Tuesday, 29 April 2025
NEWS FEED

ลำพูน- ผู้ว่าฯลำพูน เปิดกิจกรรมและปล่อยขบวนรณรงค์ประชาสัมพันธ์ “ลำพูนอากาศสะอาด ปราศจากหมอกควันและ PM 2.5”

(3 ก.พ. 68) เปิดกิจกรรมประชาสัมพันธ์เพื่อเสริมสร้างความตระหนักของประชาชนในการลดหมอกควันเชิงรุก เปิดยุทธการป้องกันไฟป่าจังหวัดลำพูน (Kickoff) ภายใต้แนวคิด “ลำพูนอากาศสะอาด ปราศจากหมอกควันและ PM 2.5"

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 09.30 น. ที่วัดดอยติ ต.ป่าสัก อ.เมืองลำพูน จ.ลำพูน นายวิวัฒน์ อินทร์ไทยวงศ์  ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน เป็นประธานเปิดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ เพื่อเสริมสร้างความตระหนักของประชาชนในการลดหมอกควันเชิงรุก เปิดยุทธการป้องกันไฟป่าจังหวัดลำพูน (Kickoff) ภายใต้แนวคิด “ลำพูนอากาศสะอาด ปราศจากหมอกควันและ PM 2.5" โดยมีนายรวมศิลป์ มานะจงประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดลำพูน กล่าวรายงาน พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน เครือข่ายไฟป่า เจ้าหน้าที่ และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกิจกรรม

ปัญหามลพิษหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ที่ปกคลุมพื้นที่จังหวัดลำพูน สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการเผาในที่โล่ง เผากิ่งไม้ ใบไม้ เผาขยะ เผาเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อเตรียมพื้นที่ของเกษตรกร และการลักลอบ เผาป่าเพื่อล่าสัตว์และหาของป่าในฤดูแล้ง สร้างผลกระทบต่อประชาชน ทั้งในด้านสุขภาพ วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ เศรษฐกิจ รวมถึงสิ่งแวดล้อม 

ดังนั้นเพื่อประชาสัมพันธ์เสริมสร้างความตระหนักของประชาชน ในการลดหมอกควันเชิงรุก และเปิดยุทธการป้องกันไฟป่าจังหวัดลำพูน (Kick off) แสดงความพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของจังหวัดลำพูน ที่จะควบคุม ป้องกัน ปัญหาหมอกควัน และ PM 2.5 ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ในห้วงระยะวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม ประกอบกับผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน รองผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดลำพูน ได้ลงพื้นที่ทั้งอำเภอ 8 อำเภอ เพื่อประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจ รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายควบคุมการเผาในที่โล่ง และการลักลอบเผาในพื้นที่ป่าให้กับผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ 

โดยมีแนวทางการปฏิบัติงานได้แก่ 1.หน่วยงานสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้มงวดการป้องกัน ควบคุมไฟป่า โดยจัดตั้งจุดเฝ้าระวัง  ตั้งจุดสกัด และดำเนินคดีกับผู้เผาป่า จัดจ้างราษฎรร่วมเฝ้าระวังไฟในเขตพื้นที่ป่า สร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลกระทบจากไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และเสริมสร้างอาชีพให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่จะเข้าป่าล่าสัตว์ หาของป่า รวมทั้งสร้างการมีส่วนร่วมในการรักษาระบบนิเวศในพื้นที่สำคัญ 

2.หน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ความรู้เรื่องเกษตรกรรมปลอดการเผา เข้มงวดเผาเศษวัสดุเหลือใช้ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเกษตรกรว่า การเผาทำให้เสียสิทธิ์รับการช่วยเหลือจากรัฐบาล และอาจสิ้นสิทธิ์ในพื้นที่ สปก. 

