Thursday, 8 May 2025
NEWS FEED

Wealth & Wellness รัตนชาติบำบัด Soft Powerมาแรงในธุรกิจอัญมณีไทย

งานพิธีทำบุญวันครบสถาปนารัตนโกสินทร์ 242 ปี และฉลองพระคลังมหาสมบัติ เพื่อเป็นศิริมงคลแก่นักอัญมณีบำบัดมืออาชีพของชมรมนักส่งเสริมสุขภาพองค์รวม พร้อมเปิดตัว สถาบันฝึกอบรมนักอัญมณีบำบัดแบบองค์รวม และ Crystal Healing Studio  รวม 3 สาขา เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2567ที่ผ่านมา คุณธิญาดา วรารัตร์ ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกอบรมนักรัตนชาติบำบัด พร้อมด้วยคณะที่ปรึกษา พระครูวิสุทธิกิตติคุณ เจ้าอาวาสวัดอัมพุวรารามคุณปริศนา ตั้งสิน พญ.กรินทร์วิฬา  อรรณพนรงค์ และ คณะรัตนชาติบำบัด การใช้อัญมณีหรือรัตนชาติบำบัดจัดเป็นอีกรูปแบบหนึ่งเพื่อกระตุ้นจักระต่างๆ หรือเพื่อเยียวยากายและใจที่ให้ผลดียิ่งและเป็นที่นิยมทั้งในวงการสุขภาพทางการแพทย์ วัฒนธรรมและปรัชญา เพราะอัญมณีจากธรรมชาติ ล้วนถูกบ่มเพาะอยู่ในชั้นดิน ชั้นหิน ด้วยกาลเวลาอันยาวนาน บางชนิดมีอายุหลายล้านปี ช่วงเวลานั้นๆ ก้อนอัญมณีชนิดต่างๆ จะดูดซับพลังงานจากธรรมชาติ มาเก็บไว้ที่ตัวเอง และเมื่อมนุษย์นำมาใช้กับตัวร่างกาย ก็จะได้รับพลังงานจากอัญมณีนั้นๆ ด้วย การใช้รัตนชาติบำบัดจึงควรมีการอบรมแบบองค์รวม ทั้งในด้าน สุขภาพผลดีและผลกระทบต่อร่างกาย รวมทั้งประวัติความเป็นมาในด้านวัฒนธรรม ซึ่งมีโอกาสที่เป็นอีก Soft Power หนึ่งที่ช่วยส่งเสริมธุรกิจสุขภาพและธุรกิจอัญมณี ของประเทศไทยให้มีชื่อเสียง  สถาบันฝึกอบรมนักอัญมณีปราณบำบัดแบบองค์รวม  (Holistic Crystal & Pranic Healing Academy ) เปิดครอสฝึกอบรมนักรัตนชาติบำบัดเพื่อสุขภาพแบบองค์รวม ตั้งแต่ ระดับที่ 1 - ระดับที่ 5  รวมทั้งมีศูนย์บริการด้านการใช้รัตนชาติบำบัดเพื่อสุขภาพ กาย ใจ และ สมาธิ ซึ่งสามารถให้บริการทั้งในและนอกสถานที่ รวมทั้งจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพโดยใช้อัญมณีบำบัด กับองค์กรต่างๆเพื่อพัฒนาสุขภาพองค์รวมได้อีกด้วยติดต่อสอบถาม สาขาที่ 1 สถาบันฝึกอบรมนักอัญมณีปราณบำบัดแบบองค์รวม Holistic Crystal & Pranic Healing Academy ชมรมนักส่งเสริมสุขภาพองค์รวม  อ. สามโคกปทุมธานี สาขาที่ 2 Yin Yang Crystal Healing Studio ด้านหน้าโรงแรมแม่น้ำ รามาดา พล่าซ่า  ถ.เจริญกรุง เขตบางคอแหลม กทม. สาขาที่ 3 Tunya Samui Crystal Healing Studio Tunya Samui Holistic Resort  อ.เกาะสมุย  จ.สุราษฎร์ธานี

ข้อมูลการติดต่อ
LineId  @thailandholistic
เว็บไซต์  https://www.thailandholistic.com/
Facebook : Pranic & Crystal Healing - Holistic & Wellness 
โทร.  081 6524100
 

มุกดาหาร -ทหารกกล.สุรศักดิ์มนตรี ยึดเรือบรรทุกกระเทียมกว่า 5 ตัน ขณะลักลอบนำข้ามแม่น้ำโขงมาส่งมุกดาหาร

เมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.อ.กัญญณัต ไชยโอชะ รองเสนาธิการกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี (แถลงข่าว) หน่วยทหารร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงจังหวัดมุกดาหาร ตรวจยึดกระเทียมหนีภาษีกว่า 5 ตัน พร้อมเรือบรรทุก 

สืบเนื่องจากเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น วันที่ 24 เมษายน หมวดปืนเล็กที่ 2 กองร้อยทหารราบ กองบังคับการควบคุมที่ 1 (ร.3) กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่าจะมีการลักลอบขนกระเทียมหนีภาษีจากแขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว มาขึ้นที่บริเวณบ้านบางทรายใหญ่ ม.1 ต.บางทรายใหญ่ อ.เมืองมุกดาหาร จ.มุกดาหาร จึงได้สนธิกำลังกับหน่วยงานกรมประมง กอ.รมน.ภาค2 กองร้อย ทหารพราน 2105 หน่วยสืบสวนปราบปรามประจำพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำนักข่าว กอ.รมน. ตำรวจน้ำและเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง  นำกำลังเจ้าหน้าที่รุดไปตรวจสอบตามที่ได้รับแจ้ง พบเรือเหล็กบรรทุกกระเทียมเต็มลำแล่นจากแขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว ข้ามแม่น้ำโขงเข้ากำลังจะเข้ามาจอดที่บริเวณท่าน้ำบ้านบางทรายใหญ่ เจ้าหน้าที่จึงได้แล่นเรือเข้าไปประกบโดยมีเจ้าหน้าที่ทหาร 1 นายได้กระโดดขึ้นไปบนเรือเพื่อที่จะบังคับให้คนขับเรือหยุด และได้เกิดการยื้อแย่งที่จะบังคับหางเสือเรือกระทั่งต่อมาคนขับเรือสู้แรงเจ้าหน้าที่ทหารไม่ได้จึงได้ทิ้งตัวลงแม่น้ำโขงหายไป  เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจสอบพบกระเทียมจำนวน 274 กระสอบ น้ำหนัก 5,480 กิโลกรัม กระเป๋าสะพายข้างในมีบัตรประจำตัวคนขับเรือ1 ใบ จึงได้ทำการตรวจยึดไว้พร้อมกับเรือบรรทุกนำส่งเจ้าหน้าที่ศุลกากรมุกดาหารเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ต่อมาเมียคนขับเรือบรรทุกกระเทียมชาวลาวอเข้าแจ้ง ตร.มุกดาหาร เชื่อสามีถูก จนท. ทำให้ตกเรือสูญหาย นางเดือน สีสว่าง อายุ 26 ปี อยู่แขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว พร้อมผู้ติดตามอีกประมาณ 40 คน ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองมุกดาหาร เพื่อแจ้งความว่า เมื่อคืนวันที่ 24 เมษายน 2567 ตนได้รับแจ้งจากญาติที่อยู่ฝั่งอำเภอเมืองมุกดาหาร ว่าท้าวลำพอน อายุ 33 ปี ซึ่งเป็นสามีได้ถูกเจ้าหน้าที่ถีบตกน้ำขณะขับเรือบรรทุกกระเทียมจะเข้าฝั่งที่บ้านบางทรายน้อย ซึ่งจนถึงขนาดนี้ยังหาตัวไม่พบ ไม่ทราบว่าเสียชีวิตหรือยัง จึงมาขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสอบสวนดำเนินการตามกฎหมายให้ด้วย

ภาพ/ข่าว เดวิท โชคชัย มุกดาหาร รายงาน 092-5259777

คอเพลงห้ามพลาด! 28 เม.ย. นี้ พวงเพ็ชร ชวนชม “ดนตรีในสวน เฉลิมพระเกียรติในหลวง ร.10” ที่สวนรถไฟ

ดร.พวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุกวันที่ 28 เมษายน ของทุกเดือน ตลอดปี พ.ศ.2567 คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์การจัดงานพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ได้กำหนดให้มีการจัดกิจกรรมดนตรีในสวนเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยความร่วมมือของกรมประชาสัมพันธ์ กรุงเทพมหานคร รวมถึงเหล่าศิลปิน เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ร่วมรับฟังบทเพลงอันไพเราะและทรงคุณค่า เช่น เพลงพระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และบทเพลงทั่วไป ในบรรยากาศสวนสวยใจกลางกรุงเทพมหานคร เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดปีมหามงคล และเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาติ

โดยในวันที่ 28 เมษายน 2567 กิจกรรมดนตรีในสวน มีกำหนดจัดขึ้น ณ สวนวชิรเบญจทัศ หรือ สวนรถไฟ ประชาชนสามารถร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่ 17.00 น. เป็นต้นไป นอกจากบทเพลงจากวงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์แล้ว ยังมีกลุ่มศิลปินนำโดย คุณโฉมฉาย อรุณฉาน และศิลปินรุ่นใหม่ จากการประกวดในรายการเพลงเอกร่วมขับร้องบทเพลงอันไพเราะ เช่น ธัช กิตติธัช แชมป์รายการเพลงเอกซีซัน 1 แบ๊งค์ เฉลิมรัฐ จุลโลบล แชมป์รายการเพลงเอกซีซัน 2 เซม ภานุรุจ พงพิทักษ์กุล แชมป์รายการเพลงเอกซีซัน 3 และ โอ๋ ชุติมา แก้วเนียม ผู้ร่วมประกวดรายการเพลงเอกซีซัน 2 

“ในปีมหามงคลนี้ ขอเชิญชวนประชาชนคนไทย ร่วมแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ โดยเข้าร่วมกิจกรรมที่รัฐบาล ภาคเอกชน และประชาชนทั่วประเทศ พร้อมใจจัดขึ้นตลอดทั้งปี สำหรับการจัดกิจกรรมดนตรี นับเป็น Soft Power สาขาหนึ่ง จาก 11 สาขา ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ และเป็นสื่อกลางที่สร้างความสามัคคีกลมเกลียวของคนในชาติ ช่วยส่งเสริมความรัก ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ทำให้ประเทศไทยเกิดความสงบสุขภายใต้ร่มพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์“ ดร.พวงเพ็ชร กล่าว

โครงการน้ำพระทัยพระราชทาน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา

สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ดำเนินโครงการ น้ำพระทัยพระราชทานตามพระราชเสาวนีย์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยให้การสงเคราะห์และเลี้ยงอาหารแก่ประชาชนผู้ประสบภัย และผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อน  และมีภารกิจหลักในการให้ความช่วยเหลือ ป้องกัน แก้ไข ส่งเสริม และพัฒนาศักยภาพของกลุ่มเปราะบางต่างๆ โดยใช้วิธีการและกระบวนการทางสังคมสงเคราะห์  เพื่อตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของกลุ่มเปราะบางให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถพึ่งตนเองได้และดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุข สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการจัดบริการด้านสวัสดิการให้แก่ผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อน ทั้งส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค  เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึง หรือนอกเหนือจากขอบเขตในการได้รับความช่วยเหลือจากสวัสดิการของภาครัฐในด้านต่างๆ เป็นการลดความเหลื่อมล้ำ  และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการสังคมของกลุ่มเปราะบาง  

วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน 2567 เวลา 14.00 น. การบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อน และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน  (MOU)  ระหว่าง สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์  ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา / สมาคมสภาแม่ดีเด่นแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ /  มูลนิธิสมาคมสตรีอุดมศึกษาแห่งประเทศไทย ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ / หน่วยทันตกรรมจิตอาสาบุญญานุภาพ เพื่อพระพุทธศาสนาและสังคม ในความอุปถัมภ์ของพระพุทธิวงศ์วิวัฒน์ / สมาคมลูกกตัญญูแห่งชาติ ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และสมาคมครัวเชฟจิตอาสา สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์  มีการมอบเงินสนับสนุนโครงการน้ำพระทัยพระราชทาน โดยคุณรภัทร  สัญวัชญ์  จำนวน 200,000.- บาท (สองแสนบาทถ้วน) ภายในงานมีการแสดงบูธฝึกอบรมวิชาชีพ  โดยวิทยาลัยสารพัดช่างธนบุรี  บูธผลิตภัณฑ์ฝีมือคนพิการ สำนักส่งเสริมอาชีพและพัฒนา คนพิการ  สภาสังคมสงเคราะห์ฯ  ณ ห้องประชุมชั้น 3 ตึกนวมหาราช สภาสังคมสงเคราะห์ฯ แยกตึกชัย  ถนนราชวิถี กรุงเทพฯ เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว  ดังนี้

1.ร่วมมือกันขับเคลื่อน โครงการในการสงเคราะห์และเลี้ยงอาหารแก่ผู้ประสบภัยและผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อน
2.ร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งในการพัฒนาคุณภาพชีวิต  สุขอนามัยทีดี  การสร้างอาชีพและสร้างความเข้มแข็งของกลุ่มผู้ด้อยโอกาส กลุ่มผู้สูงอายุ  กลุ่มคนพิการ กลุ่มเด็กและเยาวชน กลุ่มสตรี และสถาบันครอบครัว ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี  สามารถพึ่งตนเองได้และดำรงชีวิตอย่างปกติสุข
3.ร่วมมือกันสนับสนุนบทบาทความคิดริเริ่มในการส่งเสริมความเข้มแข็งของการสร้างจิตอาสา  อาสาสมัคร เครือข่ายองค์กรสมาชิก ตลอดจนชุมชนท้องถิ่น และภาคประชาสังคม เพื่อกระตุ้นคุณภาพชีวิตของประชาชน

