Saturday, 12 October 2024
TREND

ย้อนดูความร้อนแรงของ BTS ตลอดทั้งปี 2020

ยิ่งใหญ่ได้อีก สำหรับบอยแบนด์แห่งยุค BTS เรียกว่าปี 2020 เป็นปีของพวกเขาก็ว่าได้ ล่าสุดเมื่อไม่กี่วันก่อน นิตยสารทรงอิทธิพลอย่าง TIME ก็ได้ออกมามอบรางวัล Entertainer of the year ให้กับ BTS ซึ่งไม่มีข้อกังขาใดๆ กับความเจ๋งของพวกเขา วันนี้เราเลยอยากจะมาย้อนดูความแรงของ 7 หนุ่มตลอดทั้งปี 2020 ไปดูกันว่า พวกเขาสร้างความยิ่งใหญ่อะไรไว้บ้าง 

เริ่มตั้งแต่ต้นปี มีการจัดงานประกาศรางวัล “34th Golden Disc Awards” ซึ่งจัดขึ้นที่โกซอก สกายโดม โดยงานนี้จัดขึ้นเพื่อฉลองให้กับความสำเร็จของศิลปินเกาหลีใต้ที่ทำยอดขายและผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในรอบปีที่ผ่านมา ซึ่ง BTS ก็สามารถคว้ารางวัลแดซัง (รางวัลใหญ่) ได้ถึง 2 รางวัล และรางวัลบนซัง (รางวัลยอดจำหน่ายเพลงผ่านเกณฑ์มาตรฐาน) อีกหลายรางวัล

.

เดือนเมษายน พวกเขาก็ปล่อย Studio Album ล่าสุด MAP OF THE SOUL : 7 โดยบีทีเอสได้เล่าว่า เลข 7 หมายถึง เมมเบอร์ 7 คน และเป็นห้วงเวลา 7 ปีตั้งแต่เดบิวต์ผลงานกันมา ซึ่งเนื้อหาของอัลบั้มนี้ ได้สะท้อนเรื่องของเมมเบอร์หรือตัววงออกมาเป็นอย่างมาก 

.

กระทั่งเข้าสู่ช่วงเดือนพฤษภาคม ในการจัดงาน Kids’ Choice Awards ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการจัดงานมอบรางวัลผ่านหน้าจอออนไลน์ โดย BTS ก็สามารถคว้ารางวัลสำคัญ Favorite Music Group มาครอง

เข้าสู่เดือนมิถุนายน มีการเปิดเผยข้อมูลสถิติและยอดขายของทาง Nielsen Music ซึ่งเป็นระบบที่จัดเก็บข้อมูลของอุตสาหกรรมดนตรีอเมริกา พบว่า  Map of the Soul: 7 อัลบั้มเต็มลำดับที่ 4 ของ BTS สามารถจำหน่ายไปได้มากถึง 1.417 ล้านยูนิตในช่วงครึ่งปีแรก ที่สำคัญ ยังแซงหน้าอัลบั้มยอดขายดีตลอดกาลอย่าง Abbey Road ผลงานมาสเตอร์พีซของ Beatles ที่เคยถูกจำหน่ายในจำนวน 1.094 ล้านยูนิตไปเรียบร้อย

.

ตุลาคมที่ผ่านมา BTS ก็สามารถคว้ารับรางวัล Top Social Artist (ศิลปินยอดนิยมบนโลกโซเชี่ยล) เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ในเวทีการแจกรางวัล Billboard Music Awards 2020 

และในเดือนพฤศจิกายน BTS ก็ยังคงเก็บเกี่ยวความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง คว้าอีก 2 รางวัล บนเวที American Music Awards 2020 ซึ่งรายการนี้จัดขึ้นเพื่อยกย่องศิลปินและอัลบั้มยอดนิยมของปี 2020 โดยบอยแบนด์จากเกาหลีใต้สามารถคว้ารางวัล Favorite Duo or Group – Pop/Rock (เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน) และรางวัล Favorite Social Artist (เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน)

.

และในงานงานประกาศผลรางวัล “2020 MTV Europe Music Awards” ครั้งที่ 27 BTS ก็ยังสามารถกวาดรางวัลมาครองได้มากถึง 4 รางวัลด้วยกัน ได้แก่ Best Song, Best Group, Biggest Fans และ Best Virtual Live

เข้าสู่ธันวาคม ในงานประกาศรางวัล 2020 Mnet Asian Music Awards หรือ 2020 MAMA ซึ่งศิลปิน BTS ก็กวาดรางวัลไปได้อีกมากมาย โดยแบ่งเป็นรางวัลเเดซัง (รางวัลใหญ่) 4 สาขา ประกอบไปด้วย รางวัล Artist of the Year, Song of the Year, Album Of The Year และ Worldwide Icon of the Year พร้อมด้วยรางวัลอื่น ๆ อีก ได้แก่ รางวัล Best Male GroupBest Dance Performance – Male GroupBest Collaboration, Best Music Video และรางวัล Worldwide Fans’ Choice Top 10 

.

และไม่กี่วันมานี้ Rolling Stone นิตยสารเเละเว็บไซต์ชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ก็ได้เผย 50 เพลงจากทั่วโลกที่ดีที่สุดในปี 2020 โดย BTS ติดอยู่ในอันดับที่ 7 จากเพลง Dynamite ซิงเกิลภาษาอังกฤษเพลงแรกของพวกเขา ซึ่งถูกปล่อยออกมาเมื่อเดือนสิงหาคม แถมยังสามารถสร้างประวัติศาสตร์ เป็นศิลปินจากเกาหลีใต้วงแรกที่สามารถขึ้นอันดับ 1 บน Billboard Hot 100 ได้สำเร็จอีกด้วย

ปิดท้ายล่าสุด (แต่คงไม่ใช่ท้ายสุด) BTS ได้รับรางวัล Entertainer of the year หรือรางวัลศิลปินแห่งปี จากนิตยสาร TIME ไปครอง เป็นการจัดอันดับโดยนิตยสาร TIME ที่จะมอบรางวัลประจำปีให้กับบุคคลในแต่ละสาขาอาชีพ ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของนิตยสารผู้ทรงอิทธิพลฉบับนี้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1920 เป็นต้นมา

ตามไปชมคลิปการโชว์เพลง Dynamite ซิงเกิ้ลเพลงภาษาอังกฤษของพวกเขา ที่โชว์ให้กับนิตยสาร TIME ได้ในลิ้งค์นี้กันเลย

https://time.com/entertainer-of-the-year-2020-bts/?utm_campaign=person-of-the-year&utm_source=line_app&utm_medium=social

 

AirPods Max คุ้มค่าแค่ไหน ถามใจเธอดู

เปิดตัวให้ได้ซี้ดซ้าดกันไปเมื่อหลายวันก่อน สำหรับ AirPods Max หูฟังครอบหูหรือเฮดโฟนแบบไร้สายตัวแรกของแอปเปิ้ล งานนี้เปิดตัวมาในราคา 19,900 บาท มีเสียงลอยมาเบาๆ แต่ได้ยินช้าดชัดว่า "แพงจุง" อ่ะ! ตัวเลขราคาอาจจะสูง แต่หูฟังตัวนี้มาด้วยฟีเจอร์มากมาย 

ไม่ว่าจะเป็น EQ ที่ปรับแต่งเสียงให้พอดีกับหูฟัง โดยวัดสัญญาณเสียงที่ส่งออกมา และปรับความถี่ต่ำและกลางแบบเรียลไทม์ ทำให้ได้เสียงที่เต็มอิ่มครบทุกรายละเอียด แถมยังมีโอกาสที่เสียงจะเพี้ยนน้อยมาก อยู่ที่ 1 เปอร์เซนต์ เนื่องจากมีชิ้นส่วนของมอเตอร์วงแหวนแม็กเน็ตนีโอไดเนียมคู่ที่ออกแบบมาอย่างดีและมีคุณภาพ ต่อให้เปิดเสียงดังสุดแค่ไหน เสียงก็ยังคมชัดเป๊ะ 

ส่วนเรื่องการเชื่อมต่อกับ Device อื่น ๆ อาทิ  iPhone iPad หรือเครื่องคอมพ์ Mac ก็หายห่วง ผู้ใช้สามารถสลับอุปกรณ์ไปมาระหว่าง Device ได้เลย AirPods Max ตัวนี้สามารถสลับการเชื่อมต่อได้โดยอัตโนมัติ หรือหากจะแชร์เสียงระหว่าง AirPods 2 ชุด บน iPhone iPad iPod touch หรือ Apple TV 4K ก็เพียงแค่นำ AirPods Max มาใกล้กับอุปกรณ์และเชื่อมต่อด้วยการแตะเพียงครั้งเดียวก็เป็นอันเรียบร้อย

เอาจริง ๆ ด้วยรูปร่างหน้าตาของ AirPods Max ตัวนี้ก็คูลได้ใจแล้วล่ะ แถมมาในสีให้เลือกถึง 5 สี ได้แก่ สีสเปซเกรย์, สีเงิน, สีสกายบลู, สีเชียว และสีชมพู โทนแต่ละสีไม่ได้เปรี้ยวปรู้ดปร้าด แต่ดูเท่ ๆ เฉี่ยว ๆ ตามสไตล์อุปกรณ์ค่ายแอปเปิ้ลนั่นเอง ถึงตรงนี้ ย้อนกลับไปดูที่ราคา ถ้า...ถ้าจะลงทุนกับหูฟังดี ๆ แล้วใช้งานกันไปยาว ๆ ไม่งอแง ก็ถือว่าคุ้มค่าน่าลงทุน  

