Wednesday, 14 May 2025
NEWS

สำนักข่าวเอเอ็นไอรายงานอ้างคำสัมภาษณ์ของแพทย์ประจำโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในรัฐอุตตรประเทศของอินเดีย ท่ามกลางรายงานข่าวว่าโรคใหม่นี้อันตรายกว่าเชื้อราสีดำ

คนไข้รายหนึ่งซึ่งกำลังฟื้นตัวจากโควิด-19 ถูกพบมีอาการต่าง ๆ ของ ‘เชื้อราสีเหลือง’ สำนักข่าวเอเอ็นไอรายงานอ้างคำสัมภาษณ์ของแพทย์ประจำโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในรัฐอุตตรประเทศของอินเดีย ท่ามกลางรายงานข่าวว่าโรคใหม่นี้อันตรายกว่าเชื้อราสีดำ

นายแพทย์บีพี เตียจี แพทย์ด้านโสต ศอ นาสิกวิทยาในเมืองกาเซียบัด รัฐอุตตรประเทศ ระบุว่า เคสเชื้อราสีเหลืองที่พบในชายวัย 45 ปี นับเป็นเคสแรกในคนไข้ที่กำลังฟื้นตัวจากโควิด-19 ที่รักษาตัวจากการติดเชื้อโควิด-19 นานนับเดือน อย่างไรก็ตามอาการของผู้ป่วยรายดังกล่าวทรุดลงในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ดังนั้นเขาจึงเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและจากการตรวจร่างกายพบ ‘เชื้อราสีเหลือง’

แพทย์รายนี้ กล่าวว่า ‘เชื้อราสีเหลือง’ อาจเป็นโรคร้ายแรงถึงตายที่มีต้นเหตุจากสภาพสุขอนามัยที่ย่ำแย่และความชื้น มันมีความอันตรายมากกว่าเชื้อราสีดำหรือเชื้อราสีขาวที่พบก่อนหน้านี้ เนื่องจากเป็นเรื่องยากที่จะวินิจฉัยโรค เพราะจุดเริ่มต้นเกิดจากภายในร่างกาย ส่งผลกระทบต่ออวัยวะภายใน ผิดกับเชื้อราสีดำที่เริ่มต้นจากอาการพิการบนใบหน้าอย่างชัดเจน ซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้ง่าย

อาการต่าง ๆ ของเชื้อราสีเหลือง มีทั้งเซื่องซึม ไม่อยากอาหาร น้ำหนักลด และในเคสรุนแรง โรคนี้อาจทำให้อวัยวะทำงานผิดปกติ ทั้งนี้แพทย์บอกด้วยว่าคนไข้รายนี้เคยมีอาการของเชื้อราสีดำและเชื้อราสีขาว ซึ่งเป็นอาการแทรกซ้อนจากการติดเชื้อโควิด-19 เช่นกัน

การค้นพบล่าสุดนี้มีขึ้นในขณะที่เคสเชื้อราสีดำหรือมิวคอร์ไมโคซิส (mucormycosis) และเชื้อราสีชาว ถูกพบเพิ่มขึ้นในหมู่คนไข้โควิด-19 ในอินเดีย หลายรัฐประกาศให้มันเป็นโรคระบาด

เชื้อราทั้ง 2 ชนิด มีรายงานพบในคนไข้ที่ใช้เครื่องช่วยหายใจมาเป็นเวลานาน หรือผู้ป่วยที่ใช้ยาสเตียรอยด์ส่วนหนึ่งในการรักษาอาการติดเชื้อโควิด-19 ทั้งเชื้อราสีดำและเชื้อราสีขาวส่งผลกระทบกับปลอดและอวัยวะสำคัญอื่น ๆ และสามารถก่ออันตรายร้ายแรง

อย่างไรก็ตาม เอ็นเค คุปตา หัวหน้าเจ้าหน้าที่แพทย์ของกาเซียบัด ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอ็นดีทีวีของอินเดียว่า ยังไม่ได้รับแจ้งเคสใด ๆ ของเชื้อราสีเหลือง

นอกจากนี้แล้วเอ็นดีทีวียังอ้างคำสัมภาษณ์ของนายแพทย์รันดีป กูเลเรีย อายุรแพทย์โรคระบบหายใจและผู้อำนวยการสถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ออลอินเดียในนิว เดลี เตือนเช่นกันว่า การตั้งเชื่อการติดเชื้อราบนพื้นฐานของสีและพื้นที่ที่มันส่งผลกระทบ อาจนำมาซึ่งความเข้าใจผิด ๆ และก่อความสับสน

“โดยทั่วไป รูปแบบของเชื้อราที่เราพบเห็นส่วนใหญ่คือมิวคอร์ไมโคซิส แคนดิดา(Candida) และแอสเปอร์จิลโลซิส (Aspergillosis) โดยมิวคอร์ไมโคซิสถูกพบมากกว่าในเคสผู้ติดเชื้อโควิดที่ใช้ยาสเตียรอยด์และเป็นโรคเบาหวาน พวกมันถูกพบในจมูก ไซนัสและบางทีอาจเข้าสู่สมอง”

เชื้อราแคนดิดา ซึ่งเกี่ยวข้องกับเชื้อราสีขาว พบในคนไข้ที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เป็นจุดต่างสีขาวในช่องปากและบางทีอาจแพร่กระจายสู่เลือด ส่วนที่พบเห็นโดยทั่วไปน้อยที่สุดคือเชื้อราแอสเปอร์จิลโลซิส ซึ่งส่งผลกระทบกับปอดและบางทีอาจก่ออาการแพ้ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาเหตุและอาการต่างๆของเชื้อราสีเหลือง

 

ที่มา : รัสเซียทูเดย์

https://mgronline.com/around/detail/9640000050629


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

เราไม่ทิ้งกัน!! 'กลุ่มเพื่อนเฉลิมชัย' ร่วมด้วยช่วยเพชรบุรี มอบเงินสนับสนุนโรงพยาบาลสนามจังหวัดเพชรบุรี 2 แสนบาท 'ชาวเพชรฯ' ขอบคุณรัฐบาลส่งวัคซีนล็อตแรกถึงเพชรบุรีแล้ว 'รมช.สาธิต' ยืนยันสธ. จะเร่งส่งวัคซีนล็อต 2 เพิ่มให้โดยเร็ว

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยว่า... 

