Saturday, 11 May 2024
NEWS

กองทัพเรือจัดกิจกรรมเสริมสร้างสุขภาพที่ดีและเพิ่มทักษะการปฐมพยาบาลฟื้นคืนชีพพื้นฐาน ในพื้นที่ทัพเรือภาคที่ 3 เพื่อให้กำลังพลมีสุขภาพที่ดี เป็นกำลังรบที่พร้อมปฏิบัติงานในพื้นที่ฝั่งทะเลอันดามันทุกภารกิจ

วันที่ 12 ก.ค.66 พลเรือเอก สุวิน  แจ้งยอดสุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานพิจารณาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการปฏิบัติงานและการพัฒนาคุณภาพชีวิตกำลังพลกองทัพเรือ ตรวจโครงสร้างพื้นฐาน และร่วมกิจกรรมเสริมสร้างสุขภาพที่ดีและเพิ่มทักษะการปฐมพยาบาลฟื้นคืนชีพพื้นฐาน รวมทั้งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือได้ตรวจโครงสร้างพื้นฐานในส่วนของโรงพยาบาลฐานทัพเรือพังงา และอาคารกองเรือปฏิบัติการ ทัพเรือภาคที่ 3 ณ ฐานทัพเรือพังงา อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา เพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องต่อไป

การจัดกิจกรรมครั้งนี้นอกจากเป็นการกระตุ้นให้กำลังพลใส่ใจในการดูแลสุขภาพแล้ว ยังให้ความรู้แก่กำลังพลในการดูแลสุขภาพ และการช่วยฟื้นคืนชีพอย่างถูกต้อง จากบุคคลากรจากกรมแพทย์ทหารเรือ  โดยกรมแพทย์ทหารเรือจะนำผลการตรวจสุขภาพกำลังพลกองทัพเรือมาจัดทำเป็นฐานข้อมูลในโปรแกรม NMD+ เพื่อติดตามและกำหนดแนวทางในการดูแลสุขภาพของกำลังพลได้อย่างเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้การที่กำลังพลมีสุขภาพที่ดีนั้นย่อมส่งผลถึงความพร้อมของกำลังรบ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความพร้อมของทัพเรือภาคที่ 3 ต่อทุกภารกิจในพื้นที่รับผิดชอบฝั่งทะเลอันดามัน และจะส่งผลดีต่อการปฏิบัติงานในภาพรวมของกองทัพเรือ

กำลังพลของหน่วยในทัพเรือภาคที่ 3 ที่เข้าร่วมกิจกรรม ประกอบด้วย กองบังคับการฐานทัพเรือพังงา , กองเรือปฏิบัติการฯ , หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (กองพันรักษาฝั่งที่ 11 และกองพันต่อสู้อากาศยานที่ 22) จำนวน 409 นาย เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 7 กิจกรรม ประกอบด้วย 
- การตรวจวัดและประเมินสภาพร่างกาย
- การทดสอบสมรรถภาพร่างกาย
- การอบรมความรู้เรื่องการออกกำลังกายและลดน้ำหนัก
- การให้ความรู้เกี่ยวกับอาหารที่ควรบริโภค
- การสาธิตและการฝึกการช่วยฟื้นชีพขั้นพื้นฐาน (CPR) 
- การให้ความรู้เรื่้องการป้องกันและปฐมพยาบาลเบื้องต้นโรคลมร้อน (Heat Stroke) 
- การเดินวิ่งเพื่อสุขภาพ

ซึ่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพ รวมถึงทักษะการปฐมพยาบาลช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน ซึ่งการมีสุขภาพที่ดีส่งผลถึงความพร้อมขององค์บุคคล ถือได้ว่าเป็นองค์ประกอบของความพร้อมรบที่สำคัญยิ่ง เปรียบเสมือนการสร้างเหล็กในคนที่สำคัญกว่าเหล็กในเรือ นอกจากนี้ยังส่งผลดีต่อการปฏิบัติงานในภาพรวมของกองทัพเรือ และเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับกำลังพลอีกด้วย โดยจะให้มีการจัดกิจกรรมนี้ในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพเรือทั่วประเทศ

เป็นไปตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารเรือด้านกำลังพลในการส่งเสริมสุขภาพให้กำลังพลของกองทัพเรือมีสุขภาพที่ดี มีร่างกายแข็งแรง พร้อมปฏิบัติงานเพื่อขับเคลื่อนกองทัพเรือได้อย่างมีพลังด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

‘อ.สันติ’ ประติมากรระดับโลก เผยเรื่องราวความประทับใจ หลังเดินทางข้ามโลกมาเข้าเฝ้า ‘ในหลวง ร.10-ราชินี’ ครั้งแรก

เมื่อไม่นานนี้ รายการ ‘เรื่องเล่าข่าวดีกับสายสวรรค์’ ชุดพิเศษ เรื่องเล่าข่าวดี ‘เฉลิมพระบารมี ทศมราชัน’ ตอน ‘ประติมากรไทยระดับโลก ผู้ปั้นพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ด้วยจิตวิญญาณแห่งความจงรักภักดี’ ตอนที่ 3 ออกอากาศเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม 2566 โดยมีแขกรับเชิญ คือ อาจารย์ ดร.สันติ พิเชฐชัยกุล ประติมากรระดับโลก ที่ได้มาแชร์เรื่องราวความทรงจำอันน่าประทับใจในการเดินทางข้ามโลก เพื่อมาเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นครั้งแรก พร้อมเผยถึงเบื้องหลังการปั้นพระบรมรูปในหลวงรัชกาลที่ 9 ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต และปราสาทพระเทพบิดร วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตามพระบรมราชโองการและพระมหากรุณาที่ อ.ดร.สันติ พิเชฐชัยกุล ได้รับอย่างสูงสุด

โดยในช่วงหนึ่งของรายการ อ.ดร.สันติ ได้เล่าว่า “มีครั้งหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังเข้าเฝ้าในหลวงรัชกาลที่ 10 นั้น มีสิ่งหนึ่งที่ผมไม่คาดฝัน คือ พระองค์ทรงเสด็จลงมาที่พื้น เพื่อนั่งคุยกับผม และถามไถ่ผมว่า “อาจารย์เป็นอย่างไรบ้าง อยู่ที่อเมริกา สบายดีไหม?” 

ผมรู้สึกว่าพระองค์ท่านทรงน่ารักมาก ผมไม่รู้จะทำตัวอย่างไร ที่ท่านลงที่พื้นกับผม ผมเลยกราบทูลไปว่า “ท่านครับ ท่านติดดินเหมือนพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 เลยนะครับ แต่ถ้าท่านลงมานั่งที่พื้นแบบนี้ ผมไม่ต้องมุดลงใต้เลยหรือครับ” พอผมพูดจบ ท่านก็แย้มพระสรวลและหัวเราะ จากนั้นสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ ก็ทรงประคองพระองค์ท่านขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้เหมือนเดิม”

อ.ดร.สันติ ยังได้เล่าต่ออีกว่า “สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ ทรงตรัสชมว่า “อาจารย์ปั้นพระบรมรูปเก่งมากเลย” ผมก็เลยเล่าว่า “มีคนสบประมาทผมว่า คุณก็เก่งแค่ตอนนี้แหละ ในอนาคตจะมีคนเก่งกว่านี้” ผมก็โต้ตอบในใจไปว่า “ถ้าจะมีคนเก่งกว่าผม ก็ขอให้คนนั้นเป็นผมอีกสักครั้งหนึ่ง” จากนั้น พระองค์ก็ใช้พระหัตถ์ตบเบาๆ ที่หน้าขาของผม แล้วทรงตรัสว่า “อาจารย์พูดได้ดีมาก ชอบๆ” 

จากนั้น สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ ทรงตรัสต่ออีกว่า “นี่ไงอาจารย์ อาจารย์ก็ทำเก่งกว่าเดิมนี่ไง ท่านทรงโปรดมากเลย ต่อไปอาจารย์จะเหนื่อยกว่านี้อีกนะ” 

สักพักในหลวงท่านเสด็จลุกขึ้น และหันมาตรัสกับภรรยาของผมว่า “เราขอเบิกตัวอาจารย์สันติ ให้ไปกับเราที่ชั้นบนได้ไหม?” ภรรยาผมก็บอกว่า “ได้เพคะ” ผมก็เลยตามเสด็จขึ้นไปชั้นบน ตอนแรกผมจะคุกเข่าตามท่านไป ท่านก็ทรงตรัสว่า “ลุกเดินตามมาได้เลยอาจารย์ เชิญๆ” 

เมื่อเดินถึงชั้นลอย ท่านก็ทรงตรัสว่า “จะเอาพระบรมรูปตั้งไว้ตรงนี้ดีไหม?” สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ ท่านก็ทรงตรัสว่า “หากตั้งไว้ตรงนี้อาจจะไม่เหมาะ เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้กับบันได” พระองค์ท่านจึงหันกลับมาถามความคิดเห็นผมอย่างมีเมตตาว่า “อาจารย์มีความคิดเห็นว่าอย่างไร?” ผมเลยตอบท่านไปว่า “ใช่ครับ ตรงนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะครับ” สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ ทรงมีพระปรีชาสามารถสูงมาก ในการมองสิ่งต่างๆ ได้อย่างเด็ดขาดจริงๆ ครับ”

