Sunday, 28 April 2024
NEWS

‘ไอซ์’ ย้ำ!! ไม่ควรมีเด็กต้องหลุดออกจากระบบการศึกษา เพียงเพราะพยายามกะเทาะเปลือกขนบเแบบดิมๆ

เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2566 นางสาวรักชนก ศรีนอก หรือ ‘ไอซ์’ ว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘รักชนก ศรีนอก - Rukchanok Srinork’  เกี่ยวกับกรณี หยก-ธนลภย์ จากประเด็น ที่ถูกไล่ออกจากโรงเรียน หลังจากสวมชุดไพรเวตและย้อมสีผมไปเรียน ก่อนทางโรงเรียนชี้แจงว่าเป็นเพราะไม่ได้เซ็นยินยอมมอบตัวในระยะเวลาที่กำหนด 

โดยไอซ์ได้โพสต์ไว้ว่า… 

“กฏระเบียบข้อไหนกันที่บังคับให้ต้องเอาพ่อแม่มาเท่านั้นถึงจะมอบตัวได้ แล้วแบบนี้เด็กกำพร้าที่ไม่มีทั้งพ่อและแม่ไม่ต้องมอบตัวไม่ต้องเรียนหนังสือหรือไง ถ้ากลไกลสภาฯ ยังทำงานอยู่ไอซ์จะร้องเรื่องนี้ให้กรรมาธิการการศึกษาตรวจสอบอย่างเร่งด่วน ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องตอบคำถามสังคม

ไอซ์ขอยืนยันจุดยืน ไม่ควรมีเด็กคนไหนต้องหลุดออกจากระบบการศึกษาด้วยความไม่สมัครใจ ไม่ว่าด้วยกฏระเบียบข้อบังคับใดก็ตาม

ลองถามใจลึกๆ ดู ว่าควรมีเด็กคนไหนในประเทศนี้ต้องออกจากระบบการศึกษาไป เพราะสังคมบางส่วนรู้สึกว่าน้อง ‘ทำตัวไม่น่ารัก’ หรือเพราะไม่เคารพกฏระเบียบแบบเดิมๆ หรือป่าว เรากำลังต่อสู้กับขนบเดิมๆ กันอยู่ไม่ใช่หรือ”

‘คุณหญิงบุญเลื่อน’ อดีต ผอ.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ผู้เอาตำแหน่งเป็นหลักประกัน ช่วยให้ นร.ไม่ต้องปักชื่อที่ชุด

จากกรณี ‘หยก’ เยาวชนหญิงวัย 15 ปี จำเลยคดีมาตรา 112 ที่มีอายุน้อยที่สุด นักเรียนชั้น ม.4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ได้แต่งกายด้วยชุดไปรเวทเข้าเรียน และได้ถูกเชิญตัวออกจากโรงเรียน จนเกิดเป็นกระแสดรามาขึ้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 66 เฟซบุ๊กเพจ ‘บูรพาไม่แพ้’ ได้โพสต์ข้อความถึงเรื่องเครื่องแบบชุดนักเรียน ที่กำลังมีประเด็นในสังคมอยู่ ณ ขณะนี้ โดยระบุว่า…

“ทำไม #ชุดนักเรียน ของโรงเรียน #เตรียมอุดมศึกษา จึงไม่มีชื่อโรงเรียน,เลขประจำตัว หรือชื่อนักเรียนปักติดอยู่บนเสื้อ? (เป็นเสื้อสีขาว ติดเข็ม ‘พระเกี้ยวน้อย’ เท่านั้น)

ช่วงปี 2516 กรมสามัญศึกษาได้ออกระเบียบบังคับให้ทุกโรงเรียนปฏิบัติเหมือนกันหมด คือให้นักเรียนทุกคนต้องปักชื่อย่อของโรงเรียน และชื่อของตนเองหรือเลขประจำตัวบนเสื้อ เพื่อจะทราบได้ว่า เรียนที่ไหน? และเมื่อทำผิดแล้ว จะได้ตามตัวได้ถูกคนถูกตัว

แต่นักเรียนโรงเรียนเตรียมฯ ไม่ต้อง เพราะ ผอ. ขณะนั้น เข้าชี้แจงกับทางกระทรวงว่า นักเรียนของโรงเรียนเตรียมฯ ดี และเรียบร้อยอยู่ในระเบียบทุกคนไม่จำเป็นต้อง มีชื่อโรงเรียนหรือชื่อนักเรียนติดที่อกเสื้อ 

อธิบดีฯ ก็ถามกลับมาทันทีว่า “แล้วคุณหญิงจะเอาอะไรมาเป็นหลักประกัน”
ผอ. ตอบว่า “โต๊ะกับเก้าอี้ตัวหนึ่ง”

อธิบดี ถึงกับอึ้ง 

แล้วโต๊ะกับเก้าอี้ 1 ตัวนั้นสำคัญอย่างไร?

เป็น ‘โต๊ะ’ และ ‘เก้าอี้’ ของผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาในขณะนั้น
‘คุณหญิงบุญเลื่อน เครือตราชู’

นับจากวันนั้นมาถึงวันนี้ ด้วยเกียรติของ ตอ. จึงเป็นโรงเรียนเดียวในประเทศไทย ที่นักเรียนไม่ต้องปักชื่อของโรงเรียน หรือชื่อของตนเองไว้ที่อกเสื้อ โดยมีคำสั่งจากผู้อำนวยการ อาจารย์คุณหญิงบุญเลื่อน เครือตราชู ว่านักเรียนเตรียมฯ ทุกคนจะต้องติดตราสัญลักษณ์พระเกี้ยวน้อยที่อกเสื้อ หากใครถอดพระเกี้ยวออก จะถูกลงโทษ

คุณหญิงบุญเลื่อน เครือตราชู กล่าวว่า “นักเรียนเตรียมฯ แค่เห็นข้างหลังก็รู้ว่าเป็นนักเรียนเตรียมฯ”

คณะพยาบาลศาสตร์ มช. ประชุมทวิภาคีร่วมกับฝ่ายการพยาบาล รพ.มหาราชนครเชียงใหม่  

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธานี แก้วธรรมานุกูล คณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารของคณะฯ ร่วมประชุมทวิภาคีกับฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ นำโดย คุณวีรชาติ ชูฤทธิ์ หัวหน้าฝ่ายการพยาบาล และทีมบริหารฝ่ายการพยาบาล เป้าหมายเพื่อยกระดับความร่วมมือด้านวิชาการ การวิจัย และบริการวิชาการ รวมทั้งความร่วมมือด้านอื่น ๆ นอกจากนี้ปรึกษาหารือด้านการเรียนการสอน การขึ้นฝึกปฏิบัติของนักศึกษาพยาบาลในแต่ละหลักสูตรให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น 

พร้อมกันนี้ คุณวีรชาติ ชูฤทธิ์ หัวหน้าฝ่ายการพยาบาล ได้มอบช่อดอกไม้ร่วมแสดงความยินดีแด่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธานี แก้วธรรมานุกูล คณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ ในโอกาสที่คณะฯ ได้รับรางวัลองค์กรที่สนับสนุนการดำเนินงานและทำคุณประโยชน์ต่อชมรมผู้สูงอายุจังหวัดเชียงใหม่ จากชมรมผู้สูงอายุจังหวัดเชียงใหม่ และ มอบดอกไม้ร่วมยินดีแด่ รศ.ดร.จิราภรณ์ เตชะอุดมเดช ผู้ช่วยคณบดี ในโอกาสได้รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่น จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ณ ห้องเรียนศตวรรษที่ 21 อาคาร 2 คณะพยาบาลศาสตร์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน 2566

พัฒนชัย/เชียงใหม่

‘หยก’ เคยเป็น เด็กเรียบร้อย เรียนดี แต่ชีวิตไม่เหมือนเดิม ตั้งแต่เริ่มรู้จัก กับกลุ่มทะลุวัง

15 มิ.ย. 2566 - เพจเฟซบุ๊ก สติค่ะลูกกกก โพสต์ภาพและข้อความว่า หลายคนอาจไม่รู้ หยกสมัยก่อนเคยเป็นเด็กเรียบร้อย ไม่เคยโดนคดี รักครอบครัว แต่งตัวเรียบร้อย เรียนดี

จุดเปลี่ยนชีวิตตั้งแต่หยกรู้จักกลุ่มทะลุวัง และพรรคก้าวไกล ชีวิตของหยกก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ต่อต้านระบบกฎระเบียบสังคมทุกอย่าง โดนคดีมากมาย สุดท้ายครอบครัวแตกแยก....

