Monday, 20 May 2024
LITE

✨ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ประจำวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2567

✨ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล
✨ประจำวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 256

 📌รางวัลที่ 1: 105979

 📌รางวัลเลขหน้า 3 ตัว: 429, 931  

 📌รางวัลเลขท้าย 3 ตัว: 196, 635  

 📌รางวัลเลขท้าย 2 ตัว: 61  

 📌รางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1: 105978, 105980  

 📌รางวัลที่ 2 : 737099, 366635, 384901, 895860, 451046  

 📌รางวัลที่ 3 :393560, 952140, 603376, 917144, 256000, 926853, 462981, 331010, 908654, 877689  

 📌รางวัลที่ 4: 279938, 979504, 709231, 985733, 740408, 570088, 982583, 145829, 589723, 198599, 951812, 123701, 136850, 647513, 339746, 622322, 437931, 438929, 799973, 767293, 407444, 164205, 490771, 523776, 566915, 378701, 072938, 173399, 190307, 688507, 521485, 533695, 528301, 482266, 444350, 264439, 302768, 102563, 695472, 540216, 630677, 459593, 629599, 658531, 348659, 855710, 001849, 443034, 221194, 775974

 📌รางวัลที่ 5: 379748, 456707, 406083, 775404, 274002, 411270, 611311, 452892, 504395, 434154, 160293, 928876, 340948, 437043, 244844, 913993, 872778, 434879, 530065, 999690, 908319, 195006, 469825, 357344, 870233, 552810, 107539, 647068, 715440, 561075, 195687, 847103, 853126, 764829, 060316, 339085, 826878, 598601, 927603, 191447, 595376, 393639, 568641, 761352, 978944, 254223, 463597, 108601, 014538, 325784, 079858, 471314, 759958, 656085, 912899, 318163, 870954, 332490, 672750, 571897, 160472, 674409, 782471, 075712, 482894, 160195, 277544, 642119, 143813, 106271, 974701, 128632, 733377, 354916, 145712, 391922, 987077, 143041, 626084, 266848, 415321, 871312, 785107, 637039, 079252, 717769, 453016, 455566, 242064, 478465, 242354, 213367, 403314, 908990, 011521, 183238, 968177, 220113, 972651, 617292

‘แพรรี่’ เบรกหัวทิ่ม ปมสักไฝแบบ ‘ลิซ่า’ แล้วชีวิตจะปัง ลั่น!! ทำทั้งหน้าก็ไม่พอ แนะ!! มันต้องมีความสามารถเสริมด้วย

เมื่อวานนี้ (16 ม.ค.67) จากกรณี ‘อุ้ม ลักขณา วัธนวงส์ศิริ’ ที่ล่าสุดกับการสักไฝเสริมดวงในตำแหน่งเดียวกับที่ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ และ ‘ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์’ มีอยู่ที่ต้นคอ หรือที่เรียกกันว่า ‘ไฝมหารานี’ รวมถึงในจุดต่างๆ บนใบหน้าอีก 2 จุด โดยอุ้มได้เล่าในรายการ เคาะโต๊ะ EP.22 ทางช่องยูทูบ Archita Station ของบิวตี้บล็อกเกอร์สาวคนสวย ‘อาชิ อาชิตา ศิริภิญญานนท์’ ว่าเพิ่งไปสักมาไม่นาน แต่ผลลัพธ์ปังมาก งานเข้า เงินเข้าไม่หยุด ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด ‘แพรรี่ ไพรวัลย์’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘ไพรวัลย์ วรรณบุตร’ พูดถึงประเด็นดังกล่าวว่า

"โห่ เอาไรมาลิซ่าก่อน ไปทำหน้าค่ะ เอาแค่ไฝไม่อยู่หรอก ต้องดูโครงหน้าเขาด้วย เอาไรมาลิซ่า ลิซ่าเขาสวยทั้งตัวและมีความสามารถ ถึงจะสักไฝเต็มหน้า ก็เป็นลิซ่าไม่ได้หรอก

ใครหลอกมาว่าจะเป็นลิซ่าล่ะ ลิซ่าเขาไม่ได้แค่สวย เขาเก่งมีความสามารถ ทำไมเขาถึงเป็นที่ยอมรับระดับโลก คนตามไอจี 100 ล้านคน เขาไม่ได้ขายแค่ความสวย เขาขายความสามารถด้วย เขาเก่ง มีพรสวรรค์ในตัวเอง เขาไม่หยุดเรียนรู้ พัฒนา

กว่าจะเป็นลิซ่าคิดว่ามันง่ายเหรอ ไปดูบทสัมภาษณ์ที่เขาให้สัมภาษณ์ตามรายการ กว่าจะประสบความสำเร็จต้องต่อสู้ ไปอยู่เกาหลี มีแต่แมวที่เป็นเพื่อนคิดถึงบ้านจะตาย คิดถึงบ้านร้องไห้ ก็ต้องต่อสู้กับอุปสรรค ไม่ใช่ว่ามีไฝแล้วทำให้เขาสำเร็จจะไปสักไฝมันจะประสบความสำเร็จได้ยังไง ดูเบ้าหน้าด้วย ไม่ได้บูลลี่นะ ให้คำนึงถึงข้อเท็จจริง เราจะได้ไม่หลอกตัวเอง อยากประสบความสำเร็จเหมือนเขาก็ต้องพัฒนาความสามารถตัวเองให้มันได้แบบเขาทำได้ป่าวล่ะ ก็ไม่ได้อีก รู้ว่าตัวเองไม่มีความสามารถก็เลยสักไฝแล้วกันง่ายดี"

17 มกราคม พ.ศ. 2376 ‘รัชกาลที่ 4’ ทรงค้นพบ ‘ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง’ ยกย่องให้เป็น ‘มรดกแห่งความทรงจำของโลก’

จารึกพ่อขุนรามคำแหง หรือ จารึกหลักที่ 1 เป็นศิลาจารึกที่บันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์สมัยกรุงสุโขทัย ซึ่ง ศิลาจารึกนี้ เจ้าฟ้ามงกุฎฯ ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เป็นผู้ทรงค้นพบขณะผนวชอยู่ เมื่อวันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2376 ณ เนินปราสาทเมืองเก่าสุโขทัย อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย มีลักษณะเป็นหลักสี่เหลี่ยมด้านเท่า ทรงกระโจม สูง 111 เซนติเมตร หนา 35 เซนติเมตร เป็นหินทรายแป้งเนื้อละเอียด มีจารึกทั้งสี่ด้าน ปัจจุบันเก็บอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร

เนื้อหาของจารึกแบ่งได้เป็นสามตอน ตอนที่ 1 บรรทัดที่ 1 ถึง 18 เป็นการเล่าพระราชประวัติพ่อขุนรามคำแหงมหาราชตั้งแต่ประสูติจนเสวยราชย์ ใช้คำว่า 'กู' เป็นหลัก ตอนที่ 2 ไม่ใช้คำว่า 'กู' แต่ใช้ว่า 'พ่อขุนรามคำแหง' เล่าถึงเหตุการณ์และธรรมเนียมในกรุงสุโขทัย และตอนที่ 3 ตั้งแต่ด้านที่ 4 บรรทัดที่ 12 ถึงบรรทัดสุดท้าย มีตัวหนังสือต่างจากตอนที่ 1 และ 2 จึงน่าจะจารึกขึ้นภายหลัง เป็นการสรรเสริญและยอพระเกียรติพ่อขุนรามคำแหง และกล่าวถึงอาณาเขตราชอาณาจักรสุโขทัย