อ.ดร.สันติ เล่าต่ออีกว่า “หลังจากนั้น พระองค์ท่านก็ทรงเชิญผมขึ้นไปที่ชั้นบนอีกชั้นหนึ่ง โดยท่านเดินนำหน้าผมขึ้นไป เมื่อถึงหน้าห้องแล้ว ท่านทรงใช้พระหัตถ์ขวาเปิดประตู และใช้พระหัตถ์ซ้ายผายออกเพื่อเชิญผมเข้าไปในห้อง จริงๆ แล้วลูกน้องของพระองค์ท่านพยายามจะวิ่งมาเปิดประตูแทน แต่ไม่ทัน ผมก็ไม่รู้จะทำตัวอย่างไร ก็รีบขอบคุณท่าน เมื่อเข้าห้องไป ท่านก็ตรัสถามว่า “เอาพระบรมรูปตั้งไว้ตรงนี้ดีไหม?” ผมก็ตอบว่า “หากไว้ตรงมุมอับอาจจะไม่เหมาะนะครับ จะไม่มีคนเห็นครับ” ท่านก็ตรัสถามอีกครั้งว่า “แล้วถ้าเป็นตรงนั้นล่ะ?” ผมก็ตอบว่า “ตรงนั้นได้ครับ แต่ต้องเอาโซฟาออกนะครับ” ท่านจึงสั่งให้คนของท่านช่วยกันย้ายโซฟาออก ณ ตอนนั้นเลย และสั่งให้นายทหารไปยกพระบรมรูปจากชั้น 1 เพื่อยกขึ้นมาตั้งไว้ที่ชั้น 3 ผมก็กราบทูลกับท่านว่า “ต้องทำพื้นหินอ่อนเป็นฐานใหม่ เพื่อให้สามารถตั้งได้พอดีกันนะครับ และติดไฟใหม่ด้วยครับ”

“หลังจากนั้น เมื่อกลับลงมาที่ชั้นล่าง ท่านทรงตรัสถามไถ่กับลูกชายผม ว่า “How old are you? อายุเท่าไรแล้ว” ตอนนั้นลูกชายคนเล็กของผม ชื่อ ‘น้องโทนี่’ ก็ตอบท่านกลับไปว่า “Five” 5 ขวบแล้ว จังหวะนั้นเอง ผมก็กราบทูลขอท่านไปว่า “ท่านครับ ทรงช่วยจับ ‘น้องไดญามิ’ ลูกสาวคนโตของผมหน่อยได้ไหมครับ” ท่านก็ทรงเมตตา เอาพระหัตถ์ข้ามภรรยาของผม (เอริก้า) ไปจับน้องไดญามิ จังหวะนั้นเอง ผมเลยกราบทูลขอท่านไปว่า “ท่านครับ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ช่วยจับภรรยาผมด้วยได้ไหมครับ” ท่านก็เลยจับ เอริก้าก็หันมาบอกผมว่า “ฉันยังไม่ได้สระผมเลย” จากนั้นผมจึงกราบทูลขอให้ท่านจับผมด้วยอีกคน ท่านก็ทรงเมตตา จับผมอย่างเป็นกันเองด้วย”

“หลังจากนั้น ก่อนท่านจะขอตัวไปพักผ่อน ผมก็รวบรวมความกล้า กราบทูลขอพระองค์ท่านว่า “ขอพระบรมราชานุญาตฉายพระรูปร่วมกับหม่อมฉันและครอบครัวได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ซึ่งท่านก็ทรงมีความเมตตากรุณากับผมและครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง ทรงให้คนไปตามภรรยาและลูกๆ ของผมมาฉายพระรูปร่วมกับพระองค์ท่านอย่างเป็นกันเอง ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเป็นเวลาดึกมากแล้ว เป็นเวลาตี 1 เนื่องจากผมเข้าเฝ้าพระองค์ท่านตั้งแต่เวลา 4 ทุ่มของคืนวันที่ 12 เมษายน จนล่วงเลยเข้าคืนวันที่ 13 เมษายน 2562 แล้ว ซึ่งตรงกับวันขึ้นปีไทยพอดี 

“นับเป็นสิริมงคลกับผมและครอบครัวอย่างมาก ถือเป็นที่สุดของชีวิตผมเลย” อ.ดร.สันติ กล่าวทิ้งท้าย

🚨ตำรวจไซเบอร์เตือนภัย🚨

🚨ตำรวจไซเบอร์เตือนภัย🚨

🏡มุกใหม่มิจฉาชีพ หลอกยกเลิกสัญญาซื้อขายบ้าน-ที่ดิน ยอมโดนยึดมัดจำ ลวงผู้เสียหายผิดนัด

⚠️ กลลวงมิจฉาชีพ เริ่มต้นจะขอซื้อบ้านหรือที่ดิน โดยจวางเงินมัดจำเป็นจำนวนที่สูง มีการระบุวันโอนขายที่ดินไว้
⚠️ ก่อนถึงวันโอนบ้านหรือที่ดิน มิจฉาชีพจะโทรศัพท์มาแจ้งผู้ขาย ขอยกเลิกการซื้อขาย และยอมให้ยึดเงินมัดจำ จนผู้เสียหายหลงเชื่อและไม่ไปสำนักงานที่ดินเพื่อโอนตามสัญญา
⚠️ วันโอนตามสัญญา มิจฉาชีพจะไปสำนักงานที่ดินและนั่งรอผู้ขายตั้งแต่เช้า เพื่อให้กล้องวงจรปิดบันทึกภาพ และมีพยานบุคคล ซึ่งส่งผลให้ผู้ขายเข้าข่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขาย และมิจฉาชีพสามารถเรียกค่าปรับได้ตามที่ระบุไว้ในสัญญา ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สูงกว่าเงินมัดจำ

ข้อควรระวัง
✅ ผู้ขายควรตรวจสอบประวัติของผู้ที่มาติดต่อขอซื้อบ้านหรือที่ดิน เพื่อป้องกันการถูกหลอกจากกลุ่มมิจฉาชีพ

 ❌ไม่เชื่อ  ❌ไม่รีบ  ❌ไม่โอน

 "ตำรวจไซเบอร์ ให้ความรู้ รู้ทันความคิดมิจฉาชีพ"

#ตำรวจไซเบอร์ #เตือนภัยออนไลน์ #ซื้อขายบ้านหรือที่ดิน #กรมที่ดิน

💌 ด้วยความห่วงใย จากตำรวจไซเบอร์
☎️ ปรึกษาสอบถามโทร 1441 หรือ 081-866-3000
🌐 แจ้งความออนไลน์ www.thaipoliceonline.com
📱 Line:@police1441 แชทบอทกับหมวดขวัญดาว ตลอด 24 ชั่วโมง

'ปภ.' จับมือมูลนิธิร่วมกตัญญู ลงนามบันทึกความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

วันนี้ (12 ก.ค. 66) เวลา 13.30 น.  ที่ห้องประชุม1 กรม ปภ. นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และ ดร. รัตนา สมสกุลรุ่งเรือง ประธานกรรมการมูลนิธิร่วมกตัญญู ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยมี ดร. ทวีชัย จริยะเอี่ยมอุดม, นายพรเทพ เมธาขจรกุล รองประธานกรรมการมูลนิธิร่วมกตัญญู, นายสมศักดิ์ ปาลวัฒน์ ผู้จัดการมูลนิธิร่วมกตัญญู, ผู้บริหารของ ปภ. และมูลนิธิร่วมกตัญญู เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน

ในช่วงที่ผ่านมา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะหน่วยงานกลางของรัฐในการบูรณาการบริหารจัดการสาธารณภัยของประเทศ ได้ให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการสาธารณภัย โดยมุ่งสร้างเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และองค์การสาธารณกุศล และที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจากมูลนิธิร่วมกตัญญู และมูลนิธิร่วมกตัญญู ซึ่งเป็นองค์กรสาธารณกุศลขนาดใหญ่ มีเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครปฏิบัติงานในกรุงเทพมหานครและหลายจังหวัดเป็นจำนวนมาก ซึ่งได้ร่วมมือกันในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ช่วยเหลือประชาชนจนประสบผลสำเร็จด้วยดีมาอย่างต่อเนื่อง

สำหรับการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับความร่วมมือของทั้งสองหน่วยงานในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งนอกจากจะสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาท ภารกิจภายใต้ระเบียบ กฎหมาย องค์ความรู้ ทักษะ การปฏิบัติหน้าที่และการบูรณาการจัดการในภาวะฉุกเฉินแล้ว ยังจะทำให้ทั้งสองหน่วยงานประสานการปฏิบัติและบูรณาการจัดการในภาวะฉุกเฉินได้อย่างความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งจะได้ร่วมกันพัฒนาศักยภาพมาตรฐานในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครให้มีความพร้อมช่วยเหลือประชาชนให้ปลอดภัยจากสาธารณภัยต่อไป

นอกจากนี้ อธิบดี ปภ. ได้มอบเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ “สดุดีป้องกันภัย” ให้แก่บุคลากรของมูลนิธิร่วมกตัญญู ซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชนมาเป็นระยะเวลาต่อเนื่องยาวนาน จำนวน 4 ท่าน  ได้แก่

