Wednesday, 7 May 2025
NEWS FEED

มส.16 เรียนรู้ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา 8 วิสาหกิจชุมชนเกาะเกร็ด ส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สู่ความยั่งยืน

วันที่ 15 พฤษภาคม ที่ห้องประชุมวัดปรมัยยิกาวาสวรวิหาร ต.เกาะเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี นายภิรมย์ ชุมนุม นายอําเภอปากเกร็ด จ.นนทบุรี พร้อมด้วย พระครูพิพิธเจติยาบาล เจ้าอาวาสวัดปรมัยยิกาวาสวรวิหาร ผู้ใหญ่บ้าน อบต.เกาะเกร็ด ผู้อํานวยการโรงเรียน คณะครูโรงเรียนวัดปรมัยยิกาวาส และประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ให้การต้อนรับ พล.อ.ดร.มารุต ปัชโชตะสิงห์ ผู้อํานวยการหลักสูตร มส. พล.อ.ต.หญิง ผศ.ดร.พัชรี พิพิธสุขสันต์ รองผู้อํานวยการหลักสูตรฯ ดร.วรวุฒิ ไชยศร ผู้ช่วยผู้อํานวยการหลักสูตรฯ พร้อมคณาจารย์ และนักศึกษาหลักสูตร การบริหารจัดการด้านความมั่นคงขั้นสูง (มส.รุ่นที่16) ในการทำกิจกรรม CSR TO SUSTAIN มส.16 สร้างผู้นำด้านความรับผิดชอบต่อสังคมที่ยั่งยืน  บวร : บ้าน วัด โรงเรียน

สำหรับกิจกรรมต่างๆ ทางหลักสูตร ได้แบ่งนักศึกษาเป็น 10 กลุ่ม เพื่อลงพื้นที่ศึกษาเรียนรู้วิสาหกิจชุมชน 8 วิสาหกิจ คือ วิสาหกิจชุมชนผ้าบาติก วิสาหกิจชุมชนขนมหวาน วิสาหกิจชุมชนนวดแผนไทย วิสาหกิจชุมชนชารางแดง วิสาหกิจชุมชนขนมปังหน่อกะลา วิสาหกิจชุมชนเครื่องจักรสาน วิสาหกิจชุมชนหน่อกะลา วิสาหกิจชุมชนเครื่องปั้นดิน และพิพิธภัณฑ์ชุมชนวัดปรมัยยิกาวาส  โรงเรียนวัดปรมัยยิกาวาส เพื่อระดมสมอง สร้างสรรค์แนวคิด เพื่อพัฒนาวิสาหกิจชุมชน พิพิธภัณฑ์ชุมชน และโรงเรียนวัดปรมัยยิกาวาส ด้วยการนำเสนอโมเดลวิสาหกิจชุมชนยั่งยืน ด้วย Sustainable Business Model Canvas

นอกจากนี้ คณะนักศึกษาได้มอบป้ายแนะนำวิสาหกิจชุมชน พิพิธภัณฑ์ชุมชน และโรงเรียนวัดปรมัยยิกาวาส เพื่อเป็นสื่อประชาสัมพันธ์ ให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนได้เป็นข้อมูลความรู้ มอบและติดตั้งพัดลมให้โรงเรียนจำนวน 15 ชุด มอบตู้เย็นให้ 5 โรงเรียน พร้อมซ่อมแซมบ้านสำหรับผู้สูงอายุ อีก 1 หลัง

พล.อ.ดร.มารุต ปัชโชตะสิงห์ กล่าวว่า วันนี้นักศึกษา มส.รุ่นที่ 16 ภายใต้มูลนิธิการจัดการเพื่อความมั่นคง
ได้มาทำกิจกรรมดีๆเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมสู่ความยั่งยืน วันนี้คณะนักศึกษาได้ลงพื้นที่เกาะเกร็ด ใน 8 วิสาหกิจชุมชน รวมทั้ง วัด และโรงเรียน โดยได้แบ่งนักศึกษาออกเป็น 10 กลุ่ม ลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้อง จากนั้นช่วงบ่ายนำผลที่ได้มาเข้าสู่ที่ประชุมเพื่อเสนอผลงานแต่ละวิสาหกิจชุมชน รวมถึงข้อเสนอแนะ พบว่าทุกกลุ่มได้นำเสนอผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม กับผลลัพธ์ที่ได้นำเสนอ คุ้มค่ากับการได้ร่วมกิจกรรมในวันนี้ และผลจากการลงพื้นที่ทางหลักสูตรจะรวบรวมข้อมูลส่งต่อให้นายอำเภอปากเกร็ด และทางพัฒนาการปากเกร็ด ได้นำไปใช้ประโยชน์ในวิสาหกิจชุมชน และวัด โรงเรียนต่อไป รวมทั้งจะนำผลในครั้งนี้ ส่งต่อให้กับหลักสูตรการจัดการความมั่นคงขั้นสูง รุ่นที่ 17 ที่จะเข้าศึกษาในไม่ช้า เพื่อได้รับการสานต่อและต่อไปในอนาคตสู่ความยั่งยืน

ด้าน ดร.วรวุฒิ ไชยศร กล่าวว่า
กิจกรรมครั้งนี้นับเป็นกิจกรรมที่ทำให้ นักศึกษา มส.16 ได้สัมผัสถึงวิถีชีวิตชุมชนชาวมอญเกาะเกร็ดได้หลากหลาย อีกทั้งได้มีโอกาส เรียนรู้ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา วิสาหกิจชุมชนเกาะเกร็ด โรงเรียน และพิพิธภัณฑ์ชุมชน เพื่อช่วยกันสร้างสรรค์คุณค่าที่ยั่งยืนให้กับชุมชนเกาะเกร็ด รวมทั้งได้มีส่วนร่วมในการนำทักษะความรู้จากการอบรม และประสบการณ์ทำงาน มาสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม ส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Soft Power) ให้ชุมชนเกาะเกร็ด เกิดความยั่งยืน

