Thursday, 2 May 2024
NEWS

คลิปว่อน!! พฤติกรรม 2 สาว 'แบม-ตะวัน' เจ้าของรางวัล 'The People Awards'

(13 พ.ค. 66) เปิดคลิปพฤติกรรม ‘ตะวัน-แบม’ เจ้าของรางวัล The People Awards 2023 หลังเข้ามาป่วน สน.สำราญราษฎร์ เนื่องจากเคลื่อนไหวสอบถามการปล่อยตัวของ ‘หยก’ ด้านชาวเน็ตแห่วิจารณ์พฤติกรรมสุดก้าวร้าว พร้อมชื่นชมเจ้าหน้าที่ตำรวจจัดการอย่างใจเย็น

จากกรณี น.ส.ทานตะวัน หรือตะวัน และ น.ส.อรวรรณ หรือแบม พร้อมกลุ่มมวลชนนักเคลื่อนไหวทางการเมือง กว่า 20 คน รวมตัวเดินทางมาที่ สน.สำราญราษฎร์ เมื่อช่วงเย็นวันที่ 10 พ.ค. ที่ผ่านมา เพื่อสอบถามการปล่อยตัวของ นางสาวธนลภย์ ผลัญชัย หรือหยก เยาวชนอายุ 15 ปี ที่ สถานพินิจบ้านปราณี จังหวัดปทุมธานี ที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง มาตรา 112 และ พ.ร.บ.โบราณสถาน จากนั้น ตะวัน - แบม กับพวกรวม 9 คน ร่วมกันทำลายทรัพย์ราชการ บนโรงพักสำราญราษฎร์ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าควบคุมตัวมาฝากขังศาลอาญา

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 12 พ.ค. ผู้ใช้ TikTok ‘พลาดหัวข่าว v5’ ได้ออกมาโพสต์คลิปวิดีโอ เผยให้เห็นพฤติกรรมของ 2 เด็กหญิงวัยรุ่น ‘ตะวัน-แบม’ เจ้าของรางวัล The People Awards 2023 ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับคน 10 คนที่มีส่วนในการทำให้โลกในวันพรุ่งนี้ดียิ่งขึ้น ขณะกำลังทำลายข้าวของภายใน สน.สำราญราษฎร์ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงคอยวิ่งวุ่นห้ามปรามอย่างใจเย็น

ทั้งนี้ ได้มีชาวเน็ตเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมของทั้ง 2 เป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่มองว่าการกระทำดังกล่าวมันเกินไป พร้อมกับชื่นชมความใจเย็นของเจ้าหน้าที่ และเป็นกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่เป็นจำนวนมาก

ศลต.ตร.บังคับใช้กฎหมายเข้ม โค้งสุดท้าย ‘เลือกตั้ง66’ เน้นย้ำ! ซื้อสิทธิขายเสียงมีความผิด จับกุมแล้ว 3 ราย แนะนำประชาชน 12 ข้อ ต้องรู้! ห้ามทำ ผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง

วันนี้ ( 13 พฤษภาคม 2566 ) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ( ตร. ) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการ ประจำสำนักงาน ผบ.ตร. ในฐานะโฆษก ศูนย์อำนวยการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยการจัดการเลือกตั้ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศลต.ตร.)  เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ( ผบ.ตร. ) พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศลต.ตร. มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน สั่งการให้ ศลต.ตร. เร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่จะออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษาคม 2566 มีความเข้าใจในกฎหมายเลือกตั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง และเพื่อเป็นการสนับสนุนภารกิจการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการทั่วไป พ.ศ.2566 ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
 
โฆษก ศลต.ตร. กล่าวว่า ขอแจ้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบถึงการกระทำที่ต้องงดเว้น ห้ามกระทำ ตามกฎหมายเลือกตั้ง “พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561” ที่ประชาชนพึงหลีกเลี่ยง ซึ่งมักพบการกระทำความผิด ดังนี้
 
1. การซื้อสิทธิขายเสียง การกระทำการจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้ผู้สมัคร หรือ “การซื้อขายเสียง” เข้าข่ายผิดกฎหมาย ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย  โดยผู้ซื้อเสียง มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 ถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี  ส่วนผู้ขายเสียง เรียก รับ หรือยอมจะรับเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เพื่อลงคะแนนหรืองดเว้นไม่ลงคะแนน ฝ่าฝืนมีโทษ จำคุก 1-5 ปี ปรับ 20,000 – 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี
 
2. การพนันขันต่อผลการเลือกตั้ง โดยผู้ฝ่าฝืนจะมีโทษจำคุก 1 ถึง 5 ปี ปรับ 20,000 ถึง 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี
 
3. การจัดยานพาหนะขนคนไปเลือกตั้ง หากทำเพื่อจูงใจหรือควบคุมให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปลงคะแนนเลือกหรือลงคะแนนไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด มีความผิด มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 - 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี
 
4. การกระทำใด เป็นการขัดขวาง หรือหน่วงเหนี่ยว เพื่อมิให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถใช้สิทธิได้ มีความผิด ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 – 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 – 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกำหนด 10 ปี
 
5. การรื้อ ย้าย ปลด ทำลาย หรือเก็บป้ายหาเสียง ต้องทำโดยเจ้าของ หรือผู้รับมอบอำนาจเท่านั้น ผู้อื่นจะกระทำไม่ได้ ฝ่าฝืนมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มีโทษทั้งจำทั้งปรับ
 
ขณะที่ ศลต.ตร.เน้นย้ำ  สิ่งที่ห้ามทำ หลังเวลา 18.00 น.ของวันที่ 13 พฤษภาคม 2566 เป็นต้นไป ซึ่งจะเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง
1. ห้ามจำหน่าย จ่ายแจก  หรือจัดเลี้ยงสุราในเขตเลือกตั้ง ซึ่งครอบคลุมทั่วประเทศ ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ของวันที่ 13 พฤษภาคม 2566 จนถึงเวลา 18.00 น. ของวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ผู้ที่ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
 
2. ห้ามมิให้มีการโฆษณาหาเสียงให้พรรคการเมือง หรือผู้สมัคร ส.ส. ทุกรูปแบบ รวมถึงให้งดเว้นการสวมใส่เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ ฯลฯ ที่มีสัญลักษณ์โลโก้พรรคการเมือง หมายเลขพรรคการเมือง หรือผู้สมัคร (โดยเฉพาะเมื่อเข้าคูหา หรือบริเวณใกล้เคียงหน่วยเลือกตั้ง ) และให้งดเว้นการโพสต์ข้อความ อัปโหลดภาพ หรือคลิปที่มีเนื้อหาลักษณะหาเสียงเลือกตั้ง ลงบนโซเชียลมีเดีย ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ของวันที่ 13 พฤษภาคม 2566 เป็นต้นไป ฝืนก็จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

‘หมอยง’ เผย โควิด-19 ในไทยเปลี่ยนเป็นสายพันธุ์ XBB.1.16 ชี้!! ติดต่อได้ง่าย หลบภูมิต้านทานได้ดี แต่ไม่เพิ่มความรุนแรง

‘หมอยง’ เผย โควิด 19 ในไทยเปลี่ยนสายพันธุ์ เป็นสายพันธุ์ดาวดวงแก้ว กำลังมาแรงแทนที่สายพันธุ์ปลาหมึกยักษ์ สายพันธุ์นี้ติดต่อได้ง่าย หลบหลีกภูมิต้านทานได้ดี แต่ความรุนแรงของโรคไม่ได้เพิ่มขึ้น

(13 พ.ค. 66) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Yong Poovorawan’ ระบุว่า โควิด 19 การเปลี่ยนสายพันธุ์ สายพันธุ์ดาวดวงแก้วกำลังมาแรง XBB.1.16