ทั้งนี้จารึกได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น 'มรดกความทรงจำแห่งโลก' เมื่อปี พ.ศ. 2546 โดยยูเนสโกบรรยายว่า "[จารึกนี้] นับเป็นมรดกเอกสารชิ้นหลักซึ่งมีความสำคัญระดับโลก เพราะให้ข้อมูลอันทรงค่าว่าด้วยแก่นหลักหลายประการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมโลก ไม่เพียงแต่บันทึกการประดิษฐ์อักษรไทยซึ่งเป็นรากฐานแห่งอักษรที่ผู้คนหกสิบล้านคนใช้อยู่ในประเทศไทยปัจจุบัน การพรรณนาสุโขทัยรัฐไทยสมัยศตวรรษที่ 13 ไว้โดยละเอียดและหาได้ยากนั้นยังสะท้อนถึงคุณค่าสากลที่รัฐทั้งหลายในโลกทุกวันนี้ร่วมยึดถือ”

อย่างไรก็ตาม จารึกหลักที่ 1 นี้เอง ก็มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับความเชื่อถือได้ของบางส่วนหรือทั้งหมดของศิลาจารึกดังกล่าว โดย ‘พิริยะ ไกรฤกษ์’ นักวิชาการที่สถาบันไทยคดีศึกษา ออกความเห็นว่า การใช้สระในศิลาจารึกนี้แนะว่าผู้สร้างได้รับอิทธิพลมาจากระบบพยัญชนะยุโรป เขาสรุปว่าศิลาจารึกนี้ถูกบางคนแต่งขึ้นในรัชกาลที่ 4 หรือไม่นานก่อนหน้านั้น 

ซึ่งนักวิชาการเห็นต่างกันในประเด็นว่าด้วยความน่าเชื่อถือของศิลาจารึกนี้ ผู้ประพันธ์บางคนอ้างว่ารอยจารึกนั้นเป็นการแต่งขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ทั้งหมด บ้างอ้างว่า 17 บรรทัดแรกนั้นเป็นจริง บ้างอ้างว่ารอยจารึกนั้นพระยาลือไทยทรงแต่งขึ้น นักวิชาการไทยส่วนใหญ่ยังยึดถือความน่าเชื่อถือของศิลาจารึกนี้รอยจารึกดังกล่าวและภาพลักษณ์ของสังคมสุโขทัยในจินตนาการยังเป็นหัวใจของชาตินิยมไทย และ ‘ไมเคิล ไรท์’ นักวิชาการชาวอังกฤษ เสนอแนะว่าศิลาจารึกดังกล่าวอาจถูกปลอมขึ้น ทำให้เขาถูกขู่ด้วยการเนรเทศภายใต้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของไทย

ทางด้าน ‘จิราภรณ์ อรัณยะนาค’ เขียนบทความแสดงทัศนะว่า ศิลาจารึกหลักที่ 1 ได้ผ่านกระบวนการสึกกร่อนผุสลายมาเป็นเวลานานหลายร้อยปี ใกล้เคียงกับศิลาจารึกหลักที่ 3 หลักที่ 45 และหลักที่กล่าวถึงชีผ้าขาวเพสสันดร ไม่ได้ทำขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4

16 มกราคม พ.ศ. 2447 ‘กระทรวงเกษตราธิการ’ ได้ก่อตั้ง ‘โรงเรียนช่างไหม’ จุดกำเนิด 'มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์' ในยุคปัจจุบัน

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งแรกของประเทศไทยที่เปิดสอนหลักสูตรทางด้านการเกษตร ก่อตั้งขึ้นเป็นลำดับที่ 3 ของประเทศ แรกเริ่มเป็น ‘โรงเรียนช่างไหม’ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2447 โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม องค์อธิบดีกรมช่างไหม ในกระทรวงเกษตราธิการ ได้ทรงจัดตั้งโรงเรียนช่างไหมขึ้น ณ ท้องที่ตำบล ทุ่งศาลาแดง กรุงเทพมหานคร ในบริเวณเดียวกันกับสวนหม่อนและสถานีทดลองเลี้ยงไหม 

โดยจัดการศึกษาหลักสูตร 2 ปี สอนเกี่ยวกับวิชาการ เลี้ยงไหมโดยเฉพาะ ต่อมาใน พ.ศ. 2449 ได้ขยายหลักสูตรเป็น 3 ปี โดยเพิ่มวิชาการเพาะปลูกพืชอื่นๆ เข้าในหลักสูตรตลอดจนได้เริ่มสอนวิชาสัตวแพทย์ด้วยและได้เปลี่ยนชื่อโรงเรียน เป็นโรงเรียนวิชาการเพาะปลูกต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนการเพาะปลูก 

โดยในปี พ.ศ. 2451 กระทรวงเกษตราธิการ ได้รวมโรงเรียนที่อยู่ในสังกัด 3 โรงเรียนคือ โรงเรียนแผนที่ โรงเรียนกรมคลอง และโรงเรียนวิชาการเพาะปลูก เป็นโรงเรียนเดียวกัน เพื่อผลิตคนเข้ารับราชการในกรมกองต่างๆ ของกระทรวงเกษตราธิการ โดยใช้ชื่อโรงเรียนว่าโรงเรียนกระทรวงเกษตราธิการ และย้ายสถานที่ตั้งมารวมกัน ณ พระราชวังสระปทุม พร้อมกับได้ให้เรียบเรียงหลักสูตรใหม่ซึ่งถือได้ว่าเป็นหลักสูตรระดับอุดมศึกษาวิชาการเกษตรศาสตร์ หลักสูตรแรกของประเทศไทย

โดยได้เริ่มดำเนินการสอนหลักสูตรใหม่นี้ในปี พ.ศ. 2452 และในปี พ.ศ. 2456 รัฐบาลได้ยกโรงเรียนกระทรวงเกษตราธิการไปรวมเข้ากับโรงเรียนข้าราชการพลเรือน ด้วยเหตุที่วัตถุประสงค์ของโรงเรียนกระทรวงเกษตราธิการตรงกับพระราชดำริในการจัดตั้งโรงเรียนข้าราชการพลเรือนซึ่งได้ทรงจัดตั้งขึ้นในกระทรวงธรรมการ งานศึกษาวิชาเกษตรศาสตร์จึงมาสังกัดกระทรวงธรรมการ

ต่อมาได้รับการก่อตั้งอีกครั้งในปี พ.ศ. 2460 ในนามโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรม ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนมัธยมวิสามัญเกษตรกรรม และได้รับการยกฐานะเป็น วิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ถัดจากนั้นมา รัฐบาลได้ปรับปรุงและรวมกิจการของวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่เกษตรกลาง บางเขน กับโรงเรียนวนศาสตร์ จังหวัดแพร่ และสถาปนาเป็น ‘มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์’ ในปี พ.ศ. 2486 

ซึ่งในระยะแรกมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เปิดสอนเฉพาะด้านการเกษตรเท่านั้น แต่ต่อมาได้ขยายสาขาวิชาครอบคลุมทั้งเกษตรศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์สุขภาพ วิศวกรรมศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ บริหารธุรกิจ และงานบริการ ปัจจุบันมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. 2558 ซึ่งมีสภาพเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ

'แม่ผ่องศรี' พร้อมลา!! สร้างหุ่นตนไว้เป็นอนุสรณ์ หากวันหนึ่งสิ้นลมหายใจ คนรุ่นหลังจะได้มาศึกษา

