Tuesday, 20 May 2025
NEWS FEED

ช็อก!! คู่กรณีคดีครอบครองปรปักษ์บ้านอากู๋ เครียดจัด ตัดสินใจผูกคอปลิดชีวิตตัวเองแล้ว

จากกรณีข้อพิพาทระหว่างเจ้าของบ้านย่านรามอินทรา 58 กับเพื่อนบ้านที่ลักลอบเข้ามายึดบ้าน โดยอ้างกรรมสิทธิ์ครอบครองปรปักษ์เป็นของตนเอง ก่อนจะมีการเจรจาและย้ายออกไปเมื่อปลายปีที่แล้ว

กระทั้งกลับเข้ามาอ้างสิทธิใหม่ โดยเปิดร้านขายไก่ทอดในบ้านหลังดังกล่าว ต่อมา ทนายความ พร้อมด้วยตำรวจ ได้พาเจ้าของบ้านตัวจริง บุกปลดป้ายขายไก่ทอดทิ้งเพื่อเอาบ้านคืน

ล่าสุดวันนี้ (26 ก.พ. 67) ผู้สื่อข่าวมีรายงานรับแจ้ง เหตุมีผู้ผูกคอเสียชีวิต ในบ้านพัก ถ.เลียบวงแหวนกาญจนา พื้นที่ สน.คันนายาว

จากการตรวจสอบ พบว่า ผู้เสียชีวิต เป็นผู้หญิง ใช้ผ้าขนหนูผูกคอกับประตูห้องน้ำ ภายในบ้านพัก โดยผู้ที่เห็นศพคนแรกคือ สามี โดยเปิดเผยว่า ตนเองออกไปซื้อของ พอกลับเข้ามาที่บ้านก็ไม่เจอตัวจึงเดินตามหา พบว่าภรรยาทำร้ายใช้ผ้าผูกคอตัวเองในห้องน้ำ พยายามช่วยเหลือทำ CPR แล้ว แต่ไม่เป็นผล

มีรายงานว่า หญิงสาว เป็นหนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกแจ้งความในคดีบุกรุกบ้านอากู๋ และมีเรื่องฟ้องร้องบ้านครอบครองปรปักษ์ กรณีเข้าไปครอบครองบ้านของอากู๋ จนกลายเป็นประเด็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ตำรวจ สน.คันนายาว อยู่ระหว่างการตรวจสอบในบ้านหลังดังกล่าว

ทั้งนี้ นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความของอากู๋ เจ้าของบ้าน ได้แจ้งว่า อากู๋ได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของคู่กรณีแล้ว พร้อมแสดงความเสียมา ณ ที่นี้ด้วย

“ผมได้แจ้งให้อากู๋ทราบแล้ว อากู๋ถึงกับช็อค และขอแสดงความเสียใจกับการเสียชีวิตของผู้บุกรุก และขออโหสิกรรม”

ขอบคุณข้อมูล : สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว

‘สื่ออาวุโส’ ชี้!! ‘คนไทย’ นี่แหละ Soft Power ที่คนญี่ปุ่นตระหนัก พร้อมเปิดรับวัฒนธรรมใหม่ ‘ปรับตัว-ประยุกต์’ สร้างโอกาสต่อยอดเก่ง

(26 ก.พ.67) เถกิง สมทรัพย์ สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…
 

สวัสดีบัดดี้… เวลาบัดดี้ไปญี่ปุ่น เคยเห็นสิ่งที่เรียกว่า ‘Soft Power’ ของไทยในบ้านเมืองเขาไหม…

พี่มีข้อคิดสนุกๆ มาแลกเปลี่ยนกับบัดดี้และเพื่อนๆ ในเพจ ดังนี้…

1.) เราไปเที่ยวญี่ปุ่นเพราะต้องการเสพความสุขจาก Soft Power ของญี่ปุ่น ทั้งอาหาร สินค้า ทิวทัศน์ ฤดูกาล วัฒนธรรม ผู้คน ความทันสมัยของบ้านเมือง และวิธีการบริหารต่างๆ ของญี่ปุ่น

2.) Soft Power ของญี่ปุ่นบดขยี้จิตใจของคนไทยให้อ่อนไหว หลงรัก เสพติด และยินยอมตกเป็นทาสอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

3.) ไม่เพียงแต่คนไทยจะโบยบินไปเสพ Soft Power ถึงประเทศญี่ปุ่นแบบไปแล้วไปอีก เขาบอกว่ามีอะไรใหม่ๆ ก็ไปกันแล้วไปกันเล่า

4.) แม้แต่ในบ้านเมืองของไทย Soft Power ของญี่ปุ่นก็ยกทัพมาให้เราเสพถึงบ้าน…

5.) ในกรุงเทพ ในต่างจังหวัด ในอำเภอ ในตำบล ในหมู่บ้าน เราจะเห็นอิทธิพลทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเต็มไปหมด ทั้งร้านอาหาร เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้… และคนไทยที่เคยเดินทางไปญี่ปุ่นกันมาแล้ว จะมีอยู่แทบจะทุกอำเภอในประเทศไทย

6.) ในทางกลับกัน Soft Power ของไทยในประเทศญี่ปุ่น… แทบจะหาไม่เจอ

7.) ร้านอาหารไทยแทบจะไม่มี ร้านนวดไทยไม่มี มีแต่สาวไทยไปบริการนวดในญี่ปุ่น ซึ่งมีแค่ในเมืองใหญ่ๆ

8.) ดาราไทย เพลงไทย หรือเพลงฝรั่งที่คนไทยร้อง… ไม่มีในญี่ปุ่น

9.) แม้คนญี่ปุ่นจะบินมาอยู่มาเที่ยวเมืองไทยมากมายหลายล้านคน แต่เขาไม่เคยขนเอา Soft Power ไทยกลับไปเผยแพร่ในญี่ปุ่น อย่างที่คนไทยขนมาให้คนไทยด้วยกันเสพสุข