ผบช.ภ.4 เป็นประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพ สดุดีตำรวจกล้าอย่างสมเกียรติ พร้อมมอบเงินช่วยเหลือครอบครัว และดูแลสิทธิประโยชน์

เมื่อวันที่ 25 เม.ย.67 พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 เป็นประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพ ร.ต.อ.เวหา สายสิงห์ อายุ 59 ปี รอง สวป.สภ.ผาขาว จ.เลย ซึ่งเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ ขณะขับรถพาตัวนายวัชรากร ผู้ป่วยจิตเวช ไปฉีดยารักษาที่โรงพยาบาลผาขาว ก่อนที่นายวัชรากร    เกิดอาการคุ้มคลั่งในรถ จึงได้ต่อสู้และยื้อแย่งพวงมาลัยรถ จนเสียการควบคุม พลิกคว่ำลงข้างทาง     เป็นเหตุให้ ร.ต.อ.เวหา เสียชีวิต และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดที่ ถนนสายบ้านโนนสมบูรณ์-บ้านหนองตานา ต.ท่าช้างคล้อง อ.ผาขาว จ.เลย

พิธีพระราชทานเพลิงศพถูกจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ ที่วัดศิริมงคล อ.ผาขาว จ.เลย  ท่ามกลางข้าราชการตำรวจ และผู้ร่วมพิธีจำนวนมาก โดย พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 ได้ให้กำลังใจและแสดงความเสียใจแก่ครอบครัวของ ร.ต.อ.เวหา  นอกจากนี้ ยังได้มอบเงินช่วยเหลือแก่ครอบครัวของ ร.ต.อ.เวหา และข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ในครั้งนี้ด้วย  

สำหรับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการ ที่ผู้เสียชีวิตและครอบครัวจะได้รับ ได้แก่ ข้าราชการตำรวจผู้เสียชีวิตจะได้รับการเลื่อนยศตามสิทธิ, ได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ , เงินช่วยเหลือจากสมาคมแม่บ้านตำรวจ , เงินกองทุนสวัสดิการช่วยเหลือข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตฯของตำรวจภูธรภาค 4 , เงินกองทุน พล.ต.อ.สันติ เพ็ญสูตร , และเงินสิทธิประโยชน์ช่วยเหลืออื่น ๆ รวมทั้งสิ้นกว่า 3.7ล้านบาท และหากผู้เสียชีวิตมีทายาท สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะดำเนินการบรรจุให้เข้ารับราชการตำรวจ เมื่อสำเร็จการศึกษาตามที่เงื่อนไขได้กำหนดไว้

ผบช.สตม. สั่งเข้ม ปราบปรามคนต่างด้าวลอบทำงานต้องห้าม แย่งอาชีพคนไทยย่านประตูน้ำ บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบคนต่างด้าวผิดกฎหมาย 13 ราย

พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. และ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. รับนโยบาย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดยกระดับการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม โดยให้มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรม โดยเฉพาะความผิดที่เกี่ยวกับคนเข้าเมือง และความผิดเกี่ยวกับการทำงานของคนต่างด้าวในลักษณะงานต้องห้ามหรือลักษณะแย่งอาชีพคนไทยซึ่ง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้างและอยู่ในความสนใจของพี่น้องประชาชน โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่รับผิดชอบงานสืบสวน เน้นการบูรณาการกับหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง 

ซึ่งเมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2567 พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1 ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.กาจภณ ปฐมัง ผกก.สืบสวน บก.ตม.1 นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองในสังกัด กก.สืบสวน บก.ตม.1 สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่จากกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน และ สน.พญาไท กว่า 20 นาย ประชุมวางแผนเพื่อเข้าตรวจสอบบุคคลต่างด้าวหลายสัญชาติ ไม่ว่าจะเป็น กัมพูชา เมียนมา ลาว และเวียดนาม ที่ลักลอบเร่ขายสินค้า และขายของหน้าร้าน ในลักษณะไม่มีนายจ้างเป็นคนไทยแต่เป็นการกระทำด้วยตนเอง อยู่บริเวณจุดต่างๆ ในย่านประตูน้ำ ใกล้โรงแรมแห่งหนึ่งในเขตราชเทวี กทม. ซึ่งได้รับการร้องเรียนและแจ้งเบาะแสจากประชาชน ทั้งทางช่องทางสื่อกระแสหลัก และโซเชียลมีเดีย

