Wednesday, 7 May 2025
NEWS FEED

บึงกาฬ  ดราม่ารพ.พรเจริญประกาศเฟสบุ๊คเหลือหมอ 1 คนจะให้พยาบาลตรวจจ่ายยา

บึงกาฬ  ดราม่ารพ.พรเจริญประกาศเฟสบุ๊คเหลือหมอ 1 คนจะให้พยาบาลตรวจจ่ายยา
เปลี่ยนรัฐมนตรีสาธารสุขคนใหม่ ก็เกิดเหตุดราม่าจากโรงพยาบาลพรเจริญ มีหมอลาออกและไปเรียนต่อ เหลือแพทย์ประจำอยู่คนเดียว จึงประกาศผ่านเฟสบุ๊ค จะให้พยาบาลช่วยตรวจพร้อมสั่งจ่ายยาแทน และขอยืมแพทย์จาก รพ.ใกล้เคียง จึงขออภัยในความไม่สะดวกกับผู้ป่วยและญาติที่มาใช้บริการ
เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 15 พ.ค.ผู้สื่อข่าวจังหวัดบึงกาฬ ได้เดินทางไปที่ โรงพยาบาลพรเจริญ อำเภอพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ จากกรณีดรามา เพจเฟซบุ๊ค "โรงพยาบาลพรเจริญ" โพสต์ประกาศประชาสัมพันธ์ เมื่อวันที่ 14 พ.ค.ผ่านมา ระบุข้อความว่า ตั้งแต่วันที่ 27-31 พ.ค. 2567 โรงพยาบาลพรเจริญ จะมีแพทย์ประจำเหลือ 1 คน และ แพทย์ประจำต้องดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน จึงได้กำหนดให้มีแนวทางแก้ปัญหาการให้บริการดังนี้

1. ประสานยืมแพทย์ช่วยตรวจจากโรงพยาบาลข้างเคียง 2. ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน,ความดันโลหิตสูง,สุขภาพจิต,ไทรอยด์ ที่มีนัดในช่วงดังกล่าว ผู้ป่วยสามารถมารับบริการได้ตามปกติ โดยหากผลตรวจปกติ หรืออาการป่วยคงที่พยาบาลวิชาชีพจะสั่งยาเดิมให้ (ไม่ต้องพบแพทย์) และจะปรึกษาแพทย์ในรายที่มีผลเลือดผิดปกติ หรืออาการผิดปกติเท่านั้น 3. ผู้ป่วยคลอดและอุบัติเหตุฉุกเฉินให้บริการ 24 ชั่วโมง โรงพยาบาลพรเจริญจึงขอแจ้งให้ผู้รับบริการทราบ และต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้หากการบริการเป็นไปอย่างล่าช้ากว่าปกติ โรงพยาบาลจะให้บริการได้ตามปกติตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 เป็นต้นไป

จากเหตุการณ์ดรามาขาดแคลนแพทย์ดังกล่าว ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางเข้าพบ เพื่อสอบถามปัญหากับ นพ.ตฤณกฤต สิทธิศร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพรเจริญ โดยได้รับการชี้แจงถึงปัญหาที่เกิดขึ้นว่า  เนื่องจากมีแพทย์ได้ลาออกช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ประกอบกับแพทย์ที่มีอยู่ก็ไปศึกษาต่อทำให้แพทย์ในโรงพยาบาลพรเจริญที่มีน้อยอยู่แล้วจึงขาดแคลน และอำนวยความสะดวกให้กับผู้มาใช้บริการไม่ทั่วถึง  จึงได้แก้ปัญหาโดยให้พยาบาลช่วยตรวจและประสานยืมแพทย์จากโรงพยาบาลข้างเคียงมาช่วย แต่ก็อาจช่วยได้ไม่เต็ม เพราะเรายืมมาเขาก็ขาด เหตุการณ์ก็จะวนอยู่อย่างนี้ อย่าไรก็ตามการขาดแคลนแพทย์ก็มีหลายโรงพยาบาลเช่นเดียวกัน ทั้งนี้โรงพยาบาลพรเจริญจะให้บริการเริ่มกลับมาปกติช่วงเดือนมิถุนายน 2567 เป็นต้นไป แต่ก็คงจะยังให้บริการไม่ได้เต็มที่

ด้านนายวิเชียร โคตรศรีเมือง ชาวบ้านหนองหัวช้าง ต.หนองหัวช้าง อ.พรเจริญ  ได้พาภรรยามาตรวจครรภ์ ก็ได้รับความสะดวกดี แต่ก็ล่าช้าบ้าง การได้รับบริการจากโรงพยาบาลตามขั้นตอนดี เอาใจช่วยเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลครับ

ส่วนนางสี วิณโรจน์ ชาวบ้านหัวแฮด ต.ท่าสะอาด อ.เซกา ที่มีพื้นที่ติดกันและบ้านใกล้ รพ.พรเจริญ ก็มาใช้บริการในโรงพยาบาลด้านกายภาพบำบัด ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า คุณยายมาทำกายภาพที่โรงพยาบาลแห่งนี้สาเหตุเดินไม่สะดวกคล่องแคล่ว  เจ้าหน้าที่ก็ดูแลเป็นอย่างดีตามขั้นตอนการทำกายภาพ มีเจ้าหน้าที่สลับกันทำงาน เชื่อว่าโรงพยาบาลก็คงพยายามสับเปลี่ยนบุคลากรมาทำงานมากยิ่งขึ้น จึงให้กำลังใจให้กับบุคลากรของโรงพยาบาลพรเจริญ เพื่อดูแลประชาชนต่อไป 