คนกลุ่มไหนกันที่สนับสนุนและให้ท้ายเด็กจนมีพฤติกรรมแบบนี้

‘4 รองผู้ว่า กทม.’ เผย ความในใจถึง ‘ผู้ว่าฯ ชัชชาติ’ หลังร่วมงานเพื่อเดินหน้าพัฒนากรุงเทพฯ ครบ 1 ปี

เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 66 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้แถลงผลงาน ‘365 วัน ทำงาน ทำงาน ทำงาน ตามนโยบาย 9 ด้าน 9 ดี’ เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปี ของการทำงาน

โดยนายชัชชาติ กล่าวว่า วันนี้ไม่ได้เป็นการแถลงผลงานตนเอง แต่เป็นการแถลงผลงานของทีม กทม. ซึ่งทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ ทั้งข้าราชการ บุคลากร และ ส.ก. โดยหลักการทำงานในปีแรกจะเป็นปีของการนำนโยบายมาทำ Sandbox หรือต้นแบบ โดยเริ่มต้นจากการทำต้นแบบเล็กๆ นำแนวคิดนโยบายมาทดสอบ เมื่อประสบความสำเร็จ จะเป็นการต่อยอด และขยายผลนโยบายไปสู่การปฏิบัติในวงกว้าง

ทั้งนี้ ในช่วงท้ายของการแถลง ได้มีการถามความใจในของท่านรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ทั้ง 4 ท่าน กับการทำงานร่วมกับท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา โดยท่านแรก รองศาสตราจารย์วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ตอบว่า…

“จริงๆ แล้ว ผมค่อนข้างคุ้นชินกับสไตล์ารทำงานของท่านอาจารย์ชัชชาติอยู่แล้ว เพราะผมเคยช่วยงานท่านมาก่อน หากถามว่า ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา มีเรื่องหงุดหงิดอะไร ก็คงจะเป็นเรื่องของระบบภายในที่มีความล่าช้า และยังไม่รวดเร็วทันใจมากพอ เพราะในหลายๆ เรื่อง ผมคิดว่าเราน่าจะทำได้เร็วกว่านี้ แต่เนื่องจากติดขัดในส่วนของกระบวนการต่างๆ ทำให้การดำเนินการต่างๆ ยังไม่คล่องตัวมากเท่าที่ควรจะเป็น 1 ปีผ่านไปเร็วมากครับ นึกว่าเพิ่งผ่านไปแค่ไม่กี่เดือน เพราะท่านผู้ว่าฯ ก็ลงพื้นที่ตลอด และมีโจทย์ใหม่ๆ มาให้ทำ มีปัญหามาให้แก้ไขกันอยู่ทุกวัน คอยตามจัดการสะสางงานที่ได้รับคำสั่งการมาครับ”

ท่านต่อมา รองศาสตราจารย์ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้กล่าวความในใจว่า…

“เวลาทำงานลงพื้นที่ ท่านผู้ว่าฯ จะชอบถามคำถามว่า “ว่ายังสนุกอยู่หรือเปล่า?” ก็ขอตอบว่า สนุกค่ะ ยังอยากทำอยู่ และยังมีอีกหลายเรื่องที่อยากทำ ก่อนเข้ามารับตำแหน่ง เคยมีความเชื่อว่าตัวเองมีความรู้เกี่ยวกับ กทม.อยู่พอสมควร แต่เมื่อเข้ามาและเจอนโยบายที่ท่านผู้ว่าฯ อยากให้ทำ มันเหมือนกับว่าเราต้องเรียนรู้ใหม่เกือบทั้งหมดเลย เพราะว่ารายละเอียดต่างๆ มันเยอะมาก และถนนในกรุงเทพฯ ที่เคยคิดว่ามันมีความกว้างเพียงพอ ไม่ได้เล็กอะไร เมื่อลงพื้นที่ อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าถนนหนทางดูเล็กลงไปมาก แต่สิ่งหนึ่งที่ชอบมาก คือ ผู้ว่าฯ จะลงพื้นที่ไปดูงานให้ เนื่องจากที่ผ่านมา ไม่เคยมีผู้บริหารคนไหน คอยลงพื้นที่ติดตามงานให้มาก่อน ตรวจเช็กความเรียบร้อย เป็นเหมือนกระบวนการตรวจสอบให้ด้วย ซึ่งตรงนี้ช่วยให้งานของรองผู้ว่าทั้ง 4 คนนั้น ลดลงไปมากพอสมควร และยังให้คำแนะนำในส่วนที่เรายังมีความบกพร่อง ว่าควรแก้ไขตรงจุดไหนเพิ่มเติม มีความท้าทายใหม่ๆ ทุกวัน ตอน 6 โมงเช้าจะมีงานใหม่ๆ ส่งมาให้ทุกวัน ก็รู้สึกดีค่ะ มีพลังงานในการทำงานมากขึ้นกว่าเดิม”

ท่านต่อมา นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้กล่าวความในใจว่า…

“นอกจากการทำงานที่เราทุกคนจะมีการพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาแล้ว ลักษณะของผู้บริหารที่มาจากการแต่งตั้ง และมาจากการเลือกตั้ง ย่อมมีความแตกต่างกัน ลักษณะการเข้าถึงประชาชน การใกล้ชิดกับประชาชน การยึดโยงประชาชนเป็นส่วนรวม ก็ย่อมมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะฉะนั้น การทำงานก็ย่อมไม่เหมือนกันด้วย การทำงานในตอนนี้ให้ความเป็นอิสระในการตัดสินใจมากยิ่งขึ้น และในขณะเดียวกัน เราทุกคนก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อประชาชนทุกคนที่เลือกตั้งท่านผู้ว่าฯ มา”
.
และต่อมา ท่านสุดท้าย นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้กล่าวความในใจว่า…

“สนุกมากครับ เหมือนเป็นงานในฝันที่เราอยากทำ ทำให้เราอยากตื่นขึ้นมาทำงานทุกวัน และมีความตั้งใจที่อยากจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นมากกว่านี้ยิ่งๆ ขึ้นไปในทุกวัน และรู้สึกว่า ถ้าพวกเรามีเวลามากกว่านี้ หรือได้ทำให้ละเอียดมากกว่านี้ ผมเชื่อว่าภาพรวมจะออกมาดีกว่านี้”

นอกจากนี้ ท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติ ยังได้กล่าวความในใจของตัวเองทิ้งท้ายไว้อีกด้วย “พวกเราทำงานร่วมกันเป็นทีม ผมต้องขอขอบคุณทุกๆ คน ทุกๆ ฝ่ายที่รวมแรงรวมใจกัน ตั้งแต่ท่านปลัด พี่ๆ เพื่อนๆ ตลอดจนถึงถึงเจ้าหน้าที่ กทม.ทุกท่าน ผมคิดว่าเราไม่มีดีไปกว่าทีมงานของเราได้ ต่อให้นโยบายที่เราคิดกันมาจะดีแค่ไหนก็ตาม หากเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน ซึ่งเปรียบเหมือนโซ่ข้อสุดท้ายที่เชื่อมเรากับประชาชน ถ้าหากเขาไม่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ทุกอย่างๆ ก็คงไม่มีทางออกมาดีได้ และผมต้องขอกราบเรียนตรงนี้เลยว่า ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ผลงานของชัชชาติ แต่เป็นผลงานของทีม กทม.ทุกคน และงานในหลายๆ เรื่องก็ไม่ใช่งานที่ทำให้สมัยนี้ด้วย เป็นงานที่ต่อเนื่องกันมานานแล้ว จึงขอถือว่าเวลาแถลงก็แถลงในนาม กทม.”

