Wednesday, 7 May 2025
NEWS FEED

เฉลย!! 3 เหตุผลที่ต้องพ่นสีเครื่องบิน ไม่ใช่แค่เพื่อความสวย แต่เพื่อลดความร้อนภายในตัวเครื่อง ยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน

ทำไมต้องพ่นสีเครื่องบิน ? หรือแค่เพราะว่าทำให้ตัวเครื่องบินสวย

(30 เม.ย. 67) TNN Tech รายงานว่า กลุ่มพันธมิตรการบินสตาร์อัลไลแอนซ์ (Star Alliance) เปิดเผยภาพเบื้องหลังการพ่นสีและตกแต่งลายพิเศษของกลุ่มพันธมิตร กับเครื่องบินแอร์บัส เอ 350-900 (Airbus A350-900) ของการบินไทย พร้อมเฉลยหนึ่งในคำถามพื้นฐานที่หลายคนมักสงสัยว่า ทำไมถึงต้องพ่นสีเครื่องบินและใช้สีขาวเป็นสีหลักของเครื่องบินด้วย

>> 3 เหตุผลในการพ่นสีเครื่องบิน...
- เหตุผลแรกว่าทำไมถึงต้องพ่นสีกับเครื่องบิน คือเรื่องของภาพลักษณ์และแบรนด์ ยกตัวอย่างเครื่องบิน Airbus A350-900 ของการบินไทย ที่ต้องการสร้างภาพจำให้กับ Star Alliance ที่เป็นพันธมิตรการบินแรกของโลกในปี 1997 ซึ่งการบินไทยเองก็เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งพันธมิตรนี้ด้วยเช่นกัน

- เหตุผลที่สอง ที่สำคัญไปกว่านั้น เป้าหมายที่แท้จริงของการพ่นสีเครื่องบินคือ การลดความร้อนภายในตัวเครื่อง เนื่องจากตัวเครื่องบินจะต้องทำการบินที่ระดับความสูง 30,000 ฟุต หรือประมาณ 9 กิโลเมตร เหนือพื้นดิน ในระดับความสูงนี้จะได้รับแสงแดด และรังสี UV (Ultra Violet) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  

ดังนั้น ถ้าไม่มีการพ่นสีที่ได้รับการออกแบบมาพิเศษเพื่อเคลือบป้องกันเครื่องบิน จะทำให้ผู้โดยสารบนเครื่องบินได้รับความร้อนและส่งผลต่อความสะดวกสบายในการโดยสารด้วย

และด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ ทำให้เครื่องบินส่วนใหญ่จึงพ่นสีขาวเป็นพื้นฐาน แม้ว่าจะมีการตกแต่งลายตามสัญลักษณ์สายการบิน รวมไปสัญลักษณ์ของกลุ่มพันธมิตรสายการบินที่แพนหางเครื่องบิน แต่ก็ยังคงให้สีขาวเป็นสีหลักบนเครื่องบิน เพราะสีขาวเป็นสีที่มีความสามารถในการสะท้อนแดดและรังสี UV ได้ดีที่สุด

- เหตุผลสุดท้าย คือ การสร้างชั้นเคลือบป้องกันลำตัวเครื่องบิน (Fuselarge) เนื่องจากทั้งฝุ่น ความชื้น และสภาพอากาศ ต่างเป็นปัจจัยที่จะกัดกร่อนตัวเครื่องบินให้เสื่อมสภาพและพังก่อนอายุการใช้การงานอันควร 

ทั้งนี้ โดยปกติเครื่องบินพาณิชย์ขนาดใหญ่จากทั้ง Airbus, Boeing สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องประมาณ 30 ปี และมีราคาที่สูงถึง 100 - 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,700 - 11,000 ล้านบาท ตามขนาดและรุ่น ดังนั้น สายการบินจึงต้องคอยพ่นสีเครื่องบิน เพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานและคุ้มค่าที่สุด

10 สิ่งที่ควรทำ หลังชีวิตเริ่มเข้าสู่เลข 5 ในวันที่ค่าเฉลี่ยอายุคนอยู่ที่ 72 ปี

(30 เม.ย.67) จากเพจ 'สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

ปัจจุบัน คนเรามีอายุเฉลี่ยที่ 72 ปี
ถ้าคุณอายุ 50 ปีไปแล้ว จะมีชีวิตได้อีก 22 ปี
ถ้าไม่ตายเพราะเหตุอื่นซะก่อนนะ
เวลาผ่านไปเร็วมาก จงอย่าประมาทและเตรียมตัวให้พร้อม

1. รักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพราะชีวิตหลังเลข 5 คือขาลงแล้ว สวยหล่อเป็นเรื่องรอง สตรองคือเรื่องหลัก

2. ทำงานและเก็บเงินให้ได้ หากตอนแก่ไม่มีเงิน ถ้าป่วยแล้ว หนังเหนียว เป็นโรคเรื้อรัง จะตายก็ไม่ตาย แล้วจะเอาเงินที่ไหนมารักษา

3. ปลดหนี้เก่า และไม่สร้างหนี้ใหม่

4. มีที่อยู่เป็นของตัวเอง (ห้อง หรือบ้าน มีโลกส่วนตัว)

5. เรียนรู้เทคโนโลยี และรับรู้ข่าวสารใหม่ ๆ เสมอ จะทำให้เราไม่บื้อ รู้เท่าทันโลกในปัจจุบัน

6. พูดคุยกับลูกหลาน ฟังเขาด้วย ไม่ใช่ให้เขาฟังแต่เรื่องของเรา ต้องแลกเปลี่ยนความคิดกันอยู่เสมอ

7. เพื่อนดี ไม่ต้องมีเยอะ เพื่อนเรื่องเยอะ ไม่ต้องมี

8. ฝึกคิดบวก เลิกอารมณ์ร้อน ปากร้าย ขาเม้าท์นินทา อาจจะหมดวัยที่คนอื่นจะอภัยให้เราแล้ว เพราะคุณจะไม่น่าเอ็นดูเหมือนตอนที่เป็นหนุ่มสาว

9. ยิ้มให้มาก โกรธให้น้อย หัวเราะให้มาก ๆ

10. อภัยให้กันในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะอีกไม่ช้า ก็ต้องแยกย้ายลาโลกกันไปแล้ว

ทั้งนี้ หากยังแข็งแรง จงรีบออกไปใช้ชีวิตซะ ไปหาเพื่อน ไปเที่ยว เพราะประสบการณ์จะติดตัวติดตาคุณไปจนวันสุดท้าย ใครก็ขโมยตัวตนของคุณไปไม่ได้

‘น้องอิน-น้องเอม’ คว้ารางวัลชนะเลิศ ระดับ ม.ปลาย ในงาน ‘GLOBE SRC 2024’ จากผลงาน ‘การสืบค้นความสามารถการกักเก็บคาร์บอนของพืชในบริเวณที่พักฯ’

‘น้องอิน-น้องเอม’ ผู้ริเริ่มโครงการ ‘Below the Tides : Zero Starving Sea Turtles’ (อิ่มท้องน้องเต่า) และหลานปู่ของนายวิชัย ทองแตง ประธานมูลนิธิหนึ่งน้ำใจ One Love Foundation คว้ารางวัลชนะเลิศ ระดับ ม.ปลาย ในงาน ‘GLOBE SRC 2024’ จากผลงาน ‘การสืบค้นความสามารถการกักเก็บคาร์บอนของพืชในบริเวณที่พักฯ’

เมื่อไม่นานมานี้ สสวท. หรือ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ประกาศรับสมัครผลงานวิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ระดับนักเรียน ประจำปี 2567 หรือ ‘GLOBE Student Research Competition (GLOBE SRC) 2024’

โดยโครงการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยน ผลการศึกษาค้นคว้าวิจัยของนักเรียน ร่วมกับครู นักวิทยาศาสตร์ และชุมชน ในการเรียนรู้และเข้าใจความสัมพันธ์ของสิ่งแวดล้อมที่เป็นองค์ประกอบของโลก (ดิน น้ำ บรรยากาศ และสิ่งปกคลุมดิน/สิ่งมีชีวิต) ในลักษณะของวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ ที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริง เกี่ยวกับปัญหาและวิธีการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ในท้องถิ่นของตนอย่างเป็นระบบ โดยใช้หลักวิธีดำเนินการตรวจวัดของ GLOBE ในการเก็บข้อมูลและส่งข้อมูล เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสมาชิกในโครงการ GLOBE ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