3.หน่วยงานสังกัดกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการกวดขัน จับกุม และห้ามใช้รถยนต์ปล่อยควันดำเกินมาตรฐาน  

4.หน่วยงานสังกัดกระทรวงมหาดไทย คุมเข้มท้องถิ่นดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้เผาในที่โล่ง เผากิ่งไม้ ใบไม้ เผาขยะ และควบคุมโครงการก่อสร้างห้ามปล่อย PM 2.5 บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด

5.หน่วยงานสังกัดกระทรวงสาธารณสุข คุมเข้ม 5 มาตรการฝุ่นควัน ได้แก่ (1) เตรียมความพร้อมของศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (2) เร่งประชาสัมพันธ์เชิงรุกและสร้างความรู้เรื่อง มาตรการป้องกัน และแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ฝุ่นละออง PM 2.5) (3) จัดทีมปฏิบัติการทางการแพทย์ลงพื้นที่ดูแลกลุ่มเสี่ยง  กลุ่มเปราะบาง (4) ขยายบริการด้านการแพทย์สาธารณสุขให้ครอบคลุม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบสูง โดยเพิ่มบริการห้องปลอดฝุ่น และ (5) จัดตั้งคลินิก PM 2.5 การให้คำปรึกษาออนไลน์ รวมทั้งให้สนับสนุนอุปกรณ์เวชภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น หน้ากากอนามัยฯ เป็นต้น
 
ทั้งนี้ภายในงานมีกิจกรรม Kick off ปล่อยคาราวานรณรงค์ประชาสัมพันธ์เพื่อเสริมสร้างความตระหนักของประชาชนในการลดหมอกควันและป้องกันไฟป่า  และการจัดนิทรรศการ ให้ความรู้ด้านการบริหารจัดการปัญหาหมอกควันไฟป่าและและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ของหน่วยงานภาครัฐ อีกด้วย

กระทรวงเกษตรฯ จับมือมูลนิธิเกษตราธิการ และสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) แถลงเปิดการอบรม หลักสูตรวิทยาการเกษตรระดับสูง (วกส.) รุ่นที่ 6 เล็งปั้นผู้นำยุคใหม่ร่วมขับเคลื่อนภาคการเกษตรไทย

(3 ก.พ. 68) ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการแถลงข่าว “หลักสูตรวิทยาการเกษตรระดับสูง (วกส.) รุ่นที่ 6” โดยมีนางอัญชลี สุวจิตตานนท์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการหลักสูตรวิทยาการเกษตรระดับสูง (วกส.) และดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร เข้าร่วมการแถลงข่าวฯ ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (115) ซึ่งหลักสูตรดังกล่าวเป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มูลนิธิเกษตราธิการ และสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเครือข่ายผู้นำรุ่นใหม่ในแวดวงเกษตรกรรมที่มีความรู้ความสามารถในการขับเคลื่อนภาคการเกษตรไทยเข้าสู่เกษตรสมัยใหม่ และการใช้ทรัพยากรควบคู่ไปกับความยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ ” ซึ่งต้องใช้นวัตกรรมจากงานวิจัยมาปรับใช้เพื่อพัฒนาเป็นกลไกในการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร โดยหลักสูตรนี้จะทำให้ภาครัฐ เอกชนและภาคเกษตร ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและบูรณาการการทำงานร่วมกันผ่านเครือข่ายวกส. ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน อันจะเป็นการยกระดับภาคการเกษตรไทยซึ่งจะช่วยกระตุ้นการสร้างเศรษฐกิจรากฐานให้มีความเข้มแข็ง พร้อมเป็นพลังร่วมขับเคลื่อนให้ประเทศไทยมีความพร้อมเป็นผู้นำการผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารชั้นนำของโลกต่อไป

จากรุ่นที่ 1 สู่รุ่นที่ 5 หลักสูตร “วกส.” สามารถปั้นผู้นำขับเคลื่อนภาคการเกษตรได้ไม่น้อยกว่า 480 คน สร้างข้อเสนอโครงการวิจัย ได้ไม่ต่ำกว่า 40 เรื่อง ส่งผลให้เกิดความ ร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ในการร่วมลงทุนพัฒนางานวิจัยไน้อยกว่า 10 ล้านบาท สามารถขยายผลต่อยอดทักษะด้านการเกษตรสร้างมูลค่าให้แก่ประเทศไทยได้ไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท และสำหรับรุ่นที่ 6 นี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7 ก.พ.- 25 ก.ค.68 โดยมีผู้บริหารระดับสูงภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้แทนเกษตรกรที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมการฝึกอบรม จำนวน 112 คน เข้ารับการอบรม โดยพิธีเปิดอย่างเป็นทางการถูกกำหนดให้จัดขึ้น ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 โดยได้รับเกียรติจากนายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานในฯ ณ อาคาร 99 ปีหม่อมหลวงชูชาติ กำภู กรมชลประทาน สามเสน กรุงเทพมหานคร