ทางด้าน นายจิรชาติ บุญสุข นักศึกษาหลักสูตร มส.15 กล่าวว่า จากกิจกรรมที่ดำเนินการได้เกิดการขับเคลื่อน ทั้งเรื่องการเปิดมุมมองโมเดลธุรกิจสมัยใหม่ เพื่อสร้างโอกาสการแข่งขันอย่างยั่งยืนให้กับวิสาหกิจชุมชนในเกาะเกร็ด เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชน อีกทั้งยังสร้างความภูมิใจ และแสดงศักยภาพของนักศึกษา มส.16 ที่ได้ช่วยเหลือ แบ่งปัน สังคม 3 ด้าน ได้แก่ วัด บ้าน และโรงเรียน อีกทั้งเกิดการทำงานร่วมกับหน่ายงานราชการในพื้นที่ ได้รับการยอมรับในกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ เพื่อสร้างความยั่งยืนอย่างแท้จริง

‘คุณหญิงต้น’ เผยภาพเข้าเฝ้า ‘สมเด็จพระเทพฯ’ ขณะเสด็จฯ เยือนกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร

(16 พ.ค. 67) ‘คุณหญิงต้น-ม.ล.ปิยาภัสร์ ภิรมย์ภักดี’ เผยภาพเฝ้าทูลละอองพระบาท ‘สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี’ และร่วมรับประทานอาหารกับพระองค์ ระหว่างที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยือนกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพื่อทรงเยี่ยมชมวิทยาลัยแฮริส แมนเชสเตอร์ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และจะทรงเข้าร่วมการประชุมเชิงวิชาการ ในหัวข้อ ‘ประวัติและคติของลัทธิปศุปตะ : หลักฐานเดิมและการวิจัยใหม่’ ณ วิทยาลัยออลโซลส์ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด

พร้อมกันนี้คุณหญิงต้นยังลงแคปชั่น เฝ้าทูลละอองพระบาทสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กราบพระบาทในโอกาสเสด็จฯ เยือนสหราชอาณาจักร ระหว่างวันที่ 10-14 พฤษภาคม 2567 ตามด้วยแฮชแทก #สิริมงคลชีวิต #รักที่สุด #พระบารมีปกเกล้า #ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

#CelebOnline #สมเด็จพระเทพ #พระเทพ #เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหราชอาณาจักร #ลอนดอนอังกฤษ #คุณหญิงต้น #ปิยาภัสร์ภิรมย์ภักดี #ตระกูลกฤดากร #ข่าวซุบซิบ #ข่าวไฮโซ

'ผอ.แอมเนสตี้' ชวนก๊วนยืนไว้อาลัย ‘บุ้ง’ 1 นาที ลั่น!! พวกคอมเมนต์เย้ย 'รุนแรง-ลดทอน' ศักดิ์ศรีมนุษย์

(16 พ.ค.67) ที่ โรงแรมสยาม@สยาม เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ องค์การแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวรายงาน ‘BEING OURSELVES IS TOO DANGEROUS: อันตรายเกินกว่าจะเป็นตัวเอง’ สะท้อนสถานการณ์การถูกคุกคามของผู้หญิงและกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่ต่างตกเป็นเป้าหมายของการสอดส่องด้วยเครื่องมือต่าง ๆ

เวลา 9.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศของงานเต็มไปด้วย นักวิชาการ นักกิจกรรมทางสังคม และนักขับเคลื่อนประเด็นทางเพศเดินทาง เดินทางมาร่วมงานและเข้าร่วมการเสวนาผ่านระบบการประชุมออนไลน์อย่างคึกคัก อาทิ ไอรีน ข่าน ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติ ด้านการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก, เช็ชฐา ดาส นักวิจัยและที่ปรึกษาด้านเพศวิถีศึกษาความยุติธรรมทางเพศ ผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่น, เอลิน่า คาสติโย นักวิจัยและที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีกับมนุษยชน และชนาธิป ตติยการุณวงศ์ นักวิจัยระดับภูมิภาคประจำประเทศไทย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

พร้อมด้วย ฐิติรัตน์ ทิพย์สัมฤทธิ์กุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, นาดา ไชยจิตต์ อาจารย์สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, อังคณา นีละไพจิตร อดีตคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน และสมาชิกคณะทำงานด้านการบังคับสูญหายโดยไม่สมัครใจสหประชาชาติ และ สิรภพ อัตโตหิ นักปกป้องสิทธิมนุษยชน ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ เป็นต้น

เวลา 9.15 น. เปิดคลิปวิดีโอ ‘อันตรายเกินกว่าเป็นตัวเอง’ สะท้อนสถานการณ์การคุกคามและละเมิดสิทธิมนุษยชน ต่อนักเคลื่อนไหวทางการเมืองผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศบนสื่อออนไลน์ ผ่านการสปายแวร์เจาะข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียที่มุ่งโจมตีความเป็นส่วนตัวระดับสูง เพื่อบีบให้ยุติบทบาทการเคลื่อนไหว

ต่อมา 9.25 น. นางปิยนุช โครตสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ ประเทศไทย กล่าวเปิดงานว่า จากเหตุการณ์ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ ‘บุ้ง’ ที่อดอาหารประท้วงกว่า 110 วัน ที่ถูกจำคุกตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2667 โดยทางการปฏิเสธที่จะให้การประกันตัวต่อบุ้งรวมทั้งนักกิจกรรมอื่น

“ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่เกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรมของไทย แสดงให้เห็นถึงการที่คน ๆหนึ่ง ออกมาเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานและการแสดงออก ในความเห็นของเขาไม่ว่าจะความเห็นอะไรก็ตาม สุดท้ายต้องลงเอยด้วยความตาย แทนที่จะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจต่อการสร้างความเปลี่ยนแปลงดิฉันขอเชิญทุกท่านที่ร่วมงานวันนี้ร่วมแสดงความเสียใจและรำลึกถึง บุ้ง เนติพร ด้วยการยืนสงบนิ่ง 1 นาที” นางปิยนุชเผย

จากนั้น ได้เชิญผู้เข้าร่วมงานแสดงความไว้อาลัยต่อ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้ง นักกิจกรรมทางการเมืองที่ประท้วงด้วยการอาหารจนเสียชีวิต ด้วยการยืนไว้อาลัยเป็นเวลา 1 นาที

ต่อมา นางปิยนุชกล่าวต่อไปว่า วันที่มีการรายงานข่าวการเสียชีวิตของบุ้ง กลับมีการแสดงความคิดเห็นทางออนไลน์หลายรูปแบบ ซึ่งเป็นลักษณะของการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แม้มีการแสดงความเสียใจจากคนกลุ่มหนึ่ง แต่คนอีกกลุ่มพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างเย้ยหยัน อันนี้ก็ถือว่าเป็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโลกดิจิทัลด้วย

“อยากจะให้การเสียชีวิตของเธอเป็นสัญญาณเตือนถึงทางการไทยและพวกเราทุกคน ในการเคารพสิทธิ เสรีภาพในการแสดงออก แล้วก็สิทธิการได้รับการประกันตัว การรักษาความยุติธรรม และการตระหนักเรื่องสิทธิเสรีภาพที่กำลังเกิดขึ้น” นางปิยนุชระบุ

นางปิยนุชกล่าวว่า วันนี้เราเปิดรายงาน “อันตรายเกินกว่าที่จะเป็นตัวเอง บนโลกออนไลน์และเทคโนโลยีดิจิทัล ที่มุ่งปิดปากนักกิจกรรมผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งจัดขึ้นโดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ ‘Protect the protest’ ซึ่งเป็นแคมเปญในระดับสากล ที่เรารณรงค์กันมาในระดับสากล

“เราต้องการที่จะนำเสนอเรื่องราว เพื่อปกป้องเรื่องสิทธิมนุษยชนของผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทย ผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และส่งเสริมความเคลื่อนไหวท่ามกลางที่ถูกบีบตัว โดยเฉพาะในภาคของประชาสังคม ตั้งแต่การรัฐประหารปี 2557 ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะแสดงตัวเป็นผู้นำในการเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศ

แต่ความจริงที่ปรากฏในรายงานพบว่า นักกิจกรรมหญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศถูกคุกคามต่าง ๆ นานา ทั้งความรุนแรงผ่านภาษา หรือประเด็นทางเพศ ซึ่งไม่ว่าคุณจะเป็นใครเป็นคนรักเพศเดียวกัน คนข้ามเพศ ผู้หญิง คุณเป็นตัวของตัวเองไม่ได้เลย มันเป็นความล้มเหลวของการปกป้องและคุ้มครองจากภาครัฐต่อคนกลุ่มนี้” นางปิยนุชกล่าว

นางปิยนุชกล่าวต่อว่า เราหวังว่ารายงานนี้จะช่วยให้ทุกคนเห็นถึงเนื้อหา ข้อเสนอแนะถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นนักกิจกรรมผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศถูกสอดส่องโดยไม่ชอบ ถูกสอดส่องโดยด้วยสปายแวร์ หรือคุกคามบนโลกออนไลน์ เหมือนกันเดินบนกับดักระเบิด ที่เดินไปทางไหนก็โดนทั้งนั้น เราอยากจะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของรัฐ ควรจะเป็นผู้กระทำหรือผู้ปกป้องพวกเขากันแน่

“เราอยากให้เรื่องราวของนักปกป้องสิทธิเหล่านี้เป็นที่รับรู้ของสังคม และรัฐก็ได้ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครอง และส่งเสริมพวกเขา ให้เขาได้ใช้สิทธิกันอย่างเต็มที่ และเราอยากสร้างความตระหนักรู้ให้กับสังคมว่า เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น อยากให้เคารพการแสดงออกและการประท้วง ให้พื้นที่ของพวกเขาโดยที่ไม่ทำให้รู้สึกหวาดกลัว

สุดท้ายที่สำคัญ คือ เราต้องการที่จะยืนหยัดเคียงข้าง ปกป้องสิทธิ เคียงข้างผู้หญิง ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ เพื่อที่จะได้สื่อสารเรื่องราวของตัวเอง ด้วยความเป็นตัวเองอย่างแท้จริง ไม่ต้องหวาดกลัวการโจมตี หรือ โดนทำร้ายอีกต่อไป” นางปิยนุชทิ้งท้าย 

'เศรษฐา' ส่งกำลังใจถึง 'นายกฯ สโลวาเกีย-ครอบครัว' ลั่น!! ขอยืนหยัดเคียงข้างประชาคมทั่วโลก

(16 พ.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X ระบุว่า...