หน่วยมิตรประชากองบิน 46 ออกปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชน

นาวาอากาศเอก สิระ บุญญะพาศ ผู้บังคับการกองบิน 46 พร้อมด้วย คุณ อภิชญา บุญญะพาศ ประธานชมรมแม่บ้านทหารอากาศ กองบิน 46 นำหน่วยมิตรประชากองบิน 46 ออกปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชน 

โดยมีกิจกรรมการแสดงดนตรีของวงดุริยางค์ทหารอากาศ กองบิน 46 พิธีมอบทุนการศึกษา อุปกรณ์กีฬา อุปกรณ์การศึกษา เลี้ยงอาหารกลางวันให้แก่นักเรียน 

นอกจากนี้ยังมีพิธีมอบผ้าห่มกันหนาว ชุดยาสามัญประจำบ้านให้แก่พี่น้องประชาชน การบริการตรวจโรคเบื้องต้น การให้บริการตัดผมชาย-หญิง และการแสดงเครื่องบินเล็กบังคับวิทยุ ณ โรงเรียนวัดจอมทอง หมู่ที่ 5 ตำบลจอมทอง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก โดยมี นางสุณี ไวกสิกรณ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนฯ และผู้นำท้องถิ่น ให้การต้อนรับ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2566

ปรีชา นุตจรัส รายงานข่าวพิษณุโลก

“อลงกรณ์” ยกบนเพลงกราวกีฬาเตือนสติสังคมไทยรู้แพ้รู้ชนะรู้อภัยใจนักกีฬาพร้อมเขียนคำคม”จงต่อสู้เพื่อชัยชนะ แต่อย่าต่อสู้กับชัยชนะ

ในขณะที่สถานการณ์การเมืองกำลังร้อนแรงหลังการเลือกตั้งครั้งใหม่
วันนี้นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรัฐมนตรีอดีตส.ส.หลายสมัยและรักษาการรองหัวหน้าพรรคเขียนเฟสบุ๊คเรื่อง”สปิริตนักกีฬา Sportsmanship 

สปิริตกีฬา Spirit of sports”โดยนำเนื้อร้องและคลิปเพลงกราวกีฬามานำเสนอเพื่อเตือนสติสังคมไทย
ต่อเนื่องจากที่เขียนในเฟสบุ๊คก่อนหน้านี้เรื่อง สปิริตประชาธิปไตย Spirit of Democracyมีผู้เห็นด้วยอย่างมากต่อจุดยืนและแนวคิดในเรื่องดังกล่าว โดยมีข้อความดังนี้

“จงต่อสู้เพื่ออนาคต
แต่อย่าต่อสู้กับอนาคต

จงต่อสู้เพื่อชัยชนะ
แต่อย่าต่อสู้กับชัยชนะ

จงต่อสู้กับความพ่ายแพ้
แต่อย่าต่อสู้เพื่อความพ่ายแพ้

การต่อสู้มีแพ้มีชนะ
ฟังเพลงกราวกีฬา
รู้แพ้รู้ชนะรู้อภัยใจนักกีฬา

https://youtu.be/FLZQdgl5190

https://youtu.be/DhpXDosQbRg
“…. ..ใจคอมั่นคงทรงศักดิ์
รู้จักที่หนีที่ไล่
รู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย
ไว้ใจได้ทั่วทั้งรักชัง….

..ไม่ชอบเอาเปรียบเทียบแข่งขัน
สู้กันซึ่งหน้าอย่าลับหลัง
มัวส่วนตัวเบื่อเหลือกำลัง
เกลียดชังการเล่นเห็นแก่ตัว….”

เนื้อเพลง กราวกีฬา โดยเจ้าพระธรรมศักดิ์มนตรี
เพลงเก่ากว่า100ปีของเก่าดีๆควรรักษาไว้และใช้ประโยชน์จากสปิริตนักกีฬา สปิริตกีฬา

“พวกเรานักกีฬา ใจกล้าหาญ
เชี่ยวชาญชิงชัยไม่ย่นย่อ
คราวชนะรุกใหญ่ไม่รีรอ
คราวแพ้ก็ไม่ท้อกัดฟันทน
ฮึม.ฮึม.ฮึม.ฮึม.

( กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
ฮา-ไฮ ฮา-ไฮ
กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
แก้กองกิเลส
ทำตนให้เป็นคน
ผล ของการฝึกตน
เล่น กีฬาสากล
ตะละล้า )

..ร่างกายกำยำล้ำเลิศ
กล้ามเนื้อก่อเกิดทุกแห่งหน
แข็งแรงทรหด อดทน
ว่องไวไม่ย่นระย่อใคร
ฮึม.ฮึม.ฮึม.ฮึม.
( กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
ฮา-ไฮ ฮา-ไฮ
กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
แก้กองกิเลส
ทำตนให้เป็นคน
ผล ของการฝึกตน
เล่น กีฬาสากล
ตะละล้า )

..ใจคอมั่นคงทรงศักดิ์
รู้จักที่หนีที่ไล่
รู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย
ไว้ใจได้ทั่วทั้งรักชัง
ฮึม.ฮึม.ฮึม.ฮึม.
( กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
ฮา-ไฮ ฮา-ไฮ
กีฬา พวกเรานักกีฬา ใจกล้าหาญ
เชี่ยวชาญชิงชัยไม่ย่นย่อ
คราวชนะรุกใหญ่ไม่รีรอ
คราวแพ้ก็ไม่ท้อกัดฟันทน
ฮึม.ฮึม.ฮึม.ฮึม.
( กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
ฮา-ไฮ ฮา-ไฮ
กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
แก้กองกิเลส
ทำตนให้เป็นคน
ผล ของการฝึกตน
เล่น กีฬาสากล
ตะละล้า )

..ร่างกายกำยำล้ำเลิศ
กล้ามเนื้อก่อเกิดทุกแห่งหน
แข็งแรงทรหด อดทน
ว่องไวไม่ย่นระย่อใคร
ฮึม.ฮึม.ฮึม.ฮึม.
( กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
ฮา-ไฮ ฮา-ไฮ
กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
แก้กองกิเลส
ทำตนให้เป็นคน
ผล ของการฝึกตน
เล่น กีฬาสากล
ตะละล้า )

..ใจคอมั่นคงทรงศักดิ์
รู้จักที่หนีที่ไล่
รู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย
ไว้ใจได้ทั่วทั้งรักชัง
ฮึม.ฮึม.ฮึม.ฮึม.
( กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
ฮา-ไฮ ฮา-ไฮ
กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
แก้กองกิเลส
ทำตนให้เป็นคน
ผล ของการฝึกตน
เล่น กีฬาสากล
ตะละล้า )

..ไม่ชอบเอาเปรียบเทียบแข่งขัน
สู้กันซึ่งหน้าอย่าลับหลัง
มัวส่วนตัวเบื่อเหลือกำลัง
เกลียดชังการเล่นเห็นแก่ตัว
ฮึม.ฮึม.ฮึม.ฮึม.
( กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
ฮา-ไฮ ฮา-ไฮ
กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
แก้กองกิเลส
ทำตนให้เป็นคน
ผล ของการฝึกตน
เล่นกีฬาสากล
ตะละล้า ) กีฬา เป็นยาวิเศษ
แก้กองกิเลส
ทำตนให้เป็นคน
ผล ของการฝึกตน
เล่น กีฬาสากล
ตะละล้า ).”
อลงกรณ์ พลบุตร
15 มิถุนายน 2566

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติปิดโครงการห้องแล็บทางกฎหมาย (Special Law LAB) รุ่นที่ 2 พร้อมมอบประกาศนียบัตรแก่นิสิตที่ร่วมโครงการ พอใจผลสำเร็จของโครงการ นักศึกษากฏหมายรุ่นใหม่ตั้งใจเรียนรู้งานตำรวจเป็นอย่างดี 

วันนี้ (15 มิ.ย. 66) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผูับัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานพิธีปิดโครงการห้องปฏิบัติการกฎหมาย (Special Law Lab) รุ่นที่ 2 “Young Lawyers-Police Engagement (YLPE) Project (Law Chula and Royal Thai Police Season 2) ณ ห้องสารสิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ,พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง  ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ/โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.ท.ทวีศิลป์  เวชวิทารณ์ นายแพทย์ (สบ8) โรงพยาบาลตำรวจ , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน บช.น. , พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 , ผศ.ดร.ปารีณา ศรีวริชย์ คณะบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คณาจารย์ และนิสิตคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชั้นปีที่ 1-4 ที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 24 คน เข้าร่วมพิธี 