 

เรื่องราวของ ‘ร็อกสตาร์ฆ่าไม่ตาย’ Oasis

“Oasis คือวงดนตรีที่โลกอนุญาตให้ปากหมาได้ตลอดกาล” ประโยคนี้คงไม่เป็นการกล่าวเกินจริงนักเมื่อเทียบกับวีรกรรมสุดห้าวของสองพี่น้องกัลลาเกอร์ที่ปรากฏบนหน้าสื่อตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากผลงานเพลงที่ได้รับความนิยมอย่างท่วมท้นในยุค ‘90s แล้ว ส่วนผสมที่ลงตัวแต่เข้ากันไม่ค่อยได้ของ ‘โนล กัลลาเกอร์’ มือกีตาร์ และ ‘เลียม กัลลาเกอร์’ ฟรอนต์แมน ดูเหมือนจะยิ่งสร้างสีสันให้แฟนๆ หันมาสนใจพวกเขามากยิ่งขึ้น ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่า Oasis คือวงดนตรีที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อประวัติศาสตร์บริตป๊อบ (Britpop) ของเกาะอังกฤษ

 

วง Oasis ได้ยุติบทบาทลงในปี 2009 หลังโนลตัดสินใจลาออกจากวงและไม่พูดจากับน้องชายนานร่วม 10 ปี ปัจจุบันนี้พี่น้องกัลลาเกอร์ต่างก็ผันตัวเป็นศิลปินเดี่ยว แต่แฟนเพลงกลับทำเหมือน Oasis แค่พักวงชั่วคราวเท่านั้น พวกเขาเฝ้ารอวันที่วงดนตรีที่พวกเขารักจะกลับมารียูเนียนกันอีกครั้ง ความน่าสนใจคือแม้ Oasis จะเป็นวงดนตรียุค ‘90s ทว่ากระแสความนิยมไม่ได้ลดลง ยังคงมีแฟนเพลงเดนตายติดตามอย่างเหนียวแน่นโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่บนโลกออนไลน์ เพลง “Wonderwall” ของวง Oasis ก็ยังเป็นเพลงแรกจากยุค ‘90s ที่มียอดสตรีมมิ่งผ่าน Spotify ทะลุ 1,000 ล้านครั้ง!

 

 

เรื่องราวของวง Oasis เต็มไปด้วยสีสันและเรื่องราวเฮฮาที่น่าสนใจ บางเรื่องอาจเกรียนชนิดที่ศิลปินยุคนี้ไม่มีทางทำแน่ๆ เมื่อคนรุ่นใหม่เข้าถึงอินเตอร์เน็ตพวกเขาสามารถสืบค้นข้อมูลและรับรู้ข้อมูลอีกด้าน ซึ่งแตกต่างจากที่หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ในยุค ‘90s เคยประโคมข่าว ทำให้มุมมองที่มีต่อวง Oasis ในยุคนี้เต็มไปด้วยเรื่องสนุกที่เล่ากันไม่รู้เบื่อ ซึ่งมีหลายปัจจัยด้วยกันที่จุดกระแสความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ตามไทม์ไลน์ดังต่อไปนี้…

 

จากครอบครัวชนชั้นแรงงานสู่ ‘ร็อกสตาร์’

เด็กหนุ่มจากครอบครัวชนชั้นแรงงานในเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ รวมตัวกันตั้งวงดนตรีชื่อ The Rain ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น ‘Oasis’ ในเวลาต่อมา เมื่อ ‘เลียม กัลลาเกอร์’ เข้ามาทำหน้าที่ฟรอนต์แมนของวง เขาชักชวนพี่ชาย ‘โนล กัลลาเกอร์’ ที่ทำงานเป็นเด็กขนเครื่องดนตรีประจำวงดนตรีท้องถิ่น Inspirals Carpets ให้มาร่วมวงในฐานะนักแต่งเพลงและมือกีตาร์ของ Oasis ไม่มีใครคาดคิดว่าบทเพลงที่โนลเคยแต่งไว้เล่นๆ จะได้นำมาใช้จริงๆ โดยเพลงส่วนใหญ่นอกจากจะพูดถึงวัฒนธรรมวัยรุ่นอังกฤษแล้ว ยังมีเนื้อหาที่สะท้อนการมองโลกในแง่ดีและความต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม เช่น “Whatever” เป็นเพลงที่โนลแต่งขึ้นสมัยทำงานเป็นกรรมกรในไซต์ก่อสร้างตามที่พ่อแนะนำ แต่เขาอยากจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง จึงแต่งเพลงนี้เพื่อระบายความรู้สึกที่ต้องการเป็นอิสระ หรือเพลง “Live Forever” มีเนื้อหาที่พูดถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ เป็นต้น ในที่สุดพวกเขาก็แจ้งเกิดในฐานะศิลปิน โดยปล่อยอัลบั้มชุดแรก ‘Definitely Maybe’ ในปี 1994 ยกระดับสถานะทางสังคมจากชนชั้นแรงงานสู่ครอบครัวที่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เริ่มมีชื่อเสียงและเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก

 

             

1995-1997 ‘ยุคทอง’ ของ Oasis

อัลบั้มที่สร้างชื่อเสียงให้พวกเขามากที่สุดคือ ‘(What’s The Story) Morning Glory?’ อัลบั้มชุดที่ 2 ที่วางจำหน่ายในปี 1995 เต็มไปด้วยเพลงฮิตมากมาย เช่น “Wonderwall” และ “Don’t Look Back In Anger” ทำให้กระแสความนิยมของ Oasis เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเขาทะยานสู่การเป็นวงบริตป๊อบอันดับต้นๆ แย่งความนิยมกับวง Blur อย่างดุเดือดจนนำไปสู่เหตุการณ์ ‘สงครามบริตป๊อบ’ ที่ทั้ง 2 วงเลือกปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ในวันเดียวกัน ชื่อเสียงของ Oasis ทำให้พวกเขาสามารถจัดคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์ที่ Knebworth ในปี 1996 ซึ่งมีแฟนเพลงกว่า 2.5 แสนคนเดินทางมาชม อีกทั้งยังได้รับรางวัลการันตีความนิยมจากหลายสถาบัน ส่งผลให้การปล่อยอัลบั้มชุดที่ 3 ‘Be Here Now’ ในปี 1997 เกิดปรากฏการณ์แฟนเพลงแห่มายืนรอหน้าร้านขายซีดีทั่วอังกฤษเพื่อรอซื้ออัลบั้ม โดยในวันแรกที่ปล่อยอัลบั้มสามารถขายอัลบั้มได้กว่า 4.2 แสนก๊อปปี้ พิสูจน์ว่าในช่วงเวลาดังกล่าว Oasis คือวงดนตรีที่ขึ้นไปยืน ณ จุดสูงสุดของวงการบริตป๊อบอย่างแท้จริง

 

 

 

จุดแตกหักของพี่น้องกัลลาเกอร์

แม้จะเป็นพี่น้องแท้ๆ แต่ลักษณะนิสัยของโนลและเลียมกลับต่างกันสุดขั้ว โนลเคยเปรียบเทียบว่าเขาคือแมว จริงจังและมีโลกส่วนตัวสูง ส่วนเลียมเป็นหมาที่พร้อมจะเล่นทุกครั้งที่มีคนโยนลูกบอลให้ เมื่อทั้งคู่ต้องมาทำงานใกล้ชิดกันเป็นเวลานานก็ย่อมมีปัญหากระทบกระทั่ง โนลที่มีความรับผิดชอบสูงจึงเอือมระอาพฤติกรรมของน้องชายที่บางครั้งหายไปโดยไม่บอกกล่าว ปล่อยให้เขาต้องทำหน้าที่ฟรอนต์แมนเอง ในขณะที่เลียมเองก็บอกว่าพี่ชายซีเรียสจนเกินไป การตัดสินใจทั้งหมดของวงแทบจะรวมอำนาจไว้ที่โนลแต่เพียงผู้เดียว รวมถึงการเขียนเพลงในแต่ละอัลบั้ม ความสัมพันธ์พี่น้องเริ่มห่างออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในปี 2009 ระหว่างที่ Oasis เตรียมขึ้นเล่นคอนเสิร์ตที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เลียมอาละวาดหลังเวที และพังกีตาร์ตัวโปรดของพี่ชาย ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่โนลตัดสินใจหันหลังให้วงดนตรีที่เขาอยู่มานานถึง 18 ปี และเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็นำไปสู่การยุติบทบาททางดนตรีของวง Oasis

 

 

 

ตัวตนใหม่เมื่อศิลปินมี ‘สื่อเป็นของตัวเอง’

