Monday, 28 April 2025
NEWS FEED

กระทรวงพาณิชย์ เตือน ผู้ประกอบการโชวห่วย นิ่งเฉยไม่ได้หลังโควิด-19 ระบาดระลอกใหม่ ระวังเรื่องความสะอาดของร้านค้าและสินค้าโดยต้องปราศจากเชื้อโรค ตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่ยกระดับจาก New Normal เป็น Next Normal

นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงไปอีกขั้น โดยอยู่บนพื้นฐานของความระมัดระวังมากขึ้น และมีการยกระดับการดำเนินชีวิตจาก ‘วิถีปกติใหม่’ (New Normal) เป็น ‘วิถีปกติถัดไป’ (Next Normal) ที่เทคโนโลยีดิจิทัลจะกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตและเข้ามามีบทบาทในทุกมิติ โดยทุกคนต้องหันมาพึ่งพาตนเองมากขึ้น

ดังนั้น ร้านค้าโชวห่วยของไทยจึงไม่สามารถประกอบธุรกิจได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ต้องเร่งปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมใหม่ของผู้บริโภค เช่น ปรับวิธีการบริหารจัดการร้านค้าให้เป็นระบบ/ระเบียบมากขึ้น ต้องให้ความใส่ใจเรื่องสุขอนามัยที่ดี ร้านค้า/สินค้าต้องสะอาดปราศจากเชื้อโรค และต้องหมั่นทำความสะอาดร้านค้าให้บ่อยมากขึ้น

รวมทั้ง ต้องใช้ระยะห่างทางสังคมเข้ามาช่วยในการบริหารลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการภายในร้านค้า สินค้าในร้านต้องหาง่าย เนื่องจากลูกค้าจะใช้เวลาอยู่ภายในร้านไม่นาน ฯลฯ และที่สำคัญ คือ ต้องเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านออนไลน์ควบคู่กับการขายสินค้าหน้าร้าน (Omni-Channel) ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้เพิ่มขึ้นทั้งลูกค้ารายเดิมและลูกค้ารายใหม่

ซึ่งผู้ค้าไม่จำเป็นต้องสร้างเว็บไซต์เป็นของตนเอง แต่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ที่ใช้กันอยู่เป็นประจำ เช่น แอพพลิเคชั่นไลน์ หรือ แมสเซนเจอร์ เป็นช่องทางการตลาดให้กับผู้บริโภคในการสั่งซื้อสินค้า ซึ่งผู้คนในชุมชนส่วนใหญ่จะมีการใช้สื่อสังคมออนไลน์ดังกล่าวกันอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเรียนรู้การใช้สื่อสังคมออนไลน์เพิ่มเติม เป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ซื้อ และผู้ขายก็จะมียอดขายเพิ่มขึ้น โดยมีการจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าแบบเดลิเวอรี เช่น จักรยานยนต์ หรือ จักรยาน เป็นต้น”

“นอกจากนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ยังเดินหน้าผลักดันให้ร้านค้าโชวห่วยมีการนำระบบเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการร้านค้า เช่น ระบบการขายหน้าร้าน (Point of Sale : POS) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน/เพิ่มกำไรให้แก่ธุรกิจ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุค Next Normal และแข่งขันได้อย่างยั่งยืน”

รมช.พณ. กล่าวต่อว่า “ทั้งนี้ ผู้ประกอบการโชวห่วยส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากการเข้าร่วมโครงการ ‘คนละครึ่ง’ ของรัฐบาล ทำให้มียอดขายและสภาพคล่องดีขึ้น รวมทั้ง ส่งผลดีต่อผลประกอบการของผู้ประกอบธุรกิจรายย่อยซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้ขับเคลื่อนได้อย่างตรงจุด

ซึ่งจนถึงปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 3 มกราคม 2564 : กระทรวงการคลัง) มีร้านค้าที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งแล้วกว่า 1.1 ล้านร้านค้า มีผู้ใช้สิทธิตามโครงการคนละครึ่ง และโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 แล้วจำนวน 12,050,115 คน มียอดการใช้จ่ายสะสม 53,431.90 ล้านบาท (แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 27,353.40 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 26,078.50 ล้านบาท) โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สงขลา ชลบุรี เชียงใหม่ และ นครศรีธรรมราช ตามลำดับ”

“ร้านค้าโชวห่วยท้องถิ่นถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้มีความเข้มแข็ง ช่วยอำนวยความสะดวกประชาชนให้สามารถซื้อหาสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันได้อย่างง่ายดาย รวมถึง เป็นแหล่งกระจายสินค้าท้องถิ่นและสินค้าชุมชนของประเทศ อย่างไรก็ดี ร้านค้าโชวห่วยและร้านค้าชุมชนท้องถิ่นต้องเผชิญกับความท้าทายจำนวนมาก ทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และการแข่งขันในอุตสาหกรรมค้าปลีกที่ค่อนข้างรุนแรงจากการเข้ามาของร้านค้าปลีกสมัยใหม่และร้านค้าปลีกออนไลน์ ทำให้จำเป็นต้องปรับตัวทั้งด้านการปรับภาพลักษณ์ร้านค้า การตลาด การบริหารคลังสินค้า รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ภายในร้านค้าอย่างเหมาะสม” รมช.พณ.กล่าวทิ้งท้าย

ปัจจุบัน ประเทศไทยมีผู้ประกอบการธุรกิจค้างค้าปลีกโชวห่วยขนาดกลาง จำนวน 6,217 ร้านค้า และโชวห่วยขนาดเล็กประมาณ 400,000 ร้านค้า สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2547 5986 สายด่วน 1570 และ www.dbd.go.th

ถึงคุณชัชชาติและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ: กรณีวัคซีนโควิด เราต้องไม่ปล่อยให้รัฐบาลสร้างระบบ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” เช่นนี้