10.) แต่ แต่… ในอีกมุมหนึ่ง

11.) Soft Power ของไทย ที่คนญี่ปุ่นต้องการที่สุด คือ ‘คนไทย’

12.) เพราะคนไทยมี ‘อำนาจซื้อ’ มหาศาล… จับจ่ายใช้สอยกันอย่างมีความสุขในญี่ปุ่น

13.) ในเวลาเดียวกัน… คนไทยจำนวนมากได้ไอเดียทำมาหากิน ทำมาค้าขาย มาจากการไปเที่ยวญี่ปุ่น

14.) Soft Power ญี่ปุ่นที่มากระจายทั่วทุกถนนในเมืองไทย… ส่วนใหญ่ก็เพราะคนไทยมีความสนใจ ได้เรียนรู้ ใฝ่รู้ เสาะหา มาใช้ทำมาค้าขาย จนได้รับความสำเร็จ

15.) การไปญี่ปุ่นของคนไทยทุกคนคือ ‘ทัศนศึกษา’ คือ การเรียนรู้นอกห้องเรียน การซึมซับโลกาภิวัฒน์ในภาคปฏิบัติ

16.) การไปญี่ปุ่น สำหรับพี่แล้ว… เทียบเท่าการไปยุโรปหรืออเมริกา เพราะความเจริญในทุกด้านของญี่ปุ่นเหนือกว่าหลายประเทศในโลกนี้

17.) คนไทยเราได้มีโอกาสไปเปิดหูเปิดตาในญี่ปุ่น พี่ถือว่า นี่คือการไปเรียนเมืองนอกในแบบกระทัดรัด…

18.) คนไทยส่วนใหญ่ไปญี่ปุ่น กลับมาพร้อมกับโลกทัศน์ที่กว้างขึ้น และหลายคนได้ ‘แรงบันดาลใจมหาศาล’ มาพัฒนาตัวเอง

19.) และความเป็นคนไทยของเราที่มีจิตใจที่ ‘เปิดรับวัฒนธรรมใหม่ๆ’ ทำให้เราซึมซับนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน 

20.) เช่นเดียวกับ ความหลงใหลในเกาหลี, จีน, ยุโรป, อเมริกา ที่เรานำมาคลุกเคล้าในเบ้าหลอมขนาดใหญ่ที่มี ชื่อว่า ‘ประเทศไทย’

21.) เหลือเพียงว่า เราจะก้าวข้ามไปถึงการนำความรู้เหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ปรับใช้จนเป็นสินค้า Soft Power ที่เป็นเอกลักษณ์ของเราเองหรือไม่ 

22.) ดังเช่นการเข้ามาของ 7-11 ในยุคแรกๆ ส่งผลให้คนไทยนำรูปลักษณ์การค้าขายแบบนั้นไปประยุกต์ใช้จนเกิด ‘มินิมาร์ทของคนไทย’ ไปทั่วบ้านทั่วเมือง และสิ้นสุดยุคร้านค้าแบบ ‘โชว์ห่วย’... แม้เจ้าของร้านค่าส่วนใหญ่ในสมัยนั้นจะยังไม่เคยไปญี่ปุ่นเลย แต่เห็นระบบการบริหารจัดการของญี่ปุ่นผ่านร้านค้าอย่าง 7-11 

23.) ในช่วงเวลา 10 กว่าปีที่คนไทยได้รับโอกาสเดินทางไป… ญี่ปุ่นได้ง่ายขึ้น… และมีปรากฏการณ์เช่นนี้… พี่คิดว่าน่าพอใจมาก

คนไทยนี่แหละ คือ ‘Soft Power’ ที่แท้จริง…

เราจะส่งเสริมให้เขาเรียนรู้ดูดซับความรู้ต่างๆ มาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวเองและสังคม ในเชิงบวกมากขึ้นไปอีกอย่างไร??

ขอนแก่น - ชื่นมื่น “งานง่วนเซียวปี 67 “ พี่น้องเชื้อสายจีนขอนแก่น ประมูลโต๊ะมงคลได้กว่า 1.4ล้าน

เทศกาลง่วนเชียว หรือเทศกาลโคมไฟ เป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญของชาวจีน จัดขึ้นในวันเพ็ญแรกของปีหรือวันที่ 15 นับจากวันตรุษจีน ซึ่งในจีนโบราณเป็นวันที่มีกิจกรรมมากมาย ทั้งแขวนโคม แห่โคม เล่นงิ้ว จะเป็นวันที่คนนิยมออกมาเที่ยวเล่นไหว้เจ้าชมมหรสพการแสดง และละคร อีกทั้งการละเล่นต่างๆซึ่งชาวจีนจะถือเป็นวันสุดท้ายของเทศกาลตรุษจีนที่ได้พักผ่อนก่อนจะกลับไปเริ่มทำงานในวันรุ่งขึ้น มีประมูลโต๊ะมงคล 3 ชุด ได้เงินประมูลทั้งสิ้น 1,485,553 ล้านบาท

