Wednesday, 7 May 2025
NEWS FEED

‘น้องเกล โสพิชา’ รองชนะเลิศอันดับ 1 ‘Thailand's Got Talent’ ปัจจุบันเรียนคณะแพทยฯ วิทยาลัยแพทยฯ จุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย

(29 เม.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก The Album โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า…“ยังจำสาวน้อยคนนี้ได้กันรึป่าว? ‘น้องเกล โสพิชา’ รองชนะเลิศอันดับ 1 รายการ Thailand's Got Talent ล่าสุดเธอได้สอบติดคณะแพทยศาสตร์ และเผยภาพแรกในฐานะนักศึกษา ตอนนี้โตเป็นสาวแล้ว”

สำหรับน้องเกล โสพิชา อังคะไวมงคล เป็นศิลปินอูคูเลเล่ตัวน้อย เจ้าของตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับ 1 จากเวทีการประกวด Thailand’s Got Talent ซึ่งในขณะประกวดนั้น ‘น้องเกล’ มีวัยแค่เพียง 6 ขวบ

เบนซ์ พรชิตา ณ สงขลา หนึ่งในกรรมการ ถึงกับเอ่ยว่า “เป็นเด็ก 6 ขวบที่เก่งมาก อย่างที่เบนซ์บอก อูคูเลเล่ใครเล่นได้ก็จริง แต่สำหรับเด็ก 6 ขวบเล่นได้ขนาดนี้ แล้วก็ร้องเพลง ต้องบอกว่าภาษาอังกฤษเป๊ะนะจ๊ะ ตรงคีย์ด้วย”

ความน่ารัก ความสามารถของ ‘น้องเกล’ ทำให้กรรมการประทับใจไปตาม ๆ กัน และพร้อมใจให้ 3 ผ่านเลย

วันเวลาผ่านไปเป็น 10 ปี ขณะนี้ ‘น้องเกล’ โตขึ้นมาก วันนี้เธอได้เข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา คณะแพทยศาสตร์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์ศรีสวางควัตร จุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย ในรอบ Portfolio เมื่อปีที่แล้ว (2566) นั่นเอง

'หมอธีระ' เตือน!! โควิด-19 ไม่ใช่หวัดธรรมดา ไม่กระจอก ชี้!! รอบนี้มากกว่า 1 ใน 3 ของผู้ป่วยหนัก ไม่ใช่ผู้สูงอายุ

(29 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Thira Woratanarat’ ระบุว่า... 

วิเคราะห์การระบาดของไทย…
สัปดาห์ล่าสุด 21-27 เมษายน 2024

จำนวนผู้ป่วยรักษาตัวในโรงพยาบาล 1,672 ราย เสียชีวิต 9 ราย ปอดอักเสบ 390 ราย และใส่ท่อช่วยหายใจ 148 ราย

ผู้ป่วยนอนรักษาตัวใน รพ.มากกว่าสัปดาห์ก่อนถึง 66.5% และขึ้นต่อเนื่อง 7 สัปดาห์ติดต่อกัน เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 3 เท่า

จำนวนปอดอักเสบ เพิ่มขึ้น 33.6% และใส่ท่อช่วยหายใจก็เพิ่มขึ้น 46.5%

คาดประมาณจำนวนคนติดเชื้อใหม่ต่อวันอย่างน้อย 11,943-16,588 ราย

อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าจำนวนติดเชื้อจริงจะมากกว่านี้

ชัดเจนว่าการเพิ่มขึ้นข้างต้น ไม่ได้เป็นการเพิ่มเล็กน้อย แต่เพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ

แม้จะมีลักษณะพุ่งขึ้นคล้ายปีก่อน แต่จำนวนผู้ป่วยเริ่มต้นก่อนสงกรานต์ปีนี้นั้นมากกว่าปีก่อนอย่างมาก ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่สถานการณ์จะหนักกว่าเดิม หากไม่ป้องกันควบคุมโรคให้ดี

หากดูจำนวนผู้ป่วยที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ 148 ราย เป็นคนที่ไม่ใช่สูงอายุคือ 0-59 ปี ถึง 55 ราย คิดเป็น 37.1% มากกว่าหนึ่งในสามของทั้งหมด ดังนั้นแม้ไม่ใช่ผู้สูงอายุ ก็ควรป้องกันตัวให้ดีเช่นกัน

โควิด-19 ไม่ใช่หวัดธรรมดา ไม่กระจอก ไม่ได้เป็นไปตามฤดูกาล แต่แปรผันกันปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องเทศกาล กิจกรรม รวมถึงพฤติกรรมป้องกันตัวของประชาชน

ติดแต่ละครั้ง นอกจากเสี่ยงป่วย ป่วยรุนแรง หรือเสียชีวิตแล้ว ยังเสี่ยงต่อ Long COVID ที่บั่นทอนคุณภาพชีวิตระยะยาว

ช่วยกันป้องกันตัวนะครับ เพื่อให้ตัวเรา และคนที่เรารักปลอดภัย

อย่าปล่อยแบบ let it rip เพราะสุดท้ายแล้วผลลัพธ์สุขภาพที่เกิดขึ้น ไม่มีใครแบกรับ นอกจากตัวเราและครอบครัว…

'นปพ.นราธิวาส' เจ็บเล็กน้อย 4 ราย หลังถูกคนร้ายลอบจู่โจม โชคดี!! รถหุ้มเกราะช่วยไว้ เซฟชีวิตจากทั้ง 'ระเบิด-กระสุน'

(29 เม.ย.67) เวลาประมาณ 24.00 น. เกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดและยิงปะทะเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษ (นปพ.) นราธิวาส 33 บริเวณบ้านกวาลอซีรา หมู่ 7ตำบลปาเสมัส อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 4 นาย