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้กล่าวปาฐกถา และมอบประกาศนียบัตรให้กับนิสิตที่เข้าร่วมโครงการ ฯ โดยมีการรายงานผลการเรียนรู้และสะท้อนผลการดำเนินโครงการโดยครูพี่เลี้ยงซึ่งเป็นข้าราชการตำรวจในพื้นที่ต่าง ๆ ได้แก่ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) , สน.ลุมพินี , สน.พญาไท , สน.ห้วยขวาง และ สน.พระโขนง และมีการเสวนาประเมิน สรุปผลการดำเนินโครงการ โดย โฆษก ตร., รอง ผบช.น., คณะครูพี่เลี้ยง, คณะบดีฯ, คณาจารย์ และนิสิตคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

โครงการห้องปฏิบัติการกฎหมาย (Special Law Lab) นั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดขึ้นเพื่อให้นิสิตได้เรียนรู้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจจริงในพื้นที่ ตั้งแต่ต้นทางของกระบวนการยุติธรรม การตรวจค้น การจับกุม การสอบสวนปากคำ ฯลฯ ได้รับทราบ เรียนรู้ ทำความเข้าใจข้อกฎหมายนำไปสู่การปฏิบัติ โดยลงพื้นที่ร่วมกับตำรวจสืบสวน สอบสวน ป้องกันปราบปราม จราจร พื้นที่ สน.ห้วยขวาง ลุมพินี พญาไท พระโขนง และกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตลอดจนศึกษาดูงานศูนย์พิทักษ์เด็กและสตรี, กองบัญชาการตำรวจนครบาล , สำนักงานนิติเวชวิทยา , สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (สพฐ.ตร.), กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี, ยุทธวิธีและการยิงปืนขั้นพื้นฐาน การรับแจ้งเหตุและการควบคุม สั่งการด้านการจราจร เป็นต้น

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า โครงการห้องปฏิบัติการกฎหมาย (Special Law LAB) รุ่นที่ 2 ประสบความสำเร็จด้วยดี นิสิตที่เข้าร่วมโครงการให้ความสนใจเรียนรู้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างดี ถือเป็นหนึ่งผลสำเร็จที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติภาคภูมิใจ  พร้อมขอบคุณทีมงาน บช.น. ,สพฐ.ตร., โรงพยาบาลตำรวจ และคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ร่วมมือทำให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จ ทำให้นิสิตมีความความเข้าใจในการทำงานของตำรวจจากประสบการณ์ตรงที่ได้ศึกษาดูงานเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ซึ่งจะสามารถนำไปต่อยอดการทำงานในอนาคตได้ ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะขยายต่อยอดการฝึกอบรมดังกล่าวในพื้นที่จังหวัดอื่น หรือมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ที่สนใจ อันจะเป็นการแสวงหาความร่วมมือ ความเข้าใจให้กับนักกฎหมายรุ่นใหม่ต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ แถลงความคืบหน้าการดำเนินคดีขายปันส่วนสัตว์น้ำ ดำเนินคดีเจ้าหน้าที่รัฐ-พลเรือนร่วมทุจริตรวม 7 ราย

จากกรณีที่ผู้แทนสหภาพยุโรป ได้ดำเนินการประเมินมาตรการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานในภาคประมงของประเทศไทย และได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับกรณีตรวจพบเรือประมงซึ่งมีพฤติการณ์ในการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU) ไว้ได้นำเข้าปลาที่ได้จากการทำประมงผิดกฎหมายมาจำหน่ายที่ประเทศไทย และถูกกรมศุลกากรตรวจยึดและดำเนินการขายปันส่วนเมื่อปี 2562 นั้น เป็นการดำเนินการที่ถูกต้องตามขั้นตอนหรือไม่ ซึ่งพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง (ศพดส.ตร.) ได้รับทราบปัญหาดังกล่าวเพื่อดำเนินการตรวจสอบและแจ้งผลให้ทราบ

กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้ เจ้าหน้าที่สืบสวนชุดเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายในภาคประมง เข้าตรวจสอบการดำเนินการเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวโดยละเอียด โดยให้ไล่ตรวจสอบตามลำดับเวลาการปฏิบัติแต่ละขั้นตอนโดยละเอียด และทำความจริงให้กระจ่างโดยเร็ว หากพบการกระทำผิดให้ดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด 

พฤติการณ์กล่าวคือ เมื่อวันที่ 1 ต.ค.62 กรมศุลกากรได้มีการตรวจยึดปลาแช่แข็งนำเข้าจำนวน 7 ตู้ ซึ่งนำเข้ามาเพื่อจำหน่ายในประเทศไทย ผ่านท่าเรือศุลกากรพระสมุทรเจดีย์ 1 ตู้ น้ำหนัก 26 ตัน และสำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพจำนวน 6 ตู้ น้ำหนัก 147 ตัน โดยเป็นปลาที่ได้มาจากเรือประมงที่มีพฤติการณ์ต้องสงสัยในการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU) ซึ่งกรมศุลกากรได้สั่งให้ผู้นำเข้าปลาดังกล่าวมาดำเนินพิธีการขาเข้า แต่ทำไม่ได้เพราะผู้นำเข้าไม่สามารถขอใบอนุญาตนำเข้าสัตว์น้ำจากกรมประมงได้ เนื่องจากปลาดังกล่าวได้มาจากเรือ WADANI 2 ซึ่งไปทำการประมงที่น่านน้ำประเทศโซมาเลีย แต่ทางรัฐบาลโซมาเลียไม่ยืนยันเอกสารรับรองแหล่งที่มาสัตว์น้ำดังกล่าว เนื่องจากเรือประมงลำดังกล่าวมีพฤติการณ์ในการชักธงเรือ 2 สัญชาติ ทำให้ต้องสงสัยว่าจะมีการทำประมงโดยผิดกฎหมาย ต่อมาเมื่อวันที่ 7 พ.ย.62 กรมศุลกากรจึงได้ดำเนินการขายปันส่วนปลาแช่แข็งดังกล่าวไปทั้งหมด 

ต่อมาช่วงเดือน พ.ค.63 ก่อนการประชุมร่วมกับสหภาพยุโรปเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานในภาคประมงของประเทศไทย สหภาพยุโรปได้มีการตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า ปลาแช่แข็งซึ่งต้องสงสัยว่าได้มาจากการทำประมงผิดกฎหมาย และได้ดำเนินการขายปันส่วนออกไปนั้น  ดำเนินการอย่างถูกต้องตามขั้นตอนหรือไม่ ดังนั้น กรมประมงจึงได้สอบถามข้อมูลการดำเนินการจากกรมศุลกากร กรมศุลกากรจึงได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการดำเนินการในการขายปันส่วน และสรุปผลการตรวจสอบเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.63 โดยเสนอให้มีการลงโทษ นายกีรติ หัวหน้าฝ่ายของกลางและของตกค้าง กรมศุลกากร กรณีผิดวินัยไม่ร้ายแรงจากการไม่ดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้อง และรายงานผลการตรวจสอบดังกล่าวให้คณะอนุกรรมการตรวจสอบและติดตามการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาการทำประมงและแรงงานในภาคประมง (อ.2) พิจารณา พร้อมรายชื่อผู้ซื้อปันส่วนจำนวน 98 ราย

ต่อมาเมื่อวันที่ 25 ม.ค.65 หลังจากคณะอนุกรรมการ อ.2 ได้ตรวจสอบตามรายงานที่ได้จากกรมศุลกากรแล้ว ได้มีการส่งประเด็นให้กรมศุลกากรตรวจสอบเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายชื่อผู้ซื้อปันส่วนทั้ง 98 รายและขั้นตอนการปันส่วน เนื่องจากพบว่า มีบางรายชื่อที่ถูกกล่าวอ้างแต่ไม่ได้มีการลงชื่อปันส่วนจริง กรมศุลกากรจึงมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง แต่การตรวจสอบในครั้งนี้กลับไม่นำเอาผลการตรวจพบรายชื่อที่ไม่ได้ลงชื่อปันส่วนมาตรวจสอบด้วย และเร่งสรุปผลกลับมายังคณะอนุกรรมการ อ.2 ในวันที่ 8 มิ.ย. 65 โดยเสนอให้มีการลงทัณฑ์ภาคทัณฑ์ นายกีรติฯ เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว

กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าคณะทำงานเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ ควบคุม และเฝ้าระวังการทำประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ในขณะนั้น หลังได้รับทราบเรื่องดังกล่าว จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชุดเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายในภาคประมง ดำเนินการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว จากการสืบสวนพบว่า หลังจากที่กรมศุลกากรได้อนุมัติให้มีการขายปันส่วนปลาแช่แข็งทั้งหมด 7 ตู้นั้น ได้ดำเนินการขายปันส่วนตามขั้นตอนจริงจำนวน 1 ตู้ ซึ่งดำเนินการโดยด่านศุลกากรพระสมุทรเจดีย์ ในส่วนอีก 6 ตู้ ที่ถูกตรวจยึดที่สำนักศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ รวมน้ำหนัก 147 ตันนั้น ก่อนจะมีการเปิดตู้คอนเทนเนอร์เพื่อขายปันส่วนปลาดังกล่าวในวันที่ 7 พ.ย.62 นั้น ได้มีการเจรจาแบ่งผลประโยชน์กันหลายฝ่าย โดยได้มีวางแผนการถ่ายภาพจัดฉากให้เสมือนว่า มีการจำหน่ายปันส่วนจริงจำนวน 15 ตัน ให้กับนายบุญมา ผอ.ศุลกากรท่าเรือกรุงเทพฯในขณะนั้น จำนวน 10 ตัน และนายกีรติฯ จำนวน 5 ตัน แต่กลับไม่มีการจ่ายเงินแต่อย่างใด 

นอกจากนี้ในส่วนของปลาแช่แข็งที่เหลืออีก 132 ตันนั้น ได้มีการจัดหาผู้เหมาซื้อปลาแช่แข็งดังกล่าวเพียงรายเดียวคือ น.ส.ชญาภรณ์ เอเย่นรับซื้อขายปลา เพื่อจำหน่ายปลาให้แต่เพียงเจ้าเดียวทั้งหมด และได้จัดทำรายชื่อผู้ขอซื้อปันส่วนปลาจำนวน 98 รายขึ้นมาเพื่อใช้ประกอบให้ครบกระบวนการ โดยน.ส.ชญาภรณ์ฯ ได้นำเงินมาชำระค่าปลาแช่แข็งเพื่อเข้าตามระบบจำนวน 1.859 ล้านบาท และมีการมอบเงินให้กับนายกีรติฯ ส่วนตัวอีก 871,000 บาท จากนั้นจึงรับปลาแช่แข็งดังกล่าวไปจำหน่ายให้กับลูกค้าทั่วไปจนหมด

นอกจากนี้ จากการสืบสวนเพิ่มเติมพบว่า ในช่วงที่มีการตั้งกรรมการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวของกรมศุลกากร พบว่ามีเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ มีพฤติการณ์เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อช่วยเหลือให้นายกีรติฯ รับโทษทางวินัยน้อยลงจากพฤติการณ์ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมด นำเสนอผู้บังคับบัญชาทราบ และได้มอบหมายให้ชุดปฏิบัติการคณะทำงานฯ ร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรที่เป็นผู้ตรวจสอบกรณีของนายกีรติฯ ที่ สน.ท่าเรือ แต่เนื่องจากคดีดังกล่าวเป็นคดีสำคัญและมีความเกี่ยวข้องกับการทำประมงผิดกฎหมายซึ่งเป็นนโยบายสำคัญระดับชาติ จึงได้มีการแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อรับผิดชอบคดีดังกล่าว โดยได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหารวมทั้งสิ้น 7 ราย ประกอบด้วย

1. นายกีรติ หัวหน้าฝ่ายของกลางและของตกค้างฯ ทำหน้าที่หัวหน้าการขายปันส่วนสัตว์น้ำ
2. น.ส.สุดารัตน์ กรรมการขายปันส่วนสัตว์น้ำ
3. น.ส.ปานวาด กรรมการขายปันส่วนสัตว์น้ำ 
ดำเนินคดีในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของงตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
4. น.ส.ชญากรณ์  เป็นผู้สนับสนุนการทุจริตขายปันส่วนโดยการเหมาซื้อโดยผิดขั้นตอน
5. นายบุญมา  ผอ.สง.ศุลกากรท่าเรือกรุงเทพฯ/เป็นผู้รับซื้อปลาแต่ไม่ชำระเงินเข้าระบบ
ดำเนินคดีในความผิดฐาน เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของงตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย และสนับสนุนการกระทำผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
6. นางนฤมล  นิติกรชำนาญการพิเศษ กรมศุลกากร/ผู้ตรวจสอบนายกีรติฯ
7. นายรัฐกรณ์ นิติกร กรมศุลกากร/ผู้ตรวจสอบนายกีรติฯ
ดำเนินคดีในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีที่ทางสหภาพยุโรปให้ความสนใจเป็นอย่างมากเกี่ยวกับการดำเนินการจัดการบังคับใช้กฎหมายในคดีดังกล่าว เนื่องจากเป็นสัตว์น้ำที่มาจากเรือประมงต้องสงสัยที่มีพฤติการณ์ชักธงเรือ 2 สัญชาติ นับเป็นการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU) ดังนั้นทางการสหภาพยุโรปจึงให้ความสนใจกับการดำเนินการของประเทศไทยในกรณีดังกล่าว จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนตรวจสอบกรณีดังกล่าวอย่างละเอียดจนพบว่า การขายปันส่วนสัตว์น้ำดำเนินการโดยทุจริตโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ต่อมาภายหลังแม้มีการตั้งกรรมการตรวจสอบการดำเนินการดังกล่าว ก็ยังได้รับความช่วยเหลือจากกรรมการเพื่อมิให้นำเรื่องดังกล่าวมาพิจารณา ดังนั้นเมื่อตรวจพบการกระทำผิดดังกล่าว จึงให้ดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดโดยเด็ดขาด เพื่อให้เป็นมาตรฐานในการดำเนินคดีลักษณะดังกล่าว และส่งสัญญาณให้นานาชาติเห็นว่า ประเทศไทยไม่สนับสนุนการทำประมงผิดกฎหมายในทุกกรณี และขอประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชน หากมีเบาะแสหรือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทุจริตในคดีนี้ สามารถแจ้งข้อมูลให้กับเจ้าหน้าที่ผ่านหมายเลข 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘นพ.รุ่งเรือง’ ขึ้นศาล จ.นนทบุรี เอาผิดคนป่วน กระทรวงสาธารณสุข ทำลายอนุสาวรีย์ สมเด็จย่า

เพจเฟซบุ๊ก โฆษกกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ได้โพสต์ ข้อความเกี่ยวกับที่  นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง ได้ไปขึ้นศาลจังหวัดนนทบุรี เพื่อเอาผิดกับคนที่มาป่วนกระทรวงสาธารณสุข และทำลายอนุสาวรีย์ สมเด็จย่า โดยมีใจความว่า ...

ไม่มีใครอยากจะขึ้นศาลหรือเป็นคดีความ 

นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นพ.ทรงคุณวุฒิ ระดับ 11) ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ เปิดเผยว่า เช้าวันนี้ (15 มิถุนายน 2566) หมอมาขึ้นศาลจังหวัดนนทบุรี ในคดีที่มีกลุ่มคนมาทำลายพระบรมรูปอนุสาวรีย์ สมเด็จพระราชบิดา สมเด็จย่า กรมหลวงชัยนาทนเรนทร ด้วยการสาดสีแดง เอาเชือกดึงอนุสาวรีย์ท่านให้พังลงมา  และท่านเป็นศูนย์รวมดวงใจของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทุกคน นอกจากนี้กลุ่มบุคคลดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเยาวชน และมีแกนนำ รวมถึงกลุ่มคนที่จัดตั้งขึ้นได้มาประท้วงทำลายข้าวของ ทำลายสถานที่กระทรวงสาธารณสุข ด้วยการสาดสีแดง

ในวันนั้น หมอออกไปรับม็อบพยายามเจรจาด้วยสันติวิธีแต่ไม่เป็นผล กลุ่มบุคคลดังกล่าวทั้งด่ากระทรวงสาธารณสุข ด่าผู้บริหารระดับสูง โจมตีด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หลอกลวงพี่น้องประชาชนให้หลงเชื่อ รวมถึงใช้คำหยาบคาย ด่าบิดามารดาของหมอ ด้วยคำหยาบคายมากๆ เช่น อวัยวะเพศ ซึ่งคดีดังกล่าว หมอได้ติดตามทำงานร่วมกับตำรวจ จนสามารถจับกุมคนร้ายได้ทั้งหมด และส่งฟ้องศาล เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีแก่เยาวชน และพี่น้องประชาชน 