จากกรณีที่คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้เปิดเผยกับสื่อมวลชนเมื่อวานนี้(13 มกราคม 2564) ถึงแนวคิดให้ทางการกรุงเทพมหานคร ใช้งบประมาณ 8,000 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อวัคซีนสำหรับประชาชน ที่อยู่ในพื้นที่จำนวน 8 ล้านคน ซึ่งเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่ง เช่นที่เทศบาลนครนนทบุรี และเทศบาลนครแหลมฉบัง ที่จะจัดหาวัคซีนให้ประชาชนในเขตของตนเอง

ซึ่งถือว่าเป็นข้อเสนอ ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน เป็นความหวังดีที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถจัดการได้ภายใต้กรอบกฎหมายและระเบียบราชการที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม ผมอยากให้เราย้อนกลับมาฉุกคิดตรงนี้ ว่าแท้จริงแล้วผู้ที่มีงบประมาณเหลือมากที่สุด และมีหน้าที่โดยตรงในการจัดการปัญหานี้คือใครกันแน่? สำหรับผมแล้วเห็นว่าเป็นหน้าที่อันหลีกเลี่ยงไม่ได้ของรัฐบาลไทย

หากได้ติดตามการทำงานของ ส.ส. หมอเอก เอกภพ เพียรพิเศษ ที่เป็นตัวแทนของพรรคก้าวไกล อภิปราย พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทของรัฐบาล ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 หรือเมื่อ 8 เดือนที่แล้ว จะเห็นได้ว่าพรรคก้าวไกลเราเสนอให้รัฐบาลไทยจัดงบประมาณ 67,000 ล้านบาท เอาไว้เพื่อจัดหาวัคซีน บนพื้นฐานของหลักการว่าจะต้องฟรีสำหรับประชาชนทุกคน “Vaccine For All”

เมื่อวานนี้คุณหมอเอกก็ได้ลงรายละเอียดประเด็นนี้เพิ่มเติมว่าการแยกกันจัดการ/จัดหา จะยิ่งเพิ่มภาระทางการเงินการคลังของแต่ละท้องถิ่น และยังส่งผลต่อการบริหารจัดการแจกจ่ายวัคซีนให้ประชาชนทั้งประเทศอย่างเป็นธรรมตามหลักการทางการแพทย์ด้วย

เพราะวัคซีนโควิดนั้นไม่ใช่ส่วนเสริมให้คุณภาพชีวิตเราดีขึ้นแบบใครจะทำเพิ่มหรือไม่ทำก็ได้เหมือนกับการสร้างหอชมเมืองที่แต่ละท้องถิ่นตัดสินใจเลือกเองว่าจะเอางบประมาณไปทำอะไร แต่นี่เป็น ”ความจำเป็น” ในสถานการณ์วิกฤต ที่ทุกคนจะต้องได้ฟรี เหมือนกับวัคซีนอื่นๆ ที่กระทรวงสาธารณสุขฉีดให้ประชาชนฟรีอยู่แล้ว เช่นวัคซีนวัณโรค คอตีบ บาดทะยัก โปลิโอ ฯลฯ (โดยความคาดหวังว่าวิถีชีวิตจะกลับสู่ปกติโดยเร็วเพื่อให้การทำมาหากินของประชาชนกลับมาสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด แต่วัคซีนโควิดก็เป็นเพียงการใช้ในภาวะฉุกเฉินหรือ Emergency Use Approval เท่านั้น ซึ่งหมายความต้องมีระบบติดตามและวางแผนยุทธศาสตร์ในการฉีดที่ดีมากและต้องเป็นเอกภาพ)

ไม่นับว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมดในประเทศไทย ยังไม่มีท่าทีชัดเจนว่าจะจัดซื้อวัคซีนให้ประชาชนในเขตตนเองหรือไม่ เพราะมีอีกหลายแห่งที่ขาดงบประมาณเพื่อจัดซื้อวัคซีน กลายเป็นว่าจะมีบางแห่งที่ประชาชนได้วัคซีน บางแห่งไม่ได้ เพราะไม่มีงบประมาณ กลายเป็นระบบ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา”

ดังนั้น หากเรามองในภาพใหญ่ทั้งประเทศ เป็นการดีที่สุดที่จะต้องยึดตามหลักการเดิมไว้ นั่นคือให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลไทยในการใช้งบประมาณแผ่นดินจากภาษีประชาชนที่ตนเองมีเหลือใช้อยู่แล้ว เพื่อจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพสำหรับประชาชนทุกคนในประเทศนี้

(แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือ รัฐบาลเปิดเผยแผนว่าจะมีการจัดหาวัคซีนให้เพียงครึ่งหนึ่งของประชากรไทยเท่านั้น และมีท่าทีสนับสนุนให้ท้องถิ่นจัดซื้อหาวัคซีนกันเอง เท่ากับว่าประชาชนไทยอีกครึ่งหนึ่งต้องพึ่งพิงกับแต่ละท้องถิ่นว่าจะทำหรือไม่ทำ)

ส่วนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศนั้น ผมเห็นว่าจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการร่วมมือกับรัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข เพื่อร่วมกันจัดการกระจายวัคซีนไปยังประชาชนในพื้นที่เนื่องจากหน่วยงานเหล่านี้มีข้อมูลประชาชนในพื้นที่ละเอียดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเด็ก คนแก่ ผู้ป่วยติดเตียง ฯลฯ

และบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ ก็คือการช่วยเหลือ เยียวยา สนับสนุน ประชาชนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล เนื่องจากในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกันของประชากร ทั้งอาชีพ วัย ลักษณะการใช้ชีวิต ฯลฯ ย่อมมีความต้องการช่วยเหลือแตกต่างกัน ซึ่งท้องถิ่นสามารถจัดการงบประมาณตรงนี้ได้มีประสิทธิภาพและเข้าถึงประชาชนได้ดีเพราะใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่า ท่ามกลางมาตรการของรัฐบาลที่ยังไม่ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักมากเพียงพอต่อความต้องการ ซ้ำร้ายยังไม่ครอบคลุมแรงงานในระบบด้วยซ้ำไป

สุดท้าย ผมขอฝากความหวังดีไปยังคุณชัชชาติและผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ รวมทั้งพ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกคนว่า เราต้องอย่าหลงลืมทวงบทบาทหน้าที่สำคัญของรัฐบาลในวิกฤตครั้งนี้ อย่าปล่อยให้รอดจากความรับผิดชอบหลักของตัวเองไปได้

เรื่อง “งบประมาณ” ไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องจัดหาวัคซีนมีคุณภาพและมีจำนวนเพียงพอให้ประชาชนทุกคน

เราเองต้องไม่ปล่อยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควักเงินจ่ายกันเอง เอื้อให้รัฐบาลสร้างระบบ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” เช่นนี้

วัคซีน Sinovac ยังคงมีปัญหา เมื่อค่าเฉลี่ยประสิทธิภาพการป้องกันโควิด-19 ไม่เท่ากันในหลายประเทศที่นำไปทดสอบใช้ จึงยังเป็นวัคซีนทางเลือกที่ทั่วโลกยังต้องพิจารณา

กลายเป็นข่าวที่ไม่สู้ดีเท่าไร สำหรับทีมพัฒนาวัคซีน Covid-19 ของจีน ที่ผลการทดสอบล่าสุดจากบราซิล ประเทศที่มีกลุ่มทดสอบวัคซีนของ Sinovac มากที่สุด ได้สรุปผลการใช้งานล่าสุดว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพป้องกัน Covid-19 เพียงแค่ 50.4% เท่านั้น

ผลลัพธ์ล่าสุดเรียกได้ว่า น่าผิดหวัง ไม่เฉพาะกับชาวบราซิล แต่รวมถึงหลายประเทศทั่วโลก ที่เริ่มตั้งคำถามกับความน่าเชื่อถือของวัคซีนจีน ที่ประธานาธิบดี สี่ จิ้นผิง เคยออกมาประกาศว่าจะสนับสนุนพัฒนาวัคซีน Covid-19 ให้ชาวโลกได้ฉีดอย่างทั่วถึง และเป็นทรัพย์สินทางปัญญาสาธารณะ

แต่ทั้งนี้ ข้อมูลที่ได้มาจากการทดสอบของสถาบันวิจัย Butantan ในเมืองเซา เปาโล ที่เป็นผู้ผลิต และทดสอบวัคซีนของ Sinovac เน้นว่าผลล่าสุดที่ได้ 50.4% นั้น เป็นผลลัพธ์ที่ได้จากกลุ่มทดสอบที่มีอาการน้อยมาก ซึ่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนเพิ่งจะออกมาประกาศว่าวัคซีนของ Sinovac ใช้ได้ผลดีถึง 78% กับกลุ่มทดสอบที่มีอาการระดับเบา ถึงปานกลาง แต่ถ้าเป็นกลุ่มที่มีอาการระดับกลาง ไปจนถึงหนัก วัคซีนตัวนี้ใช้ได้ผล 100%

ยิ่งสร้างความสับสนให้กับคนทั่วไป จนรัฐบาลบราซิลยอมรับว่า ทีมวิจัยควรหาวิธีสื่อสารให้ดีกว่านี้ เพื่อให้ประชาชนได้ข้อมูลที่ครบถ้วน เข้าใจง่ายและโปร่งใส

สำหรับวัคซีน Covid-19 จากบริษัท Sinovac Biotech ที่ตั้งอยู่ในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ของวัคซีนจากจีน ที่มีข่าวว่าเข้าสู่การทดสอบช่วงท้าย ๆ และน่าจะผลิตออกมาได้ในเร็ว ๆ นี้

นอกเหนือจาก Sinavac ก็ยังมี Sinopharm ที่ได้ทดลองในกลุ่มตัวอย่างในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไปแล้ว และได้ผลถึง 86% ส่วนอีก 2 บริษัทคือ CanSino Biologics ที่ได้ทดลองไปแล้วที่ซาอุดิอารเบีย และ Anhui Zhifei Longcom ที่กำลังทดลองในเฟส 3

ส่วน Sinavac นอกจากจะมีการทดลองใช้ในบราซิลแล้ว ยังมีการทดสอบในตุรกี ที่เพิ่งออกมาบอกว่าวัคซีนตัวนี้ใช้ได้ผลถึง 91.25% และในอินโดนีเซีย ที่ได้ผลลัพธ์ 65.3%

ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่มีความต่างกันมาก จนหลายประเทศที่ได้สั่งซื้อวัคซีนของ Sinovac ไปแล้ว อย่าง อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ รวมถึงประเทศไทยเราด้วย ก็คงหวั่นไหวกับผลทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนตัวนี้ไม่น้อย

แต่ทั้งนี้การใช้วัคซีน Sinovac ก็มีข้อดีอยู่บางประการที่หลายประเทศใช้ประกอบการพิจารณา เช่น กลไกการทำงานของวัคซีน Sinovac จะใช้เซลล์เชื้อไวรัสที่ตายแล้วนำมาพัฒนาเป็นวัคซีน ซึ่งเป็นเทคนิคการพัฒนาวัคซีนแบบดั้งเดิมที่ทำให้เกิดผลข้างเคียงน้อย เมื่อเทียบกับวัคซีนจาก Moderna และ Pfizer ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ในการสกัดเอา mRNA จากเชื้อไวรัส หรือของ AstraZeneca ที่ใช้ DNA สกัดของไวรัส เอามาพัฒนาเป็นวัคซีน ที่ผลข้างเคียงในอนาคตเป็นเรื่องที่ยังคาดเดาไม่ได้

