Monday, 19 May 2025
NEWS FEED

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเดินหน้าปราบปรามจับกุมชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ล่าสุดแถลงจับกุม 3 คดีสำคัญ

วันนี้ (29 ก.พ.67) พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม.,ตามนโยบายของสำนักงานตารวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. , พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตารวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจ ผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทาให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด โดยวันนี้แถลงผลการจับกุม 3 คดี ได้แก่

1. จับกุมชาวจีน 2 ราย สวมตัวเป็นชาวแคนาดา ได้ที่ Gate ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พร้อมหนังสือเดินทางปลอม : กก.สส.ปป.บก.ตม.2 จับกุม MR.JIANBO (นามสมมติ) อายุ 48 ปี สัญชาติจีน และ MR.PINHUA (นามสมมติ) อายุ 49 ปี สัญชาติจีน โดยกล่าวหาว่า มีหรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งหนังสือเดินทางปลอมฯ นาตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.สส.บก.ตม.3 ดาเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ต.หนองปรือ อ.บางพลี จว.สมุทรปราการ โดยกก.สส.ปป.บก.ตม.2 ได้รับการประสานจากสายการบิน EVA Air ว่าพบผู้โดยสารชาวจีนต้องสงสัยจำนวน 2 คน นาหนังสือเดินทางแคนาดา มาแสดงต่อพนักงานสายการบินเพื่อจะเดินทางไปเมืองไทเป ประเทศไต้หวัน แล้วเปลี่ยนเครื่องไปเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา แต่ไม่พบประวัติการเดินทางออกมาจากประเทศแคนาดามาก่อน และ ไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ 

จึงได้ไปตรวจสอบ พบคนต่างด้าวตามที่ได้รับแจ้งบริเวณทางออกขึ้นเครื่อง Gate E3 จึงไดนำหนังสือเดินทางประเทศแคนาของผู้โดยสารทั้ง 2 คน มาตรวจสอบ ผลการตรวจสอบพบว่าเป็นหนังสือเดินทางแคนาดาปลอม และจากการตรวจค้นกระเป๋าสัมภาระพบหนังสือเดินทางจีนที่บุคคลทั้งสองนาติดตัวมาใช้เดินทางออกจากเมืองโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา มายังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมีแผนการเดินทางคือจะใช้หนังสือเดินทางแคนาดาปลอมที่ได้ซื้อมาจากเอเย่นในเมืองโคลอมโบ เพื่อขึ้นเครื่องไปเมืองไทเป ประเทศไต้หวัน จุดหมายปลายทาง เพื่อลักลอบเข้าเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา จากการประสานงานตรวจสอบสถานภาพพลเมืองของทั้งสองคนกับ สอท.แคนาดา ประจาประเทศไทย รับแจ้งว่าข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือเดินทางแคนาดาของทั้งสองคน ไม่ตรงกับ ฐานข้อมูลของทางการแคนาดา เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงจับกุมคนต่างด้าวทั้งสองในความผิดฐาน "มีหรือมีไว้เพื่อใช้ ซึ่งหนังสือเดินทางปลอมฯ" นาตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.สส.บก.ตม.3 ดาเนินการตามกฎหมายต่อไป

คดีที่ 2 จับนายหน้ารถตู้ขนแรงงานต่างด้าวหลบหนีหมายจับนาน 5 ปี นำส่งชายแดนไทย-พม่า โดยฝ่าฝืนกฎหมาย พร้อมก่อเหตุลักทรัพย์นายจ้างกว่า 200,000 บาท : กก.4 บก.สส.สตม. จับกุม นายอ่อง (นามสมมติ) อายุ 33 ปี สัญชาติเมียนมา ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลจังหวัดระนอง ที่ จ.136/2564 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ต้องหากระทาความผิดฐาน “ร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคาส่ังของ เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามพระราชบัญญัติควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558 นาตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ปากจั่น จว.ระนอง ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุมบริเวณบ้านพักริมคลองบางบอน แขวงบางบอน เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2564 เวลาประมาณ 05.30 น. เจ้าหน้าที่ตารวจ เจ้าหน้าที่ทหาร ได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ขับขี่รถพยาบาล 2 ราย โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม, และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคาสั่งของเจ้าพนักงานควบคุม โรคติดต่อ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558” พร้อมจับกุมตัวแรงงานชาวเมียนมาจานวน 10 คน 