ในตอนนี้ สามารถบังคับใช้กฎหมายจนผู้กระทำผิดถูกลงโทษ (น่าจะถึงขั้น “จำคุก”) แม้ว่าจะเหนื่อยมากๆ นับตั้งแต่วันที่เริ่มรวบรวมพยานหลักฐาน ตามจับกุมผู้ต้องหา จนถึงส่งฟ้องศาล แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรปล่อยให้คนผิดลอยนวล ต่อไปจะเป็นเยี่ยงอย่าง แล้วสังคมจะอยู่ได้อย่างไรหมอขอขอบคุณ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มารักษาความปลอดภัยให้กับทางกระทรวงสาธารณสุข จนถูกทำร้ายร่างกายไปด้วย จนถึงการทำงานอย่างจริงจังของตำรวจ การรวบรวมพยานหลักฐาน และจับตัวผู้กระทำผิดส่งฟ้องศาลจนศาลลงโทษผู้กระทำผิด

แต่สำหรับหมอแล้ว การปราบคนพาล อภิบาลคนดี ดูแลส่งเสริมคนดี และอย่าให้คนชั่ว คนพาล มีอำนาจหรือลอยนวลจากการกระทำความผิดเป็นเรื่องที่ระลึกและต่อสู้มาโดยตลอดชีวิตข้าราชการตั้งแต่เป็นตำรวจจนมาเป็นหมอในปัจจุบัน ครับ

หมออยากฝากถึงทุกๆ ท่าน ตามพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่หมอยึดมั่นปฏิบัติเสมอมา พระองค์ทรงพระราชทานไว้ว่า 

“ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้...”

ทร. สวธ. และ สภากาชาดไทย เชิญชวนประชาชนร่วมชมการแสดงกาชาดคอนเสิร์ต ครั้งที่ 49  พ.ศ 2566  แสงทิพย์แห่งอาภากร เสียงทิพย์จากราชนาวี” เทิดพระเกียรติองค์บิดาของทหารเรือไทย รายได้โดยไม่หักค่าใช้จ่าย โดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย ช่วยเหลือการพยาบาลผู้ป่วย 

(เมื่อ 14 มิถุนายน 66 ) เวลา 10.10 น. ณ ห้องเจ้าพระยา หอประชุมกองทัพเรือ) กองทัพเรือ (ทร.) จัดการแถลงข่าว การจัดการแสดงกาชาดคอนเสิร์ต ครั้งที่ 49 ปี พ.ศ.2566 เพื่อเทิดพระเกียรติ องค์บิดาของทหารเรือไทย  “แสงทิพย์แห่งอาภากร เสียงทิพย์จากราชนาวี” โดยมีผู้ร่วมแถลงข่าวประกอบด้วย พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ นายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย พลเรือโท ชาติชาย ทองสะอาด รองเสนาธิการทหารเรือ สายงานกิจการพลเรือน ในฐานะประธานคณะกรรมการเตรียมการจากการแสดงกาชาดคอนเสิร์ต นายโกวิท  ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม และ นาวาเอก พฤทธิธร สุมิตร ผู้บังคับกองดุริยางค์ทหารเรือ ฐานทัพเรือกรุงเทพ พร้อมผู้แทนองค์และหน่วยงานที่ร่วมสนับสนุน บริจาคเงินสบทุนสภากาชาดไทย 

“กาชาดคอนเสิร์ต” นี้ กองทัพเรือได้จัดให้มีขึ้นตามพระราชปณิธานของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ได้ทรงมีพระราชปรารภกับผู้บัญชาการทหารเรือในขณะนั้น ให้กองทัพเรือจัดแสดงดนตรีโดย วงดุริยางค์ราชนาวี เพื่อเป็นการเผยแพร่ดนตรีแนวคลาสสิกให้เป็นที่แพร่หลายในหมู่ประชาชนชาวไทย และจัดหารายได้โดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย โดยไม่หักค่าใช้จ่าย  ในการช่วยเหลือรักษาพยาบาลเพื่อนมนุษย์ผู้เจ็บป่วยทั้งมวลให้ได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ซึ่งกองทัพเรือก็ได้ดำเนินการตามพระราชประสงค์ ตั้งแต่ปี 2504 เป็นต้นมา และได้จัดแสดงเป็นประจำทุกปี  จะมีเว้นบ้างตามสถานการณ์ ที่ไม่เอื้ออำนวย โดยวงดุริยางค์ราชนาวี นับได้ว่าเป็นวงซิมโฟนีออเคสตร้าแนวคลาสสิคชั้นนำวงหนึ่งของประเทศไทยที่ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จอย่างสูง ได้มีโอกาสบรรเลงในงานพระราชพิธี  รัฐพิธี ตลอดจนงานสำคัญต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ 
 
ในปี 2566 เป็นวาระครบรอบ 100 ปี แห่งการสิ้นพระชนม์ของ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์  กองทัพเรือ ได้จัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อกองทัพเรือเป็นอเนกอนันต์  โดยพระองค์ทรงริเริ่มวางรากฐานกิจการทหารเรือไทยให้มีความเข้มแข็ง มั่นคง สามารถทำหน้าที่เป็นรั้วของชาติทางทะเลได้อย่างดีตลอดมา

ส่งผลให้กองทัพเรือไทย มีความทันสมัย มีมาตรฐานทัดเทียมนานาอารยประเทศตราบจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้น ในด้านการดนตรี พระองค์ได้ทรงพระนิพนธ์เพลงที่มีเนื้อหาปลุกใจให้มีความรักชาติ กล้าหาญ ยอมสละชีวิตเพื่อชาติ โดยเพลงปลุกใจของพระองค์ นับว่าเป็นเพลงอมตะของทหารเรือ เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงเป็นอมตะอยู่ในจิตใจของทหารเรือทุกนาย และต่างซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อย่างมิรู้ลืม โดยพร้อมใจกันถวายสมัญญานามพระองค์ท่านว่า "องค์บิดาของทหารเรือไทย" 
 
โดยในส่วน การแสดงกาชาดคอนเสิร์ต ในปีนี้ นับเป็นครั้งที่ 49  ใช้ชื่อการแสดงว่า “แสงทิพย์แห่งอาภากร เสียงทิพย์จากราชนาวี” เพื่อเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน ที่ทรงเป็นองค์บิดาของทหารเรือไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินรายได้จากการบริจาคโดยไม่หักค่าใช้จ่าย ทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง  ภานายิกาสภากาชาดไทย  โดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย  ทั้งนี้ สภากาชาดไทย จะนำเงินดังกล่าวไปช่วยเหลือประชาชนในโครงการและกิจการต่าง ๆ อาทิ โครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติและสาธารณภัย  โครงการศูนย์มะเร็งเต้านม กิจการอาสายุวกาชาดเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต  ศูนย์รับบริจาคอวัยวะต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์  และโครงการมอบชีวิตใหม่แด่เพื่อนมนุษย์ด้วยการบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดโลหิต  เป็นต้น   

สำหรับรายการแสดง กาชาดคอนเสิร์ตครั้งที่ 49 ในครั้งนี้ วง Symphony orchestra ดุริยางค์ราชนาวี กองดุริยางค์ทหารเรือ ฐานทัพเรือกรุงเทพ จะบรรเลงเพลงคลาสสิค และเพลงร่วมสมัย ขับรองโดยนักร้องรับเชิญ อาทิ  ธงไชย แมคอินไตย์  สหรัถ  สังคปรีชา   ปิยนุช เสือจงพรู (จิ๋ว  เดอะสตาร์/ จิ๋ว  นิวจิ๋ว) กิตตินันท์  ชินสำราญ (กิต The voice )  กรกันต์  สุทธิโกเศศ   สรวีย์  ธนพูนหิรัญ (ผิงผิง  Golden song season 2 ) และ วศิน  พรพงศา  (วิน   Golden song  season 3 )  ร่วมด้วย นักร้องประสานเสียงดุริยางค์ราชนาวี  ในวันอังคารที่ 27 และวันพุธที่ 28 มิถุนายน 2566 เวลา 19.30 น. ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย  