กลุ่มเพื่อนเฉลิมชัยโดย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ได้มอบหมายตน นายอภิชาติ สุภาแพ่ง ที่ปรึกษารมช.พาณิชย์ นายอรรถพร พลบุตร คณะที่ปรึกษารมช.สาธารณสุข และดร.กัมพล สุภาแพ่ง คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ เป็นตัวแทนมอบเงินจำนวน 2 แสนบาทสนับสนุนจังหวัดเพชรบุรีสู้ภัยโควิด โดยเฉพาะโรงพยาบาลสนามที่จัดตั้งขึ้นหลายแห่งในจังหวัดเพชรบุรี เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อโควิดโดยมีนายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะเป็นผู้รับมอบที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด

นายอรรถพร พลบุตร ที่ปรึกษารมช.สาธารณสุขกล่าวว่า ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รมช.สธ.แจ้งมาล่าสุดว่าได้ส่งวัคซีนล็อตแรกมาให้จังหวัดเพชรบุรีแล้วและจะส่งวัคซีนล็อตต่อไปให้กับเพชรบุรีโดยเร็วจึงขอขอบคุณท่านรัฐมนตรีสาธิตและรัฐบาลแทนพี่น้องชาวจังหวัดเพชรบุรี

เนื่องจากขณะนี้จังหวัดเพชรบุรีมียอดผู้ติดเชื้อโควิดจากคลัสเตอร์โรงงานแคลคอมพ์ในอำเภอเขาย้อยสูงเป็นลำดับต้นของประเทศและหวังว่ารัฐบาลจะเร่งส่งวัคซีนมาเพิ่มให้เพชรบุรีเพื่อระดมฉีดวัคซีนป้องกันโควิดโดยด่วนที่สุด

โดยก่อนหน้านี้ได้ช่วยจังหวัดเพชรบุรีประสานกระทรวงสาธารณสุขผ่านดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพราะมองว่าการระดมฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึงจึงจะสามารถจัดการภัยโควิดในจังหวัดเพชรบุรีได้สำเร็จ

ดร.กัมพล สุภาแพ่ง คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ กล่าวว่า ขอเป็นกำลังใจให้กับพี่น้องชาวเพชรบุรีทุกคนและช่วยกันลงทะเบียนเพื่อรับการฉีดวัคซีนให้มากที่สุด วัคซีคทุกชนิดผ่านการรับรองจากอย.

ขณะที่ด้านนายอภิชาติ สุภาแพ่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยพาณิชย์กล่าวเสริมว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ฝากความห่วงใยมายังพี่น้องเพชรบุรีและมอบหมายตนดูแลช่วยเหลือผู้ประกอบการค้าพาณิชย์ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด

ก่อนหน้านี้กลุ่มเพื่อนเฉลิมชัยได้มอบเงินสนับสนุนจังหวัดในภาคตะวันออกภาคเหนือภาคใต้และภาคกลางสู้ภัยโควิดได้แก่จังหวัดจันทบุรี จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดเพชรบุรีโดยสัปดาห์ต่อไปจะมอบให้กับภาคตะวันตกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์และจังหวัดอุบลราชธานีตามลำดับ

วัคซีนแต่ละชนิดเป็นยังไง…สรุปให้แล้ว

ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ "ดร.นิว" นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา สรุปวัคซีนแต่ละชนิดให้เข้าใจง่าย ๆ ทำความเข้าใจก่อนไปฉีด


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

'จีน' ฉีด 2 วัคซีนหลัก ให้ปชช. ยันใช้ทั้ง Sinopharm - Sinovac

รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก ไขข้อข้องใจว่าประเทศจีนฉีดวัคซีนอะไรกันแน่ โดยระบุว่า ทางการจีนใช้วัคซีน 2 ยี่ห้อหลัก นั่นคือ Sinopharm และ Sinovac ฉีดให้ปวงชนชาวจีน ซึ่งจะเลือกยี่ห้อไม่ได้ และตอนนี้จีนระดมฉีดไปแล้ว 497.27 ล้านโดส !!

“คุณหมอชื่อดัง ศาสตราจารย์จง หนานซาน ท่านได้รับการฉีดวัคซีนยี่ห้อ Sinovac นะคะ แล้วผลการพิจารณารับรอง Sinovac ของ WHO ก็ coming soon”

สำหรับ Sinopharm อีกยี่ห้อดังของจีนก็แว่วมาว่า กำลังยื่นเอกสารขอขึ้นทะเบียนกับ อย.ไทยแล้ว มีคนไทยถามหา Sinopharm กันเยอะ

สื่อจีน มีบทบาทสำคัญในการสร้างความมั่นใจให้คนจีนเข้ารับการฉีดวัคซีน จนทำสถิติมากที่สุดในโลกด้วยนะคะ ‘สังคมไร้ดราม่าพาชาติวิ่งฉิว’

ถ้าสนใจเบื้องหลังวัคซีนแดนมังกร ไขคำตอบคนจีนฉีด Sinopharm หรือ Sinovac กันแน่ !! อ่านบทสัมภาษณ์ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น โดยไทยรัฐออนไลน์ ได้ที่นี่ค่ะ

https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2092617

 

ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=10223327903319301&id=1037140385


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ไต้หวันเร่งนำเข้าวัคซีนเพิ่มหลังเกิดระบาดใหม่ 28 พ.ค. พร้อมฉีด

แม้ไต้หวันถือเป็นอีกประเทศที่ถูกยกให้เป็นผู้ที่รับมือไวรัสโควิดได้ดีอย่างมากประเทศหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม การระบาดของโควิดระลอกใหม่ ทำให้ประชาชนเริ่มวิตก

ถึงกระนั้นทางรัฐบาลไต้หวัน ก็ได้เร่งประกาศใช้มาตรการป้องกันการระบาดของโควิด-19 ที่เข้มงวดที่สุดนับตั้งแต่เคยเกิดการระบาดในไต้หวัน โดยได้สั่งปิดโรงภาพยนตร์ สถานบันเทิงในไต้หวัน จนถึง 28 พฤษภาคม รวมทั้งสั่งห้ามประชาชนรวมกลุ่มกันเกิน 5 คนในที่ร่ม และกลางแจ้ง ห้ามรวมกลุ่มกันเกิน 10 คน ซึ่งจากมาตรการคุมเข้มป้องกันโควิด-19

ทว่าปัญหาหนึ่งที่ยังต้องน่ากังวลต่อไป คือ เรื่องวัคซีนที่ไม่เพียง เนื่องจากความสำเร็จที่สามารถป้องกันการระบาดของโควิดที่ผ่านมาของไต้หวันนั้น มีส่วนทำให้รัฐบาลไต้หวันเพิ่งได้รับวัคซีนต้านโควิด-19 ซึ่งเป็นของ AstraZeneca มาสต๊อกสำรองไว้เพียงแค่ 300,000 โดส และขณะนี้กำลังจะหมดลงแล้ว ขณะที่เพิ่งฉีดให้แก่ประชาชนได้เพียงประมาณ 1% เท่านั้น ของจำนวนประชากรในไต้หวัน 23 ล้านคน

อย่าวไรก็ตาม เมื่อวัคซีน คือทางรอดที่ดีที่สุดทางรัฐบาลไต้หวัน จึงเร่งจัดการปัญหานี้ โดยเฟซบุ๊ก หนีห่าวไต้หวัน ฉันมาแล้ว Taiwantopics.com ได้โพสต์ข้อความอัปเดตเกี่ยวกับสถานการณ์วัคซีนในไต้หวันว่า...