นอกจากนี้ อุณหภูมิที่ใช้ในการจัดเก็บสต็อควัคซีนของ Sinovac ใช้ตู้แช่ที่มีความเย็นเพียง 2-8 องศาเซลเซียส ที่เป็นอุณหภูมิของตู้เย็นปกติ เช่นเดียวกับของ AstraZeneca ซึ่งจะแตกต่างจากวัคซีนของ Moderna และ Pfizer ที่ต้องเก็บในตู้แช่อุณหภูมิติดลบ ตั้งแต่ -20 ถึง -70 องศาเซลเซียส

แต่ทั้งนี้ ก็คงต้องรอบริษัท Sinovac ออกมาอธิบายถึงผลทดสอบต่าง ๆ ที่ผ่านมา และวิจารณญาณของทีมรัฐบาลของเราว่าจะไปต่อกับ Sinovac หรือจะรอ AstraZeneca ที่คิวจองนานมาก หรือจะลองพิจารณาวัคซีนของเจ้าอื่นไว้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนไทยในวันวิกฤติเช่นนี้


แหล่งข่าว

https://www.aljazeera.com/.../brazil-trial-finds-efficacy...

https://edition.cnn.com/.../sinovac-covid.../index.html

https://www.bbc.com/news/world-latin-america-55642648

https://www.bbc.com/news/world-asia-china-55212787

นายกรัฐมนตรีเชิญชวนร่วมงานวันครูออนไลน์ “วิถีใหม่” น้อมรำลึกพระคุณครู พร้อมมอบคำขวัญวันครูปี 64 "ครูวิถีใหม่ ใส่ใจดิจิทัล สร้างสรรค์คุณธรรมประจำชาติ"

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการจัดงานวันครู ประจำปี 2564 ว่า ในปีนี้จัดรูปแบบ “New Normal” สอดคล้องกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คำนึงถึงความปลอดภัยและสุขภาพของผู้เข้าร่วมงานวันครู โดยให้จัดกิจกรรมวันครูออนไลน์ ครั้งที่ 65 พ.ศ. 2564 ภายใต้แนวคิด “พลังครูไทยวิถีใหม่ ฉลาดรู้เท่าทันดิจิทัล”

ประกอบด้วย พิธีระลึกพระคุณ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระว่างครู และความเข้าใจอันดีระหว่างครูกับประชาชน และยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาที่ประกอบคุณงามความดีหรือทำคุณประโยชน์ต่อวงการศึกษา ให้เป็นที่รับรู้แก่สาธารณชน โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบคำขวัญวันครู ครั้งที่ 65 พ.ศ. 2564 ว่า "ครูวิถีใหม่ ใส่ใจดิจิทัล สร้างสรรค์คุณธรรมประจำชาติ" พร้อมเชิญชวนทุกคนที่มีครูร่วมระลึกถึงพระคุณครู และเข้าร่วมกิจกรรมงานวันครูออนไลน์กับคุรุสภา ร่วมทำความดี เป็นจิตอาสา และร่วมแชร์ความรู้สึกดี ๆ ส่งต่อถึงพระคุณของครู

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับกิจกรรมการจัดงานในปีนี้ ส่วนกลางประกอบด้วย 3 เฟส โดยเฟสแรก การจัดงานวันครูออนไลน์ วันที่ 16 มกราคม 2564 ได้แก่ พิธีทำบุญตักบาตรออนไลน์ พิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศให้แก่ครูผู้วายชนม์ พิธีบูชาบูรพาจารย์และระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ การอ่านสารเนื่องเนื่องในโอกาสวันครูของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พิธีคารวะครูอาวุโสของนายกรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และปาฐกถาหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ครั้งที่ 4 เรื่อง “พลังครูไทยวิถีใหม่ โดยศาสตราจารย์นายแพทย์ วิจารณ์ พานิช รักษาการนายสภาสถาบันอาศรมศิลป์ ถ่ายทอดสดทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ "คุรุสภา" และทาง YouTube Channel “TBL Suandusit” ของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต

เฟส 2 กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านทาง www.วันครู.com เผยแพร่นิทรรศการการพัฒนาวิชาชีพ การเสวนาทางวิชาการออนไลน์ และการเรียนหลักสูตรออนไลน์การพัฒนาสมรรถนะครูมืออาชีพ ภายใต้แนวคิด “พลังครูไทยวิถีใหม่ ฉลาดรู้เท่าทันดิจิทัล” ตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม - 30 เมษายน 2564 และเฟส 3 กิจกรรมยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ประกอบวิชาชีพ ซึ่งจะกำหนดจัด หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 ดีขึ้นแล้ว

“ในส่วนภูมิภาค ให้จัดงานวันครูตามความเหมาะสมกับบริบทและสถานการณ์ โดยยึดปฏิบัติตามมาตรการที่ ศบค.ในแต่ละพื้นที่กำหนดอย่างเคร่งครัด โดยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีได้รับมอบดอกกล้วยไม้ และซีดีเพลงเทิดเกียรติคุณครู จากกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อรณรงค์การจัดกิจกรรมวันครูด้วย”นายอนุชากล่าว

หัวหน้าพรรคกล้า "กรณ์" เสนอแก้บ่อนเถื่อน ยกมาไว้บนโต๊ะ เป็นพนันถูกกฎหมาย แก้ปัญหาทุจริต เปลี่ยนส่วยเป็นภาษี เปิดช่องรัฐเข้าควบคุมระบาดโควิด-19 ได้ ฝาก "บิ๊กตู่" ถ้ากล้า ทำได้แน่นอน