พ.ต.อ.เจษฎาวิทย์ อินทร์ประพันธ์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรสุไหงโก-ลก เปิดเผยว่า เหตุเกิดขณะเจ้าหน้าที่ นปพ.นราธิวาส 33 จำนวน 4 นาย เตรียมเดินทางไปเข้าเวรที่จุดตรวจในเขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุบนถนนใหญ่ ห่างจากฐานปฏิบัติการ นปพ.นราธิวาส 33 ประมาณ 200 เมตร คนร้ายได้กดระเบิดทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหาย โชคดีที่เจ้าหน้าที่ใช้รถหุ้มเกราะจึงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย โดยเจ้าหน้าที่ทั้ง 4 นายได้ลงจากรถและยิงปะทะกับคนร้ายที่มีการดักซุ่มยิงระยะไกลจากถนนฝั่งตรงข้าม

พ.ต.อ.เจษฎาวิทย์ กล่าวว่า ในห้วงเวลาดังกล่าวคนร้ายได้โรยตะปูเรือใบบนถนนใกล้จุดเกิดเหตุ และเผายางรถหน้าสำนักงานขนส่งจังหวัดนราธิวาส สาขาสุไหงโก-ลก เพื่อขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่จากภายนอกเข้าไปให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ที่ประสบเหตุ ซึ่งหลังเหตุปะทะสงบลงพบว่าเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากสะเก็ดระเบิด

ส่วนมาตรการของฝ่ายความมั่นคงได้มีการประสานหน่วยกำลังของทุกชุดปฏิบัติการตามแผนรักษาความปลอดภัยเมือง ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ปิดเส้นทางฝั่งขาเข้าเมืองสุไหงโก-ลก ทั้ง 3 ด่าน ประกอบด้วย ด่านน้ำตก ด่านบุญลาภนฤมิตร ด่านบ้านน้ำขาว และปิดท่าข้ามริมฝั่งแม่น้ำโก-ลก พร้อมทั้งมีการลาดตระเวนเส้นทางตลอดแนวริมฝั่งแม่น้ำโก-ลก และตรวจสอบพื้นที่บริเวณใกล้เคียงทั้งหมด อีกทั้งได้มีการใช้โดรนสำรวจในพื้นที่เกิดเหตุด้วย

“ดังนั้น สำหรับประชาชนขอให้งดการเดินทางออกจากบ้าน รวมทั้งการใช้เส้นทางในพื้นที่เกิดเหตุ โดยเฉพาะเส้นทางสุไหงโก-ลก-มูโนะ ที่จำเป็นต้องเคลียร์รถยนต์ต้องสงสัย ตะปูเรือใบ และการเผายางรถในพื้นที่ รวมทั้งตรวจสอบวัตถุต้องสงสัยเพิ่มเติมหวั่นการก่อเหตุซ้ำ” พ.ต.อ.เจษฎาวิทย์ กล่าว

พ.ต.อ.เจษฎาวิทย์ กล่าวว่า จากเดิม นปพ.นราธิวาส 33 มีรถยนต์หุ้มเกราะ จำนวน 1 คัน แต่เนื่องจากห้วงที่ผ่านมาได้รับความเสียหายขณะเข้าตรวจค้นจับกุมเหตุผู้ต้องหาพร้อมของกลางคดียาบ้าล็อตใหญ่ โดยรถยังอยู่ระหว่างการซ่อมแซม จึงได้สั่งการให้นำรถหุ้มเกราะของ สภ.สุไหงโก-ลกไปใช้เป็นการชั่วคราว เนื่องจากเห็นว่าต้องปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยง จึงทำให้เรารักษาชีวิตของเจ้าหน้าที่ นปพ.นราธิวาส 33 ที่ประสบเหตุไว้ได้

'ผู้การแต้ม' เตือน 'บิ๊กโจ๊ก' แถลงข่าวข่มขู่ผู้อื่น ระวังผิดกฎหมายเพิ่ม ชี้!! คำสั่งรักษาการ ผบ.ตร. มีอำนาจเต็ม 'บิ๊กโจ๊ก' ต้องพูดมุมนี้ด้วย

ภายหลังจากกรณีการแถลงข่าวของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. หรือ 'บิ๊กโจ๊ก' ที่บุกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อยื่นอุทธรณ์คำสั่งให้ออกจากราชการต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร) ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็มีความคิดเห็นจาก พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ หรือ 'ผู้การแต้ม' เกี่ยวกับเรื่องนี้ ระบุว่า...

"จากการแถลงข่าวกรณีที่บิ๊กโจ๊กใช้สํานักงานตํารวจแห่งชาติแถลงโจมตีบุคคลอื่น ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะตนเองก็เป็นหนึ่งในคณะอนุกรรมการร่างพรบ.ตํารวจปี 2565 ฉบับที่ใช้ในปัจจุบัน ... ยืนยันว่าพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาการ ผบ.ตร. ปฏิบัติตามกฎหมายที่บัญญัติไว้ทุกประการ ส่วนกรณีบิ๊กโจ๊กออกมาแถลง ก็แค่ในมุมของตัวเองแต่ไม่ได้พูดว่ากฎหมายให้อํานาจ ผบ.ตร.อย่างไร ซึ่งสิ่งที่บิ๊กโจ๊กไม่ได้บอกกับสื่อและประชาชนก็คือ รักษาการ ผบ.ตร. มีอํานาจเต็มตาม พรบ.ตํารวจฉบับใหม่ ที่ให้อํานาจในการใช้ดุลพินิจแทน ผบ.ตร. ตามพยานหลักฐานที่ปรากฏและได้รับรายงานจากกองวินัย...ผมเป็นห่วงน้องโจ๊กมันนะ เป็นห่วงว่าไอ้การที่คุณออกมาแถลงข่าวแล้วมาข่มขู่คนนั้นจะติดคุกจะอะไรอย่างงั้นอย่างงี้ ระวังจะไปโดนข้อหา 'เป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนสืบสวน' นะ"