ข่าวดี!! วัคซีน AstraZeneca ที่มาถึงเมื่อสัปดาห์ก่อนราว 4 แสนกว่าโดส จะเริ่มแจกจ่ายให้แต่ละเขต ในวันที่ 27 พ.ค.นี้

ข่าวล่าสุดเมื่อชั่วโมงที่แล้ว มีข่าวออกมาว่า วัคซีน AstraZeneca ที่มาถึงเมื่อสัปดาห์ก่อน จะแจกจ่ายให่แก่แพทย์พยายาลและผู้ทำงานด่านหน้าก่อน โดยเริ่มแจกจ่ายแต่ละพื้นที่ในวันที่ 27 เดือน 5 นี้ และคาดว่า 28 นี้ (พฤหัส) จะได้เริ่มฉีดกัน

ส่วนหลายคนถามมาว่าบุคคลทั่วไปได้ฉีดเมื่อไหร่ อันนี้ต้องรอรัฐบาลประกาศอีกทีว่ามีโควต้าเปิดให้ลงทะเบียนเมื่อไร

วัคซีนที่ไต้หวันผลิตเองเดิมคาดไว้ว่าปลายเดือนกรกฎาคมนี้จะสามารถออกมาได้ใช้กัน รอตามข่าวอีกที ถ้าสำเร็จจะมีวัคซีนอีกเยอะเลย

ก็เป็นอีกเรื่องเบาใจของประชาชนในไต้หวัน ที่รัฐบาลเร่งจัดหาวัคซีนมาให้แบบทันใจ ส่วนจะครอบคลุมประชากรทั้งหมดแค่ไหน คงต้องตามต่อเป็นระยะ ๆ

 

ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=434835221333312&id=100044205139631

https://www.thairath.co.th/news/foreign/2094502

https://www.google.com.tw/amp/s/www.cna.com.tw/amp/news/firstnews/202105255003.aspx


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘ยุโรป’ ทยอยคลายล็อกดาวน์ หลายประเทศเริ่มรับนักท่องเที่ยว

25 พฤษภาคม 2564 สำนักข่าวซินหัว รายงาน ยุโรปกำลังกลับคืนสู่สภาวะปกติอย่างระมัดระวังและเสถียร โดยหลายประเทศยุโรปทยอยยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์สำหรับป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ล่วงหน้า ก่อนจะถึงฤดูกาลท่องเที่ยว ที่หลายฝ่ายเฝ้ารออย่างใจจดจ่อ

หลายประเทศอนุญาตให้โรงภาพยนตร์และพิพิธภัณฑ์กลับมาเปิดให้บริการได้ นอกจากนี้บาร์ คาเฟ่ และร้านอาหารหลายแห่งล้วนกลับมาให้บริการพื้นที่กลางแจ้งได้อีกครั้งเมื่อสัปดาห์ก่อน ทำให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้มากขึ้น

เนื่องจากแผนฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มีความคืบหน้า สมาชิกสหภาพยุโรป (EU) ทั้ง 27 ประเทศ จึงหวังว่าภายในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ จะสามารถออกใบรับรองการฉีดวัคซีนแบบดิจิทัลให้แก่นักเดินทางได้ ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถเดินทางได้อย่างอิสระในช่วงวันหยุดฤดูร้อน ขณะเดียวกันก็หวังว่าการเปิดพรมแดนต้อนรับนักท่องเที่ยวและการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่จะเกิดขึ้นตามมานั้น จะช่วยบรรเทาภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้

แม้การคาดการณ์ข้างต้นจะเป็นไปในทิศทางที่ดี แต่หลายประเทศยังคงระมัดระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ในหลายพื้นที่ทั่วโลกยังคงไม่คลี่คลาย

กลับสู่ปกติแบบค่อยเป็นค่อยไป

เมื่อวันพุธ (19 พ.ค.) ฝรั่งเศสดำเนินขั้นตอนสำคัญเพื่อกลับคืนสู่ภาวะปกติ ได้แก่การอนุญาตให้ประชาชนพบปะสังสรรค์กันที่คาเฟ่หรือร้านอาหาร ซึ่งปัจจุบันกลับมาเปิดให้บริการโซนพื้นที่กลางแจ้งได้แล้ว

ซึ่งแม้สภาพอากาศจะไม่แจ่มใส แต่ท้องถนนในกรุงปารีสก็เต็มไปด้วยผู้คนที่ออกมาใช้ชีวิตกลางแจ้ง พร้อมกับความตื่นเต้นด้วยหวังว่าสถานการณ์กำลังกลับสู่ภาวะปกติแล้ว

มาตีเยอ ครูโรงเรียนอนุบาล ซึ่งเป็นลูกค้าของร้านเลต็อง บราสเซอรี (L’Etang brasserie) ในลีเลอ-อาด็อง (L’Isle-Adam) ทางตอนเหนือของกรุงปารีส กล่าวว่า แม้จะรู้สึกหนาวเมื่อต้องนั่งท่ามกลางฝนตกปรอย ๆ บริเวณส่วนกลางแจ้งของร้าน แต่เขาก็เพลิดเพลินกับการนั่งดื่มเครื่องดื่มนอกร้านอย่างมาก เพราะสำหรับเขานี่คือสัญญาณที่ชี้ชัดว่าสถานการณ์กำลังกลับสู่ปกติ

“หลายเดือนก่อนมันหนักหนามาก ผมเลยคิดว่าจะดื่มฉลองให้กับวันสำคัญนี้สักหน่อย แม้จะดื่มเพียงลำพังก็ตาม” มาตีเยอกล่าวพร้อมยิ้มกว้าง

โปแลนด์ก็กำลังกลับสู่ภาวะปกติเช่นกัน หลังรัฐบาลยกเลิกข้อจำกัดเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม โดยนับตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค. เป็นต้นมา ร้านอาหารและบาร์ได้รับอนุญาตให้เปิดบริการส่วนกลางแจ้งได้ หลังต้องให้บริการสั่งกลับบ้านหรือจัดส่งเพียงอย่างเดียวมานานถึง 1 ปี เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์

วันที่มีการยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ถือเป็นวันสำคัญสำหรับ ลูคาส โมล เจ้าของบาร์และร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้ย่านใจกลางเมืองของกรุงวอร์ซอ โดยร้านของเขามียอดขายรายวันสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี “การยกเลิกข้อจำกัดทำให้ทุกคนมีกำลังใจ คุณจะมองเห็นความสุขจากการได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระบนใบหน้าของผู้คน” เขากล่าว

ทั้งนี้ โปแลนด์จะทยอยยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ต่อไป โดยจะอนุญาตให้นั่งทานอาหารในร้านได้ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค. เป็นต้นไป แต่กำหนดว่าร้านอาหารจะให้บริการได้ไม่เกินร้อยละ 50 ของความสามารถในการรองรับ

