Saturday, 10 May 2025
NEWS FEED

‘วราวุธ’ ชมหนัง ‘หลานม่า’ พร้อมมอบรางวัล ส่งเสริมความสัมพันธ์ครอบครัว ชี้นำเสนอดี แนะให้คนไทย เอาใจใส่บุพการี สร้าง ‘ความรัก-ความอบอุ่น’

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่โรงภาพยนตร์พารากอน ซีนีเพล็กซ์ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าชมภาพยนตร์เรื่อง ‘หลานม่า’ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างผู้สูงอายุและครอบครัว ซึ่งกระทรวง พม. มอบโล่รางวัล ในฐานะส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างผู้สูงอายุและครอบครัว ในฐานะองค์กรเครือข่าย ที่สนับสนุนงานด้านผู้สูงอายุ เนื่องในวันผู้สูงอายุแห่งชาติประจำปี 2567 ว่า เป็นภาพยนตร์ที่ทำให้เข้าใจง่าย ทำให้คิดถึงหลายครอบครัว ที่บางครั้งเราอาจหลงลืมไปบ้างว่าเรายังมีอาม่าให้คิดถึง 

นายวราวุธ กล่าวว่า เมื่อสังคมเปลี่ยนไปผู้คนจะมีการงานทำมากขึ้น จึงมีเวลาให้กับผู้มีพระคุณน้อยลง สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกครอบครัวโดยเฉพาะสังคมในปัจจุบัน สิ่งที่สำคัญคือจะทำอย่างไรที่เราทุกคนจะต้องหาเวลา ติดต่อกับผู้ที่เราเคารพ บุพการีของเรา อย่างตนเองทุกเช้าจะตั้งนาฬิกา 8 โมงเช้าแล้วโทรศัพท์หาคุณแม่แจ่มใส (ศิลปอาชา) เพราะคิดว่าไม่ได้เจอหน้าแต่ได้ยินเสียงกันก็ยังดี เพราะผู้ใหญ่เขามักจะไม่พูดหรอกว่าคิดถึง โดยเฉพาะคนไทยเชื้อสายจีน ที่จะไม่พูดคำว่าคิดถึง หรือมาแสดงความอ่อนแอให้ลูกหลานได้เห็นโดยเด็ดขาด จะไม่มาอ้อนลูกหลาน ฉะนั้นหากลูกหลานยื่นมือไปและแสดงให้เห็นว่าเรามีความห่วงใย เรารัก มีความเคารพ ห่วงหาอาทรกันอยู่ นั่นคือความอุ่นใจ ที่ลูกหลานให้กับท่านได้ เพราะผู้หลักผู้ใหญ่เมื่อมาถึงวันนี้ไม่ต้องการอะไรมากต้องการเพียงสิ่งที่มีความสุขและอบอุ่นใจเท่านั้น

“ผมดูวันนี้ไม่ได้ร้องไห้แต่ภรรยาต่อมน้ำตาแตก โดยเฉพาะตอนที่หลานไปจับมืออาม่าบ้านพักคนชราแล้วบอกว่า กลับบ้านนะ แสดงให้เห็นว่าความห่วงหาอาทรของหลานที่บอกว่ากลับไปอยู่บ้านเราดีกว่า บ้านพักคนชราไม่ใช่เป็นสิ่งไม่ดี แต่ถ้าหากยังมีลูกหลานที่สามารถดูแลกันได้ ในบ้านปลายชีวิตให้เวลากับท่านดีกว่า ดีกว่าที่จะไปให้เวลากับท่านตอนที่อยู่ฮวงซุ้ยแล้ว มันไม่เกิดประโยชน์ หนังเรื่องนี้สอนพวกเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสถานะใด ยากดีมีจนอย่างไร ปัญหาแบบนี้เกิดกับทุกบ้าน และเป็นเครื่องเตือนสติได้ว่า ในท้ายที่สุดแล้วสถาบันครอบครัว และ ผู้หลัก ผู้ใหญ่ เป็นสิ่งที่ดึงดูด ให้ทุกคนกลับมารวมกัน คนสูงวัยคือหัวใจของครอบครัวและสถาบันครอบครัว ซึ่งวันนี้สถาบันครอบครัวของประเทศไทยเปราะบางเหลือเกิน เรากลับมาหาผู้สูงอายุกันให้ความสำคัญกับท่านและสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมของประเทศไทยให้มีความอบอุ่นและเดินไปข้างหน้าสร้างความหวังให้กับคนรุ่นต่อๆไป”

ทบ.เปิดขั้นตอนดำเนินคดี 'เนติวิทย์' ต่อต้านไม่จับใบดำใบแดงในการเกณฑ์ทหาร

(5 เม.ย.67) รายงานข่าวจากกองทัพบก เปิดเผยถึงกรณี นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล พร้อมเพื่อน 2 คน เดินทางมาประกาศอารยะขัดขืนต่อต้านไม่จับใบดำใบแดงในการเกณฑ์ทหาร ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นขั้นตอนตามกฎหมายปกติ คือบุคคลการไม่รับการตรวจเลือก ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ก็จะแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ โดยเรื่องดังกล่าวจะมีขั้นตอนกระบวนการ ในการพิจารณา ผู้ที่ไม่มาตรวจเลือกทหารฯ ทางกรรมการตรวจเลือก จะต้องมีการประชุมหลังจากเสร็จสิ้นการตรวจเลือกแล้ว ในช่วงเดือนพฤษภาคม ว่ามีคนที่ไม่มาตรวจเลือกจำนวนเท่าใด ที่ไม่ได้เข้ารับตรวจเลือกว่าแต่ละเคสใครมีเหตุมีผลอย่างไร ที่ไม่มาเข้ารับตรวจเลือก

“ส่วนของนายเนติวิทย์ คงไม่มีเหตุผลในการที่จะไม่ถูกดำเนินคดี เพราะไม่สามารถบอกเหตุผลที่ไม่เข้ารับการตรวจเลือกได้ เนื่องจากภาพข่าวที่ออกมาเห็นชัดแล้วว่า ที่ไม่เข้ารับการตรวจเลือกด้วยเหตุผลในการอารยะขัดขืน ซึ่งไม่สามารถทำได้ โดยหลังจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าแจ้งความดำเนินคดีแล้ว เรื่องดังกล่าวก็จะไปอยู่ในขบวนการชั้นศาล ศาลท่านก็จะตัดสินลงมาว่าอย่างไรก็เป็นไปตามนั้น“ รายงานข่าวกองทัพบก ระบุ