“พวกเราตกใจเป็นอย่างมาก สำหรับเหตุการณ์โจมตี นายโรเบิร์ต ฟิโก นายกรัฐมนตรีสโลวาเกีย และขอประณามการใช้ความรุนแรงดังกล่าว ตลอดจนขอยืนหยัดเคียงข้างประชาคมทั่วโลก และประชาชนชาวสโลวาเกีย ทั้งนี้ ขอส่งกำลังใจไปยังนายกรัฐมนตรี โรเบิร์ต ฟิโก และครอบครัวในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้”

โรงพยาบาลตำรวจ พร้อมสนับสนุนทีมแพทย์ พยาบาล ปฏิบัติภารกิจจัดการแข่งขันมวยสากลระดับโลกเพื่อคัดเลือกไปโอลิมปิก

วันพุธที่ 15 พฤษภาคม 2567 ณ ห้องประชุม ชั้น 25 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา การกีฬาแห่งประเทศไทย นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานแถลงข่าว ความพร้อมศึกมวยสากลชิงตั๋วโอลิมปิก 2024 เปิดตัว 6 กำปั้นไทยได้ลุ้นโควต้าในบ้าน โดยมี นายกสมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทย และ คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ให้การต้อนรับ 

โอกาสนี้ พล.ต.ท.ไพบูลย์ เจียมอนุกูลกิจ นายแพทย์ (สบ 8)โรงพยาบาลตำรวจ/กรรมการและประธานฝ่ายแพทย์/คณะกรรมการการจัดการแข่งขันมวยสากลระดับโลก เพื่อคัดเลือกไปโอลิมปิก ร่วมแถลงข่าวด้วย 

โดยเผยว่า โรงพยาบาลตำรวจ ร่วมสนับสนุน จัดการแข่งขันมวยสากลระดับโลกเพื่อคัดเลือกไป สนามที่ 2 หรือ 2 nd World Qualifying Tournament Boxing Road To Paris Bangkok ซึ่งสนามสุดท้ายนี้จะเริ่มระเบิดกำปั้นนัดแรก วันที่ 24 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน นี้ ที่สนามอินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก กรุงเทพฯ ทางโรงพยาบาลให้การสนับสนุนภารกิจดูแลนักกีฬา ที่เข้าร่วมการแข่งขัน ทั้งที่สนามแข่งขัน และโรงแรมที่นักกีฬาเข้าพัก โดยจัดทีมแพทย์ พยาบาล ประจำการแข่งขัน เพื่อดูแลนักกีฬา ตลอดระยะเวลาการแข่งขันทั้ง 11 วัน ซึ่งจัดทีมแพทย์ 3 ทีม ต่อวัน รวมทั้งรถพยาบาล จากศูนย์ส่งกลับโรงพยาบาลตำรวจ ในการนำส่งนักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บเข้ารักษาดูแลต่อที่โรงพยาบาล

พล.ต.ท.ไพบูลย์ เจียมอนุกูลกิจ ยังกล่าวอีกว่า ภารกิจครั้งนี้เป็นภารกิจครั้งยิ่งใหญ่ ที่มีความสำคัญระดับโลก โรงพยาบาลตำรวจขอบคุณผู้จัดการแข่งขัน ที่ไว้วางใจให้ร่วมภารกิจครั้งนี้ ซึ่งทางโรงพยาบาลตำรวจ มีความพร้อมให้การสนับสนุนทีมแพทย์ พยาบาลดูแลสุขภาพร่างกายของนักกีฬาอย่างเต็มที่

การแข่งขันกีฬาระดับโลกครั้งนี้ มีประเทศที่ลงทะเบียนข้าร่วมการแข่งขัน 144 ประเทศ มีนักกีฬา และเจ้าหน้าที่ กว่า 1,460 คน ทั่วโลกเข้าร่วมการแข่งขัน ผู้ผ่านเข้ารอบทั้งหมดจะได้รับการรับรองจากคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งชาติ (NOC) และถือเป็นการสิ้นสุดการคัดเลือกนักกีฬามวยสากลโลกสู่โอลิมปิก 2024

โรงพยาบาลตำรวจ เชิญชวนประชาชนร่วมเชียร์ สิบตำรวจโท ธิติสรรณ์ ปั้นโหมด รุ่น 51 กิโลกรัม นักกีฬามวยที่ได้รับ คัดเลือกไปแข่งขันมวยโอลิมปิก และ ส่งกำลังใจให้ 3 ตำรวจ คือ  สิบตำรวจโท พีรภัทธ์ เยียะสูงเนิน รุ่น 71 กิโลกรัม สิบตำรวจโท วีระพล จงจอหอ รุ่น 80 กิโลกรัม และสิบตำรวจโทหญิง ใบสน มณีก้อน รุ่น 75 กิโลกรัม ที่ จะเข้าแข่งขันรอบคัดเลือกเพื่อไปโอลิมปิก

ศูนย์ประชาสัมพันธ์ สื่อสารองค์กร และโฆษกโรงพยาบาลตำรวจ ขออนุญาตเผยแพร่ภาพและข่าวประชาสัมพันธ์ที่มีภาพบุคคลในกิจกรรมดังกล่าว

"ศูนย์กลางข่าวสาร ประสานฉับไว ใส่ใจบริการ เพื่อตำรวจและประชาชน"

‘ดร.เอ้’ มอง ‘สิงคโปร์’ ใต้การนำของนายกฯ เจนสี่ ‘ลอว์เรนซ์ หว่อง’ ‘สร้างคน-ชาติ-สังคม’ ใต้ข้อจำกัด เชื่อ!! ไทยก็ทำได้ อยู่ที่ ‘ผู้นำ’

(16 พ.ค. 67) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ‘ดร.เอ้’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม. ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก 'เอ้ สุชัชวีร์' ในหัวข้อ 'ผู้นำไทย ควรเรียนรู้จากสิงคโปร์' ระบุว่า...

การสร้างคน สร้างชาติ สร้างสังคม ภายใต้ข้อจำกัด อย่างมหัศจรรย์ #เราทำได้

'ลอว์เรนซ์ หว่อง' ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเจนสี่ ของสิงคโปร์ ประกาศต่อยอด 'คัมภีร์สร้างชาติ' จากผู้นำ 3 รุ่นที่ผ่านมา โดยเฉพาะจาก 'รัฐบุรุษลี กวนยู'

นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ทุกรุ่น เน้นการ 'สร้างคน' สำคัญที่สุดเสมอ โดย 'ลอว์เรนซ์ หว่อง' จะทำอะไรต่อจากนี้ น่าเรียนรู้ยิ่ง...