1) นายกฤษดา อินทร์พาเพียร หัวหน้าอาสาสมัครจังหวัดสระบุรี (ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
2) นายบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมพิเศษ
3) นายเอกพัน บรรลือฤทธิ์ หัวหน้าอาสาสมัครมูลนิธิฯ
4) นายพิมพ์ชนก ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ฝ่ายดาราและประชาสัมพันธ์  ซึ่งเป็นบุคคลที่ให้ความช่วยเหลือการปฏิบัติงานในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและปฏิบัติงานพิเศษที่ได้รับมอบหมายจากทางราชการเป็นที่ประจักษ์ ด้วยความเสียสละ กล้าหาญ ทุ่มเท จนเกิดประโยชน์แก่สังคมและประชาชนมาเป็นระยะเวลาต่อเนื่องยาวนาน

สำหรับเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ “สดุดีป้องกันภัย” เป็นไปตามระเบียบกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยว่าด้วยเครื่องหมายเชิดชูเกียรติสำหรับผู้ปฏิบัติหน้าที่หรือช่วยเหลือด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2565  ซึ่ง ปภ. จะพิจารณามอบให้แก่บุคคลที่เป็นผู้ช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย ด้วยความเสี่ยงภัยหรือเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตด้วยความเสียสละ กล้าหาญ เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ปฏิบัติหน้าที่หรือช่วยเหลือในการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยหรือคุณประโยชน์แก่การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จนเกิดประโยชน์แก่ทางราชการและประชาชน

‘บช.น.’ ซุ่มถกแผน เตรียมรักษาความปลอดภัย ‘วีไอพี’ คาด!! เอี่ยว ‘ทักษิณ’ หลังเอ่ยกลับไทยในเดือน ก.ค. 66

(12 ก.ค. 66) ผู้สื่อข่าวได้รับสำเนาเอกสารฉบับหนึ่ง ระบุว่าเป็นกำหนดการประชุมเตรียมความพร้อมในการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ ในวันพุธที่ 12 ก.ค. 66 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมปารุสกวัน 1 อาคาร บช.น. (กองบัญชาการตำรวจนครบาล)

โดยในเอกสารดังกล่าวได้ระบุระเบียบวาระการประชุมที่ 2 เป็นการรับทราบสถานการณ์การข่าวและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์และภัยคุกคาม (บช.ส.1) (กองบัญชาการตำรวจสันติบาล) รวมไปถึงขั้นตอนการดำเนินการตามกฎหมาย กรณีมีผู้ต้องหาตามหมายจำคุกเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย โดยเครื่องบินโดยสาร ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง หรือสุวรรณภูมิ

ในระเบียบวาระการประชุมที่ 3 เป็นเรื่องพิจารณา ประกอบด้วย 3.1 การพิจารณากำหนดเส้นทางการเดินทาง (บก.จร.) (กองบังคับการตำรวจจราจร) รวม 6 เส้นทาง ได้แก่ 3.1.1 เส้นทาง (หลัก และรอง) จากสนามบินสุวรรณภูมิ มายังศาลฎีกา (สนามหลวง), 3.1.2 เส้นทาง (หลัก และรอง) ในการเดินทางจากสนามบินดอนเมือง มายังศาลฎีกา (สนามหลวง), 3.1.3 เส้นทาง (หลัก และรอง) ในการเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ มายัง บช.ปส. (กองบัญชาการตํารวจปราบปรามยาเสพติด) (สถานที่ควบคุมพิเศษ), 3.1.4 เส้นทาง (หลัก และรอง) ในการเดินทางจากสนามบินดอนเมือง มายัง บช.ปส. (สถานที่ควบคุมพิเศษ), 3.1.5 เส้นทาง (หลัก และรอง) จาก บช.ปส. มายังศาลฎีกา (สนามหลวง) และ 3.1.6 เส้นทาง (หลัก และรอง) จากศาลฎีกา (สนามหลวง) มายังเรือนจำพิเศษ กทม.

ในหัวข้อ 3.2 เป็นการพิจารณาแนวทางการวางกำลังรักษาความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกการจราจร (พื้นที่ที่เกี่ยวข้อง) แบ่งเป็น 3.2.1 เส้นทางการเดินทาง ตามข้อ 3.1.1-3.1.6 และ 3.2.2 การบริหารจัดการพื้นที่ และการวางกำลังรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกการจราจร ในแต่ละสถานที่ (สนามบินสุวรรณภูมิ, สนามบินดอนเมือง, บช.ปส. และ ศาลฎีกา)

ส่วนหัวข้อ 3.3 เป็นการพิจารณาแนวทางการจัดรูปแบบขบวนรถในการรักษาความปลอดภัย (บก.จร. และ บก.สปพ. (กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ หรือ 191))

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสอบถามผู้เกี่ยวข้องในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และ บช.น.พบว่า ไม่มีผู้ใดยอมรับ หรือปฏิเสธเกี่ยวกับการประชุมดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า การประชุมเตรียมความพร้อมในการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญของ บช.น. ที่ระบุในระเบียบวาระที่ 2 ถึงขั้นตอนการดำเนินการตามกฎหมาย กรณีมีผู้ต้องหาตามหมายจำคุกเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย โดยเครื่องบินโดยสาร สอดคล้องกับคำประกาศของ 'นายทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่า จะกลับประเทศไทยภายในเดือน ก.ค. 66

สตม.ลุยต่อเนื่อง ไปจีนแก้ปัญหาอาชญากรรมคนจีนเข้ามาก่อเหตุกับคนจีนด้วยกันโดยใช้ไทยเป็นแหล่งก่อเหตุ ตามสั่งการ ผบ.ตร.

สืบเนื่องจาก พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการผ่าน พล.ต.ท. ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธ์ผบช.สตม.ให้หาแนวทางมาตรการในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมคนจีนเข้ามาก่อเหตุกับคนจีนด้วยกันโดยใช้ไทยเป็นแหล่งก่อเหตุ แล้วหลบหนีออกนอกประเทศ รวมถึงมีบางส่วนเดินทางมายังประเทศไทยเพื่อหลบหนีการกระทำความผิดมาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศต่างๆ เข้ามาในประเทศไทย อีกทั้งบางส่วนมีพฤติกรรมเข้ามาก่อตั้งรกรากแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด และประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย อันเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ซึ่งได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. และคณะ เดินทางไปประชุมหารือร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจีน

เมื่อต้นเดือน พฤษภาคม 2566 นั้น ทาง สตม. ได้มีการจับกุมคนจีนได้จำนวนหลายราย ตามที่สาธารณรัฐประชาชนจีนแจ้งข้อมูลการกระทำผิดมาเพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผบ.ตร. ได้สั่งการผ่าน ผบช.สตม. ให้พล.ต.ต.พันธนะฯ ไปประชุมแสวงหาความร่วมมือ และแลกเปลี่ยนข้อมูลเพิ่มเติม กับเจ้าหน้าที่ตำรวจมณฑลต่าง ๆ ที่สำคัญในสาธารณรัฐประชาชนจีนอีกครั้ง เพื่อหาแนวทางในการสกัดกั้น และป้องกันไม่ให้ผู้ที่มีประวัติในการกระทำความผิด หลบหนีเข้ามาในประเทศไทยผ่านตามช่องทางสนามบินและช่องทางด่านต่างๆทั่วประเทศ รวมถึงติดตามจับกุมผู้ที่มีหมายจับของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยได้จัดประชุมในวันที่ 8-12 กรกฎาคม 2566 ซึ่งในครั้งนี้ได้เดินทางไปที่ เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน และได้มีการร่วมประชุมกับ กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ (MPS) สาธารณรัฐประชาชนจีนโดยกรมรักษาความปลอดภัยสาธารณะยูนนาน (PSD) มณฑลยูนนาน หน่วยงานที่เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย สำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศ มณฑลยูนนาน, กองสืบสวนสอบสวนคดีอาญา, กองสืบสวนสอบสวนคดีอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ และศูนย์ประสานงาน 4 ประเทศ

ผลการประชุมหารือได้รับความร่วมมือเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ละหน่วยเป็นอย่างดี โดยในครั้งนี้ที่ประชุม ได้มีความเห็นว่าให้นำผู้ปฏิบัติงานจริงมาแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อให้นำไปสู่ผลสัมฤทธิ์อย่างแท้จริง และจะมีการรวบรวมข้อมูลอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยมาหารืออีกครั้งในคราวต่อไป รวมทั้งทางตำรวจสาธารณรัฐประชาชนจีนยังได้ประสานข้อมูลผู้ต้องหาที่มีหมายจับที่สำคัญและมีข้อมูลว่าหลบหนีเข้ามาอยู่ในประเทศไทยให้ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของไทยช่วยสืบสวน ติดตาม จับกุมให้ จำนวนหลายเป้าหมายและมีการประสานงานร่วมกันเพื่อส่งข้อมูลผู้ต้องหาที่มีหมายจับในสาธารณรัฐประชาชนจีนให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไทยลงข้อมูลในระบบเพื่อแจ้งเตือน เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการสกัดกั้นไม่ให้ผู้ต้องหาเข้ามาก่อเหตุในประเทศไทย ในลักษณะดังกล่าวได้อีก  
นอกจากนี้ทางตำรวจสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ขอบคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทยสำหรับความร่วมมือเป็นอย่างดีที่ผ่านมา ที่ให้ความร่วมมือช่วยสืบสวน จับกุมผู้ต้องหาที่มีหมายจับคดีสำคัญของทางการจีนมาดำเนินคดีตามกฎหมายเป็นจำนวนมาก

'ทรู' ดำเนินคดีขบวนการเฟกนิวส์  ใส่ร้ายบริษัทตัดสัญญาณมือถือ 'พิธา'