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ในการขับเคลื่อนภาคการเกษตรไทยให้เป็นผู้นำด้านการเกษตรและอาหารในระดับนานาชาติ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และองค์ความรู้ในทุกมิติ เพื่อให้ครอบคลุมทุกการพัฒนา และกระแสความต้องการของตลาดในปัจจุบัน เพื่อการพัฒนาภาคการเกษตรในมิติต่าง ๆ อาทิ การส่งเสริมเกษตรมูลค่าสูง โดยการสนับสนุนการเพาะปลูกทางเลือกใหม่ ได้แก่ ไข่ผำ กาแฟ และโกโก้ การแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและต่อยอดอาชีพเกษตรกรให้มีความมั่นคงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ได้ส่งเสริมการทำเกษตรอย่างยั่งยืน อาทิ การปลูกข้าว Low carbon เป็นต้น โดยบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงเกษตรฯให้เกิดผลเป็นรูปธรรม สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป

 จเรตำรวจแห่งชาติคิกออฟวอร์รูมวิเคราะห์สถานการณ์วันต่อวัน ยกระดับความเข้มข้นในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ 

(2 ก.พ. 68) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศตคม.ตร./ผอ.ศปอส.ตร.) เป็นประธานการประชุมวอร์รูม (War Room) ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติอาชญากรรมออนไลน์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการร่วมระหว่างหน่วยงานต่างๆ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ , ศตคม.ตร. และ ศปอส.ตร. บูรณาการติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดแบบรายวัน เพื่อวางแผนป้องกันปราบปรามอาชญากรรมดังกล่าวให้ได้ผลดีมากยิ่งขึ้น โดย พล.ต.อ.ธัชชัยฯ จะเป็นประธานการประชุมสั่งการในทุกวัน โดยวันนี้เป็นวันแรกในการคิกออฟวอร์รูมดังกล่าว

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์นั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2565 และนับจากนี้จะเป็นการยกระดับการดำเนินการที่เข้มข้นมากขึ้น โดยการตั้งวอร์รูมนี้พุ่งเป้าเดินหน้าปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ จะมีการประชุมติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์รายวัน ขยายผลการดำเนินงาน กระชับความร่วมมือในการเดินหน้าปฏิบัติการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากขึ้น อาทิ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) , ธนาคารแห่งประเทศไทย , สมาคมธนาคารไทย , สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) , ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เน็ต เป็นต้น และจะเน้นการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้นมากขึ้น โดยหลังจากนี้ที่จะเร่งเดินหน้าอย่างเต็มกำลังในการปราบปราม จะมีการประเมินสถานการณ์อีกครั้งภายใน 3 เดือน คาดหวังว่าสถานการณ์ความรุนแรงของอาชญากรรมดังกล่าวจะลดลงอย่างเป็นรูปธรรม

เราผู้กล้ารบ ร่วมวางพวงมาลา "วันทหารผ่านศึก"  ที่อนุสาวรีย์ทหารนาวิกโยธิน สัตหีบ ชลบุรี

(3 ก.พ. 68) ที่บริเวณหน้าอนุสาวรีย์ทหารนาวิกโยธิน ค่ายกรมหลวงชุมพร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
ชมรมทหารผ่านศึกสัตหีบ โดยการสนับสนุนของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองทัพเรือ จัดพิธีวางพวงมาลาเนื่องในวันทหารผ่านศึก 3 กุมภาพันธ์ 2568 ที่บริเวณหน้าอนุสาวรีย์ทหารนาวิกโยธิน เพื่อรำลึกถึงวีรกรรมความกล้าหาญของทหารผ่านศึก ที่ได้เสียสละชีวิตปกป้องเอกราช และอธิปไตยของชาติ 

ในพิธีมี พลเรือโท เสมา สุวรรณโชติ ประธานชมรมทหารผ่านศึกสัตหีบ เป็นประธานในพิธีนำวางพวงมาลา และอ่านคำปราศัยของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะนายกสภาทหารผ่านศึก เนื่องในวันทหารผ่านศึก ที่มีถึงพี่น้องทหารผ่านศึกและครอบครัวทหารผ่านศึก โดยมีสมาคมฯ ชมรมฯ ครอบครัวทหารผ่านศึก หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่สัตหีบและใกล้เคียง รวม 22 หน่วยงาน กว่า 300 คน เข้าร่วมพิธีและร่วมวางพวงมาลาในวันนี้ 