1. 'แสวงหาคนเก่ง' จากทั่วโลก
ลีกวนยู นายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์ ได้นักเศรษฐศาสตร์ชาวเนเธอร์แลนด์ ช่วยวางรากฐานทางเศรษฐกิจ ได้นักการทหารอิสราเอล ช่วงวางรากฐานกองทัพ ขณะเริ่มสร้างประเทศสิงคโปร์

'คนเก่ง' มาจากชาติไหนไม่สำคัญ ขอให้มาอยู่ มาช่วยพัฒนาสิงคโปร์ ชาติก็เจริญ

อีกทั้ง จำนวนประชากรสิงคโปร์ เติบโตไม่ทัน 

ลอว์เรนซ์ หว่อง จึงมุ่งให้ทุนการศึกษาเด็กมัธยมต้น จากชาติอาเซียน โดยเฉพาะ 'เด็กไทยชั้นยอด' ให้ไปเรียนมัธยมปลาย มหาวิทยาลัย จบออกมาทำงานในสิงคโปร์ และให้สิทธิ์เป็นพลเมือง พร้อมพ่อแม่ 

แม้ประเทศไทย อาจน่าอยู่ แต่คุณภาพการศึกษา สิ่งแวดล้อม และโอกาสได้งานที่ท้าทาย อาจไม่โดนใจคนรุ่นใหม่ เท่ากับสิงคโปร์ เราจึงสูญเสียยอดเด็กไทยไปอยู่สิงคโปร์เพิ่มขึ้นทุกปี

2. 'เน้นปัจจัยสี่' สำคัญที่สุด
อาหาร เครื่องนุ่งห่ม บ้าน และยารักษาโรค คือ ปัจจัยสี่ คือ พื้นฐานของชีวิต แต่ความท้าทาย คือ แม้พลเมืองจะมีรายได้สูง แต่อาหารและค่าครองชีพสูงขึ้นทุกวัน รัฐบาลสิงคโปร์จะลดค่าครองชีพได้อย่างไร 

คนรุ่นใหม่ก็ไม่มีกำลังซื้อบ้าน เพราะที่ดินมีจำกัด ทำให้บ้านราคาสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก 

ลอว์เรนซ์ หว่อง เกิดในบ้านการเคหะ ที่ริเริ่มโดย ลี กวนยู เมื่อ 50 ปีก่อน ผมเคยไปเยี่ยมเมื่อครั้งเป็นประธานการเคหะแห่งชาติ หลายปีก่อน บ้านการเคหะสิงคโปร์แม้ห้องขนาดเล็ก แต่น่าอยู่ สิ่งแวดล้อมดี แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ และบ้านการเคหะสิงคโปร์ก็ไม่ได้ราคาถูกในวันนี้

ลอว์เรนซ์ หว่อง สนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ มีบ้านของตนเอง ไม่เป็นหนี้เยอะ โดยให้แต้มต่อ คนเพิ่งเริ่มต้นทำงาน ได้ผ่อนบ้านในราคาพิเศษ ที่รัฐช่วยอุดหนุน

ด้านสาธารณสุข สิงคโปร์ประกาศเป็นผู้ผลิตเทคโนโลยีการแพทย์ และยารักษาโรค พึ่งพาตนเองและส่งออกได้ เพื่อความมั่นคงทางสุขภาพ และลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้ามหาศาล

เมื่อคนรุ่นใหม่มีบ้านของตนเอง ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ไม่ก่อหนี้เกินตัว ย่อมมีพลังในการทำงาน สร้างเศรษฐกิจเข้มแข็ง

3. 'สิ่งแวดล้อมดี คุณภาพชีวิตดี' คือ ลมหายใจของเมือง
สิงคโปร์ มีโรงงาน มีท่าเรือ มีโรงเผาขยะ แต่แทบไม่มี PM 2.5 จากภายในประเทศ และพื้นที่สีเขียว 66 ตารางเมตรต่อคน มากกว่ากทม. 10 เท่า! 

ลอว์เรนซ์ หว่อง ประกาศว่า คุณภาพชีวิตของคนสิงคโปร์ ตื่นนอนสดชื่น เดินมาขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้า ไม่เกิน 5 นาที กลับบ้านตรงเวลา รถไม่ติด 'น้ำไม่ท่วม' มีเวลากับลูกและครอบครัว ความปลอดภัยต้อง 100% 

เพราะถึงแม้มีเงิน แต่หากสิ่งแวดล้อมไม่ดี คุณภาพชีวิตก็ไม่ดี สิ่งแวดล้อมดีจึงทำให้สิงคโปร์เป็นเมืองที่น่าอยู่ น่าทำงาน

4. 'สร้างสังคมนวัตกรรม' คือ ความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ
ลอว์เรนซ์ หว่อง จะต่อยอดนโยบาย ตามอดีตนายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง ในการเปลี่ยนเศรษฐกิจของสิงคโปร์ จากเมืองท่าสู่บริการการเงิน จากบริการการเงินสู่การส่งออกเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยมุ่งสร้างคนจำนวนมาก ด้าน AI คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการแพทย์ และพลังงานทดแทน อย่างจริงจัง

เพราะเศรษฐกิจในอนาคต จะรุ่งเรืองได้ ต้องมาจาก 'เศรษฐกิจนวัตกรรม' ที่อาศัยพลังสมองชั้นยอดของพลเมือง สิงคโปร์จึงต้องเน้นเรื่องการสร้างคน