‘ฝรั่งหนุ่ม’ โชว์ลีลาทำ 'แกงไตปลา' อย่างพิถีพิถัน พร้อมบอก!! เป็นเมนู 'ยอดเยี่ยม' ไม่ใช่ยอดแย่

(5 เม.ย. 67) หลังจากเว็บไซต์ให้ข้อมูลด้านอาหารทั่วโลกชื่อว่า ‘TasteAtlas’ ที่มักจัดอันดับอาหารยอดเยี่ยม-ยอดแย่ในประเภทต่าง ๆ ได้จัดอันดับอาหารยอดแย่ที่สุดในโลก โดยเมนู ‘แกงไตปลา’ ของประเทศไทย ถูกจัดเป็นอาหารยอดแย่อันดับที่ 1 นั้น 

ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก พาทำ พาทาน ที่มีผู้ติดตามกว่า 3.3 ล้านคน ก็ได้พาทำเมนู ‘แกงไตปลา’ จากฝีมือฝรั่งหนุ่มอย่างพิถีพิถัน พร้อมระบุแคปชันว่า " แกงไตปลายอดเยี่ยมไม่ใช่ยอดแย่ Excellent Kaeng tai pla (Thai Fish Entrails Sour Curry) #saveแกงไตปลา #แกงไตปลา " 

ท่ามกลางเหล่าชาวเน็ตต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็น

‘ตร.ชะอำ’ ยิงสยบ ‘หนุ่มคลั่ง’ หลังพกมีด-ปืน อาละวาด ‘รพ.ชะอำ’ ด้านผู้กำกับ ยัน!! ไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุ-เกรงประชาชนได้รับอันตราย

(5 เม.ย.67) ภาพจากกล้องวงจรปิด จากร้านค้าแห่งหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาลชะอำที่เกิดเหตุ สามารถบันทึกเสียงช่วงเวลา 21.56 น. ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงเวลาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ชะอำ ยิงนายสมชายที่คลุ้มคลั่งพกอาวุธมีดและปืนเข้าไปก่อเหตุในโรงพยาบาลชะอำ โดยภาพจากคลิปวิดีโอที่ได้ปรากฏได้ยินเสียงปืนกระหน่ำรัว จำนวน 9 นัด

ขณะที่พันตำรวจเอกสมเกียรติ โฉมฉาย ผกก.สภ. ชะอำ ยืนยันได้รับรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาที่เกิดเหตุว่า ไม่เป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ เนื่องจากคนร้ายมีอาวุธ และมีลักษณะจะตรงเข้ามาทำร้าย ประกอบกับช่วงกลางวันก่อนเกิดเหตุ ผู้ก่อเหตุมีพฤติกรรมคลุ้มคลั่งใช้ก้อนหินขว้างปาตู้สายตรวจ ขับรถชนรถสายตรวจที่พยายามสกัดจับ และมีประวัติคดียาเสพติดหลายครั้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่เกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อตนเอง ผู้ข้างเคียง และไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้จึงจำเป็นจะต้องยิง 

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ ท้า!! กลุ่มหนุนคณะราษฎร เผยตัวออกมา เชื่อ!! ฝ่ายอนุรักษ์ พร้อมดีเบต ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ อยู่แล้ว

(5 เม.ย. 67) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า

แอนิเมชัน ทำเอาดิ้นเจียนตาย 2475 Dawn Revolution Annimation ส่งแรงสะเทือนขนานใหญ่ ยอดผู้ชมกว่าล้านครั้ง ความจริงจากอดีตที่คนรุ่นใหม่ไม่เคยรู้ไม่เคยอ่าน ตามไม่ทัน ถูกล้างสมอง ถูกครอบงำ จนโงหัวไม่ขึ้น ได้ตาสว่าง ปรีดีถูกลอกคราบ ความล้มเหลวของคณะราษฎร ความแตกแยกของคณะราษฎร เอกสารสมุดปกเหลือง เค้าโครงเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์ ถูกตีแผ่ปรีดีไม่ได้ถูกเนรเทศแต่หลบหนีออกจากประเทศภายหลังจากความพยายามก่อการยึดอำนาจด้วยกำลังทหารจากรัฐบาลเมื่อปี 2492 ล้มเหลว กลายเป็นกบฏวังหลวง ( เพราะยึดวังหลวงและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นฐานที่มั่นทางทหาร) จนเสียชีวิตในต่างประเทศ

ไม่เหมือนเจ้าหลายคนหรือผู้ร่วมก่อการคณะราษฎรที่ต้องถูกเนรเทศ ถูกจับขังปล่อยเกาะตะรุเตา โดยไม่มีการพิจารณาคดีความ ทำเอาคนรุ่นใหญ่อย่าง สศษ.และวิทยากร ต้องออกมาแสดง เพราะปล่อยไว้ไม่ได้ มิเช่นนั้น จิตวิญญาณ 2475 ตายสนิท ต้องออกมาปกป้อง และโจมตีแอนิเมชัน 2475 อย่างนั้นอย่างนี้ แต่กลับถูกตีโต้กลับทุกดอก เอาความจริงผิด ๆ ความจริงไม่ถึงครึ่งออกมาพูด บรรดาอาจารย์ที่อยากช่วยชี้แจงแก้ตัวแทนคณะราษฎรหรือแก้ตัวให้ปรีดีผู้วิเศษ ก็เสนอตัวออกมาเลย มีคนฝ่ายที่ถูกเรียกว่าอนุรักษ์ออกมาท้าอยู่แล้ว แต่ยังไม่เห็นตัวจริงฝ่ายชื่นชมคณะราษฎร หลบหน้ากันอยู่ไยอยากดูแอนิเมชันภาคสองสามสี่

”บิ๊กหลวง“ เปิดปฏิบัติการยึดทรัพย์แก๊งบิ๊กไบค์ ขนยาบ้ากว่า 30 ล้านเม็ด พร้อมลุยทลายนักค้าภาคตะวันออก 329 เป้าหมาย ผู้ต้องหา 278 คน