เตือนประชาชนอย่าประมาท

แม้จะสัมผัสได้ถึงความสุขของผู้คนทั่วทุกหนแห่ง แต่ปรีติ ชุกละ (Preeti Shukla) แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปในมณฑลแลงคาเชอร์ของสหราชอาณาจักร และประธานที่ประชุมแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป ของสมาคมแพทย์ระหว่างประเทศสหราชอาณาจักร เตือนให้ประชาชนไม่ประมาทและระมัดระวังตนเองต่อไป ด้วยการปฏิบัติตามกฎระเบียบ สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทางสังคม หมั่นล้างมือให้สะอาด และตรวจโรคโควิด-19 เป็นประจำ โดยเฉพาะในยามที่พบเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ เพราะหากผู้คนนิ่งนอนใจ สถานการณ์อาจย่ำแย่ลงจนต้องล็อกดาวน์อีกรอบได้

ด้านรัฐบาลเยอรมนียังคงเฝ้าระวังเกี่ยวกับฤดูกาลท่องเที่ยวช่วงหน้าร้อน แม้ยอดผู้ป่วยโรคโควิด-19 รายวันจะมีจำนวนลดลง

โดยชเตฟเฟน ไซแบร์ต (Steffen Seibert) โฆษกรัฐบาลเยอรมนี กล่าวว่าประชาชนจะยังไม่สามารถใช้ชีวิตในฤดูร้อนอย่างผ่อนคลายได้เหมือนกับปีก่อน เพราะเป้าหมายของรัฐบาลยังคงเป็นการลดจำนวนผู้ป่วยโรคโควิด-19 ลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเชื่อว่าจะทำได้สำเร็จในอนาคต พร้อมระบุว่าการสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทางสังคม ตรวจโรคโควิด-19 และใช้แอปพลิเคชันเฝ้าระวัง ยังเป็นสิ่งสำคัญในการต่อสู้กับการแพร่ระบาด

เนื่องจากแผนฉีดวัคซีนมีความคืบหน้า รัฐบาลลัตเวียจึงอนุญาตให้พนักงานที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว กลับมาทำงานที่ออฟฟิศได้ตามปกติ โดยกำหนดจำนวนไม่เกิน 20 คน ทว่ายังมีการบังคับใช้ข้อกำหนดทางระบาดวิทยาที่เข้มงวดหากต้องทำงานร่วมกับผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน รวมถึงต้องสวมหน้ากากและเว้นระยะห่างทางสังคม หากต้องอยู่ร่วมกับผู้ที่ไม่ทราบแน่ชัดว่าได้รับวัคซีนแล้วหรือไม่

รุ่งอรุณแห่งการฟื้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

สหราชอาณาจักรผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์เพิ่มเติมทั่วประเทศเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (17 พ.ค.) แม้จะมีข้อกังวลเกี่ยวกับเชื้อไวรัสชนิดกลายพันธุ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่พบเป็นครั้งแรกในอินเดีย โดยผับ บาร์ และร้านอาหารได้รับอนุญาตให้เปิดบริการนั่งทานในร้านได้ ขณะที่สถานประกอบกิจการด้านความบันเทิงในร่ม เช่น โรงภาพยนตร์ พิพิธภัณฑ์ และพื้นที่เด็กเล่น กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งแล้ว

ขณะเดียวกัน สถานประกอบกิจการที่ยังเหลืออยู่ทั้งหมด ซึ่งรวมถึง โรงแรม โฮสเทล และสถานที่ให้บริการที่พักพร้อมอาหารเช้า (B&B) กลับมาเปิดให้บริการแล้วตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค. และหลังจากคำสั่งห้ามเดินทางระหว่างประเทศถูกยกเลิกไป ประชาชนสามารถเดินทางไปยังกลุ่มประเทศสีเขียว (green-list countries) หรือกลุ่มประเทศที่มีความปลอดภัยจากโควิด-19 ในระดับสูงสุด ได้โดยไม่ต้องกักตัวหลังลงจากเครื่อง

ด้านออสเตรียได้ผ่อนปรนมาตรการเข้าประเทศ เมื่อวันพุธ (19 พ.ค.) โดยอนุญาตให้ประชาชนจากกลุ่มประเทศและภูมิภาคที่มีความเสี่ยงต่ำเดินทางเข้าออสเตรียได้ โดยต้องแสดงผลตรวจโรคโควิด-19 ที่เป็นลบ ใบรับรองการฉีดวัคซีน หรือเอกสารที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพื่อไม่ต้องเข้ารับการกักตัว

ด้านลัตเวียได้ละเว้นการตรวจโรคและการกักตัวตามมาตรการปกติ สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นข้อบังคับสำหรับผู้ที่เดินทางมาจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป เขตเศรษฐกิจยุโรป สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร

ขณะที่สนามบินฟาโรทางตอนใต้ของโปรตุเกส รองรับผู้โดยสารจากสหราชอาณาจักรมากกว่า 5,000 คน เมื่อวันที่ 17 พ.ค. เพียงวันเดียว หลังจากโปรตุเกสผ่อนปรนข้อจำกัดการเดินทางและกฎระเบียบด้านสุขอนามัยสำหรับนักท่องเที่ยวจากสหราชอาณาจักร

ด้านสายการบินทีเอพี (TAP) สัญชาติโปรตุเกส เผยว่ายอดจำหน่ายตั๋วเที่ยวบินจากสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นร้อยละ 131 เมื่อไม่นานนี้ ส่วนจำนวนเรือสำราญเข้าเทียบท่าเรือลิสบอนก็ฟื้นตัวขึ้นในวันเดียวกัน โดยผู้โดยสารจำเป็นต้องแสดงผลตรวจโรคโควิด-19 ที่เป็นลบก่อนเข้าเมือง

ส่วนเยอรมนียังคงบังคับใช้ข้อบังคับด้านการกักตัวกับผู้โดยสารที่มาจากพื้นที่แพร่ระบาดสูง แต่สามารถลดจำนวนวันลงจาก 10 เหลือ 5 วันได้ หากมีผลตรวจโรคโควิด-19 เป็นลบ แต่ผู้ที่มาจากพื้นที่ที่ไวรัสชนิดกลายพันธุ์ระบาด ยังต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วัน

 

ที่มา : https://www.naewna.com/inter/575411


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

อัปเดต วัคซีนโควิด-19 ในไทย มียี่ห้อไหนอนุมัติใช้แล้วบ้าง

จากข้อมูล สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พบว่า ขณะนี้มี วัคซีนโควิด-19 ที่ผ่านการอนุมัติแล้ว 4 ตัวด้วยกัน คือ วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า โดยบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด และที่ผลิตในประเทศโดย บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด วัคซีนโคโรนาแวค ของบริษัท ซิโนแวค นำเข้าโดยองค์การเภสัชกรรม วัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน โดยบริษัท แจนเซ่น-ซีแลค จำกัด รวมถึงวัคซีนโมเดอร์นา โดยบริษัท ซิลลิค ฟาร์มา จำกัด