ภายหลังโนลได้ผันตัวเป็นศิลปินเดี่ยว ภายใต้ชื่อ Noel Gallagher’s High Flying Birds ในปี 2011 ส่วนเลียมก็เป็นศิลปินเดี่ยวในปี 2017 เช่นกัน ทั้งคู่ต่างมีเส้นทางดนตรีเป็นของตัวเอง ได้ทดลองทำเพลงใหม่และเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก แน่นอนว่าในเซ็ทลิสต์ก็ยังมีบทเพลงของวง Oasis ให้แฟน ๆ ได้ฟังกันเช่นเดิม แต่สิ่งที่ทำให้ยุคนี้แตกต่างจากยุค ‘90s คือโซเชียลมีเดีย ศิลปินมีช่องทางสื่อเป็นของตัวเองในการประชาสัมพันธ์ผลงาน สื่อสารกับแฟนเพลง และแถลงตอบโต้ต่อประเด็นข่าวต่าง ๆ พร้อมทั้งสามารถสร้างการรับรู้ใหม่ให้แฟนๆ อย่างตรงไปตรงมาด้วยตัวตนและคาแรกเตอร์ของศิลปินที่สื่ออาจไม่เคยนำเสนอมาก่อน เช่น เลียมรับอุปการะแมวไร้บ้าน โนลบริจาคค่าลิขสิทธิ์เพลงให้เหยื่อก่อการร้าย เป็นต้น ทำให้ศิลปินได้สื่อสารกับแฟน ๆ โดยตรง ขณะที่แฟนเพลงเองก็ได้เห็นภาพลักษณ์ใหม่ของศิลปินที่ทำให้รู้สึกใกล้ชิดมากขึ้น อย่างตอนที่เลียมไปทัวร์คอนเสิร์ตที่เกาหลีใต้ เขาทำท่าเลียนแบบ MV เพลง ‘กังนัมสไตล์’ ทำให้ได้เห็นมุมน่ารักสวนทางกับท่าทีขึงขังที่สื่อหลักเคยเสนอมาตลอดหลายปี หรือแม้แต่การสนับสนุน #BlackLiveMatter ก็สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของศิลปินที่สนใจความเป็นไปของสังคม แน่นอนว่าการแสดงออกที่มี Value เหล่านี้ย่อมโดนใจกลุ่มคนรุ่นใหม่

 

 

 

‘Oasis: Supersonic’ กระแสเรียกฐานแฟนเพลงคืนสู่อ้อมอก

ต้องยอมรับว่าหมุดหมายสำคัญที่ทำให้กระแส Oasis กลับมาถูกพูดถึงอีกครั้งในหมู่แฟนเพลงก็คือ ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Oasis: Supersonic กำกับโดย Mat Whitecross ออกฉายเมื่อปี 2016 นับเป็นการเรียกแฟนเพลงกลับสู่อ้อมอกวงดนตรีวงนี้อีกครั้ง อีกทั้งสร้างฐานแฟนเพลงใหม่ ๆ ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เนื่องจากเป็นสารคดีที่ดำเนินเรื่องได้น่าสนใจ สนุกสนาน มีบทสัมภาษณ์และข้อมูลเอ็กซ์คลูซีฟทั้งจากฝ่ายโนล เลียม อดีตสมาชิกวง และผู้ที่เคยร่วมงานกับวง Oasis เล่าตั้งแต่เรื่องครอบครัวในวัยเด็ก ปัญหาการใช้ความรุนแรงในครอบครัวของพ่อบังเกิดเกล้า จุดเริ่มต้นของการก่อตั้งวง การเดินสายทัวร์คอนเสิร์ต ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างทาง รวมถึงการเปิดเผยหญิงสาวปริศนาที่เป็นแรงบันดาลใจให้เพลง “Talk Tonight” ซึ่งไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนนานถึง 20 ปี สารคดีนำเสนอมุมมองใหม่ ๆ ให้แฟนเพลงได้รับรู้ สร้างการรับรู้ในแง่มุมที่น่าสนใจ ได้เห็นความตั้งใจในการทำงาน การรับมือกับดราม่าต่าง ๆ พิสูจน์ว่าพวกเขาคือร็อกสตาร์ที่ฆ่าไม่ตาย ที่สำคัญ Oasis: Supersonic ยังเป็นภาพยนตร์สารคดีที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลในประเทศไทย ถูกพูดถึงอย่างมากในสื่อโซเชียลมีเดีย ดึงความสนใจให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจวงดนตรีจากยุค ‘90s วงนี้!

 

 

คอนเสิร์ตเดี่ยวของ ‘โนล-เลียม’ ในประเทศไทย

หลังจากกระแส Oasis เริ่มจุดติดอีกครั้งในปี 2016 จากภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Oasis: Supersonic ตามมาด้วย เลียม กัลลาเกอร์ ออกอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกในปี 2017 ก็ยิ่งทำให้ได้รับความสนใจมากขึ้น เลียมกลับมาด้วยภาพลักษณ์เท่และคูลเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือใกล้ชิดแฟน ๆ มากขึ้น เลียมใช้ทวิตเตอร์ส่วนตัวในการอัปเดตความเคลื่อนไหวกับแฟนๆ กว่า 3.3 ล้านคนที่ติดตามเขา แถมยังขยันตอบคอมเม้นท์ด้วยตัวเอง ทุกครั้งที่มีประเด็นสำคัญ ๆ เลียมไม่พลาดที่จะตอบทวีตแฟน ๆ รวมถึงเหตุการณ์หมูป่า 13 คนติดถ้ำหลวง กระแสความนิยมในตัวศิลปินนำสู่คอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในประเทศไทย Liam Gallagher Live in Bangkok 2018 ที่ถูกพูดถึงในทวิตเตอร์จนติดเทรนด์อันดับ 1 ทำให้คนที่ไม่รู้จักเลียมเกิดความสงสัยว่าเขาเป็นใครขึ้นมา จนกระทั่งปลายปี 2019 กัลลาเกอร์คนพี่อย่าง โนล ก็เดินทางมาเล่นคอนเสิร์ตในประเทศไทยเช่นกัน Noel Gallagher’s High Flying Birds Live in Bangkok 2019 จนแฟนเพลงต่างแซวกันว่าเมื่อพี่น้องไม่ถูกกัน แฟน ๆ จะชมคอนเสิร์ตทั้งทีก็ต้องแยกกันชม ซึ่งลึก ๆ ก็ต่างรอวันที่โนลและเลียมคืนดีเพื่อขึ้นเวทีเดียวกันอีกครั้ง

 

 

เลียม: “ผมฟังผลงานเพลงใหม่ของโนลแล้ว เหมือนพวกมังสวิรัติพยายามจะขายเคบับเลยว่ะ”

โนล: “เพลงของไอ้เลียมคือเพลงที่ไม่ซับซ้อน เขียนขึ้นโดยคนที่ไม่ซับซ้อน และทำให้คนที่ไม่ซับซ้อนฟัง”

 

 

อย่างไรก็ตาม อีกเหตุผลที่ทำให้แฟนเพลงต่างติดตามเรื่องราวของวง Oasis และพี่น้องกัลลาเกอร์อย่างเหนียวแน่นก็เพราะความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยระหว่างโนลและเลียม ซึ่งมักจะตอบโต้กันอย่างเจ็บแสบผ่านสื่อทำให้แฟนๆ ได้อ่านเรื่องราวเฮฮาเป็นประจำ รวมถึงกระแสการรียูเนียนวงดนตรีที่หลายคนเฝ้ารอให้เกิดขึ้นเร็ววัน แต่ดูเหมือนทุกครั้งที่เข้าใกล้ความหวังก็มักจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้การรียูเนียนห่างไกลไปเสมอ

 

เรื่อง: Tatiya

ภาพ: Everwhere in Oasis

 

เลื่อนฉาย SEOBOK แฟนคลับ ‘กงยู-พัคโบกอม’ อดใจรอต้นปี 2021 ได้กรี๊ดแน่นอน

แฟนภาพยนตร์เกาหลี โดยเฉพาะ FC ‘กงยู & พัคโบกอม’ ตั้งตาเตรียมรอชมภาพยนตร์ที่ทั้งคู่โคจรมาเจอกันในเรื่อง SEOBOK ซึ่งหมายกำหนดการเข้าโรงภาพยนตร์เดิมคือ ราวปลายเดือนธันวาคมนี้ แต่ล่าสุดมีประกาศการเลื่อนฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ออกไป ทั้งที่ประเทศเกาหลีใต้เอง รวมถึงประเทศไทย

 

ที่มาของการเลื่อนฉายภาพยนตร์ครั้งนี้ เป้นเพราะเหตุการณ์การระบาดโควิด-19 ที่ยังส่อเค้าวุ่นในหลายๆ ประเทศ รวมถึงเกาหลีใต้และประเทศไทย เพื่อความปลอดภัยจึงได้มีการเลื่อนการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ออกไปก่อน

 

สำหรับ SEOBOK ที่นอกจากจะได้ซูเปอร์สตาร์แม่เหล็กอย่าง กงยู และ พัคโบกอม มาประชันกันบนจอภาพยนตร์แล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่ทาง CJ Entertainment ค่ายบันเทิงยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ ทุ่มทุนสร้างอย่างมหาศาลมาก 

 