วันที่ 5 เมษายน 2567 ที่จังหวัดชลบุรี พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมด้วย นายปฤณ เมฆานันท์ ผู้อำนวยการสำนักปราบปรามยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. นางสาวพรทิพย์ แจ่มพงษ์ ผอ.ปปส.ภ.2 นายอภิกิต ฉ.โรจน์ประเสริฐ ผอ.ปปส.ภ.5 นายสราวุธ ภักดี ผอ.ปปส.ภ.6 พล.ต.ต.ฉัตรชัย สุรเชษฐพงษ์ รองผู้บัญชาการ ตำรวจภูธรภาค 2 น.อ.บรรพต นิธิณัฐอาภาศิริ รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ และ พ.ต.อ.ภาสกร ไพจิตต์ ผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี แถลงผลปฏิบัติการยึดทรัพย์สินแก๊งบิ๊กไบค์ขนยาเสพติด ที่จับกุมได้ที่จังหวัดเชียงราย ช่วงวันที่ 4 มีนาคม ที่ผ่านมา พร้อมแถลงผลยุทธการเด็ดปีกผู้ค้ารายย่อย ลุยเด็ดปีกนักค้ายาเสพติดในพื้นที่ภาคตะวันออก 329 เป้าหมาย ในช่วงวันที่ 1 ธันวาคม 2566 – 3 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา 

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวถึง การขยายผลแก๊งบิ๊กไบค์ว่า สืบเนื่องจากการจับกุมแก๊งบิ๊กไบค์ขนยาเสพติด เมื่อช่วงวันที่ 4 มีนาคม 2567 ที่ จ.เชียงราย โดยเป็นผลจากการร้องเรียนของประชาชน ผ่านสายด่วน ป.ป.ส.1386 แจ้งว่า พบขบวนการบิ๊กไบค์ต้องสงสัยในพื้นที่ จ.เชียงราย คาดว่าจะเกี่ยวกับการลักลอบลำเลียงยาเสพติด จนนำไปสู่การสืบสวนก่อนสามารถจับกุมผู้ต้องหา 6 คน พร้อมของกลางยาบ้า 1,890,000 เม็ด ซุกซ่อนในอุปกรณ์พ่วงข้างรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ เครือข่ายยาเสพติด นำโดยนายสัมฤทธิ์ มีพฤติการณ์ลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ จ.เชียงราย เข้ามาส่งให้กับลูกค้าในพื้นที่ภาคกลาง จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ขยายผลตรวจยึดทรัพย์สินรวมมูลค่ากว่า 7 ล้านบาท

เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า หลังการจับกุมได้มอบหมายให้ นายปฤณ เมฆานันท์ ผู้อำนวยการสำนักปราบปรามยาเสพติด สืบสวนขยายผล ก่อนพบว่าแก๊งบิ๊กไบค์ดังกล่าว ที่มีนายสัมฤทธิ์ เป็นหัวหน้าขบวนการลำเลียงยาเสพติดมีทรัพย์สินจำนวนมากอยู่ในพื้นที่หลายจังหวัด จึงเปิดปฏิบัติการขยายผลตรวจยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับบุคคลในเครือข่ายดังกล่าว โดยบูรณาการความร่วมมือระหว่าง สำนักงาน ป.ป.ส., นบ.ยส.35,ศขย.ฝขว.ศปก.ทบ., ศรภ., กกล.ผาเมือง, ขกท.ศปก.ทภ.3, ศอ.ปส.ทร.,ภ.จว.เชียงราย, ศอ.ปส.ภ.5, บก.ปส.3 บช.ปส. และ ศอ.ปส.นสร. ปฏิบัติการใน 13 จุด ในพื้นที่ 6 จังหวัด (จ.ชลบุรี 4, จ.พิษณุโลก 1, จ.นครสวรรค์ 2, จ.เชียงราย 2, จ.พิจิตร 2, จ.กำแพงเพชร 2)

ผลการปฏิบัติ ตรวจยึดอายัดทรัพย์สิน ได้แก่ ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง โฉนดที่ดิน ยานพาหนะ ทองรูปพรรณ สินค้าแบรนด์เนม สมุดบัญชีธนาคาร รวมมูลค่าทรัพย์สิน 22 ล้านบาท ทำให้ปฏิบัติการยึดทรัพย์สินเครือข่าย นายสัมฤทธิ์ แก๊งบิ๊กไบค์ขนยาบ้า รวม 2 ครั้งมีมูลค่า 30 ล้านบาท พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. ยังได้เผยถึง ผล “ยุทธการเด็ดปีกนักค้ารายย่อย” ซึ่งได้ดำเนินการกวาดล้างผู้ค้ายาเสพติดในชุมชน ตามเป้าหมายที่ได้รับร้องเรียนจากภาคประชาชน รวมถึงเป้าหมายที่ได้มาจากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ โดยจะปฏิบัติการทุกเดือน เดือนละ 2 ครั้ง ในพื้นที่ทั่วประเทศ โดยการเปิดยุทธการในพื้นที่ภาคตะวันออก ห้วงวันที่ 1 ธันวาคม 2566  – 3 เมษายน 2567 ในพื้นที่เป้าหมาย 329 เป้าหมาย ใน 8 จังหวัด (จ.ตราด, จ.ปราจีนบุรี, จ.นครนายก, จ.ฉะเชิงเทรา, จ.จันทบุรี, จ.ระยอง, จ.สระแก้ว, จ.ชลบุรี) 

ผลการดำเนินงาน สามารถจับกุมผู้ต้องหา 278 คน ไม่พบตัว 25 คน พบตัวไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย 18 คน เข้ารับการบำบัดรักษา 8 คน ของกลาง ยาบ้า 4,925 เม็ด ไอซ์ 556.71 กรัม คีตามีน 1.74 กรัม เอ็กซ์ตาซี 1.12 กรัม อาวุธปืน 20 กระบอก เครื่องกระสุน 92 นัด ยึดอายัดทรัพย์สิน 2,360,380 บาท เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ยกให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องเร่งแก้ไข เพื่อสร้างความปลอดภัยของประชาชน โดยในช่วงเริ่มต้นได้กำหนดปฏิบัติการเร่งด่วน Quick Win ในการนำผู้ติดยาเสพติดที่มีอาการทางจิตในกลุ่มเฝ้าระวังสูงสุดที่กระจุกตัวอยู่ใน 85 อำเภอ 30 จังหวัด จำนวน 4,414 ราย เข้าสู่กระบวนการบำบัด และจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการนำผู้ป่วยจากยาเสพติดเข้ารับการรักษา ทั้งนี้การดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาล เน้นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและชุมชน จึงต้องสร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินการต่อข้อร้องเรียน และลงพื้นที่เพื่อบรรเทาปัญหาให้ประชาชน ภายใต้ปฏิบัติการเด็ดปีกผู้ค้ารายย่อยที่ดำเนินการในทุกภูมิภาคของประเทศ โดยดำเนินการทั้งการปราบปรามผู้ค้าที่สร้างปัญหาในชุมชน ป้องกันผู้เสพรายใหม่ และบำบัดตามหลักเปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย ไม่ผลักไส ให้เขาถูกทอดทิ้งจนเกิดวงจรการเสพซ้ำ โดยตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2566 – ปัจจุบัน สำนักงาน ป.ป.ส. ได้รับเรื่องร้องเรียนทั้งหมด (ทุกช่องทาง) เป็นจำนวน 8,751 เรื่อง และดำเนินการแล้ว 5,519 เรื่อง ซึ่งจะดำเนินการให้ครบทุกเรื่อง ตามที่ได้รับเรื่องร้องเรียนมาจากประชาชน นอกจากนี้ในด้านการจับกุมต้องไม่จบแค่การจับตัวยา ต้องมีการขยายผลผู้อยู่เบื้องหลังการส่งยาเสพติดเหล่านั้นและยึดทรัพย์สิน เช่นในกรณีแก๊งบิ๊กไบค์ รายนี้