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความลง Facebook กรณีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุถึงการแก้ไขปัญหาบ่อนการพนันว่า "ต่อให้ร้อยนายกฯก็ทำไม่ได้ ถ้าทุกคนไม่ร่วมมือกัน" โดยนายกรณ์ เสนอแนวทางแก้ปัญหาบ่อนเถื่อน ด้วยการทำให้การพนันอยู่บนโต๊ะ มีกฎหมายรองรับกำกับดูแล มีการเสียภาษีให้รัฐ ป้องกันเงินรั่วไหลไปบ่อนต่างประเทศ แก้ปัญหาการทุจริตวงการคนในเครื่องแบบ สามารถเข้าถึงการควบคุมการแพร่ระบาดเชื่อโควิด-19 ได้ โดยมีข้อความดังนี้

"นายกฯ คนเดียว ก็แก้ได้ ถ้ากล้าเอาไว้ "บนโต๊ะ"
#เปลี่ยนส่วยเป็นภาษี นำเม็ดเงินกลับมาใช้เพื่อประชาชน

ถ้าพรรคกล้าเป็นรัฐบาล เราจะเอา ‘การพนัน’ ขึ้นไว้บนโต๊ะเลยครับ

ผมคิดว่าวิธีแก้ปัญหาไม่ใช่การขอให้คน ‘ร่วมมือ’ เลิกเล่นการพนัน แต่การทำให้การพนัน ‘อยู่บนโต๊ะ’ โดยมีกฎหมายรองรับ และมีการกำกับดูแล

ปัญหาสังคมเราคือ ‘บ่อนเถื่อน’ ซึ่งเป็นที่มารายได้ของผู้มีอิทธิพล เป็นที่มาของการทุจริตคอร์รัปชั่นในวงการคนมีเครื่องแบบ การรั่วไหลเงินไปบ่อนถูกกฎหมายในต่างประเทศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลบๆซ่อนๆ ที่ทำให้เกิดปัญหาการแพร่เชื้อ Covid-19 ตามที่ปรากฏ

ดังนั้นถ้าตั้งโจทย์ให้คนเลิกเล่นการพนัน เราเห็นด้วยกับนายกฯ ว่า.. ไม่ต้องร้อยนายกฯหรอกครับ - พันนายกฯ คนก็แก้ไม่ได้ แต่นี่คือโจทย์ที่ผิดโจทย์ที่ถูกคือทำอย่างไรให้การเล่นการพนันเป็นภัยต่อสังคมให้น้อยที่สุด

คำตอบคือ การพนันที่มีใบอนุญาตบนโต๊ะอย่างถูกกฎหมาย มีการกำกับดูแล และมีการเสียภาษีให้รัฐเข้าระบบ เพื่อนำเม็ดเงินกลับมาใช้จ่ายดูแลประชาชน แทนการเข้ากระเป๋ามาเฟีย

ถ้าตามนี้นายกฯ คนเดียวที่มีความกล้า ทำได้แน่นอนครับ"


ที่มา: https://www.facebook.com/71254499739/posts/10159289526159740/

สภาพัฒน์’ ยันไม่ติดใจแผนฟื้นฟู ขสมก. ระบุส่งเสียงหนุน ให้คณะรัฐมนตรีนานแล้ว รอแค่คมนาคมส่งแผนลงทุนซื้อรถเมล์ใหม่ มาให้เคาะตามขั้นตอนเท่านั้น

ภายหลังสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สคม.) ตีกลับแผนฟื้นฟูกิจการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้หารือในรายละเอียดกับสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) อีกครั้ง ส่งผลให้ประชาชนไม่ได้ใช้รถเมล์โฉมใหม่ ที่เป็นรถพลังงานไฟฟ้า ลดมลภาวะ PM 2.5 แอร์เย็นฉ่ำในราคาสบายกระเป๋า

ล่าสุด นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ" (สศช.) หรือ “สภาพัฒน์” ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้แผนฟื้นฟูฯ ขสมก. ไม่ได้ติดอยู่ที่สภาพัฒน์ และกระทรวงคมนาคม ไม่จำเป็นต้องนำแผนฟื้นฟูฯ มาให้สภาพัฒน์พิจารณาก่อนเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เรื่องนี้อาจเป็นการเข้าใจผิด อย่างไรก็ตามสิ่งที่กระทรวงคมนาคม ต้องเสนอมาให้สภาพัฒน์พิจารณาคือ แผนการลงทุนในการจัดหารถโดยสารประจำทางใหม่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในแผนฟื้นฟูฯ ถือเป็นกระบวนการปกติของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจหากต้องจัดซื้อจัดจ้างต้องส่งมาให้สภาพัฒน์พิจารณาด้วย ไม่ได้เกี่ยวกับแผนฟื้นฟูฯ

“ยืนยันว่าสภาพัฒน์ไม่ได้มีประเด็นอะไรเกี่ยวกับแผนฟื้นฟู ขสมก. ซึ่งก่อนหน้านี้สภาพัฒน์ได้ส่งความคิดเห็นเกี่ยวกับแผนฟื้นฟูฯ ไปยัง ครม. นานมากแล้ว โดยไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด เวลานี้หากแผนพื้นฟูฯจะเข้าครม. ก็เข้าไปได้เลย ไม่ต้องส่งมาที่สภาพัฒน์ ส่วนเรื่องที่ต้องส่งมาคือแผนที่ ขสมก. จะลงทุนซื้อรถเมล์ใหม่ อย่างไรก็ตาม สภาพัฒน์พร้อมที่จะชี้แจง และเตรียมนัดหารือกับทางกระทรวงคมนาคมในเร็วๆ นี้ หากเรื่องนี้จะมีประเด็นน่าจะอยู่ที่เรื่องภาระหนี้ของ ขสมก. มากกว่า โดยเป็นเรื่องของสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง ไม่ได้เกี่ยวกับสภาพัฒน์แต่อย่างใด” นายดนุชา กล่าว