ทรูดำเนินคดีขบวนการเฟกนิวส์ กรณีใส่ร้ายทรูตัดสัญญาณมือถือนักการเมือง พร้อมชวนย้ายค่ายไปคู่แข่ง ปั้นข้อมูลเท็จหวังดึงการเมืองให้เข้าใจผิด

(12 ก.ค. 66) จากกรณีมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ Fake News ในเพจกลุ่มพรรคก้าวไกล – Move Forward Party ว่า... “คุณพิธา ถูกตัด สัญญาณโทรศัพท์จากทรู Fc คุณพิธาเปลี่ยนเป็น เอไอเอสหรือยัง” ซึ่งจากการตรวจสอบอย่างละเอียดพบว่า หมายเลขดังกล่าว ยังสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องตามปกติ และทรูขอยืนยันว่าไม่มีการตัดสัญญาณตามที่ถูกใส่ร้ายแต่อย่างใด โดยทีมงานของทรูได้ติดต่อแจ้งข้อเท็จจริงต่างๆ โดยตรงกับแอดมินเพจกลุ่มพรรคก้าวไกล – Move Forward Party แล้ว ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีช่วยลบโพสต์ดังกล่าวด้วยความเข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้ การสร้างสังคมออนไลน์ที่สะอาดปราศจากการโกหกบนอินเตอร์เน็ต เป็นแนวทางในการสร้างสังคมที่ดี ซึ่งการดำเนินการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุดและสืบสวนต่อถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จะเป็นกรณีตัวอย่างให้สังคมหลีกเลี่ยงการใช้เฟคนิวส์ ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เป็นความผิดตาม พรบ.คอมพิวเตอร์มาตรา 14 (1) โดยการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอม ซึ่งในกรณีนี้โพสต์ดังกล่าวไม่เป็นความจริง ซึ่งเข้าข่าย Fake News เราจึงได้ดำเนินการแจ้งความเอาผิดกับผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ได้โพสต์ข้อความสร้างความเสียหายให้แก่บริษัท โดยไม่มีมูลความจริง ต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 กองบัญชาการตำรวจนครบาล เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ที่ผ่านมา

สำหรับสาเหตุที่จำเป็นต้องแจ้งความดำเนินคดี เนื่องจากข้อความที่มีการโพสต์เป็นลักษณะการโฆษณาต่อบุคคลอื่นที่ได้พบหรือได้อ่านข้อความดังกล่าว อันเป็นเหตุต่อเนื่องให้มีการแสดงความคิดเห็นที่เป็นการใส่ความต่อบริษัท โดยเผยแพร่ต่อสาธารณะ ผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือโซเชียลมีเดียในเพจกลุ่มก้าวไกล ปลุกปั่นให้เชื่อว่าบริษัทที่ประกอบธุรกิจโดยความสุจริตเป็นผู้ฝักใฝ่ทางด้านการเมือง และได้ดำเนินการกลั่นแกล้งทางการเมือง อันทำให้บริษัทได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงเกียรติยศเป็นการดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังและกระทบต่อธุรกิจของบริษัท บริษัทจึงจำเป็นต้องดำเนินคดีถึงที่สุด เพื่อป้องกันมิให้เกิดการกระทำที่เข้าข่าย Fake News เช่นนี้ เกิดขึ้นอีกในอนาคต

‘ดร.เอ้’ ชี้!! ต้องเร่งหาเหตุสะพานลาดกระบังถล่มด่วน แนะ!! ชะลอโครงการไว้ ก่อนเกิดเหตุสลดอีกในอนาคต

(12 ก.ค. 66) จากรายการ Meet THE STATES TIMES ประจำวันที่ 11 กรกฎาคม 2566 เผยแพร่ทาง THE STATES TIMES ได้มีการพูดถึงประเด็นเหตุการณ์สะพานข้ามแยกลาดกระบังถล่ม โดยเชิญ ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ‘ดร.เอ้’ อดีตนายกสภาวิศวกรรม, อดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย มาร่วมพูดคุย มีสาระสำคัญ ดังนี้…

จากเหตุการณ์โครงการสะพานข้ามแยกลาดกระบังถล่ม เมื่อช่วงเย็นวันจันทร์ ที่ 10 ก.ค.66 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บหลายรายนั้น ทาง THE STATES TIME ได้สัมภาษณ์ ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ‘ดร.เอ้’ อดีตนายกสภาวิศวกรรม, อดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ผ่านรายการ MEET THE STATES TIME ข่าวคุยเพลิน ถึงสาเหตุที่ทำให้ ดร.เอ้ ต้องโพสต์เตือนผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับความน่าห่วงของโครงการดังกล่าว เมื่อเดือนสิงหาคม 2565 ถึง 2 ครั้ง 2 ครา ระบุว่า…

“ด้วยความที่ผมเป็นวิศวกรและประสบการณ์เกี่ยวกับการวิบัติโครงสร้าง อีกทั้งยังมีฐานะเป็นนายกสภาวิศวกรรม, นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย และเคยได้เข้าไปช่วยเหลือเรื่องวิบัติโครงสร้างมามากมาย รวมถึงเป็นประชาชนที่ต้องขับรถผ่านถนนเส้นทางนี้อยู่เป็นประจำนั้น ในวันที่ 9 สิงหาคม 2565 เป็นวันที่ผมได้มองเห็นโครงสร้างของไซด์งานนี้อยู่ในระหว่างหล่อเสาตอหม้อ ซึ่งปกติการหล่อเสาสูงๆ แบบนี้ จะต้องต่อนั่งร้านขึ้นไป แต่เมื่อผมมองไปเห็นนั่งร้านของคนงานแล้วยังคงไม่เป็นไปตามมาตรฐานก็ห่วง

“เท่านั้นยังไม่พอ ขั้นตอนการหล่อเสาตอม่อที่เห็นไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น และจากประสบการณ์ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา จะเป็นว่าคนงานก่อสร้างจะเสียชีวิตจากนั่งร้านพังระหว่างเทคอนกรีตเป็นจำนวนมาก ไม่เพียงเท่านั้นผมยังเห็นในส่วนของเครื่องจักรต่างๆ ไม่ค่อยเรียบร้อย แหงนหน้าขึ้นไปมองเห็นตัวเครนที่ล้ำเข้ามาในพื้นที่ถนนที่มีการจราจรแออัด นั่นจึงทำให้ผมตัดสินใจเขียนเตือนผ่านเฟซบุ๊กในฐานะประชาชนและวิศวกรอาวุโส  แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

“จนเมื่อวันที่ 10 ก.ค.66 ช่วงเที่ยงก่อนเกิดเหตุนิดเดียว ผมยังชี้ให้เพื่อนของผมดูเลยว่า มันน่ากลัวนะ เพราะสัญชาตญาณวิศวกรบอกตนว่า ไซด์งานแบบนี้ดูไม่เรียบร้อย ไม่ปลอดภัย อันตราย พอตกตอนเย็นเกิดเหตุโครงสร้างได้พังถล่มลงมาตนรู้สึกเสียใจมาก ตนมองว่าเหตุการณ์แบบนี้ไม่น่าเกิดขึ้น เนื่องจากประเทศไทยทำโครงการแบบนี้มามากมาย ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ของวิศวกรไทยหรือผู้รับผิดชอบ มันควรมีความปลอดภัย 100% ด้วยซ้ำไป เพราะเป็นสิ่งที่เราทำกันมาอยู่ตลอด”

เมื่อถามถึงสาเหตุที่โครงสร้างสะพานถล่มครั้งนี้เกิดจากอะไร? ดร.เอ้ กล่าวว่า “ไม่สามารถตอบได้ ไม่มีใครจะรู้จริงว่าเกิดจากสาเหตุใด จนกว่าจะได้พิสูจน์ตามหลักวิศวกรรม แต่วิศวกรที่มีประสบการณ์จะต้องตั้งคำถามเพื่อไปแสวงหาคำตอบข้อเท็จจริง ดังนั้นตนจึงขอตั้งคำถาม 3 ข้อ เพื่อที่จะช่วยคนรับผิดชอบ…

1. คานร่วงหล่นมาได้อย่างไร เป็นเพราะโครงสร้างตัวเคนที่หิ้วคานไหม ? อุปกรณ์พร้อมหรือไม่ หรือกระบวนการทำงานถูกต้องหรือไม่
2. เหล็กเสริมถูกต้องได้มาตรฐานหรือไม่ คอนกรีตรับกำลังได้หรือไม่ เสาตอหมอถึงหักขาดสะบั้น
3. เสาเข็มสมบูรณ์หรือไม่

“ดังนั้นการวิเคราะห์ ต้องจากล่างขึ้นบนด้วย ไม่ใช่แค่บนลงล่างเท่านั้น ต้องไปหาคำตอบจาก 3 ข้อนี้ ถึงจะได้คำตอบที่แท้จริงแล้วว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เกิดจากสิ่งใดกันแน่”