จากการศึกษาในประเทศไทยของศูนย์จะเห็นว่าตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของโควิด 19 ทุกครั้งที่มีสายพันธุ์ใหม่ก็จะมีการระบาดเพิ่มขึ้นเป็นระลอก มาโดยตลอด

จากรูปนี้ในการถอดรหัสพันธุกรรมกว่า 100 สายพันธุ์จะเห็นว่าสายพันธุ์หลักในประเทศไทยขณะนี้เป็น XBB แล้ว โดยที่สายพันธุ์ดาวดวงแก้ว XBB.1.16 กำลังมาแรงและจะเป็นสายพันธุ์หลักต่อไป

สายพันธุ์นี้ติดต่อได้ง่าย หลบหลีกภูมิต้านทานได้ดี แต่ความรุนแรงของโรคไม่ได้เพิ่มขึ้น

สืบนครบาลขยายผลเครือข่ายเอี้ยก้วยทลายการลักลอบลำเลียงยาเสพติด กว่า 1.3 ล้านเม็ดเข้าสู่กลางมหานคร

ตามนโยบายรัฐบาลโดย พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ตระหนักถึงปัญหายาเสพติดซึ่งเป็นภัยคุกคามและเป็นหนึ่งในปัญหาชาติที่สำคัญ ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนและจริงจัง 

เมื่อวันที่ 12  พฤษภาคม  2566 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร./ ผอ.ศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ( ผอ.ศอ.ปส.ตร.), พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.สําเริง สวนทอง รอง ผบช.น. ,พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น./หน.ชป.5 ศอ.ปส.ตร , พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผบก.สส.บช.น. จึงได้สั่งการให้ พ.ต.อ.ธัญญพัทธ์ บุญสุข ผกก.สส.2 บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.ณัฐวุฒิ สีเสมอ, พ.ต.ท.นิติกรณ์ ระวัง รอง ผกก.กก.สส.2 บก.สส.บช.น.พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองกำกับการสืบสวน 2 ทำการสืบสวนผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายใหญ่รายสำคัญ ให้ได้ผลอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อป้องกันไม่ให้ยาเสพติดแพร่กระจายลงสู่ชุมชน  โดยได้ร่วมทำการจับกุม

1. นายชัยคุปต์ หรือเบีย   แต้มดี    อายุ 41 ปี ที่อยู่ 160/137 ม.5 ต.บางกรวย อ.บางกรวย จ.นนทบุรี
2. นายสุวิชา หรือไมค์     มุสิกะคุณ  อายุ 40 ปี  ที่อยู่ 85/10 ม.1 ต.บางกร่าง อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี

พร้อมของกลาง

1. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวนประมาณ 1,395,000 เม็ด

2. รถยนต์กระบะสี่ประตู ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่นไฮลักซ์วีโก้ สีขาว  ทะเบียน ฆอ 372 กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 คัน

โดยกล่าวหาว่า “ จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) อันเป็นการมีไว้เพื่อจำหน่ายอันเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป ”

สถานที่จับกุม   บริเวณริมถนนติวานนท์ หน้าร้านเซ็งซิมอี้ ฮกหลีจีน ปากซอยติวานนท์ 14/2 ต.ตลาดขวัญ อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 เวลาประมาณ  21.20 น.

‘ศาลเยาวชนฯ’ แจงเหตุออกหมายจับ ‘หยก’ เยาวชนคดี 112 เหตุประวิงเวลา เบี้ยวหมายเรียกครั้งที่ 2 อ้างติดสอบแต่ดันไปม็อบ

ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง แจงออกหมายจับ ด.ญ.หยก เยาวชนอายุ 15 ปี คดีหมิ่นเบื้องสูง มาตรา 112 ตามขั้นตอนกฎหมาย เหตุประวิงเวลา เบี้ยวพบตำรวจในการออกหมายเรียกครั้งที่ 2 อ้างติดสอบปลายภาค แต่กลับไปร่วมกิจกรรมม็อบหน้า UN จึงออกหมายจับ และนำตัวเข้าสถานพินิจฯ ยังไม่มีผู้ปกครองมาขอรับตัวหรือยื่นประกันตัว

(13 พ.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางได้เผยแพร่เอกสารชี้แจงการดำเนินคดี เยาวชน (ชื่อเล่น หยก) อายุ 15 ปี ผู้ต้องหากระทำความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูงว่า ตามที่เด็กหญิง ธ. ได้ถูกดำเนินคดีต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลางในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 368 และ พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493 มาตรา 4 และมีการสื่อในสังคมออนไลน์กล่าวถึงการใช้ดุลพินิจของศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ในการออกหมายจับและการควบคุมตัวเด็กหญิง ธ. ว่ากระทำไปโดยไม่ชอบนั้น

ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางขอชี้แจงข้อเท็จจริงให้ทราบดังต่อไปนี้ เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2566 พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอออกหมายจับเด็กหญิง ธ. ต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง โดยอ้างว่าเมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2566 พนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกครั้งที่ 1 ให้เด็กหญิง ธ.มารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 2 ก.พ. 2566 เวลา 10.00 น. แต่เด็กหญิง ธ. ไม่ไปพบตามหมายเรียกและไม่แจ้งเหตุขัดข้อง พนักงานสอบสวนจึงได้ออกหมายเรียกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2566 ให้เด็กหญิง ธ. ไปรับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 15 ก.พ. 2566 โดยในครั้งนี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้มีหนังสือเรื่อง ขอแจ้งเหตุขัดข้องไม่อาจมาพบพนักงานสอบสวนได้ โดยให้เหตุผลว่า เด็กหญิง ธ. อยู่ระหว่างการเตรียมและสอบวัดผลปลายภาคเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ต่อเนื่องรายงานตัวเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ทำให้ไม่สามารถไปพบพนักงานสอบสวนได้ และขอเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 9 เม.ย. 2566 เวลา 10.00 น.

แต่กลับปรากฏว่าหลังจากขอเลื่อนเพียง 3 วัน คือ เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2566 เวลาประมาณ 15.00 น. เด็กหญิง ธ. ได้ไปทำกิจกรรมบริเวณหน้าสำนักงานองค์การสหประชาชาติ อันแสดงให้เห็นว่าการขอเลื่อนการเข้าพบพนักงานสอบสวนในครั้งที่ 2 เป็นการประวิงเวลา ศาลพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 66 และพ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 67 แล้ว เห็นว่ากรณีมีเหตุให้ออกหมายจับ จึงอนุญาตให้ออกหมายจับเด็กหญิง ธ. ตามขออันเป็นการออกหมายจับโดยชอบ

ต่อมาเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2566 เด็กหญิง ธ. ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมและถูกควบคุมตัวมายังศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2566 ศาลได้ตรวจสอบการจับตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 73 โดยศาลตั้งที่ปรึกษากฎหมายแก่เด็กหญิง ธ. แม้เด็กหญิง ธ. ปฏิเสธการลงลายมือชื่อในใบแต่งตั้งที่ปรึกษากฎหมาย แต่ถือว่าศาลได้ตั้งที่ปรึกษากฎหมายให้ตามกฎหมายแล้ว และเห็นว่าการจับและปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ในวันตรวจสอบการจับ เด็กหญิง ธ. ไม่มีบิดา มารดา ผู้ปกครอง บุคคลหรือองค์การ ซึ่งเด็กอาศัยอยู่ด้วยมาศาล คงมีเพียงนาย ส. แถลงต่อศาลว่าเป็นคนรู้จักกับเด็กหญิง ธ. และเป็นบุคคลที่เด็กหญิง ธ. ไว้วางใจและมาทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองชั่วคราว เนื่องจากมารดาของ เด็กหญิง ธ. เจ็บป่วยไม่สามารถมาศาลในวันดังกล่าว จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฎชัดเจนว่าเด็กหญิง ธ. อยู่ในความปกครองของมารดา ไม่ปรากฎว่านาย ส.เป็นผู้ปกครองตามกฎหมายหรือเป็นบุคคล ที่เด็กหญิง ธ. อาศัยอยู่ด้วย ศาลย่อมไม่อาจมอบตัวเด็กหญิง ธ. ให้แก่บิดา มารดา ผู้ปกครอง บุคคลซึ่งเด็กหญิง ธ. อาศัยอยู่ด้วยตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว มาตรา 73 ได้ 