ซึ่งเป็นการส่งเสริมประสบการณ์ ทักษะชีวิต ความคิดวิเคราะห์และความคิดสร้างสรรค์เพื่อนำไปสู่การรู้เท่าทันสถานการณ์ การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม นำประสบการณ์ที่ได้รับไปปรับใช้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต และ นำไปสู่การสร้างความยั่งยืนในการรักษาสิ่งแวดล้อมร่วมกันในระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาค และระดับโลก

โดยสามารถสมัครได้ถึงวันที่ 15 ก.พ.67 ที่ผ่านมา เงื่อนไขการสมัครดังนี้ (https://drive.google.com/drive/folders/1h0wxqAO452VQ2U7Ap9sINRfZX8JvO9OX) จากนั้นคณะผู้วิจัยที่ผ่านการคัดเลือก (นักเรียนและครูที่ปรึกษา) จะต้องเข้าร่วมการประชุมวิชาการ GLOBE Student Research Competition 2024 เพื่อนำเสนอผลงานวิจัย และเข้าร่วมการสัมภาษณ์จากคณะกรรมการฯ ในวันที่ 29 - 30 เมษายน 2567 ณ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ กรุงเทพมหานคร 

ล่าสุด (30 เม.ย. 67) หนึ่งในผลงานวิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ในงาน ‘GLOBE Student Research Competition (GLOBE SRC) 2024’ ที่ได้รับรางวัลก็คือ ผลงานวิจัยเรื่อง การสืบค้นความสามารถการกักเก็บคาร์บอนของพืชพรรณในบริเวณที่พักอาศัย เพื่อเปรียบเทียบกับคาร์บอนฟุตพรินท์ของคณะวิจัย โดยมี นายอริณชย์ ทองแตง และเด็กหญิงอริสา ทองแตง คณะผู้วิจัย และ นางสาวชมชนก สุทธาภาศ ครูที่ปรึกษางานวิจัย โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี ได้รับรางวัลชนะเลิศ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ในการประกวด GLOBE Student Research Competition 2024 ระหว่างวันที่ 29-30 เมยายน 2567 ณ โรงแรมแอบบาสซาเตอร์ กรุงเทพมหานคร โดยได้รับประกาศนียบัตร โล่รางวัล และเงินรางวัล 30,000 บาท

ทั้งนี้ นายอริณชย์ ทองแตง (อิน) และเด็กหญิงอริสา ทองแตง (เอม) เป็นผู้ริเริ่มโครงการ ‘Below the Tides : Zero Starving Sea Turtles’ (อิ่มท้องน้องเต่า) ที่มุ่งมั่นตั้งใจสานต่อความรัก สู่การเป็นผู้ให้ เพิ่มโอกาสรอดชีวิตของ ‘เต่าทะเล’ ให้กลับคืนสู่ธรรมชาติ เพื่อปรับสมดุลระบบนิเวศใต้ท้องทะเลไทยให้สมบูรณ์และยั่งยืน นอกจากนี้ยังเป็นหลานปู่ของนายวิชัย ทองแตง ประธานมูลนิธิหนึ่งน้ำใจ One Love Foundation

‘อนุทิน’ บินด่วนร้อยเอ็ด รับ!! ‘อวัยวะ’ ชายสมองตาย ช่วยต่อลมหายใจผู้ป่วยอีก 8 ชีวิต ที่รอความหวัง

(30 เม.ย.67) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย พร้อมด้วย แพทย์ศัลยศาสตร์หัวใจ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ปฏิบัติภารกิจจิตอาสา ‘หัวใจติดปีก’ เดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว จากท่าอากาศยานดอนเมือง มายังโรงพยาบาลร้อยเอ็ด เพื่อผ่าตัดรับหัวใจของ นายตรีพบ ประดับศรี อายุ 41 ปี ผู้เสียชีวิตจากภาวะสมองตาย เลือดออกในสมองจากภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งญาติบริจาคอวัยวะ หัวใจ ตับ ไต และดวงตา เพื่อต่อชีวิตต่อลมหายใจให้ผู้ป่วยที่รอความหวัง กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้ง ถือเป็นทานบารมีที่ยิ่งใหญ่และเป็นที่สุดแห่งการให้ครั้งสุดท้ายของชีวิต

โดยมีนายชัยวัฒน์ ชัยเวชพิสิฐ รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ดร.นพ.สุรเดชช ชวะเดช นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด นายแพทย์ชาญชัย จันทร์วรชัยกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลร้อยเอ็ด พร้อมคณะผู้บริหาร แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ

จากนั้นนายอนุทิน ชาญวีรกูล เยี่ยมให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิต พร้อมมอบใบประกาศเกียรติคุณ พวงหรีด และมอบเงินส่วนตัวช่วยเหลือแก่ นางสุนีย์ ประดับศรี แม่ของผู้เสียชีวิต

นายอนุทิน กล่าวว่า การช่วยเหลือครั้งนี้ถือว่าเป็นทานบารมีที่ยิ่งใหญ่ และเป็นที่สุดแห่งการให้ครั้งสุดท้ายของชีวิต แม้คนเราจะเสียชีวิตไปแล้ว ก็ยังสามารถทำประโยชน์ให้คนอื่นได้อีก 8 ชีวิต

ถอดความหมาย ‘ทศมราชัน’ ชื่อพระราชทาน ‘สะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9’ จากในหลวง รัชกาลที่ 10

พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามสะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 สำหรับข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ว่า ‘ทศมราชัน’ อ่านว่า ทด-สะ-มะ-รา-ชัน สะกดเป็นภาษาอังกฤษ ‘Thotsamarachan’

ทศม (ทัสสะมะ) แปลว่า ที่สิบ มาจากรากศัพท์ว่า ทส ธาตุ หมายถึง 10 บวกกับ ม (มะ) ปัจจัย ราชัน แปลว่า พระราชา มาจากรากศัพท์ว่า ราช (ราชา) หมายถึง ปกครอง บวกกับ น (นะ) เป็น ราชัน (ราชา-นะ) แปลว่า ผู้ปกครองหรือ พระราชา

เมื่อนำ ทศม (ทัสสะมะ) มาผสมกับ ราชัน (ราชา-นะ) จึงได้เป็น ทศมราชัน (ทดสะมะ-รา-ชัน) ซึ่งแปลว่า พระราชาลำดับที่สิบ

นับว่าเป็นชื่อมงคลและมีความหมายที่ดี เพราะตัวสะพานตั้งทอดเลียบคู่กับสะพานพระราม 9 อันหมายถึง พระรามที่ 9 ซึ่งเป็นพระรามเรียก พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระบิดาของในหลวงรัชกาลปัจจุบันนั่นเอง

>>สะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 (ทศมราชัน) เปิดใช้วันไหน

นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เคยกล่าวว่า “สะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 เป็นสะพานขึง (Cable Stayed Bridge) แบบเสาคู่ที่สร้างคู่ขนานกับสะพานพระราม 9 ซึ่งถือว่าเป็นสะพานคู่ขนานแห่งแรกของประเทศไทยที่ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาออกแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานความเป็นไทย ผนวกกับการใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมการก่อสร้างทางวิศวกรรมขั้นสูง ทำให้สะพานมั่นคงแข็งแรงสามารถรองรับแรงลมได้มากถึง 270 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือเทียบเท่าความแรงของพายุทอร์นาโด แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงความสวยงาม และเชื่อมั่นว่าจะกลายเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของประเทศไทย”

ด้านนายชาตรี ตันศิริ รองผู้ว่าการฝ่ายก่อสร้างและบำรุงรักษา กทพ. กล่าวเพิ่มเติมว่า “สะพานนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีความกว้างมากที่สุดในประเทศไทย รองรับการสัญจรถึง 8 ช่องจราจร มีความยาวช่วงกลางสะพาน 450 เมตร ความยาวของสะพาน 780 เมตร ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 41 เมตร (สูงเท่ากับสะพานพระราม 9 เดิม) และหากเปิดให้บริการ”

“คาดการณ์ว่าจะสามารถรองรับปริมาณรถยนต์ได้มากถึง 150,000 คัน/วัน ช่วยลดความแออัดทางจราจรบริเวณทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางด่วนขั้นที่ 1) ช่วงบริเวณทางแยกต่างระดับบางโคล่ บนสะพานพระราม 9 ถึงด่านสุขสวัสดิ์ บริเวณถนนพระราม 2 จาก 100,470 คัน/วัน เหลือ 75,352 คัน/วัน หรือลดลง 25% และสามารถ เชื่อมต่อกับโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางขุนเทียน - บ้านแพ้ว (M82) ของกรมทางหลวงอีกด้วย”

การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) คาดว่าจะเปิดใช้สะพานขึงใหม่คู่ขนานสะพานพระราม 9 อย่างเป็นทางการ ในเดือนกรกฎาคม 2567

>> เส้นทาง สะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 ไปยังไง

🔴ทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกตะวันตก
-รถแท็กซี่/รถยนต์โดยสาร ถ้าขึ้นทางพิเศษเฉลิมมหานครจากเส้นทางบางนา, แจ้งวัฒนะ สามารถลงทางด่วนที่ด่านบางโคล่

🔴รถเมล์

-รถเมล์สาย 102 ปากน้ำ – สาธุประดิษฐ์
-รถเมล์สาย 3-52 เซ็นทรัลพระราม 3 – หัวลำโพง
-รถเมล์สาย 67 วัดเสมียนนารี – สาธุประดิษฐ์

>>สรุปข้อมูลสะพานทศมราชัน
-วันที่เริ่มการก่อสร้าง : วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020)
-วันที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ : วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2566 (ค.ศ. 2023)
-บริษัทที่ทำการก่อสร้าง : บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน)
-ราคาค่าก่อสร้าง : 6,636,192,131.80 บาท
-แบบของสะพาน : สะพานขึงเสาคู่
-ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง : 41 เมตร (135 ฟุต)
-ความยาวของสะพาน : 780 เมตร (2,560 ฟุต)
-รวมความยาวทั้งหมด : 2 กิโลเมตร (1.2 ไมล์)
-จำนวนช่องทางจราจร : 8 ช่องทางจราจร
-ความกว้างสะพาน : 42 เมตร (138 ฟุต)

ทำกันเยอะ!! หาคนจ่ายบิลค่าน้ำ-ไฟ-มือถือ แต่ให้เงินไม่เต็มจำนวน คนรับจ่ายบิลผ่านแอปฯ ช้อปออนไลน์ เพราะต้องการเงินสดไปหมุน

จากกระแสในโลกออนไลน์ที่หลายคนตั้งคำถามว่า ‘ทำไปทำไม’ และ ‘เพราะหตุใด’ หลังมีผู้นำโพสต์จากกลุ่ม ‘Shopee My SPayLater SEasyCash Thailand’ ที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กจำนวนมาก โพสต์หาคนจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ แคปภาพไปตั้งคำถามในแพล็ตฟอร์ม X จนมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก 

โดยตัวอย่างของโพสต์จากกลุ่มดังกล่าว เช่น 

-หาคนจ่ายค่าไฟ 3631.12 ให้ 3200 ยอดตัดโอนทันที
-หาคนจ่ายบิลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 2,651.43 บาทให้ 2,200 บาท
-บิลโทรศัพท์ยอด 2808.86 ให้ 2400 บาท ยอดตัดโอนทันที
-หาคนจ่ายค่าไฟให้ค่า 567฿ ให้ 470฿

อย่างไรก็ตาม การโพสต์หาคนจ่ายแทนเป็นการจ่ายเงินสดที่ให้แบบ ‘ไม่เต็มจำนวน’ เพื่อที่เจ้าของบิลจะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายลง ขณะที่ผู้จ่ายบิลแทนจะจ่ายให้ผ่านแอปพลิเคชันช้อปออนไลน์ที่มีแคมเปญ ‘ใช้ก่อนจ่ายทีหลัง’ เพื่อนำเงินสดไปหมุนแทนก่อน 

หลังจากนั้นจะนำเงินที่ได้มาไปจ่ายทีหลัง ส่วนเงินที่หายไป 10% ก็เหมือนกับดอกเบี้ย เพื่อแลกเงินสดมาใช้ก่อน ซึ่งการทำงานคล้าย ๆ กับการใช้บัตรเครดิต

โดยหลายคนมองว่าเรื่องนี้สะท้อนว่า ตอนนี้ประชาชน ‘ขาดสภาพคล่อง’ ถึงขนาดที่ว่า คนส่วนมากยอมเสียดอกเบี้ย เพื่อนำเงินจากการจ่ายบิลต่าง ๆ ไปใช้จ่าย หรือหมุนเงินก่อน และก็มีหลาย ๆ คอมเมนต์ออกมาเตือนและไม่แนะนำให้ทำ เพราะนอกจากจะเสียดอกเบี้ยแล้ว ยังอาจจะเจอกับมิจฉาชีพที่แฝงตัวเข้ามาด้วยก็ได้