โดยกล่าวหาว่า “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคาสั่งของ เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558” จากการสอบถามผู้ขับขี่ให้การรับสารภาพว่าเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม2564 ได้รับจ้างขนแรงงานชาวเมียนมา ให้กับนายอ่อง โดยได้ขับรถไปรับนายอ่องในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อไปรับแรงงานต่างด้าวในพื้นที่จังหวัดระนอง บริเวณ ปากซอยก่อนถึงโรงแรมนลิน เพลส ระนอง ประมาณ 100 เมตร และได้ร่วมเดินทางกลับพร้อมแรงงานต่างด้าว เมื่อมาถึงสี่แยกไฟแดง อ.กระบุรี จว.ระนอง นายอ่องขอลงรถอ้างว่าจะกลับไปบ้านที่ย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา และได้ หลบหนีไป ต่อมาศาลจังหวัดระนองได้อนุมัติหมายจับ ที่ จ.136/2564 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ให้จับนายอ่อง ในความผดิ ฐาน “ร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจาก การจับกุม ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคาสั่งของ เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามพระราชบัญญัติควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558” 

จากการสืบสวนของ กก.4 บก.สส.สตม. สืบทราบว่านายอ่อง ได้เข้ามาในประเทศไทยและได้มาพัก อาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ จึงได้ทาการสืบสวนจนทราบว่านายอ่อง ได้พักอาศัยอยู่ที่ห้องเช่าแห่งหนึ่งย่านบางบอน จึงได้เฝ้าติดตามจนกระทั่งพบตัวนายอ่อง จึงได้ทาการจับกุมตามหมายจับดังกล่าว ในเบื้องต้นนายอ่องได้รับสารภาพว่า ในช่วงที่ประเทศไทยมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตนได้ทำหน้าที่เป็นนายหน้า ในการนำแรงงานชาวเมียนมาเข้ามายังประเทศไทย ผ่านชายแดนจังหวัดระนอง และจัดหารถตู้วิ่งรับและนำแรงงาน ชาวเมียนมาเข้ามาในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและกรุงเทพฯ ได้ค่าจ้าง ประมาณ 10,000 บาท/คน ซึ่งรายได้ค่อนข้างดี จึงได้เป็นนายหน้าในการหาคนเข้ามาทางานเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป บก.สส.สตม. ได้ทำการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่านายอ่องได้ก่อเหตุลักทรัพย์นายจ้าง เหตุเกิดในพื้นที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ ไปจำนวนหลายครั้ง ความเสียหายกว่า 2 แสนบาท จึงได้ประสาน สน.ทุ่งมหาเมฆ เพื่อทำการอายัดตัว ผู้ต้องหารายดังกล่าวต่อไป