ศาลจึงมีคำสั่งให้ส่งเด็กหญิง ธ. ไปยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน บ้านปรานี ข้อเท็จจริงยังปรากฎ ต่อมาว่า นับตั้งแต่วันตรวจจับจนถึงปัจจุบันนี้ มารดาของเด็กหญิง ธ. ไม่เคยมาศาล เพื่อติดต่อขอรับตัวเด็กหญิง ธ.ไปดูแล ทั้งยังไม่มีบุคคลใดมายื่นคำร้องขอปล่อยตัวเด็กหญิง ธ. ชั่วคราว การควบคุมตัวเด็กหญิง ธ. จึงเป็นไปโดยชอบ 

อนึ่ง เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิเด็กหรือเยาวชน คดีนี้บิดา มารดา ผู้ปกครอง บุคคลหรือองค์การ ซึ่งเด็กหญิง ธ. อาศัยอยู่ด้วยสามารถมาแสดงตนขอรับตัวเด็กหญิง ธ.ไปอยู่ในความดูแลตาม พ ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 73 นอกจากนี้ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเด็กหญิง ธ. ก็มีสิทธิยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวเด็กหญิง ธ. ได้ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 106

ชาวเน็ตสงสาร ‘ฟิล์ม รัฐภูมิ’ ซัด ‘แอนนี่ บรู๊ค’ ตีหน้าเศร้าเล่าความลำบาก ทั้งที่ในอดีตเคยทำชีวิต ‘ผู้ชายคนหนึ่ง’ พังในพริบตา

(13 พ.ค. 66) จากกรณีที่ ‘แอนนี่ บรู๊ค’ ได้ไปออกรายการโต๊ะหนูแหม่ม กับพิธีกร ‘หนูแหม่ม สุริวิภา’ โดยเนื้อหาการให้สัมภาษณ์ เป็นการแชร์ประสบการณ์ชีวิต ความเป็นซิงเกิลมัม หรือแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่ต้องมีความแข็งแกร่ง และทำงานหนัก เพื่อหาเงินเลี้ยงลูก พร้อมบอกเล่าถึงความลำบากว่า กว่าจะมีวันนี้ ต้องกินน้ำก๊อกสู้ชีวิตต่างแดน และขายเกมส์ลูกเก็บ เพื่อเงินไว้ให้ลูกได้เรียน

แต่ทว่า เมื่อสัมภาษณ์นี้ถูกเผยแพร่ออกไป ปรากฏว่าเกิดกระแสตีกลับ โดยมีชาวเน็ตจำนวนมาก ออกมาคอมเมนท์ไปในทิศทางเดียวกันว่า “การกระทำของแอนนี่ บรู๊ค ในอดีตได้ทำลายชีวิตผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังมีอนาคตสดใส กลับต้องพังทลายลงในพริบตา”

สิ่งที่ชาวเน็ตได้ออกมาคอมเมนท์นั้น ต้องย้อนเหตุการณ์กลับไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ซึ่งในขณะนั้น แอนนี่ บรู๊ค ได้เกิดตั้งท้องและให้กำเนิดลูกชาย ซึ่งก็คือ น้องฑีฆายุ โดยแอนนี่ ได้อ้างว่า ‘ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์’ เป็นพ่อของเด็ก

พลันที่ แอนนี่ บรู๊ค ออกมาให้ข่าวถึงคนที่เป็นพ่อของเด็ก ทำให้อนาคตของฟิล์ม ซึ่งเป็นดารานักร้องมากความสามารถและกำลังโด่งดังสุดขีด ต้องดับวูบลงทันที

แม้เหตุการณ์จะผ่านมานานกว่า 10 ปีแล้ว แต่แฟนคลับและคนที่เห็นใจฟิล์มยังจดจำได้ดี เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนัก ที่ผู้ชายคนหนึ่งต้องมาเผชิญชะตากรรมและไม่ได้รับความเป็นธรรม ด้วยเหตุว่า แอนนี่ บรู๊ค ไม่ยอมตรวจดีเอ็นเอ เพื่อพิสูจน์ความจริงว่า ฟิล์มเป็นพ่อของเด็กจริงหรือไม่ แต่กลับปล่อยให้สังคมคาใจ

ขณะเดียวกัน ยังได้เรียกร้องและรับค่าเลี้ยงดูลูกมานานหลายปี ถึงแม้ตัวฟิล์มเองจะมั่นใจว่าตนเองไม่ใช่พ่อของเด็ก แต่ก็ยินดีส่งเสียเลี้ยงดู ท่ามกลางชะตาชีวิตที่ยากลำบาก เพราะงานในวงการบันเทิงหดหายไปอย่างมากก็ตาม

แต่สุดท้าย ความจริงก็ปรากฏ เมื่อ แอนนี่ บรู๊ค ออกมาสารภาพเองว่า ฟิล์ม ไม่ใช่พ่อของน้องฑีฆายุ แต่ก็ปล่อยให้เวลาเนิ่นนานมาจนลูกชายอายุ 7-8 ขวบ

แน่นอนว่า เมื่อแอนนี่ บรู๊ค ยอมเปิดเผยความจริง เรื่องนี้ได้สร้างความไม่พอใจให้กับแฟนคลับของฟิล์มอย่างมาก ถึงขั้นออกมาเรียกร้องความยุติธรรมผ่านทางโซเชียลมีเดีย ด้วยการติดแฮชแท็ก #ขอความเป็นธรรมให้ฟิล์มรัฐภูมิ พร้อมกับแนะนำให้ฟิล์ม ฟ้องเรียกร้องค่าเลี้ยงดูคืน จนกลายเป็นกระแสโด่งดังเมื่อราว 5 ปีก่อน

แต่อย่างไรก็ตาม กลับเป็นตัว ฟิล์ม รัฐภูมิเอง ที่เป็นคนออกมายุติเรื่องนี้  และวอนแฟนคลับให้หยุดรื้อฟื้นถึงเรื่องเก่าที่เกิดขึ้น เพราะไม่อยากให้ส่งผลกระทบต่อน้องฑีฆายุ ส่วนค่าเลี้ยงดูนั้นไม่ขอเรียกร้องคืน เนื่องจากตนเองก็มีส่วนทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเช่นกัน

ทั้งนี้ หากใครที่ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด จะเห็นว่า ฟิล์ม รัฐภูมิ ออกมาปฏิเสธตั้งแต่วันแรก เพราะมั่นใจในตัวเองว่าไม่ใช่พ่อของเด็กแน่นอน พร้อมกับขอตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความชัดเจน แต่ก็ถูกแอนนี่ บรู๊ค ปฏิเสธ เมื่อเป็นเช่นนั้น ฟิล์ม ซึ่งมีความเป็นลูกผู้ชายมากพอ จึงยินดีส่งเสียค่าเลี้ยงดูตลอดมา และพยายามไม่ให้เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นส่งผลกระทบกับเด็ก แต่สุดท้ายความจริงก็คือความจริง.....

และแม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะส่งผลร้ายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง หน้าที่การงาน และความทุกข์ใจของคนรอบข้าง แต่ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นลูกผู้ชายของคนที่ชื่อ ‘ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์’ ได้เป็นอย่างดี...