โดยเป็นหนังแนวไซไฟที่บอกเล่าเรื่องราวของ มินกีฮอน (รับบทโดย กงยู) อดีตสายลับที่ได้รับภารกิจสุดท้ายในการปกป้อง ซอบก (SEOBOK) รับทโดย พัคโบกอม มนุษย์โคลนร่างแรกของโลก ที่เกิดจากการทดลองลับสุดยอด และประการที่สำคัญ ซอบกเป็นมนุษย์โคลนที่เป็นอมตะ เขาได้กุมปริศนาของการมีชีวิตอมตะเอาไว้ ซึ่งมินกีฮอนต้องปกป้องเขาจากกลุ่มคนที่หวังจะครอบครองซอบก และต้องการความลับอมตะนี้

 

เล่ามาขนาดนี้ หลายคนคงอยากดู ไม่ว่าจะดู กงยู หรือดู พัคโบกอม หรือจะดูภาพยนตร์ทั้งเรื่อง เอาเป็นว่า หนังยังไม่ฉายก็ไปอุ่นเครื่องกับภาพยนตร์ตัวอย่างกันเสียก่อน ส่วนข่าวคราวเรื่องกำหนดวันฉายใหม่ รวมทั้งความคืบหน้าต่างๆ ของภาพยนตร์เรื่องนี้ เราจะนำมารายงานให้ทราบต่อไป หรือสามารถติดตามความเคลื่อนไหวกันได้ผ่านทาง MONGKOL MAJOR และ twitter.com/Sahamongkolfilm

 

 

 

 

 

บทเพลง BTS & BLACKPINK ติด 50 อันดับ เพลงดีที่สุดในปี 2020

Rolling Stone นิตยสารเเละเว็บไซต์ชื่อดังของสหรัฐอเมริกา เผย 50 เพลงจากทั่วโลกที่ดีที่สุดในปี 2020 โดย BTS ศิลปินบอยแบนด์ชื่อดังจากเกาหลีใต้ ติดอยู่ในอันดับที่ 7 จากเพลง Dynamite ซิงเกิลภาษาอังกฤษเพลงแรกของพวกเขา ซึ่งถูกปล่อยออกมาเมื่อเดือนสิงหาคม แถมยังสามารถสร้างประวัติศาสตร์เป็นศิลปินจากเกาหลีใต้วงแรกที่สามารถขึ้นอันดับ 1 บน Billboard Hot 100 ได้อีกด้วย

นอกจากนี้ อัลบั้มของพวกเขา Map of the Soul: 7 ก็ยังติดอยู่ในอันดับที่ 16 จาก 50 อันดับอัลบั้มที่ดีที่สุดประจำปี 2020 ของ Rolling Stone ด้วยเช่นกัน ด้านเกิร์ลกรุ๊ปสุดฮอต BLACKPINK ก็ไม่น้อยหน้า นำบทเพลง Ice Cream ซึ่งเป็นผลงานที่พวกเธอสร้างสรรค์ร่วมกับ เซเลนา โกเมซ ติดอยู่ในอันดับที่ 13 

โดยเพลงนี้ถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา เนื้อเพลงส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ มีเพียงท่อนเเร็ปของ ลิซ่า ที่มีภาษาเกาหลีปนอยู่ อีกหนึ่งความโดดเด่นของงานเพลงชิ้นนี้ คือมิวสิควีดีโอของพวกเธอที่เต็มไปด้วยสีสันสดใส มาในโทนชมพูพิงค์ ๆ ที่ใครได้ชมเป็นต้องหลงเลิฟฟฟฟ

ถือเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของทั้ง 2 ศิลปินจากเกาหลี และจัดว่าเป็นปีทองของ BTS และ BLACKPINK อย่างแท้จริง

 

เก็บตก 20 เรื่อง ซีรี่ส์แห่งปี START-UP

จบไปแบบยังไม่แห้งดี (จบแบบหมาดๆ) สำหรับซีรี่ส์เกาหลีส่งท้ายปี START-UP

 

เอาจริงๆ ไม่ใช่แค่ซีรี่ส์ส่งท้ายปีเท่านั้นนะ ยังเป็นซีรี่ส์เกาหลีแห่งปี 2020 อีกด้วย เหตุที่ต้องยกตำแหน่งนี้ให้อย่างไม่เป็นทางการ เพราะทันทีที่ซีรี่ส์ดังกล่าวถูกปล่อยสตรีมมิ่งลง Netflix เรตติ้งก็ดีเว่อร์ กระแสความคลั่งไคล้ในเรื่องราวและเหล่าตัวละครก็พรึ่บพรั่บมาแรงแซงทุกเรื่องแบบไม่เห็นฝุ่น

 

แรกทีเดียว ฟังแค่ชื่อ START-UP คงพอเดาได้ว่า เป็นเรื่องราวแนวธุรกิจยุคใหม่ การแข่งขันทางเทคโนโลยี แต่ซีรี่ส์เรื่องนี้ทำได้ดีกว่านั้นมากกกกก! ทั้งผูกเรื่องราวได้น่าสนใจ ตัวละครแทบทุกตัวมีมิติ และสะท้อนโลกของคนรุ่นใหม่ (ในแบบเกาหลีใต้) ได้อย่างน่าสนใจ

 

เอาเป็นว่า ใครที่ยังไม่เคยดู สามารถตามดูย้อนหลังได้แบบรวดเดียวจบได้เลย นี่เป็นข้อดีของการดูซีรี่ส์ยุคสตรีมมิ่งออนไลน์ แต่สำหรับใครที่ยังไม่เชื่อกระแสการตลาดแบบปากต่อปาก ประมาณว่า บอกว่าดี ดี ดี กันปากต่อปาก จนสุดท้ายก็ต้องเข้าไปดู เอาอย่างนี้แล้วกัน เรามี 20 เรื่องราวของซีรี่ส์นี้ ให้คุณได้ลองอ่านดูก่อน

 

ไม่ต้องกลัวว่าเราจะบอกเรื่องย่อ หรือไคลแมกซ์ของเรื่องหรอกนะ แต่เป็นการจับเอา ‘คุณค่า’ ที่ได้จากซีรี่ส์เรื่องนี้ เรียกว่าเป็นคุณงามความดี ที่ไม่ได้ดีแค่นางเอกสวย พระเอกหล่ออย่างเดียว ลองตามไปอ่านดูกัน

 

1 ซี่รี่ส์ START-UP แม้ชื่อจะฟังดูร่วมสมัย เป็นเรื่องของคนยุคใหม่ แต่ภาพหลังของเรื่องราวทั้งหมด คือความรัก ความผูกพันของคนในครอบครัว จากต้นเรื่องที่ดูเหมือนครอบครัวตัวละครต่างแตกแยก แต่ท้ายที่สุด ความรักและความผูกพันก็ทำให้พวกเขากลับมาพร้อมหน้ากันในที่สุด

 

2 ซีรี่ส์พยายามจะบอกว่า ไม่ว่าคนกลุ่มไหนก็สามารถเป็น Startup ที่ประสบความสำเร็จได้ สะท้อนได้จากกลุ่มตัวละครในบริษัท ซัมซานเทค ที่ประกอบไปด้วย นัมโดซาน คิมซงซาน และอีชอลซาน แม้แรกเริ่มพวกเขาจะอยู่ในบริษัทอันซอมซ่อ แถมแต่ละคนยังพูดจาไม่รู้เรื่อง ดูเป็น underdog มากๆ แต่ด้วยความกล้า ลุย อดทน และมีความแตกต่าง สุดท้ายพวกเขาก็ประสบความสำเร็จจนได้

 

 

3 หลายๆ ฉากของซีรี่ส์เรื่องนี้ สะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ของเหล่า Startup ในโลกที่คนอยากทำ Startup ต้องเจอ นั่นคือ ต้องอึด ถึก ทน กินอยู่ หลับนอน และทำงาน อยู่ในออฟฟิศนั่นล่ะ

 

4 ซีรี่ส์นี้ยังบอกอีกด้วยว่า ถ้าคิดจะทำธุรกิจ Startup ก็อย่าได้กลัวความล้มเหลว ดังสัญลักษณ์ของอาณาจักร Sand Box ในเรื่อง (ทำหน้าที่คล้ายๆ Silicon Valley ในโลกสตาร์ตอัพจริง) ที่ใช้ภาพเด็กผู้หญิงกำลังแกว่งไกวชิงช้า โดยมีที่มาจากการที่ตัวละครหนึ่งเคยนำทรายไปถมเพื่อให้ลูกเล่นชิงช้า พร้อมกับสะท้อนการทำธุรกิจว่าเหมือนกับการเล่นชิงช้านั้น อย่ากลัวที่จะทำอะไรใหม่ๆ ถ้าพลาด หรือตกลงมา ก็ยังมีพื้นทรายที่รองรับ มันก็แค่เจ็บ แต่ไม่ถึงกับตาย จงกล้าที่จะสร้างอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา

 

 

5 ซีรี่ส์นี้เหมือนจะเป็นซีรี่ส์ของคนรุ่นใหม่ แต่ตัวละครสำคัญของเรื่องล้วนผูกไว้กับ ‘คนรุ่นก่อน’ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะกับ ‘คุณย่าชเววอนด็อก’ ซึ่งเป็นคุณย่าของนางเอก เธอเปรียบเสมือนศูนย์รวมจิตใจของเด็กๆ ทุกคนในเรื่อง แถมยังมีประโยคคำสอนมากมาย สุดท้ายซีรี่ส์นี้กำลังจะบอกว่า โลกนี้ล้วนอยู่ได้ด้วยความเก่าและใหม่ ที่ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของกันและกัน เพียงแต่ต้องผสานให้เป็นหนึ่งเดียว