ในการนี้ จึงขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคเงินโดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย  โดยไม่หักค่าใช้จ่าย  สามารถร่วมบริจาคเงินโอนเงินผ่านบัญชี ธนาคารไทยธนชาติ บัญชีเลขที่  115 - 1 - 07541 -1 และ บัญชีธนาคารกรุงไทย หมายเลขบัญชี  662 - 3 - 43960 - 9  ชื่อบัญชี “กาชาดคอนเสิร์ต ครั้งที่ 49”  และ ส่งสำเนาใบโอนเงิน ไปที่ กรมการเงินทหารเรือ หมายเลขโทรสาร 024755557 หรือ LINE ID : FINN97531

ทั้งนี้ ผู้บริจาคเงินโดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทยจะได้รับสิทธิประโยชน์ จากสภากาชาดไทย และกองทัพเรือ  นอกจากนั้น ใบเสร็จรับเงิน ยังสามารถลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า (ดูรายละเอียดได้ที่ facebook fanpage  กองทัพเรือ royal thai navy และ กองประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกองทัพเรือ) หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กรมการเงินทหารเรือ โทร.  024755683

เจนกิจ นัดไธสง รายงาน

ตม.จว.เชียงราย เปิดยุทธการ Lanna Force Check ตรวจสอบคนต่างด้าวขออยู่ต่อในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว เพื่อศึกษาในสถานศึกษามูลนิธิและองค์กรสาธารณะในพื้นที่รับผิดชอบของ ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงราย

วันที่ 15 มิถุนายน 2566ที่ผ่านมา  พ.ต.อ.เขมชาติ วัฒนนภาเกษม ผกก.ตม.จว.เชียงราย เป็นประธานในพิธีปล่อยแถวระดมตรวจสอบคนต่างด้าวขออยู่ต่อในสถานศึกษามูลนิธิและองค์กรสาธารณะตามยุทธการ “Lanna Force Check” ของ บก.ตม.5 โดยบูรณาการร่วม

กับ  ศึกษาธิการจังหวัดเชียงราย ,หน.ฉก.ตชด.327 (ชป.แม่สาย) , สว.ส.ทท.2 กก.2 บก.ทท.2 , สภ.แม่สาย , เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอแม่สาย ,กองบังคับการควบคุมผาทมิฬหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก ทั้งนี้เพื่อให้การป้องกันปราบปรามบุคคลต่างด้าวที่อาจเข้ามาแล้วก่ออาชญากรรม กระทำความผิดต่างๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจ

สอบตามวงรอบแผนมาตรการควบคุมตรวจสอบบุคคลต่างด้าวที่เข้ามาขออยู่ต่อในราชอาณาจักรด้วยเหตุผลเพื่อการศึกษาในสถานศึกษาของรัฐและเอกชน มูลนิธิหรือสมาคม ณ บริเวณหน้าที่ทำการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงราย

สันติ วงศ์สุนันท์/ผู้สื่อข่าวเชียงราย

กองทัพบก ร่วมกับ สวนนงนุชพัทยา ฝึกอบรมกำลังพลของกองทัพบก  โครงการฝึกอบรม หลักสูตรโลกสีเขียว 

ตามที่กองทัพบก ร่วมกับ สวนนงนุชพัทยา ได้จัดฝึกอบรมหลักสูตร โลกสีเขียว ให้กำลังพลของกองทัพบกจำนวน 22 นาย ระยะเวลาการฝึกอบรม 10 วัน วัตถุประสงค์ เพื่อให้กำลังพลของกองทัพบก ได้นำความรู้ทักษะไปปรับใช้ในการประกอบสัมมาอาชีพของตนเอง ซึ่งฝึกอบรบระหว่างวัน 6 - 15 มิถุนายน 2565 ในการจัดอบรมหลักสูตรดังกล่าวได้ครบตามวันเวลา
           
วันนี้ นายกัมพล ตันสจจา  ประธานสวนนงนุชพัทยา และ ผู้แทนท่านผู้บัญชาการทหารบก พลโท นิรันดร ศรีคชา รองเสนาธิการทหารบก  ได้จัดพิธีมอบใบประกาศนียบัตรให้กับกำลังพลของกองทัพบกที่เข้าฝึกอบรมจบหลักสูตรดังกล่าว  จำนวน 22 นาย  จากการฝึกอบรมนำไปใช้ประกอบอาชีพให้กับตนเอง และครอบครัวสามารถนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์และเผยแพร่ในองค์กรและต่อยอดในด้านการเกษตรทฤษฎีใหม่ให้กับทหารกอง ประจำการที่กำลังจะปลดประจำการในรุ่นต่อไป
              
นายกัมพล กล่าวว่า ผมมีความยินดีและเป็นเกียรติที่ได้มาเป็นประธาน ในการมอบใบประกาศนียบัตร แก่ผู้สำเร็จการฝึกอบรมหลักสูตรโลกสีเขียว สำหรับกำลังพลของกองทัพบก ที่มาทำการฝึกอบรม ผมหวังว่าทุกท่านจะนำแนวทางไปปฎิบัติในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและนำไปเผยแพร่ในองค์กรได้

สวนนงนุชพัทยา ถือได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและยังเป็นแหล่งเรียนรู้ในด้านเกษตรทฤษฎีใหม่ สวนนงนุชพัทยาจึงมีความพร้อมในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นสถานที่จัดประชุม ฝึกอบรม และ สถานที่ในการลงมือปฏิบัตงานจริง และรองรับเด็กนักเรียน บุคคลทั่วไป รวมทั้งนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาใช้บริการ

‘นิพนธ์’ ควง ‘สรรเพชญ’ ร่วมพิธีสถาปนา สมาคมฮกเกี้ยนสงขลา  ย้ำจุดยืน เชื้อชาติไหนก็เป็นคนไทยเหมือนกัน มุ่งเน้นทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม

นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมฮกเกี้ยนสงขลา  พร้อมด้วยนายสรรเพชญ บุญญามณี ว่าที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เขต 1 สงขลา ในฐานะที่ปรึกษาสมาคมฯ ร่วมในพิธีสถาปนากรรมการบริหารสมาคมฮกเกี้ยนสงขลา ปีบริหาร 2566-2568  มี นายไพโรจน์ สุวรรณจินดา นายกสมาคมฮกเกี้ยนสงขลา สมัยที่ 15  นายอนุสรณ์ โค่ยสัตยา รองนายกสมาคมฯ และคณะกรรมการสมาคมฯฮกเกี้ยนสงขลา ประจำปีบริหาร 2566-2568 ร่วมให้การต้อนรับ  ณ โรงแรมกรีนเวิล์ด พาเลช สงขลา

ทั้งนี้สมาคมฮกเกี้ยนสงขลา ได้จัดให้มีการเลือกตั้งนายกสมาคมคนใหม่ ในการประชุมใหญ่สามัญสมาชิกฯ เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2566 โดยนายไพโรจน์ สุวรรณจินดา ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกสมาคมฯคนใหม่ เป็นสมัยที่ 15 พร้อมกับการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารของสมาคม ประจำปีบริหาร 2566-2568  ทางสมาคมฮกเกี้ยนสงขลาจึงได้จัดให้มีพิธีสถาปนาสมาคมฯขึ้น เพื่อเป็นเกียรติและแสดงความยินดีกับคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ของสมาคมฯ พร้อมกับการมอบตราตั้งของสมาคมฯจากนาย คณธร รัตนปราการ นายกสมาคมฮกเกี้ยนสมัยที่ 14  

โดยได้รับเกียรติจาก นางอู๋ ตงเหมย กงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำจังหวัดสงขลา นายดนัยธร จารุพฤกษ์พันธุ์ ประธานห้าสมาคมจีนสงขลาพร้อมคณะกรรมการสมาคมฯ นายสุรพล กำพลานนท์วัฒน์ ประธานเขตพื้นที่สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย   และแขกผู้มีเกียรติร่วมในพิธีสถาปนาสมาคมฯและแสดงความยินดีกับคณะกรรมการสมาคมฮกเกี้ยน ประจำปีบริหาร 2566-2568 