นาวาเอก ศักดิ์มงคล น้อยทรง ทหารผ่านศึกนอกประจำการ อายุ 38 ปี ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการสนามในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ถูกลอบวางระเบิดแสวงเครื่อง ขณะปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยครูโรงเรียนบาตู อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ทำให้ขาข้างซ้ายขาดเหนือเข่า กล่าวว่า มีความภาคภูมิใจ ถึงแม้จะเสียขาข้างซ้ายจากการปฏิบัติหน้าที่ แต่ปัจจุบันยังอยู่อย่างมีความสุขกับครอบครัว มีความภาคภูมิใจที่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ในวันนี้ 3 ก.พ.ได้เวียนมาบรรจบอีกครั้งหนึ่ง มีความภาคภูมิใจที่มาอยู่ที่อนุสาวรีย์ทหารนาวิกโยธินแห่งนี้ ซึ่งเป็นสถานที่บรรจุอัฐิของพี่น้องนาวิกโยธิน ที่ได้เสียสละจากการปฏิบัติหน้าที่ มีความภาคภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นทหารปกป้องประเทศชาติ ได้ดูแลประชาชน นับเป็นเกียรติประวัติแก่วงศ์ตระกูล เป็นอย่างยิ่ง

ส่วนนักรบท่านอื่นๆ ได้กล่าวถึงความภาคภูมิใจว่า ในอดีตเคยเป็นนักรบในการปกป้องประเทศชาติ และดูแลพี่น้องประชาชน วันนี้วันทหารผ่านศึก 3 ก.พ.ได้เวียนมาบรรจบอีกครั้งหนึ่ง จึงได้เดินทางมาร่วมในพิธีวางพวงมาลา เนื่องในวันทหารผ่านศึก และได้พบกับเพื่อนๆ นักรบที่ได้เคยปฏิบัติงานร่วมกันมาในอดีตอีกด้วย

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สรุปผลการปฏิบัติ 7 มาตรการเข้มข้น หลังขีดเส้นตาย 7 วัน  ปฏิบัติการเชิงรุกตั้งแต่ก่อนเข้าประเทศ เอ็กซเรย์ทุกพื้นที่ สกัดกั้นชายแดน ปรับแผนรองรับ  กวาดล้างคอลเซ็นเตอร์และบังคับใช้กฎหมายเด็ดขาดทุกราย

(3 ก.พ. 68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  แถลงผลการปฏิบัติ 7 มาตรการเข้มข้นในการแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวถูกหลอกลวง นับตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2568 ได้ประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และคนต่างด้าวถูกหลอกลวง หรือประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย และอาชญากรรมข้ามชาติ และขีดเส้นตาย 7 วันให้ทุกหน่วยดำเนินการ โดยมีกรณีพื้นที่ ภ.6 มีคำสั่งให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง (สภ.แม่สอด สภ.แม่ระมาด สภ.พบพระ) และออกคำสั่งให้ไปช่วยราชการ ศปก.ภ.6 ทันที โดยขาดจาก ต้นสังกัดเดิม  

ผบ.ตร. กล่าวว่า ได้มีหนังสือสั่งการกำหนด 7 มาตรการเข้มข้น ให้ปฏิบัติอย่างชัดเจน  โดยมีผลการปฏิบัติ ห้วงระหว่าง วันที่ 20-31 มกราคม 2568 ดังนี้ 
1.มาตรการก่อนคนต่างด้าวเดินทางเข้าประเทศไทย : การประสานและสืบสวนหาข่าวร่วมกับหน่วยงานด้านการข่าว สมาชิก INTERPOL และประสานงานช่องทางกงสุล (ฝ่ายตำรวจ/ทูตฝ่ายตำรวจ) เชื่อมโยงข้อมูลคนต่างด้าวไปยังหน่วยตำรวจพื้นที่และจุดตรวจ และประสานงานด้านการสืบสวนหาข่าวสืบสวนจับกุมคนต่างด้าวที่กระทำความผิด