คดีที่ 3 จับกุมหนุ่มปากีสถานอัพโหลดภาพเปลือยสาวหลังมีความสัมพันธ์ลงแอปพลิเคชั่น : กก.4 บก.สส.สตม. จับกุมนายซาบาส (นามสมมติ) อายุ 32 ปี สัญชาติปากีสถาน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ 835/2566 ลงวันที่ 12 กันยายน 2566 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม หน้าหอพักในซอยรามคาแหง 24 แยก 8 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ 
การจับกุมผู้ต้องหารายนี้สืบเนื่อง บก.สส.สตม. ได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากหญิงไทยรายหนึ่งว่า ได้ถูกอดีตสามีซึ่งเป็นชาวปากีสถานแอบถ่ายภาพโป๊เปลือยกายของตนแล้วนำไปโพสต์ลงบน facebook และ instragram จนได้รับความอับอายและเสียหาย จึงได้สั่งการให้ กก.4 บก.สส.สตม. ทำการสืบสวนกรณีดังกล่าว จากการสืบสวนทราบว่าชาวปากีสถานดังกล่าวคือ นายซาบาส (นามสมมติ) อายุ 32 ปี โดยนายซาบาส ได้หลบซ่อนตัวอยู่ในห้องพักแห่งหนึ่งย่านรามคำแหง จึงได้ไปเฝ้าติดตามจนกระทั่งพบนายชาบาส จึงได้ทาการจับกุมตามหมายจับดังกล่าว จากการสอบถามนายซาบาส ในชั้นจับกุมให้การว่าได้ทาการสร้างเฟซอวตาร (เฟซบุ๊กปลอม) และอินสตราแกรมอวตาร (ปลอม) จากนั้นได้นำภาพถ่ายโป๊เปลือยกายของอดีตภรรยาที่ได้แอบถ่ายไว้ไปโพสต์ลงบนโซเชียลดังกล่าวจริง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้นำตัวนายซาบาส ส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดาเนินการตามกฎหมายต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิด ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

“ตร.” ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเรื่องการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กที่มีอายุก่อนถึงเกณฑ์การรับโทษทางอาญาฯร่วมหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง

เพื่อเป็นแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานในการกำหนดวิธีปฏิบัติต่อเด็กที่มีอายุก่อนถึงการรับโทษทางอาญา วันนี้ 29 ก.พ.67) เวลา 10.30 น.ที่ห้องประชุมชั้น 19 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พล.ต.ท.ธนายุตม์  วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้ช่วย ผบ.ตร./คณะทำงาน ศพดส.ตร.เปิดเผยว่า ตามที่กรมกิจการเด็กและเยาวชนมีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ พม 0304/ว1926 ลง 21 ก.พ.67 ขอเรียนเชิญ ผบ.ตร. ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเรื่องการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กที่มีอายุก่อนถึงเกณฑ์การรับโทษทางอาญาระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานอัยการสูงสุด ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางกระทรวงยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุขและ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเป็นแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานในการกำหนดวิธีปฏิบัติต่อเด็กที่มีอายุก่อนถึงการรับโทษทางอาญา

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์  สุขวิมล ผบ.ตร.,พล.ต.อ.สุรเชษฐ์  หักพาล รอง ผบ.ตร.(มค)/ผอ.ศพดส.ตร.ได้มอบหมายให้ตนเป็นผู้แทน “เข้าร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเรื่องการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กที่มีอายุก่อนถึงเกณฑ์การรับโทษทางอาญา“ ระหว่าง 7 ส่วนราชการ ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง กระทรวงยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุข

พร้อมด้วยนายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ 
รองอัยการสูงสุด ผู้แทนอัยการสูงสุด
นายเผดิม เพ็ชรกุล อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง
นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
นายโกมล พรมเพ็ง รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
นายธนู ขวัญเดช รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการนายแพทย์พงศ์เกษม ไข่มุกด์ 
อธิบดีกรมสุขภาพจิต ผู้แทนปลัดกระทรวงสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมลงนามโดยมมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานในการลงนาม ”ผู้ช่วย ผบ.ตร.กล่าว“

ผบ.ตร.มอบโล่และรางวัลแก่ตำรวจ สภ.จอหอ จ.นครราชสีมา เกลี้ยกล่อมหนุ่มคลุ้มคลั่งใช้ปืนยิงประตู จับแฟนสาว แม่ และลูกค้าเป็นตัวประกัน ให้มอบตัวสำเร็จ และช่วยเหลือตัวประกันปลอดภัยทุกคน ยกเป็นแบบอย่างการปฏิบัติ