แต่อย่างไรก็ตามเสียงสะท้อนจากทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้มารับบริการจากโรงพยาบาลพรเจริญก็อยากจะเรียกร้องให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือกระทรวงสาธารสุข ออกมาเร่งแก้ไขปัญหาในเรื่องดังกล่าวให้เร็วที่สุด.ทั้งนี้นายแพทย์ภมร ดรุณ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดบึงกาฬ กล่าวว่า จากกรณีข่าวที่แชร์ออกไปว่า ช่วงวันที่ 27 – 31 พฤษภาคม 2567 ที่จะถึงนี้ โรงพยาบาลพรเจริญมีแพทย์ประจำ 1 คน และจะมีการปิดการให้บริการ นั้น เป็นข่าวที่มีความคลาดเคลื่อน ซึ่งความเป็นจริงแล้ว คือ โรงพยาบาลพรเจริญช่วงนั้นก็เหลือแพทย์เพียง 1 คนจริง เนื่องจากว่าเป็นช่วงที่แพทย์ประจำคนอื่น ๆ นั้น ย้ายไปเรียนต่อ และส่วนหนึ่งก็ลาออกไป แต่อย่างไรก็ตาม ทางโรงพยาบาลพรเจริญ และชมรมผู้อำนวยการโรงพยาบาลทุกแห่งได้ประสานจะยืมแพทย์ทั้งโรงพยาบาลภายในจังหวัด และแพทย์จากต่างจังหวัด เช่น หนองคาย, สกลนคร และนครพนม มาในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งยืนยันว่า โรงพยาบาลพรเจริญ เปิดให้บริการได้ตามปกติ แต่อาจจะมีความล่าช้าไปบ้าง จึงออกประกาศมาให้พี่น้องประชาชนได้ทราบถึงสถานการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าว และการบริการต่าง ๆ จะเป็นปกติตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2567 เป็นต้นไป เนื่องจากเป็นช่วงที่แพทย์ใหม่มาทำงานพอดี 

โดยในช่วงเวลาดังกล่าว หากมีกรณีฉุกเฉินต่าง ๆ เกิดขึ้น เราก็จะมีแพทย์เวรประจำอยู่แล้ว ซึ่งแพทย์ที่ยืมมาช่วยก็จะช่วยอยู่เวรด้วย เพื่อไม่ให้แพทย์ที่เหลืออยู่ 1 คนเหน็ดเหนื่อยเกินไป ส่วนพยาบาลก็ขึ้นเวรเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาตรงนั้น 

ท้ายที่สุด นายแพทย์ภมร ดรุณ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดบึงกาฬ ฝากถึงพี่น้องประชาชนว่า ในส่วนของการให้บริการที่โรงพยาบาลภายในจังหวัดบึงกาฬยังคงให้บริการเต็มที่ แม้ว่าแพทย์เราจะมีน้อย แต่ว่าเราก็ตั้งใจทำงานกันทุกคน บางช่วงก็อาจจะมีความขาดแคลนไปบ้าง แต่เราก็พยายามให้หมอจากจังหวัดต่าง ๆ ลงมาช่วย รวมทั้งทีมพยาบาลก็ช่วยคัดกรองคนไข้ รวมถึงช่วยตรวจโรคเบื้องต้นได้อย่างเต็มที่ เราขอให้ความเชื่อมั่นว่า เราจะดูแลพี่น้องประชาชนคนบึงกาฬอย่างเต็มที่ และตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนนี้ เป็นต้นไป เราเริ่มมีแพทย์มากขึ้น และสัญญาว่าจะทำการให้บริการที่ดีขึ้นกว่าเดิม

ณฐพรหม อิทธิพัทธ์พล//บึงกาฬ 0645960906

‘แม่เด็ก 14’ อึ้ง!! เจอซองผงขาว-ไฟแช็กในถุงเสื้อผ้าลูกชาย ลั่น!! เชื่อ 50/50 แต่ถ้าเป็นของลูกจริง จะพาไปตรวจหาสารเสพติด

(15 พ.ค. 67) ภายหลังจากเเม่ของเด็กชายอายุ 14 ปีที่สูบบุหรี่ในห้องน้ำโรงพยาบาล เเล้วถูกหมอชื่อดังตบหน้า เข้าให้ปากคำที่ สน.ทุ่งสองห้อง เด็กชายวัย 14 ปี พร้อมมารดาเดินทางไปที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เพื่อขอรับทรัพย์สินคืน หลังขึ้นไปบนชั้น 8 ในระหว่างการตรวจรับสิ่งของเจ้าหน้าที่ได้หยิบเสื้อผ้า มือถือ สิ่งของ ออกมาจากถุงพลาสติกสีฟ้า 

จากนั้นแม่เด็กก็ได้ตรวจสอบ แล้วเจ้าหน้าที่ก็ทักว่า ยังมีสิ่งของในถุงอีกแล้วเทออกมา ปรากฏว่า มีไฟแช็ก ซองถุงซิปล็อกสีขาวตกลงมา ลักษณะเป็นผงสีขาว หลอดตักยา และไฟเเช็กที่ปะปนอยู่กับเสื้อผ้า ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างตกใจ เเละพยายามจะไม่เชื่อว่าเป็นของเด็ก มีการถามว่ามาจากไหน เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ทราบ แต่พบในเสื้อเด็ก

เมื่อถามว่า มีคลิปวีดีโอ ตอนที่เก็บเสื้อผ้าเด็กไว้หรือไม่ ทางเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ก็ยืนยันว่ามีกล้องวงจรปิดในโรงพยาบาล จากนั้นทางโรงพยาบาลได้ประสานไปที่ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อให้มาตรวจสอบว่า วัตถุที่อยู่ในถุงซิปล็อกคืออะไร

เมื่อตำรวจมาถึงได้นำถุงทั้งหมดกลับไปให้พนักงานสอบสวนดำเนินการต่อ ระบุมีซองพลาสติกสีขาวจริง ต้องส่งให้พฐ.ตรวจพิสูจน์ต่อไป ส่วนจะเชิญแม่กับเด็กให้สอบปากคำอีกหรือไม่ ต้องรอพนักงานสอบสวนแจ้ง