เมื่อวันค่ำของเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ สมาคมปึงเถ่ากงม่าขอนแก่น (บริเวณลานน้ำพุ รึมบึงแก่นนคร)  นายศิริวัฒน์ พินิจพาณิชย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นได้รับมอบหมายจาก นายไกรสรกองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นเป็นประธานงานเปิดงานวันง่วนเซียวโดยมี นายจิรศักดิ์  สีหามาตย์ , นายยุทธพรพิรุณสาร รองผู้ว่าราชการจังหวัด, พล.ต.วรพินิจ ขันธุปัฏน์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 23 ค่ายศรีพัชรินทร์, นายประจวบ รักแพทย์ ปลัดจังหวัด, นายชินกร แก่นคง นายอำเภอเมือง หัวหน้าส่วนราชการฯ ท่านหลิว หงเหมย  กงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ณ จังหวัดขอนแก่น , ท่านชู ดึ๊ก หยุง กงสุลใหญ่สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม, ท่านสมศักดิ์ วิไลทอน กงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาลาว, ดร. พงษ์ศักดิ์ ตั้งวานิชกพงษ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น , นายปริญเดช ศิริพานิช อดีตอธิบดีอัยการภาค 4, นายปิยสิษฐ์ อุ่นศิลป์ อัยการผู้เชี่ยวชาญ สำนักงานอัยการภาค 4, กรรมการกิตติมศักดิ์สมาคมปึงเถ่ากงม่า , ผู้นำ 24 องค์กรจีน แขกผู้มีเกียรติ ตลอดถึงพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีนในจังหวัดขอนแก่น  ร่วมงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์ สำหรับงานเมื่อคืนที่ผ่านมามี นายบวร เสรีโยธิน นายกสมาคมปึงเถ่ากงม่าขอนแก่น กล่าวต้อนรับ แขกผู้มีเกียรติ ในการนี้ มีนายทัชชล ลีศิริกุล ประทานคณะกรรมการจัดงานสมโภชปึงเฒ่ากงม่าประจำปี 2567 กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดงานง่วนเซียวประจำปี 2567

นายบวร เสรีโยธิน นายกสมาคมปึงเถ่ากงม่าขอนแก่น กล่าวว่า ขอต้อนรับแขกผู้มีเกียรติทุกท่านด้วยความยินดียิ่งที่ได้มาร่วมงานในวันนี้ เทศกาลง่วนเชียว หรือเทศกาลโคมไฟ เป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญของชาวจีน จัดขึ้นในวันเพ็ญแรกของปีหรือวันที่ 15 นับจากวันตรุษจีน ซึ่งในจีนโบราณเป็นวันที่มีกิจกรรมมากมาย ทั้งแขวนโคม แห่โคม เล่นงิ้ว จะเป็นวันที่คนนิยมออกมาเที่ยวเล่นไหว้เจ้า ชมมหรสพการแสดง และละคร อีกทั้งการละเล่นต่างๆซึ่งชาวจีนจะถือเป็นวันสุดท้ายของเทศกาลตรุษจีนที่ได้พักผ่อนก่อนจะกลับไปเริ่มทำงานในวันรุ่งขึ้น

อีกสิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้ในเทศกาลนวดเสียวคือการรับประทานบัวลอยซึ่งถือได้ว่าเป็นขนมประจำเทศกาลเป็นสัญลักษณ์ของการอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียวของคนในครอบครัวจะเป็นการนำความสุขและความโชคดีมาให้กับครอบครัวในปีใหม่ทั้งหมดนี้เป็นการดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีน

สำหรับกิจกรรมการแสดงมากมาย เช่น มอบรางวัลการถ่ายภาพประกวด, การจับสลากรางวัล และคอนเสิร์ตจาก ป๊อด โมเดิร์นด็อก และเพื่อเป็นการหารายได้ในการจัดงานสมโภชศาลเจ้าปึงเถ่ากงม่าให้ยิ่งใหญ่เป็นประจำทุกปี จึงได้มีการประมูลโต๊ะมงคล ซึ่งครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก นายธีระศักดิ์ ฑีฆายุพันธุ์ นายกเทศมนตรีนครขอนแก่น ร่วมเป็นพิธีกรกิตติมศักดิ์ สำหรับการประมูลโต๊ะมงคล มีดังนี้ชุดที่ 1 ด้วยชุด ฮก ลก ซิ่ว มีความหมายถึง โชคลาภ วาสนา มั่งคั่ง บารมี สมปรารถนา ลูกหลานบริวาร และ อายุยืน ผู้ที่ได้รับการประมูล คือ บริษัท KPAC Group และครอบครัว ในราคาการประมูลสูงสุดจำนวน 299,999 บาท ชุดที่ 2 ชุด ซำ ปอ ฮุก ( พระพุทธเจ้า 3 พระองค์ ) มีความหมายถึง ห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บ สุขภาพแข็งแรง  และเสริมคุณงามความดีผู้ที่ได้รับการประมูล คือ โรงแรม ขอนแก่นโฮเต็ล และครอบครัว ในราคาการประมูลสูงสุดจำนวน 255,555 บาท และชุดสุดท้าย ชุดที่ 3 ชุด องค์ปึงเถ่า กงม่า ทองคำแท้ 96.5% มีความหมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้า ประสบความสำเร็จไม่ขัดสนเรื่องเงินทอง ดูแลทุกข์สุข ผู้ที่ได้รับการประมูล คือ บริษัท KPAC Group ในราคาการประมูลสูงสุดจำนวน 929,999 บาท รวมเป็นเงินรายได้จากการประมูลทั้งสิ้น 1,485,553 ( หนึ่งล้านสี่แสนแปดหมื่นห้าพันห้าร้อยห้าสิบสามบาทถ้วน )

ด้าน นายทัชชล ลีศิริกุล ประทานคณะกรรมการจัดงานสมโภชปึงเฒ่ากงม่าประจำปี 2567 กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดงานง่วนเซียวประจำปี 2567 ว่า จุดประสงค์ของการจัดงานในวันนี้เพื่อเป็นการสืบสานวัฒนธรรมและประเพณีอันดีของชาวจีนและชาวไทยเชื้อชาติจีนให้คงอยู่ต่อเนื่องยาวนานเป็นการสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในหมู่พ่อค้าประชาชนอีกทั้งยังเป็นการมอบความสุขจากสมาคมปึงเถ่ากง-ม่าให้แก่พี่น้องประชาชนชาวขอนแก่น