'จนท.อุทยานฯ น้ำหนาว' หวิดดับคาป่า หลังดับไฟป่าจนฮีตสโตรก เพื่อนร่วมทีมช่วยหามลงเขาส่ง รพ. ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว

(30 เม.ย. 67) นายสมเกียรติ กาติ๊บ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติงานดับไฟป่าว่ามีเจ้าหน้าที่เป็นลมหมดสติขณะเข้าดับไฟป่า ชื่อนายสุริยนต์ คันศรี พนักงานราชการ ตำแหน่งคนงาน อายุ 53 ปี ที่เข้าป่าเพื่อตรวจสอบพื้นที่จุดความร้อน (Hotspot) และดับไฟป่าบริเวณห้วยทับโคก ตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน 2567 ร่วมกับเจ้าหน้าที่สถานีควบคุมไฟป่าน้ำหนาว กำลังพลจำนวน 20 นาย

ต่อมาวันที่ 28 เมษายน 2567 คณะเจ้าหน้าที่ออกเดินทางต่อจนถึงพื้นที่เป้าหมายบริเวณห้วยทับโคกในเวลา 14.00 น.และเข้าทำการดับไฟป่าท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนจัด ประกอบกับมีกลุ่มควันจำนวนมาก ทำให้นายสุริยนต์ คันศรี เกิดมีอาการหน้ามืด คลื่นไส้ อาเจียน และเป็นลมหมดสติ (อาการฮีตสโตรก) เพื่อนร่วมทีมจึงได้นำตัวออกจากพื้นที่ไฟไหม้เพื่อทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น

หลังจากผู้ป่วยได้สติจึงได้แบ่งกำลังพลนำตัวออกจากพื้นที่เพื่อหาจุดที่มีสัญญาณวิทยุสื่อสารติดต่อขอความช่วยเหลือ แต่ด้วยสภาพพื้นที่เป็นภูเขามีความลาดชัน ทำให้การเคลื่อนย้ายตัวผู้ป่วยเป็นไปด้วยความยากลำบาก ทำให้เกิดความล่าช้า คณะเจ้าหน้าที่จึงได้พักแรมบริเวณลำห้วยหนองข้าวหลาม

จนเช้าวันที่ 29 เมษายน 2567 คณะเจ้าหน้าที่ได้เคลื่อนย้ายตัวผู้ป่วยจนมาถึงบริเวณลานนกแต้ ผู้ป่วยมีอาการทรุดลง ร่างกายอ่อนเพลียมาก ซึ่งจุดดังกล่าวมีสัญญาณมือถือ จึงได้ประสานหัวหน้าอุทยานฯ น้ำหนาวส่งรถกู้ชีพกู้ภัยประจำอุทยานฯ มารอรับตัวผู้ป่วย ณ บริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ที่ นน.01 (ถ้ำห้วยประหลาด)

หัวหน้าอุทยานฯ น้ำหนาวได้ประสานประชาชนประจำจุดเฝ้าระวังไฟป่านำรถจักรยานยนต์เข้ารับตัวผู้ป่วยให้ออกจากพื้นที่โดยเร็ว พร้อมนำตัวผู้ป่วยมาส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจร่างกาย แพทย์ได้รักษาโดยการฉีดยา และเจาะเลือด และให้พักอยู่ในห้องฉุกเฉินเพื่อรอฟังผลเลือด

ล่าสุดเช้านี้ (30 เม.ย. 67) หัวหน้าอุทยานฯ น้ำหนาวยืนยันว่าเจ้าหน้าที่อาการดีขึ้นตามลำดับ และอยู่ในความดูแลของแพทย์

รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และถวายเป็นพระกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ

พลเรือตรี ดนัย ปานแดง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ พร้อมด้วยกำลังพล เข้าร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และถวายเป็นพระกุศลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร เนื่องในวันคล้ายวันประสูติ 29 เมษายน 2567 

โดยมี พล.ร.อ.ชาติชาย ทองสะอาด ผบ.กร.เป็นประธานในพิธี ณ อาคารพุทธสถานเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา กองเรือยุทธการ อ.สัตหีบ จว.ชลบุรี เมื่อวันที่ 29 เม.ย.67 เวลา 17.00 น. 
นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

‘เกาะล้าน’ อ่วม!! เข้าสู่สภาวะ ‘ขาดแคลนน้ำ’ พีก!! ปชช.เคยซื้อน้ำใช้แพงสุดคันละ 1 พันบาท