 

6 คุณงามความดีของซีรี่ส์นี้อีกประการ ตัวละครรุ่นใหม่พยายามสร้างธุรกิจใหม่ๆ ก็จริง แต่สุดท้ายพวกเขาไม่ได้สร้างเพื่อต้องการ ‘ความร่ำรวย’ หากแต่สร้างเพื่อ ‘ประโยชน์’ ให้กับผู้คน สะท้อนได้จากกลุ่มบริษัทซัมซานเทคที่พยายามทำแอปฯ ที่ชื่อ นันกิล เพื่อไว้ใช้นำทาง และบอกข้อมูลต่างๆ ให้กับคนพิการทางสายตา

 

 

7 ‘ความรวย’ ไม่ใช่คำตอบสำหรับซีรี่ส์เรื่องนี้ หลากหลายตัวละครที่อยู่บนฐานะที่ร่ำรวย อาทิ ชาอาฮยอน (แม่ของนางเอก) หรือ วอนอินแจ (พี่สาวนางเอก) แรกเริ่มเดิมที ทั้งสองคนต่างอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น จึงแยกครอบครัวไปอยู่กับพ่อเลี้ยงคนใหม่ แต่สุดท้าย เงิน ก็ไม่ใช่คำตอบของชีวิต หากแต่คือความเป็นตัวของตัวเอง และการได้พิสูจน์ความสามารถที่แท้ของตัวเองต่างหาก

 

8 ซอดัลมี คือนางเอกของเรื่อง เหมือนเป็นตัวแทนของผู้หญิงในโลกนี้ที่ไม่ได้สวยที่สุด เก่งที่สุด แถมครอบครัวก็ไม่สมบูรณ์แบบ แต่สิ่งที่ปลุกเร้าให้เธอต้องก้าวขึ้นมาพิสูจน์ตัวเอง เพราะการจากไปของพ่อ และอยากให้ย่าเลิกขายฮอตด็อก และสุดท้าย อย่าเพิ่งตัดสินว่าใครเก่งหรือไม่เก่ง จนกว่าเขาจะได้รับโอกาสในการพิสูจน์ตัวเอง

 

 

9 ในมุมกลับกัน นัมโดซาน พระเอกของเรื่อง มีครอบครัวที่อบอุ่น พ่อและแม่ต่างเป็นห่วงในอนาคตของเขา แม้จะไม่ชอบใจในสิ่งที่ลูกชายทำก็ตามที (ก่อตั้งบริษัทซอมซ่อที่ชื่อ ซัมซานเทค) แต่พวกเขาก็เหมือนลมใต้ปีก ที่คอยอุ้มและส่งแรงให้ลูกชายได้บินขึ้นไปสู่ท้องฟ้าได้สำเร็จ

 

 

10 มาสู่เรื่องเบาๆ กันบ้าง ซีรี่ส์เรื่องนี้ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นซีรี่ส์เกาหลีอยู่เช่นเดิม กล่าวคือ ต้องมีฉากกินข้าวร่วมกันของครอบครัว (ที่แทบทุกเรื่องต้องมี) และต้องเห็นมื้ออาหาร เรื่องนี้ไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็น Soft Power ทางวัฒนธรรมเบาๆ ที่แฝงมาจนทำให้เรา (คนดู) อยากกินตามบ้าง

 

11 ไม่ใช่แค่มื้ออาหาร แต่ร้านอาหาร และร้านร่ำสุรา ก็ต้องมี แน่นอน เครื่องดื่ม ‘โซจู’ ต้องมาเช่นเคย นี่ก็ Soft Power อีกหนึ่งอย่างที่ประสบความสำเร็จเอามากๆ ทุกวันนี้ร้านสะดวกซื้อในเมืองไทย มีโซจูขายเพียบเลย

 

12 นอกจากรถแบรนด์หรูจากประเทศเยอรมัน ที่เป็นสปอนเซอร์ให้กับรถยนต์ทุกคันของตัวละครในเรื่อง ซีรี่ส์เรื่องนี้ยังแอบไทอิน หรือมีแอดเวอเทอเรียลแบบเนียนๆ อยู่เป็นระยะๆ (โดยเฉพาะฉากแต่งหน้าของนางเอก) หากไม่สังเกตแบบจ้องจับผิด ก็อาจจะดูไม่ออก ต้องยกความสามารถนี้ให้กับฝ่ายคิดและถ่ายทำ ซึ่งซีรี่ส์เกาหลีนั้น ‘ขายโฆษณาแฝง’ แทบทุกเรื่อง แต่ดูเพลินจนแยกไม่ออกจริงๆ

 

13 อีกหนึ่งคุณงามความดี คือเสื้อผ้าหน้าผมของทุกตัวละคร ดูลงตัว ไม่มากไป ไม่น้อยไป ไม่ฉูดฉาดเหมือนซีรี่ส์เกาหลีบางเรื่อง เสื้อผ้าที่ตัวละครสวมใส่ล้วนใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน แถมบางชิ้นเห็นมากๆ เข้าก็อยากจะไปส่องตามร้านในเมืองไทยว่ามีขายหรือยัง ภาพรวมเป็นการสไตลิ่งที่สมจริงกับความเป็นคนรุ่นใหม่ในสายงานสตาร์ตอัพ ดูจับต้องได้ และน่าจับต้องอีกด้วย

 

 

14 เห็นว่าเป็นซีรี่ส์แนวธุรกิจโลกยุคใหม่ก็ตาม แต่ยังคงความเป็นสไตล์เกาหลี โดยเฉพาะเรื่องการสร้างปมตัวละครอันสุดเฉียบ ยกตัวอย่างเช่น นางเอกมีรักแรกจากเพื่อนทางจดหมาย (ที่เขียนขึ้นโดยพระรอง) แต่แท้จริงพระรองนั้นถูกย่าของนางเอกขอให้ช่วยเขียนให้ แต่ปรากฎว่า ชื่อที่พระรองใช้ กลับเป็นชื่อพระเอก (ตัวจริง) ที่ไปเห็นจากในหนังสือพิมพ์ เนื่องจากพระเอกชนะเลิศการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิก เวลาผ่านไป 15 ปี คนทั้งหมดก็วนกลับมาเจอกัน ทำให้เกิดเรื่องราวความรักสามเส้าขึ้น

 

15 ซีรี่ส์ START-UP เรื่องนี้ ไม่มีตัวร้าย โดยเฉพาะที่ร้ายอย่างไม่มีเหตุผล แต่ไปวางตัวละครที่ต้องมาแข่งขันด้วย ที่เปรียบเหมือนตัวร้ายแบบเบาๆ ส่วนใหญ่จุดหักเหต่างๆ ของเรื่อง มักเกิดจากความผิดพลาดของเหล่าตัวละคร ซึ่งล้วนแต่เกิดมาจากความอ่อนด้อยในประสบการณ์ คนดูที่ติดตาม ก็ได้เรียนรู้และได้ประสบการณ์จากพวกเขาไปปรับใช้จริงได้ด้วยเช่นกัน

 

16 ปกติคนดูจะลุ้นว่า เมื่อไรพระเอก-นางเอกจะจูจุ๊บกันสักที แต่สำหรับซีรี่ส์เรื่องนี้ การจูบกันของพระนางแทบจะไม่ทำให้คนดูฟิน หรือดูดดื่มแต่อย่างใด แต่ในมุมกลับกัน ดูเป็นการจูบที่เป็นมุษย์มนา เรียกว่ามาตามอารมณ์ของเรื่อง ไม่ใช่เอะอะจูบ เอะจูบจูบ แม้จะไม่ใช่ฉากขายเหมือนหลายๆ เรื่อง แต่ก็เป็นซีนที่ดูจริง และสบายตาสบายใจ

 

 

17 อย่างที่บอกไป START-UP เป็นซีรี่ส์ที่ให้รายละเอียดของตัวละครแทบทุกตัว ยกตัวอย่าง พระเอก-นัมโดซาน เป็นคนชอบถักนิตติ้ง เมื่อใดที่เขาโกรธ หรือควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาจะถักนิตติ้ง ส่วนนางเอก-ซอดัลมี เมื่อไรที่เธอเอาจริงกับเรื่องอะไรก็ตาม เธอมักจะรวบผมแล้วมัดขึ้นมาอยู่เสมอ แม้แต่ ฮันจีพยอง-พระรอง ตัวละครที่ภาพนอกคือผู้อำนวยการที่แสนจะเพอร์เฟคท์ แต่แท้จริงเขาคือคนเหงาคนหนึ่ง ที่มีเพื่อนคุยคือ คอมพิวเตอร์ปัญญาประดิษฐ์ ที่ตั้งอยู่บ้านเท่านั้นเอง

 

 