เมื่อถามถึงหลักการทางวิศวกรรม ว่าจะต้องทำอย่างไรกับซากและโครงการที่ยังรันอยู่? ดร.เอ้ ตอบว่า “หลังจากนี้เราต้องไปสำรวจตอหม้อที่เหลืออยู่ทั้งหมดว่ามีปัญหาหรือไม่ รวมถึงเสาเข็มใต้ตอหม้อว่ามีปัญหาแค่ไหน แต่ถ้าเกิดว่าตอหม้อที่เหลือมีปัญหาจริง ก็ยังไม่ต้องเป็นกังวลไปครับ เพราะโดยทางเทคนิคสามารถเสริมเสาเข็มใต้ตอหม้อได้ แต่ต้องรู้ก่อนนะ ไม่ใช่ว่าก่อสร้างต่อ เพราะนั่นจะทำให้เราไม่สามารถทราบได้ว่าสะพานแห่งนี้มีจุดอ่อนตรงจุดไหน แล้วถ้าเกิดสะพานได้รับแรงสั่นสะเทือนมากๆ เช่น จากรถสิบล้อ หรือเกิดแผ่นดินไหวขึ้นในกรุงเทพฯ มั่นใจได้ว่าคงมีผลกระทบตามมาอีกแน่นอน ซึ่งผมก็ไม่อยากจะจินตนาการเลยถ้าถึงวันนั้นจะเกิดผลกระทบเสียหายอีกมากน้อยแค่ไหน 

“ดังนั้นสิ่งแรกที่อยากแนะนำ คือ ต้องยุติการก่อสร้างชั่วคราว แล้วไปดูองค์ประกอบต่างๆ ของโครงการอย่างละเอียด โดยทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้องต้องเข้าไปดู ไม่ใช่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น”

ดร.เอ้ กล่าวเสริมอีกด้วยว่า “สำหรับประเทศไทยผู้ที่ดูแลรับผิดชอบในเรื่องนี้ ก็คือ เจ้าของโครงการที่ต้องเข้ามาดูแล แต่ถ้าในต่างประเทศจะมีหน่วยงานกลางที่เข้ามาดูแลและหาสาเหตุของปัญหานี้ และนี่คือ สิ่งที่ประเทศไทยขาดหรือไม่มี

“ฉะนั้นนั้นถึงเวลาหรือยังที่เราจะมี ‘หน่วยงานกลาง’ ที่มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเข้ามาดูแล ซึ่งผมอยากจะขอฝากไปยังรัฐบาลชุดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ขอให้เข้ามาผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคม เราจึงควรทอดบทเรียนอย่างละเอียดจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ตนอยากจะเห็นความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และพร้อมที่จะเข้ามาช่วยในเรื่องนี้ถ้าเกิดรัฐบาลชุดใหม่ต้องการจะทำในเรื่องนี้”

สุดท้ายในฐานะอดีตนายกสภาวิศวกรรม, นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ขอฝากถึงเจ้าของโครงการต่าง ๆ ดังนี้…

1. ต้องคิดถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นที่ตั้งสำคัญที่สุด
2. ยึดมั่นมาตรฐานความปลอดภัย
3. ต้องจริงใจ จริงจัง ในการถอดบทเรียน

ตำรวจเตรียมกำลังพร้อมดูแลความเรียบร้อยวันโหวตนายกรัฐมนตรี ขอความร่วมมือชุมนุมอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ในพื้นที่ที่จัดเตรียมให้ เพื่อความสงบเรียบร้อย บช.น.ออกประกาศห้ามชุมนุมรอบสภา 50 เมตร 12-15 ก.ค.นี้

วันนี้ (12ก.ค.66 ) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  กล่าวว่า “ ตามที่จะมีการประชุมรัฐสภาเลือกนายกรัฐมนตรี ในวันพรุ่งนี้ (13 ก.ค.66) ซึ่งคาดว่าจะมีประชาชนบางส่วนมาแสดงออกหรือจัดการชุมนุมนั้น พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ที่ดูแลงานมั่นคง อำนวยการในภาพรวม และ บช.น. ได้ชี้แจงจัดเตรียมแผนการรักษาความปลอดภัย อำนวยความสะดวกการจราจร และการบริหารจัดการพื้นที่รัฐสภา โดยใช้การขับเคลื่อนการปฏิบัติผ่าน ศปก.ตร. 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความพร้อมในการรักษาความปลอดภัย การอำนวยความสะดวกจราจร และการบริหารจัดการพื้นที่รัฐสภา ร่วมมือกับ กทม. จัดสถานที่รองรับการชุมนุมบริเวณพื้นถนน 1 ช่องจราจร และทางเท้าภายในศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร เกียกกาย (ฝั่งสนามเด็กเล่น) พื้นที่ 710 ตร.ม. รองรับผู้ชุมนุมได้ประมาณ 100 – 200 คน หากเกิดกว่าปริมาณที่จะรับได้ บช.น. จะปรับพื้นที่ตามจำนวนผู้ชุมนุมต่อไป และมีการจัดเตรียมเส้นทางและสภาพการจราจร เตรียมกำลังพลเป็นจำนวนมาก อุปกรณ์ต่างๆ ยานพาหนะ กล้องวงจรปิด ชุดเคลื่อนที่เร็วเพื่อแก้ไขสถานการณ์ ครอบคลุมพื้นที่รัฐสภาและพื้นที่ต่างๆ ในพื้นที่ กทม.

โดย พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ได้ลงนามคำสั่ง กองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่ 315/2566  เรื่อง ประกาศห้ามชุมนุมสาธารณะในรัศมีไม่เกินห้าสิบเมตร รอบรัฐสภา ตามมาตรา 7 วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558  โดยประกาศห้ามชุมนุมสาธารณะในรัศมีไม่เกิน 50 เมตร รอบรัฐสภา รายละเอียดกำหนดพื้นที่ห้ามชุมนุมและพื้นที่ชุมนุมรอบรัฐสภา ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2566 เวลา 06.00 น. ถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2566 เวลา 24.00 น. ซึ่งอาจมีการปิด ปรับเปลี่ยนเส้นทางการจราจร เพื่ออำนวยความสะดวกในการดูแลการชุมนุมฯ 

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอความร่วมมือผู้ชุมนุมอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ภายในสถานที่ที่จัดให้มีการชุมนุม หากจะชุมนุมนอกสถานที่ดังกล่าวขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 ให้ผู้จัดการชุมนุมฯ มีหนังสือแจ้งการชุมนุมต่อหัวหน้าสถานีตำรวจล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง และขอให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมปฏิบัติตามหน้าที่และกฎหมาย ไม่ยุยง ส่งเสริม ชักจูงให้กระทำความผิด หรือก่อให้เกิดความเดือนร้อนรำคาญเกินสมควรแก่เหตุ ไม่พกพาอาวุธ และให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ตลอดจนปฏิบัติตามคำแนะนำ เงื่อนไขหรือคำสั่งของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากฝ่าฝืนจะมีโทษตามกฎหมาย  โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะบังคับใช้ตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558, แผนดูแลการชุมนุมสาธารณะฯ ตามมติคณะรัฐมนตรี (วันที่ 25 สิงหาคม 2558) และแผนชุมนุม 63 (ตร.) รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้องเป็นแนวทางในการบริหารจัดการฯ 

สำหรับประชาชนทั่วไป ขอประชาสัมพันธ์หลีกเลี่ยงเส้นทางการจราจรบริเวณถนนสามเสน หน้ารัฐสภาตลอดห้วงเวลาการประชุมสภาฯ ตั้งแต่เวลา 09.30 น. ของวันที่ 13 ก.ค.เป็นต้นไป

โฆษก ตร. กล่าวอีกว่า “ ผบ.ตร. มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน ทั้งประชาชนที่สัญจรไปมาและที่มาร่วมชุมนุม ได้สั่งการให้ทุกหน่วยเฝ้าฟัง ติดตามสถานการณ์ และจัดเตรียมแผน รองรับการปฏิบัติต่างๆ แก้ไขปัญสภาพการจราจร ตลอดจนแผนเผชิญเหตุ มอบหมายผู้รับผิดชอบพื้นที่ต่างๆ ไว้ให้ครอบคลุมพื้นที่ กทม. และขับเคลื่อนการปฏิบัติการผ่านระบบ ศปก.ตร. และ ศปก.ทุกระดับ โดยได้เตรียมการรองรับและซักซ้อมการปฏิบัติไว้เรียบร้อยแล้ว จึงขอความร่วมมือทุกฝ่ายปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยเป็นไปด้วยดี”

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เชิญชวนประชาชน “ทำแบบทดสอบวัคซีนไซเบอร์ 40 ข้อ ได้รับ Whoscall Premium ใช้ฟรี 1 ปี และลุ้นรับ iPhone 14 จำนวน 60 เครื่อง ” 

เนื่องจากในรอบสัปดาห์  มีการรับแจ้งความออนไลน์คดีปลอมเสียงเป็นบุคคลอื่นโทรศัพท์หลอกลวงเพื่อยืมเงิน สร้างความเสียหายและความกังวลให้กับพี่น้องประชาชน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. เป็นห่วงพี่น้องประชาชน ที่อาจจะตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ จึงมอบหมายให้ พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง  ที่ปรึกษาพิเศษ ตร.   หัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและ พล.ต.ท.ธัชชัย  ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมด้วยคณะทำงาน แถลงข่าวเตือนภัย เมื่อวันที่ 12  ก.ค.2566 เวลา 10.30 น. ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