(15 ม.ค. 67) เรียกว่าเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจ สำหรับราชินีลูกทุ่ง ‘แม่ผ่องศรี วรนุช’ ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง ที่ถึงแม้ปัจจุบัน อายุจะเข้าสู่วัย 85 กะรัตแล้ว แต่เสียงร้องก็ยังคงไพเราะและทรงพลัง เป็นเอกลักษณ์ชวนหลงใหลไม่เสื่อมคลาย ล่าสุดเมื่อวานนี้ (14 ม.ค.) ได้เจอคุณแม่ผ่องศรี ในงานแสดงดนตรีของคนลูกทุ่งครั้งยิ่งใหญ่ ‘คอนเสิร์ต 84 ปีลูกทุ่งไทย’ เลยถือโอกาสชวนคุณแม่มานั่งพูดคุย เพื่ออัปเดตถึงชีวิตตอนนี้ ให้เหล่าแฟนเพลงได้หายคิดถึง

โดยคุณแม่ผ่องศรี เปิดเผยว่า ได้เขียนหนังสือชีวประวัติ และสร้างพิพิธภัณฑ์ของตัวเองเตรียมไว้แล้ว เพื่อให้เป็นอนุสรณ์ หากวันหนึ่งสิ้นลมหายใจ คนรุ่นหลังจะได้มาศึกษา แต่ตอนนี้ก็เปิดให้เข้าชมแล้ว ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย โดยมีการปั้นหุ่นเป็นรูปตัวเองในปัจจุบัน พร้อมนำเส้นผมใส่ไปด้วย แล้วยังมีการอัดเสียงพูดไว้ หากกดปุ่มฟัง จะมีเสียงเพลงและเสียงพูดของตัวเองออกมา

“แม่มีหนังสือชีวประวัติของแม่ เขียนไว้ก่อนตาย แล้วตอนนี้พิพิธภัณฑ์ แม่ก็ปั้นหุ่นของแม่ไว้เรียบร้อยแล้ว มีหุ่น มีจิตวิญญาณ มีเส้นผม แล้วคำพูดของแม่ก็อัดไว้เลย ถ้าใครไปเยี่ยมพิพิธภัณฑ์ตอนแม่สิ้นลมหายใจ กดปุ่มแล้วจะมีเสียงเพลงขึ้น แม่จะพูด แม่เตรียมคำไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ทำมา 5 ปีแล้ว สร้างพิพิธภัณฑ์ ตัดสินใจทำเพื่อถ่ายทอดกับลูกหลานเหลนโหลน ที่จะเป็นศิลปินในวันข้างหน้า จะได้รู้ว่าเราผ่านร้อนผ่านหนาวมากแค่ไหน ลำบากแค่ไหนเพื่อจะมีวันนี้”

"พอปั้นเสร็จแล้ว แม่ก็เอากระถางธูปวางไว้ตรงนั้น ท่านเจ้าอาวาสที่วัดอัมพวามาทำให้แม่ ทำพิธีปลุกเสก ท่านบอกว่าแม่เอากระถางธูปมาไว้ทำไม แม่ยังไม่ตาย แล้วก็เก็บกระถางธูปแม่หมดเลย ตอนนี้ก็เลยมีแต่หุ่น”

“แม่ตั้งใจจะสร้างไว้ สักวันแม่ตายเขาจะได้เห็น แม่ให้ทำเป็นรูปปั้นตอนแก่นะ ไม่ใช่ตอนสาว หลวงพ่อจะเอารูปตอนสาว แต่แม่บอกไม่เอา เอาปัจจุบัน เหมือนแม่เลยไปดูได้ ในหนังสือแม่ก็มี ก็ตั้งใจเอาไว้ที่บ้านที่จังหวัดนครปฐม ไปเยี่ยม ไปถ่ายได้ รางวัลของแม่ก็อยู่ที่นั่นหมด รูปตั้งแต่ตอนเด็กถึงตอนนี้ก็มีหมด คนนอกเข้าไปดูได้ แม่ให้เข้าชมฟรี ตอนนี้ก็ไปได้แล้ว การสร้างตรงนี้ครอบครัวแม่รู้หมด บางคนไปฟังแล้วร้องไห้ บอกทำไมแม่พูดอย่างนี้”

“ตายตาหลับได้เลย ถึงปั้นหุ่นแม่ไว้ที่บ้านเรียบร้อยหมดแล้ว ปั้นด้วยดินสอพอง แล้วตัดเส้นผมของแม่ใส่เข้าไปแล้ว แล้วก็อัดคำพูดไว้ในนั้น ถ้าหากว่าแม่สิ้นลมไปแล้ว ใครไปเยี่ยมก็กดปุ่มเท่านั้น จะมีเสียงเพลงขึ้น และมีเสียงแม่พูด สวัสดีค่ะ ผ่องศรีดีใจมากนะคะ ผ่องศรีได้จากท่านไปนานแล้ว แต่ท่านมาเยี่ยมผ่องศรี ผ่องศรีดีใจมาก คิดถึงผ่องศรีหรือเปล่าคะ กดปุ่มดูสิคะ”

“อยากให้คนรุ่นหลังได้มาศึกษา ว่ารางวัลที่แม่ได้มา ได้มาเสียเงินหรือเปล่า แม่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ได้ด้วยความที่เราตั้งใจทำกุศลจริงๆ แม่ทำกุศลมาตั้งแต่อายุ 14 ปี จนกระทั่งตอนนี้อายุ 85 ปี 6 เดือนแล้ว”

>> สอนอย่าลืมบุญคุณคน ความซื่อสัตย์กตัญญูคือสิ่งสำคัญ

“ขอให้ติดดินตลอดเวลา ไม่ว่าอาชีพใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าหากเราไปหวังตรงนั้นมากเกินไป เราจะไม่ได้อะไร ท้อได้อย่าถอย ก้าวไปข้างหน้า ถ้าท้อถอยจะได้ไหมของที่รออยู่ข้างหน้า มันไม่ได้ มีเงิน มีทอง มีทุกสิ่งทุกอย่าง ตายไปเอาไปไม่ได้ ความซื่อสัตย์กตัญญูต่อผู้มีพระคุณที่จะติดตัวไป อันนี้อย่าลืม แม่พูดอยู่ตลอด ผู้ที่มีบุญคุณอย่าลืม ครูอาจารย์ พ่อแม่ สื่อมวลชน ห้างร้านบริษัท อย่าลืมเขา ผู้มีพระคุณที่พาเราก้าวบันไดขั้นแรกขึ้นไป ถ้าเราไม่มีผู้มีพระคุณนำทาง ก้าวแรกเราจะเจอตรงนั้นไหม เมื่อดังแล้วอย่าลืมตัว แม่จะพูดอย่างนี้ไปตลอด จนกว่าแม่จะสิ้นลมหายใจ”

"อนาคตเป็นยังไง เก็บตังค์ไว้นะ อย่าใช้ฟุ่มเฟือยนะ แหม พอดังขึ้นซื้อไอ้โน่นไอ้นี่ พอเกิดดวงตกไปปุ๊บ บ้านก็ผ่อน รถก็ผ่อน ก็ต้องเป็นหนี้ แม่จะไม่ทำแบบนั้น แม่จะคอยบอกอยู่เรื่อย จากฉันไม่มีอะไร มีตะกร้าหวายมา รองเท้าแตะมาคู่หนึ่ง เสื้อ 3 ตัว ทำไมฉันมาสร้างฐานะได้ เพราะฉันเจียมตัวว่าพ่อแม่ฉันยากจน”