ผู้การแต้ม ยังกล่าวเตือนไปถึงบิ๊กโจ๊กอีกว่า ตนได้มีโอกาสดูการแถลงข่าว พบว่ามีนายตํารวจระดับพลตํารวจตรี น่าจะสังกัดตํารวจท่องเที่ยว ไปยืนแถลงกับบิ๊กโจ๊ก ซึ่งทําหน้าที่ช่วยถือบอร์ดหลักฐาน พฤติกรรมนี้ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ราชการ เพื่อช่วยเหลือประชาชน จนอาจมีความผิดวินัยร้ายแรงและทําให้ภาพลักษณ์ของตํารวจมัวหมองไปอีก เพราะว่าจะทําให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย

"อยู่ ๆ ก็ปรากฏว่ามี พล.ต.ต.คนนึง ไม่รู้อยู่ท่องเที่ยวหรือเปล่า มาเปิดแฟ้ม ป้ายแถลงข่าว ถามว่าทําได้ไหม อาจจะบอกทำได้ แต่ควรไหม? เพราะหน้าที่ของคุณ ถ้าเป็นผู้การ คุณต้องไปดูแลความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของพี่น้องนักท่องเที่ยว คุณไม่มีหน้าที่ที่จะมาเปิดตรงนี้ ไม่ควร แล้วมาแบบเครื่องแบบเต็มยศด้วย ตรงนี้ผมบอกให้ว่าต้องระวังมีคนร้องเรียน เพราะคุณไม่ไปตรวจตาไปดูแลความปลอดภัยเชิงทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว แต่กลับมาอยู่ตรงนี้"

ทั้งนี้ผู้การแต้ม ยังได้อธิบายถึงอํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) อีกด้วย ว่าเป็นคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาตามพรบ.ตํารวจปี 2565 มีคณะกรรมการสองชุด โดยคณะกรรมการชุดแรก ก็จะรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนต่อตํารวจมี พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร อดีตผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติดเป็นคณะกรรมการ

ส่วนคณะกรรมการชุดที่สอง มีหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนจากตํารวจเมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งบิ๊กโจ๊กร้องเรียนในคณะกรรมการชุดดังกล่าว ก.พ.ค.ตร. ก็มีหน้าที่ตามที่บิ๊กโจ๊กบอกก็คือทําหน้าที่เหมือนศาลปกครองชั้นต้นให้กับตํารวจเมื่อได้รับคําสั่งมิชอบในทางปกครองต่าง ๆ และคําสั่งที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมก็สามารถร้องเรียนได้ เพื่อไม่ให้ตํารวจไปร้องเรียนนอกหน่วยงานตํารวจ

"กรณีไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชา เช่นถูกคำสั่งให้ออก ก็มีคณะกรรมส่วนนี้เพื่อให้อุทธรณ์คําสั่ง ซึ่งบิ๊กโจ๊กก็ต้องมาอุทธรณ์ตรงนี้ เพราะคณะฯ นี้ ก็เหมือนศาลปกครองชั้นต้น แต่ถ้าคุณไม่มาอุทธรณ์ เท่ากับแสดงความยินยอมรับคําสั่ง แต่พอสุดท้ายคุณไม่พอใจ คุณกลับจะไปอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด มันไม่ได้ คุณต้องอุทธรณ์ตรงนี้ก่อน แต่อุทธรณ์นั้น ๆ ถ้าอุทธรณ์ฟังขึ้น ก็จะส่งเรื่องไปให้ ตร.พิจารณา แต่ถ้าฟังไม่ขึ้น คุณก็ค่อยไปอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดต่อไป" ผู้การแต้ม ทิ้งท้าย

‘ดร.ธรณ์’ เปิดภาพ ‘ปะการังไทย’ ยุคโลกร้อนทะเลเดือด เศร้าใจ!! ภัยทางธรรมชาติทำลายความสวยงามท้องทะเลไทย

(29 เม.ย. 67) ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศน์ทางทะเล และรองคณบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Thon Thamrongnawasawat’ ระบุว่า นี่คือปะการังไทยในยุคทะเลเดือด เป็นปะการังหน้าตาประหลาด ทำงานในทะเลมาเกือบ 40 ปี ผมไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน จนมาถึงยุคนี้แหละ

เดิมทีเป็นปะการังก้อนสีสันงดงาม เป็นที่อยู่ของกุ้งน้อยปูเล็ก หอยมือเสือและดอกไม้ทะเล ยังมีปลาพ่อปลาแม่และปลาน้อย อาศัยปะการังเป็นบ้าน เป็นที่คุ้มภัย

เมื่อ 5-6 ปีก่อน ผลของโลกร้อนเริ่มรุนแรง น้ำทะเลอุณหภูมิสูงขึ้น น้ำลดต่ำผิดปรกติ แดดแรง ปะการังเริ่มฟอกขาว

แต่พวกเธอพยายามสู้ ฟื้นขึ้นมาได้ แต่บนหัวเริ่มตายเพราะโดนแดดเต็ม ๆ ที่พอมีชีวิตคือด้านข้าง หากเป็นทะเลภาวะปรกติ ฟอกขาวหนหนึ่งแล้วหายไป 7-8 ปี ปะการังด้านข้างจะลามขึ้นมาบนหัว ทำให้ทั้งก้อนกลับมามีชีวิต

แล้วทะเล 5-6 ปีที่ผ่านมาปรกติไหม?