พล.ต.อ.สมพงษ์  ชิงดวง  ที่ปรึกษาพิเศษ ตร.กล่าวว่าในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (2-8 ก.ค.2566)  มีสถิติการรับแจ้งความคดีออนไลน์มากที่สุดยังเป็นคดีเดิมๆ  5 อันดับ ได้แก่  อันดับ 1)  คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ 2) คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ   3) คดีหลอกลวงให้กู้เงิน  4) คดีหลอกลวงให้ติดตั้งโปรแกรมควบคุมระบบในเครื่องโทรศัพท์ฯ และ 5) คดีข่มขู่ทางทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน (Call Center) มองในภาพรวมแล้ว สถิติการรับแจ้งลดลงเพียงเล็กน้อย จึงต้องเร่งประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนได้รับทราบ สำหรับคดีออนไลน์ที่คนร้ายนำมาหลอกลวงซ้ำเติมประชาชนในช่วงนี้  คือ ลำดับ 7 การแอบอ้างเป็นบุคคลอื่นเพื่อยืมเงิน  และจากการตรวจสอบสถิติการรับแจ้งความออนไลน์ทั้งหมด มีการรับแจ้ง จำนวน 10,425 เคส ความเสียหาย 370 ล้านบาทเศษ โดยคนร้ายใช้วิธีการปลอม Facebook  ไลน์ และโทรศัพท์หลอกลวงเป็นบุคคลอื่นเพื่อยืมเงิน แต่ช่วงนี้คนร้ายใช้วิธี“ปลอมเสียง”เป็นบุคคลอื่นเพื่อยืมเงิน  ซึ่งเป็นการพัฒนาวิธีการหลอกลวงของคนร้าย ถือเป็นความจำเป็นเร่งด่วนต้องแจ้งเตือนให้ประชาชนทราบ

พ.ต.อ.ก้องกฤษฎา  กิตติถิระพงษ์  รอง ผบก.ตอท.บช.สอท. กล่าวว่า  ก่อนหน้านี้คนร้ายจะโทรศัพท์หาเหยื่อ แกล้งถามว่า “ทำอะไรอยู่และจำได้หรือไม่ว่าเป็นใคร”  เหยื่อพยายามคิดว่าเสียงเหมือนใคร แล้วบอกชื่อไป  คนร้ายจะสวมรอยเป็นคนนั้นทันที   แล้วบอกว่าเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มือถือ   จากนั้นให้เหยื่อบันทึกชื่อใหม่ไว้  วันต่อมาคนร้ายโทรศัพท์มาอ้างว่ามีเรื่องต้องใช้เงินด่วน  ซื้อของแล้วเงินไม่พอ หรือมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงินอื่นๆ  แต่ลืมเอาบัตรเอทีเอ็มมา หรือแอปพลิเคชันธนาคารใช้ไม่ได้  แล้วแจ้งเลขบัญชีม้าเพื่อให้โอนเงินให้ โดยรับปากว่าจะคืนเงินให้ตอนเย็น   สำหรับช่วงนี้คนร้ายใช้โปรแกรม แอปพลิเคชัน หรือเทคนิคใดๆ ปลอมเสียง แล้ว โทรศัพท์หาเหยื่อโดยเรียกชื่อเหยื่อได้อย่างถูกต้อง  และบอกชื่อคนที่ถูกปลอมเสียงให้เหยื่อทราบ  แล้วหลอกให้โอนเงินโดยใช้วิธีการเดียวกันข้างต้น
จุดสังเกตุ 

1.  คนร้ายมีข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์  ชื่อ หน้าที่การงาน ความสัมพันธ์ของคนที่ถูกแอบอ้างและเหยื่อ 
2. ชื่อบัญชีธนาคารที่รับโอนเงิน (บัญชีม้า) ไม่ตรงกับคนที่คนร้ายแอบอ้าง 
วิธีป้องกัน 
1. ให้สอบถามรายละเอียดเชิงลึกระหว่างคนที่ถูกแอบอ้างกับเหยื่อหรือผู้ที่ได้รับโทรศัพท์คนร้าย  
2. ให้ติดต่อกลับทางช่องทางอื่น เช่น ไลน์  facebook  หรือหมายเลขโทรศัพท์เดิม  
3. กรณีให้โอนเงินเข้าบัญชีคนอื่นหรือบัญชีม้า โดยอ้างว่าเป็นบัญชีของเลขา  ร้านค้า  เพื่อน หรืออื่นๆ ให้สงสัยไว้ก่อนว่าเป็นคนร้าย 
4. ตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ที่คนร้ายใช้ด้วยแอปพลิเคชัน Whoscall (เป็นแอปพลิเคชันแจ้งเตือนเบอร์มิจฉาชีพที่โทรเข้ามาได้เบื้องต้น)
ในทางเทคนิคแล้วผู้เชี่ยวชาญแจ้งว่ากรณีคนร้ายปลอมเสียงผู้อื่นนั้นสามารถทำได้ แต่ยังไม่ได้มีการนำเสียงที่คนร้ายใช้ เปรียบเทียบกับเสียงจริงของบุคคลที่ถูกคนร้ายแอบอ้าง  จึงยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าได้มีการนำเทคโนโลยีตามที่ปรากฎเป็นข่าวมาใช้หลอกคนไทยแล้วหรือไม่  แต่จากข้อมูลการใช้  voice.ai มาหลอกลวงนั้น  ส่วนใหญ่จะเป็นการหลอกญาติหรือคนรู้จักที่คอนข้างสนิทกัน  ต้องมีตัวอย่างเสียงคนถูกแอบอ้างและรู้ข้อมูลผู้ถูกแอบอ้างและเหยื่อในระดับหนึ่ง  

พล.ต.ต.ฐายุฏฐ์  จันทร์ถาวร รอง ผบช.สอท. กล่าวว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์               ผบ.ตร. ตระหนักดีว่า  การควบคุมอาชญากรรมทางเทคโนโลยี  จำเป็นต้องใช้การปราบปรามควบคู่ไปกับการป้องกันไม่ให้เหตุเกิด   สำหรับวิธีการป้องกันนั้นต้องใช้วิธีสร้างภูมิคุ้มกันภัยออนไลน์ให้แก่ประชาชนได้รู้เท่าทันกลโกงและวิธีการหลอกลวงของคนร้าย  จึงสั่งการให้จัดทำแบบทดสอบโดยอาศัยแผนประทุษกรรมของคนร้าย  สถิติและประเภทคดี  มาวิเคราะห์และจัดทำแบบทดสอบ  หากประชาชนได้อ่านและทำแบบทดสอบจนครบทั้ง 40 ข้อ แล้วจะทำให้รู้ว่าคนร้ายใช้จุดอ่อนด้านใดของเหยื่อมาหลอกลวง  วิธีการหลอกลวงของคนร้าย  วิธีรับมือคนร้าย  และวิธีป้องกันตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ  อีกทั้งจะทำให้มีความรู้ด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปใช้ในการป้องกันตนเองและผู้อื่นได้ จะขอให้ พล.ต.ต.ปรัชญา  ประสานสุข รอง ผบช.ภ.2 ให้รายละเอียดเกี่ยวกับแบบทดสอบให้ทราบ
พล.ต.ต.ปรัชญา  ประสานสุข รอง ผบช.ภ.2 กล่าวว่า แบบทดสอบสำหรับประชาชน  จะมีอยู่ด้วยกัน 40 ข้อ จะเปิดให้ประชาชนเริ่มทำข้อสอบได้ ตั้งแต่วันนี้จนถึง วันที่ 30 กันยายน 2566 โดยสามารถเข้าทำแบบทดสอบได้ใน 3 ช่องทาง ได้แก่ 1) สแกนคิวอาร์โค้ด 2) เข้าเว็ปไซต์ไซเบอร์วัคซีน และ 3) ทำแบบทดสอบเมื่อครูไซเบอร์ไปให้ความรู้ในพื้นที่ โดยเป็นการเข้าแบบทดสอบผ่าน Google Form สำหรับทำแบบทดสอบ ( หากไม่ชิงรางวัล สามารถทำแบบทดสอบได้เลย ) และจะสามารถดูเฉลยได้เมื่อทำข้อสอบเสร็จ กด "ดูคะแนน" 

กรณีต้องการรับสิทธิเพื่อชิงรางวัลต้องดำเนินการ ดังนี้
1. กดลิงก์ "เข้าเว็บไซต์ไซเบอร์วัคซีน" จาก Google form  หรือ เข้าผ่านเว็บไซต์  
http://www.เตือนภัยออนไลน์.com   และสมัครใช้งานและเข้าสู่ระบบไซเบอร์วัคซีนผ่านเว็บไซต์ดังกล่าว (เข้าสู่ระบบผ่านไลน์) 
2. ทำการยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชน  หรือแอปพลิเคชัน THaiD 
3. หน้าแรกของระบบไซเบอร์วัคซีน จะมีปุ่ม "ทดสอบ 40 คำถามสำหรับประชาชน"  ให้กดเพื่อทำแบบทดสอบ
4. เลือกยืนยันความสมัครใจรับการทดสอบ และ กรอกอีเมล  กรณีต้องการทราบผลคะแนนทางอีเมล
กรณีที่ทำข้อสอบครบ 40 ข้อแล้ว  จะได้รับ Whoscall Premium Gift Code ฟรี ซึ่งสามารถใช้บริการ Whoscall Premium Feature ได้ฟรี เป็นระยะเวลา 1 ปี หากทำแบบทดสอบได้คะแนนตั้งแต่ 35 ข้อ หรือคิดเป็น 87.5 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นไป จะมีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัล iPhone 14 และสามารถติดตามการจับรางวัลได้ทางช่องทาง www.เตือนภัยออนไลน์.com   โดยประชาชนสามารถทำแบบทดสอบได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง  สำหรับประชาชนที่ทำแบบทดสอบไปก่อนหน้านี้  แต่ต้องการได้รับสิทธิลุ้นรางวัล สามารถทำแบบทดสอบใหม่ได้ แต่จะได้รับสิทธิ Whoscall Premium และสิทธิลุ้น iPhone 14 เพียง 1 สิทธิ  เท่านั้น