วานนี้ (27 ก.พ.67) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบโล่ประกาศเกียรติคุณและรางวัลให้กับข้าราชการตำรวจ สภ.จอหอ จ.นครราชสีมา ที่สามารถเกลี้ยกล่อมชายหนุ่มที่ง้อแฟนไม่สำเร็จ ใช้อาวุธปืนยิงประตู 1 นัด จับแฟนสาวและแม่ รวมทั้งลูกค้าเป็นตัวประกัน ให้มอบตัวได้สำเร็จ และสามารถช่วยเหลือตัวประกันออกมาได้อย่างปลอดภัยทุกคน โดยมี พ.ต.อ.นธีร์ สุคุณา ผู้กำกับการ สภ.จอหอ เป็นผู้แทนรับมอบ

โดยเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เกิดเหตุชายมีอาการคลุ้มคลั่งเนื่องจากง้อแฟนไม่สำเร็จ จึงใช้อาวุธปืนยิงประตู 1 นัด และจับแฟนสาว รวมทั้งแม่ของแฟนสาว และลูกค้าที่กำลังมาติดต่องานเป็นตัวประกัน เหตุเกิดภายในบ้านหลังหนึ่งใน ต.ตลาด อ.เมือง จ.นครราชสีมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.จอหอ นำโดย พ.ต.อ.นธีร์ สุคุณา ผู้กำกับการ สภ.จอหอ นำกำลังรีบเข้าตรวจสอบและเกลี้ยกล่อมผู้ก่อเหตุ ช่วยเหลือตัวประกันทุกคนออกมาได้สำเร็จ ขณะที่การดำเนินการเกลี้ยกล่อมผู้ก่อเหตุใช้เวลา 5-6 ชั่วโมง จึงมีท่าทีที่อ่อนลงก่อนยอมมอบตัว จึงควบคุมไปสอบสวนที่ สภ.จอหอ 

ผบ.ตร. กล่าวว่า การเข้าช่วยเหลือและระงับเหตุครั้งนี้เป็นไปตามหลักยุทธวิธี สามารถเกลี้ยกล่อมผู้ก่อเหตุให้มอบตัวได้สำเร็จ และช่วยเหลือประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้อย่างปลอดภัย ถือเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติหน้าที่ที่มีประสิทธิภาพ ด้วยหัวใจความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ สมควรได้รับการยกย่องชื่นชม จึงมอบโล่ประกาศเกียรติคุณพร้อมรางวัลให้ข้าราชการตำรวจ สภ.จอหอ ที่เข้าปฏิบัติการครั้งนี้ทุกนาย เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป

‘ชายชาวต่างชาติ’ คู่กรณี ‘แพทย์หญิง’ อ้าง!! ไม่ได้เตะ แค่สะดุดล้ม ยัน!! มีหลักฐานมอบให้ตร.แล้ว หลังถูกแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกาย

(29 ก.พ.67) จากกรณีเกิดเหตุแพทย์หญิงของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตได้ร้อง กรณี ถูกชายชาวต่างชาติ เจ้าของพูลวิลล่าหรูริมหาดอ่าวยามู ต.ป่าคลอก อ.ถลาง เตะเข้าที่บริเวณหลังได้รับบาดเจ็บ ขณะนั่งชมพระจันทร์ในคืนวันมาฆบูชา กับเพื่อนที่บริเวณบันได พูลวิลล่า ซึ่งคิดว่าอยู่ในพื้นที่ชายหาดสาธารณะ และถูกภรรยาชาวไทย ของชายชาวต่างชาติ ต่อว่าด่าทอหยาบคายต่างๆ นานา อ้างมีลูกชายเป็นตำรวจ และ รู้จักกับนายตำรวจใหญ่ของ จ.ภูเก็ต