คำตอบคือไม่ น้ำร้อนแทบทุกปี ปะการังฟอกขาวเป็นประจำ มากบ้างน้อยบ้าง แต่พวกเธออ่อนแอลง แทนที่ปะการังด้านข้างจะลามขึ้นมาด้านบน กลับกลายเป็นหดหายเสียพื้นที่ลงไปเรื่อย ๆ จนค่อนก้อนกลายเป็นปะการังตาย ปะการังจิ๋วที่เพิ่งลงเกาะใหม่ เธอยังพยายามสู้ เติบโตเป็นปะการังก้อนน้อยบนซากของรุ่นก่อน แล้วก็มาถึงช่วงนี้ น้ำร้อนจี๋ 32-34 องศาติดต่อกันมา 3-4 สัปดาห์ปะการังที่เหลือเพียงน้อยนิดฟอกจนขาวจั๊วะ โอกาสรอดแทบไม่มี เพราะน้ำยังไม่มีท่าทีว่าจะเย็นลง ฝนยังไม่มา ปะการังก้อนน้อยที่อยู่บนหัว สู้มาหลายปี มาบัดนี้เธอก็ฟอกขาวเช่นกัน

จุดจบปะการังก้อนนี้คือตายทั้งก้อน ก้อนเก่าและก้อนใหม่ ไม่มีกุ้งน้อย ไม่มีปูเล็ก ไม่มีปลาพ่อแม่ลูก ไม่มีชีวิตสุขสันต์ใต้ทะเลไทย ไม่มีความสวยให้คนมาดู ไม่มีบ้านสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้ท้องทะเลอีกต่อไป

ตายๆๆ ไม่ใช่ก้อนเดียว แต่เป็นพันก้อน หมื่นก้อน แสนก้อน ล้านก้อน ตำนานหลายล้านปีของระบบนิเวศยิ่งใหญ่ที่สุดในท้องทะเล สวยและหลากหลายที่สุดในโลก มาถึงบทอวสาน ภาพนี้เพื่อนธรณ์ส่งมาจากชุมพร วันนี้ แต่ยังมีอีกหลายที่ ชลบุรี ระยอง เรื่อยไปจนถึงตราด หรือเลยลงไปทางใต้ สมุย พะงัน เราพบปะการังประหลาดได้ทั่วไป

ปะการังที่ร่อแร่ใกล้ตาย มาถึงจุดสุดท้ายในปีที่ทะเลเดือดสุด ตายทั้งก้อน ไม่มีโอกาสฟื้นคืนกลับมา ที่แค้นสุดคือเราได้แค่มองดูเธอตาย ไม่มีทางช่วย ไม่มีหนทางอื่นใด มันคือโลกร้อนทะเลเดือด มันคือภัยพิบัติครั้งใหญ่สุดของท้องทะเล และมันจะแรงยิ่งขึ้น ๆ ในอนาคต นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่าปะการังในโลกจะพินาศเกือบหมดสิ้นในอีก 30 ปีข้างหน้า แต่ทะเลไทยอาจไม่นานขนาดนั้น โดยเฉพาะในอ่าวไทย แค่นี้ก็ตายไปเยอะแล้ว และจะยิ่งตายเยอะ ตราบใดที่อุณหภูมิน้ำยังไม่ลดลง

ตายๆๆ จนหมดท้องทะเล

อ่านถึงประโยคนี้ ผมรู้ดีว่าเพื่อนธรณ์เศร้า แถมเป็นความเศร้าที่แทบไร้หวัง แต่พรุ่งนี้ยังมี แล้วเราจะเบือนหน้าหนีเธอไหม ?

ไม่ต้องโทษคนอื่น ไม่ต้องเหลียวมองคนข้าง ๆ ว่าจะทำหรือไม่ ? ก็แค่ถามใจตัวเอง เราจะทำเช่นไร ? ก็แค่ถามใจตัวเอง…

หมายเหตุ - ทำอย่างไรเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก ทุกท่านทราบดี ลดขยะ ลดน้ำทิ้ง ไม่กินฉลาม ปลานกแก้ว สัตว์หายาก ไม่ให้อาหารปลา เก็บขยะ ฯลฯ เป็นเรื่องที่พวกเรารู้ดีอยู่แล้ว สนับสนุนผู้ประกอบการที่ดี ไม่สนับสนุนคนที่เอาเปรียบธรรมชาติ ช่วยคนที่พยายามสู้เพื่อรักษาป่าไม้ ทะเล และโลก ก็แค่ทำต่อไปและทำให้มากขึ้น มากๆๆ

'สื่อนอก' เผย!! อากาศร้อนจัดคร่าชีวิตคนไทยไปแล้วหลายสิบราย พร้อมดันสถิติการใช้ไฟฟ้าพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ 36,356 เมกะวัตต์

(29 เม.ย.67) รายงานข่าวของบลูมเบิร์ก อ้างอิงข้อมูลของกระทรวงพลังงาน ระบุว่า อุปสงค์ไฟฟ้าแตะระดับ 36,356 เมกะวัตต์ ในช่วงค่ำวันเสาร์ (27 เม.ย.) ทุบสถิติสูงสุดตลอดกาลของประเทศ ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่แล้ว (22 เม.ย.) ขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยาของไทย ระบุว่าทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ได้รับคาดหมายว่าจะเป็นพื้นที่ที่มีอากาศร้อนสุดในประเทศ สามารถวัดอุณหภูมิได้สูงสุดถึง 44 องศาเซลเซียส ในบางพื้นที่ในวันอาทิตย์ (28 เม.ย.)