ตำรวจไซเบอร์รวบยูทูบเบอร์สายดาร์ค “ก็แค่ลม NU” คลังแสงออนไลน์ ส่งขายทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ (12 พ.ค.66) ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) 
ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์  วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์  คำชำนาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.อำนาจ  ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย ผบก.สอท.4 ได้สั่งการให้มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรมห้วงก่อนการเลือกตั้งปี 2566 โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้างและอาวุธสงคราม

สืบเนื่องจากตำรวจไซเบอร์ได้มีการตรวจสอบการกระทำความผิดตามสื่อสังคมออนไลน์พบช่องยูทูบ “ก็แค่ลม NU” ปรากฏคลิปวิดีโอสาธิตการใช้อาวุธปืนยาวอัดลมซึ่งใช้กระสุนเหล็กและกระสุนตะกั่วหัวจีบเป็นลูกกระสุน โดยมีผู้ติดตามกว่า 1 แสน 8 หมื่นคน โดยแต่ละคลิปมีผู้รับชมร่วม 2 ล้านครั้ง จึงได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายค้น บ้านในพื้นที่บ้านด้าย อ.แม่สาย จ.เชียงราย เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สอท.4 จึงได้นำกำลังเข้าตรวจค้น โดยมี นายกฤษกร เป็นผู้นำตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบอาวุธปืนยาวอัดลมไทยประดิษฐ์ จำนวน 13 กระบอก ปืนยาวลูกกรด ขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก อาวุธปืนยาวลูกซอง ขนาด 12 จำนวน 1 กระบอก ปืนพกสั้นขนาด 9 มม. 1 กระบอก จึงได้จับกุม นายกฤษกร อายุ 43 ปี ได้ที่บ้านหลังดังกล่าวใน ต.บ้านด้าย อ.แม่สาย จ.เชียงราย ในความผิดฐาน “ทำ ประกอบ ซ่อมแซม เปลี่ยนลักษณะ สั่ง นำเข้า มี หรือจำหน่ายซึ่งอาวุธปืนหรือเครื่องอาวุธปืนสำหรับการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาต และมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต”

พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย ผบก.สอท.4 ยังกล่าวอีกว่าบ้านหลังดังกล่าวยังถูกดัดแปลงต่อเติมให้เป็นโรงงานสำหรับผลิตอาวุธปืนยาวอัดลมขนาดใหญ่ พันท้ายลำกล้องอาวุธปืนกระบอกลม กระบอกเก็บเสียงจำนวนมาก พร้อมเพียงแค่รอการนำมาประกอบเป็นอาวุธปืน อีกทั้งยังพบอุปกรณ์ในการผลิต เครื่องอัดลูกตะกั่วฝาจีบ เครื่องกลึงเหล็ก เครื่องพ่นสีพาวเดอร์โพส ตู้อบสี และอุปกรณ์อื่นๆ อีกจำนวนมากหลายรายการ

ด้านผู้ต้องหารับว่า ตนเป็นเจ้าของช่องยูทูบ ช่อง “ก็แค่ลม NU” ผลิตอาวุธปืนยาวอัดลมโดยทำเป็นอาชีพหลักยาวนานกว่า 3 ปี โดยนำมาจำหน่ายราคากระบอกละ 5,500 ถึง 8,000 บาท ส่งขายให้กับลูกค้าหลายจังหวัดทั่วประเทศ ตกเดือนละกว่า 40 กระบอก รวมเป็นรายได้กว่า 3 แสนบาทต่อเดือน

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ลงพื้นที่ปัตตานีและประจวบคีรีขันธ์ พบปะพี่น้องชาวประมง รับฟังความเห็นเกี่ยวกับแนวทางการออกใบอนุญาตประมงพื้นบ้าน

ด้วยคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี/ประธานกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ ได้มีแนวคิดที่จะจัดให้มีการขอใบอนุญาตในการทำประมงพื้นบ้าน เพื่อเป็นการเพิ่มการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของพี่น้องชาวประมงในจะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล รวมทั้งเป็นการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. /กรรมการนโยบายประมงแห่งชาติ ให้มีการจัดการประชุมร่วมกับผู้แทนชาวประมงพื้นบ้าน ให้ทั่วถึงมากที่สุด เพื่อให้พี่น้องชาวประมงทั่วประเทศได้รับทราบถึงประโยชน์ของการมีใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน และสามารถปฏิบัติตามแนวทางที่กฎหมายกำหนดได้ รวมทั้งรับฟังความเห็นเพื่อพัฒนาแนวทางบังคับใช้ให้เกิดผลกระทบน้อยแต่มีประสิทธิภาพสูงสุด

วันนี้ (12 พ.ค.66) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ร่วมกับ ดร.อดิศร พร้อมเทพ อดีตอธิบดีกรมประมง และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมด้วยผู้แทนจากองค์กรภาคประชาสังคม เดินทางลงพื้นที่เพื่อพบปะพี่น้องชาวประมงในพื้นที่ 2 จังหวัด ได้แก่ ชุมชนประมง อ.ปานาเระ จ.ปัตตานี และสมาคมประมงพื้นบ้าน อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อร่วมกันรับฟังความคิดเห็นจากพี่น้องชาวประมงพื้นบ้าน เกี่ยวกับการพัฒนาแนวทางการขอออกใบอนุญาตทำประมงพื้นบ้าน เพื่อให้เข้ากับวิถีชีวิตของชาวประมงมากที่สุด และสามารถช่วยกันรักษาทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลในท้องถิ่นให้มีความอุดมสมบูรณ์

ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมคณะทำงาน ได้เดินทางลงพื้นที่เพื่อพบปะกับพี่น้องชาวประมงพื้นบ้านไปแล้ว 3 ครั้ง คือ กรุงเทพมหานคร นครศรีธรรมราช และระยอง โดยพี่น้องชาวประมงในพื้นที่ดังกล่าวต่างตื่นตัวและให้ความสำคัญกับการกำหนดแนวทางการขออนุญาตทำประมงพื้นบ้าน ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้รับฟังแนวคิดรวมทั้งปัญหาของพี่น้องชาวประมง เพื่อนำมาเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ ในการกำหนดเกณฑ์ในการออกใบอนุญาต รวมทั้งการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องชาวประมงจากการรับฟังปัญหาของพี่น้องตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ

ทั้งนี้ การออกใบอนุญาตทำประมงพื้นบ้านนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดแนวทางร่วมกันระหว่างรัฐและชาวประมงพื้นบ้าน ในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำของแต่ละพื้นที่ แต่ละฤดูกาล รวมทั้งอุปกรณ์การจับสัตว์น้ำที่ไม่ทำลายธรรมชาติและสัตว์น้ำขนาดเล็ก เพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติให้มีความยั่งยืน อีกทั้งยังเสมือนเป็นการลงทะเบียนให้กับพี่น้องชาวประมงพื้นบ้าน เพื่อเปิดโอกาสให้ภาครัฐสามารถเข้าช่วยเหลือ สนับสนุนการทำประมงพื้นบ้าน ให้เป็นไปได้อย่างยั่งยืนและสืบทอดสู่รุ่นลูกหลานได้ต่อไป ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าวจะอยู่บนพื้นฐานการดำเนินการตามที่ พ.ร.ก.ประมง กำหนด โดยหลังจากประชุมรับฟังความคิดเห็นแล้ว จะได้มีการนำผลการหารือเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติพิจารณาดำเนินการต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตามความตั้งใจของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ซึ่งได้มอบหมายให้มีการประชุมรับฟังความคิดเห็นร่วมกับพี่น้องชาวประมงพื้นบ้าน เพื่อสร้างความเข้าใจ รับฟ้งความคิดเห็น และร่วมกันกำหนดแนวทางการดำเนินการเพื่อให้เป้าหมายของการออกใบอนุญาตด้งกล่าวมีประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถบังคับใช้ได้จริง วันนี้ได้เดินทางพร้อมคณะลงพื้นที่ 2 จังหวัด คือปัตตานี และประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งกระผมมีความตั้งใจอยากจะเข้ารับฟังปัญหาและความคิดเห็นของพี่น้องชาวประมงให้ได้มากที่สุด ในวันนี้ได้มีการพูดคุยและรับรู้ถึงสภาพความเป็นอยู่ของพี่น้องในทั้งสองพื้นที่ รวมทั้งวิถีชีวิตในการออกเรือทำการประมงเพื่อยังชีพของตนเองและครอบครัว ดังนั้นเราจึงต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันเพื่อทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ทางเราก็นำเสนอประโยชน์ของการออกใบอนุญาตดังกล่าว เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทั้งพี่น้องชาวประมงพื้นบ้านและประเทศชาติ