2. มาตรการ ณ ท่าอากาศยาน และด่านตรวจคนเข้าเมือง(ชายแดน) : ตรวจสอบและบันทึกข้อมูลบุคคลเฝ้าระวัง ปฏิเสธการเข้าเมือง สืบสวนในพื้นที่ท่าอากาศยาน และตรวจคัดกรองคนต่างด้าวชายแดน ตรวจสอบ/จับกุมยานพาหนะบริเวณท่าอากาศยาน โดยประสานกับการท่าอากาศยาน ศุลกากร ตำรวจท่องเที่ยวและตรวจคนเข้าเมือง

3. มาตรการตั้งจุดตรวจเส้นทางการเดินทางจากท่าอากาศยาน/ด่านตรวจคนเข้าเมืองไปยังพื้นที่เฝ้าระวัง : ตั้งจุดตรวจความมั่นคง จุดตรวจ จุดสกัด จุดกวดขันวินัยจราจร โดยใช้รูปแบบใยแมงมุมและเหลื่อมเวลาการปฏิบัติ ประชาสัมพันธ์คนต่างด้าวเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจและ ไม่ประสงค์เดินทางไปพื้นที่เสี่ยงต่อไป

4. มาตรการตรวจสอบที่พัก พื้นที่ท่องเที่ยว สกัดกั้นพื้นที่ชายแดน : ตรวจสอบที่พัก ช่องทางเข้า-ออกชายแดน ประชาสัมพันธ์พื้นที่ท่องเที่ยว ตลอดจนสกัดกั้นลาดตระเวน ช่องทางธรรมชาติ ท่าข้ามต่าง ๆ 

5. มาตรการเชิงรุกในการตรวจสอบเส้นทางและจุดพักคอย : ตรวจสอบปั๊มน้ำมัน จุดพักรถ สถานีขนส่ง สถานที่ที่พักคอย พักค้างแรมชั่วคราว

6.มาตรการเข้มข้นในพื้นที่ชายแดน  ตรวจสอบพื้นที่เสี่ยง/เฝ้าระวังที่จะข้ามไปชายแดน :ตรวจสอบที่พักในแนวชายแดน สืบสวนหาข่าว (IPB) ตรวจสอบป้ายทะเบียนรถและใบหน้าบุคคล ประสานงานและบูรณาการตรวจร่วมหน่วยความมั่นคง ลาดตระเวน ตรวจร่วมบริเวณชายแดน  ท่าข้าม และตรวจสอบยานพาหนะข้ามแดน 

7.มาตรการประสานงาน ให้ความช่วยเหลือ และสืบสวนขยายผล: ประสานงานให้ความช่วยเหลือคนต่างด้าวจากประเทศต้นทางและได้ประชุมหารือความร่วมมือระหว่างประเทศปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและอาชญากรรมออนไลน์ โดยมีเอกอัครราชทูตประเทศ 16 ประเทศ UNODC และกระทรวงความมั่งคงสาธารณะจีน ในความร่วมในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทุกมิติ

 สรุปผลการตรวจสอบและประชาสัมพันธ์ คนต่างด้าว 7,076 ราย จับกุมคนต่างด้าวผิดกฎหมาย 524 ราย ปฏิเสธการเข้าเมือง 92 ราย เพิกถอนการอนุญาต 11 ราย จับกุมยานพาหนะ(เสี่ยง) 72 คัน ตั้งจุดตรวจ จำนวน 2,218 จุด ตรวจสอบยาพาหนะ 286,886 (ในเส้นทาง 268,429 คัน และพาหนะข้ามแดน 18,457 คัน) ตรวจสอบป้ายทะเบียนรถและใบหน้าบุคคล 20,665 ข้อมูล ตรวจสอบสถานที่พัก สถานีขนส่ง จุดพัก ช่องทางธรรมชาติ ท่าข้ามต่าง ๆ กว่า 2,204 แห่ง จำนวน 3,379 ครั้ง

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าผู้กระทำความผิดมีการเปลี่ยนเส้นทางและพยายามจะขนย้ายอุปกรณ์ เปลี่ยนสถานที่ในการกระทำความผิด จะได้วิเคราะห์ข้อมูลและปรับแผนการปฏิบัติ ตรวจสอบและจับกุมดำเนินการตามกฎหมายโดยเด็ดขาดทุกราย หากพบเจ้าหน้าที่ปล่อยปะละเลย หรือเข้าไปยุ่งเกี่ยว พัวพัน ประพฤติมิชอบ จะดำเนินการโดยทันที