ส่วนนายศิริวัฒน์ พินิจพาณิชย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้เห็นความร่วมมือกันของคนไทยเชื้อสายจีนในจังหวัดขอนแก่น ที่ช่วยกันจัดงาน"ง่วนเซียว"นี้ขึ้นมาเพื่อสืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของคนไทยเชื้อสายจีน โดยมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจคือศาลเจ้าปึงเถ่ากง-ม่า ภาพรวมของงานในครั้งนี้ตนเองรู้สึกมีความรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่อลังการของการตกแต่งประดับประดา ด้วยโคมไฟที่ดูสวยงาม และเป็นเอกลักษณ์ของชาวจีน สิ่งสำคัญในครั้งนี้ทุกท่านจะได้ร่วมทำบุญ ซึ่งถือว่าเป็นการทำบุญครั้งยิ่งใหญ่และงานในครั้งนี้เป็นส่วนสำคัญ ที่จะช่วยผลักดันและพัฒนาแก่จังหวัดขอนแก่น ดังนั้นขอชื่นชมทุกท่าน ในที่นี้เป็นอย่างยิ่ง

ตร. เตือน  5 ลิงก์มิจฉาชีพ “ห้ามกด ห้ามกรอก ห้ามติดตั้ง” 

เมื่อวานนี้ ( 25กุมภาพันธ์ 2567) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันกลุ่มมิจฉาชีพยังคงมีการพัฒนารูปแบบในการหลอกลวงพี่น้องประชาชนอยู่เสมอ มีการนำหลักจิตวิทยา “รัก โลภ ตกใจ เชื่อใจ” มาปรับใช้ในการหลอกล่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ และมักพบว่ากลุ่มมิจฉาชีพจะมีการนำลิงก์รูปแบบต่าง ๆ มาใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด ถ้าผู้เสียหายหลงเชื่อกดลิงก์ แล้วกรอกข้อมูลหรือติดตั้งแอปพลิเคชันจากลิงก์ดังกล่าว ก็จะตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพในที่สุด

โดยลิงก์ที่กลุ่มมิจฉาชีพมักนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด มี 5 รูปแบบดังต่อไปนี้

1. “ลิงก์ดูดเงิน” คือ ลิงก์ที่หลอกให้ผู้เสียหายกรอกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางการเงิน หรือติดตั้งแอปพลิเคชันเพื่อทำธุรกรรมถอนเงินจากบัญชีของผู้เสียหาย เช่น หลอกให้กรอกข้อมูลบัญชีอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง หลอกให้กรอกข้อมูลบัตรเครดิต หลอกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันควบคุมเครื่องระยะไกล เป็นต้น โดยมากจะเป็นเครื่องมือหลักของแก๊งคอลเซนเตอร์ ที่อาจอ้างหน่วยงานราชการต่างๆ สร้างเนื้อหาให้เหยื่อตกใจ โลภ เชื่อใจ แล้วหลงเชื่อ เช่น เหยื่อมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องผิดกฎหมาย , ได้รับเงินคืนจากกรณีต่างๆ(มิเตอร์ไฟฟ้า,เงินบำเหน็จบำนาญ,คืนภาษีฯลฯ) , เป็นผู้โชคดีจากแคมเปญหรือเทศกาลได้รับเงิน ของขวัญ เป็นต้น 

2. “ลิงก์หลอกให้กรอกข้อมูลส่วนบุคคล” คือ ลิงก์ที่นำไปสู่เว็บไซต์ปลอมที่มีรูปแบบคล้ายกับเว็บไซต์ของผู้ให้บริการต่าง ๆ หากเหยื่อหลงเชื่อกรอกข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลบัญชีผู้ใช้ หรือรหัสผ่าน กลุ่มมิจฉาชีพก็จะนำข้อมูลที่ได้ไปใช้เพื่อแสวงหาประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ

3. “ลิงก์หลอกลงทุน” คือ ลิงก์ที่นำไปสู่เว็บไซต์หรือติดตั้งแอปพลิเคชันลงทุนปลอม หลอกล่อให้ผู้เสียหายลงทุนในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง โดยอ้างว่าลงทุนแล้วได้กำไรมาก ในระยะเวลาสั้นๆ  มีการนำภาพนักธุรกิจหรือองค์กรธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาประกอบเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

4. “ลิงก์เว็บพนัน” คือ ลิงก์ที่นำไปสู่เว็บไซต์การพนันออนไลน์ ซึ่งจะมีทั้งเว็บไซต์การพนันออนไลน์จริง ๆ และเว็บไซต์การพนันออนไลน์ปลอม อาจมีโปรโมชั่นหลอกล่อให้เหยื่อหลงเข้าไปเล่นการพนัน หากผู้เสียหายหลงเชื่อเข้าเล่นเว็บพนันนอกจากจะเสียทรัพย์สินแล้ว ยังเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอีกด้วย

5. “ลิงก์เงินกู้ปลอมหรือผิดกฎหมาย” คือ ลิงก์ที่นำไปสู่เว็บไซต์หรือบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ของกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงให้โอนเงินค่าใช้จ่ายในการกู้เงินก่อนแต่ไม่ได้รับเงินจริง หรือนำไปสู่เว็บไซต์หรือบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ของกลุ่มเงินกู้นอกระบบ เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราและมีการทวงหนี้โดยผิดกฎหมาย เช่น โทรมาขู่บังคับหรือต่อว่าด้วยถ้อยคำรุนแรง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอแนะนำให้พี่น้องประชาชนปฏิบัติตามหลัก “ห้ามกด ห้ามกรอก ห้ามติดตั้ง” เพื่อป้องกันตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ โดยมีรายละเอียดดังนี้

“ห้ามกด” ห้ามกดลิงก์ที่ไม่ทราบแหล่งที่มาหรือไม่น่าไว้วางใจ

“ห้ามกรอก” ห้ามกรอกข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลบัญชีธุรกรรมทางการเงิน หรือข้อมูลบัตรเครดิต ในเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่ไม่น่าเชื่อถือ