ด้าน แม่เปิดเผยภายหลังว่า ยอมรับว่าตกใจที่เห็นถุงซิปล็อกที่มีผงสีขาวอยู่ในถุงเสื้อผ้าของลูก ซึ่งตอนแรกยังไม่เห็น แต่พอเทถุงแล้วพบว่าเจออยู่ในก้นถุง ยังไม่รู้ว่าคืออะไร ตอนนี้เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และยังไม่ได้คุยกับลูกชาย แต่ถ้าหลังจากนี้ตรวจสอบแล้วหากเป็นของลูกชายก็จะพาไปตรวจหาสารเสพติด

เมื่อถามว่า ที่ผ่านมาน้องเคยมีประวัติเสพสารเสพติดหรือไม่ แม่บอกว่าไม่รู้เลย และถ้าผลตรวจออกมาว่าลูกชายเสพสารเสพติดก็ปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมาย

‘นุ่น ดำดง’ เปิดใจเคลียร์ปมลาออก ‘ศรราม น้ำเพชร’ เผย หลังจากนี้จะกลับไปเล่นลิเกคณะพ่อตัวเองก่อน

(15 พ.ค.67) เปิดใจเต็ม ๆ ครั้งแรก หลังตัดสินใจออกจากคณะลิเก ‘ศรราม น้ำเพชร’ ท่ามกลางกระแสดรามาที่ตามมามากมาย โดย ‘นุ่น เนตรชนก เพชรวิเชียร’ หรือ ‘นุ่น ดำดง’ ได้เปิดใจในรายการแฉเมื่อคืนที่ผ่านมา (14 พ.ค.) ยอมรับว่าตนเองรับมือกับดรามาไว้ระดับนึง มีสิ่งดี ๆ เข้ามา สิ่งลบ ๆ ก็ต้องตามมา ก็ทำใจไว้ส่วนนึงแล้ว แต่บางทีก็โถม แรง ฉุดไม่อยู่ ตนก็แก้ปัญหาด้วยการเงียบไปก่อน ถอย ถ้าไม่สุดจริงจะไม่ร้องเลย ด้วยความที่เราเป็นเสาหลักของครอบครัว

ก่อนออกจากวง ถามว่ามีปัญหาอะไร มันเป็นเรื่องข้างในมากกว่า คุยกันแล้ว แต่โอเค ไม่เป็นไร ก็ถอยออกมา จริง ๆ ก่อนไลฟ์ ได้คุยกันแล้ว ที่ผ่านมาเล่นแล้วเหมือนต่างคนต่างอึดอัด แต่ไม่ใช่ทั้งหมด วันที่ 27 ก็เลยตัดสินใจพักก่อน บวกกับวันนั้นไม่สบาย ก็ส่งความในใจทั้งหมดทางเฟซบุ๊กให้พี่อีกคนนึง และคนที่อยู่กับป้าดวงแก้ว ส่งไปทั้งหมดเลย ซึ่งทุกคนไม่รู้ว่าตนจะออก

เรื่องลิเก ตนไม่เลิกเล่นแน่นอน มีคณะอื่นทาบทาม แต่ตอนนี้ถ้าเป็นคณะอื่น ๆ ที่ไม่คุ้นชิน ก็ถือโอกาสบอกเขาไปว่าเดี๋ยวมีโอกาสจะไปรับเชิญ ตอนนี้ขอเล่นคณะพ่อของตัวเองที่โคราชก่อน และขอเล่นกับเพื่อนที่คุ้นชินกันไปก่อน

เล่นลิเกทุกคืนมา 8 ปี ตอนโควิดก็เล่นกลุ่มปิด ออนไลน์ เติบโตกับครอบครัวลิเกมาตลอด แต่ต้องหาเลี้ยงตัวเอง อยู่กับวงพ่อ แล้วก็มาอยู่ที่คณะศรราม น้ำเพชร ตอนแรกไม่ได้รับมือกับความดัง ไม่ได้ตั้งใจด้วย คิดว่าถ้าโอกาสมาแล้วก็ทำให้ดีที่สุด

พร้อมเผยจุดเปลี่ยนชีวิตคือตอนที่ปู่ป่วยหนัก ป่วยติดเตียง พ่อต้องดูแลปู่ ก็เหลือแค่ตนกับแม่ต้องเล่นลิเก ตอนนั้นเพิ่งได้รับหน้าที่เป็นนางเอก การเดินทางก็ยาก ไปรถโดยสาร แม่ขับรถไม่เป็น อายุ 15 ก็ขับไม่ได้ มีคนจ้างก็ไปเล่น

คำว่าไม่มีกินอยู่กับตนตลอด ก่อนมีชื่อเสียง ตนอยู่กับแม่สองคนในบ้านเช่า ไม่เคยมีเงินติดตัวกับแม่เกิน 200 บาท ในทุก ๆ วัน หาได้ก็ใช้ เพราะลิเกตอนนั้นไม่ได้มีทุกวัน ไปวันนึงหยุด 3 วัน ไปสองวันหยุดอีก 5 วัน ได้มาเราก็ใช้ ไม่อด แต่ก็ลำบากมาก ๆ ไม่ได้เล่นลิเกก็ขายลูกชิ้นกับแม่อยู่หน้าบ้าน ได้เงิน 500 ก็บอกว่าต้องขายให้ได้ 700 เราจะได้เอาเงิน 500 ไปลงทุนใหม่ อีก 200 เก็บไว้ใช้ เป็นแบบนี้นาน