กระทั่ง เวลาประมาณ 18.30 น. ของวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังเข้าตรวจสอบตามจุดต่างๆ ตามที่ได้สำรวจเป้าหมายไว้ ระหว่างตรวจสอบกลุ่มคนต่างด้าว ซึ่งมีทั้งกลุ่มที่เป็นคนต่างด้าวผิดกฎหมาย และกลุ่มที่มีเอกสารถูกต้อง แต่ทำงาน ในลักษณะผิดเงื่อนไขหรืองานต้องห้ามโดยเฉพาะงานเร่ขายสินค้าและงานขายของหน้าร้าน  ปฏิบัติการดังกล่าวใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ สามารถควบคุมตัวคนต่างด้าวไว้ได้จำนวนทั้งสิ้น 13 คน มาตรวจสอบจำแนกโดยละเอียดอีกครั้งโดยใช้รถบรรทุกควบคุมผู้ต้องหาที่เจ้าหน้าที่ได้เตรียมไว้  

ผลการตรวจสอบโดยละเอียดพบว่าส่วนใหญ่เป็น บุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมา 12 คน สัญชาติลาว 1 คน 

แบ่งเป็นความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย” 5 คน และ ความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานนอกเหนือสิทธิ์ที่จะกระทำได้ 8 คน ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.พญาไท ดำเนินคดี และผลักดันออกนอกราชอาณาจักรต่อไป

อนึ่ง สตม.ขอประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนทุกท่านทราบว่า บุคคลต่างด้าวทุกสัญชาติที่เข้ามาในราชอาณาจักร นอกจากจะต้องเข้ามาตามช่องทางอนุญาตตามกฎหมายและได้รับการตรวจลงตราโดยถูกต้องแล้ว ยังมีหน้าที่ที่จะต้องแจ้งที่พักอาศัยต่อเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองตามมาตรา 37 แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และหากประสงค์จะทำงานในประเทศไทยจะต้องดำเนินการยื่นขอใบอนุญาตทำงานให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยนายจ้างที่รับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตจะมีความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 มีโทษปรับสูงสุดถึง 100,000 บาท ในส่วนของเจ้าของบ้านหรือผู้ครอบครองเคหสถานยังมีหน้าที่ในการแจ้งต่อ สตม. เมื่อมีบุคคลต่างด้าวเข้ามาพักอาศัยในสถานที่ที่อยู่ในความดูแลของตน ซึ่ง สตม. จะมีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามคนต่างด้าวที่เข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ทั้งนี้หากผู้ใดให้ที่พักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ ให้ผู้กระทำความผิดพ้นจากการจับกุมของเจ้าหน้าที่ จะมีความผิดตามมาตรา 64 ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 5 ปี หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแส การกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง หมายเลขโทรศัพท์ 1178 จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ผู้ช่วย ผบ.ตร. ร่วมพิธีปิดฉาก "สองเล เกมส์" – นักกีฬาโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 ครองถ้วยพระราชทานฯ คะแนนรวมสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี

วานนี้ (25 เมษายน 2567) เวลา 16.00 น. พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานพิธีปิดการแข่งขันกีฬานักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ครั้งที่ 10 ประจำปี 2567  "สองเลเกมส์" ที่สนามกีฬาราชนิเวศน์กรีฑาสถาน กองกำกับการ 1 กองบังคับการฝึกพิเศษ (ค่ายพระรามหก) กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี โดยมี ดร.วนิดา พันธ์สอาด รองปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา , ดร.นิวัตน์ ลิ้มสุขนิรันดร์ อธิบดีกรมพลศึกษา , พล.ต.ท.ยงเกียรติ มนปราณีต ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน  พร้อมคณะผู้บริหาร และผู้ร่วมการแข่งขัน ร่วมในพิธี

การแข่งขันในครั้งนี้ มีกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-25 เมษายน 2567 มีการชิงชัย 7 ชนิดกีฬา คือ กรีฑา แชร์บอล เซปักตะกร้อ เปตอง ฟุตบอล 7 คน วอลเลย์บอล สแต็ค และกีฬาพื้นบ้าน  มีนักกีฬาและเจ้าหน้าที่กว่า 1,400 คน จากโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน 222 แห่งทั่วประเทศ เข้าร่วมการแข่งขัน