ซึ่งขณะนี้ มีการนำเข้ามาแล้ว 2 ยี่ห้อ คือ ซิโนแวค และ เอสตร้าเซนเนก้า ส่วนจอนห์สันแอนด์จอนห์สัน ยังไม่พบไทม์ไลน์นำเข้า และโมเดอร์น่า มีไทม์ไลน์จะนำเข้าช่วงเดือน ต.ค.นี้

นอกจากนี้ บริษัท ไบโอจีนีเทคฯ ซึ่งก่อนหน้าเคยยื่นขึ้นทะเบียนวัคซีนโควัคซีน (Covaxin) ของบารัต ไบโอเทค ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ อย.นั้น ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทไบโอจีนีเทคฯ ได้นำเอกสารมาขอขึ้นทะเบียนวัคซีนซิโนฟาร์มของประเทศจีนอีกหนึ่งชนิด ซึ่งเป็นการยื่นเอกสารแบบรอบเดียวจบและยื่นครบแล้ว อยู่ระหว่างประเมินคำขอขึ้นทะเบียน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจะใช้เวลาในการพิจารณาไม่เกิน 30 วัน


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

“กองทัพบก” ยังงดสื่อมวลชนเข้าทำข่าวอย่างไม่มีกำหนด คงมาตรการจำกัดคน ป้องโควิดระบาด

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทางเลขานุการกองทัพบก ได้ประสานขอความร่วมมือสื่อมวลชนงดเข้ามาทำข่าว และงดใช้ห้องสื่อมวลชน ภายในกองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) ถ.ราชดำเนิน ตั้งแต่วันที่ 27 เม.ย.เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน

ล่าสุดทบ.แจ้งว่ามีนโยบายแถลงข่าว​แบบออนไลน์​โดยอำน​วยความ​สะดวก​ให้กับสื่อสายทหาร​ ทั้ง​ ข่าวแจก ภาพนิ่ง และคลิปภาพประกอบ​ข่าว​ อีกทั้งภายใน​พื้นที่​บก.ทบ.เอง ยังคงมีมาตรการจำกัดจำนวนคนเข้าพื้นที่​ เพื่อป้องกัน​การระบาดของโควิด-19​ สำนักงานเลขานุการกองทัพบก (สลก.ทบ​.) จึงขอขยายระยะเวลาในการเข้าใช้พื้นที่ห้องสื่อมวลชนออกไปอีกสักระยะหนึ่ง

มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS) เปิดเผยว่า รัฐบาลสิงคโปร์ได้อนุมัติการใช้เครื่องตรวจหาเชื้อโควิด-19 ทางลมหายใจ ซึ่งจะช่วยให้ทราบผลการตรวจหาเชื้อได้ภายใน 1 นาที

เครื่องตรวจหาเชื้อโควิด-19 ทางลมหายใจนี้ พัฒนาขึ้นโดยสตาร์ทอัพ Breathonix ของ NUS ซึ่งสามารถใช้งานได้ดีเหมือนกับเครื่องวิเคราะห์ลมหายใจระดับมาตรฐานทั่วไปที่ตำรวจใช้ทดสอบว่าผู้ขับขี่รถยนต์มีอาการมึนเมาเนื่องจากดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่ โดยผู้เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 จะต้องเป่าลมเข้าไปในเครื่องตรวจ และลมหายใจของผู้เป่าจะถูกนำมาเปรียบเทียบกับลมหายใจของผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 โดยใช้ซอฟต์แวร์ Machine Learning

หนังสือพิมพ์สเตรทส์ไทมส์ของสิงคโปร์รายงานว่า สิงคโปร์จะคัดกรองผู้ที่เดินทางเข้าประเทศผ่านทางมาเลเซียที่ด่านทูอัส ทางตะวันตกของประเทศ ด้วยการทดลองใช้เครื่องตรวจหาเชื้อโควิด-19 ทางลมหายใจ โดยผู้ที่มีผลการตรวจออกมาเป็นบวก ก็จะต้องรับการตรวจอีกครั้งด้วยวิธี PCR Swab Test เพื่อยืนยันผล

ปัจจุบัน สิงคโปร์ตรวจหาเชื้อผู้ที่เดินทางเข้าประเทศด้วยการตรวจแอนติเจนแบบรวดเร็ว (ART) ซึ่งอาจจะดำเนินควบคู่ไปกับเครื่องวิเคราะห์จากลมหายใจ

ทั้งนี้ การตรวจหาเชื้อโควิด-19 ที่ให้ผลลัพธ์แม่นยำและอย่างรวดเร็วอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้สิงคโปร์สามารถผ่อนคลายความเข้มงวดในอุตสาหกรรมการเดินทาง

 

ที่มา : https://www.infoquest.co.th/2021/90093


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ประธานาธิบดี บาร์ฮัม ซาเลห์ แห่งอิรัก แถลงเงินรายได้จากน้ำมันถูกปล้นไปจากอิรักประมาณ 150,000 ล้านดอลลาร์ นับแต่สหรัฐฯ นำกองกำลังพันธมิตรบุกโค่นรัฐบาล ซัดดัม ฮุสเซน เมื่อปี 2003

ประธานาธิบดี บาร์ฮัม ซาเลห์ แห่งอิรัก แถลงเมื่อวันที่ 23 พ.ค.64 ว่า เงินรายได้จากน้ำมัน ถูกปล้นไปจากอิรักประมาณ 150,000 ล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่สหรัฐฯ นำกองกำลังพันธมิตรบุกโค่นรัฐบาล ซัดดัม ฮุสเซน เมื่อปี 2003

“รายได้เกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ที่เราได้จากการขายน้ำมันตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา มีอยู่ประมาณ 150,000 ล้านดอลลาร์ที่ถูกปล้นไปจากอิรัก” ซาเลห์ แถลงผ่านสื่อโทรทัศน์

โดยหากย้อนกลับไปในปี 2003 นั้น ก็นับเป็นปีที่สหรัฐอเมริกาเริ่มนำกองกำลังพันธมิตรบุกโค่นรัฐบาล ซัดดัม ฮุสเซน เมื่อปี 2003

ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ ซาเลห์ ได้เสนอร่างกฎหมายว่าด้วยการทวงคืนเงินทุนทุจริต (Corrupt Funds Recovery Act) ต่อรัฐสภา

“ร่างกฎหมายฉบับนี้จะช่วยเพิ่มความเข้มแข็งให้แก่ประชาชาติอิรัก ทวงคืนเงินรายได้ที่ถูกปล้นไปจากการทำสัญญาทุจริต และนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม” ซาเลห์ กล่าว