ผบ.ตร. คุมเข้มการเลือกตั้ง 2 วันสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ห้ามมีการซื้อสิทธิขายเสียง จัดชุดเคลื่อนที่เร็วลงพื้นที่  ตั้งจุดตรวจป้องกันการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง อำนวยความสะดวกการจราจร และประชาสัมพันธ์ข้อกฎหมายเลือกตั้ง

วันนี้ (12 พ.ค.66) เวลา 16.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมขับเคลื่อนศูนย์อำนวยการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยการจัดการเลือกตั้ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศลต.ตร.) เตรียมความพร้อมดูแลในวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค.นี้ จำนวน 94,737 หน่วยเลือกตั้ง โดยจัดกำลังตำรวจกว่า 147,560 นาย จัดชุดประจำหน่วยเลือกตั้ง ชุดรักษาความปลอดภัย ชุดเคลื่อนที่เร็ว ชุดรักษาความสงบเรียบร้อย ครอบคลุมทุกพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมา ผบ.ตร. ได้สั่งการให้มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรมก่อนการเลือกตั้ง โดยมีผลการปฏิบัติ ตั้งแต่วันที่ 4-11 พ.ค.66 มีการจับกุมคดีอาชญากรรมทั่วไป จำนวน 34,551 คดี จับกุมผู้ต้องหา 35,894 คน โดยเป็นความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน 3,362 ราย ผู้ต้องหา 3,264 คน และตามหมายจับ 6,671 ราย ผู้ต้องหา 6,293 คน , อาชญากรรมออนไลน์ จับกุม 3,310 ราย ผู้ต้องหา 3,266 คน

สำหรับเหตุที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเลือกตั้ง วันที่ 10 มี.ค. – 12 พ.ค.66 รวม 184 เหตุ แบ่งเป็น ดังนี้
1. ทำลายป้ายหาเสียง จำนวน 142 เหตุ จำนวน 939 ป้าย ดำเนินคดีแล้ว 40 ราย  อยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวน 50 ราย บันทึกประจำวัน 72 ราย และอื่นๆ 22 ราย (จังหวัดที่เกิดเหตุมากที่สุด ได้แก่ กทม., เพชรบูรณ์, อ่างทอง และกาญจนบุรี)
2. เหตุอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง จำนวน 42 เหตุ โดยจับกุม/แจ้งข้อหาแล้ว 20 เหตุ พบเป็นความผิดเกี่ยวกับการก่อกวนเวที, ทำร้ายร่างกาย, มีและพกพาอาวุธปืน, ข่มขู่รถหาเสียง, จำหน่ายสุราฯ, หมิ่นประมาท,ฉ้อโกงเงินสนับสนุนเลือกตั้ง, หีบบัตร บัญชีรายชื่อเลือกตั้งหาย และพบเหตุการซื้อสิทธิขายเสียง โดยจูงใจให้เลือกโดยใช้เงิน ดำเนินคดี 1 ราย (จว.บึงกาฬ) ระหว่างสืบสวน 5 ราย (จว.บึงกาฬ, ประจวบคีรีขันธ์, กาญจนบุรี, นครราชสีมา, เชียงราย,สระแก้ว)

ผบ.ตร. กำชับให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาดหากมีเรื่องร้องเรียน จัดชุดเคลื่อนที่เร็วลงพื้นที่ทันที ห้ามมีการซื้อสิทธิขายเสียงในทุกพื้นที่  บริหารจัดการอำนวยความสะดวกการจราจรในวันเลือกตั้ง ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีความคล่องตัว  โดยเฉพาะในพื้นที่มีผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งมากกว่า 5,000 คน และให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับต้องลงพื้นที่ รีบแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้ทันท่วงที 
นอกจากนี้ ผบ.ตร. ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน ระมัดระวัง การกระทำความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง และขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายที่ได้ปฏิบัติหน้าที่และมีผลการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ภาพรวมการรักษาความปลอดภัยการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่ยังคงติดตามสถานการณ์และปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะเสร็จสิ้นภารกิจการเลือกตั้ง

ทั้งนี้ หากประชาชนพบข้อมูล เบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้งหรือการกระทำความผิดในทางอาญาใดๆ โปรดแจ้ง 191 1599 สายด่วน กกต. 1444 ได้ตลอดเวลา

"เชียงราย"ฉก.ทัพเจ้าตาก ตรวจเยี่ยมโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการทหารพันธุ์ดี "ชุมชนเบิกบาน อาหารปลอดภัย"

เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา 2566 พันเอก ณฑี  ทิมเสน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก เป็นผู้แทน ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง เดินทางตรวจเยี่ยมและมอบสิ่งของอุปโภคบริโภคให้กับโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการทหารพันธุ์ดี “ชุมชนเบิกบาน อาหารปลอดภัย” จำนวน 3 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนอนุบาลแม่ฟ้าหลวง

โรงเรียนบ้านขาแหย่งพัฒนา และ โรงเรียนบ้านห้วยไร่สามัคคี ตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นโรงเรียนที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงทราบปัญหาเรื่องเกี่ยวกับการขาดแคลนสารอาหารของเด็กนักเรียน และมีพระราชประสงค์ในการแก้ไขปัญหา โดยใช้โครงการทหารพันธุ์ดีฯ เข้าไปส่งเสริมในด้านการปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ เพื่อพัฒนาในเรื่องอาหาร รวมถึงความเป็นอยู่

ของนักเรียนให้ดีขึ้น จากการตรวจเยี่ยมได้รับทราบว่าทางโรงเรียนได้ดำเนินการตามโครงการฯ เป็นอย่างดี แต่ก็ยังมีปัญหาบางประการ ซึ่งหน่วยได้หารือร่วมกับโรงเรียนวางแผนในการแก้ไขปัญหา เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ต่อไป

'ปลัดจุก' ผู้สมัคร รทสช. พัทลุง ย้ำ!! ไม่เคยยกธงขาว วอนคนไทย “เป็นปลาฉลาด กินเฉพาะเหยื่อไม่กินเบ็ด”

(12 พ.ค. 66) จากกระแสข่าว ส.ส. พรรครวมไทยสร้างชาติ พัทลุง ยกธงขาว ยุติการหาเสียง เนื่องจากถูกตัดท่อน้ำเลี้ยงกลางอากาศนั้น ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ นายปรัชญา นวลเปียน หรือ 'ปลัดจุก' ผู้สมัครพรรครวมไทยสร้างชาติ จังหวัดพัทลุง เขต 3 ถึงกระแสข่าวดังกล่าวว่ามีข้อเท็จจริงอย่างไร?