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี 0908535645

นราธิวาส - ตัวแทนเยาวชนชาวนราธิวาส แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ต่อต้านอิสราเอล ก่อนเยียบธงอิสราเอล ประท้วงก่ออาชญกรรมสงคราม

วันที่ 5 เม.ย.2567 ที่บริเวณหน้ามัสยิดประจำจังหวัดนราธิวาส หลังละหมาดวันศุกร์ ของพี่น้องชาวไทยมุสลิม ได้กลุ่มตัวแทนเยาวชน กลุ่มเยาวชนนราธิวาสรักสันติฯ ได้ร่วมตัว พร้อมด้วยรถยนต์ติดธงชาติ ของประเทศปาเลสไตน์ และนำป้ายไวนิว ซึ่งมีข้อความภาพ ที่แสดงถึงอิสราเอลใช้อาวุธสงคราม ยิง บอมบ์  ต่อพลเรือน ทำให้ ประชาชนไร้ที่อยู่ บ้านพักอาคาร และประชาชน เด็กๆคนชรา และหญิง บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก ในข้อความไวนิว ระบุ ความอยุติธรรม ไม่ว่าเกิดที่ใด ยอมเป็นภัยต่อความยุติธรรมทุกที่, ปลดปล่อยปาเลสไตน์ ปลดปล่อยโลก, ในส่วนกิจกรรมประมาณ  25 นาที ทางกลุ่ม ได้นำธงชาติอิสราเอล  และใช้เท้าเหยียบธงชาติอิสรามเอลบนพื้นที่ พร้อมตะโกน ผู้ก่อเหตุอาชญกรโลกที่ต้องประณาม ก่อนจะนำธงชาติอิสราเอล ฉีกเป็นชิ้น เพื่อแสดงเชิงสัญลักษณ์ และประท้วงอิสราเอล ที่กระทำรุกรานอันเหี้ยมโหด ความรุนแรง ต่อประชาชนปาเลสไตน์ ดังกล่าว

สำหรับคำแถลงการณ์ ดังนี้..ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตาปรานี ผู้ทรงกรุณายิ่งเสมอ การเดินขบวนประท้วงเพื่อสิทธิชาวปาเลสไตน์ ในวันศุกร์สุดท้ายของเดือนรอมฎอนอันจำเริญ ที่เราจัดขึ้นมานี้ คือ การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์อย่างสันติ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงการกดขี่ที่มีต่อชาวปาเลสไตน์ ที่ถูกปิดล้อม และถูกบังคับพลัดถิ่น อย่างอยุติธรรม เป็นการเรียกร้องเพื่อปลดปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระจากการยึดครองที่เหยียดเชื้อชาติ และอาชญากรรมที่สั่งสมมา ยาวนานกว่า 75 ปี ของระบอบไซออนิสต์อิสราเอลผู้แย่งชิง โดยในช่วงประวัติศาสตร์อันมืดมน ตั้งแต่ที่มีการดำรงอยู่ของอิสราเอล ระบอบไซออนิสต์ได้ก่อเหตุสังหารหมู่ ดำเนินการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติประเภทต่างๆ การดำรงอยู่ของระบอบอิสราเอล ไม่ได้ก่อให้เกิดผลลัพธ์อื่นใดในแผ่นดินแห่งนั้น นอกจากการต้องอพยพชนพื้นเมืองหลายล้านคนให้กลายเป็นผู้พลัดถิ่น การกักขังพวกเขาอย่างไร้มนุษยธรรม ทั้งโดยการปิดล้อมฉนวนกาซ่า กระทั่งมันได้ถูกขนานนามโดยสหประชาชาติ ในฐานะ “คุกเปิดกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก” รวมถึงการคุมขังชาวปาเลสไตน์ ไม่ละเว้นผู้หญิงและเด็กๆ อีกหลายพันกรณีในเรือนจำ อย่างอยุติธรรม และโดยปราศจากข้อกล่าวหา การทรมานผู้บริสุทธิ์ ที่ได้ทิ้งไว้ซึ่งบาดแผลทางจิตใจ และกายภาพ เด็กชาวปาเลสไตน์ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า และเผชิญผลกระทบจากสงครามจากรุ่นสู่รุ่น ทั้งหมดล้วนจุดชนวนไปสู่ความไม่มั่นคงในระดับภูมิภาค และเป็นภัยคุกคาม ต่อสันติภาพโลกระบอบการปกครองไซออนิสต์มีรายการอาชญากรรม และการเคลื่อนไหวต่อต้านสิทธิมนุษยชนในประวัติศาสต์ของมัน อาทิ การยึดครองดินแดนปาเลสไตน์ การใช้ความพยายามอย่างเป็นระบบในการยึดครองอัลกุดส์อย่างแข็งขัน การทำลายอัตลักษณ์

ทางประวัติศาสตร์และอารยธรรมของอัลกุดส์อันศักดิ์สิทธิ์ การขยายขอบเขตการตั้งถิ่นฐานของชาวยิว ในเขตเวสต์แบงก์ โดยผิดกฎหมาย, การบังคับอพยพผู้อยู่อาศัยที่ไม่ใช่ชาวยิว, การกีดกันชาวปาเลสไตน์ในการเข้าถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์, การริบ ทรัพย์สินที่ดินของพวกเขาอย่างไม่ชอบธรรม, การบังคับใช้แรงกดดันที่ไร้มนุษยธรรมอย่างรุนแรงต่อประชาชนในฉนวนกาซ่า และการปฏิเสธไม่ให้พวกเขาเข้าถึงอาหาร น้ำสะอาด ยารักษาโรค และสุขอนามัยขั้นพื้นฐานสถานการณ์ปัจจุบันในฉนวนกาซ่า ทำให้มีความจำเป็นมากขึ้นสำหรับประชาคมโลก โดยเฉพาะชาวมุสลิม ที่จะต้องคำนึงถึงการแสดงออกซึ่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพื่อต่อต้านระบอบไซออนิสต์ เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันได้แสดงให้เห็นอย่าง