ผู้นำอิรักเรียกร้องให้สมาชิกรัฐสภาร่วมกันอภิปรายและผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งเสนอให้มีการติดตามทวงคืนเงินที่ถูกขโมยโดยอาศัยความร่วมมือกับรัฐบาลต่างชาติและองค์กรระหว่างประเทศ

เขาเชื่อว่าวงเงินที่ถูกขโมยไปมากพอที่จะฟื้นสถานะทางการคลังของอิรักให้ดีขึ้นได้ และร่างกฎหมายใหม่ “จะช่วยแก้ไขปัญหาการทุจริตฉ้อโกงที่ลิดรอนโอกาสประชาชนในการเข้าถึงความร่ำรวยของประเทศมานานหลายปี”

“วันนี้ผมขอย้ำข้อเรียกร้องของอิรักที่เราได้กล่าวต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติไปแล้วว่า ขอให้มีการตั้งกลุ่มพันธมิตรนานาชาติเพื่อต่อต้านการคอรัปชัน ในลักษณะเดียวกับพันธมิตรต่อต้าน ISIS (กลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม หรือ ไอเอส)

“ลัทธิก่อการร้ายจะถูกกำจัดหมดไปได้ ก็ต่อเมื่อเราปิดกั้นแหล่งเงินทุนของพวกเขาที่มาจากการทุจริตคอรัปชัน” ซาเลห์ เอ่ยเสริม

ปัจจุบันอิรักยังคงล้มเหลวในการฟื้นคืนเสถียรภาพหลังตกอยู่ท่ามกลางสงครามและมาตรการคว่ำบาตรมาหลายสิบปี โดยตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมามีชาวอิรักหลายร้อยคนที่ต้องเสียชีวิตจากการเดินขบวนต่อต้านพฤติกรรมทุจริตของรัฐบาล ตลอดจนปัญหาการว่างงาน และบริการขั้นพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้าและน้ำสะอาดที่ยังไม่เพียงพอ

อย่างไรก็ตามสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ โจ ไบเดน มีแผนที่จะถอนทหารอเมริกันทั้งหมดออกจากอิรัก หลังจากที่กองกำลังความมั่นคงท้องถิ่นมีศักยภาพสูงขึ้น อีกทั้งภัยคุกคามจากกลุ่มไอเอสก็ลดลงมาก

โดยล่าสุดสหรัฐฯ มีทหารประจำการอยู่ในอิรักราว 2,500 นาย โดยเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังเฉพาะกิจร่วมผสม-ปฏิบัติการแก้ปัญหาจากต้นกำเนิด (Operation Inherent Resolve) ที่มุ่งขจัดกลุ่มนักรบที่ยังหลงเหลืออยู่ของ “รัฐคอลีฟะห์” ที่ไอเอสเคยสถาปนาขึ้นบนพื้นที่กว้างขวางของอิรักและซีเรียเมื่อปี 2014

 

ที่มา: https://mgronline.com/around/detail/9640000049945


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้ทำการ สำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อกรณี “การฉีดวัคซีนโควิด-19”

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้ทำการ สำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อกรณี “การฉีดวัคซีนโควิด-19” พบว่า ประชาชนค่อนข้างมีความรู้เข้าใจเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 และได้ลงทะเบียนรับการฉีดวัคซีนให้ตนเองหรือคนในครอบครัวแล้ว โดยแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือมากที่สุด คือ ข้อมูลจากบุคลากรทางการแพทย์


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

สำนักข่าว Wall Street Journal ได้อ้างรายงานจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐอเมริกาว่า พบนักวิจัยถึง 3 คนจาก Wuhan Institute of Virology หรือ สถาบันวิจัยไวรัสแห่งอู่ฮั่น ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการป่วยชนิดหนึ่งช่วงราว ๆ เดือนพฤศจิกายน 2019

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม 2021 ที่ผ่านมา สำนักข่าว Wall Street Journal ได้อ้างรายงานจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐอเมริกาว่า พบนักวิจัยถึง 3 คนจาก Wuhan Institute of Virology หรือ สถาบันวิจัยไวรัสแห่งอู่ฮั่น ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการป่วยชนิดหนึ่งช่วงราว ๆ เดือนพฤศจิกายน 2019 ก่อนที่จะพบการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่ตลาดอาหารทะเลอู่ฮั่น ที่ต่อมาถูกตั้งชื่อว่า Covid-19

ซึ่งรายงานเรื่องนี้ ก็สอดคล้องกลับเอกสารที่หน่วยความมั่นคงสหรัฐฯ เคยส่งมอบให้กับอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมพ์ เมื่อปีที่แล้ว ว่าพบนักวิจัยจากสถานบันแห่งนี้เข้าโรงพยาบาลด้วยอาการคล้ายโรคหวัดฤดูหนาวที่บางอาการก็เหมือนผู้ป่วยโรค Covid-19 ที่กลายเป็นวาทะดุเดือดของ โดนัลด์ ทรัมพ์ ที่เรียก Covid-19 ว่าเป็น "ไวรัสจีน"

รายงานล่าสุดที่ออกจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ออกมาดักงานเรียกประชุมทีมสืบสวนคดีต้นกำเนิด Covid-19 ขององค์การอนามัยโลก เพียง 1 วัน เพื่อสรุปผลการสืบสวนในขั้นต่อไป

ด้านฝ่ายความมั่นคงสหรัฐฯ ยังไม่ออกความเห็นเกี่ยวกับรายงานล่าสุดชิ้นนี้ แต่ย้ำว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีความจริงจังที่ต้องการสืบสวนต้นตอโรค Covid-19 ให้เกิดความกระจ่าง

ส่วนรัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ก็ออกมาปฏิเสธรายงานชิ้นนี้ และกล่าวหาว่าสหรัฐฯ พยายามโยงทฤษฎีไวรัสว่าเป็นงานวิจัยของจีนให้ได้ ทั้ง ๆ ที่ ทางทีมสอบสวนคดี Covid-19 ได้เข้ามาเยี่ยมสถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่นแล้ว และเคยสรุปว่าโอกาสที่ไวรัสจะหลุดจากห้องแล็บแห่งนี้แทบเป็นไปไม่ได้

แต่ก็ยังมีข้อมูลดิบเกี่ยวกับการระบาดของ Covid-19 ครั้งแรกในอู่ฮั่นที่ทางจีนยังไม่ส่งมอบให้กับองค์การอนามัยโรคเพื่อตรวจสอบ

ทีมสอบสวนเฉพาะกิจคดีต้นกำเนิดไวรัส Covid-19 แต่งตั้งโดยองค์การอนามัยโลก ที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาด ไวรัสวิทยา สัตววิทยา จากหลากหลายประเทศจำนวน 14 คนได้เดินทางเข้าไปตามรอยไวรัส Covid-19 ในเมืองอู่ฮั่นในช่วงต้นปี 2021

