึ่งเป็นอาหารที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติภายใต้แนวทางอาหารไทย อาหารจีน อาหารโลกโดยเฉพาะเมืองแต้จิ๋ว มณฑลกวางตุ้งเป็น 1 ใน 6 เมืองแห่งอาหารของจีนเมื่อผสมผสานศักยภาพของไทยในฐานะครัวไทยครัวโลกจะเพิ่มโอกาสของทั้ง 2 ฝ่าย

“จีนเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยเช่นเดียวกับด้านการลงทุนและการท่องเที่ยวด้วยความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเสมือนกากี่นั๊ง ความร่วมมือระหว่างไทยกับเมืองแต้จิ๋วในครั้งนี้จะเป็นอีกเสาหลักของการเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจระหว่างกันโดยกระทรวงเกษตรฯ. กระทรวงพาณิชย์ หน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนยินดีสนับสนุนส่งเสริมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมอาหารไทย-จีนแต้จิ๋วอย่างเต็มที่”.

นราธิวาส-ผบ.ฉก.นราธิวาส ส่งมอบบ้านตามโครงการ 'หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส ซ่อมสร้าง ปันสุข' เพื่อพัฒนา ยกระดับคุณภาพชีวิต เสริมสร้างขวัญ และกำลังใจ เพิ่มพูนความสุขให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ บ้านเลขที่ 56 หมู่ 7 ตำบลบาโงสะโต อำเภอระเเงะ จังหวัดนราธิวาส พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 / ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส ส่งมอบบ้าน ตามโครงการ 'หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส ซ่อมสร้าง ปันสุข' ให้กับ

นางสาวรอฮานี อูมา ซึ่งเป็นประชาชนที่มีฐานะยากจนให้ความร่วมมือกับส่วนราชการ และหน่วยเป็นอย่างดีมาโดยตลอด เพื่อการพัฒนา ยกระดับคุณภาพชีวิต เสริมสร้างขวัญ และกำลังใจ เพิ่มพูนความสุขให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ โดยมี พันเอก ทวีรัตน์ เบญจาทิกุล ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ 45 นายอำเภอระแงะ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบาโงสะโต กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อิหม่ามประจำตำบล หัวหน้าส่วนราชการ และพี่น้องประชาชน เข้าร่วมในพิธี

ทั้งนี้ พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว กล่าวว่า สำหรับ โครงการ 'หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสซ่อมสร้าง ปันสุข' เกิดขึ้นโดยสืบเนื่อง จากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ ส่งผลกระทบในด้านความปลอดภัย และจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ทำให้พี่น้องประชาชนได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ในการประกอบอาชีพ ทำให้ขาดแคลนรายได้ หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส จึงกำหนดครอบครัวเป้าหมายที่มีความยากจน หรือเป็นพี่น้องประชาชนครอบครัว ไทยพุทธ และไทยมุสลิมในพื้นที่

ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในพื้นที่ มีฐานะยากจนและมีจิตสาธารณะ ซึ่งอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบ จำนวน 10 อำเภอ ของจังหวัดนราธิวาส โดยได้ดำเนินโครงการการซ่อมสร้างบ้าน ประจำปีงบประมาณ 2566 จำนวน 12 หลัง

โดยจะดำเนินการซ่อม หรือสร้างบ้าน ให้กับประชาชนในพื้นที่ ที่มีฐานะยากจน ไม่มีที่อยู่อาศัย เพื่อช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน และสร้างทัศนะคติที่ดี ต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ ส่งผลกระทบในด้านความปลอดภัย และจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 นั้น ได้ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ ทำให้ได้รับความเดือดร้อนทั้งในการประกอบอาชีพ และการดำเนินชีวิตประจำวัน

ซึ่งพี่น้องประชาชนที่มีฐานะยากจนยิ่งลำบากมากขึ้น หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสเล็งเห็นถึงความสำคัญในการเข้าไปให้การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ จึงได้จัด โครงการ 'หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสซ่อมสร้าง ปันสุข' เพื่อช่วยเหลือผู้ที่มีฐานะยากจนและเป็นบุคคลที่มีจิตสาธารณะ เพื่อให้มีกำลังใจในการทำความดีต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top