ชัดเจนแล้วว่า แผนสันติภาพ หรือความคิดริเริ่มใดๆ ที่เพิกเฉยต่อสิทธิของผู้ถูกกดขี่ในปาเลสไตน์ จะไม่นำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างสันติที่ยั่งยืน เรายังเชื่อว่า ความสงบสุขและสันติภาพจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้ในโลกนี้ นอกเสียจากว่า สิทธิของประชาชาติปาเลสไตน์ผู้ถูกกดขี่ จะได้รับการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ โดยทางออกเดียวที่เป็นไปได้ คือ การทำให้ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ทั้งหมดกลับคืนถิ่น และการจัดให้มีการลงประชามติระดับชาติ โดยการมีส่วนร่วมของชาวปาเลสไตน์ดั้งเดิมทั้งหมด รวมถึงชาวมุสลิม ชาวคริสต์ และชาวยิว โดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในหลักการที่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ หลักการประชาธิปไตย และสิทธิขั้นพื้นฐานที่ละเมิดไม่ได้ ที่มีอยู่ในกฎหมายระหว่างประเทศ

ในวันนี้ เราในนามของ******* ขอเน้นย้ำถึงความสำคัญของปาเลสไตน์ ในฐานะปัญหาสิทธิมนุษยชนที่ยิ่งใหญ่ของโลก เราขอเรียกร้องให้มวลมุสลิมทุกคน ตลอดจนเพื่อนร่วมชาติชาวไทยจากทุกสาขาอาชีพ ที่แสวงหาเสรีภาพ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการชุมนุม ในวันศุกร์ หรือ ในวันศุกร์สุดท้ายของเดือนรอมฎอนอันจำเริญนี้ ณ มัสยิดประจำจังหวัดนราธิวาส ช่วงเวลาหลังละหมาดญุมอัต หรือละหมาดวันศุกร์  และเมื่อเสร็จสิ้นคำแถลงการณ์กิจกรรม ทางกลุ่มให้เหตุผลการชุมนุม ยึดหลักอย่างสงบสันติวิธี ก่อนแยกย้ายกลับเป็นปกติ

ตำรวจภูธรภาค 8 บูรณาการกำลังร่วมกับหน่วยที่เกี่ยวข้อง ค้น 5 จุดเป้าหมาย จับกุมผู้ต้องหาชาวต่างชาติประกอบธุรกิจหลีกเลี่ยงกฎหมาย พบมีชาวไทยเป็นนอมินี

เมื่อวานนี้ (4 เม.ย.2567) เวลา 07.00 น. ในพื้นที่ ภ.จว.ภูเก็ต พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผบช.ภ.8, พล.ต.ต.นิพนธ์ พานิชเจริญ รอง ผบช.ภ.8, พล.ต.ต.ศรัญญู ชำนาญราช รอง ผบช.ภ.8, พล.ต.ต.สินเลิศ สุขุม ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต, พล.ต.ต.นภันวุฒิ เลี่ยมสงวน ผบก.สส.ภ.8 ประชุมชี้แจง 6 ชุดปฏิบัติการ บูรณาการกำลังร่วมกับฝ่ายปกครอง, พานิชย์จังหวัดภูเก็ต, หน่วยงาน ตร.ทท. และ ตม.ภูเก็ต เพื่อเข้าตรวจค้น จำนวน 5 เป้าหมาย เพื่อจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ ทรัพย์ของกลาง และพบพยานหลักฐานอื่นอันนำไปสู่การสอบสวนขยายผล กรณีบุคคลที่ร่วมกันให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวโดยไม่ได้รับอนุญาต และการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวโดยแสดงออกว่าเป็นธุรกิจของตนแต่เพียงผู้เดียว หรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าว (นอมินี) เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงกฎหมาย 

จากการสืบสวนบุคคลต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยลักลอบประกอบอาชีพ หรือประกอบธุรกิจอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย พบพยานหลักฐานและข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า ร้านอาหาร OCTOPUS เป็นที่นัดรวมของชาวต่างชาติเป็นประจำ มีการกระทำอันฝ่าฝืนกฎหมาย โดยกลุ่มบุคคลด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักร ดำเนินการประกอบธุรกิจในประเทศไทย  โดยมีคนไทยให้การช่วยเหลือ สนับสนุน  ทำการจดทะเบียนเพื่อจัดตั้งบริษัทฯ กระทำการเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนของคนต่างด้าว หรือที่เรียกว่า นอมินี ในคดีนี้ บริษัท วีวีจี อะไลอันซ์ จำกัด ผู้ต้องหา ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มใช้ชื่อร้านว่า “OCTOPUS” ตั้งอยู่ถนนบ้านดอน-เชิงทะเล ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง โดยนางสาวปุณยนุช สัญชาติไทย ผู้ต้องหา และนายวาลาดิสลาฟ สัญชาติรัสเชีย ผู้ต้องหา เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ มีผู้ถือหุ้น คือ 1.นางสาวปุณยนุช จำนวนหุ้นที่ถือ 20,400 หุ้น, คิดเป็น 51%  , นายวาลาดิสลาฟ จำนวนหุ้นที่ถือ 9,800 หุ้น คิดเป็น 24.5% , นายวาเลรี จำนวนหุ้นที่ถือ 9,800 หุ้น คิดเป็น 24.5% และนายพาเวล ทำหน้าที่ในการบริหาร ดูแลทางด้านการเงิน และมีอำนาจตัดสินใจแทนผู้ต้องหาที่ 3 