เบื้องต้นเคยตั้งข้อสันนิษฐานว่า ไวรัสโคโรน่า อาจปะปนมากับอาหารทะเลแช่แข็งที่ส่งมาจากประเทศย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่การสรุปข้อเท็จจริงจำเป็นต้องใช้เวลารวบรวมข้อมูลจำนวนมาก เดินทางไปทั่วประเทศจีน กว่าจะสรุปได้ต้องใช้เวลานานหลายปี และถึงจะเคยเยี่ยมชมสถาบันวิจัยไวรัสที่อู่ฮั่นมาแล้ว และเชื่อว่าเชื้อไวรัส Covid-19 ไม่น่าจะมาจากห้องทดลอง

แต่ทั้งนี้ WHO กล่าวว่ายังไม่ได้ตัดข้อสันนิษฐานถึงที่มาของเชื้อไวรัสว่าอาจมีต้นกำเนิดในประเทศจีนแต่อย่างใด

 

อ้างอิง : https://www.wsj.com/articles/intelligence-on-sick-staff-at-wuhan-lab-fuels-debate-on-covid-19-origin-11621796228?mod=hp_lead_pos3

https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/wuhan-lab-staff-sought-hospital-care-before-covid-19-outbreak-disclosed-wsj

https://www.thelancet.com/journals/lancet/article/PIIS0140-6736(21)00295-6/fulltext


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘หมอศิริราช’ ชี้โควิด ‘สายพันธุ์แอฟริกา’ มีวัคซีนตัวเดียวเอาอยู่ เตือนอย่าให้ลามเข้ากรุง

ศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว “มานพ พิทักษ์ภากร” ระบุว่า...

มีข่าวว่า B.1.351 (South African variant) มาเยือนเมืองไทยแล้ว สายพันธุ์นี้ป้วนเปี้ยนแถวชายแดนใต้มาเป็นเดือนเนื่องจากมีการระบาดในมาเลเซีย

ขออย่าให้เข้ามาระบาดถึงใจกลางเมืองหลวงแบบ B.1.617.2 (Indian variant) นะครับ

เพราะวัคซีนที่ได้ผลกับสายพันธุ์นี้มีแค่ Pfizer (และอาจรวมถึง Moderna ด้วย) ที่ 75%, J&J ที่ 64-66% และ Novavax ที่ 60.1% (สำหรับ non-HIV)

ส่วน AstraZeneca เหลือแค่ 10.4% สำหรับ Sinovac ถ้าเทียบระดับ antibody ที่ขึ้นหลังฉีดแล้วคาดว่าคงแทบไม่ได้ผลเช่นกัน

อาจถึงเวลาที่ภาครัฐจะต้องเปลี่ยนนโยบาย เร่งนำเข้า Pfizer, Moderna และ J&J vaccine มาให้เพียงพอและครอบคลุมประชากรครับ ถ้าปล่อยให้ B.1.351 ระบาดนี่อาจดูไม่จืดเลย

สาเหตุหลักที่ทำให้ B.1.351 ดื้อต่อวัคซีนและ antibody มาก คือการกลายพันธุ์ในตำแหน่ง E484 บน spike protein ที่เป็น E484K คือเปลี่ยนกรดอะมิโนจาก glutamate ไปเป็น lysine มีผลทำให้ antibody จับกับ spike protein ได้ยาก นอกจากนี้การกลายพันธุ์ในตำแหน่งอื่นที่สำคัญคือ N501Y ที่เหมือนกับสายพันธุ์ UK ทำให้เชื้อจับกับตัวรับบนผิวเซลล์มนุษย์ได้ดีขึ้น แถมยังเจอ K417N ซึ่งทำให้เชื้อจับกับเซลล์ได้ดีขึ้นด้วย

ในปัจจุบัน B.1.351 เป็นสายพันธุ์ที่ดื้อต่อวัคซีนและ antibody ที่สุด รองลงมาคือ P.1 หรือสายพันธุ์ Brazil ซึ่งมี E484K เช่นกัน

ส่วนสายพันธุ์ India ที่ก่อนหน้านี้ระบาดคือ B.1.617.1 มีการกลายพันธุ์ในตำแหน่งเดียวกันแต่เป็น E484Q ทำให้ดื้อบ้างแต่ไม่เท่ากับ B.1.351 แต่สายพันธุ์อินเดียที่ระบาดหนักในขณะนี้ และเพิ่งพบในบ้านเราคือ B.1.617.2 ไม่พบ E484Q ซึ่งคาดว่าสายพันธุ์นี้ไม่น่าจะดื้อต่อวัคซีน

 

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10160951492558448&set=a.10150217040003448&type=3


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

รัฐบาลสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) แสดงท่าทีไม่พอใจอย่างมาก หลังรัฐบาลเบลารุสส่งเครื่องบินเจ็ตเข้าประกบเครื่องบินของสายการบินไรอันแอร์ที่บินจากกรุงเอเธนส์ไปยังกรุงวิลนีอุสผ่านน่านฟ้าเบลารุส

รัฐบาลสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) แสดงท่าทีไม่พอใจอย่างมาก หลังรัฐบาลเบลารุสส่งเครื่องบินเจ็ตเข้าประกบเครื่องบินของสายการบินไรอันแอร์ที่บินจากกรุงเอเธนส์ไปยังกรุงวิลนีอุสผ่านน่านฟ้าเบลารุส

โดยทางการเบลารุสได้บังคับให้เครื่องบินสายการบินไรอันแอร์ร่อนลงจอดในกรุงมินสก์ ก่อนจะเข้าจับกุมนายรามาน ปราตาเซวิช ซึ่งเป็นผู้สื่อข่าวที่โดยสารมาในเครื่อง ทั้งนี้ เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นการฝ่าฝืนระเบียบการเดินทางทางเครื่องบินของยุโรปอย่างร้ายแรงและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ด้านโฆษกของสายการบินไรอันแอร์ระบุว่า ลูกเรือของเที่ยวบินดังกล่าวได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่เบลารุสว่ามีบุคคลที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงโดยสารมาในเครื่อง และเมื่อเครื่องลงจอดที่กรุงมินสก์ เจ้าหน้าที่เบลารุสก็ได้ทำการจับกุมนายปราตาเซวิช ซึ่งเป็นอดีตบรรณาธิการบริหารของหนึ่งในช่องทางข่าวสารบนแอปพลิเคชันเทเลแกรมที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในเบลารุส รวมถึงเป็นผู้สื่อข่าวที่ทำหน้าที่รายงานข่าวการประท้วงต่อต้านประธานาธิบดีอเล็กซานเดอร์ ลูกาเชนโก ซึ่งชนะการเลือกตั้งในปี 2563 โดยมีข้อครหาจากหลายฝ่ายทั่วโลก