สิ้นเดือนไม่มีค่าเช่า ก็นอนอยู่หน้าบ้านเขา มันเข้า 4 เดือนที่ติดค่าเช่า เราไม่มีจ่ายเขาสักที จน 4 เดือน เขาบอกจะมีคนมาเช่าต่อนะ เราก็เกรงใจ เขาก็บอกว่าให้นอนหน้าบ้านก่อนก็ได้ มีรถค่อยขนของออก เขาไม่ได้ไล่ แต่บอกว่าเดี๋ยวจะมีคนใหม่เข้ามา ตอนนั้นเป็นจังหวะไปงาน ปล่อยแม่อยู่หน้าบ้านคนเดียว ขึ้นรถตู้ เป็นจังหวะที่คุณพ่อของศรราม น้ำเพชร โทรมาถามว่าสนใจอยู่ที่ศรราม น้ำเพชรไหม ตนก็ตกลงเลย ไม่มีทางเลือกแล้ว (หัวเราะ) ก็บอกว่าขอเวลา 7 วัน เก็บข้าวเก็บของ ตอนนั้นไม่รู้ว่าลุงจะให้แท็กซี่มารับ คิดว่าต้องหาทุนนั่งรถไปเอง

เล่นลิเกคืนแรกที่สุพรรณฯ งานแรกลุงให้ 1,200 บาท เยอะมากสำหรับตน วันนั้นเอาเงินให้แม่ อยากกินอะไรก็ซื้อเลย เล่น 3-4 วันแรกไม่มีรางวัล แต่พ่อศรรามเขาให้ 200 บาท บอกว่าจะได้มีกำลังใจเล่น ตอนแรกเป็นนางเอกเลย เล่นกับศรราม น้ำเพชร 8 ปี ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น มีงานทุกวัน ต้องยอมรับว่างานเขามีทุกวันมานานแล้ว แน่นอยู่แล้ว

ดำดงเปลี่ยนชีวิตตนไวมาก พอกระแสมาปุ๊บ ทุกอย่างก็เข้ามาพร้อม ๆ กัน ด้วยงาน คนดูหน้าใหม่ ๆ เอฟซีหน้าใหม่ ๆ เข้ามา ได้พวงมาลัยเงินเยอะสุด 2 ล้าน ส่วนรถฮุนไดที่ได้มา เป็นค่าพรีเซ็นเตอร์ พี่เขาก็เมตตาด้วยเพราะไม่ได้ทำสัญญา แต่พี่เขาซื้อให้เป็นค่าพรีเซ็นเตอร์

ตอนนี้มีบ้านอยู่แล้ว ไม่ได้เช่า ซื้อบ้านอยู่ที่อยุธยา รถก็มีแล้ว วันนี้ดีใจ ไม่คาดฝันว่าต้องขนาดนี้ แค่ให้มีงานทำ แม่ไม่อด มีรถราพาแม่ไปไหนก็โอเคแล้ว วันที่มีรถราคาเป็นล้านเข่าทรุดเลย ตอนนี้ไม่ให้พ่อแม่เล่นลิเกแล้ว เขาเหนื่อยมาเยอะแล้ว 

‘รพ.พรเจริญ’ บึงกาฬ วิกฤต!! สิ้น พ.ค. มีแพทย์ประจำเหลือแค่ 1 คน เร่งประสานยืมแพทย์จาก รพ.ใกล้เคียง เพื่อให้เพียงพอในการดูแลผู้ป่วย

(15 พ.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘โรงพยาบาลพรเจริญ’ ตั้งอยู่ใน อ.พรเจริญ จ.บึงกาฬ โพสต์ข้อความระบุว่า…

“ประกาศประชาสัมพันธ์จากโรงพยาบาลพรเจริญ

ตั้งแต่วันที่ 27 - 31 พฤษภาคม 2567 โรงพยาบาลพรเจริญ จะมีแพทย์ประจำเหลือ 1 คน และแพทย์ประจำต้องดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน โรงพยาบาลพรเจริญจึงได้กำหนดให้มีแนวทางแก้ปัญหาการให้บริการดังนี้

1. ประสานยืมแพทย์ช่วยตรวจจากโรงพยาบาลข้างเคียง

2. ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง (เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, สุขภาพจิต, ไทรอยด์) ที่มีนัดในช่วงดังกล่าวผู้ป่วยสามารถมารับบริการได้ตามปกติ โดยหากผลตรวจปกติ หรืออาการป่วยคงที่พยาบาลวิชาชีพจะสั่งยาเดิมให้ (ไม่ต้องพบแพทย์) และจะปรึกษาแพทย์ในรายที่มีผลเลือดผิดปกติ หรืออาการผิดปกติเท่านั้น 

3. ผู้ป่วยคลอดและอุบัติเหตุฉุกเฉินให้บริการ 24 ชั่วโมง

โรงพยาบาลพรเจริญจึงขอแจ้งให้ผู้รับบริการทราบ และต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้หากการบริการเป็นไปอย่างล่าช้ากว่าปกติ โรงพยาบาลจะให้บริการได้ตามปกติตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 14 พฤษภาคม 2567

โทร.042 487 099 ต่อ 155 (ฝ่ายงานบริหารทั่วไป)”

อินโดฯ ยก!! ‘หลานม่า’ หนังที่งดงาม จนต้องหลั่งน้ำตา นานาชาติเตรียมต่อคิวดึงเข้าฉาย ไม่เว้นแม้แต่กัมพูชา