แม่ของ ลอว์เรนซ์ หว่อง เป็นครูประถม ผู้ทุ่มเทกับการเรียนของลูก จนลูกได้เรียนปริญญาตรีและปริญญาโท ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐ ก่อนกลับมาทำงานการเมือง เป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษา เป็นนายกรัฐมนตรี

จึงมั่นใจการขับเคลื่อน เรื่องการศึกษา ในยุคนายกฯ ลอว์เรนซ์ หว่อง น่าจะก้าวกระโดดเช่นกัน

เมื่อเรียนรู้จากสิงคโปร์แล้ว นายกรัฐมนตรีประเทศไทย ควรเร่งทำ 4 เรื่องนี้เช่นกัน ต้องไม่ทำงาน 'ฉาบฉวย' แม้แต่เรื่องเฉพาะหน้า ยังแก้ปัญหาไม่เบ็ดเสร็จ

'การศึกษาไทย' ยังวังเวง แทบไม่มีการพัฒนา เพราะนายกฯ ไม่ใส่ใจ 'โรงงานสารเคมี' ถูกปล่อยไว้ ไฟไหม้ซ้ำซาก ทำลายสิ่งแวดล้อม 'บ่อนเสรี' มีเมื่อไม่พร้อม จะกำลังจะมาทำลายอนาคตลูกหลาน 'ยาเสพติด' เต็มเมือง เปิดร้านขายกัญชาได้ที่หน้าโรงเรียน 

อนาคตไทย อยู่ที่ 'ผู้นำ' จะทำเพื่อชาติ หรือ ทำเพื่อตนเองและพวกพ้อง

ด้วยความห่วงใย และรักชาติยิ่ง

'บัสบาส' ผู้ต้องขังคดี ม.112 เรือนจำเชียงราย เลิกอดอาหารแล้ว นิ่งหลังรู้ 'บุ้ง' เสียชีวิต คาดยังชั่งน้ำหนักว่าจะทำอย่างไรต่อไป

(16 พ.ค.67) นายพัศพงศ์ ใจคล่องแคล่ว ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย ต.ดอยฮาง อ.เมืองเชียงราย เปิดเผยว่า นายมงคล ถิระโคตร หรือ ‘บัสบาส’ อายุ 30 ปี ชาว อ.พาน จ.เชียงราย ต้องคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และคดีเกี่ยวกับการนำเข้าข้อมูลเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ต่างกรรมต่างวาระ มีโทษจำคุกรวมกันเป็นเวลา 55 ปี ซึ่งถือเป็นอัตราโทษที่สูง ถูกส่งตัวเข้าสู่เรือนจำกลางเชียงรายเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2567 หรือเป็นเวลา 4 เดือนกว่า

ขณะนี้เป็นผู้ต้องขังอยู่ในแดน 1 หรือแดนควบคุมพิเศษ เรือนจำกลางเชียงราย ซึ่งจะคุมขังรวมกับนักโทษคนอื่น ๆ รวมกันประมาณ 200 คน โดยใช้ชีวิตตามปกติ โดยยังอยู่ในระหว่างอุทธรณ์และฎีกาซึ่งถือว่ายังไม่ใช่นักโทษเด็ดขาด และทราบมาว่าทนายความของนายมงคลได้ยื่นประกันตัวเพื่อให้ออกไปสู้คดีอยู่

นายพัศพงศ์กล่าวว่า ระหว่างถูกคุมขังพบว่านายมงคลได้มีการอดอาหารเมื่อวันที่ 27 ก.พ. ก่อนจะยกเลิกไปเมื่อวันที่ 24 เม.ย. จากนั้นก็ใช้ชีวิตในแดน 1 ตามปกติ รับประทานอาหาร และปฏิบัติตามกฎระเบียบของเรือนจำ โดยระหว่างอดอาหารเป็นเวลา 1 เดือนกว่าก็ยังดื่มน้ำและเครื่องดื่มตามปกติ ซึ่งตนได้ให้เจ้าหน้าที่เรือนจำเฝ้าระวังเรื่องสุขภาพและให้นักจิตวิทยาเข้าไปพูดคุยดูแลสภาพจิตใจรวมทั้งให้พยาบาลเข้าไปตรวจร่างกายทุกอาทิตย์ ยกเว้นมีอาการอ่อนแรงหรือใจสั่นก็จะให้พยาบาลเข้าไปตรวจเป็นกรณีพิเศษ

ทั้งนี้ เราได้บอกกับเขาว่าการอดอาหารจะทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารและได้รับผลกระทบแต่นายมงคลก็ยืนยันจะอดอาหารอยู่ เจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่ในการดูแลก็ไม่สามารถบังคับได้ ก็หันมาดูแลเรื่องสุขภาพทำให้ที่ผ่านมาไม่มีปัญหาใด ๆ โดยนายมงคลยังมีร่างกายที่แข็งแรงดีอยู่

สำหรับกรณี น.ส.บุ้ง ที่เสียชีวิตนั้น นายพัศพงศ์กล่าวว่า ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ว่านายมงคลยังคงนิ่งเฉยและไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ รวมทั้งไม่ได้อดอาหาร คาดว่าอาจจะยังคงชั่งน้ำหนักว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพราะเขาเคลื่อนไหวในลักษณะเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ปล่อยนักโทษการเมืองทั้งหมด ซึ่งนายมงคลได้คุยกับเจ้าหน้าที่เรือนจำว่าจะปฏิบัติตามกฎระเบียบของเรือนจำตามปกติ ในส่วนของการต่อสู้ก็ยังจะดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หลังจากยกเลิกการอดอาหารครั้งดังกล่าวแล้ว