ผบ.ตร.เปิดโครงการอาหารกลางวัน ลดภาระค่าใช้จ่าย เป็นสวัสดิการให้กับข้าราชการตำรวจหน่วยงานที่มีสถานที่ทำการอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

(3 ก.พ. 68 ) เวลา 11.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธาน เปิดโครงการอาหารกลางวันสำหรับข้าราชการตำรวจในหน่วยงานที่มีสถานที่ทำการตั้งอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568  เพื่อช่วยเหลือลดภาระค่าใช้จ่าย เป็นสวัสดิการให้กับข้าราชการตำรวจนอกเหนือจากการที่ทางราชการจัดให้ สร้างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ ตลอดจนเสริมสร้างสัมพันธภาพอันดีระหว่างข้าราชการตำรวจ และช่วยสนับสนุนปฏิบัติงานของทางราชการ โดยมี พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบ.ตร. , ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล/โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ , ผู้บัญชาการ และผู้บังคับบัญชาหน่วยงานต่างๆ ที่มีที่ตั้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมพิธี 

พล.ต.ท.อาชยนฯ กล่าวว่า ด้วยสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ค่าครองชีพสูงขึ้นตามลำดับ ทำให้การใช้จ่ายแต่ละเรื่องจะต้องรอบคอบและรัดกุม ทำให้ภาระการใช้จ่ายของข้าราชการตำรวจเพิ่มมากขึ้น โดยตามนโยบายการบริหารราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ข้อ 15 ด้านสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับข้าราชการตำรวจ จึงได้จัดทำ “โครงการอาหารกลางวัน สำหรับข้าราชการตำรวจในหน่วยงานที่มีสถานที่ทำการตั้งอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ซึ่งมีการกำหนดระยะเวลา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2569 โดยจะมีการแจกคูปองเงินสด จำนวน 200 บาทต่อคนต่อเดือน ให้กับข้าราชการตำรวจระดับผู้บังคับหมู่ถึงรองผู้กำกับการ จำนวน 34,554 นาย เพื่อนำไปซื้ออาหารในโภชนาคารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นไปตามระเบียบสวัสดิการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2568

สาวซื้อหมึกย่าง เปิดถุง!! เจอครบเซต ทั้ง ‘สำเนาบัตรปชช.–เอกสารผู้ป่วย’

(2 ก.พ. 68) สาวซื้อหมึกย่าง เปิดถุงเจอสำเนาบัตรปชช.-เอกสารผู้ป่วย ชาวเน็ตถาม ความเป็นส่วนตัวอยู่ไหน

เรียกได้ว่าเจอ บ่อยจนชาวบ้านชักเริ่มชิน กับข้อมูลส่วนตัวจากเอกสารสำคัญที่ไปโผล่บนถุงกล้วยทอด ล่าสุด โผล่อีกบนถุงหมึกย่าง ครบทั้งข้อมูลผู้ป่วย สำเนาบัตรประชาชน

โดยผู้ใช้สื่อโซเชียลรายหนึ่งได้โพสต์ในกลุ่ม ‘พวกเราคือผู้บริโภค’ โดยระบุข้อความว่า 

“ซองปลาหมึกย่าง แถวประชาอุทิศ เอกสารผู้ป่วยเอย สำเนาบัตร ปชช. เอย”

โดยหลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไปก็ได้มีผู้ใช้สื่อโซเชียลรายอื่นๆ เข้ามาแสดงความคิดเห็นว่า 

“Privacy อยู่ไหน”

สมุทรปราการ-ครอบครัวพาณิชย์พิศาล ร่วมกับชมรมโฮปฯ จัดตั้งโรงทาน แจกข้าวสารช่วยเหลือผู้ยากไร้

(2 ก.พ. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเช้าของวันนี้ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 ครอบครัวพาณิชย์พิศาล โดย นายอัครนันท์ พร้อมด้วย นางธัญยธรณ์ พาณิชย์พิศาล นายธนิตพงษ์ นางทิพย์ประภา วรัณวงศ์เจริญ และนางสาวปิยนุช พาณิชย์พิศาล ประธานชมรมโฮปสะพานบุญแห่งความหวังและศรัทธา