ทั้งนี้ บลูมเบิร์ก ระบุว่า กระทรวงสาธารณสุขของไทย ได้ออกคำแนะนำให้ประชาชนอยู่แต่ในที่ร่มและหลีกเลี่ยงการทำงานกลางแจ้งต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายชั่วโมง เพราะยอดผู้เสียชีวิตอันเนื่องจากสภาพอากาศร้อนจัด ได้เพิ่มขึ้นเป็นราว 30 รายทั่วประเทศในปีนี้ ขณะที่ตลอดทั้งปีที่แล้วมีผู้เสียชีวิตอันเกี่ยวข้องกับสภาพอากาศร้อนจัดเพียงแค่ 37 ราย

ดัชนีความร้อน (Heat Index) ของกรุงเทพฯ มาตรวัดอุณหภูมิที่ร่างกายคนเรารู้สึกตามความสัมพันธ์กันระหว่าง อุณหภูมิและความชื้นพุ่งเหนือ 52 องศาเซลเซียส ระดับที่เป็นอันตรายอย่างมาก ในวันเสาร์ (27 เม.ย.) จากข้อมูลของศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ที่เรียกร้องให้ประชาชนหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง ทั้งนี้ได้มีการออกถ้อยแถลงแบบเดียวกันนี้มาอย่างต่อเนื่องทุกวันนับตั้งแต่วันที่ 20 เมษายนเป็นต้นมา ตามรายงานข่าวของบลูมเบิร์ก

อ้างอิงข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา บลูมเบิร์กระบุว่าอุณหภูมิสูงสุดเท่าที่เคยวัดได้ในไทย อยู่ที่ 44.6 องศาเซลเซียส ในปี 2016 และ 2023 

'รูปภาพ-สเตตัสข้อความ' ใน Facebook สร้างเงินได้แล้ว ไม่จำกัดแค่ 'วิดีโอ' ค่าเฉลี่ย 1,000 Like ได้ 100 บาท หวังกระตุ้นกำลังใจคนทำคอนเทนต์

ไม่นานมานี้ เพจ 'Money Better' ได้โพสต์การอัปเดตและรายละเอียดของ 'ยอดไลก์' ใน Facebook ที่ล่าสุดสามารถสร้างรายได้เป็นโบนัสแก่ 'คนที่ทำคอนเทนต์' ในรูปแบบของ 'รูปภาพ' และ 'สเตตัสข้อความ' จากปกติจะเกิดรายได้แค่ 'คนที่ทำวิดีโอเท่านั้น' ว่า...

>> วัตถุประสงค์หลักของโปรแกรมนี้
- เป็นการจูงใจให้คนทำคอนเทนต์โพสต์เนื้อหาคุณภาพบนเฟซบุ๊กมากขึ้น
- สร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ด้วยคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและน่าสนใจ
- แสดงให้เห็นว่าเฟซบุ๊กให้ความสำคัญกับคอนเทนต์เนื้อหาดี และ สนับสนุน คนทำคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ

>> คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโปรแกรมนี้
- อายุ 18 ปีขึ้นไป 
- ปฏิบัติตามนโยบายการสร้างรายได้ของเฟซบุ๊กผ่านแล้ว
- เป็นคนทำคอนเทนต์ที่มีผลงานบนแพลตฟอร์ม Facebook อยู่แล้ว
- ต้องได้รับเชิญจาก Facebook เท่านั้น (แอดเองก็ได้รับเชิญนะฮ่าๆ)

>> นโยบายการจ่ายเงิน
- คำนวณจากการมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์ เช่น การรับชม, ไลก์, แสดงความคิดเห็น, แชร์
- ยิ่งคอนเทนต์มีผู้มีส่วนร่วมสูง คนทำคอนเทนต์ก็จะได้รับค่าตอบแทนมากขึ้น
- ตอนนี้ Facebook ยังไม่เปิดเผยสูตรคำนวณค่าตอบแทนอย่างชัดเจน

***แต่แอดลองคำนวณดูเล่นๆ แล้ว ถ้าหากว่าเราได้ 1,000 ไลก์ (ใน FB) จะได้อยู่ที่ประมาณ 100 บาท (ซึ่งแอดคำนวณเล่นๆ นะครับ อาจจะยังไม่ชัดเจน)

>> ผลตอบแทนโดยประมาณ
- ส่วนใหญ่จะได้รับประมาณ 10-20 ดอลลาร์ต่อวัน (370-740 บาท)

ปล.ซึ่งในส่วนนี้แอดก็ไม่มั่นใจว่ามันชัวร์หรือเปล่า แต่แอดก็ได้ประมาณราวๆ นี้เช่นกัน

- ยิ่งมีผู้ติดตามเยอะ ยิ่งมีโอกาสได้รับค่าตอบแทนสูงกว่า
- ไม่มีเพดานรายได้จำกัด ขึ้นอยู่กับปริมาณคอนเทนต์และผู้มีส่วนร่วม 

หรือ ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ ยิ่งขยันโพสต์ ก็ยิ่งได้ตังค์

หลังจากที่แอดได้อ่านนโยบายใหม่ของ Facebook ที่สนับสนุน Content Creator มากขึ้น

แอดเองต้องขอชื่นชม Facebook ที่ออกนโยบายนี้ ที่พยายามส่งเสริมและสนับสนุนกลุ่มคนที่ทำคอนเทนต์สายรูปภาพ และข้อความมากๆ

เพราะแอดก็ได้รับประโยชน์จากจุด ๆ  นี้เช่นกัน ทำให้มีกำลังใจในการทำ Content เพิ่มมากขึ้นจริงๆ แบบชัดเจน 

เพราะปกติแล้วสำหรับ Content Creator สายรูปภาพ, ข้อความ เราจะไม่ได้รับรายได้จากการโพสต์ เหมือนสาย VDO 