สำหรับผลการแข่งขันฯ รางวัลชนะเลิศคะแนนรวม ครองถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้แก่ กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4  (29 เหรียญทอง 11 เหรียญเงิน 15 เหรียญทองแดง) และกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1, 2 และ 3 ตามลำดับ

ในช่วงท้ายได้มีพิธีส่งมอบธงการแข่งขันกีฬาโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ให้กับกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 ซึ่งจะเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันในปีหน้า

‘หมอดื้อ’ ประกาศลาออก จาก ‘หน.ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่’ ชี้ ลดความกังวลขององค์กร ปมวิจารณ์เรื่อง ‘วัคซีน-ไวรัสตัดต่อพันธุกรรม’

(26 เม.ย.67) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha โดยระบุว่า…

เรียนทุกท่านครับ

เนื่องจากมีความกังวลจากองค์กร ว่าหมอเอง ทางสังคมมีการใช้ชื่อขององค์กรในการให้ความเห็นเรื่องของวัคซีน / เรื่องของไวรัสตัดต่อพันธุกรรม และเรื่องอื่น ๆ

ดังนั้น หมอได้ ลาออกจากหัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ แล้วครับ ในวันที่ 25/4
และเป็นผู้เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและผู้เชี่ยวชาญทางระบบประสาท ในฐานะกลุ่มแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ ที่เห็นชีวิตของประชาชนเป็นที่ตั้ง

(ยังคงเป็นอาจารย์พิเศษสาขาประสาทวิทยา โดยไม่รับค่าตอบแทน)

ซึ่งทางด้านนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ก็ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

หมอธีระวัฒน์ลาออกจาก ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพ โรคอุบัติใหม่ ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่เพื่อชัยชนะทาง ‘อิสรภาพ’ ในการ ‘พูดความจริง’ เดินหน้าต่อร่วมจัดเสวนา ‘อันตรายจากวัคซีนโควิด-19 ร้ายแรงกว่าที่คิด’ หอศิลป์กรุงเทพ 3 พ.ค.นี้

ตามที่ ศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ได้ตัดสินใจลาออกจากการเป็นศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ด้วยเหตุผลว่า

‘เนื่องจากมีความกังวลจากองค์กร ว่าหมอเอง ทางสังคมมีการใช้ชื่อขององค์กรในการให้ความเห็นเรื่องของวัคซีน /เรื่องของไวรัสตัดต่อพันธุกรรม และเรื่องอื่น ๆ’

ขอให้กำลังใจแด่ศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ได้มีความกล้าหาญและเสียสละในการตัดสินใจครั้งนี้

การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ใช่เป็นความพ่ายแพ้ หากแต่เป็นชัยชนะในการประกาศอิสรภาพเพื่อพูดความจริงให้ได้ตรงประเด็นได้มากยิ่งขึ้น ในฐานะ ‘ศาสตราจารย์นายแพทย์’ ผู้เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและผู้เชี่ยวชาญทางระบบประสาท

และในฐานะ ‘กลุ่มแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ ที่เห็นชีวิตของประชาชนเป็นที่ตั้ง’ และการลาออกครั้งนี้ไม่ได้ทำให้การทำหน้าที่ของศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาหายไป เพราะวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต จะยังคงเดินหน้าและเคียงข้างในการนำเสนอความจริงและทางออกให้กับประเทศ ร่วมกับศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ต่อไป

ดังนั้น การจัดกิจกรรมระหว่างศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา กับวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิตจะยังคงเดินหน้าต่อไปในทางวิชาการเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ด้วยความจริงที่เข้มข้นกว่าเดิม

ดังนั้น จึงจะขอแจ้งตัดชื่อหรือโลโก้ในภาพการประชาสัมพันธ์ ที่เกี่ยวข้องกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือ ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โดยได้นำแถบดำมาปิดโลโก้ทั้งหมดด้านล่างเอาไว้แล้ว สำหรับการจัดเสวนาที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 นี้ คงเหลือแต่ ‘วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต’ เท่านั้น ที่จะเป็นเจ้าภาพในการจัดงานนี้เอง

ดังนั้น ช่วยกันแชร์ และขอเชิญทุกท่านเข้าร่วมเสวนาครั้งที่ 2 ณ หอศิลป์กรุงเทพฯ วันที่ 3 พ.ค. เปิดข้อมูลและความจริงชัดเจนยิ่งขึ้น ในหัวข้อ ‘อันตรายจากวัคซีนร้ายแรงกว่าที่คิด’