ด้าน ดร.สุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า ในหลักการแผนฟื้นฟูฯดังกล่าวถือว่าเป็นแผนที่ดี โดยเฉพาะเรื่องการจ้างเอกชนวิ่งรถโดยสารตามระยะทางที่ให้บริการ โดยจ่ายค่าจ้างเป็นกิโลเมตร (กม.) เป็นแนวคิดที่ดีมาก เพราะ ขสมก. จะได้ไม่ต้องแบกรับภาระต้นทุนค่าซ่อมบำรุง และค่าเสื่อมสภาพของรถโดยสารจำนวนมากเหมือนในปัจจุบัน ซึ่งแนวคิดนี้คิดกันมาหลายยุคหลายสมัย แต่ยังไม่สามารถนำมาดำเนินการเป็นแนวปฏิบัติที่ชัดเจนได้ อย่างไรก็ตามเวลานี้ที่มีข่าวว่าแผนฟื้นฟูฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาพัฒน์นั้น ส่วนตัวมองว่าสภาพัฒน์น่าจะเห็นด้วย ในหลักการ เพียงแต่รายละเอียดการปฏิบัติเรื่องต่างๆ ที่อยู่ในแผนฟื้นฟูฯ ทางสภาพัฒน์อาจยังไม่มั่นใจ จึงเป็นเรื่องที่ ขสมก. ต้องชี้แจงให้ได้ เชื่อว่าคงไม่ใช่เรื่องยาก

ดร.สุเมธ กล่าวต่อไปว่า สำหรับแผนฟื้นฟูฯ ฉบับนี้ มีข้อเสนอแนะ 2 เรื่องคือ 1.การจัดเก็บค่าโดยสาร 30 บาทต่อคนต่อวัน ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายการเดินทางให้กับประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเดินทางขึ้นรถโดยสารหลายต่อ จะช่วยประหยัดได้มาก แต่เชื่อว่าผู้โดยสารทุกคนคงไม่ได้หันมาซื้อตั๋วแบบ 30 บาทตลอดวันทั้งหมด

ดังนั้น ขสมก. จึงต้องพิจารณาให้ดีว่าจะดำเนินการเรื่องนี้ในทางปฏิบัติอย่างไร ซึ่งส่วนตัวมองว่าควรต้องศึกษา และสำรวจพฤติกรรมการใช้บริการของผู้โดยสารอย่างละเอียด รวมทั้งควรทดลองการจำหน่ายตั๋ว 30 บาทตลอดวันด้วย และ 2.รูปแบบการจัดเก็บรายได้ ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีการนำตั๋วอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ ดังนั้นในทางปฏิบัติต้องพิจารณาให้ดีว่าจะควบคุมเรื่องการเงินอย่างไร ไม่ให้เกิดปัญหารายได้รั่วไหล

“วิษณุ” เผย ภายใน 1-2 วัน รายชื่อคณะกรรมการสางปมบ่อนพนัน-แรงงานผิดกฎหมาย ออกชัดเจน ระบุ ประธานไม่ใช่คนสีกากี มีประวัติการทำงานดี มีความรู้ความสามารถ และมีประสบการณ์ในส่วนที่รับผิดชอบ

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้ารายชื่ออคณะกรรมการแก้ปัญหาบ่อนการพนันและแรงงานผิดกฎหมาย ตามที่นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ภายใน 1-2 วันนี้ รายชื่อคณะกรรมการ ที่เกี่ยวกับแรงงานผิดกฎหมายและคณะกรรมการที่เกี่ยวกับบ่อนการพนัน จะชัดเจน ซึ่งบางคนอาจไม่สะดวกที่จะรับตำแหน่งเนื่องจากต้องลงพื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ต้องเพิ่มความระมัดระวัง เพราะบางคนเป็นผู้สูงอายุ

นายวิษณุ กล่าวว่า ส่วนผู้ที่จะมานั่งเป็นประธานคณะกรรมการ จะมีชื่อระดับบิ๊กเนมหรือไม่นั้น ตอบได้เพียงว่าเป็นผู้ที่มีประวัติการทำงานดี มีความรู้ความสามารถ และมีประสบการณ์ในส่วนที่รับผิดชอบ ซึ่งประธานคณะกรรมการทั้งสองคณะ ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าหน้าที่ทหารหรือตำรวจ เพราะขั้นปฏิบัติ เจ้าพนักงานที่เป็นทหาร ตำรวจ เป็นผู้ดำเนินการอยู่แล้ว ซึ่งตัวประธานก็ไม่อยากให้เป็นข้าราชการทหารตำรวจ แต่เป็นอดีตข้าราชการได้ และที่สำคัญ ไม่อยากให้เป็นตำรวจเพราะอาจจะมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องได้

“คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาเป็นการแก้ไขเฉพาะหน้า เน้นเรื่องที่ได้รับร้องเรียนเรื่องปัจจุบันและหามาตรการป้องกันในอนาคต โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการทำให้เกิดการแพร่ระบาดของ โควิด-19 จะไม่มีการตรวจสอบย้อนหลัง เพราะเจ้าหน้าที่ก็ดำเนินคดีตามกฎหมายอยู่แล้ว”