>> ทุกวันนี้ยังรับงานอยู่ แต่เลือกที่ไม่ไกลเกินไป

“รับงาน บางทีรุ่นอายุ 40-60 ปี ก็ไปขอให้สอนร้องเพลง แม่ก็สอนให้ฟรี แต่แม่เลือกรับงาน รับที่ไม่ไกลเกินไป งานบุญงานกุศลแม่ไปให้ ส่วนใหญ่จะเป็นงานร้องเพลง ถ้าสอนร้องเพลงจะไปร้องที่บ้าน เขาเคยมีจ้างให้กินเงินเดือน แต่แม่ไม่เอา แม่ไม่มีเวลามา บางทีมาเข้าแอร์นานๆ แม่อยู่แอร์นานไม่ได้ ตอนนี้ก็รับงานบวช งานแต่ง งานวันเกิด งานขึ้นบ้านใหม่ งานหาเงินเข้าวัด หรืองานของแฟนเพลงที่ต้องการให้แม่ไป แม่จะร้องได้แค่ 1 ชั่วโมง 10 กว่าเพลง”

>> เคล็ดลับความแข็งแรงในวัย 85 ปี คือทำใจปล่อยวาง ไม่ยึดติด อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

“อายุ 85 ปี 6 เดือนแล้ว แม่เกิดวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2582 เคล็ดลับในการดูแลตัวเองของแม่ ตื่นมาตอนเช้าตี 5 แล้วตอน 6 โมงแม่ขายของชำอยู่ เรามีแรงเราก็ทำไป ประมาณ 6.30 แม่ก็เข้าบ้านแล้ว อาบน้ำอาบท่า แล้วในวันพระกับวันพฤหัสบดี แม่จะสวดมนต์ นั่งสมาธิ เสร็จแล้วก็ดูข่าวทุกช่องสลับเปลี่ยนไป ดูข่าวพระราชสำนักจบ 3 ทุ่มกว่าแม่ก็นอนแล้ว นอนกลางคืนก็ออกกำลังกาย ดัดแข้งดัดขา กายบริหาร ตื่นตี 5 ถ้าหลับเพลินก็ 6 โมงเช้า ตื่นมาเอาอาหารให้หมาแมว แล้วก็มากวาดใบไม้ เสร็จแล้วเข้ามาดูทีวี 8 โมงกว่าก็ทานข้าว ทำใจปล่อยวาง ไม่ยึดติดและไม่วิตกกังวล อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เราต้องแก้ด้วยตัวเราเอง ส่วนโรคภัยไข้เจ็บ แม่มีหัวใจอ่อนล้าเป็นโรคประจำตัว ต้องกินยา ไปโรงพยาบาลปีละครั้ง”

วันเกิด ‘วิกิพีเดีย’ สารานุกรมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทุกคนสามารถ ‘เขียน-แก้ไข-เพิ่มเติม’ ข้อมูลได้อย่างอิสระ

เมื่อ 23 ปีก่อนหรือเมื่อ 15 มกราคม พ.ศ. 2544 เป็นวันเกิด ‘วิกิพีเดีย’ เว็บสารานุกรมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ทุกคนเป็นเจ้าของและสามารถเขียน แก้ไข และเพิ่มเติมข้อมูลได้อย่างอิสระ

หากคิดจะค้นหาข้อมูลในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เชื่อว่าเว็บ ‘วิกิพีเดีย’ (Wikipedia) คงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่หลายคนคลิกเข้าไปอ่านข้อมูล นอกจากจะเป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่ขึ้นมาให้เห็นแล้ว เว็บวิกิพีเดียยังเป็นเว็บสารานุกรมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีข้อมูลนื้อหามากกว่า 62 ล้านบทความ อีกทั้งยังครอบคลุมภาษาที่หลากหลาย

สำหรับ ‘วิกิพีเดีย’ นั้น ก่อตั้งโดย จิมมี่ เวลส์ (Jimmy Wales) และ แลร์รี แซงเจอร์ (Larry Sanger) โดยก่อนหน้าที่จะมีวิกิพีเดีย พวกเขาได้ก่อตั้ง ‘นูพีเดีย’ (Nupedia) มาก่อน ในวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2544 แต่ไม่เป็นที่นิยม เนื่องจากเป็นระบบที่มีการตรวจทานข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วน ผู้ที่จะร่วมแก้ไขได้ต้องมี ‘คุณวุฒิสูง’ จึงส่งผลให้แทบไม่มีการเขียนบทความลงในนูพีเดีย

เมื่อเป็นเช่นนั้น จิมมี่ เวลส์ จึงปรึกษากับ แลร์รี แซงเจอร์ และได้ข้อสรุปว่า ควรสร้างเว็บแยกออกมาจาก ‘นูพีเดีย’ แบบที่สาธารณชนมีส่วนร่วมแก้ไขเนื้อหาหรือเขียนบทความได้ และในที่สุด ‘วิกิพีเดีย’ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น โดยมีโดเมนคือ wikipedia.com เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2544 และต่อมาได้เปลี่ยนเป็น wikipedia.org โดยได้รับการดูแลและการสนับสนุนจากมูลนิธิวิกิมีเดีย องค์กรไม่แสวงผลกำไร

อย่างไรก็ตาม ถือเป็นที่รู้ ๆ กันของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตและสื่อออนไลน์ว่า การจะเชื่อหรืออ้างอิงข้อมูลจาก ‘วิกิพีเดีย’ จะต้องใช้อย่าง ‘ระมัดระวัง’ เนื่องจากเป็นเว็บที่ ‘ใครๆ’ ก็เข้ามาปรับแต่ง ลบ แก้ไขข้อมูลได้อย่างอิสระ ทำให้ข้อมูลในบางเรื่องถูก ‘บิดเบือน’ หรือ ‘ปรับเปลี่ยน’ อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นควรจะมีแหล่งอ้างอิงข้อมูลมากกว่า 1 แห่ง และตรวจสอบข้อมูลอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน

14 มกราคม ของทุกปี กำหนดเป็น ‘วันทรัพยากรป่าไม้แห่งชาติ’  สร้างความตระหนักรู้-อนุรักษ์ป่าไม้ในประเทศไทย

14 มกราคม ของทุกปี กำหนดให้เป็น ‘วันทรัพยากรป่าไม้แห่งชาติ’ มุ่งสร้างความตระหนักรู้ และให้ความสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของประเทศไทย

‘ป่าไม้’ เป็นทรัพยากรที่สำคัญของชาติที่ให้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่ประชาชน ช่วยรักษาความสมดุลย์ของภาวะแวดล้อมและป้องกันภัยธรรมชาติซึ่งนำความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน สาเหตุที่ทำให้เกิดภัยธรรมชาติส่วนหนึ่งมาจากการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าจนทำให้เกิดความเสียหายต่อสภาพป่าไม้ของชาติ ทำให้เกิดความไม่สมดุลย์ทางภาวะแวดล้อมขึ้นจนถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน

เมื่อ 14 มกราคม พ.ศ. 2532 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 และพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 พระราชกำหนดดังกล่าวได้ให้อำนาจรัฐมนตรีฯ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งการให้สัมปทานป่าไม้สิ้นสุดลงทั้งแปลงได้อันเนื่องมาจากอุทกภัยภาคใต้ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2531 โดยเฉพาะที่ตำบลกระทูน อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยพิจารณาแล้วเห็นว่าภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นเป็นส่วนหนึ่งมาจากสาเหตุการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า จำเป็นต้องทำการรณรงค์ต่อเนื่องและระยะยาวให้ประชาชนได้เข้าใจและให้ความสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้โดยสร้างจิตสำนึกให้กับประชาชนเกี่ยวกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการตัดไม้ทำลายป่าจึงขออนุมัติให้กำหนดวันที่ 14 มกราคมของทุกปีเป็น ‘วันอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาติ’