เราต้องหารายได้จากช่องทางอื่นๆ แทน เช่น สปอนเซอร์, การสนับสนุนจากแบรนด์ หรือ ขายสินค้าของตัวเอง หรือแม้จะเป็นการทำ Affiliate Marketing ก็ตาม

แต่เมื่อล่าสุด Facebook ได้มีการออกมาสนับสนุน Content Creator สายรูปภาพ และ ข้อความด้วย

ทำให้ Content Creator สายนี้ มีรายได้เข้ามาเพิ่มอีก 1 ช่องทาง ช่วยให้มีแรงขับเคลื่อนและกำลังใจในการทำเนื้อหาดีๆ เพิ่มเติมมากยิ่งขึ้น

หากดูในแง่จำนวนเงินที่จะได้รับ แม้อาจ ยังไม่ได้มหาศาลในตอนนี้ แต่ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นดีเลย สำหรับคนทำคอนเทนต์ที่กำลังมองหาช่องทางสร้างรายได้เสริมใหม่ๆ นอกเหนือจากช่องทางรายได้ที่มีอยู่แล้ว 

เราแค่ทำแบบเดิมในทุกๆ วัน แต่เรากลับมีรายได้เพิ่มเข้ามาอีก 1 ช่องทาง

มันก็ต้องดีอยู่แล้ว ถูกต้องไหมครับฮ่าๆ

โดยรวมแล้ว การเปิดตัวโปรแกรมสร้างรายได้ของ Facebook ในครั้งนี้นับเป็นหนึ่งในก้าวที่สำคัญของ Facebook ที่จะมาเป็น Game Changer สำหรับคนที่ทำคอนเทนต์ให้เติบโตมากยิ่งขึ้นอย่างมหาศาลเลย

'รมว.ปุ้ย' เริ่มเดือด!! หลังสารเคมีโรงงานที่อยุธยารั่ว 3 ครั้งติดต่อกัน ลั่น!! อย่าให้เกิดอีก หวั่น!! 'ปชช.ผวา-ภาพลักษณ์ท่องเที่ยวถูกฉุด'

จากเหตุสารเคมีรั่วไหลในพื้นที่โรงงานบริษัทเอกอุทัย อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ในช่วงเย็นวันที่ 27 เม.ย.67 ซึ่งเป็นการรั่วครั้งที่ 3 ของโรงงานดังกล่าว สร้างความหวาดผวาให้กับชุมชนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง รวมถึงสถานพยาบาลและสถานีตำรวจ 

เมื่อวานนี้ (28 เม.ย.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ตนสั่งการปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และอธิบดีกรมโรงงาน ให้เร่งหาสาเหตุและแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นติดต่อกันถึง 3 ครั้ง ในเวลาไล่เลี่ยกัน ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน ตลอดจนภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และของประเทศ เนื่องจากประเทศไทยเพิ่งจะได้รับการยกย่องจาก นิตยสาร CEOWORLD ให้เป็นอันดับ 1 ประเทศน่าเยี่ยมชมที่สุดประจำปี 2024

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวอีกว่า สิ่งที่เป็นกังวลที่สุด และไม่อยากให้เกิด คือ การเกิดเพลิงไหม้คล้ายกรณี บริษัทแวกซ์กาเบจ ที่ราชบุรี โกดังเก็บสารเคมีที่ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา และ บริษัทวินโพรเสส ที่ จ.ระยอง ซึ่งจะสร้างความเดือดร้อน หวาดกลัว และปัญหาสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ 

"ดิฉันจึงได้สั่งการให้ปลัดอุตฯ และอธิบดีกรมโรงงาน เร่งหาตรวจสอบหาสาเหตุจากต้นตอ และดำเนินการขั้นเด็ดขาด เพื่อไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก ท่านนายกรัฐมนตรีก็ไม่สบายใจ และกำชับให้หามาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นอีก โดยเฉพาะโรงงานเก็บกากอุตสาหกรรมที่เป็นสารเคมีหรือวัตถุอันตรายที่ต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ และต้องรายงานทุกระยะ" รมว.อุตสาหกรรม กล่าว 

อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ ม.รามคำแหง คว้ารางวัล UNESCO/IOC-WESTPAC Outstanding Scientist Award 2024

รศ.ดร.ธรรมศักดิ์ ยีมิน อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และนายกสมาคมวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งประเทศไทย ได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น (WESTPAC Outstanding Scientist Award 2024) จากคณะอนุกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยสมุทรศาสตร์ภาคพื้นแปซิฟิกตะวันตก (IOC Sub Commission for the Western Pacific: IOC-WESTPAC) ภายใต้องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) เพื่อเชิดชูนักวิทยาศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ทางทะเล มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ และมีคุณูปการอย่างยิ่งต่อภาคพื้นแปซิฟิกตะวันตก ปัจจุบัน IOC-WESTPAC ประกอบด้วย 22 ประเทศสมาชิก เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม ไทย ฯลฯ

พิธีมอบรางวัล UNESCO/IOC-WESTPAC Outstanding Scientist Award 2024 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 ภายในงานประชุมวิชาการนานาชาติ 2nd UN Ocean Decade Regional Conference & 11th WESTPAC International Marine Science Conference ภายใต้หัวข้อ “Accelerating Ocean Science Solutions For Sustainable Development” ระหว่างวันที่ 22 – 25 เมษายน 2567 ณ โรงแรม เดอะ เบอร์เคลีย์ ประตูน้ำ กรุงเทพมหานคร โดยมี พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติฯ

นาย Wenxi Zhu หัวหน้าสำนักงาน IOC-WESTPAC ซึ่งเป็นองค์กรประสานงานของ UNESCO ในภูมิภาค กล่าวถึงความสำคัญของการอนุรักษ์และการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพในทะเลและชายฝั่ง สุขภาพของระบบนิเวศในมหาสมุทร การพัฒนาเศรษฐกิจสีน้ำเงิน และการดำเนินงานของประเทศไทยภายใต้ทศวรรษแห่งสหประชาชาติว่าด้วยวิทยาศาสตร์ทางมหาสมุทรเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน นับเป็นก้าวสำคัญทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก IOC-WESTPAC มอบรางวัล Outstanding Scientist Award ครั้งแรกในปี ค.ศ. 2014 ให้แก่นักวิทยาศาสตร์ที่มีผลงานยอดเยี่ยม 5 ท่าน และในปี ค.ศ. 2017 จำนวน 3 ท่าน สำหรับในปี ค.ศ. 2024 IOC-WESTPAC พิจารณาคัดเลือกนักวิทยาศาสตร์ที่มีผลงานวิจัยดีเด่น และเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการพัฒนาวิทยาศาสตร์มหาสมุทรในภาคพื้นแปซิฟิกตะวันตกอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง จำนวน 5 ท่าน ดังนี้

1) Dr. Zainal Arifin, National Research and Innovation Agency, Indonesia
2) Dr. Thamasak Yeemin, Ramkhamhaeng University/Marine Science Association of Thailand
3) Dr. Daoji Li, East China Normal University, China
4) Dr. Vo Si Tuan, GEF/UNEP South China Sea SAP Project/ Institute of Oceanography, Vietnam
5) Dr. Gil Jacinto, University of the Philippines, the Philippines
 
รศ.ดร.ธรรมศักดิ์ ยีมิน นักวิทยาศาสตร์ไทยที่ได้รับรางวัลนี้ เป็นผู้ที่ได้ใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเลมาเกือบสี่ทศวรรษในการทำงานด้านชีววิทยา นิเวศวิทยา วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึงพื้นที่คุ้มครองทางทะเล มีประสบการณ์ที่ครอบคลุมทั้งด้านการจัดการ การอนุรักษ์ และการวิจัย เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Asia Pacific Coral Reef Society และเป็นประธานการจัดประชุมวิชาการ Second Asia Pacific Coral Reef Symposium เคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหาร International Society for Reef Studies (ISRS) นายกสมาคมวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งประเทศไทย และทำงานให้กับองค์กรระหว่างประเทศหลายแห่ง ตลอดจนหน่วยงานระดับภูมิภาค ระดับประเทศ หน่วยงานระดับท้องถิ่น และองค์กรพัฒนาเอกชน เพื่อวางแผนและดำเนินงานด้านการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เช่น ASEAN-Australia Economic Cooperation Program on Marine Science Project, UNEP/GEF Project on Reversing Environmental Degradation Trends in the South China Sea and Gulf of Thailand, Global Coral Reef Monitoring Network, International Coral Reef Initiative, International Maritime Organization, United Nations Development Programme, German Corporation for International Cooperation GmbH, ASEAN Center for Biodiversity, Too Big To Ignore Project: Global Partnership for Sustainable Fisheries Research, COBSEA Working Group on Marine and Coastal Ecosystems ฯลฯ

รศ.ดร.ธรรมศักดิ์ ได้รับเชิญให้เป็น Keynote Speaker, Invited Speaker และ convenor ของการประชุมนานาชาติจำนวนมาก เช่น International Coral Reef Symposium, International Marine Conservation Congress, Asian Marine Biology Symposium, Pacific Science Congress, IMBeR West Pacific Symposium ฯลฯ เป็น project leader ของ IOC-WESTPAC Program on the Coral Reef Resilience to Climate Change and Human Impacts เป็นประธาน และผู้ร่วมจัด First, Second and Third Summer Schools for IOC/WESTPAC-CorReCAP Project และสนับสนุนการดำเนินงานของ IOC-WESTAPAC มาอย่างต่อเนื่อง เป็นบรรณาธิการรับเชิญของวารสาร Deep-Sea Research Part II (ELSEVIER), Coral Reefs under the Climate and Anthropogenic Perturbations (CorReCAP): An IOC/WESTPAC Approach เป็นบรรณาธิการ และผู้เขียนในหนังสือ: Coral Reefs of the World Vol. 14 (Springer) - Coral Reefs of the Western Pacific Ocean in a Changing Anthropocene และมีผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ทั้งในวารสารระดับชาติและระดับนานาชาติจำนวนมาก

ด้วยการอุทิศตนอย่างแน่วแน่ในสาขาวิทยาศาสตร์ทางทะเลมาเกือบสี่ทศวรรษ และเป็นแบบอย่างของนักวิจัยที่ทำงานอย่างเข้มแข็ง มีผลงานที่โดดเด่น ทำให้ได้รับการยอมรับและความเคารพอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่ในวงการวิทยาศาสตร์ทางทะเลของประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในระดับนานาชาติด้วย รศ.ดร.ธรรมศักดิ์ ยีมิน จึงสมควรได้รับรางวัล UNESCO/IOC-WESTPAC Outstanding Scientist Award 2024

'ผู้โดยสาร' โวย!! เจอที่นั่งชั้นธุรกิจการบินไทยปรับเอน-นอนไม่ได้ 'ผจก.เที่ยวบิน' รับ!! เสียมาเดือนกว่า แต่ไม่เข้าใจทำไมยังปล่อยขาย

(28 เม.ย. 67) นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส อดีตนักการเมือง รองเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการบริหารบริษัท นิว เอ็นเนอร์จี พลัส โซลูชั่นส์ จำกัด หรือ NEPS ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กเกี่ยวกับ การเดินทางด้วย เครื่องบินของสายการบินไทย ชั้นธุรกิจ โดยได้ระบุว่า ...