นายนิพนธ์กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณ คุณคณธร รัตนปราการ  นายกสมาคมฮกเกี้ยนที่ได้ทำหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง และส่งมอบภารกิจของสมาคมฮกเกี้ยนให้กับท่านนายกคนที่ 15 ในวันนี้ ผมจึงถือโอกาสนี้ขอแสดงความยินดีกับท่านไพโรจน์ สุวรรณจินดา และแสดงความยินดีกับคณะกรรมการสมาคมฮกเกี้ยนทุกท่านที่ได้เสียสละ เข้ามาแบกรับภารกิจของสมาคม สิ่งหนึ่งที่พวกเราควรรักษาเอาไว้นั่นคือความรักความสามัคคีในหมู่คนไทยเชื้อสายจีนทุกตระกูลแซ่ ที่เราถือว่าเมื่อเรามาอยู่ในประเทศไทยและได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษของพวกเรา จากรุ่นสู่รุ่น จนมาถึงรุ่นของพวกเรา แต่สิ่งหนึ่งที่สอนเรา นั่นคือความรักความสามัคคีช่วยเหลือกัน ผมอยากเห็นบรรยากาศอย่างนี้อยู่คู่กับเมืองสงขลา  หรือแม้แต่อยู่คู่ชาวหาดใหญ่ ซึ่งผมไม่อยากแบ่งสงขลาหรือหาดใหญ่ แต่อยากบอกว่าพวกเราสงขลาทั้งหมดอยากให้มีความรักความสามัคคีกัน และทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ชุมชนและสังคม อยากเห็นพวกเราร่วมมือกันกับทุกภาคส่วนพัฒนาชุมชนที่พวกเราอยู่อาศัย 

วันนี้จึงดีใจที่เห็นสมาคมฮกเกี้ยนเป็นปึกแผ่น และร่วมมือร่วมในกันที่จะพัฒนาสมาคม นำสมาคมไปสู่การทำกิจกรรมเพื่อสาธารณกุศลต่างๆในวันข้างหน้า ช่วยเหลือกลุ่มผู้ด้อยโอกาสหรือสมาชิกด้วยกันด้วยความผูกพันในความรักความสามัคคี 

ซึ่งท่านกงสุลใหญ่ประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน  ท่านได้พูดถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ผมคิดว่าความสัมพันธ์อันนี้เรามีทุกระดับ ซึ่งเป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งว่า กรมสมเด็จพระเทพฯท่านได้เสด็จเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนครบครั้งที่ 50 นั่นหมายความว่าความสัมพันธ์ตั้งแต่ทุกระดับ ตั้งแต่ระดับราชวงศ์มาถึงระดัยฝ่ายบริหารต่างๆมีความใกล้ชิดกับสาธารณรัฐประชาชนจีน 

ผมจึงขอถือโอกาสนี้ให้กำลังใจทุกภาคส่วนในการที่จะช่วยกันสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยกับจีน ดั่งที่พวกเราพูดกันว่าไทยจีนมิใช่อื่นไกล เราพี่น้องกัน จึงอยากให้พวกเรายึดถือสิ่งเหล่านี้ แล้วรำลึกภึงบรรพบุรุษเรามาอยู่ที่นี่ด้วยความยากลำบาก และเราผ่านพ้นวิกฤตทุกวิกฤตที่เกิดขึ้นด้วยความผูกพันของพวกเรา ด้วยการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จึงอยากเห็นสิ่งเหล่านี้ดำรงอยู่และใช้ในการสร้างสานสัมพันธ์ทุกตระกูล แซ่เข้าด้วยกัน

ตำรวจไซเบอร์ รวบตำรวจเก๊หลอกเอาเงินหมอ

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 12 พ.ค. 66 แพทย์หญิงจากโรงพยาบาลในจังหวัดกำแพงเพชร ได้มาแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองกำแพงเพชร ว่าได้มีโทรศัพท์แอบอ้างว่าเป็นตำรวจ สภ.คีรีมาศ จ.สุโขทัย แจ้งว่า ตนเองได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินยาเสพติด อีกทั้งมีการพูดจาโน้มน้าวจนแพทย์หญิงคนดังกล่าวหลงเชื่อ และโอนเงินไปเพื่อตรวจสอบบัญชีเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ตามที่คนร้ายกล่าวอ้าง โดยโอนไปยังหมายเลขบัญชี ธนาคารออมสิน ชื่อบัญชี นางสาวกัลญาณี ซึ่งได้โอนไปทั้งหมด จำนวน 3 ครั้ง รวมแล้วเป็นยอดเงินจำนวน 819,100 บาท หลังจากตนได้โอนเงินไปแล้วมาทราบทีหลังว่าถูกหลอก จึงได้มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

กระทั่งวันที่ 14 มิ.ย.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.๒ บก.สอท.๔ นำโดย พ.ต.ท.พร้อมพล นิตย์วิบูลย์ พร้อมชุดสืบสวนนำกำลังเข้าจับกุม นางสาวกัลญาณี อายุ 37 ปี ชาวจังหวัดมหาสารคาม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดกำแพงเพชร ในความผิดฐาน “เปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้องหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้หรือยืมใช้เลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตน” โดยจับกุมได้ที่ถนนสาธารณะ หน้าร้านอู๋แซ่บเวอร์ ต.ขามเรียง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย

เบื้องต้น ผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพว่าตนเองได้เปิดบัญชีธนาคารออมสิน ที่ถูกใช้ในการกระทำความผิด มาประมาณ 8 ปี แล้ว และเมื่อเดือน พ.ค.66 ที่ผ่านมาตนตกงาน และได้ค้นหาแอปกู้เงินออนไลน์ และได้พบแอปหนึ่งซึ่งมีหน้าโปรไฟล์เป็นรูปโลโก้ของธนาคารหนึ่ง ตนเองหลงเชื่อว่าเป็นแอปของธนาคารจริง จึงได้ทำการติดต่อไปเพื่อขอกู้เงินและเจ้าของแอปดังกล่าวก็ได้ให้ตนทำตามขั้นตอนต่าง ๆ เช่นการ แสกนใบหน้า ส่งรูปบัตรประจำตัวประชาชนหน้าหลังและให้ตนส่งหมายเลขบัญชีให้ หลังจากที่ทำรายการเสร็จแอปดังกล่าวแจ้งว่ารอการอนุมัติเงินกู้จากธนาคารจากนั้นไม่นานตนได้รับแจ้งธนาคารว่ามีเงินว่าได้มีเงินเข้าบัญชีธนาคารของตนแบบผิดปกติให้ตนตรวจสอบหลังจากที่ตนเองตรวจสอบพบว่ามีเงินเข้ามาในบัญชีธนาคารของเป็นเงินเกือบ 2 ล้านกว่าบาท และได้มีการกดเงินออกจากบัญชีของตนเช่นกัน โดยที่ตนเองไม่ได้เป็นคนทำธุระกรรมดังกล่าวเลย และหลังจากนั้นก็มีเงินเข้ามาในบัญชีดังกล่าวของตนเรื่อยมา จนเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งกับธนาคารเพื่อทำการอายัติบัญชีของตน จากการตรวจสอบบัญชีทราบว่าตอนนี้มียอดเงินที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งอายัติกับธนาคารไว้เป็นเงินในบัญชีกว่า 2 ล้านบาท

เตือนภัย กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ขอเตือนพี่น้องประชาชนว่าอย่าหลงเชื่อการโทรมาหลอกว่าว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานต่างๆ อาทิเช่น ตำรวจ ศาล อัยการ สรรพกร เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. เจ้าหน้าที่ธนาคารต่างๆ เป็นต้น ว่าตนเองได้มีการกระทำความผิดกฎหมายต่างๆ และให้หลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินให้ ซึ่งตอนนี้มีแก็งมิจฉาชีพจำนวนมากซึ่งคอยหาวิธีการต่างๆเพื่อมาหลอกลวงพี่น้องประชาชน ก่อนที่จะโอนเงิน หรือทำธุระกรรมต่างๆ ควรตรวจสอบให้ดีก่อน เพื่อที่จะไม่ได้ตกเป็นเหยื่อของแก็งมิจฉาชีพต่อไป

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์  วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท.,พล.ต.ต.วิวัฒน์ 
คำชำนาญ รอง ผบช.สอท.,พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย ผบก.สอท.4, พ.ต.อ.อนุชา  ศรีสำโรง ผกก.2 บก.สอท.4,พ.ต.ท.วีระพล กันธวงศ์ สั่งการ พ.ต.ท.พร้อมพล นิตย์วิบูลย์  สว.กก.2 บก.สอท.4 พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top