‘กรมป่าไม้’ จัดงานวันอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาติเพื่อประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของวันดังกล่าวมีกิจกรรมที่สำคัญ เช่น จัดนิทรรศการเผยแพร่ความรู้ การบรรยายความรู้ในสถานศึกษา ประกวดวาดภาพป่าไม้ แจกเอกสารเผยแพร่ แจกกล้าไม้แก่ประชาชน จัดประชุมชี้แจงแก่ประชาชน เชิญชวนให้ประชาชนงดเว้นการตัดไม้ทำลายป่า พร้อมทั้งร่วมกันปลูกและบำรุงรักษาต้นไม้ในทุกท้องที่ภาคเอกชน ประชาชนควรให้การสนับสนุนและเข้าร่วมกิจกรรมกับทางราชการเท่าที่สามารถจะทำได้ ควรถือเอาวันที่ 14 มกราคมเป็นวัดลดละเลิกการบุกรุกแผ้วถางป่าและตัดไม้ทำลายป่า ร่วมมือร่วมใจกันปลูกต้นไม้ทดแทนที่ถูกตัดทำลายไปให้มากที่สุด

13 มกราคม พ.ศ. 2563 ‘สธ.’ แถลงพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายแรกในไทย เป็น ‘นักท่องเที่ยวชาวจีน’ เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น

วันนี้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว กระทรวงสาธารณสุขออกมาแถลงยืนยันว่า พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายแรกของประเทศ เป็นเพศหญิง วัย 61 ปี จากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน 

ย้อนกลับไปปลายเดือนธันวาคม 2562 มีรายงานว่า ประเทศจีนพบกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการปอดอักเสบ โดยยังไม่สามารถระบุเชื้อที่เป็นสาเหตุ จำนวน 27 คน และเพิ่มเป็น 44 คน ในวันที่ 3 มกราคม 2563 และกลุ่มผู้ป่วยทั้งหมดนี้มีความเชื่อมโยงกับตลาดค้าส่งอาหารทะเลในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน และในวันเดียวกันนั้น ทำให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกจึงเริ่มมาตรการคัดกรองผู้โดยสารที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น และประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น

ต่อมา วันที่ 8 มกราคม 2563 ไทยตรวจพบนักท่องเที่ยวหญิงชาวจีน มีไข้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อตรวจร่างกายแรกรับผู้ป่วยวัดอุณหภูมิได้ 38.6 องศาเซลเซียส และมีอาการไอแห้งเล็กน้อย ไม่มีน้ำมูก เมื่อสอบประวัติก็พบว่า เคยไปตลาดค้าส่งอาหารทะเลในอู่ฮั่น จนในที่สุด 13 มกราคม 2563 กระทรวงสาธารณสุข ออกมาแถลงยืนยันว่า พบเชื้อโควิด-19 เป็นรายแรกในไทย หลังจีนเปิดเผยข้อมูลเชื้อโรคดังกล่าวเพียง 1 วัน โดยระบุว่า เชื้อโรคดังกล่าวเป็นไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เรียกว่า SARS-CoV-2 หรือที่องค์การอนามัยโลกประกาศชื่อภายหลังว่า COVID-19

แม้ รมว.สาธารณสุข จะแสดงความเชื่อมั่นในการหาวัคซีน หรือเพิ่มมาตรการป้องกัน แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 กลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ วิถีชีวิตของคนไทยทั้งประเทศตลอดหลายปีที่ผ่านมา

แต่ด้วยเวลาที่ผ่านไปประชาชนเริ่มมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น ป้องกันตัวเอง มีวินัยอยู่สม่ำเสมอ บวกกับมีการพัฒนาวัคซีน มีมาตรการป้องกันที่เข้มงวด ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อเริ่มลดลง และทำให้ประชาชนคนไทยได้กลับมาลืมตาอ้าปาก ออกไปใช้ชีวิต ทำมาหากิน ได้อย่างสบายใจมากขึ้นอีกครั้ง 

อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์จะผ่อนคลายลงกว่าเดิมแล้ว แต่เราทุกคนยังคงต้องป้องกันตนเอง ไม่ประมาท ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังเช่นเดิมจะเป็นผลดีกับตัวเราเองที่สุด

12 มกราคม 2566 เปิดฉากดีลยักษ์ 'เอสโซ่ - บางจาก' ปิดฉากตำนาน 'ปั๊มเสือ' 129 ปีในไทย

นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งประเด็นร้อนแรงในวงการพลังงาน หากย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2566 บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2566 ได้มีมติเอกฉันท์อนุมัติการเข้าทำธุรกรรมและเห็นชอบให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. 

โดยบางจากฯ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นกับ ExxonMobil เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2566 และคาดว่าจะสามารถดำเนินการซื้อขายและชำระเงินค่าหุ้นแก่ผู้ขายได้ภายในครึ่งหลังของปี 2566 โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขบังคับก่อนที่กำหนด และเตรียมพร้อมทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมด (tender offer) ของเอสโซ่ หลังจากการทำธุรกรรมกับ ExxonMobil เสร็จสิ้น

ซึ่งการเข้าซื้อกิจการ ESSO ประเทศไทย โดยมีสัดส่วน 65.99% โดยคิดเป็นมูลค่าเบื้องต้นราว 20,000 ล้านบาท โดยราคากิจการที่ซื้อจะเป็นราคาที่ตั้งต้นด้วย 55,000 ล้านบาท ก่อนปรับปรุงรายการทางการเงินต่าง ๆ อีกราว 25,000 ล้านบาท ทำให้เหลือเป็นราคากิจการเบื้องต้นราว 30,000 ล้านบาท และการลงทุนครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญสู่ความมั่นคงทางพลังงานที่มากขึ้นของบางจากฯ และประเทศไทย เป็นการลงทุนที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่เพิ่มความยั่งยืนและเพิ่มการเข้าถึงพลังงานได้ง่ายขึ้น

สำหรับการลงทุนครั้งนี้มีสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องคือโรงกลั่นน้ำมันกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน เครือข่ายคลังน้ำมัน และสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 700 แห่ง ก่อให้เกิดการประหยัดเชิงขนาดและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนของบริษัท โดยจะทำให้บางจากฯ มีกำลังการกลั่นน้ำมันรวม 294,000 บาร์เรลต่อวัน 

และเครือข่ายสถานีบริการกว่า 2,100 แห่ง ซึ่งการเข้าทำธุรกรรมดังกล่าว เป็นการเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 65.99% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของ เอสโซ่ จาก ExxonMobil โดยมีมูลค่ากิจการ 55,500 ล้านบาท และมีกลไกการปรับราคาซื้อขายหุ้นตามที่ระบุในสัญญาซื้อขายหุ้น

ดังนั้นเมื่อ บางจาก ได้รวมกับ เอสโซ่ แล้ว จะทำให้ บางจาก มีความยิ่งใหญ่เพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว โดยหากมองจากจำนวนสาขาบริการน้ำมันหากรวมกันจะอยู่ที่กว่า 2,100 สาขา ทั้งนี้หากนำไปเทียบกับสถานีบริการน้ำมันของผู้ประกอบการราย อาทิ เช่น โออาร์ (OR) มีสถานบริการน้ำมันอยู่ที่ 2,473 สาขา และ พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) มีสถานีบริการน้ำมัน 2,212 สาขา 

อย่างไรก็ตาม ถือเป็นการปิดตำนาน ‘ปั๊มพี่เสือ’ อย่างเป็นทางการ หลังเปิดให้บริการมาทั้งสิ้น 129 ปีในประเทศไทย และหลงเหลือไว้แต่เพียงความทรงจำให้นึกถึง...

เปิดโปรไฟล์ ‘นนกุล’ อนุกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ จบเอกภาพยนตร์ ผลงานเด่นๆ เยอะ รางวัลเพียบ!!