"ฝากประชาสัมพันธ์เรื่องผู้ต้องขังกรณีเจ็บไข้ เจ้าหน้าที่เรือนจำจะดูแลเรื่องสุขภาพ ความเป็นอยู่ของผู้ต้องขัง ฝากพี่น้องประชาชนไม่ต้องเป็นห่วง ส่วนโทษคดีที่สูง ๆ เป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว กรมราชทัณฑ์เรามีหน้าที่ควบคุม แก้ไข ฟื้นฟู ดูแลเรื่องความเป็นอยู่ สุขภาพ ตามหลักสิทธิมนุษยชนและระเบียบของทางราชการโดยเคร่งครัด จะเห็นได้ว่าแม้ป่วยตอนตี 1 ตี 2 ถ้าพยาบาลในเรือนจำดูแล้วไม่สามารถรักษาได้ก็จะเรียกรถ 1669 ให้ไปรับผู้ต้องขังเพื่อนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด ซึ่งทางผู้บริหารระดับสูงได้เน้นยำให้ปฏิบัติต่อผู้ต้องขังตามหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเครงครัด" นายพัศพงศ์กล่าว

กำลังพลที่เหลวไหล จะไม่มีโอกาสได้เจริญเติบโต

ทหารเรือ มีไว้ทำไม?...‘พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม’ ผบ.ทร.คนที่ 57 จะมาเผยถึงภารกิจกองทัพเรือ ที่สังคม ‘ไม่ค่อยได้เห็น’ เพราะชีวิตส่วนใหญ่อยู่บนผืนน้ำ

“ทหารเรือต้องทำทุกอย่าง เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นและศรัทธา“

“ป้องกันประเทศ / เฝ้าระวังคนหลบหนีเข้าเมือง / สกัดลักลอบขนยาเสพติด สินค้าเถื่อน / ป้องปราบการทำประมงผิดกฎหมาย ขบวนการทำลายทรัพยากรใต้น้ำ / ป้องกันฐานขุดเจาะพลังงาน / ช่วยเหลือภัยพิบัติ ฯลฯ.”

รับชมภารกิจส่วนหนึ่งของทหารเรือ จากคำบอกเล่า ผบ.ทร. ได้ที่: https://youtu.be/ci6kC3rjTjU?si=ulLRjwUGryy5bM6X 

'พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วย ผบ.ตร.' ลงพื้นที่ตรวจสอบ ร่วมสังเกตการณ์ และเร่งแก้ไขปัญหาจราจรติดขัดในกรุงเทพมหานคร รองรับการเปิดภาคเรียน มุ่งลดอุบัติเหตุและอำนวยความสะดวกให้แก่พี่น้องประชาชน

ตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีในการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเมืองท่องเที่ยว โดยได้รับฟังสภาพปัญหาและแนวทางการพัฒนาของกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาการจราจร ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหารถโดยสารสาธารณะ แท็กซี่ และรถสามล้อ จอดกีดขวางส่งผลให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้โดยสาร และเกิดปัญหาการจราจรติดขัด ประกอบกับเป็นช่วงของการเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 และเข้าสู่ฤดูฝนในบางพื้นที่อาจเกิดผลกระทบในด้านการจราจร

วันนี้ (15 พฤษภาคม 2567) เวลา 17.00 น. พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธวัช วงศ์สง่า รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และคณะ ลงพื้นที่ตรวจการจราจรบริเวณแยกปทุมวัน แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เพื่อรับฟังแนวทางการดำเนินการเพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรที่ติดขัดเป็นเวลานาน และเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดภาคเรียนการศึกษาของโรงเรียนส่วนใหญ่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ภายในสัปดาห์นี้เป็นต้นไป ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) ในการอำนวยความสะดวกการจราจรให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยให้ความสำคัญการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด เช่น พื้นที่ที่มีรถรับจ้างสาธารณะ รถขนส่งจอดกีดขวางพื้นผิวการจราจร และเส้นทางที่มีการจราจรติดขัดเป็นประจำในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครชั้นใน เพื่อรองรับช่วงการเปิดการศึกษาและบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดแบบต่อเนื่อง

โดย พล.ต.ท.กรไชย ฯ ได้ดูการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้า MBK และบริเวณใกล้เคียง ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ และเป็นสถานที่ตั้งของสถานศึกษาหลายแห่งในบริเวณใกล้เคียง อยู่ในพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่น โดยจะประเมินสภาพการจราจรในช่วงเปิดภาคเทอม ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญส่งผลกระทบกับปัญหาการจราจรในภาพรวมทั้งระบบ 