18 ตัวละคร พระรอง-ฮันจีพยอง เหมือนเป็นภาพสะท้อนของคนยุคปัจจุบัน ที่แม้จะมีต้นทุนในชีวิตที่ต่ำมาก่อน แต่ด้วยความเก่ง และความขยัน ก็สามารถถีบตัวเองขึ้นมาจนกลายเป็นผู้บริหารแถวหน้าได้ แต่ในภาพความสำเร็จ ความร่ำรวย สิ่งที่เขาต้องการ กลับเป็นแค่ความรัก ความเข้าใจ และชีวิตที่เรียบง่าย เหมือนอย่างที่เขามักจะไปหา ‘คุณย่าชเววอนด็อก’ คนที่เคยดูแลเขามาตั้งแต่เด็กๆ ที่ร้านขายฮอตด็อกนั่นเอง

 

 

19 แง่งามของ START-UP อีกอย่างคือ ไม่ว่าคุณจะเป็นเด็ก วัยรุ่น หรือคนแก่ ก็สามารถดูซีรี่ส์เรื่องนี้ได้อย่างเข้าใจและเข้าถึง แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องธุรกิจคนรุ่นใหม่ แต่แท้จริงแล้ว ซีรี่ส์ได้ซ่อนการเชื่อมโยงของคนสองเจนเนอเรชั่นเข้าไว้ด้วยกัน คนรุ่นใหม่พร้อมทะยานเพื่อไปสู่อนาคตก็จริง แต่ในเนื้อแท้ พวกเขายังต้องอาศัยประสบการณ์ของคนรุ่นก่อน เพื่อนำทางไปสู่เป้าหมาย หนำซ้ำ เป้าหมายจริงๆ ที่พวกเขาต้องการ ไม่ใช่แค่พิสูจน์ให้คนรุ่นก่อนเห็นว่าพวกเขาทำได้ แต่มันคือภาพของการทำให้คนที่รักมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่างหาก

 

 

20 ทำไมคนดูมากมายถึงต่างก็ ‘หลงรัก’ ซีรี่ส์และตัวละครของเรื่องนี้ เพราะพวกเขาเหมือนตัวแทนของเราที่พยายามจะ ‘ทำตามฝัน’ (Follow your dream) มากไปกว่านั้น คือการไม่ลืมรากเหง้าของตัวเอง เหมือนดังเช่นตอนท้ายๆ ของเรื่อง ที่พวกเขาได้กลับไปที่ออฟฟิศเก่าแห่งแรกของตัวเอง พร้อมกับยืนกอดคอกันร้องไห้ สะท้อนให้เห็นว่า ที่สุดแล้วชีวิตของคนเรา ไม่ว่าจะเด็ก ผู้ใหญ่ หรือวัยไหนก็ตามที การได้ไปยังสิ่งที่ใฝ่ฝัน แน่นอนว่า มันคือความสำเร็จ แต่ในแก่นแท้ของความสำเร็จแล้ว มันคือการได้เรียนรู้ และได้เห็นการเติบโตของตัวเองตลอดมา

 

ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ vs อาร์เซน่อล ดาร์บี้แมทซ์เดือดๆ แห่งกรุงลอนดอน

โหมโรง!!!

 

ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ สัปดาห์นี้ ต้อนรับลมหนาวของเมืองไทย (แต่ที่อังกฤษนั้นหนาวมานานแล้วล่ะ) ด้วยศึกนอร์ทลอนดอน ดาร์บี้แมทซ์ พูดชื่อดูทางก๊านทางการ เรียกตามภาษาแฟนฟุตบอลไทยดีกว่าว่า ‘ศึกไก่ปะทะปืน’

 

ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ VS อาร์เซน่อล

 

อย่างที่บอกไป ว่าเป็นศึกดาร์บี้แห่งกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งถ้าจะท้าวความกลับไป สองทีมนี้เป็นทีมร่วมเมืองกันมายาวนาน เคยแข่งขันกันครั้งแรกตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 1887 โดยความดราม่าระหว่างสองทีมนั้นมีกันมาอยู่เรื่อยๆ เช่นครั้งหนึ่ง สเปอร์และอาร์เซน่อล ต้องตกชั้นไปเล่นในดิวิชั่น 2 แต่กลายเป็นว่า ทางผู้จัดการแข่งขันเห็นว่า หากให้ตกไปทั้งคู่ อาจทำให้ไม่เหลือทีมใหญ่มีชื่อในดิวิชั่น 1 เลย ก็เลยให้อาร์เซน่อลอยู่รอดต่อไป ส่วนสเปอร์นั้นตกชั้น (ไปซะอย่างนั้น)

 

ยังมีเรื่องแสบสันต์ดราม่าทิ่มแทงใจแฟนบอลของสองทีมนี้อีกเยอะ แต่กลับมาปัจจุบันกันต่อเถอะ คู่นี้เวลาเจอกันทีไร นอกจากคนดูจะเข้าสนามแตกแล้ว ผลลัพธ์ยังยิงกันระเบิดระเบ้อเป็นประจำ ศัพท์ของนักลงทุนเขาเรียก สกอร์สู๊งงงง!

 

แต่ก็ว่าไมได้ เนื่องจากสเปอร์ในวันนี้ มีคุณน้าโชเซ่ มูรินโญ่ เข้ามาคุมทีม แกขึ้นชื่อเรื่องแนวรถบัสรับแน่น แล้วโต้เร็ว ก็ดูจะน่าสนใจว่า เกมศักดิ์ศรีแบบนี้ มูรินโญ่จะวางหมากอย่างไร จะป้องกันท่าเดียว แล้วค่อยสวน อันนี้แฟนไก่อาจมีหงุดหงิดเอาได้ (นี่มันศึกแห่งศักดิ์ศรีนะว้อยยย!)

 

ด้านอาร์เซน่อล ทีมคู่รักคู่แค้นที่เดินทางมาเยือน สภาพผลงานโดยรวม ก็ยังไม่ร้อนแรงเท่าไรนัก ทีมยังไม่เสถียรลงตัวแบบเป๊ะๆ บทจะชนะก็ฟอร์มหรู แต่บทจะหมู เอ้ย! บทจะแพ้ก็แพ้ง่ายเกิ๊น! แถมล่าสุด โธมัส ปาเตย์ มิดฟิลด์ห้องเครื่องตัวใหม่ที่กำลังทำผลงานได้ไฉไล ก็ดันมีอาการบาดเจ็บ ชวดลงสนามไปเรียบร้อย แต่ถึงยังไง มิเกล อาร์เตต้า เฮดโค้ช คงมีนักเตะใช้งานกับเกมนี้อยู่ในใจแล้วล่ะ แถมก็คงรู้ว่าจะต้องเล่นกับสเปอร์ในนัดนี้อย่างไร ตามประสบการณ์ลูกพี่นักเตะเก่าที่เคยเจอสเปอร์มาหลายดอกในอดีต

 

สรุปว่า นอร์ทลอนดอนดาร์บี้นัดนี้ ยังคงเดือดเหมือนเดิม ส่วนผลจะออกทางไหนน่ะเหรอ เอาเป็นว่า สเปอร์ช่วงเวลานี้ เจอทีมใหญ่ด้วยกัน ‘ตบ’ มาแล้วแทบทุกทีม แถมภาพรวมยังดูดีกว่าอาร์เซน่อลนิดๆ แต่ด้วยศักดิ์ศรี เชื่อว่าทีมปืนใหญ่ไม่ยอมให้ตบง่ายๆ แน่นอน

 

คืนวันอาทิตย์นี้ 23.30 น. เจอกันหน้าจอ ทั้งแฟนไก่! แฟนปืน! ปู๊นๆ!!

เลียม กัลลาเกอร์ ฟร้อนแมนโอเอซิส สตรีมมิ่งไลฟ์คอนเสิร์ต

พรุ่งนี้ FC เลียม กัลลาเกอร์ นักร้องนำแห่งวงร็อกโอเอซิส เตรียมเฝ้าหน้าจอรอชมการสตรีมมิ่งไลฟ์คอนเสิร์ตของเขากันได้เลย นี่ถือเป็นการไลฟ์การแสดงดนตรีผ่านช่องทางออนไลน์อย่างเป็นเรื่องเป็นราวหนแรกของร็อกเกอร์คนดังอีกด้วย

งานนี้เจ้าตัวได้บันทึกการแสดงดนตรีครั้งนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และเตรียมปล่อยลงสู่โลกออนไลน์เพื่อให้เหล่าแฟนๆ ได้ชมกันในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2563 นี้ ซึ่งเวลาที่จะได้รับชมนั้น มีความแตกต่างกันไปตามโซนแต่ละทวีป เริ่มที่อังกฤษ และฝั่งยุโรป ก่อนจะไปที่อเมริกา และตามมาด้วยฟากฝั่งออสเตรเลีย ส่วนเอเชียและประเทศไทยนั้น จะได้ชมกันในวันที่ 6 ธันวาคม ตามมาติด ๆ

ส่วน set list หรือรายชื่อเพลงในคอนเสิร์ตออนไลน์ Down by the Thames River จะมีทั้งบทเพลงจากอัลบั้มเดี่ยว  และเพลงคลาสสิกของ Oasis ที่เลียมแทบไม่เคยหยิบมาเล่นอีกเลย อย่าง "Hello" ซึ่งถือว่ากลับมาเล่นอีกครั้งในรอบ 18 ปีเลยทีเดียว รวมถึง "Columbia" และ "Fade Away" ที่หาฟังยากมากๆ และแน่นอนว่า ไฮไลต์คือการเปิดตัว "All You're Dreaming Of" ซิงเกิ้ลใหม่ล่าสุดที่เพิ่งปล่อยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