(11 ม.ค. 67) จากกรณีนักแสดงมากความสามารถ ‘นนกุล-ชานน สันตินธรกุล’ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านภาพยนตร์ โดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ไปนั้น

ล่าสุดเพจเฟซบุ๊ก ‘วัยรุ่นเพื่อไทย Pheuthai Fc’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับสิ่งที่หลายคนสงสัยว่า ‘นนกุล-ชานน สันตินธรกุล’ มีอะไรดี? ทำไมถึงได้มาเป็นอนุกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ พร้อมแนบประวัติการศึกษาที่ระบุว่าเจ้าตัวสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย และสำเร็จการศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการผลิตภาพยนตร์ (หลักสูตรนานาชาติ) วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล

คราวนี้เรามาทำความรู้จัก ‘นนกุล-ชานน สันตินธรกุล’ กันให้มากขึ้นกว่าเดิม พร้อมส่องผลงานที่ผ่านมาว่ามีอะไรบ้าง? และเหมาะสมหรือไม่กับตำแหน่งอนุกรรมการ ขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ด้านภาพยนตร์

>> ผลงานการแสดง : ภาพยนตร์

ปี 2558 
- คีตราชนิพนธ์ บทเพลงในดวงใจราษฎร์
- Love Love You อยากบอกให้รู้ว่ารัก ปี๊ด

ปี 2560 ฉลาดเกมส์โกง 
ปี 2562 มิสเตอร์ดื้อ กันท่าเหรียญทอง
ปี 2565 บุพเพสันนิวาส 2 

>> ผลงานการแสดง : โทรทัศน์

ปี 2558 Hormones 3 The Final Season

ปี 2559
- I SEE YOU พยาบาลพิเศษเคสพิศวง
- Love Song Love Series ตอน เพื่อนสนิท
- บางรักซอย 9/1 

ปี 2560 
- Love Song Love Series to be continued ตอน เพื่อนสนิท
- Project S ตอน Shoot! I Love You

ปี 2562 Bangkok Love Stories 2 ตอน เรื่องที่ขอจากฟ้า
ปี 2564 46 วันฉันจะพังงานวิวาห์

ปี 2565 
- 23:23 สัญญา สัญญาณ
- หอมกลิ่นความรัก
- Wannabe ฝัน กล้า บ้า ดัง, หารักด้วยใจเธอ

ปี 2566 
- remember แค้นนี้ไม่มีลืม
- ร้อยเล่ม เกมออฟฟิศ

>> รางวัลที่ได้รับ

ปี 2560 : 
- รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี สาขา นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
- รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ สาขา นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
- รางวัลภาพยนตร์ไทย ชมรมวิจารณ์บันเทิง สาขา นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
- รางวัลสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย สาขา นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม

ปี 2561 : 
- ชิกสไตล์อะวอดส์ 2018 (Chic style Awards 2018) สาขา นักแสดงนำชาย
- รางวัลชมรมสร้างสรรค์และพัฒนาเยาวชนแห่งประเทศไทย สาขา เยาวชนต้นแบบ (นักร้อง, นักแสดง)

ปี 2566 : 
- รางวัลกินรีทอง มหาชน ครั้งที่ 8 นักแสดงนำชายซีรีส์ยอดเยี่ยมแห่งปี

นอกจากนี้ ครั้งที่ ‘นนกุล’ ยังได้เป็นตัวแทนจากภาพยนตร์ ‘บุพเพสันนิวาส 2’ ขึ้นไปรับรางวัล ละคร/ภาพยนตร์ สืบทอด สร้างสรรค์ ศิลปวัฒธรรมร่วมสมัย ซึ่งนอกจากจะกล่าวขอบคุณแล้ว ในช่วงท้ายยังได้ฝากข้อความไปถึงรัฐบาลให้สนับสนุนวงการบันเทิงไทย และเชื่อว่าทุกคนต้องการเห็นวงการบันเทิงไทยไปสู่ระดับโลกด้วย เรียกเสียงปรบมือและเสียงเชียร์ล้นหลาม ได้ใจชาวโซเชียล แถมยังยกให้เป็น MVP ของงานอีกด้วย

‘แอร์ฯสาว’ เผยโมเมนต์ประทับใจจากทุกไฟล์ทบินของ ‘พี่เบิร์ด’ ไม่ถือตัว ไม่เรียกร้องสิทธิพิเศษ แถมจำชื่อเล่นนางฟ้าได้ทุกคน

(11 ม.ค. 67) เพจหนูน้อยบนยอดเขาอันหนาวเหน็บ ได้โพสต์ข้อความชื่นชมในเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า
เมื่อมีคนมาคอมเมนต์ถามว่าในหมู่คนดังที่มาใช้บริการบนเครื่องบิน ประทับใจใครมากที่สุด แอร์โฮสเตสเจ้าของช่องทั้ง 2 ท่านนี้ตอบว่า ‘พี่เบิร์ด ธงไชย’

“..ทุกครั้งที่พี่เบิร์ดเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะไฟล์ทไหนก็ตาม แอร์ฯทุกคนทุกไฟล์ทจะพูดตรงกันหมดนั่นคือ ‘พี่เบิร์ด ธงไชย’ โดยเธอเล่าว่าทุกครั้งก่อนที่จะเดินทาง พี่เบิร์ดจะทำการบ้านมาก่อนเสมอว่าลูกเรือที่คอยให้บริการในเที่ยวบินนั้นๆมีชื่อเล่นว่าอะไรบ้าง พอเราทักสวัสดีค่ะพี่เบิร์ด พี่เบิร์ดจะมองหน้าแล้วตอบกลับว่า สวัสดีครับเมย์ เราก็..เอ้ยรู้จักชื่อเล่นเราได้ไง สรุปคือพี่เบิร์ดจำชื่อเล่นได้ทุกคน ยิ้มแย้มตลอด เวลาที่ให้บริการพี่เบิร์ด ซึ่งพี่เบิร์ดจะเป็นคนง่ายๆทานง่ายมากไม่เรียกร้องอะไรพิเศษเลย และพอทานเสร็จแล้วพี่เบิร์ดจะเดินเข้าไปกระซิบบอกแอร์ฯในโซนครัวว่า ให้ไปบอกเพื่อนๆทั้งหมดไปตบแป้งเติมปากแล้วมาถ่ายรูปกัน แล้วพี่เบิร์ดจะยืนรอเพื่อให้ลูกเรือได้ถ่ายรูปคู่จนกว่าจะครบทุกคน นี่คือความน่ารักของพี่เบิร์ด เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเราเห็นพี่เบิร์ดบินด้วย ทุกคนจะรู้เลยว่าไฟล์ทนั้นจะเป็นไฟล์ทที่พวกเราอบอุ่นและมีความสุขกันมาก..“

11 มกราคม พ.ศ. 2465  ‘Leonard Thompson’ มนุษย์คนแรก  ได้รับการฉีด ‘อินซูลิน’ รักษาโรคเบาหวาน

วันนี้เมื่อ 102 ปีก่อน Leonard Thompson เป็นมนุษย์คนแรกของโลก ที่ได้รับการฉีด ‘อินซูลิน’ รักษาโรคเบาหวาน

ในปี ค.ศ. 1889 นักวิทยาศาสตร์ 2 คน คือ Joseph von Mering และ Oskar Minkowski พบสาเหตุของโรคเบาหวานโดยบังเอิญ จากการทดลองตัดตับอ่อนของสุนัขออกไปเพื่อดูว่าสุนัขจะเป็นอย่างไรบ้างเมื่อไม่มีอวัยวะนี้