พล.ต.ท.กรไชย ฯ กล่าวว่า วันนี้ได้สั่งการให้แต่ละพื้นที่วิเคราะห์สถานการณ์การจราจรในห้วงการเปิดภาคการศึกษาวันแรกทั้งช่วงเช้าและช่วงเย็น ซึ่งถือว่าเป็นการปฏิบัติที่หน่วยปฏิบัติมีแนวทางดำเนินการอยู่แล้ว แต่อาจมีปัจจัยด้านอื่นที่ส่งผลทางอ้อม เช่น ปริมาณรถที่เพิ่มมากขึ้น สภาพอากาศ ฝนตก น้ำท่วมขัง หรือพื้นผิวการจราจรที่ซ่อมสร้าง เป็นต้น ทั้งนี้ ได้สั่งการให้เตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรกว่า 4,000 นาย คอยอำนวยความสะดวกด้านการจราจรบริเวณหน้าสถานศึกษา ประสานการทำงานในพื้นที่ต่อเนื่องเพื่อรับรถเข้าเมือง เร่งระบายออกเมือง และบริหารสัญญาณไฟจราจรให้มีความสัมพันธ์กับปริมาณรถ ซึ่งสภาพการจราจรอาจจะมีติดขัดบ้างตามหน้าสถานศึกษาที่มีปัญหาการจราจรหนาแน่น โดยกำชับความร่วมมือระหว่างตำรวจ ผู้ปกครอง และสถานศึกษา ในการบริหารจัดจุดรับส่งนักเรียน-นักศึกษาอย่างเป็นระบบ มีการนำจิตอาสาจราจรมาช่วยในการอำนวยความสะดวกให้กับเด็กนักเรียน ผู้ปกครอง และผู้ใช้รถใช้ถนน บริเวณหน้าโรงเรียน โดยเฉพาะบริเวณทางข้ามทางม้าลาย พร้อมรณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้ผู้ปกครอง นักเรียน และนักศึกษา ปฏิบัติตามกฎจราจร โดยเฉพาะการใช้อุปกรณ์นิรภัยในการขับขี่ ได้แก่ การสวมหมวกนิรภัย การรัดเข็มขัดนิรภัย ตลอดจนขอความร่วมมือกับโรงเรียนและสถาบันการศึกษา ในการใช้มาตรการองค์กร เพื่อให้ผู้ปกครอง นักเรียน และนักศึกษา ปฏิบัติตามกฎจราจร ทั้งภายในและบริเวณโดยรอบพื้นที่ ทั้งนี้ ตำรวจจราจรได้มีการประสานงานกับสถานีตำรวจนครบาลข้างเคียง ให้ปล่อยสัญญาณไฟจราจรให้สัมพันธ์กัน และจะได้มีการประชุมเพื่อปรับแผนการอำนวยจราจรในภาพรวมทั่วประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดใหญ่ที่มีสภาพการจราจรหนาแน่นคล้ายกับพื้นที่กรุงเทพมหานครให้ดียิ่งขึ้น

พร้อมกันนี้ได้กำชับในการเพิ่มมาตรการกวดขันวินัยจราจรและอำนวยความสะดวก ขนส่งสาธารณะ การบริหารจัดการจราจรในภาพรวม รวมทั้งการรณรงค์เสริมสร้างวินัยจราจรร่วมกับโรงเรียนในพื้นที่อย่างเป็นระบบ พร้อมประสานงานภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เร่งติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มในจุดที่เป็นปัญหา เพื่อเสริมการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตลอดจนได้สั่งห้ามไม่ให้มีการเรียกรับประโยชน์โดยมิชอบเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด ซึ่งมีโทษทางวินัยและอาญาเป็นตัวกำกับผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว

นอกจากนี้ พล.ต.ท.กรไชย ฯ กล่าวว่า ขอฝากถึงผู้ขับรถโดยสารสาธารณะ รถประจำทาง ขอให้การจอดรับส่งผู้โดยสารในจุดที่กำหนด เพื่อไม่ให้กระทบกับปัญหาจราจรโดยรวม และฝากถึงผู้ขับรถโดยสารแท็กซี่ หรือรถตุ๊กตุ๊ก ว่า การเรียกเก็บค่าโดยสารขอให้อยู่ในอัตราที่เหมาะสม เป็นธรรมกับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ หากมีมิเตอร์ขอให้กดมิเตอร์เพื่อให้ราคาอยู่ในอัตราที่กำหนดในทุกกรณี เพื่อร่วมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ

(สุรินทร์) ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 มอบทุนการศึกษาให้กับบุตรของกำลังพล เพื่อเป็นสวัสดิการ ลดรายจ่ายในครัวเรือนให้กับกำลังพล

วันที่ 15 พฤษภาคม 2657 ที่ สโมสรค่ายวีรวัฒน์โยธิน มณฑลทหารบกที่ 25 พลตรี ชินวิช เจริญพิบูลย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 พร้อมด้วย นางอุไรวรรณ เจริญพิบูลย์ ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขา มณฑลทหารบกที่ 25 เป็นประธานมอบทุนการศึกษาเรียนดี ให้กับบุตรข้าราชการ ลูกจ้างและพนักงานราชการ ประจำปี 2567 จำนวน 145 ทุน แบ่งเป็น 3 ระดับ ดังนี้  ทุนระดับชั้นประถมศึกษา ถึง มัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 106 ทุน ทุนละ 1,500 บาท รวมเป็นเงิน 159,000 บาท ทุนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ถึง อนุปริญญา จำนวน 23 ทุน ทุนละ 2,000 บาท รวมเป็นเงิน 46,000 บาท ทุนระดับปริญญาตรี 16 ทุน ทุนละ 2,500 บาท รวมเป็นเงิน 40,000 บาท รวมทุนทั้ง 3 ระดับ รวมทุนทั้ง 3 ระดับ เป็นเงินทั้งสิ้น 245,00 บาท โดยมี พันเอก จิตรกร จันทร์สว่าง รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 ร่วมมอบทุนในครั้งนี้ 

จากนั้น พลตรี ชินวิช เจริญพิบูลย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 ได้มอบทุนการศึกษาให้กับหน่วยสำนักงานสัสดีจังหวัดสุรินทร์ สัสดีจังหวัดศรีษะเกษ และหน่วย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดศรีสะเกษ รวม 40 ทุน เป็นเงิน 68,000 บาท ทั้งนี้ พลตรี ชินวิช เจริญพิบูลย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 กล่าวว่า การมอบทุนการศึกษาในช่วงเปิดเทอมนี้ เพื่อเป็นสวัสดิการ ลดรายจ่ายในครัวเรือนให้กับกำลังพล ในช่วงเปิดเทอมใหม่ และเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ และเป็นการดูแลในเรื่องสวัสดิการของกำลังพลชั้นผู้น้อย ตามนโยบายเร่งด่วนของผู้บัญชาการทหารบก ที่ต้องการส่งเสริมและกระตุ้นให้บุตรของกำลังพล ได้ตั้งใจในการศึกษาเล่าเรียน ให้มีความภาคภูมิใจในผลการเรียน เพื่อเป็นอนาคตที่สำคัญของครอบครัว สังคม และประเทศชาติต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top