“ห้ามติดตั้ง” ห้ามติดตั้งแอปพลิเคชันที่ไม่น่าเชื่อถือ และตรวจโทรศัพท์มือถือว่ามีแอปพลิเคชันแปลกปลอมใดติดตั้งอยู่ หรือไม่

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

“ครูบาธรรมชัย” องค์บุญแห่งเมืองล้านนาจัดพิธีอาบน้ำมนต์กลางแสงจันทร์แบบล้านนา ศิษยานุศิษย์นับพันคนร่วมพิธีศักดิ์สิทธิ์ ส่งผลให้รถจอดยาวเป็นกิโล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 25 ก.พ. 67 ที่ผ่านมา ที่สำนักสงฆ์ธรรมชัย แผ่นดินทอง คลอง 10 อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี ศิษยานุศิษย์นับพันคนจากทั่วทุกสารทิศ ทั้งศิลปินดารา ศิลปินตลก รวมถึงชาวต่างชาติจากหลายประเทศ หลั่งไหลเข้าร่วมพิธีอาบน้ำมนต์กลางแสงจันทร์โดยมี “ครูบาธรรมชัย” องค์บุญแห่งเมืองล้านนา พระครูสุชัยธรรมนันท์เจ้าอาวาสวัดศรีพันต้น จ.น่าน และเจ้าสำนักสถานธรรม ธรรมชัย แผ่นดินทอง อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานีจัดพิธีอาบน้ำมนต์แบบล้านนา ในคืนเดือนเพ็ญ มุ่งหวังให้พุทธศาสนิกชนได้เข้าถึงวันสำคัญนี้ ที่ 1 ปี มีครั้งเดียววันนี้ใด้มีลูกศิษย์ทั่วสารทิศที่ทราบข่าวทางสื่อออนไลน์และกลุ่มลายกลุ่มสายบุญหลวงพ่อครูบาธรรมชัย(ซานต้า)ก็หลังใหลกันอย่างคั่งทำให้ส่งผลให้รถติดจอดยาวเป็นกิโลโดยในวันมาฆบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 อาบน้ำมนต์ ได้ตั้งโต๊ะหมู่อัญเชิญพระพุทธรูปมาไว้กลางแจ้ง บริเวณลานกว้าง หลังสำนักสงฆ์ธรรมชัย แผ่นดินทอง ก่อนมีการจุดเทียน “ให้เทียนน้อยส่องใจ ใสสว่าง ส่องนำทาง พบธรรม นำสมัย ให้ได้เห็น ดวงธรรม ผ่องอำไพ น้อมดวงใจ ถวายครู บูชาธรรม"

สำหรับน้ำมนต์ที่นำมาอาบนั้น เป็นน้ำมนต์ที่พระภิกษุสงฆ์จำนวน 56 รูป ในจังหวัดน่าน ร่วมปลุกเสก สวดมนต์ข้ามวันข้ามคืน เพื่อให้น้ำมนต์นี้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ ก่อนนำมาอาบปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายในคืนพระจันทร์เต็มดวง ถือเป็นการเสริมบารมีให้เต็มเปี่ยม ให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง เกิดแสงสว่าง และความสำเร็จ สมหวัง สุขภาพแข็งแรง โดยมีครูบาธรรมชัย องค์บุญแห่งล้านนา เป็นประธานอาบให้ด้วยตนเอง ถือฤกษ์พิธีเริ่มอาบน้ำมนต์ตั้งแต่20.00-23.00 น.

พระครูสุชัยธรรมนันท์ (ครูบาธรรมชัย) เจ้าอาวาสวัดศรีพันต้น จ.น่าน และเจ้าสำนักสงฆ์ธรรมชัย แผ่นดินทอง กล่าวว่า การอาบน้ำมนต์วันเป็ง” หรือ “การอาบน้ำมนต์จันทร์เพ็ญ
นั้น…ก็ “ยึดโยงกับการทำน้ำมนต์คืนจันทร์เพ็ญ” การอาบน้ำมนต์จันทร์เพ็ญ เป็นความเชื่อของคนแต่โบราณ เชื่อว่าเป็นการนำธาตุน้ำมารับแสงจันทร์ นัยว่าธาตุน้ำในช่วงเวลาดังกล่าวนี้จะซึมซับเอาพลังงานจากพระจันทร์ช่วงเต็มดวงไว้อย่างเต็มที่ เชื่อว่าเมื่ออาบจะเป็นสิริมงคล และก็เชื่อว่าจะยิ่งดีหากมีการนำน้ำมนต์ที่ได้บูชามาจากผู้มีสัพพะเวชวิชา คณาจารย์ อย่างครูบาธรรมชัย เป็นผู้กำกับวิชาอาบด้วยตัวท่านเอง เชื่อว่าจะทำให้น้ำมนต์นั้นยิ่งศักดิ์สิทธิ์ มากขึ้นนักแลการอาบน้ำมนต์กลางแสงจันทร์ เนื่องในวันมาฆบูชา เพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ให้พระจันทร์เต็มดวง เพื่อมีบารมีเต็มเปี่ยม ให้เจริญรุ่งเรืองมีความแสงสว่าง 

ตรวจเช็คดวงชะตากับองค์บุญแห่งเมืองล้านนา 
- ครูบาธรรมชัย - 
เจ้าอาวาสวัดศรีพันต้น อ.เมือง จ.น่าน และสถานธรรมชัยแผ่นดินทอง อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี 
เปิดรับบัตรคิวเวลา 06.00 น. - 17.00 น. 
จำนวน 200 คิวต่อวัน  
1 คิว = 1 คน 
❌งดการจองคิว รับบัตรวันต่อวันเท่านั้น 
สอบถามรายละเอียดได้เลยทักแชท 
Facebook ครูบาธรรมชัย – จ. น่าน หรือ แอดไลน์Open Chat (id line : สายกลุ่มสายบุญหลวงพ่อครูบาธรรมชัย(ซานต้า)