โดยนายปรัชญา ได้เผยเรื่องการยุติหาเสียง และถูกตัดท่อน้ำเลี้ยงกลางอากาศของตน ว่าไม่เป็นความจริงยืนยันตนเองก็ไม่เคยพูดในประเด็นนี้ ซึ่งตอนนี้ก็เดินหน้าหาเสียงในโค้งสุดท้ายอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งกล่าวว่า...

“ไม่ได้ยุติการเสียง ไม่ได้ถูกตัดท่อน้ำเลี้ยง ซึ่งพรรคก็ดูแลตามกฎหมายที่กำหนด และไม่ได้มีปัญหาอะไรกับทางพรรครวมไทยสร้างชาติ” 

นายปรัชญา กล่าวถึงจุดยืนต่อว่า “เมื่อก่อนผมอยู่พรรคพลังประชารัฐ เนื่องจากผมมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ครั้งนี้ผมจึงติดตามพลเอกประยุทธ์ มาอยู่ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งผมเชื่อมั่นว่าพรรคฯ และพลเอกประยุทธ์ยังได้รับความนิยมจากประชาชนในการเลือกตั้งครั้งนี้” 

ส่วนบรรยากาศการหาเสียงช่วงโค้งสุดท้ายที่พัทลุงตอนนี้ นายปรัชญากล่าวว่า “การแข่งขันในพื้นที่ค่อนข้างดุเดือด กระสุนมาแรง เราต้องสร้างกระแสสู้กระสุน เราต้องการทำการเมืองสีขาว กระแสของพรรครวมไทยสร้างชาติที่จังหวัดพัทลุงดีมาก แต่ไม่รู้ว่าจะฝ่ากระสุนได้หรือไม่ เรื่องซื้อสิทธิขายเสียงก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขกันอย่างไร คนที่มีหน้าที่อยู่ก็คือ กกต. บางทีก็ต้องตั้งคำถามว่ามีเจ้าหน้าที่เข้าไปร่วมด้วยหรือไม่ การซื้อสิทธิขายเสียงมันต้องพอใจทั้ง 2 ฝ่าย จึงค่อนข้างยากในการแก้ไขปัญหานี้ จริง ๆ แล้วควรติดกล้องล่อซื้อแต่ก็ไม่มีใครกล้าทำ” 

"อีก 2 วันก็จะถึงวันเลือกตั้งแล้ว ขอฝากข้อคิดไว้ว่า เป็นปลาฉลาด ให้กินเฉพาะเหยื่อไม่กินเบ็ดนะครับ” ปลัดจุก ทิ้งท้าย

‘สาวไทย’ โดน ‘โจรเขมร’ กระชากกระเป๋า บาดเจ็บหนัก บัตรเครดิต-พาสปอร์ตหายเกลี้ยง ​สูญเงินร่วม 3 แสนบาท!!

(12 พ.ค. 66) เตือนภัย ซีเกมส์ 2023 ‘สาวไทย’ โชคร้าย มาเชียร์ฟุตบอล แต่ถูก ‘โจรเขมร’  กระชากกระเป๋า ได้รับบาดเจ็บหนัก แถมสูญทรัพย์สินไม่ต่ำกว่า 3 แสนบาท

การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ซึ่งเปิดฉากชิงชัยมาตั้งแต่วันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา นั้น

ล่าสุด ในกลุ่มไลน์ข่าวของสื่อมวลชนไทย ที่ได้มาเกาะติดการแข่งขันซีเกมส์ครั้งนี้ ได้มีการแจ้งข่าวร้ายเกี่ยวกับคนไทย ที่ได้รับอันตรายจากมิจฉาชีพจากการถูกกระชากกระเป๋า จนได้รับบาดเจ็บบริเวณแขนและขาหนัก รวมทั้งยังสูญเสียทรัพย์สินเงินทองรวมมูลค่าไม่ต่ำกว่า 3 แสนบาท อีกด้วย

โดยรายงานข่าว ระบุว่า คนไทยที่ประสบเหตุเป็นผู้หญิง เดินทางมาธุระที่กัมพูชา และจะเข้าไปดูฟุตบอลมีบัตร แต่เข้าไม่ได้ เลยกลับไปนั่งดูในร้านแถวที่พัก กระทั่งโดนกระชากแถวๆ นั้น

“แจ้งทีมงานและทุกคนที่ออกไปทำงานตามสนามต่างๆ ระวังตัวให้มากนะครับ มีน้องคนไทยโดนกระชากกระเป๋าลากไถลไปกับพื้นบาดเจ็บค่อนข้างมาก โจรได้กระเป๋า channel ตุ้มหู บัตรเครดิต พาสปอร์ต​ เอกสารสำคัญ​ส่วนตัว ทุกอย่างหายหมด รวมทรัพย์สิน​ที่โดนไปไม่ต่ำกว่า 3 แสนบาท”

ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ก่อน นายสาธิต กรีกุล หรือ ‘บิ๊กจ๊ะ’ พิธีกรกีฬาและผู้บรรยายกีฬาชื่อดัง ที่เดินทางมาปฏิบัติหน้าที่เกาะติด และรายงานความเคลื่อนไหวการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ที่ประเทศกัมพูชา ก็ได้ถูกโจรพยายามจะกระชากกระเป๋าสะพายข้าง ระหว่างที่กำลังยืนซื้อของอยู่บริเวณหน้าโรงแรมที่พักของตัวเองในกรุงพนมเปญ แต่ยังโชคดีที่ไม่ได้รับความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินแต่อย่างใด

กฟผ.- กลุ่มมิตรผลและพันธมิตร เดินหน้าพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด ‘โครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดเขื่อนอุบลรัตน์’ 

กฟผ.- กลุ่มมิตรผลและพันธมิตร (MPD Consortium) ประกอบด้วยบริษัท มิตรผล เอ็นเนอร์ยี เซอร์วิสเซส จำกัด บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และบริษัท Dongfang Electric International Corporation จำกัด ลงนามสัญญาก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำ ร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ จ. ขอนแก่น ย้ำเสถียรภาพพลังงานหมุนเวียนเพื่อความยั่งยืน เดินหน้าประเทศสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน

เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2566 ณ โรงแรมเจดับบลิว แมริออท คลองเตย กรุงเทพมหานคร                นายหวัง ลี่ผิง อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจและพาณิชย์ ประจำสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และนายบรรเทิง ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการบริษัทและประธานคณะกรรมการบริหาร กลุ่มมิตรผล ประธานในพิธีร่วมแสดงความยินดี โอกาสลงนามสัญญางานจัดซื้อและจ้างก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำ ร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น ระหว่าง กฟผ. กับ กลุ่มมิตรผลและพันธมิตร (MPD Consortium) โดยมีนายทิเดช เอี่ยมสาย รองผู้ว่าการพัฒนาโรงไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน กฟผ. ร่วมลงนามกับนายกฤษฎา มนเทียรวิเชียรฉาย รองประธานคณะกรรมการบริหาร พร้อมด้วยนายวีระเจตน์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจน้ำตาลประเทศไทย พลังงาน และ ธุรกิจใหม่ กลุ่มมิตรผล ในนามบริษัท มิตรผล เอ็นเนอร์ยี เซอร์วิสเซส จำกัด นายหลี่ เจี้ยนฮัว ประธานกรรมการบริษัท Dongfang Electric International Corporation (DEC) และนายพโยมสฤษฏ์ ศรีพัฒนานนท์ รักษาการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (PEA ENCOM)

นายหวัง ลี่ผิง อัครราชทูตที่ปรึกษาฯ สาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจีน-ไทยมีความร่วมมือฉันท์มิตรด้านเศรษฐกิจและการค้า โดยจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทย และบริษัทจีนที่มีความเชี่ยวชาญได้เข้ามาร่วมมือพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศไทย อาทิ พลังงานสะอาด การเกษตรสมัยใหม่ เศรษฐกิจดิจิทัล ในด้านอุตสาหกรรมพลังงาน กฟผ. มีเป้าหมายพัฒนาพลังงานสะอาดสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลไทยเพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน DEC ในฐานะองค์กรชั้นนำด้านพลังงานของจีน และพันธมิตรในประเทศไทย มีความเชื่อมั่นว่าความสำเร็จของโครงการจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ตลอดจนเสริมสร้างความร่วมมือทางวิชาการก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันระหว่างประเทศจีนและประเทศไทย

นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การพัฒนาโครงการที่เขื่อนอุบลรัตน์ เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาโครงการพลังงานสะอาดของ กฟผ. ซึ่งมีแผนพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำฯ อีก 15โครงการทั่วประเทศ รองรับความต้องการใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน ตามนโยบายประเทศและ กฟผ. ในการขับเคลื่อนองค์กรภายใต้กลยุทธ์ ‘Triple S’ คือ Sources Transformation เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และพัฒนาเทคโนโลยีทางเลือกเพื่อรองรับพลังงานหมุนเวียน Sink Co-creation เพิ่มแหล่งดูดซับกักเก็บคาร์บอน Support Measures Mechanism ส่งเสริมการมีส่วนร่วมลดก๊าซเรือนกระจกในภาคประชาชน และส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า

สำหรับโครงการที่เขื่อนอุบลรัตน์มีขนาดกำลังผลิต 24 เมกะวัตต์ ผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดในรูปแบบผสมผสาน พลังงานแสงอาทิตย์ร่วมกับพลังน้ำ พร้อมทั้งติดตั้งระบบกักเก็บพลังงาน BESS (Battery Energy Storage System) ที่ช่วยเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้มีเสถียรภาพมากขึ้น นับเป็นอีกก้าวหนึ่งของ กฟผ. ในฐานะผู้นำกลุ่มผู้ผลิตพลังงานสะอาด และเป็นอีกก้าวของประเทศในการเดินหน้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี ค.ศ. 2050

นายบรรเทิง ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการบริษัทและประธานคณะกรรมการบริหาร กลุ่มมิตรผล กล่าวเสริมว่า กลุ่มมิตรผลมีเป้าหมายการดำเนินธุรกิจพร้อมกับสร้างความยั่งยืนให้สังคมและสิ่งแวดล้อม โดยพัฒนาพลังงานหมุนเวียนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมานานกว่า 20 ปี ด้วยการต่อยอดจากภาคเกษตร สู่การพัฒนาพลังงานรูปแบบใหม่ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อสนับสนุนการผลิตพลังงานสะอาดที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศไทยภายในปี 2065 ความร่วมมือในครั้งนี้ นับเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนที่มีแนวโน้มความต้องการเพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับระบบเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม  

นายหลี่ เจี้ยนฮัว ประธานกรรมการ DEC กล่าวว่า DEC ในฐานะเอกชนขนาดใหญ่ ผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมด้านพลังงานเพื่อความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยได้ให้บริการและร่วมดำเนินโครงการพลังงานหมุนเวียนมาแล้วทั่วโลก อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และระบบกักเก็บพลังงาน ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นต้นแบบความร่วมมือของประเทศจีน ที่จะช่วยส่งเสริมการพัฒนาพลังงานร่วมกันกับประเทศไทยสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของไทยและของโลก

นายพโยมสฤษฏ์  ศรีพัฒนานนท์ รักษาการ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ PEA ENCOM กล่าวว่า การพัฒนาโครงการฯ กฟผ. ที่เขื่อนอุบลรัตน์ ช่วยยกระดับประเทศไทยสู่ความมั่นคงด้านพลังงานสะอาด ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อน สอดคล้องกับการจัดตั้งและแผนธุรกิจของ PEA ENCOM ซึ่งได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ องค์กรชั้นนำด้านวิศวกรรมพลังงาน เราจึงเชื่อมั่นว่าการดำเนินการโครงการร่วมกันในครั้งนี้จะประสบผลสำเร็จด้วยดี บรรลุเป้าหมายของ กฟผ. อันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและคนไทยต่อไป

แม่ทัพภาคที่ 3 มอบทุนการศึกษาสำหรับบุตรกำลังพล ที่สามารถสอบเข้าเป็นนักเรียนทหาร ประจำปี 2566 (เป็นกรณีพิเศษ)

วันที่ 12 พ.ค. 66  เวลา 13.30 น. พลโท สุริยะ  เอี่ยมสุโร แม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานพิธีมอบทุนการศึกษาสำหรับบุตรกำลังพลที่สอบเข้าเป็น นักเรียนเตรียมทหาร, นักเรียนแพทย์ทหาร และ นักเรียนพยาบาลกองทัพบก ประจำปี 2566 จำนวน 25 คน ณ ห้องบันเทิงทัพ 1 สโมสรบันเทิงทัพ ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการให้กำลังใจและสนับสนุนครอบครัวกำลังพล ที่สร้างแรงจูงใจและส่งเสริมบุตรเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนทหาร ซึ่งถือเป็นครอบครัวตัวอย่างในการผลิตกำลังพลให้กับกองทัพ โดยได้มอบเงินให้กับบุตรกำลังพลดังกล่าว รวม 275,000 บาท เพื่อเป็นการเสริมสร้างขวัญ และกำลังใจให้กับกำลังพล ตลอดจนเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการศึกษาให้กับครอบครัวของกำลังพล ให้บุตรของกำลังพลได้มีกำลังใจ มีความมุมานะในการที่ศึกษาเล่าเรียน มีความรู้ ความสามารถ เป็นกำลังสำคัญ และอนาคตที่ดีของประเทศชาติต่อไป
 

คณะกรรมการฝ่ายการศึกษานอกระบบ สศอ.ชม. ประชุมวางแผนพัฒนาการศึกษาเอกชนนอกระบบจังหวัดเชียงใหม่

วันที่ 12 พฤษภาคม 2566 เวลา 9.30 น. นายประพัทธ์ รัตนอรุณ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาเอกชน ให้เกียรติเป็นประธานเปิดการประชุมคณะกรรมการฝ่ายการศึกษานอกระบบ สมาคมสถานศึกษาเอกชน จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี อ.ดวงสมร ไชยรัตน์ ประธานฝ่ายการศึกษานอกระบบ สมาคมสถานศึกษาเอกชน จ.เชียงใหม่ กล่าวรายงาน ณ ห้องประชุม London, EFL Learning Centre เชียงใหม่ พร้อมด้วยผอ.ญาณิกา ปานทอง ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมการศึกษาเอกชน และ อ.ปาริชาติ ป้อมไธสง นักวิชาการศึกษาชำนาญการ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเชียงใหม่ / ดร.วิไลวรรณ วรรณโชติผาเวช ผู้แทนผู้บริหาร กช.&ประธานปส.กช.นอกระบบ จ.เชียงใหม่ เพื่อวางแผนพัฒนาการศึกษาเอกชนนอกระบบจังหวัดเชียงใหม่ ให้สอดคล้องกับยุคสมัย วิสัยทัศน์ และ ยุทธศาสตร์ ของสมาคมฯ  

นายประพัทธ์ รัตนอรุณ รองเลขาธิการ คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กล่าวว่า โรงเรียนเอกชนสังกัด สช. จำนวนทั้งสิ้น 11,792 โรง มีโรงเรียนเอกชนนอกระบบอยู่ถึง 7,803 โรง โดยโรงเรียนเอกชนนอกระบบ หมายถึง โรงเรียนที่จัดการศึกษาโดยมีความยืดหยุ่นในการกำหนดจุดมุ่งหมาย รูปแบบ วิธีการจัดการศึกษา ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของการสำเร็จการศึกษา แบ่งออกเป็นประเภทต่างๆได้แก่ 1)ประเภทสอนศาสนา 2)ประเภทศิลปะและกีฬา 3)ประเภทวิชาชีพ 4)ประเภทกวดวิชา 5) ประเภทเสริมสร้างทักษะชีวิต 6)สถาบันศึกษาปอเนาะ 7) ศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิด(ตาดีกา)  โรงเรียนเอกชนนอกระบบเหล่านี้ หากตัดเอาโรงเรียนที่สอนเกี่ยวเนื่องกับศาสนา คือประเภทที่ 1,6,7 ออกไป ก็จะพบว่ามีอยู่  4 ประเภท รวมทั้งสิ้น 4,965 แห่ง