นายวาลาดิสลาฟ  ซึ่งเป็นเจ้าของร้าน OCTOPUS ที่แท้จริง พยานหลักฐานเชื่อมโยงยังปรากฎ นางสาวปุณยนุช ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจและหุ้นส่วนใหญ่ เป็นเพียงนอมินี ของกลุ่มทุนต่างชาติ  มิได้มีอำนาจในบริษัทฯแต่อย่างใด พยานหลักฐานด้านการเงินแสดงให้เห็นว่า บัญชีเงินฝากจากสถาบันการเดินของทางร้าน OCTOPUS โอนต่อไปบัญชีเงินฝาก นายวาลาดิลาฟ ชี้ให้เห็นว่า นายวาลาดิลาฟ คือ เจ้าของร้านและเป็นเจ้าของ บริษัท วีวีจี อะไลอันซ์ จำกัด อย่างแท้จริง มีเงินหมุนเวียนจำนวน 80 ล้านบาท หลังการตรวจค้นทั้ง 5 จุด ยังพบทรัพย์ของกลาง พยานเอกสารของกลาง ที่ต้องพิจารณาเพื่อขยายผลในการสืบสวนสอบสวนต่อไป เชื่อว่ายังไปเชื่อมโยงกับบุคคลอื่นจำนวนหนึ่ง  

‘แม่ค้า’ จ.กระบี่ เผย!! ‘แกงไตปลา’ ออเดอร์ทะลัก จนผลิตไม่ทัน หลังถูกต่างชาติยกเป็น ‘เมนูยอดแย่’ แต่กระแสตีกลับ การันตี!! ของดี

(5 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางอัปสร ขาวขำ หรือกะย๊ะห์ แม่ค้าแกงไตปลาแห้ง ที่ ต.เขาทอง อ.เมือง จ.กระบี่ เร่งบรรจุกระปุก ชั่งน้ำหนัก แกงไตปลาแห้ง เตรียมส่งให้กับลูกค้าที่สั่งจอง มาเป็นจำนวนมาก ในช่วงนี้ จนผลิตไม่ทัน หลังจากกระแสข่าวแกงไตปลา เมนูอาหาร ขึ้นชื่อของชาวปักษ์ใต้ ติดอันดับ1 ของเมนูอาหารยอดแย่ที่สุดในโลกโดยเว็ปไซด์ TasteAtlas ที่รวมอาหาร รีวิว และจัดอันดับความนิยมด้านอาหารทั่วโลก ในโลก

นางอัปสร กล่าวว่า หลังจากที่มีกระแสข่าวทางด้านลบออกมา เกี่ยวกับแกงไตปลา ไม่ส่งผลกระทบต่อยอดขายแกงไตปลาแห้ง แต่กลับส่งผลให้มีออเดอร์สั่งซื้อเพิ่มมากขึ้น เชื่อว่าสาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะมาจากกระแสข่าวที่ออกมา ทำให้คนหันมาสนใจแกงไตปลามากขึ้น อยากจะรู้รสชาติ คนที่ไม่เคยกินก็หันก็หันมา สั่งไปกินกันเป็นจำนวนมาก ยอดขายเพิ่มจาก สัปดาห์ละ 200 กระปุก เป็น 400-500 กระปุก จนตอนนี้ผลิตไม่ทัน เพราะต้องจัดหาซื้อวัตถุดิบไว้ล่วงหน้า นอกจากนี้ยังมีลูกค้าที่อยู่ต่างประเทศด้วย เพื่อนที่ไปอยู่ออสเตรเลีย และสวีเดน สั่งไตปลาแห้งทุกเดือน เฉลี่ยเดือนละ 2-3 กิโลกรัม ราคากิโลกรัม 350 บาท ส่วนที่เป็นกระปุก ราคา กระปุกละ 25 บาท

“การที่แกงไตปลาถูกจัดอันดับเป็นเมนูอาหารยอดแย่ที่สุดในโลก มองว่าอยู่ที่คนที่ทานมากว่า ว่าชอบรสชาติแบบไหน อย่างไร คนที่เคยทานก็จะรู้ดี”

ด้านนางประนอม สงสังข์ อายุ 52 ปี แม่ค้าขายขนมจีน ภายในตลาดนัดสี่แยกควนสะตอ เทศบาลเมืองกระบี่ ตักแกงไตปลา น้ำยากระทิ แกงน้ำเคย ใส่ถุง เตรียมขายให้กับลูกค้า ในช่วงเย็น โดยแกงไตปลาเป็นที่นิยมของลูกค้า รสชาติเข้มข้น เผ็ดกำลังดี อร่อย ถูกปาก ซื้อคู่กับขนมจีน ซึ่งแต่ละวันแกงไตปลาหนึ่งหม้อขนาดใหญ่ ใช้ไตปลา 1 กิโลกรัม จะขายหมดก่อนแกงอื่น ๆ ส่วนขนมจีน กว่า 20 กิโลกรัมก็ขายหมดเช่นกัน โดยขายแกงไตปลา ถุงละ 30 บาท ขนมจีน กิโลกรัมละ 25 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ไม่แพง ทำให้เป็นที่นิยมของลูกค้า ซื้อไปรับประทานกับข้าวสวยก็ได้ ขนมจีนก็ได้

นางประนอม กล่าวว่า ตามกระแสดรามาในสื่อสังคมออนไลน์ ที่ชาวต่างชาติลงความเห็นว่าแกงไตปลา มีรสชาติที่แย่ที่สุดในโลก มองว่าผู้ที่ชิมกินแกงไตปลา อาจไม่รู้วิธีรับประทาน รับประทานเพียงแกงไตปลาอย่างเดียวเหมือนรับประทานน้ำซุบ รถชาติก็ไม่ถูกปากชาวต่างชาติ เพราะมีรส เผ็ด เค็ม การรับประทานแกงไตปลาต้องรับระทานกับข้าวสวย ขนมจีน ถึงจะอร่อย

ขณะที่ลูกค้าสาว กล่าวว่า แกงไตปลาเป็นอาหารประจำถิ่นของคนภาคใต้ มาตั้งแต่โบราณเป็นที่นิยมรับประทาน เพราะสามารถอุ่นไว้ได้รับประทานหลายวัน กรณีชาวต่างชาติให้คะแนนว่า แกงไตปลาเป็นอาหารที่รสชาติแย่ที่สุดในโลกก็ไม่ถูกต้อง

‘รวงข้าว ลัลนา’ สาวใต้จากทุ่งสง ผู้ไม่ย่อท้อต่ออาชีพ ‘นักเทนนิส’ ผงาดคว้าแชมป์ที่ออสเตรเลีย จนขึ้นแท่นมือหวด 259 ของโลก

(5 เม.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘จอน’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ‘น้องรวงข้าว’ ลัลนา ธาราฤดี นักเทนนิสดาวรุ่ง วัย 19 ปี ที่ได้เปิดใจเอาไว้ว่า… 