(15 พ.ค.67) สร้างปรากฏการณ์น้ำตาท่วมจออีกครั้ง สำหรับภาพยนตร์ ‘หลานม่า’ ค่ายจีดีเอช ผลงานกำกับโดย ‘พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์’ ที่ได้นักแสดงสุดฮอตอย่าง บิวกิ้น พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล, และยายแต๋ว อุษา เสมคำ นางเอกวัย 78 ปี ที่ทำให้ผู้ชมหลงรักในความสัมพันธ์ของหลานกับอาม่ากันทั่วประเทศไทย จนทำรายได้เป็นอันดับ 1 ของหนังจีดีเอชในกรุงเทพฯ เป็นที่เรียบร้อย และกำลังเดินหน้าไปฉายในต่างประเทศทั่วเอเชีย ประเดิมรอบพรีวิวที่แรกในประเทศอินโดนีเซีย ปรากฏว่าในรอบนี้ เหล่าผู้ชมที่เป็นอินฟูเอ็นเซอร์ชื่อดังของอินโดฯ ถึงกับหลั่งน้ำตากล่าวชื่นชมว่าเป็นภาพยนตร์ที่งดงาม เข้าถึงหัวใจผู้ชมเป็นอย่างมาก รายละเอียดของหนังเชื่อมโยงชีวิตตัวเองสะท้อนออกมาบนจอภาพยนตร์ จนทำให้กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

​นอกจากฉายที่อินโดนีเซียแล้ว หลานม่า กำลังจะเข้าฉายที่ ฟิลิปปินส์, ลาว, มาเลเซีย, สิงคโปร์, เวียดนาม, กัมพูชา, ไต้หวัน, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, ฮ่องกง, จีน, เกาหลีใต้ และกำลังรอสร้างปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ในต่างแดน

สกพอ. บูรณาการความร่วมมือสร้างการรับรู้ ผ่านเครือข่ายครูแกนนำ EEC ร่วมกับ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง

เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2567 นางธัญรัตน์ อินทร รองเลขาธิการ สกพอ. สายงานพื้นที่และชุมชน
ร่วมบรรยายสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความก้าวหน้าการพัฒนา อีอีซี แก่ผู้อำนวยการโรงเรียน และครูแกนนำ EEC นำร่อง ในเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัด ชลบุรี ระยอง ณ โรงเรียนบ้านบึง "อุตสาหกรรมนุเคราะห์" จังหวัดชลบุรี โดยมีนายนายจิรกร ฐาวิรัตน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง เป็นประธานกล่าวเปิดงาน โดยกิจกรรมดังกล่าว มุ่งเน้นให้ผู้อำนวยการและครูแกนนำของโรงเรียนทั้ง 51 โรงเรียนในจังหวัดชลบุรี และจังหวัดระยอง เป็นกลไกสำคัญและเป็นตัวแทนของ อีอีซี ในการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ให้กับครู นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน เกี่ยวกับภารกิจและความก้าวหน้าของการดำเนินงานพัฒนาพื้นที่ 3 จังหวัด อีอีซี รวมถึงประโยชน์ที่เกิดจากการพัฒนา ทั้งด้านแศรษฐกิจและสังคม และส่วนสำคัญในการเตรียมความพร้อมพัฒนาบุคคลากรทางการศึกษาและนักเรียน เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ สร้างความพร้อมและสร้างแรงบัลดาลใจให้กับเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ยังสามารถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการเตรียมตัวสู่เส้นทางอาชีพต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อให้สามารถวางแผนกระบวนการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสมรรถนะและตำแหน่งงานที่จะเกิดขึ้นใน อีอีซี และสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังได้ระดมความคิดเห็นเพื่อรับฟังข้อเสนอแนะ และแนวทาง จากกลุ่มผู้บริหารโรงเรียน และกลุ่มครูแกนนำ EEC ให้เป็นอีกหนึ่งแกนนำในการสร้างการรับรู้และประโยชน์จากการพัฒนา อีอีซี สู่กลุ่มนักเรียน เยาวชน และชุมชน รวมถึงระดมความคิดเห็นแนวทางในการบูรณาการเพื่อจัดทำแผนการพัฒนาครู และนักเรียน รวมถึงชุมชน อีกด้วย
ถือเป็นกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ ระหว่าง สกพอ. สถานศึกษา ครู และเยาวชน อย่างมีเอกภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงประโยนชน์จากการลงทุนสู่สถานศึกษาและชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไป

ทั้งนี้ สกพอ. ยังร่วมมือกับสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) หรือ OKMD
ในการเสริมทักษะครูแกนนำ EEC สร้างแรงบันดาลใจ ติดอาวุธ เสริมทักษะและเทคนิคการถ่ายทอด
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนา อีอีซี ตามแนวคิดเศรษฐกิจฐานความรู้ เช่น Knowledge Mapping
การถ่ายทอดความรู้จากสิ่งรอบตัว การเชื่อมโยงความรู้จากภูมิปัญญาท้องถิ่นและแหล่งเรียนรู้ในพื้นที่ เพื่อส่งเสริมให้สถานศึกษา บุคลากร และนักเรียน สามารถปรับตัวให้สอดรับการพัฒนาเมือง และได้รับประโยชน์จากการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างยั่งยืน

สตม. รวบแม่เล้าลวงหญิงไทยค้ามนุษย์ต่างแดน

ตม.จว.สงขลา ร่วมกับ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. และ กก.สส.บก.ตม.4 จับกุม มาดามฟา (นามสมมติ) อายุ 49 ปี สัญชาติไทย ตามหมายจับศาลจังหวัดนาทวี ที่ 102/2567 ลงวันที่ 28 มี.ค.2567 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยใช้กลอุบายหลอกลวง ขู่เข็ญเพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณี สมคบกันค้ามนุษย์โดยแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยการบังคับค้าประเวณี โดยร่วมกันเป็นธุระจัดหา พามาจาก จัดให้พักอาศัย โดยข่มขู่ ใช้กำลังบังคับหลอกลวงใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมายและข่มขืนใจให้ผู้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือยอมหรือจำยอมต่อสิ่งใดอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สภ.ปาดังเบซาร์ จว.สงขลา ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บริเวณหน้าบ้านพักในพื้นที่ ต.โพธิ์ชัย อ.โคกโพธิ์ชัย จว.ขอนแก่น