‘น้องโอโม่’ นักเรียนคนเก่ง แห่งสกลนคร สอบติด 15 สาขา 9 ม.ดัง เจ้าตัวเผยเคล็ดลับ ‘เลือกสาขาที่ชอบ-รักษาเกรดเฉลี่ย-หมั่นสะสมผลงาน’

จากกรณีเพจ Sci project.skr โพสต์คลิปนายฐิติพันธ์ วะเศษสร้อย หรือ ‘น้องโอโม่’ นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล จังหวัดสกลนคร ยื่น Portfolio เพื่อเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยโดยปรากฏว่าติด 15 สาขา 9 มหาวิทยาลัย ซึ่งกลายเป็นคลิปไวรัล พร้อมด้วยเสียงชื่นชมในความเก่งและความสามารถของนักเรียนรายนี้นั้น

ล่าสุดวันนี้ (25 ก.พ. 67) ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยังนายฐิติพันธ์ วะเศษสร้อย หรือ ‘โอโม่’ นักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 6/1 โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล ซึ่งได้เผยว่า กิจกรรมในคลิปที่ถูกแชร์บนโลกออนไลน์นั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นกิจกรรมหน้าเสาธงที่โรงเรียนจัดขึ้น เพื่อจะประกาศชื่อมหาวิทยาลัยที่นักเรียนสอบติด ไม่ว่าจะเป็นคณะไหน สาขาวิชาอะไร ก็จะมีการประกาศทั้งหมด

โดยตอนนั้น ได้ยื่นสมัครไป 9 มหาวิทยาลัย แต่เป็นหลายสาขาวิชา โดยแต่ละมหาวิทยาลัยสามารถติดได้มากกว่า 1 สาขาวิชา สรุปรวมแล้วตนสมัครติด 15 สาขาวิชาจาก 9 มหาวิทยาลัย ทั้งนี้อยากขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนและขอบคุณทุกคนที่ให้การชื่นชม

จริงๆ แล้วการที่ตนติดรอบที่ 1 ของการยื่นแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) ครั้งสุดท้าย จะเป็นรอบที่ยังไม่ใช้คะแนนสอบ แต่ตนใช้เป็นผลงานยื่นเข้าสมัคร ส่วนใหญ่จะเป็นผลงานที่พัฒนามาตั้งแต่สมัยมัธยมชั้นปีที่ 4 เรื่องเกี่ยวกับโครงงานวิทยาศาสตร์และทางด้านนวัตกรรมการวิจัยที่ทำกับชมรม Sci project.skr ของโรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล โดยมีนางเสาวรจนี จันทวงค์, นายวิริทธิ์พล วิเศษฐี เป็นครูที่ปรึกษาโครงงาน และนางนันทิชา ธาตุระหัน, ดร.กิตติยา มุกดาประเสริฐ เป็นครูที่ปรึกษาประจำชั้น ซึ่งโครงงานวิทยาศาสตร์ที่ทำขึ้นมาใช้ระยะเวลาประมาณมากกว่า 1 ปี หรืออาจจะหลายเดือน เพื่อพัฒนาแข่งขันตามรายการต่างๆ แล้วตนก็ได้รางวัลในระดับภูมิภาคไปจนถึงระดับประเทศ พร้อมสะสมผลงานเหล่านั้นถ่ายทอดออกมาเป็นแฟ้มผลงาน เพื่อยื่นสมัครเข้ามาหาวิทยาลัย

ขณะเดียวกันมีการเรียนควบคู่กันไปในโรงเรียนอีกด้วย คือการรักษาเกรดเฉลี่ยให้ได้สูงที่สุด พร้อมกับตั้งใจทำตรงนั้นให้ดีที่สุด พอถึงช่วงเวลาที่ต้องยื่นแฟ้มสะสมผลงาน จะใช้เกรดเฉลี่ยกับผลงานต่างๆ ที่สะสมระยะเวลาตลอด 3 ปี แล้วนำไปยื่นเข้ามาหาวิทยาลัย

อยากฝากให้รุ่นน้องทุกคนให้เล็งเห็นถึงความตั้งใจทำผลงาน หรืออาจจะตั้งใจเตรียมตัวสอบ เพื่อให้ตัวเองได้เข้าไปในคณะที่ตนอยากเรียนมากที่สุด ตอนนี้ตนได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกเรียนที่ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพราะพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ทั้งหมด และเป็นความชอบส่วนตัว ซึ่งหากจบออกมาก็จะเป็นเภสัชกร

ส่วน 15 สาขา 9 มหาวิทยาลัย มีดังนี้

1.) สาขาเทคนิคการแพทย์ คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2.) สาขาวิทยาศาสตรบัณฑิต คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
3.) สาขาวิชาการบริบาลทางเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
4.) สาขาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม ทุนเพชรพระจอมเกล้าฯ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.)
5.) เภสัชศาสตรบัณฑิต คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา

6.) สัตวแพทยศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
7.) วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเคมี ทุน STEAMs-Creation project คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
8.) สาขาวิศกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.)
9.) สาขาวิศกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.)
10.) สาขาฟิสิกส์วัสดุและเครื่องมือการแพทย์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.)