“หนูอยากขอบคุณครอบครัวที่คอยซัปพอร์ต โดยเฉพาะคุณแม่ที่ตั้งใจไปเรียนจิตวิทยา เพื่อจะได้เข้าใจหนูมากขึ้น หนูดีใจมากค่ะ ที่มีคนคอยเชียร์ ก็มีความคาดหวังลึก ๆ ว่า อยากทำให้ดีขึ้น หนูก็จะเอาความคาดหวังเนี่ยแหละ เป็นแรงผลักดันให้ตัวเองไปได้ไกลกว่านี้…ความฝันของหนู หนูอยากก้าวไปถึงท็อปเทนของโลกให้ได้ค่ะ”

ทั้งนี้ เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ‘น้องรวงข้าว’ ลัลนา ธาราฤดี นักเทนนิสสาวไทย จากครอบครัวสิงห์ วัย 19 ปี สร้างผลงานยอดเยี่ยม คว้าแชมป์เทนนิสอาชีพ ‘ไอทีเอฟ วีเมนส์ เวิลด์ เทนนิส ทัวร์’ รายการดับเบิ้ลยู 35 ทรารัลกอน ที่ประเทศออสเตรเลีย มาครองได้

ซึ่งคือแชมป์รายการแรกในปีนี้ และเป็นแชมป์รายการที่ 5 ของเจ้าตัว นับตั้งแต่เล่นเทนนิสอาชีพมา ส่งผลทำให้เธอมีอันดับโลกพุ่งจาก 309 เป็น 259 ในปัจจุบัน พร้อมรับเงินรางวัลประมาณ 140,000 บาทไปครอง

รวงข้าว ได้เริ่มเล่าชีวิตของเธอให้ผมฟัง หลังคว้าแชมป์รายการดังกล่าว “หนูเกิดที่อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราชค่ะ เป็นลูกคนเดียว”

“หนูเริ่มเล่นเทนนิส ตอน 6 ขวบ ตอนนั้นหนูยังไม่มีความฝันอะไรเลย แล้วพ่อหนูชอบเล่นเทนนิส เขาชอบพาหนูไปที่คอร์ท หนูเลยลองหยิบไม้มาตี พอพ่อเห็นว่าหนูชอบและพอตีได้ เขาก็เริ่มสอนและส่งเสริมจริงจังค่ะ”

จากแค่ตามคุณพ่อไปที่สนามเทนนิส และเริ่มจับไม้ในวัย 6 ขวบ จากนั้นโชคชะตาก็พาให้ทั้งคู่ ไปอยู่ในคอร์ทด้วยกันตลอด

แต่กลายเป็นคุณพ่อที่ต้องตามไปดูแล ‘น้องรวงข้าว’ เวลาแข่งขัน เพราะนับตั้งแต่ที่เริ่มจริงจัง โดยมีคุณพ่อเป็นโค้ชคนแรก ผลงานของรวงข้าว ก็พุ่งขึ้นไปสู่ระดับมือหนึ่งของประเทศในรุ่นเยาวชน

โดย ‘รวงข้าว’ กวาดแชมป์มากมาย และได้โอกาสมาเก็บตัวกับแคมป์ของทีมชาติไทย รวมถึงได้จอยแคมป์สปอนเซอร์บ่อยครั้ง ซึ่งสปอนเซอร์หลักของสมาคมลอนเทนนิสฯ อย่าง ‘สิงห์’ ก็เริ่มเห็นแววของเธอตั้งแต่ช่วงเวลานั้น

“ตอนอายุ 8-11 ปี หนูต้องมากรุงเทพฯ บ่อย ๆ เพื่อแข่งขัน แต่สมัยนั้นหนูไม่ค่อยได้นั่งเครื่องบิน เพราะยังไม่มีรายได้เท่าตอนนี้ ที่บ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยขนาดนั้น เซฟอะไรได้ก็ต้องเซฟ ส่วนใหญ่ก็จะนั่งรถไฟตู้นอนมากับพ่อ นอนยาว ๆ ออกกลางคืน ถึงกรุงเทพฯ ก็เกือบเที่ยง”

แม้จะต้องทำงานประจำที่นครศรีธรรมราชไปด้วย แต่ ‘ความฝันของลูก’ ก็เหมือน ‘ความฝันของพ่อ’

และในโบกี้รถไฟ ที่เทียวไปเทียวมา ระยะทางไปกลับร่วม 1,500 กิโลเมตร จาก นครศรีฯ สู่ กทม. หรือ จาก กทม. กลับ นครศรีฯ นอกจากจะพาพ่อลูกนักเทนนิสไปกลับแล้ว ภายในโบกี้นั้น ยังบรรจุ ‘ความฝันของทั้งคู่’ เดินทางไปด้วย

- รวงข้าว เข้าแข่งขันรายการระดับ ไอทีเอฟ จูเนียร์ ตั้งแต่อายุ 13 ปี
- เธอเดินทางไปแข่งขัน ทั้งใน และต่างประเทศ ตั้งแต่รุ่นเยาวชน
- เธอเคยติดท็อป 50 ของโลก ในรุ่นจูเนียร์
- เธอเคยเล่นรอบเมนดรอว์ จูเนียร์ แกรนด์สแลม มาแล้ว 2 ครั้ง (วิมเบิลดัน และ ยูเอส โอเพ่น)
- เธอเล่นรายการระดับ ไอทีเอฟ อาชีพ ตั้งแต่อายุ 18 ปี
- เธอคว้าแชมป์ ไอทีเอฟ อาชีพ ครั้งแรก ตั้งแต่วัย 18 ปี ที่ประเทศไทย
- เธอคว้าแชมป์ไอทีเอฟ อาชีพ ที่ต่างประเทศ 3 ครั้ง เริ่มต้นที่มาเลเซีย จีน และออสเตรเลีย
- เธอเคยแข่งรอบควอลิฟาย แกรนด์สแลม ออสเตรเลียน โอเพ่น มาแล้ว เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
- เธอเคยได้สิทธิ์ไวด์การ์ด แข่งขัน WTA ทัวร์ ไทยแลนด์ โอเพ่น ที่ประเทศไทย มาแล้ว 2 ครั้ง
- เธอติดทีมชาติไทย ชุดใหญ่ ตั้งแต่อายุ 17 ปี
- เธอเคยคว้าเหรียญเงิน ในมหกรรมกีฬาซีเกมส์ 2 สมัย ในปี 2021 ที่ประเทศเวียดนาม (ประเภทหญิงคู่) และ ปี 2023 ที่ประเทศกัมพูชา (ประเภทหญิงเดี่ยว)