เดินทางไปยังศาลเจ้าไต้ฮงกง ถนนท้ายบ้าน อ.เมือง สมุทรปราการ เพื่อกราบสักการะขอพรองค์หลวงปู่ไต้ฮงกงเพื่อความเป็นสิริมงคล นอกจากนี้ ทางครอบครัวพาณิชย์พิศาลยังได้มีการจัดตั้งโรงทาน ด้วยการนำไอศครีม และก๋วยเตี๋ยวเป็ดเจ ร้านเฮง เฮง 168 ข้างโรงพยาบาลเมืองสมุทร นำมาแจกจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนที่เดินทางมากราบขอพรที่ศาลเจ้าแห่งนี้ รวมถึงประชาชนในระแวกใกล้เคียงได้กินฟรีอีกด้วย 

จากนั้น ในช่วงบ่ายนางสาวปิยนุช พาณิชย์พิศาล ประธานชมรมโฮปสะพานบุญแห่งความหวังและศรัทธา นำคณะเจ้าหน้าที่โฮปฯ เดินทางไปยังวัดหัวลำภูทองสิบสองธันวาราม ถนนสุขุมวิท ต.ท้ายบ้านใหม่ อ.เมือง สมุทรปราการ เพื่อนำข้าวสารและน้ำดื่มไปมอบให้กับผู้สูงอายุ และประชาชนในชุมชนคลองหัวลำภู จำนวน 200 คน เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ยากไร้ในชุมชนแห่งนี้ โดยมีทางคณะกรรมการชุมชนร่วมให้การต้อนรับและร่วมกันแจกจ่ายข้าวสาร พร้อมด้วยน้ำดื่มให้แก่ประชาชนที่พักอาศัยอยู่ภายในชุมชนแห่งนี้

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

ผู้ช่วย ผบ.ตร.และคณะ ให้กำลังใจตำรวจไทยโชว์ศักยภาพในการแข่งขัน UAE SWAT CHALLENGE 2025 ณ นครดูไบ

วันแรกทำคะแนนเยี่ยมเป็นลำดับที่ 4 พร้อมใช้โอกาสนี้กระชับความสัมพันธ์และเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ 

พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชูสวัสดิ์ จันทร์โรจนกิจ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล , พล.ต.ต.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวม 9 นาย เดินทางเข้าร่วมชมการแข่งขัน UAE SWAT CHALLENGE 2025 ที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อให้กำลังใจนักกีฬาตำรวจไทยที่เข้าร่วมการแข่งขันทั้ง 3 ทีม ซึ่งเข้าร่วมการแข่งขันระหว่างวันที่ 1-5 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งการแข่งขัน UAE SWAT CHALLENGE 2025 เป็นเวทีสำคัญที่แสดงถึงความสามารถของตำรวจไทยในการปฏิบัติภารกิจยุทธวิธีในระดับสากล พร้อมทั้งเป็นโอกาสในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านความมั่นคงกับหน่วยงานตำรวจนานาชาติ 

วานนี้ (1 กุมภาพันธ์ 2568) เป็นการแข่งขันในวันแรก โดยก่อนการแข่งขันคณะผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ให้กำลังใจนักกีฬา โดยทีมตำรวจไทย 2 ทีมที่แข่งขันในช่วงเช้า ได้แก่ ทีม C (ทีมตำรวจหญิง) ลงแข่งเป็นลำดับที่ 9 , ทีม A ลงแข่งเป็นลำดับที่ 13 และทีม B ลงแข่งขันในช่วงบ่าย จากนั้นคณะเข้าร่วมพิธีเปิดการแข่งขัน UAE SWAT CHALLENGE 2025 โดยมีผู้บัญชาการตำรวจดูไบเป็นประธาน ผลการแข่งขันวันที่ 1 ตำรวจไทยทำผลงานน่าประทับใจ โดย Stage 1 : Assault Event (สถานการณ์โจมตี) จากทั้งหมด 105 ทีมที่เข้าร่วม ปรากฏว่าทีมตำรวจไทย ทีม B คว้าอันดับที่ 4 ทำเวลา 1.43.61 นาที , ทีม C (ตำรวจหญิง) คว้าอันดับที่ 32 ทำเวลา 2.19.15 นาที , ทีม A คว้าอันดับที่ 34 ทำเวลา 2.25.32 นาที 