ปรากฏว่าระดับน้ำตาลในเลือดของสุนัขสูงขึ้น และสุนัขมีอาการของโรคเบาหวาน คือ ปัสสาวะบ่อย ดื่มน้ำมาก และน้ำหนักลด นักวิทยาศาสตร์ทั้งสองยังพบอีกว่า ตับอ่อนทำงานผลิตสารอีกชนิดที่ไม่ได้หลั่งออกไปตามท่อสู่ลำไส้ แต่หลั่งออกไปสู่ร่างกายตามกระแสเลือด การค้นพบนี้ทำให้เกิดแนวคิดใหม่ในเรื่องของฮอร์โมนขึ้น

หลังจากนั้น Frederick Banting ศัลยแพทย์ชาวแคนาดาผู้สนใจเรื่องเบาหวาน เขาอ่านพบงานวิจัยของ Joseph von Mering และ Oskar Minkowski ซึ่งพบว่าตับอ่อนเป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน Frederick Banting ตั้งสมมติฐานว่า หากผูกท่อน้ำย่อยของตับอ่อนไม่ให้หลั่งออกมา น้ำย่อยจะไหลกลับไปที่ตับอ่อนทำให้ตับอ่อนอักเสบและเซลล์ที่สร้างน้ำย่อยสลายไป ก็จะเหลือแต่เซลล์ที่สร้างสารที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และจะทำให้การสกัดเอาสารนี้ออกมาได้ผลดีขึ้น และเริ่มทำการทดลองกับสุนัขตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ ด้วยการขออนุญาต ศาสตราจารย์ John Macleod เพื่อใช้ห้องทดลองเล็กของมหาวิทยาลัยโตรอนโต โดยมี Charles Best-นักศึกษาแพทย์ เป็นผู้ช่วย และ James Collip-นักชีวเคมี เป็นที่ปรึกษา

หลังการทดลอง 3 เดือนเต็ม ก็ประสบความสำเร็จ สามารถสกัดสารออกมาจากตับอ่อนของสุนัข ซึ่งเมื่อฉีดเข้าไปในเลือดของสุนัขที่เป็นเบาหวาน สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดลงได้ เขาเรียกสารที่สกัดออกมานี้ว่า Isletin ซึ่งต่อมาได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น อินซูลิน (Insulin) การค้นพบนี้ช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานต้องเสียชีวิตด้วยภาวะกรดในเลือด (Diabetic Ketoacidosis-DKA) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตของผู้เป็นเบาหวานเวลานั้น

โดย Leonard Thompson อายุ 21 ปี คือคนไข้คนแรกที่ได้รับการฉีดอินซูลินเมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2465 (ค.ศ. 1922) หลังได้รับอินซูลิน Leonard Thompson มีชีวิตอยู่ได้อีก 13 ปี

และจากผลการค้นพบอินซูลินซึ่งสามารถช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์จำนวนมหาศาล ทำให้ Frederick Banting, John Macleod, Charles Best, และ James Collip จึงได้รับรางวัลโนเบล ใน ค.ศ. 1923 อีกด้วย

'หมอลักษณ์' เดือด!! ปม ‘แพรรี่’ วิจารณ์ปีชงมีไว้หลอกคนโง่ ซัด!! สร้างคอนเทนต์หิวแสง ไม่มีความรู้ และเพ้อเจ้อเอามัน

(10 ม.ค.67) กลายเป็นอีกประเด็นให้ถกเถียงกันผ่านโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับเรื่องปีชง ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก ‘โหรฟันธง ลักษณ์ เรขานิเทศ’ ของหมอลักษณ์ ราชสีห์ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่า... 

"ประกาศให้คนไทยเชื้อสายจีนและคณะศิษย์สาธุชน ที่มีความเชื่อถือศรัทธาในวิถีศาสตร์ ประเพณีวัฒนธรรมในโหราศาสตร์จีน พุทธศาสนาแบบพุทธมหายาน จีนนิกาย ได้ทราบตอนนี้ มี โมฆบุรุษ ลักเพศ หิวเเสง ออกมาบริภาษสร้างเรื่องสร้างคอนเทนต์แบบไม่มีสติ ใช้ปัญญาอันต่ำทราม พูดถึง กล่าวถึง ส่อเสียด แบบเพ้อเจ้อ เหยียบย่ำ ให้ร้าย (ว่าปีชงมีไว้หลอกคนโง่) ในสิ่งที่ตนไม่มีความรู้ ประสบการณ์ ด้วยลักษณะอาการมันปาก สนุกปาก ในประเด็น ‘ปีชง’ อันเป็นศาสตร์ วิชา โหราศาสตร์จีน โปยหยี่สี่เถียว ฯลฯ อันมีปราชญ์ ผู้รู้ บรมครู สืบวิชามายาวนาน ทั้งพระในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน จีนนิกายมากมาย ท่านเอาศาสตร์นี้ไว้เป็นแนวทางเตือนสติให้ขวัญกำลังใจ ให้มีวิถีบูชาพระ เข้าวัดปฏิบัติบูชาพระไภษัชยคุรุ ตามแนวทางให้ปฏิบัติบูชาระลึก เทพเทวา และบรรพบุรุษ ด้วยหลักกตัญญูกตเวทิตา เป็นความเชื่อถือศรัทธาของผู้มีศรัทธามากมาย

การมาพูดให้ร้าย ด่าทอ หยาบคาย โดยตนไม่มีความรู้ในศาสตร์ วิชา ทั้งยังพูดส่อเสียด โดยขาดธรรม /สติปัญญา เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง อาจารย์จึงแชร์เพจของปราชญ์ผู้รู้ที่เป็น กัลยาณมิตรมาช้านาน ที่เคารพนับถือซึ่งและกันมาให้คณะศิษย์สมาชิกได้ติดตามในองค์ความรู้ วิชา ที่เป็นประโยชน์ในทางโลกสำหรับทุกๆ คนครับ

ขอให้ติดตามเพจที่ให้ความรู้ ‘พุทธสถาน จีเต็กลิ้ม จ.นครนายก’ วัดเล่งเน่ยยี วัดเล่งฮกยี่ วัดจีนประชาสโมสร สมาคม ชมรม ศาลเจ้าจีน โรงเจทั่วประเทศ ที่มีกิจกรรม พิธีกรรม ไหว้พระ ฝากดวง ปัดตัวแก้ปีชง ปัดดวงฝากดวงองค์ไท้ส่วยเอี๊ย แก้ปีชงกันทั้งแผ่นดิน ได้เห็นรับรู้ถึงสถานการณ์ปัจจุบัน ที่มีบุคคลให้ร้ายกล่าวโทษพูดพร่ำในสิ่งที่ตนไม่มีความรู้ ระราน วิถีความเชื่อถือศรัทธาที่สืบมายาวนาน ที่คนไทยเชื้อสายจีนและผู้เชื่อถือศรัทธาปฏิบัติมาช้านาน ลักษณ์ ราชสีห์ สายตระกูล แช่อึ๊ง"

โดยหมอลักษณ์ ยังได้คอมเมนต์เพิ่มเติมอีกว่า งานนี้ก่อศัตรูกับวัดจีน ศาลเจ้า โรงเจ มูลนิธิ สมาคมจีนทั้งแผ่นดินที่มีความเชื่อถือ ยึดถือปฏิบัติมาช้านานเป็นพันปี ทั้งยังนักโหราศาสตร์จีน ซินแส ทุกๆ คน ว่าไงครับ โดนย่ำยี ว่า “ปีชงเอาไว้หลอกคนโง่”

'แอมมี่' ขอโทษ 'เมรี' หลังก่อนหน้านี้ ไม่เป็นสุภาพบุรุษ ยอมรับ!! ไม่ใช่ 'คนรัก-พ่อที่ดี' แต่ขอโอกาสทำหน้าที่พ่อ