ตลอดเวลาที่เธอกำลังต่อสู้กับความฝัน และเข้าใกล้อันดับท็อป 200 ของโลกเข้าไปทุกที
เธอผ่านความพ่ายแพ้ นับครั้งไม่ถ้วน เธอเจอความผิดพลาด นับครั้งไม่ได้ ไม่ใช่แค่คุณพ่อเท่านั้น ที่อยู่ข้างรวงข้าว และคอยซัปพอร์ตเธอ

“หนูอยากขอบคุณตัวเอง ที่ผ่านอุปสรรคหลายอย่างมาถึงจุดนี้ เพราะปีที่ผ่านมา ถือว่าค่อนข้างหนักหน่วงเหมือนกัน มีเรื่องเครียดหลายอย่าง และหนูอยากขอบคุณครอบครัว ที่คอยซัปพอร์ตหนู โดยเฉพาะคุณแม่ที่เข้าใจหนูมากขึ้น เมื่อก่อนแม่ไม่ได้ใจเย็นขนาดนี้ เมื่อก่อนแม่ก็ใจร้อน แต่แม่ก็ไปเรียนจิตวิทยา เพื่อจะเข้าใจหนูมากขึ้น เพื่อจะได้มีวิธีพูดกับหนู เวลาที่หนูแพ้”

“กีฬาเทนนิส ในทัวร์นาเมนต์นึง จะมีคนชนะแค่คนเดียว แพ้เท่ากับตกรอบทันที เวลาตกรอบ เราก็เฟล คุณแม่ก็ไปเรียนจิตวิทยา เพื่อจะได้มีวิธีการพูดให้กำลังใจเรา”

“นอกจากนี้ หนูก็อยากขอบคุณ โค้ชปัน-ปุณณกฤศ กฤดากร (โค้ชส่วนตัว) ที่ออกแข่งกับหนู ทุกทัวร์นาเมนต์ และก็โค้ชจาก ‘ทีมภราดร’ (ภราดร ศรีชาพันธุ์) ที่ช่วยสอนหนูหลายอย่าง ทั้งระเบียบวินัย, การโฮลด์ตัวเองในคอร์ท และการจัดระเบียบความคิดระหว่างแข่งขัน ให้หนูโตขึ้น”

“และสุดท้าย หนูอยากขอบคุณ ‘สิงห์’ ค่ะ ที่สนับสนุนหนูตั้งแต่อายุ 15 ปี ตอนนั้น หนูยังไม่ได้เล่นอาชีพ ยังเล่นในรุ่นจูเนียร์ แต่ติดทีมชาติชุดเยาวชนแล้ว”

“ตอนนั้น หนูอายุ 14 ปี มีรายการแข่งที่สาธารณรัฐเช็ก ทางสิงห์ก็มาติดต่อครอบครัวหนู และหนูก็ได้เข้ามาอยู่ในครอบครัวสิงห์ ซึ่งคอยซัปพอร์ตค่าใช้จ่ายให้หนูบางส่วน ในทุกทัวร์นาเมนต์ เพราะการแข่งขันที่ต่างประเทศ ต้องใช้เงินค่อนข้างเยอะค่ะ”

ก่อนจะลากัน ผมถามเธอว่า ความฝันสูงสุดของเธอคืออะไร ‘รวงข้าว ลัลนา’ ตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มว่า “หนูอยากก้าวไปถึงท็อปเทนของโลกค่ะ”

สำหรับอันดับ ‘ท็อปเทนของโลก’ ในกีฬาเทนนิส ประเภทหญิงเดี่ยว ยังไม่มีนักเทนนิสหญิง ในประเทศไทยที่สามารถทำได้ โดย “แทมมี่” แทมมารีน ธนสุกาญจน์ ตำนานหญิงเดี่ยวของไทย เคยขึ้นไปสูงสุด คือ อันดับที่ 19 ของโลก

แน่นอน มันไม่ใช่เรื่องง่าย มันยากมาก ๆ และตอนนี้ รวงข้าว เพิ่งเริ่มต้นเล่นเทนนิสอาชีพมาเพียงปีเดียว ยังไม่ได้เล่นในระดับ WTA ทัวร์อย่างต่อเนื่อง ยังไม่เคยเข้าถึงเมนดรอว์ของรายการระดับแกรนด์สแลมสักครั้ง แต่ความฝันก็คือความฝัน ไม่มีวันหมดอายุ และน่าชื่นใจที่วงการเทนนิสไทย มีดาวดวงใหม่ให้ติดตามเพิ่มขึ้น หลังจากขาดความต่อเนื่องมายาวนาน

และต้องขอบคุณผู้สนับสนุนอย่าง ‘สิงห์’ ที่ไม่ลดความพยายาม ที่จะส่งเสริมนักกีฬาไทย ในการแข่งขันที่ต่างประเทศ จนได้เพชรเม็ดงามอย่าง รวงข้าว ลัลนา ธาราฤดี มาประดับวงการอีกคน

ซึ่งจุดเริ่มต้นความสำเร็จของ ‘น้องรวงข้าว’ คือ การได้รับแรงบันดาลใจจากรุ่นพี่ ที่ส่งต่อความตั้งใจ ความพยายาม ที่อยากจะก้าวขึ้นไปสู่นักกีฬาอาชีพ มือระดับท็อปของโลก ตามคำพูดของ คุณสันติ ภิรมย์ภักดี ผู้บริหารของสิงห์ ที่เคยบอกว่า การสร้างนักกีฬาหนึ่งคน ไม่ใช่แค่สร้างความสำเร็จให้นักกีฬาคนนั้น แต่คือการสร้างความสำเร็จ ที่ส่งต่อแรงบันดาลใจ ให้กับนักกีฬารุ่นใหม่ได้เดินตาม และได้พยายามทำให้ดีกว่าสิ่งที่คนรุ่นก่อนเคยทำมา

“หนูรู้สึกดีใจค่ะที่มีคนคอยเชียร์ คอยซัปพอร์ตหนู ซึ่งลึก ๆ หนูก็มีความคาดหวังอยู่แล้วว่า อยากทำให้ดีขึ้น จะพยายามไม่กดดันตัวเอง และก็จะเอาความคาดหวัง เป็นแรงผลักดันที่ดี ที่จะทำให้ตัวเองไปได้ไกลกว่านี้ค่ะ” รวงข้าว กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top