นอกจากนี้ พล.ต.ท.สำราญฯ และคณะ ยังได้พบกับ พล.ท.อับดุลลาห์ คาลิฟา อัล มาร์รี (Lieutenant General Abdullah Khalifa Al Marri) ผู้บัญชาการตำรวจนครดูไบ พร้อมเยี่ยมชม สถานีตำรวจอัจฉริยะ (Smart Police Station) ในย่าน Al Seef ซึ่งเป็นสถานีตำรวจไร้เจ้าหน้าที่ ซึ่งเปิดให้ประชาชนแจ้งเหตุและดำเนินการต่าง ๆ ผ่านระบบตู้คีออส (kiosk) และในช่วงบ่าย คณะได้เดินทางไปให้กำลังใจทีม B ที่ลงแข่งขัน และพบกับ Mr. Andrew Kamarchevakul เจ้าหน้าที่ประสานงานจาก NYPD ประจำนครดูไบ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านความร่วมมือทางการบังคับใช้กฎหมาย ก่อนเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำตามคำเชิญของ น.ส.นิภา นิรันดร์นุต กงสุลใหญ่ ณ นครดูไบ ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการหารือประเด็นความร่วมมือด้านความมั่นคง โดยเฉพาะการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าและค้ายาเสพติด รวมถึงการค้ามนุษย์ในลักษณะถูกหลอกมาค้าประเวณี โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพของเจ้าหน้าที่ เพื่อยกระดับมาตรฐานความมั่นคงของประเทศให้ทัดเทียมระดับสากล

สำนักงานตำรวจแห่งชาติตีแผ่ 5 กลลวงมิจฉาชีพ หลอกทำงานชายแดน สุดท้ายตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์

(2 ก.พ. 68) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กำชับให้หน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติบริเวณแนวชายแดนอย่างเป็นรูปธรรม โดยในห้วงที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่ามีพี่น้องประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางผ่านบริเวณแนวชายแดนเพื่อไปทำงานในองค์กรอาชญากรรม ซึ่งมีทั้งผู้ที่เดินทางไปโดยสมัครใจและผู้ที่ถูกหลอกลวง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอตีแผ่ 5 กลลวงมิจฉาชีพที่หลอกลวงพี่น้องประชาชนให้ไปทำงานในองค์กรอาชญากรรมบริเวณแนวชายแดน ดังนี้
1. เงินเดือนสูง ไม่ต้องมีประสบการณ์ - คนร้ายจะเสนอเงินเดือนที่สูงผิดปกติ เช่น 30,000-50,000 บาท สำหรับงานทั่วไป โดยไม่ต้องมีประสบการณ์หรือคุณวุฒิการศึกษา
2. ต้องจ่ายเงินล่วงหน้า - อ้างว่าต้องจ่ายค่าดำเนินการ เช่น ค่าตั๋วเดินทาง ค่าวีซ่า หรือค่าประกันงานก่อน พร้อมใช้ข้ออ้างว่าจะได้เงินคืนเมื่อเริ่มงาน
3. รีวิวประสบการณ์ปลอม - ลงรับสมัครงานผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดยใช้บัญชีปลอมที่ดูน่าเชื่อถือ พร้อมรีวิวประสบการณ์ทำงานปลอม อ้างว่ามาจากผู้ที่เคยทำงาน
4. ทำให้ดูเร่งด่วน - บอกว่าเป็นโอกาสพิเศษที่ต้องตัดสินใจทันที เช่น “รับสมัครด่วน จำนวนจำกัด” พร้อมกดดันเหยื่อให้รีบตัดสินใจโดยไม่มีเวลาคิด
5. หลอกว่าทำงานกาสิโนหรือสถานบันเทิง - อ้างว่าเป็นงานในกาสิโนหรือสถานบันเทิงที่ถูกกฎหมาย แต่เมื่อไปถึงกลับถูกบังคับให้ทำงานในแก๊ง Call Center

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอให้พี่น้องประชาชนระมัดระวังกลุ่มมิจฉาชีพที่หลอกลวงให้เดินทางไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน เพราะท่านอาจถูกบังคับให้กระทำความผิดและตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ และหากท่านพบเบาะแสการหลอกลวงให้เดินทางไปทำงาน หรือต้องการความช่วยเหลือ สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 191 หรือสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top