วันนี้ผมมีกำหนดการพาลูกค้าไปดูงานที่ปักกิ่ง โดยตั้งใจอุดหนุนการบินไทย เลือกเดินทางชั้นธุรกิจ จำนวน 6 ท่าน มูลค่าตั๋วหลายแสนบาท
และแจ๊คพ็อตก็เกิดขึ้นกับผม ระหว่างเดินขึ้นเครื่อง ทางฝ่ายภาคพื้นเข้ามาแจ้งว่า 2 ที่นั่งของผมและลูกค้าผมเสีย ไม่สามารถปรับเอน หรือปรับนอนได้แม้แต่น้อย และเอาเงินใส่ซองมาให้ 5,500 บาท พร้อมให้เซ็นยินยอม เสมือนปิดปาก (ปกติราคาค่าตั๋วเครื่องบินชั้นธุรกิจไปปักกิ่งเที่ยวละ 33,000 บาท)

เมื่อขึ้นเครื่องฯ หัวหน้าผู้จัดการบนเที่ยวบินได้เดินมาขอโทษและแจ้งว่า 

“สองที่นั่งนี้เสียมาเดือนกว่าแล้ว และพวกเราก็แจ้งแล้วว่าอย่าปล่อยตั๋ว และไม่เข้าใจว่าทำไม การบินไทยยังขายตั๋ว 2 ที่นั่งนี้ เพราะสุดท้ายพวกผมก็ต้องเป็นคนรับหน้า โดนลูกค้าต่อว่า”

และเชื่อมั้ยครับว่า นี่คือครั้งที่สองของผม ที่โดนแบบนี้ในระยะเวลาไม่ถึง 6 เดือน
ฉะนั้นเมื่อขนาดข้อความจากหัวหน้าลูกเรือยังไปไม่ถึงผู้บริหารการบินไทย และสินค้ายังเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้งนี้ผมจึงเลือกไม่เขียนเอกสาร Complain แบบที่เคยทำอีกต่อไป เพราะพวกคุณคงจะเพียงรับมันแล้วซุกไว้ใต้โต๊ะอีก จึงตัดสินใจเขียนโพสต์นี้เปิดผนึกถึงผู้บริหารการบินไทย

โปรดอย่าเอาคำว่ารักคุณเท่าฟ้า ให้เป็นเพียงวาทกรรม โกหกปลิ้นปล้อน หลอกลวง > ผมในฐานะผู้โดยสารเลือกเดินทางกับการบินไทย เพราะคาดหวังในสินค้า และบริการของการบินไทย และอยากอุดหนุนสายการบินของชาติ

แม้ค่าตั๋วคุณแพงกว่าคนอื่น ผมก็ยังซื้อและอุดหนุน แต่ผู้บริหารคุณกลับไม่มีจิตใจที่เอาความสะดวกสบายของลูกค้าเป็นตัวตั้งเลย

เพราะหากคุณคิดถึงหัวใจของลูกค้า คุณจะไม่มีทางขายตั๋วสินค้า defect เหล่านี้ และมันตอกย้ำถึงการไร้ Service Mind ของผู้บริหารอย่างมาก เพราะคิดแต่จะขายๆๆๆ เอารายได้เข้าบริษัทอย่างเดียว แม้สินค้าจะเจ๊ง ลูกน้องจะเตือน ก็ช่างมัน

ฉะนั้นวันนี้ผมจะเป็นผู้โดยสารที่จะขอไม่รับเงินค่าชดเชย และไม่เซ็นเอกสารยินยอมใดๆทั้งสิ้น

> เพื่อไม่ให้ผู้โดยสารท่านอื่นต้องมาเจออะไรแบบนี้
> เพื่อไม่ให้นทท.ที่มาเที่ยวไทย ต้องเจอสินค้าที่พัง
> เพื่อให้คุณรู้จักรับฟังเสียงของลูกเรือมากกว่านี้
> เพื่อให้คุณหยุดหลอกลวง โฆษณาเกินจริง โดยต้องพัฒนาและตรวจเช็คสินค้าให้ดีกว่านี้

1.) ผมจะดำเนินการฟ้องร้องทางกฎหมายกับผู้บริหารการบินไทย เพื่อเรียกร้องให้ผู้บริหารชุดนี้แสดงความรับผิดชอบโดยการลาออก เพราะเคยเขียน report complain แล้ว > แต่ไม่แก้ไข พนักงานบนเครื่องตกเป็นแพะ > ผู้บริหารองค์กรไม่เคยต้องรับผิดชอบใดๆ
2.) ผมจะดำเนินการร้องเรียนคณะกรรมาธิการคมนาคม ให้ตรวจสอบสินค้าที่เป็น defect ของเครื่องการบินไทย รวมถึงแนวทางป้องกันแก้ไข / จากที่ผมได้พูดคุยสอบถามพนักงานต้อนรับบนเครื่อง ทราบว่ามีเหตุการณ์เช่นนี้ประจำหลายเที่ยวบิน ไม่ว่าจะเก้าอี้เสีย, IFE เสีย หรืออุปกรณ์อื่นๆเสีย จนลูกเรือเอือมระอา ต้องโดนผู้โดยสารต่อว่า เสียความรู้สึกทั้งพนักงานและผดส. และส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของการบินไทยอย่างมาก
> ช่วยการบินไทยประหยัดเงินค่าชดเชย  
> เอาผู้บริหารที่ห่วยแตกลาออกยกชุด  
> เงินสายการบินชาติอยู่ครบ พร้อมได้คนใหม่ที่ดีกว่ามาบริหารแทน  

ด้วยความปรารถนาดี
ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top