11.) สาขาฟิสิกส์ทฤษฎีและการวิเคราะห์ข้อมูล คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.)
12.) สาขาวิศกรรมกระบวนการชีวภาพ คณะวิศกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
13.) วิทยาศาสตร์บัณฑิต คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
14.) สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
15.) สาขารังสีเทคนิค คณะรังสีเทคนิค มหาวิทยาลัยรังสิต

‘จนท.พิทักษ์ป่าหินช้างสี’ พบร่องรอยคล้าย ‘ภาพเขียนสีโบราณ’ เร่งประสานสำนักศิลปากรขอนแก่น เข้าตรวจสอบอย่างละเอียด

(25 ก.พ.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘หน่วยพิทักษ์ หินช้างสี’ อุทยานแห่งชาติน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น โพสต์ภาพ พร้อมข้อความระบุว่า…

“ข่าวดี!! เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าดับไฟป่า หยุดพักใต้เพิงหิน พบภาพเขียนสีโบราณในป่า

เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ที่ นพ.4 (หินช้างสี) เดินเท้าเข้าไปดับไฟป่าที่บริเวณน้ำตกคำเมย ซึ่งอยู่ห่างจากหน่วยฯประมาณ 4 กม. หลังจากที่ดับไฟป่าสำเร็จ และได้หยุดพักใต้เพิงหินทราย จึงได้สังเกตพบร่องรอยภาพวาด และดูคล้ายกับ ‘ภาพเขียนสีโบราณ’ เพราะลักษณะหรือรูปทรงแตกต่างจากร่องรอย หรือสีที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และยังอยู่ห่างจากจุดที่สำรวจไปครั้งล่าสุด (แหล่งที่ 14 เพิงหินอ่างชาด) เพียง 700 เมตร เท่านั้น

เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมภาพเบื้องต้น และแจ้งให้เจ้าหน้าที่จากสำนักศิลปากร ที่ 8 (ขอนแก่น) ทราบและดำเนินการเข้าพื้นที่เพื่อทำการสำรวจต่อไป”

‘ศาลอาญา’ ไม่ให้ประกันตัว ‘ตะวัน-แฟรงค์’ คดีป่วนขบวนเสด็จฯ พร้อมเผย ทั้งคู่มีแพทย์ดูแลอาการเจ็บป่วยอย่างใกล้ชิดแล้ว

(25 ก.พ.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์ระบุว่า…

13.50 น. ศาลอาญามีคำสั่งไม่ให้ประกันตัว ‘ตะวัน-แฟรงค์’ อีกครั้ง

ศาลเห็นว่า ศาลเคยมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาทั้งสอง โดยระบุเหตุผลไว้ชัดเจนแล้ว ส่วนกรณีอาการเจ็บป่วยของผู้ต้องหาทั้งสอง ขณะนี้อยู่ภายใต้การดูแลรักษาของแพทย์โดยใกล้ชิดแล้ว กรณีกรณียังไม่เหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม จึงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาผู้ต้องหาทั้งสอง ยกคำร้อง

ก่อนหน้านี้ ศาลระบุ วันที่ 25 ก.พ. 67 เป็นวันครบกำหนดฝากขังผู้ต้องหาทั้งสองครั้งที่สอง เพื่อให้การสั่งปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาเป็นไปด้วยความรอบคอบ สมควรฟังความเห็นของพนักงานสอบสวนประกอบด้วย และให้ผู้ร้องนำเอกสารใบรับรองแพทย์มาแสดงเพิ่มเติม (ถ้ามี)

ทั้งสองถูกคุมขัง ในคดี #ม116 จากกรณีที่ถูกกล่าวหาว่า บีบแตรใส่ขบวนเสด็จของพระเทพฯ และอดน้ำ-อาหารเข้าวันที่ 12 แล้ว ข้อมูลจากการเข้าเยี่ยม อาการของตะวัน แย่มาก แทบไม่มีเสียงพูด ขณะที่อาการของแฟรงค์ก็แย่มากเช่นกัน

โดยจากวันนี้ ทั้งตะวันและแฟรงค์จะถูกฝากขังผัดที่ 2 ถึงวันที่ 8 มี.ค. 67

‘วราวุธ’ นำทีม พม.ผนึก ‘AIS’ เดินหน้าเสริมสร้างพลเมืองดิจิทัล หนุนคนไทยท่องโลกออนไลน์อย่างปลอดภัย-รู้ทันภัยไซเบอร์

(25 ก.พ.67) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า อาชญากรรมทางไซเบอร์ถือเป็นภัยคุกคาม ที่สร้างความเสียหายให้กับประชาชนอย่างมาก ทุกฝ่ายจึงจำเป็นต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อสร้างความมั่นคงในการดำรงชีวิตให้กับคนไทย พร้อมบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ในการส่งเสริมความรู้และทักษะที่จำเป็น ต่อการใช้ชีวิตในโลกดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนใช้งานโลกออนไลน์อย่างปลอดภัย

โดยครั้งนี้เป็นความร่วมมือกับ AIS ในการนำหลักสูตร ‘อุ่นใจไซเบอร์’ ให้บุคลากรของเรากว่า 11,000 คน ได้เรียนรู้เพื่อเพิ่มทักษะทางดิจิทัล ตลอดจนการขยายผลองค์ความรู้ไปยังประชาชนคนทุกช่วงวัย อาทิ ผู้สูงอายุ เด็ก คนพิการ สตรี และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย และไม่ตกเป็นเหยื่อจากมิจฉาชีพที่แฝงตัวมาในโลกออนไลน์

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวว่า AIS ในฐานะผู้ให้บริการด้านดิจิทัลเราไม่เพียงเดินหน้าเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่แข็งแกร่งเพื่อคนไทยเพียงเท่านั้น แต่เรายังให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในด้านการยกระดับทักษะดิจิทัลของคนไทยที่เราเชื่อว่าการเสริมสร้างองค์ความรู้คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหาด้านภัยไซเบอร์ได้อย่างยั่งยืน