กรณีนี้สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สงขลา เข้าช่วยเหลือหญิงไทยเดินทางมาจากประเทศมาเลเซียแล้วแจ้งว่าถูกหลอกไปค้าประเวณีที่ประเทศมาเลเซีย จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบพร้อมทั้งประสานสหวิชาชีพสัมภาษณ์คัดกรองตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ (NRM) ได้ความว่าผู้เสียหายต้องการไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย จึงติดต่อผ่านนายหน้าทางสื่อออนไลน์ แต่เมื่อไปถึงประเทศมาเลเซียกลับถูกแม่เล้าแจ้งว่าต้องพักอาศัย ในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในเมืองกัวลาลัมเปอร์ เพื่อทำงานค้าประเวณีชดใช้หนี้ค่าเดินทางหรือค่าแทก จำนวน 4,500 ริงกิต (ประมาณ 35,000 บาท) ขณะอยู่ต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง และถูกกักขังไม่สามารถออกไปไหนได้โดยลำพังจนกว่าจะใช้หนี้หมด แต่เมื่ออยู่ได้ประมาณ 5 วัน จึงตัดสินใจหลบหนีกลับมาประเทศไทย แล้วเข้าขอความช่วยเหลือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากแม่เล้าขู่ว่าจะมีคนมาดักรอที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย เพื่อจับไปขายต่อ ทีมสหวิชาชีพ ได้ลงความเห็นว่าเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนจนทราบว่า มาดามฟา ทำหน้าที่เป็นแม่เล้า ล่อลวง กักขัง บังคับขู่เข็ญให้ผู้เสียหายค้าประเวณี จึงรวบรวมพยานหลักฐานและจัดทำรายงานการสืบสวนส่งให้พนักงานสอบสวน สภ.ปาดังเบซาร์ จนกระทั่งศาลจังหวัดนาทวีได้อนุมัติหมายจับตามข้อกล่าวหาข้างต้น ต่อมาจากการสืบสวนทราบว่ามาดามฟาพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ ต.โพธิ์ชัย อ.โคกโพธิ์ชัย จว.ขอนแก่น จึงไปติดตามจับกุม ในชั้นจับกุม มาดามฟาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่รับว่า ขณะอยู่ที่ประเทศมาเลเซียทำหน้าที่เป็นธุระจัดหาหญิงไทยเพื่อค้าประเวณีแต่เป็นไปด้วยความสมัครใจ มีเด็กในสังกัดเพียง 5 - 6 คน ติดต่อลูกค้าผ่านแอปพลิเคชันวอตส์แอปป์ได้ค่าประสานงาน 10 เปอร์เซ็นต์จากเงินที่เก็บได้จากเด็กในสังกัด
สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองขอประชาสัมพันธ์ให้คนไทยที่ต้องการไปทำงานต่างประเทศ ติดต่อบริษัทจัดหางานที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายเพื่อจะได้ไม่ถูกหลอกลวงไปทำงานที่ผิดกฎหมายหรืออาจถูกหลอกไปเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิด ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

'อัษฎางค์' เปิดต้นตอผู้ชักนำ 'บุ้ง' สู่เส้นทางนี้ ชี้!! โลกในทวิตเตอร์ คือ จุดเปลี่ยนของชีวิตเธอ

(15 พ.ค.67) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กกรณี น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้งทะลุวัง เสียชีวิตเมื่อช่วงเย็นวันที่ 14 พ.ค.ในหัวข้อ ‘บุ้ง ตอนที่ 1 ปฐมบทก่อนไปถึงจุดสิ้นสุด ใครชักนำหรืออะไรจูงใจให้บุ้งเข้าสู่วงการ’

โลกในทวิตเตอร์ คือจุดเปลี่ยนของชีวิตของบุ้ง

BBC THAI เคยรายงานข่าว จากปากคำของโบ พี่สาวของบุ้งว่า…

บุ้งเคยเป็นคนที่คอยบอกเพื่อน ๆ นักเรียนอยู่เสมอในฐานะคณะกรรมการนักเรียนว่า ต้องดูแลทรงผมให้เรียบร้อย เสื้อผ้าต้องทำให้ถูกระเบียบ แต่เขาเริ่มเอะใจว่า ทำไมมีเพื่อนที่เห็นต่าง มีเพื่อนที่คัดค้านเรื่องทรงผม จึงทำให้ได้ฉุกคิดว่า ตัวกฎระเบียบก็ไม่ได้แฟร์ (ยุติธรรม) สำหรับกลุ่มคนหลายกลุ่ม หากฝ่าฝืนถึงขั้นคาดโทษกัน รวมทั้งกลุ่ม LGBTQ ที่พวกเขาต้องการแต่งตัวอีกแบบ

ในระหว่างสัมภาษณ์ โบได้หยิบภาพเก่า ๆ ที่เตรียมมาด้วย และมีท่าทีภูมิใจเมื่อพูดถึงเรื่องการเรียนของน้องสาวคนนี้ว่า "เรียนก็เก่ง กิจกรรมก็ไม่แพ้ใคร" พร้อมกับบอกว่า สิ่งหนึ่งที่พ่อกับแม่เห็นตรงกันเกี่ยวกับบุ้งคือ การเลี้ยงดูให้น้องเป็นคนมีความมั่นใจและกล้าแสดงออก

จากคำถามที่ผุดขึ้นในความคิดต่อระเบียบควบคุมนักเรียนระหว่างที่บุ้งเป็นคณะกรรมการนักเรียนยังคงทำงานของมันต่อผลที่ตามมาคือการตัดสินใจเข้าร่วมการเคลื่อนไหวของกลุ่ม ‘นักเรียนเลว’

ที่กลายเป็นความเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียนที่ต้องการส่งเสียงเพื่อสิทธิตัวเอง (speak for yourself) ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการไว้ทรงผมนักเรียน ซึ่งประสบผลสำเร็จจนทำให้ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในระหว่างปี 2563 มีระเบียบว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ. 2563 ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนไว้ผมยาวได้ตามความเหมาะสม