นาย กชศร ใจแจ่ม ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท Gogolook จำกัด กล่าวว่า บริษัท Gogolook จำกัด ผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน Whoscall ในประเทศไทยเล็งเห็นถึงปัญหาอาชญากรรมทาง เทคโนโลยีของประเทศ และจำนวนอาชญากรรมที่มีอัตราเพิ่มสูงขึ้น และมูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง บริษัท Gogolook จำกัด จึงได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ คณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันภัย อาชญากรรมทางเทคโนโลยี (CYBER VACCINATED) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยบริษัท Gogolook จำกัด ได้สนับสนุน คณะทำงานในหลายๆ ด้าน เพื่อให้โครงการนี้ได้รับผลตอบรับที่ดี และสัมฤทธ์ผล โดยเริ่มจาก การสนับสนุน Whoscall Premium Gift Code ให้ผู้ที่เข้าร่วม ทำแบบทดสอบจำนวน 40 ข้อ เพื่อการเข้าใจ ถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตั้งแต่วันนี้จนถึง วันที่ 30 กันยายน 2566 โดยผู้ที่ได้เข้าร่วมทำแบบทดสอบ จำนวน 40 ข้อ เมื่อทำแบบทดสอบทั้ง 40 ข้อเสร็จสิ้น จะได้รับ Whoscall Premium Gift Code ฟรี ซึ่งสามารถใช้บริการฟีเจอร์เสริมต่างๆ จาก Whoscall Premium ได้ฟรีเป็นระยะเวลา 1 ปี โดยฟีเจอร์พรีเมียม ของ Whoscall เป็นฟีเจอร์ที่เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ Whoscall เองให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว Whoscall เป็น แอปพลิเคชัน ที่ให้บริการฟรีอยู่แล้ว แต่หากมีการสมัคร Whoscall Premium ก็จะได้รับ ฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกสบายและการป้องกันขั้นสูงสุดได้แก่
● การอัปเดตฐานข้อมูลเบอร์โทรศัพท์มิจฉาชีพ  และฐานข้อมูลของเบอร์โทรศัพท์ในระบบแบบอัตโนมัติ 
ทำให้ผู้ใช้มีฐานข้อมูลล่าสุดอยู่ตลอด
● การ Block Spam Call แบบอัตโนมัติ สามารถบล็อกสายมิจฉาชีพได้ทันที
● Smart SMS Assistant ระบบการช่วยจัดการข้อความที่มีความเสี่ยง สามารถจัดหมวดหมู่ SMS และ 
สแกนลิงก์อันตรายใน SMS
● URL Scanner สามารถนำลิงก์ URL มาตรวจสอบความปลอดภัย
● การใช้บริการ Whoscall โดยปราศจากสื่อโฆษณาต่างๆ
นอกจากประโยชน์ที่ได้กล่าวมาข้างต้น Whoscall ยังคงพัฒนาระบบต่างๆเพิ่มขึ้นโดยตลอด เพื่อให้ผู้ใช้ บริการ Whoscall ได้รับความปลอดภัยเพิ่มขึ้น และลดอัตราความเสี่ยงต่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี

โดยนอกจากการสนับสนุน Whoscall Premium Gift Code แก่คณะทำงานแล้ว บริษัท Gogolook จำกัด จะได้เป็นส่วนหนึ่งในการประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่างๆ ของ CYBER VACCINATED เพื่อให้โครงการดังกล่าว ประสบผลสำเร็จ ตามความตั้งใจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สามารถลดจำนวนอาชญากรรม และผลกระทบ จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้
 
พล.ต.อ.สมพงษ์  ชิงดวง  กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติผนึกกำลังส่วนราชการ เอกชนและภาคีเครื่องข่ายทำพิธีเปิดการรณรงค์  “ผนึกกำลังร่วมใจ ต้านภัยไซเบอร์ ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน รู้ทันกลโกง” เพื่อประชาสัมพันธ์ แจ้งเตือนให้ประชาชนรู้เท่าทันภัยออนไลน์  โดยใช้ข้อความที่เป็นสาระสำคัญ เดียวกันคือ “ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน รู้ทันกลโกง” อีกทั้งได้มีการประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนได้ทำแบบทดสอบ วัคซีนไซเบอร์จำนวน 40 ข้อ เพื่อรับสิทธิพิเศษ และลุ้นรับรางวัล ดังกล่าวข้างต้น และเชื่อมั่นว่าหากพี่น้องประชาชนได้ทำแบบทดสอบ  วัคซีนไซเบอร์ ทั้ง 40 ข้อ จะทำให้มีภูมิคุ้มกันหรือมีวัคซีนไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน  จึงขอประชาชนสัมพันธ์เชิญชวนให้พี่น้องประชาชนได้ทดสอบความรู้ ตามแบบทดสอบวัคซีนไซเบอร์(สำหรับประชาชน) ได้ ดังนี้
1. สแกน QR Code หรือตามลิงก์นี้ https://rb.gy/hl5ff 
2. ช่องทาง www.เตือนภัยออนไลน์.com และ https://pctpr.police.go.th  
3. ช่องทางตามที่ครูไซเบอร์  ได้ประชาสัมพันธ์ให้ทราบ
และขอให้ช่วยกันแชร์เพื่อให้ทุกคนได้รับทราบและทำแบบทดสอบจะได้มีภูมิคุ้มกันภัยกันทุกคน สำหรับภัยออนไลน์ที่คนร้ายแอบอ้างเป็นบุคคลอื่นหลอกลวงขอยืมเงินนั้นมีหลายรูปแบบ  และคนร้ายได้พัฒนารูปแบบใหม่ๆ ดังนั้นจึงขอแจ้งเตือนพี่น้องประชาชนให้ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารถึงวิธีการของคนร้าย จุดสังเกต และวิธีป้องกัน จะได้รู้เท่าทันภัยออนไลน์ และเพื่อให้รู้เท่าทันภัยออนไลน์ในรูปแบบใหม่  สามารถติดตามข้อมูลการแจ้งเตือนภัยออนไลน์ได้จาก เว็บไซต์ และเพจ เตือนภัยออนไลน์ หมายเลขโทรศัพท์ 081-866-3000 หรือโทรสายด่วน 1441

ทช. ร่วมกับ อส. มอบประกาศนียบัตร ให้กับนักอนุรักษ์ในโครงการ Sea You Strong ทะเลคือหัวใจของไทย อาสาสมัครพิทักษ์ทะเล

วันที่ 11 กรกฎาคม 2566 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.) จัดพิธีมอบใบประกาศนียบัตรแก่ทีมว่ายน้ำในการรณรงค์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล ซึ่งได้รับเกียรติจากนายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อทช.รรท.ออส.) เป็นประธานในพิธีฯ โดยมีคุณสิรณัฐ สก๊อต (คุณทราย) นำทีมนักอนุรักษ์ จัดโครงการ Sea You Strong ทะเลคือหัวใจของไทย อาสาสมัครพิทักษ์ทะเล ที่ว่ายน้ำข้ามทะเลอันดามันเป็นระยะทางกว่า 70 กิโลเมตร ผ่าน 3 จังหวัด ได้แก่ กระบี่ พังงา และภูเก็ต เพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมในการดูแล รักษา ฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตลอดจนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นพลังของ "คนรุ่นใหม่" หรือ Soft Power

นอกจากนี้ยังกระตุ้นให้คนหันมาหวงแหน และรักษ์ทะเลไทยมากขึ้น พร้อมทั้งเป็นการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลฝั่งอันดามันให้ประชาชน และนักท่องเที่ยวได้รู้จักความสวยงามของทะเลไทยมากยิ่งขึ้น ในการนี้ได้มีนายอภิชัย เอกวนากุล รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (รรท.อทช.) ดร.พรศรี สุทธนารักษ์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตลอดจนคณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมในพิธี ณ ห้องประชุมลำแพน ชั้น 9 กรม ทช. 

นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อทช.รรท.ออส.) กล่าวย้ำว่า ตนได้มีแนวคิดในการนำกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ผสานการทำงานร่วมกันปกป้องและคุ้มครองทรัพยากรบนบกสู่ทรัพยากรทางทะเลให้เป็นหนึ่งเดียว โดยทั้งสองหน่วยงานพร้อมจะเป็นแรงสนับสนุนให้การดำเนินกิจกรรมดังกล่าวประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณคุณทรายและทีมงาน ที่ทุ่มเทและเสียสละเวลาในการดูแลทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึงสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนทั้งในชุมชนและสังคมเมือง ตลอดจนสร้างความเข้าใจต่อสิ่งต่างๆ ที่โลกกำลังเผชิญจากการใช้ทรัพยากรของมนุษย์ และถ่ายทอดเรื่องราวผ่านเครื่องมือสื่อสมัยใหม่ ผ่านโครงการ Sea You Strong กับภารกิจว่ายน้ำข้ามทะเลฝั่งอันดามัน เริ่มจากกระบี่ พังงา และไปสิ้นสุดที่ภูเก็ต รวมระยะทางราว 70 กิโลเมตร เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม คืนความอุดมสมบูรณ์ให้ท้องทะเลอีกด้วย

นายอภิชัย เอกวนากุล รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (รรท.อทช.) กล่าวว่า สำหรับการว่ายน้ำข้ามทะเลในครั้งนี้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นหน่วยงานที่สนับสนุนกิจกรรมดังกล่าว และมีภารกิจหลักในการส่งเสริมการอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงได้มอบใบประกาศนียบัตร พร้อมเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ "รักษ์ทะเล ชั้น 2 (เข็มเงิน)" ให้แก่ทีมว่ายน้ำ ทีมพายเรือ และทีมรักษาความปลอดภัยในโครงการ Sea  you strong เพื่อเชิดชูเกียรติคุณงามความดีให้กับนักอนุรักษ์ที่ร่วมโครงการ สำหรับเครื่องหมายเชิดชูเกียรติฯ นี้ มีเจตนารมณ์มอบให้กับผู้ซึ่งมีจิตอาสาดำเนินกิจกรรมทางด้านการสงวน อนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ด้วยความเสียสละและอุทิศตนในการปฏิบัติงานเพื่อส่วนรวม และดูแลรักษาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ให้คงความอุดมสมบูรณ์สืบไป

กองทัพเรือ จัดกิจกรรมเสริมสร้างสุขภาพที่ดีและเพิ่มทักษะการปฐมพยาบาลฟื้นคืนชีพพื้นฐาน ในพื้นที่สัตหีบ และการตรวจสุขภาพเชิงรุก ในพื้นที่กรุงเทพ เพื่อส่งเสริมให้กำลังพลมีสุขภาพที่ดี พร้อมปฏิบัติงานขับเคลื่อนกองทัพเรือ ได้อย่างมีพลัง

พล.ร.อ.สุวิน แจ้งยอดสุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานพิจารณาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการปฏิบัติงานและการพัฒนาคุณภาพชีวิตกำลังพลกองทัพเรือ ตรวจเยี่ยมและร่วมกิจกรรมเสริมสร้างสุขภาพที่ดีและเพิ่มทักษะการปฐมพยาบาลฟื้นคืนชีพพื้นฐาน ณ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

การจัดกิจกรรมครั้งนี้ มีหน่วยงานของกองทัพเรือในพื้นที่ อ.สัตหีบ จำนวน 6 หน่วย เข้าร่วม ประกอบด้วย หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน , ฐานทัพเรือสัตหีบ , ศูนย์ส่งกำลังบำรุง กรมพลาธิการทหารเรือ , กรมสรรพาวุธทหารเรือ , โรงเรียนชุมพลทหารเรือ และศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ โดยหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน เป็นเจ้าภาพในการจัดกิจกรรม นำกำลังพลเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 600 นาย ซึ่งมีกิจกรรมย่อย จำนวน 7 กิจกรรม ประกอบด้วย 

- การตรวจวัดและประเมินสภาพร่างกาย
- การทดสอบสมรรถภาพร่างกาย
- การอบรมความรู้เรื่องการออกกำลังกายและลดน้ำหนัก
- การให้ความรู้เกี่ยวกับอาหารที่ควรบริโภค
 - การสาธิตและการฝึกการช่วยฟื้นชีพขั้นพื้นฐาน (CPR) 
- การให้ความรู้เรื่้องการป้องกันและปฐมพยาบาลเบื้องต้นโรคลมร้อน (Heat Stroke) 
 - การเดินวิ่งเพื่อสุขภาพ

วันเดียวกันนี้ พล.ร.ท.สุเทพ  ปุจฉาการ รองเสนาธิการทหารเรือ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานย่อยพัฒนาสุขภาพ ตรวจเยี่ยมกิจกรรมการตรวจสุขภาพเชิงรุก ณ กองบัญชาการกองทัพเรือ พื้นที่พระราชวังเดิม กรุงเทพมหานคร

โดยทั้ง 2 พื้นที่ ได้รับการสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ ในการร่วมจัดกิจกรรมและให้ความรู้จากกรมแพทย์ทหารเรือ ซึ่งกองทัพเรือได้กำหนดให้มีการจัดกิจกรรมลักษณะนี้ในพื้นที่พื้นที่รับผิดชอบของกองทัพเรือ ทั่วประเทศต่อไป

จากทั้ง 2 กิจกรรมซึ่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพ รวมถึงทักษะการปฐมพยาบาลช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน ซึ่งการมีสุขภาพที่ดี ส่งผลถึงความพร้อมขององค์บุคคล ถือได้ว่าเป็นองค์ประกอบของความพร้อมรบที่สำคัญยิ่ง เปรียบเสมือนการสร้างเหล็กในคนที่สำคัญกว่าเหล็กในเรือ นอกจากนี้ยังส่งผลดีต่อการปฏิบัติงานในภาพรวมของกองทัพเรือ และเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับกำลังพล อีกด้วย

ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ ผู้บัญชาการทหารเรือ ด้านกำลังพลในการส่งเสริมสุขภาพให้กำลังพลของกองทัพเรือ มีร่างกายแข็งแรง พร้อมปฏิบัติงานขับเคลื่อนกองทัพเรือ ได้อย่างมีพลังด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ทรภ.1 ส่งหมู่เรือปฏิบัติราชการชายแดน ไทย-กัมพูชา เพื่อรักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติทางทะเล

นาวาเอก ศรยุทธ พุ่มสุวรรณ์ รองเสนาธิการทัพเรือภาคที่ 1 (ทรภ.1 ) ในฐานะผู้บังคับหมวดเรือลาดตระเวนชายแดน เป็นประธานในพิธี ส่งหมู่เรือไปปฏิบัติราชการในหมวดเรือลาดตระเวนชายแดนส่วนที่ 1 เพื่อรักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติทางทะเล บริเวณพื้นที่ชายแดนทางทะเลไทย - กัมพูชา ประกอบด้วย เรือหลวงกันตัง เรือต.82 เรือต.261 และ เรือต.263

พร้อมให้โอวาทและมอบกระเช้า เพื่อให้กำลังพลมีขวัญและกำลังใจที่ดี ในการเดินทางไปปฏิบัติราชการชายแดนในครั้งนี้ ณ ท่าเรือแหลมเทียน ฐานทัพเรือสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี 

“แล้วพบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ” ทัพเรือภาคที่ 1 ปลดประจำการทหาร ผลัดที่ 1/64

ทัพเรือภาคที่ 1 กองทัพเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี จัดพิธีปลดประจำการทหาร ผลัด 1/64 ซึ่งประจำการ ณ กองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 รวม 16 นาย โดยมี พลเรือตรี อนุพงษ์ ทะประสพ รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 เป็นประธานในพิธี พร้อมทั้งได้ให้โอวาทและแนวทางในการปฏิบัติตนภายหลังจากการปลดประจำการเป็นทหารกองหนุน นอกจากนั้นได้มอบของที่ระลึก และพลทหารทุกนายได้กล่าวคำปฏิญาณตน เพื่อเป็นคนดีของสังคมต่อไป

ทัพเรือภาคที่ 1 กองทัพเรือ ขอขอบคุณ และแสดงความยินดีกับน้องๆ พลทหารทุกนาย ซึ่งเปรียบเสมือนน้องคนเล็ก ที่มุ่งมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ ในการรับใช้ชาติและประชาชนจนครบวาระในวันนี้ นับว่าเป็นความภาคภูมิใจอันยิ่งใหญ่ของลูกผู้ชาย ซึ่งหลังจากนี้ จะเป็นการสร้างอนาคตของตัวเราเอง ขอให้โชคดีและประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตต่อไป

มอบเข็มเชิดชูเกียรติ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี

จังหวัดขอนแก่น ทำพิธีมอบเข็มเชิดชูเกียรติ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี แก่คณะกรรมการคัดเลือกครู ผู้สมควรได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี จังหวัดขอนแก่น

เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ ห้องโถงชั้น1 ศาลากลางจังหวัดขอนแก่น นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ประธานในพิธีมอบเข็มเชิดชูเกียรติ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี แก่คณะกรรมการคัดเลือกครูผู้สมควรได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี โดยผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ประธานพิธีได้ถวายความเคารพเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้น ถวายความเคารพู และเปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพ ถวายราชสักการะ เบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี โดยมีนายรัชพร วรรณคำ ศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมพิธี

ทั้งนี้ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ได้ดำเนินงานการสรรหาและคัดเลือกครูผู้สมควรได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี นั้น มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี มีความประสงค์จะมอบเข็มเชิดชูเกียรติฯ ให้แก่กรรมการสรรหาและคัดเลือกครูผู้สมควรได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ระดับจังหวัดที่ได้ดำเนินการมาแล้วครบ 2 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 3 ปี พ.ศ. 2562 และครั้งที่ 4 ปี พ.ศ. 2564

สำหรับผู้เข้ารับเข็มเชิดชูเกียรติ รางวัลมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ให้แก่กรรมการฯ จำนวน 9 คน เข้ารับเข็มเชิดชูเกียรติ เบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี มีรายนาม ดังต่อไปนี้ นายวรโชติ พัฒน์ดำรงจิตร,นายโชคชัย คุณวาสี,นายเจริญ เพ็งมูล,นางนิธิกานต์ โตโส,นางสาวลักขณา ถิรเจริญธาดา, นายทริณ จูนเจริญภัทรกุล,นางสาวจุฬาลักษณ์ ปัญญาแก้ว,นางสาวเกศินี นาชัยเวียง และ นายสยมพร สินพานิช


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top