รายชื่อเพลงอื่น ๆ ที่จะได้ชมกันมีดังนี้

- Hello

- Wall of Glass

- Halo

- Shockwave

- Columbia

- Fade Away

- Why Me? Why Not

- Greedy Soul

- The River

- Once

- Morning Glory

- Cigarettes & Alcohol

- Headshrinker

- Supersonic

- Champagne Supernova 

- All You're Dreaming Of

ใครที่สนใจ สามารถซื้อบัตรเข้าชมกันได้ที่ http://liamgallagher.com/ และขั้นตอนการซื้อบัตร https://bit.ly/2JoNYRr งานนี้แฟน ๆ เลียมและโอเอซิส ไม่ควรพลาด ของดีไม่มีบ่อย ๆ แน่นอน


ขอบคุณข้อมูล: เพจ All About RKID

 

ลัดเลาะส่องมุมชิค ๆ ย่านหัวลำโพง

สุดสัปดาห์นี้ หลายคนหยุดยาว 3 วัน ถ้ายังไม่มีแผนการไปชิลที่ไหน ลองนั่งรถไฟฟ้า MRT มาสถานีหัวลำโพง เดี๋ยวนี้ย่านหัวลำโพง และถนนละแวกใกล้เคียงอย่าง ไมตรีจิตต์ ซอยนานา วงเวียน 22 กรกฎา กลายเป็นแหล่งชุมนุมของร้านรวงหน้าตาเก๋ ๆ น่ารัก ๆ เพียบเลย

นอกจากนี้ยังมีมุมถ่ายรูปสำคัญ ที่เห็นเหล่าดารา เซเลบฯ นิยมไปถ่ายกัน เป็นหน้าตึกเก่าแก่ ที่ถูกปลุกชีพให้กลายมาเป็นโรงแรมบูติก ชื่อว่า The Mustang Blu อันนี้ไม่ควรพลาดมาปักหมุดถ่ายภาพไปอัปลง IG กันนะ

ไม่พูดเยอะดีกว่า เอาเป็นว่า ย่านหัวลำโพง - ไมตรีจิตต์ - ซอยนานา จะคูลเว่อร์ขนาดไหน The States Times LITE เก็บภาพมาให้ดูกันล่ะ

เริ่มต้นการเดินทางมากันง่าย ๆ เพียงแค่โดยสารรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT มาลงสถานีหัวลำโพง เดินขึ้นจากสถานีปุ๊บ มองเห็นสถานีรถไฟกรุงเทพ หรือสถานีหัวลำโพงเป็นแลนด์มาร์คใหญ่ วันนี้หัวลำโพงผ่านเวลามากว่า 104 ปี เริ่มใช้งานกันมาตั้งแต่ 25 มิถุนายน พ.ศ.2459 บรรยากาศอันคุ้นเคย กับสถาปัตยกรรมอันสวยงาม กดถ่ายภาพมุมไกลกับหัวลำโพง ก็เข้าท่าทีเดียวนะ

.

เดินข้ามถนนจากหัวลำโพงมาไม่ไกล จะเจอถนนแยกเป็นหลายสาย ให้เดินเข้ามาทางถนนไมตรีจิตต์ จะเจอแลนด์มาร์คแห่งใหม่ เห็นใคร ๆ ก็ถ่ายภาพมุมนี้ไปลงไอจี ที่นี่เป็นอาคารทรงโคโลเนียลเก่าแก่ที่ถูกปลุกชีพมาเป็นโรงแรม มีชื่อว่า "The Mustang Blu" แต่เมื่อก่อนเคยเป็นทั้งโรงพยาบาล ธนาคาร หรือสถานอาบอบนวด มาวันนี้แปลงโฉมเป็นโรงแรม ตั้งตัวอย่างโดดเด่นจนกลายเป็นจุดถ่ายภาพที่กำลังอินอยู่ในตอนนี้ มา ๆ ต้องมาลอง!

.

ตามเส้นทางไมตรีจิตต์ ยังเต็มไปด้วยอาคารพาณิชย์เก่าแก่ และวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนพื้นที่ ส่วนใหญ่ยังเป็นธุรกิจร้านค้าที่ค้าขายมายาวนาน จากรุ่นสู่รุ่น เดินแล้วเหมือนย้อนเวลาหาอดีต

.

เดินจนสุดถนนไมตรีจิตต์ จะเจอแยกซอยนานา ในวันนี้ถนนเส้นนี้กลายเป็นแหล่งแฮงเอ้าต์แห่งใหม่ อาคารเก่า ๆ ถูกแปลงโฉมเป็นคาเฟ่ รวมทั้งตามตรอกซอกซอยเล็ก ๆ ยังมี "บาร์ลับ" ที่ซุกซ่อนตัวอยู่ในอาคารเก่า อย่างร้านนี้ WALLFLOWERS เป็นบาร์ลับที่ถ้าไม่ลงเท้าเดินก็คงไม่เจอ ตั้งอยู่ในซอกของอาคารเก่า ๆ 

.

อีกหนึ่งบาร์ยอดฮิตของนักแฮงเอ้าต์รุ่นใหม่ Teen of Thailand (ToT) ตอนที่ไปถึงเป็นช่วงกลางวันยังไม่เปิดทำการ แต่กำแพงร้านแบบดิบ ๆ ก็สะดุดตาพอที่จะเก็บมุมถ่ายภาพเอาไว้

.

บาร์เก๋ ๆ อีกแห่ง แปลงโฉมอาคารเก่าให้สวยเก๋ Ba Hao

.

อีกหนึ่งมุมที่รับรองว่าถ่ายภาพสวยแน่ ๆ นั่นคือ ตามประตูบ้านเรือนแถวนั้น รูปทรงโบราณที่หายากในยุคนี้ แถมผู้พักอาศัยย่านนั้นก็ยังพร้อมใจกันทาสีประตูให้สวยสด ใครอยากถ่ายภาพ สามารถขออนุญาตขอเจ้าของบ้านถ่ายไว้ได้เลย

.

ภาพกำแพงที่เต็มไปด้วยแผ่นพับ ใบปลิว และสติ๊กเกอร์เก่า ๆ ให้อารมณ์ดิบ ๆ แต่เต็มไปด้วยเสน่ห์แบบย้อนเวลา

.

ธุรกิจเก่าแก่ อาชีพดังเดิมของคนพื้นที่ก็ยังอยู่ อย่างร้านตัดผม บาร์เบอร์สุภาพบุรุษ ไอเท็มหน้าร้านวินเทจได้ใจ จนต้องเก็บภาพเอาไว้

.

สวยงาม สีฉูดฉาด และเต็มไปด้วยความคลาสสิก จะเจอไปตลอดเส้นทาง

.

เดินตัดจากซอยนานา มีอีกถนนเส้นคู่ขนานกัน คือถนนพระราม 4 พบกับอีกหนึ่งไฮไลท์ที่มาแล้วต้องไม่พลาด คือร้านกาแฟ JADE (เจต) ที่นี่พลิกโฉมจากอาคารเก่าแก่ที่รกร้างของต้นตระกูลนับสิบปี มาปรุงโฉมให้กลายเป็นร้านกาแฟเท่ ๆ แถมด้านบนยังเปิดเป็นอาร์ต แกลอรี่ ร้านเป็นแบบโอเพ่น แอร์ แต่บรรยากาศชิลๆ เข้าไปนั่งแล้วเหมือนย้อนเวลาไปในอดีต สัญลักษณ์อักษรจีนข้างกำแพง ออกเสียงว่า "อี่" แปลว่า สมหวัง ส่วน "JADE" หรือ "เจต" ในภาษาไทย ก็คือ สมหวังดังใจ

.

กาแฟซิกเนเจอร์ JADE old town ice coffee ของทางร้าน อร่อย เลิศ

.

ภาพอาคารภายนอก ที่ทางเจ้าของร้านบอกว่า มีลวดลายภาษาจีนที่เขียนเอาไว้นับร้อยปี ซึ่งไม่ว่าจะปรับปรุงอาคารยังไง ก็จะคงอนุรักษ์อักษรเหล่านี้ไม่เปลี่ยนแปลง สะท้อนความเป็นย่านเก่าแก่ที่มีการผสมผสานทั้งของเก่าและของใหม่ ให้อยู่ร่วมกันอย่างลงตัว


เรื่อง: นายสารพัดย่าน

ภาพ: ณัฐ์วริทธิ์ วรรธนะพินทุ

 

5 ปรากฏการณ์ความแรงของซีรีส์ "The Queen’s Gambit"

ไม่น่าเชื่อว่าซีรีส์ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับการแข่งขันหมากรุกจะกลายเป็นซีรีส์ทอล์กออฟเดอะทาวน์แห่งปีที่กำลังถูกพูดถึงกันมากที่สุดทั้งในประเทศไทยและในระดับโลก สำหรับ The Queen's Gambit ออริจินัลซีรีส์ของ Netflix ที่ถูกดัดแปลงจากนวนิยายปีค.ศ.1983 ของ Walter Tevis นักเขียนชาวอเมริกัน เล่าเรื่องราวของ 'เบธ' หรือ 'เอลิซาเบธ ฮาร์มอน' เด็กหญิงกำพร้าวัย 9 ขวบที่ต้องไปอาศัยอยู่ในบ้านเด็กกำพร้า สถานที่แห่งนี้ทำให้เธอได้รู้จักหมากรุกเป็นครั้งแรก หลังเห็น 'ไชเบล' ภารโรงบ้านเด็กกำพร้านั่งเล่นคนเดียวในห้องใต้ดิน

เห็นได้ชัดเจนว่าสังคมอเมริกันในยุค '60s โลกของหมากรุกไม่ได้ต้อนรับหรือให้คุณค่ากับผู้แข่งขันผู้หญิงเพราะถูกมองว่านี่คือเกมสำหรับผู้ชายเท่านั้น แต่พรสวรรค์และความอัจฉริยะของเบธได้พาเธอก้าวไปสู่สนามประลองที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ นำไปสู่เส้นทางการแข่งขันที่เขย่าชุดความคิดแบบเก่ากับเป้าหมายในการล้มแชมป์เซียนหมากรุกระดับแกรนด์มาสเตอร์ให้ได้ แน่นอนว่าคู่แข่งทั้งหมดของเธอล้วนเป็นผู้ชาย!