(10 ม.ค. 67)หลังปล่อยให้เหตุการณ์ดรามาบานปลาย จนชาวเน็ตต้องตามเผือกกันจนขอบตาดำคล้ำ ล่าสุดวันนี้ถึงบทสรุปเรื่องทำสาวท้องแล้วไม่ยอมรับของ ‘แอมมี่ The bottom blues’ หรือ ‘แอมมี่ ไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์’ หลังจากที่เจ้าตัวได้โพสต์ข้อความในอินสตาแกรม ขอโทษ ‘เมรี คำภีร์’ ลูกสาว ‘ปู พงษ์สิทธิ์ คำภีร์’ แล้ว พร้อมลั่นอารมณ์และโทสะครอบงำจนไม่สามารถเคียงข้างได้ในวันที่อีกฝ่ายต้องการ อยากขอโอกาสแก้ไขความผิดพลาด อยากทำหน้าที่พ่อของลูก โดยแอมมี่ได้โพสต์ข้อความไว้ว่า…

“หลังจากออกจากเรือนจำ นับเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดช่วงนึงของชีวิต การเป็นนักดนตรีของผม การดิ้นรนกลับมาทำเพลง เป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ ณ เวลานั้นได้มีผู้หญิงคนนึงเดินเข้ามาในชีวิต เธอหยิบกีต้าร์ใส่มือผมอีกครั้ง เธอคือคนเล่นกีต้าร์กับผมคนแรก เธอคือผู้ฟังคนแรก คนที่ได้ยินทั้งเนื้อร้อง ทำนองของเพลงที่กำลังจะถูกแต่งออกมาอีกครั้งจากปากของผมบ้างก็ดี หรือบางทีเธอก็หยิบมันมาฟังคนเดียว ผ่านโทรศัพท์เครื่องเก่า ๆ ที่เราใช้ในการทำเดโม่

นับว่านานพอดูเลยแหละ จนกระทั่งโชคก็เข้าข้าง เราได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง สถานการณ์ทุกอย่างค่อย ๆ กลับมาดี ในเส้นทางสายดนตรี เราเริ่มกลับมาทำวงดนตรีเริ่มมีงาน เราทำเอ็มวีด้วยกัน ทีมเราเริ่มใหญ่ขึ้น มีเพื่อนร่วมงานมากขึ้น ขณะเดียวกันความสัมพันธ์ของเราสองคนเริ่มไปในทิศทางที่แย่ลง จนถึงขั้นเลิกรากันไปในที่สุด ซึ่งในส่วนนี้ผมผิดเองที่ไม่รักษาความรักของเราไว้ได้

ในวันที่เมบอกผมว่าท้อง ผมขอโทษที่ช่วงนั้นผมไม่สามารถทำหน้าที่อย่างที่พ่อควรจะทำ ผมขอโทษนะ เมรี ตอนนั้นอารมณ์และโทสะครอบงำ จนไม่สามารถเคียงข้างในวันที่เมต้องการ การนัดหมายต้องพังลงในทุกครั้ง ผมขอโทษที่ตอบโต้คุณผ่านสื่อ นั่นเป็นการกระทำที่ผมถือว่าไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย ผมอยากขอโทษคุณอีกครั้งเพราะที่ผ่านมาไม่เคยได้ขอโทษเลย

ต่อจากนี้หากมันยังพอมีทาง ผมอยากขอโอกาสที่จะได้แก้ไขมันสำหรับความผิดพลาดของผม ผมไม่ใช่คนรักที่ดีและพ่อที่ดี แต่ผมพร้อมเป็นพ่อของลูก พร้อมดูแลลูกของเรา ผมเชื่อว่ามันคงเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก ๆ กับคุณที่ต้องเผชิญมันเพียงลำพัง ขอโทษที่ไปต่อด้วยกันไม่ได้ แต่สัญญาว่าจะพยายามทำหน้าที่พ่อให้ดีที่สุดเพื่อลูกของเรา”

ตามด้วยแคปชันว่า “ผมขอโทษนะเมรี”

10 มกราคม พ.ศ. 2489 ‘สหประชาชาติ’ จัดประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งแรก ณ กรุงลอนดอน มีสมาชิกเข้าร่วม 51 ประเทศ

10 มกราคม พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) ‘สหประชาชาติ’ ได้จัดการประชุมสมัชชาใหญ่เป็นครั้งแรก ณ กรุงลอนดอน 

ซึ่ง สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (United Nations General Assembly) เป็นองค์กรที่มีอำนาจมากที่สุดและเป็นหนึ่งในเสาหลักของสหประชาชาติ เป็นเพียงองค์กรเดียวของสหประชาชาติที่ตัวแทนของแต่ละประเทศสมาชิกมีสิทธิและฐานะเท่าเทียมกัน สมัชชาใหญ่มีหน้าที่ตรวจสอบงบประมาณและการใช้จ่ายในโครงการของสหประชาชาติ แต่งตั้งสมาชิกไม่ถาวรในคณะมนตรีความมั่นคง รับรายงานจากทั่วทุกมุมโลกเพื่ออภิปรายและให้ความเห็น ตลอดจนจัดตั้งองค์กรลูกต่าง ๆ มากมายของสหประชาชาติ

การประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งแรกมีขึ้นในวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) ที่ศาลากลางนครเวสต์มินสเตอร์ในกรุงลอนดอน โดยในขณะนั้นมีสมาชิกเข้าร่วมทั้งสิ้น 51 ประเทศ โดยสมัชชาใหญ่จะมีวาระการประชุมตามที่ประธานที่ประชุมหรือเลขาธิการสหประชาชาติได้เรียกประชุมตามขั้นตอนปีละหนึ่งครั้ง ซึ่งโดยมักจะเริ่มเปิดวาระการประชุมตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป ซึ่งจะหารือกันในหัวข้อหลักต่าง ๆ ไปจนถึงราวเดือนธันวาคม และหารือกันในหัวข้อย่อยตั้งแต่เดือนมกราคมไปจนกระทั่งสิ้นสุดทุกประเด็นตามที่ได้แถลงไว้

นอกจากนี้ อาจมีเปิดวาระการประชุมในกรณีพิเศษหรือกรณีฉุกเฉิน ซึ่งการประชุม กลไก อำนาจหน้าที่ และการลงคะแนนของสมัชชาใหญ่นั้น เป็นไปตามมาตรา 5 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ โดยการลงคะแนนของสมัชชาใหญ่เพื่อออกเป็นมติสมัชชาใหญ่ในหัวข้อสำคัญ ข้อแนะนำด้านสันติภาพและความมั่นคง ข้องบประมาณ การเข้าร่วมสหประชาชาติ การระงับหรือเพิกถอนสมาชิกภาพ จะต้องได้รับคะแนนเสียงในที่ประชุมไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดในที่ประชุม

ส่วนหัวข้อย่อยอื่น ๆ นั้นใช้เพียงคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกในที่ประชุม โดยที่ประเทศสมาชิกแต่ละประเทศมีเพียงหนึ่งเสียงเท่านั้น สมัชชาใหญ่อาจให้ข้อแนะนำเรื่องใด ๆ ก็ตามที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของสหประชาชาติ ยกเว้นอำนาจในการดำเนินการรักษาสันติภาพและความมั่นคงซึ่งเป็นอำนาจของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

ปัจจุบัน สมัชชาใหญ่มีสมาชิกทั้งหมด 193 ประเทศ ซึ่งกว่าสองในสามเป็นประเทศกำลังพัฒนา และมีผู้สังเกตการณ์ 2 ประเทศ คือ นครรัฐวาติกัน กับ รัฐปาเลสไตน์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top