(30 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ชลบุรี ว่า จากสถานการณ์ช่วงหน้าแล้งปีนี้ เกิดปัญหาน้ำขาดแคลนขยายไปหลายพื้นที่ โดยเฉพาะเกาะล้าน เมืองพัทยา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวจำนวนมาก ส่งผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยปัญหาหลัก ๆ คือ น้ำเริ่มขาดแคลน ส่งผลให้น้ำอุปโภคบริโภคมีราคาค่อนข้างสูงขึ้น ประชาชนบนเกาะล้าน ต้องซื้อน้ำในราคาที่แพงขึ้น

ด้าน นายกาญจนพ สุขขี ชาวบ้านเกาะล้าน กล่าวว่า ช่วงนี้เข้าสู่หน้าแล้ง ทำให้เกาะล้านเข้าสู่สภาวะขาดแคลนน้ำ ซึ่งปกติน้ำประปาบนเกาะล้านที่ผลิตอยู่นั้นไม่เพียงพอต่อการใช้บริโภค ส่วนราคาน้ำขายในช่วงปกติอยู่ที่ 1 ตัน ราคา 150 บาท รถขนน้ำจะบรรจุได้รอบละ 2 ตัน คิดเป็นเงิน 300 บาท หากอยู่ในช่วงที่ต้องการน้ำมาก ราคาน้ำจะพุ่งขึ้นเป็นรอบละ 350-400 บาท แต่ถ้าช่วงแล้งจริง ๆ ราคาน้ำเคยพุ่งสูงเป็นรอบละ 1,000-1,200 บาท

ขณะที่โครงการผลิตน้ำที่เกาะล้าน มีกำลังผลิตไม่เพียงพอที่จะแจกจ่ายน้ำให้กับประชาชน ส่งผลให้บนเกาะล้านขาดแคลนน้ำอย่างหนัก และทำให้ราคาน้ำแพงขึ้น ประชาชนในพื้นที่ต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเพิ่มการผลิตน้ำและขยายเขตการปล่อยน้ำประปาบนเกาะล้าน เพื่อให้เพียงพอกับประชาชนบนเกาะล้านด้วย

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ตอกย้ำปณิธาน “สร้างชีวิต” มอบเครื่องเล่นสนาม อุปกรณ์ครุภัณฑ์ พร้อมเครื่องอุปโภคบริโภคแก่เด็กนักเรียนในส่วนภูมิภาค ณ โรงเรียนวัดนาร่อง อ.เมือง จ.สระบุรี

วันนี้ (วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2567) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวดวงชุตา  ติยะพจนพรกุล  ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ ร่วมในพิธี มอบเครื่องเล่นสนาม อุปกรณ์ครุภัณฑ์ พร้อมเครื่องอุปโภคบริโภคแก่เด็กนักเรียนโรงเรียนวัดนาร่อง อ.เมือง จ.สระบุรี อาทิ เครื่องเล่นสนามชุดปีนป่ายหนอนน้อย ตู้เหล็กเก็บเอกสารบานเลื่อน ชั้นวางของอเนกประสงค์ ชั้นวางของ ชั้นวางหนังสือ ชั้นวางรองเท้านักเรียน ตะแกรงคัดขยะ 3 ช่อง ชุดนักเรียน กางเกงวอร์ม และกระเป๋านักเรียน เป็นต้น พร้อมด้วยเครื่องอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย ข้าวสาร  ปลากระป๋อง น้ำมันพืช เส้นหมี่ขาว และขนมจันอับ รวมมูลค่า 208,076 บาท (สองแสนแปดพันเจ็ดสิบหกบาทถ้วน) นอกจากนี้ นายชาญกิจ วิทยาวรากรณ์ กรรมการมูลนิธิฯ  ได้สนับสนุนลูกฟุตบอลจำนวน 30 ใบ พร้อมด้วย ลูกอม จำนวน 1 ลัง  โดยมี นางสาวจิรนันท์ สาระเดช รักษาการผู้อำนวยการโรงเรียนวัดนาร่อง พร้อมด้วย ผู้แทนเด็กและเยาวชน เป็นผู้รับมอบ ณ โรงเรียนวัดนาร่อง อ.เมือง จ.สระบุรี

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา  เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ต่อไป

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung  

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง1418 
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top