หลังจากครอง 1 ใน 10 อันดับซีรีส์ยอดฮิตของประเทศไทยมานานหลายสัปดาห์ เมื่อไม่นานมานี้มีรายงานว่า The Queen’s Gambit ยังสร้างสถิติใหม่ที่น่าสนใจมาก ๆ นั่นคือ เป็นซีรีส์ที่มีคนดูมากถึง 62 ล้านบัญชี ภายในเวลา 28 วัน แถมยังครองแชมป์ซีรีส์อันดับ 1 บน Netflix ใน 63 ประเทศทั่วโลก ทำให้ The Queen’s Gambit มีสถิติเป็นมินิซีรีส์ (สร้างซีซั่นเดียวจบ ไม่ทำซีซั่นภาคต่อ) ที่มีผู้ชมมากที่สุดตลอดกาลของ Netflix

แน่นอนว่าความสำเร็จในครั้งนี้ส่งผลให้ผู้กำกับฯ และนักแสดงแจ้งเกิดอย่างงดงาม อีกทั้งเป็นซีรีส์ที่ถูกยกย่องให้ได้รับความนิยมเทียบเท่ากับซีรีส์ดังระดับโลกอย่าง Stranger Things เลยทีเดียว

เมื่อซีรีส์เกิดกระแสความนิยมและเข้าถึงผู้ชมจำนวนมากจนเกิดการบอกต่อถึงความดีงามของซีรีส์ ก็ย่อมดึงดูดผู้ชมรายใหม่ให้เข้ามาสตรีมมิ่งชมเพื่อพิสูจน์เสียงลือเสียงเล่าอ้าง ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือซีรีส์ที่ทำให้หลายคน "ดูแล้วอิน" แม้จะไม่เคยเล่นหมากรุกมาก่อนก็ตาม ทันทีที่คุณดู EP ที่ 7 ซึ่งเป็นบทสรุปสุดท้ายที่คลี่คลายทุกปมของตัวละครใน The Queen’s Gambit แล้ว คุณจะไม่สามารถลบเรื่องนี้ออกไปจากความคิดได้เลย

นั่นทำให้เกิดปรากฎการณ์ระดับโลก 5 สิ่งต่อไปนี้ ที่ถือเป็นอิทธิพลจากซีรีส์ The Queen’s Gambit

.

1.) สถิติการค้นหาวิธีเล่นหมากรุกพุ่งสูงสุดในรอบ 9 ปี

ใครจะไปคิดว่าในยุคที่เรามีเกมล้ำสมัยให้เล่นกันนับพันนับหมื่นเกม แต่เกมคลาสสิกอย่าง "หมากรุก" ที่มีลักษณะเป็นบอร์ดเกมอย่างหนึ่ง เน้นประลองไหวพริบและเชาว์จะกลับเป็นที่สนใจของคนทั่วโลก นับตั้งแต่ซีรีส์ The Queen's Gambit ออกฉายพบว่าสถิติการค้นคำว่า "How To Play Chess" หรือ "วิธีการเล่นหมากรุก" กลายเป็นคีย์เวิร์ดที่มียอดค้นหาพุ่งสูงที่สุดในรอบ 9 ปี ส่วนเว็บไซต์ Chess.com ซึ่งให้บริการเล่นหมากรุกออนไลน์ก็มีผู้มาเล่นเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า ยังไม่รวมถึงคลิปวิดีโอการเล่นหมากรุกใน Youtube และโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ที่มียอดวิวเพิ่มขึ้นแม้จะเป็นคลิปเก่าก็ตาม เชื่อว่าคุณเองก็ต้องเคยเข้าไปค้นหาคลิปวิดีโอการแข่งขันหมากรุกดูมาแล้วใช่ไหมล่ะ?

.

2.) หนังสือนวนิยายมียอดสั่งซื้อจากทั่วโลก

นวนิยายเรื่อง The Queen's Gambit ซึ่งเป็นต้นฉบับที่ถูกนำมาดัดแปลงเป็นซีรีส์เรื่องดัง ผลงานของ Walter Tevis ที่มีจำนวน 243 หน้า ติดอันดับหนังสือขายดีของ New York Time ในรอบ 37 ปี หลังจากหนังสือถูกตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปีค.ศ.1983 รวมถึงสื่อหลายสำนักหยิบยกนวนิยายเรื่องนี้มีแนะนำและเขียนรีวิวให้อ่านกัน ตามมาด้วยการสั่งซื้อออนไลน์ของแฟน ๆ ทั่วโลก ทำให้หนังสือติดอันดับ Best Seller ในร้านหนังสือชั้นนำของหลายประเทศ และในอนาคตก็จะถูกแปลเป็นฉบับหลายภาษาเพื่อให้เข้าถึงนักอ่านต่างภาษาและวัฒนธรรมมากยิ่งขึ้น

.

3.) ยอดขายเซ็ตหมากรุกใน ebay เพิ่มขึ้น 250%

ใช่แล้ว,ไม่ใช่ตัวเลขที่พิมพ์ผิดแต่อย่างใด เพราะหลังจากซีรีส์เรื่องนี้ครองใจแฟน ๆ ทั่วโลก ก็สร้างปรากฎการณ์ฟีเวอร์ทำให้มีผู้สนใจซื้อเซ็ตหมากรุกมาเล่นมากขึ้น ยอดขายออนไลน์ก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย มีรายงานว่ายอดขายในเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซอย่าง ebay เพิ่มขึ้นถึง 250 เปอร์เซ็นต์นับตั้งแต่ซีรีส์ออกฉาย ขณะที่ยอดขายเซ็ตหมากรุกเฉพาะในสหรัฐอเมริกาก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน โดยเพิ่มขึ้นถึง 125 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมในปีค.ศ.2019 อยู่ที่ 125 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เรียกว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้ผลเกินคาด ต้องยกความดีความชอบให้กับพลังความอินในซีรีส์หมากรุกเรื่องนี้

.

4.) 'อันยา เทเลอร์-จอย' กลายเป็นนางเอกในดวงใจ

การแสดงนำของ 'อันยา เทเลอร์ - จอย' หญิงสาวผู้รับบทบาท 'เบธ' ถูกพูดถึงอย่างมาก เพราะเธอเต็มไปด้วยมิติชวนค้นหาที่ทำให้ตัวละครมีความน่าหลงใหลมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของอันยาที่ผ่านการพิสูจน์ตัวเองอย่างหนัก เนื่องจากเธอเคยถูกกลั่นแกล้งที่โรงเรียนและถูกเพื่อน ๆ ล้อเลียนเรื่องหน้าตาว่า 'ตาห่าง' จนสูญเสียความมั่นใจและเกลียดใบหน้าของตัวเอง จนกระทั่งเธอตัดสินใจก้าวสู่เส้นทางนางแบบและนักแสดงในที่สุด เธอเคยมีผลงานแสดงในภาพยนตร์เรื่อง The Witch (ค.ศ.2015) และ Split (ค.ศ.2017) ก่อนจะมาแจ้งเกิดอย่างงดงามจากซีรีส์ The Queen's Gambit

.

5.) เกิดการส่งต่อพลังงานบวกและแรงบันดาลใจดี ๆ

แม้ซีรีส์จะเล่าเรื่องแพสชั่นของผู้หญิงที่มีต่อการแข่งขันหมากรุก ทว่าประเด็นที่ถูกนำเสนอกลับมีความน่าสนใจ มากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเฟมินิสต์ ปัญหาครอบครัว ปมในวัยเด็ก การเผชิญความโดดเดี่ยว การมองข้ามความรักที่คนรอบข้างมอบให้ ฯลฯ ล้วนสะท้อนข้อคิดบางอย่างกลับคืนสู่ผู้ชม มีเว็บบล็อกมากมายที่เขียนบรรยายความรู้สึกและรีวิวซีรีส์เรื่องนี้ในประเด็นที่แตกต่างกันออกไป สร้างสังคมแห่งการแลกเปลี่ยนแรงบันดาลใจดีๆ ที่เกิดจากความสำเร็จของซีรีส์ ซึ่งแน่นอนว่าหลายคนยกให้เป็นซีรีส์ที่งดงามที่สุดบน Netflix ประจำปี ค.ศ.2020 เลยทีเดียว

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top