นายแอนโทนี บลินเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐกล่าวว่า “สหรัฐฯ ขอประนามการบังคับให้เครื่องบินที่เดินทางระหว่างประเทศสมาชิก EU ต้องลงจอดนอกจุดหมาย รวมถึงการควบคุมตัวและจับกุมผู้สื่อข่าวอย่างนายโรมัน ปราตาเซวิชด้วย”

“รายงานเบื้องต้นระบุว่า มีหน่วยงานความมั่นคงของเบลารุสเข้ามาเกี่ยวข้องในเหตุการณ์นี้ และมีการใช้เครื่องบินของกองทัพอากาศเบลารุสเพื่อบังคับเครื่องบินให้ลงจอด ซึ่งน่ากังวลอย่างยิ่ง และจำเป็นต้องมีการสอบสวนโดยละเอียดต่อไป” นายบลินเคนระบุ

การบังคับให้เครื่องบินลงจอดครั้งนี้ ทำให้ประเทศสมาชิก EU เช่น ฝรั่งเศส, กรีซ, โปแลนด์ และเยอรมนีต่างพากันประณามการตัดสินใจดังกล่าว พร้อมแสดงท่าทีโกรธเคืองอย่างยิ่ง ทั้งนี้ คาดว่า EU อาจมีการใช้มาตรการคว่ำบาตรกับรัฐบาลเบลารุส โดยผู้นำของประเทศสมาชิก EU จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดในกรุงบรัสเซลส์ในวันนี้และวันพรุ่งนี้ เพื่อพิจารณาแนวทางการตอบโต้การกระทำของรัฐบาลเบลารุส ซึ่งนางเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) กล่าวว่าเป็นเรื่องยอมรับไม่ได้เด็ดขาด

ด้านนายเจนส์ สโตลเตนเบิร์ก เลขาธิการชาติสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) กล่าวว่า “เรื่องนี้นับว่ามีความร้ายแรงและอันตรายอย่างยิ่ง จึงควรมีการสอบสวนในระดับนานาชาติ”

 

ที่มา : https://www.infoquest.co.th/2021/89938


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘แอน จักรพงษ์’ งัดหลักฐานโชว์ Miss Universe ติดต่อเรื่องซื้อกิจการจริง รอการติดต่อกลับ พร้อมปิดดีลทันที เงินสดพร้อมจ่าย แต่ต้องให้ถือหุ้น 51% ขึ้นไป

เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ ‘แอน จักรพงษ์’ ได้ออกมาเปิดเผยว่าทาง บริษัท Miss Universe Organization ได้ติดต่อเข้ามาเพื่อขายหุ้นกิจการและลิขสิทธิ์ ของ MUO ซึ่งทางบริษัทได้ติดต่อเธอเข้ามาตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งในตอนนั้นยังไม่ได้สนใจ

แต่ตอนนี้เธอได้ติดต่อ 'พอลล่า ชูการ์ต' เจ้าของเวที Miss Universe คนปัจจุบัน กลับไปแล้ว และกำลังรอการยืนยันตอบกลับ ซึ่งถ้าหาก MU จะขายลิขสิทธิ์ เธอก็พร้อมเคลม เพราะเงินพร้อมมาก แน่นอนว่าเหล่าแฟน ๆ นางงามก็ต่างเข้ามาสนับสนุนให้เธอซื้อกิจการและลิขสิทธิ์ของ Miss Universe แต่บางคนก็บอกว่าถ้าเป็นคำพูดจากเธอนั้นเป็นเรื่องที่ต้องหาร อาจจะไม่เป็นจริงทั้งหมด

ทำให้เมื่อคืนเธอจึงได้ออกมาไลฟ์สดเปิดเผยว่า เธอนั้นสนใจดีลการเข้าถือหุ้นเป็นเจ้าของ Miss Universe จากบริษัท Endeavor โดยเธอได้เล่าว่าตัวเธอนั้นเคยได้รับการทาบทามตั้งแต่ปี 2018 แต่ในตอนนั้นเธอยังไม่ได้สนใจในแวดวงนางงาม จนกระทั่งได้รับแรงบันดาลใจจากสาวมิสยูนิเวิร์สไทยคนล่าสุดอย่าง ‘อแมนด้า ออบดัม’ และจากผลการประกวดทำให้เธอไม่พอใจกับผลการประกวด

พร้อมทั้งออกมาแฉเบา ๆ ว่าการที่นางงามจาก ‘เม็กซิโก’ ได้ครองมงกุฎครั้งนี้ไปนั้น นั่นก็เป็นเรื่องของ ‘ธุรกิจ-ผลประโยชน์’ เพราะทาง 'เทเลมอนโด' เจ้าของลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอด Miss Universe ทั่วทวีปอเมริกาใต้ได้ทำสัญญาถ่ายทอดการประกวดไว้กับ MUO ถึง 5 ปี ลงทุนไปหลักพันล้าน ทั้งยังต้องการจะได้ทุนคืน โดยการเอานางงามที่ได้มงกุฎมาทำงานเป็นนักแสดงในช่อง หรือพูดง่าย ๆ ว่า ไทยจะยังไม่มงอีก 5 ปี เพราะต้องรอให้เทเลมอนโดได้ทุนคืนก่อนนั่นเอง

แอนยังกล่าวอีกว่า ตัวเธอกับทางเทเลมอนโดนั้นรู้จักกันมานานกว่า 10 ปีแล้ว หลังจากมีการชักชวนให้เธอซื้อละคร ภาพยนตร์จากละตินเข้ามาฉายในเอเซีย พร้อมทั้งงัดหลักฐานออกมาโชว์ว่าสิ่งที่เธอพูดมาทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริง เธอมีหลักฐานทุกอย่าง เพราะถ้าเธอไม่มีเอกสาร เธอก็คงไม่มานั่งพูดลอย ๆ เป็นแน่

อย่างไรก็ตาม แอน กล่าวว่า ตัวเธอนั้นจะต้องได้ถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 51% เพราะโดยปกติแล้วทาง MUO จะเสนอให้แค่ 20% และเธอนั้นต้องสามารถออกสิทธิ์ออกเสียง กำหนดทิศทางองค์กรได้ เพราะก่อนหน้านี้เธอเคยกล่าวว่า "อยากทำการสังคายนาเวที Miss Universe" อยากได้การพัฒนา เธอต้องการจะเห็นความยุติธรรม จะมาเอาเงินอย่างเดียวเธอไม่ยอม

ทั้งนี้ แอน ยังได้ทิ้งท้ายถามแฟนนางงามอีกว่า ถ้าเธอทำแฟนนางงามพร้อมที่จะสนับสนุนเธอหรือไม่ เพราะเธอนั้นมีเงินสดพร้อมจ่ายจริง หากปิดดีลได้สำเร็จ

 

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_6413747

https://fb.watch/5GMzqPuOTd/


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top