นายวิษณุ กล่าวว่า บทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการทั้งสองชุด ไม่ได้มีหน้าที่จับกุม เพราะคนจับคือเจ้าพนักงาน แต่จะทำหน้าที่เป็นผู้รับเรื่องราวร้องทุกข์และเบาะแสต่าง ๆ ที่มีบ่อนและแรงงานผิดกฎหมาย และจี้กำชับไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ตำรวจพื้นที่ลงไปดำเนินการ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้คือเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หากพบว่าเจ้าหน้าที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ของตัวเอง ก็สามารถไปแจ้งดำเนินคดีได้ที่กองปราบปรามหรือ ตำรวจสอบสวนกลาง และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยให้คณะกรรมการป้องกัน และปราบปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ คณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) ตรวจสอบ เป็นต้น

ที่สำคัญนายกรัฐมนตรีได้เปิดสายด่วน 1111 ให้ประชาชนแจ้งเบาะแส ซึ่งกรรมการทั้งสองชุดจะขยายผลไปตรวจสอบข้อร้องเรียนต่างๆ และอาจจะเปิดรับข้อมูลจากต่างจังหวัดด้วย ซึ่งกรรมการก็จะมีการตั้งอนุกรรมการขึ้นมาทำงานอีกต่อนึง

นายกรัฐมนตรี ‘พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ประกาศให้เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) เป็นวาระแห่งชาติ ดึงคนรุ่นใหม่ร่วมขับเคลื่อน สร้างรายได้ใหม่ให้ประเทศ

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) ครั้งที่ 1/2564 หวังดึงคนรุ่นใหม่ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG เพิ่มรายได้ประเทศ

.

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) ว่า รัฐบาลมีเป้าหมายพัฒนาให้ประเทศไทยให้เป็นประเทศที่มีรายได้สูง ขณะที่ประชาชนที่เป็นเกษตรกรอยู่ในภาคการเกษตรมีจำนวนมากกว่า 10 ล้านคน จึงต้องหาวิธีการใหม่ เพื่อใช้พื้นที่เกษตรให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับวาระของโลก อาทิ การลดปริมาณขยะ ลดการใช้พลังงานฟอสซิล สภาพภูมิอากาศเปลี่ยน ภัยพิบัติ การกัดเซาะชายฝั่ง เป็นต้น

.

นายกรัฐมนตรียังชื่นชมแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 โดยเน้นดึงคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจ BCG ใช้จุดเด่นและศักยภาพของประเทศไทยในเรื่องของการเกษตร สาธารณสุข การท่องเที่ยว เพิ่มขีดความสามารถให้มากขึ้น โดยจะประกาศให้ BCG เป็นวาระแห่งชาติ เช่นเดียวกับนโยบายประเทศไทย 4.0 และจะต้องสำเร็จภายใน 5 ปี ลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ รวมถึงให้ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งความปลอดภัยในด้านสาธารณสุข และจะนำแผนยุทธศาสตร์ฯ ฉบับนี้เป็นกรอบการทำงานของงบประมาณปี 2565 ดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลด้วย

.

ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่

.

ยุทธศาสตร์ที่ 1: สร้างความยั่งยืนของฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพด้วยการจัดสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์

.

ยุทธศาสตร์ที่ 2: การพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งด้วยทุนทรัพยากร อัตลักษณ์ ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ใช้ศักยภาพของพื้นที่โดยการระเบิดจากภายใน เน้น “ความหลากหลายทางชีวภาพ” และ “ความหลากหลายทางวัฒนธรรม” ยกระดับมูลค่าในห่วงโซ่การผลิตสินค้าและบริการให้มีมูลค่าสูงขึ้น

.

ยุทธศาสตร์ที่ 3: ยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมภายใต้เศรษฐกิจ BCG ให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนด้วยความรู้เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาให้ความสำคัญกับระบบการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แบบ “ทำน้อยได้มาก”

.

ยุทธศาสตร์ที่ 4: เสริมสร้างความสามารถในการตอบสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก สร้างภูมิคุ้มกันและความสามารถในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างเท่าทันเพื่อบรรเทาผลกระทบ

.

ทั้งนี้ การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 อยู่บนพื้นฐานของ 4 + 1 ประกอบด้วย 4 สาขายุทธศาสตร์ คือ 1.เกษตรและอาหาร 2.สุขภาพและการแพทย์ 3.พลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ และ 4.การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และ 1 ฐานความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นทุนพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศและการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน

“บิ๊กตู่” ไม่ห้ามท้องถิ่นจัดซื้อวัคซีนป้องกันโควิด ฉีดให้ประชาชนในพื้นที่ ระบุ เป็นสิทธิ์ทำได้ เผยวัคซีน บ.สยามไบโอไซฯ อยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้ ส่วนตัวเลขแพร่ระบาดยังขึ้นๆ ลง ๆ สะท้อนคนไทยให้ความร่วมมือ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ว่า ทราบว่าสื่อมวลชนคิดถึงอยากเห็นตัวเป็นๆ จริงๆก็เห็นกันทุกวันอยู่แล้ว จะใกล้จะไกลก็เห็นกันอยู่และขอให้ช่วยกันดูแลรัฐบาลบ้าง พยายามทำอย่างเต็มที่ไม่เคยได้หยุดนิ่ง หลายเรื่องจะทำให้ถูกใจทุกคนคงเป็นไปได้ยาก ข้อสำคัญคือเราทำให้คนจำนวนมากได้รับการดูแล นั่นคือเรื่องความเป็นธรรมใช่หรือไม่