ซึ่งทำให้ที่ผ่านมาเราได้พัฒนาการเรียนรู้ด้านทักษะดิจิทัลอย่าง หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ ที่มีเนื้อหาแกนหลักสำคัญที่ถูกแบ่งออกเป็น 4P / 4ป ประกอบไปด้วย Practice ปลูกฝังให้มีความรู้ ความเข้าใจในการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างถูกต้องและเหมาะสม, Personality ปกป้องความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์, Protection เรียนรู้การป้องกันภัยไซเบอร์บนโลกออนไลน์ และ Participation รู้จักการปฏิสัมพันธ์ด้วยทักษะและพฤติกรรมการสื่อสารบนออนไลน์อย่างเหมาะสม ซึ่งหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ถูกขยายผลไปยังบุคลากรทางการศึกษา นักเรียน นิสิต นักศึกษา ผ่านความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ที่วันนี้ได้เรียนรู้หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์นี้แล้วกว่า 320,000 คน”

“โดยครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งความร่วมมือครั้งสำคัญกับหน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพและความมั่นคงในชีวิตของประชาชนอย่าง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในการนำหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มุ่งเสริมสร้างการรู้เท่าทันสื่อออนไลน์ที่ครอบคลุมทุกทักษะในโลกดิจิทัลอย่างแท้จริง เข้าไปให้บุคลากรของกระทรวงฯ ได้ศึกษาเรียนรู้ และส่งต่อไปยังประชาชนคนไทยทุกช่วงวัยที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวงฯ ได้เสริมทักษะดิจิทัล รู้เท่าทันภัยไซเบอร์ สามารถใช้งานออนไลน์ได้อย่างถูกต้องปลอดภัยและสร้างสรรค์” นายสมชัย กล่าวทิ้งท้าย

โดยการทำงานร่วมกันครั้งนี้ได้ปรับเนื้อหาของหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ให้สอดคล้องกับทักษะที่มีความจำเป็นต่อการเป็นพลเมืองดิจิทัลสำหรับผู้เรียนแต่ละกลุ่มให้มีความเหมาะสม เช่น การเพิ่มองค์ความรู้เกี่ยวกับ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ในหลักสูตรสำหรับผู้ปฏิบัติงานในองค์กร เป็นต้น

โดยสามารถเข้าไปเรียนรู้หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ได้ที่ www.learndiaunjaicyber.ais.co.th, แอปพลิเคชัน อุ่นใจ CYBER, www.m-society.go.th, www.dop.go.th และแอปพลิเคชัน Gold by DOP

โซเชียลจวกเละ ลูกค้าเรื่องเยอะ อ้าง “เราเป็นคนจ่ายเงิน” ด้าน ‘ไรเดอร์’ สุดทนพฤติกรรม!! ร่ายยาว “นี่คน ไม่ใช่ทาส”

(25 ก.พ.67) กลายเป็นโพสต์ไวรัลแห่วิจารณ์สนั่น เมื่อมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งประกอบอาชีพเป็น พนักงานบริการส่งอาหาร หรือ ไรเดอร์ ซึ่งเป็นอาชีพยอดฮิตในปัจจุบัน ออกมาแชร์ประสบการณ์ เจอลูกค้าเรื่องเยอะ งานนี้ชาวเน็ตแห่จวกแรง “โตมาแบบไหน ทำไมไม่มีมารยาท”

โดยเจ้าของโพสต์ระบุข้อความว่า “หัวจะปวดกับลูกค้าแบบนี้ ขอบคุณร้านที่ยกให้ครับ ร้านก็ไม่เอาเหมือนกัน55 ไม่ต้องกินครับขนาดนี้ ทำกินเองก็ได้55”

พร้อมแนบแชทข้อความสนทนากับลูกค้า เผยให้เห็นข้อความจากลูกค้าระบุว่า “พี่อย่าลืมให้ไม่ขาดที่ระบุไว้ด้วยนะคะ เพราะว่าหนูไม่ชอบกินเห็ดเข็มทองกับเห็ดชิตาเกะ ให้ใส่แต่เห็ดที่ใส่แกงลาวได้เท่านั้น แล้วไม่ใส่น้ำย่านาง ของที่เป็นผัก เอาเฉพาะใบแมงลักเท่านั้น ไม่เอาบวบ ไม่เอาฟักทอง อยากกินเห็ดล้วนๆ”

โดยทางไรเดอร์ตอบกลับไปว่า “โทรหาร้านเลยครับ”

ก่อนที่ทางลูกค้าจะตอบกลับว่า “เราลงข้อความบอกเขาตอนสั่งของแล้วค่ะ เราจะวานให้คุณบอกเขาอีกทีไม่ได้หรือไงคะ คุณก็มีรายได้จากการที่เราสั่งของอยู่”

พร้อมเสริมอีกว่า “คุณก็ช่วยบอกหน่อยค่ะ เราใช้หมดแหละ ใช้ได้ทั้งคุณ ใช้ได้ทั้งแม่ค้านั่นแหละ เพราะเราจ่ายเงิน”

ซึ่งทางไรเดอร์ตอบกลับไปว่า “ผมยังไม่ถึงร้านครับ”

เมื่อโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ก็สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์สนั่น ชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็น จวกเละพฤติกรรมของลูกค้า อาทิ

- พูดเหมือนตรูเป็นคนใช้
- ลูกค้าไม่ได้จ่ายเงินเรานะ บริษัทจ่ายให้เรา ลูกค้าเป็นคนสั่ง เราเป็นคนส่ง ไม่ใช่คนปรุงอาหาร
คนส่งอาหารครับ ไม่ใช่คนรับใช้
- แม่ค้าก็คน ไรเดอร์ก็คน แม้แต่คนรับใช้ก็คน มีความเป็นคนเท่าเทียมกัน ตรรกะแบบนี้ บ้งมากค่ะ
- ทำไมไม่โทรไปบอกร้าน
- หน้าที่เราคือไปรับของแล้วส่งของ ไม่มีหน้าที่ต้องมาคอยบอกร้านค้า ลูกค้าไม่ใช่พระเจ้า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top