บุ้งสอบเข้าโรงเรียนเตรียมน้อมฯ ได้เอง และผลการเรียนก็อยู่ในเกณฑ์ดีมาก 3.8, 3.9 และ 4.0 สลับกันไป กิจกรรมในโรงเรียนก็ไม่ขาด

โบยอมรับว่า ครอบครัวของเธอเคยเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. เมื่อปี 2557 ที่กลายเป็นชนวนเหตุให้เกิดรัฐประหารขึ้น ซึ่งในขณะนั้นบุ้งยังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย หลังจากนั้นเมื่อบุ้งได้เข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็ได้เปิดโลกกว้างมากขึ้นจากข้อมูลชุดใหม่ผ่านสังคมออนไลน์อย่าง ‘ทวิตเตอร์’ ซึ่งมีการถกเถียงประเด็นสังคมอย่างกว้างขวางและหลากหลาย
จากทวิตเตอร์ ตามมาด้วยช่อ พรรณิการ์-ทนายอานนท์

The Thaiger รายงานว่า…เส้นทางชีวิตของบุ้งเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงและการค้นพบตัวเอง ในวัยเยาว์ เธอเคยหลงใหลในอุดมการณ์อนุรักษ์นิยม เคยร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กปปส. แต่แล้ววันหนึ่ง ประกายไฟแห่งความจริงก็ได้จุดประกายความคิดของเธอให้เปลี่ยนไป

‘ช่อ พรรณิการ์ วานิช คือผู้จุดประกายนั้น’

เธอเปิดเผยรายชื่อผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงในปี 2553 ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคนไร้บ้านที่ถูกสไนเปอร์ยิง ความจริงอันโหดร้ายนี้ ทำให้เธอตระหนักถึงความผิดพลาดในอดีต และความรู้สึกผิดต่อผู้ที่สูญเสียก็หลั่งไหลเข้ามา

จุดกำเนิด ‘โพลทะลุวัง’ : เมื่อคำถามกลายเป็นอาวุธ

ความคิดที่จะใช้ ‘คำถาม’ เป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหวทางการเมืองเริ่มก่อตัวขึ้นในใจบุ้ง หลังจากได้เข้าร่วมเวิร์กช็อปกับ ‘ทนายอานนท์ นำภา’ ผู้ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการตั้งคำถามสามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมายอาญามาตรา 112

ใครกัน อำมหิตหลอกใช้เยาวชนและประชาชนเป็นเครื่องมือทางการเมือง

จากนักเรียนดีสู่การเป็นสมาชิกกลุ่มนักเรียนเลว ต่อเนื่องไปสู่กลุ่มทะลุวัง เกิดจากการที่เยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชนหลงผิดจากการได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกบิดเบือน ปลุกปั่นจนกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองจากผู้ไม่หวังดีต่อประชาชน สถาบันพระมหากษัตริย์และประเทศชาติหรือไม่

หากจะหาผู้มีส่วนต่อการจากไปของบุ้งหรือคนอื่น ๆ ที่ถูกดำเนินคดีในเรื่องที่มีลักษณะเดียวกันนี้ ก็คงต้องถือว่าเป็นความรับผิดชอบของคนไทยทั้งชาติ ที่ต้องร่วมมือกันป้องกันและกำจัดผู้ไม่หวังดี ที่ใช้ยุทธวิธีทางการเมือง ด้วยการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารมาปลุกปั่นเยาวชนและประชาชนให้กระด้างกระเดื่องต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และระบอบการปกครองของไทย

อย่างไรก็ตาม เราในฐานะประชาชนคนไทยทุกคนมีส่วนในการป้องกันหรือกำจัดคนที่อำมหิตเหล่านั้น ก่อนจะเกิดการสูญเสียมากไปกว่านี้

สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะอย่างไรผมในฐานะคนไทยก็รู้สึกเสียใจและไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้กับบุ้งและคนอื่น ๆ

ดังนั้นเราคนไทยทุกคนต้องช่วยกันป้องกันและกำจัดขบวนการเหล่านี้

ทันควัน! หนุ่มต่างชาติลวงหญิงแลกเงินคริปโต จับคลุมหัวรีดเงิน ตม.รวบก่อนเตรียมเผ่นหนี