โดย วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออกมหาวิทยาลัยรังสิต จัดคลินิกแพทย์เคลื่อนที่ และการเสวนา ครั้งที่ 2 ในหัวข้อ ‘อันตรายจากวัคซีนโควิด-19 ร้ายแรงกว่าที่คิด’ ในวันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม 2567 ณ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สี่แยกปทุมวัน และในงานพบกับ…

10.00 น.-13.00 น. หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออกมหาวิทยาลัยรังสิต เปิดให้คำปรึกษาและรักษาเบื้องต้น ภาวะลองโควิด และผลกระทบจากวัคซีน โควิด-19 ด้วยการบูรณาการ ศาสตร์การแพทย์แผนไทย การแพทย์แผนจีน และธรรมชาติบำบัดฟรี

13.00 น.-17.00 น. งานเสวนาทางวิชาการในหัวข้อ ‘อันตรายจากวัคซีนโควิด-19 ร้ายแรงกว่าที่คิด’ โดย ศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและผู้เชี่ยวชาญทางระบบประสาท, นายแพทย์ อรรถพล สุคนธาภิรมย์ กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์, อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต และผู้เข้าร่วมเสวนาอีกหลายท่าน

จึงขอเรียนเชิญท่านสื่อมวลชน ผู้ป่วย และพี่น้องประชาชนที่สนใจหรือต้องการให้กำลังใจ หรือแบ่งปันข้อมูล เข้าร่วมงานในวันและเวลาดังกล่าว

ERDI-CMU ร่วมกับ บมจ. เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า เดินหน้าต่อเนื่อง นำเสนอโครงการ Platform บริหารจัดการพลังงานสะอาด

หม้อแปลง Low Carbon, Solar, Energy Storage, EV แก้ปัญหา Net Zero, Near Zero, Peak Demand, Demand Response" ต่อคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาการส่งเสริมและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม สภาผู้แทนราษฎร  

“รศ.ดร. สิริชัย และ ผศ.ดร.พฤกษ์” รับรองผลการประหยัด Platform บริหารจัดการ พลังงานสะอาด ประหยัดจริง 9%

รศ.ดร. สิริชัย คุณภาพดีเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์, ผศ.ดร.พฤกษ์ อักกะรังสี และดร. ณัฐวุฒิ จารุวสุพันธุ์ และบริษัท เจริญชัย หม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด นำเสนอโครงการ "Platform บริหารจัดการพลังงานสะอาด หม้อแปลง Low Carbon, Solar, Energy Storage, EV แก้ปัญหา Net Zero, Near Zero, Peak Demand, Demand Response" ต่อ นายซูชัย มุ่งเจริญพร ประธานคณะอนุกรรมาธิการ และ คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาการส่งเสริมและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม สภาผู้แทนราษฎร ณ ประชุมกรรมาธิการ N 408 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา ในวันพุธที่ 24 เมษายน 25567

ด้วยสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับบริษัท เจริญชัย          หม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ได้ร่วมวิจัยและได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ให้ดำเนินงานวิจัยหม้อแปลง IoT และระบบบริหารจัดการพลังงานทดแทน Solar กับ Energy Storage ด้วยโปรแกรม Sustainable Green Energy Management System ภายใต้โครงการ “Low Carbon Transformer ระบบจัดการหม้อแปลงไฟฟ้า เพื่อรองรับพลังงานสะอาดอย่างมั่นคง Net Zero, Near Zero, Peak Demand และ Demand Response” ซึ่งจากการดำเนินงานพบว่าหม้อแปลงที่ใช้ในการดำเนินโครงการที่กล่าวในข้างต้น ตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน ในภาคอุตสาหกรรม Smart Factory, Smart Building ในด้าน Net Zero & Near Zero, Peak Demand, Demand Response การประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน โดยสามารถลดการใช้พลังงาน ลดต้นทุนค่าไฟฟ้า และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และมีระยะเวลาคืนทุนภายในเวลา  2 – 5  ปี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการแก้ปัญหาด้านการประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ สังคม ประชาชนและผู้ประกอบการ ด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้าพลังงานสะอาด

หม้อแปลง Low Carbon เป็นหม้อแปลงบริหารระบบจัดการพลังงานที่บริหารจัดการการสิ้นเปลืองให้เกิดประสิทธิภาพและมีความเสถียรภาพกับการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มั่นคงและยั่งยืน ทำให้โรงงานอุตสาหกรรม, อาคาร สถานประกอบการ ลดค่าไฟฟ้า 5-20% (Energy Saving) ลดคาร์บอน 5-20% (Low Carbon) มากกว่า 100 ล้านตัน ลดมลพิษ (Low Emission) ทำให้อุปกรณ์อายุการใช้งานยาวนานขึ้น (Long Life Equipment) เพื่อเป็นการตอบโจทย์ให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม สถานประกอบการ เจ้าของอาคาร ตามนโยบายของรัฐบาลในการลดก๊าซเรือนกระจก ลดโลกร้อน และลดอุณหภูมิโลก