เมื่อโลกเปลี่ยนไป ทิศทางการจัดการศึกษาแตกต่างออกไปจากเดิม การเรียนในโรงเรียนนอกระบบของเอกชนกำลังกลายเป็นรูปแบบหรือวิถีใหม่ของการจัดการศึกษาที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนอย่างแท้จริง และ เป็นเส้นทางสู่การศึกษาในอนาคต (Road to the Future) ปัจจุบันการจัดการศึกษาเอกชนนอกระบบ จัดเป็นการศึกษาทางเลือกที่มีคุณภาพ และมีจุดแข็งในการจัดการ คือมีความคล่องตัว ยืดหยุ่น สามารถจัดการเรียนการสอนตอบสนองความต้องการของผู้เรียนได้อย่างเต็มที่ ผ่านสมาคมที่มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมกับสช. ได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนโรงเรียนเอกชนนอกระบบให้ตอบสนองยุทธศาสตร์การพัฒนาการศึกษาเเละการพัฒนาประเทศ

ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสทำงานในฐานะประธานคณะอนุกรรมการ กช. นอกระบบ เรื่องแรกๆที่ สช. ผ่านคณะกรรมการ กช. ได้ผลักดันสนับสนุน อาทิ1) การผ่านระเบียบที่ทำให้โรงเรียนเอกชนนอกระบบสามารถร่วมกันจัดการศึกษากับการศึกษาในระบบอื่นๆได้อย่างมีคุณภาพ

2) กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่เปิดให้ประชาชนเรียนนอกระบบมากขึ้น ผู้เรียนจบแล้วมีงานทำ สามารถใช้หนี้กองทุนได้โดยเร็ว รวมทั้งเป็นการกระจายรายได้ไปยังสถานศึกษาขนาดเล็ก หรือโรงเรียนเอกชนที่จัดการศึกษานอกระบบและอาชีพ อาทิโรงเรียนวิชาชีพ  ศิลปะและกีฬา สร้างเสริมทักษะชีวิต กวดวิชาและอื่นๆ ซึ่งการให้กู้เพื่อเรียนหลักสูตรระยะสั้นเป็นการตอบสนองทิศทางการพัฒนาประเทศ ภายใต้ฐานเศรษฐกิจ s-curve และ New s-curve ถือเป็นการลงทุนระยะสั้น แต่ได้ผลระยะยาว และยังทำให้โรงเรียนเอกชนนอกระบบเติบโตขึ้นจากเดิมอีกด้วย 

ขอชื่นชมและสนับสนุนการทำงานของฝ่ายการศึกษานอกระบบ สมาคมสถานศึกษาเอกชน จ.เชียงใหม่ที่ได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาโรงเรียนเอกชนนอกระบบให้ตอบสนองยุทธศาสตร์การพัฒนาการศึกษาเเละการพัฒนาประเทศ การจัดกิจกรรมโครงการต่างๆ เพื่อแสดงศักยภาพของนักเรียน ครูผู้สอน และโรงเรียนเอกชนนอกระบบจ.เชียงใหม่ นี่จึงเป็นอีกก้าวหนึ่งของโรงเรียนเอกชนนอกระบบที่กำลังจะเปลี่ยนไป ซึ่งนอกจากจะทำให้การจัดการศึกษาดังกล่าวไม่เหมือนเดิมตามที่เราเคยคุ้นชิน เเต่ก็มั่นใจได้ว่า รูปแบบและวิธีการใหม่ๆเหล่านี้จะทำให้โรงเรียนเอกชนนอกระบบมีคุณภาพเเละดีขึ้นกว่าเดิม

อาจารย์ดวงสมร ไชยรัตน์ ประธานฝ่ายการศึกษานอกระบบ สมาคมสถานศึกษาเอกชน จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า สมาคมสถานศึกษาเอกชนจังหวัดเชียงใหม่ ปีบริหาร 2565-2567 กำหนดวิสัยทัศน์สมาคมฯ - พัฒนาการศึกษาเอกชนเชียงใหม่ ให้มีคุณภาพก้าวไกลสู่มาตรฐานสากล และ วางกรอบยุทธศาสตร์ 7 ประการ ได้แก่ เสริมสร้างคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของผู้เรียนสู่สากล,พัฒนาผู้บริหาร ครู และ บุคลากรทางการศึกษาให้มีความรู้ ความสามารถ และมีคุณสมบัติที่ดี
,เสริมสร้างสวัสดิการและสวัสดิภาพผู้บริหาร ครู และ บุคลากรทางการศึกษา,เสริมสร้างสัมพันธภาพและความร่วมมือซึ่งกันและกันของสถานศึกษาเอกชน องค์กร และ หน่วยงานต่างๆ,อนุรักษ์และดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมประเพณีภูมิปัญญาไทยและใส่ใจสิ่งแวดล้อม,น้อมนำศาสตร์พระราชามุ่งเน้นคุณธรรมจิตอาสาบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม และบริหารทรัพยากรและงบประมาณให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่า

ฝ่ายการศึกษานอกระบบ สมาคมสถานศึกษาเอกชน จ.เชียงใหม่ จัดการประชุมครั้งนี้ขึ้นเพื่อวางแผนพัฒนาการศึกษาเอกชนนอกระบบจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัย วิสัยทัศน์ และ ยุทธศาสตร์ ของสมาคมฯ  ช่วงท้ายของการประชุมจะขอเรียนเชิญท่านได้ให้เกียรติมอบเกียรติบัตรรางวัลต่าง ๆ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ ให้กับผู้บริหาร ครูผู้สอน และ นักเรียนของโรงเรียนเอกชนนอกระบบ จ.เชียงใหม่

ผู้ที่ได้รับรางวัล วิริยะอุตสาหะ 1/2566 ได้แก่ 1.นางสาว ปนิตา  ทองจำรูญ (Platinum) 2.Boy Michael Wang (Platinum) 3.Miss Risa Sato (Gold) 4. นางสาว ชญานันทน์ ลิ้มสุคนธ์ (Silver) 5. เด็กชาย วิทย์วิสิฐ   อำนวยชัยชนะ (Silver) 6. ดร. ภัทรมนัส ศรีตระกูล (Bronze) 7. นางสาว นภัสรพี ชัยวงศ์  (Bronze) 8. นางสาว ชฎาภัส เรืองสังข์ (Bronze) 

คุณครูผู้ที่ได้รับรางวัล ครูโรงเรียนเอกชนดีเด่น ประเภทครู บุคลากรทางการศึกษางานวันการศึกษาเอกชน ประจำปี 2566 ได้แก่
1. Dr.Wilaiwan Wannachotphawet  2. Mr. John Quinn
3. Mr. Dean Du Plooy 4. Mr. Pip Masion 5. Mr. Daniel Thomas  
6. Mr. Gary Matier   7. Miss Kanokwan Jantawong 8. Mr. Woramet Chaimongkol   9. Miss Anushika Sirinthipaporn  
พร้อมกันนี้มอบเกียรติบัตรรางวัลดีเด่น คณะกรรมการฝ่ายการศึกษานอกระบบ สมาคมสถานศึกษาเอกชน จังหวัดเชียงใหม่ อีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top