ส่วนเรื่องของโอกาสก็ให้ทุกคนเข้าถึงโอกาส ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัคซีนหรือเรื่องอะไรต่างๆ มันต้องใช้วิธีการที่เหมาะสม มีกระบวนการ ซึ่งนายกฯต้องเป็นผู้อนุมัติเรื่องเหล่านี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าใครจะเสนออะไรมาก็ต้องอนุมัติโดยการนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะพูดก่อนอะไรก่อนก็ไม่รู้ แต่ถ้าเข้ามาแล้วมันไม่ได้ ไม่ผ่าน ไม่มีงบประมาณมันก็ไม่ได้ เข้าใจหรือไม่ ฉะนั้นต้องระมัดระวังที่สุด ในการใช้จ่ายงบประมาณเวลานี้ ซึ่งเราก็ยังเจอปัญหาอีกหลายด้านด้วยกัน งบประมาณมีอยู่จะเพียงพอในระยะนี้ไปก่อน ถ้าไม่พอค่อยว่ากันใหม่

กรณีที่หลายท้องถิ่น ประกาศจะจัดหาวัคซีนมาฉีดให้กับประชาชนในพื้นที่ของตัวเอง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็เป็นโอกาสที่ทำได้ ซึ่งตนเปิดโอกาสให้สามารถนำเข้าวัคซีนมาได้ หากจะใช้เงินท้องถิ่นก็ถือเป็นสิทธิ์และเป็นเรื่องของสภาท้องถิ่นจะจัดซื้อที่ไหนอย่างไรก็ว่ามา หากท้องถิ่นนำเข้ามา และผ่านมาตรฐานของคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สิ่งสำคัญหลายคนตั้งความหวังกับวัคซีนมาก รัฐบาลจำเป็นต้องหาหลายช่องทาง หลากหลายประเทศ แต่ท้ายที่สุดต้องผ่านมาตรฐาน อย. ถ้ายังไม่ผ่านเราต้องระมัดระวังที่สุดในเรื่องของผลค้างเคียงอะไรต่างๆ เยอะแยะ

วันนี้เป็นที่น่ายินดีว่าวัคซีนที่ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ผลิตอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ ส่วนอื่นๆ ก็ยังต้องตรวจสอบกันต่อไป แต่เราก็เชื่อมโยงไว้หมด ไม่ว่าจะของใครก็ตาม และตนคิดว่าการผลิตวัคซีนจะมีมากขึ้น และต้องดูว่าประเทศต้นทางรับรองมาตรฐานหรือเปล่านั่นคือประเด็นสำคัญ ตนจะต้องตัดสินใจตรงนี้ แม้เราจะมีวัคซีนเข้ามาก็ตามก็ต้องเร่งรัดการรับรองมาตรฐานจะทำอย่างไร ซึ่งต้องระมัดระวังผลกระทบข้างเคียงของประชาชน

ส่วนสถานการณ์ภาพรวมล่าสุดของการแพร่ระบาดโควิด-19 ภายในประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ได้มีการรายงานตัวเลขมาอยู่ที่ประมาณร้อยกว่าคน ช่วงนี้มันก็จะเป็นแบบนี้ขึ้นๆ ลงๆ แสดงว่าความร่วมมือของประชาชนมากยิ่งขึ้นในการตรวจคัดกรอง โดยเฉพาะการงดการเดินทางโดยที่ไม่จำเป็น อันนี้ทำให้การแพร่ระบาดคลี่คลายได้เร็ว และมีการคัดกรองคนเข้าระบบมากขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดต้องร่วมมือกัน ไม่ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการใดก็ตาม ถ้าประชาชนไม่ร่วมมือกันก็ทำไม่ได้ทั้งหมด

‘รมว.พาณิชย์’ เห็นชอบต่ออายุสินค้าควบคุม 4 รายการ คือ หน้ากากอนามัย ใยสังเคราะห์สำหรับผลิตหน้ากากอนามัย ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ เพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ และเศษกระดาษ เป็นสินค้าควบคุม

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้ต่ออายุสินค้าควบคุม 4 รายการ คือ หน้ากากอนามัย ใยสังเคราะห์สำหรับใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ และเศษกระดาษและกระดาษที่นำกลับมาใช้ได้อีก เป็นสินค้าควบคุม เพราะจะสิ้นสุดระยะเวลาการควบคุมในวันที่ 3 ก.พ.64 โดยขั้นตอนต่อไปจะนำเสนอให้ที่ประชุม ครม. ในสัปดาห์หน้าอนุมัติ

สำหรับสาเหตุที่ต้องควบคุมหน้ากากอนามัย วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต และเจลล้างมือ เนื่องจากยังมีการระบาดของโควิด-19 ทำให้ยังมีความต้องการสินค้าเหล่านี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในส่วนของหน้ากากอนามัยมี 3 ส่วน คือ 1. หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ผลิตจากโรงงานในประเทศไทยที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ปัจจุบันมีอยู่ 30 กว่าโรงงาน จะคุมราคาขายปลีกไม่เกินชิ้นละ 2.50 บาทเช่นเดิม 2. หน้ากากอนามัยทางเลือก ซึ่งมีทั้งที่ผลิตในประเทศและนำเข้า จะคุมราคาโดยต้นทุนบวกค่าบริหารจัดการไม่เกิน 60% และ 3. หน้ากากผ้าไม่ควบคุม เพราะรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนใช้หน้ากากผ้าในการป้องกันโควิด-19

ส่วนผลการดำเนินคดีช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 63 - 12 ม.ค. 64 มีผู้ร้องเรียนเข้ามาทั้งหมด 160 ราย ตรวจสอบแล้ว 129 ราย ดำเนินคดีไป 19 ราย ประกอบด้วย ไม่ปิดป้ายแสดงราคา 13 คดี ขายเกินราคา 6 คดี ที่เหลือเมื่อตรวจสอบแล้ว ไม่พบการกระทำความผิด และในจำนวนคดีที่ขายเกินราคา 6 คดีนั้น เป็นคดีที่กระทำความผิดบนออนไลน์ 2 คดี ส่วนที่เหลืออีก 31 คดี จะเร่งตรวจสอบต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top