1 พ.ค.นี้ ปชช. อีก 33 จังหวัดเตรียมพร้อม นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว เดินเครื่อง เฟส 3 ครอบคลุม 45 จังหวัด หมอชลน่านยันสิ้นปีขยายได้ทั้งประเทศ

น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมือง เปิดเผยถึงความก้าวหน้าของนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ที่น.พ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ติดตามเร่งรัดว่า ขณะนี้การดำเนินการจะเข้าสู่ระยะที่ 3 หรือเฟส 3 ในวันที่ 1พฤษภาคมที่จะถึงนี้ การให้บริการจะครอบคลุมทุกเฟสจำนวน 45 จังหวัด โดยเพิ่มจาก 12 จังหวัดเพิ่มอีก 33 จังหวัด ครอบคลุมอีก 16 เขตสุขภาพ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย น่าน พะเยา ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน กำแพงเพชร พิจิตร ชัยนาท อุทัยธานี สระบุรี นนทบุรี ลพบุรี อ่างทอง นครนายก  พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี อุดรธานี สกลนคร นครพนม เลย หนองคาย  บึงกาฬ ชัยภูมิ  บุรีรัมย์ สุรินทร์ สงขลา สตูล ตรัง พัทลุง ปัตตานี ยะลา 

น.ส.ตรีชฎา กล่าวว่า กระทรวงสธ.มีความมั่นใจว่า การขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสินในเฟส 3 จะสามารถยกระดับการบริการ อำนวยความสะดวกประชาชน ไม่ต้องรอคิว รอรับยา ตรวจเสร็จรับยาที่บ้าน Health Rider เหมือนที่เริ่มมาแล้วในเฟส 1 เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2567 นำร่อง 4 จังหวัด ต่อมาเฟส 2 นำร่องอีก 8 จังหวัด เมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา ทั้ง 2 เฟส ประชาชนพอใจการได้รับบริการเกือบ 100 % การให้บริการได้เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ส่วนบุคคลของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสธ.ครบทุกแห่งและทุกกองทุนสุขภาพ ปัจจุบันมีหน่วยบริการในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสธ. 893 แห่ง จาก 902 แห่งทั่วประเทศ คิดเป็นร้อยละ 99.7 ผ่านเกณฑ์มาตรฐานการพัฒนาโครงสร้างเป็นโรงพยาบาลอัจฉริยะ มีการเชื่อมต่อแอพพลิเคชั่นและไลน์หมอพร้อมทั่วประเทศแล้่วกว่า 40 ล้านคน มีการนัดหมายและดำเนินการบริการระบบการแพทย์ทางไกล 55,446 ครั้ง ออกใบรับรองแพทย์ดิจิทัล 81,317ใบ มีการจัดส่งยาและเวชภัณฑ์โดย Health Rider 55,376 ออร์เดอร์ ซึ่งกว่าร้อยละ 90 ของผู้รับบริการมีความพึงพอใจดีมาก เนื่องจากได้รับบริการที่รวดเร็ว เจ้าหน้าที่ส่งยาพูดจาสุภาพ ความสมบูรณ์ของพัสดุ ลดระยะเวลาการรอคอย ช่วยลดความแออัดในการรอรับยาที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอก ในระยะเฟส 4 จะขยายครอบคลุมทั้งประเทศภายในปี 2567 อย่างแน่นอน

โฆษกกระทรวง สธ.ฝ่ายการเมืองกล่าวทิ้งท้ายว่า จากการสรุปข้อมูลล่าสุดวันที่ 24 เมษายน 2567 พบความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการ รับ - ส่งยา ( Health Rider) ดังนี้ จังหวัดที่เข้าร่วมโครงการ 39 จังหวัด หน่วยบริการที่เข้าร่วม 301 แห่ง 3. อสม.และบุคลากรสาธารณสุขที่เข้าร่วมโครงการฯแล้ว 5,258 คน วิ่งจัดส่งยาแล้วทั้งประเทศ 85,217 ออร์เดอร์ และมีรายได้ของ Health Rider เป็นความภาคภูมิใจของบุคลากรของกระทรวงสธ. และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ร่วมมือกันเต็มที่และดียิ่งเพื่อประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top