ตม.จว.ภูเก็ต ร่วมกับ สภ.ฉลอง จับกุม Mr.Oleksandr (นามสมมติ) อายุ 25 ปี สัญชาติสวีเดนและรัสเซีย โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันชิงทรัพย์ผู้อื่นในเวลากลางคืน นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ฉลอง ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม ภายในท่าอากาศยานภูเก็ต จว.ภูเก็ต ก่อนนำมาซึ่งการจับกุมในกรณีนี้ ตม.จว.ภูเก็ต ได้รับการประสานงานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ฉลอง จว.ภูเก็ต ว่า Ms.Diera (นามสมมติ) อายุ 23 ปี สัญชาติรัสเซีย ผู้เสียหาย ได้มาแจ้งความว่าเมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2567 เวลา 23.00 น. ได้นัดกับ Mr.Oleksandr (นามสมมติ) อายุ 25 ปี สัญชาติสวีเดน/รัสเซีย ผ่านแอปพลิเคชัน Telegram ที่วิลล่าแห่งหนี่งใน ต.ฉลอง อ.เมือง จว.ภูเก็ต เพื่อนำเงินสดจำนวน 25,000 บาท มาแลกกับเงินคริปโตเคอเรนซี่ จำนวน 700 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อผู้เสียหายไปถึงที่นัดหมายได้พบกับ Mr.Oleksandr ในระหว่างที่พูดคุยกันในช่วงที่คนร้ายอีกคนกำลังเดินเข้ามาที่นัดหมายซึ่งผู้เสียหายไม่ทันระวังตัว Mr.Oleksandr ได้จับผู้เสียหายล็อค เอาถุงคลุมศีรษะ มัดแขน มัดขา และยึดโทรศัพท์ของผู้เสียหาย พร้อมกับบังคับให้ผู้เสียหายโอนเงินให้กับคนร้ายเพิ่ม และได้ทำร้ายผู้เสียหายด้วยการตบใบหน้าจนผู้เสียหายยอมบอกรหัสโทรศัพท์ ซึ่งไม่มีเงินในบัญชีออนไลน์แล้ว Mr.Oleksandr จึงบังคับให้ผู้เสียหายติดต่อเพื่อนซึ่งอยู่ห้องพักใกล้กับผู้เสียหายให้นำเงินสดในห้องพักของผู้เสียหายมาให้ โดยมีชายสัญชาติรัสเซีย ร่วมกับ Mr.Oleksandr ทำหน้าที่เป็นผู้ไปรับเงินจากเพื่อนของผู้เสียหาย จำนวน 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ และเงินสกุลไทยอีกจำนวน 6,000 บาท มาให้ Mr.Oleksandr รวมทรัพย์สินที่ผู้เสียหายถูกประทุษร้ายไปเป็นจำนวนเงิน 104,546 บาท หลังจาก Mr.Oleksandr ได้ทรัพย์สินแล้วจึงได้ปล่อยตัวผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงได้ไปแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.ฉลอง ให้ดำเนินคดีกับคนร้ายทั้ง 2 คน

หลังจากได้บันทึกข้อมูล Mr.Oleksandr ในบัญชีเฝ้าดู ในเวลาต่อมา ตม.จว.ภูเก็ต ได้รับแจ้งจาก ด่าน ตม.ทอ.ภูเก็ต ว่า Mr.Oleksandr กำลังจะเดินทางออกจากประเทศไทยเพื่อเดินทางไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย จึงได้ร่วมกับชุดสืบสวน สภ.ฉลอง ไปจับกุม Mr.Oleksandr ในฐานความผิด ร่วมกันชิงทรัพย์ผู้อื่นในเวลากลางคืน โดยผู้เสียหายชี้ยืนยันตัว ส่วนผู้ต้องหาอีกหนึ่งคนซึ่งทำหน้าที่ไปรับเงินจากเพื่อนของผู้เสียหาย ได้หลบหนีเดินทางออกจากประเทศไทยไปก่อนแล้ว ซึ่งจะได้รวบรวมพยานหลักฐานส่งให้พนักงานสอบสวนเพื่อขออนุมัติศาลจังหวัดภูเก็ตออกหมายจับและติดตามตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

‘เจ้าอาวาสวัดไผ่ฯ’ ให้สติ!! ผู้สนใจลอง 'วิชาครอบหม้อ' หากคิดจะมารักษาด้วยวิธีนี้ ควรใช้สติเป็นหลักด้วย 

(15 พ.ค.67) จากกรณีโซเชียลที่มีอาจารย์ปู่ตรัย หรือ ฤาษีปู่ตรัย ศาสตร์ภูมิปัญญาทำการรักษาโรคด้วยวิชาครอบหม้อ เพื่อรักษาโรคให้กับศิษย์และคนทั่วไป โดยใช้วิธีใช้หม้ออลูมิเนียมไปครอบศีรษะ แล้วท่องคาถา อ้างว่าสามารถ เปิดตาเป็นตาที่สามได้ รักษาโรคได้สารพัดโรค มีประชาชนจากหลายจังหวัดแห่ไปรักษาเป็นจำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปยังวัดไผ่เจริญสมณะกิจ ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ อาจารย์ปู่ตรัย ได้ใช้เป็นสถานที่ในการทำการรักษาด้วยวิชาครอบหม้อ ไปพบกับพระอาจารย์ ชาญ วุฑฒิโก เจ้าอาวาสวัดไผ่เจริญสมณะกิจ ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า สถานที่ทำการรักษาด้วยหม้อที่เห็นในโซเชียลนั้น เป็นที่วัดไผ่เจริญสมณะกิจ ซึ่งตอนนั้นมีอาจารย์ปู่ตรัย หรือ ฤษีปู่ตรัย ที่เคยเป็นญาติธรรม เคยเป็นคนที่ร่วมสร้างวัดแห่งนี้ และได้มาขอทางวัดใช้สถานที่ลานพญานาค ในการทำพิธีกิจกรรมบำบัดรักษาตามศาสตร์ตามสูตรของฤษีปู่ตรัย ซึ่งพระอาจารย์ก็เลยอนุญาตให้ใช้สถานที่ไป

พระอาจารย์ ชาญ กล่าวต่อไปอีกว่า ในส่วนของพิธีทำการรักษาโรคให้กับลูกศิษย์ด้วยการวิชาครอบหม้อ นั้นส่วนตัวไม่เคยเห็นการทำวิธีแบบนี้มาก่อน เคยเห็นแต่วิธีใช้พัดปัดเป่าในการรักษา ซึ่งเขาเรียกว่าการเป่ามหาระงับ ซึ่งการรักษาแบบนี้ส่วนตัวคิดว่าถือเป็นการหน้าจะการรักษาทางใจ ที่อาจจะเป็นศาสตร์การรักษาของทางฤษีปู่ตรัย ซึ่งอาจจะเป็นสร้างความสบายใจให้กับผู้ที่มารักษา

นอกเหนือจากไปรักษาทางอื่น ๆ แล้วไม่ดีขึ้น ไม่หาย เลยหาวิธีอื่น ๆ มาช่วยในการักษาให้หายจากโรคจากอาการที่เป็นอยู่ ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้มารักษาด้วยวิธีแบบนี้ควรที่ใช้สติในการรักษาเป็นหลักด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top