อย่างไรก็ตามหลังมีการนำเสนอข่าวตามสื่อต่างๆ ปรากฏว่า มีกระแสวิจารณ์เกิดขึ้น จำนวนมาก ต่างก็ให้กำลังใจหมอ ที่ปนะสบเหตุการณ์ดังกล่าว ขณะที่หมอได้เข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรถลางแล้ว

ขณะที่ชายชาวต่างชาติ นายเดวิด (นามสมมุติ) คู่กรณี ได้เดินทางไปที่ สภ.ถลาง จ.ภูเก็ต พร้อมทนายความ พร้อมหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ เข้าชี้แจงกับ พ.ต.ท.ปฎิวัติ ยอดขวัญ รองผกก.สอบสวนสภ.ถลาง หลังแพทย์หญิง คู่กรณีเข้าแจ้งในข้อหาทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บ โดยได้มอบคลิปที่นายเดวิด อ้างถ่ายจากโทรศัพท์มือถือของตนเอง ขณะเดินเข้าไปด้านหลังแพทย์หญิง แล้วลื่น ทำให้เท้าไปถูกด้านหลังของแพทย์หญิงคนดังกล่าว

โดยนายเดวิด เปิดเผยถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ผ่านทนายความ ว่า นายเดวิดไม่ได้เตะคู่กรณี แต่เป็นการสะดุด แล้ว เท้าไปถูกหลัง และไม่มีเจตนาที่จะไปเตะ ซึ่งตนเองอยากจะแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอยากที่จะขอโทษที่เท้าของตัวเองหรือตัวไปถูกคู่กรณี และ ขอยืนยันว่าเป็นการสะดุดล้ม

ขณะที่ทนายความระบุ ว่า ได้มีการพูดคุยข้อเท็จจริงกับ นายเดวิด มาพอสมควรและได้เห็นพยานหลักฐานต่างๆ ซึ่งนายเดวิดก็มีหลักฐานที่สามารถชี้แจงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและในส่วนที่เกี่ยวข้อง ถ้าจะมีการดำเนินคดี เราก็เตรียมหลักฐานในส่วนนี้ไว้แล้ว ซึ่งตนในฐานะทนายความก็ต้องทำไปตามพยานหลักฐานว่าไม่ใช่การเตะ ซึ่งตนเองในฐานะทนายความคิดว่าทั้งสองฝ่ายน่าจะรู้กันดีว่าเหตุการณ์มันคืออะไร

ความจริงแล้วมันมีที่มาที่ไปก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องราวขึ้น คือ ก่อนหน้านี้เคยมีเหตุการณ์ คนอื่นเข้ามาบริเวณดังกล่าว ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ทำให้เป็นการบุกรุก และนายเดวิดเคยให้บุคคลในวันนั้นออกไปจากบริเวณดังกล่าว ส่วนกรณีที่ภรรยานายเดวิดต่อว่าแพทย์หญิงและเพื่อน นายเดวิด และทนายความไม่ได้ตอบ เรื่องนี้

ขณะที่ นายเกษม จันทร์ดำ พ่อของแพทย์หญิง กล่าวว่า หลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจรับเป็นคดีแล้ว ทางลูกสาวยืนยันว่าจะดำเนินคดีข้อหาถูกทำร้ายร่างกาย และจะต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรี ที่ถูกเหยียดหยามเรื่องเพศสภาพหญิงไทย รวมทั้งไม่อยากให้คนไทยที่มาอยู่ภูเก็ต หรือคนภูเก็ตเจอเหตุการณ์แบบเดียวกับเธอในขณะที่เดินอยู่บริเวณชายหาดสาธารณะ

และต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนการดูแลคนไทยในภูเก็ต แม้กระแสการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจดีขึ้น แต่ไม่ควรจะละเลยคนไทย เหตุที่ต้องดำเนินการเช่นนี้ เนื่องจากคำพูดที่ว่า คนไทยขอโทษต่างชาติได้ แต่ฝรั่งจะไม่ขอโทษคนไทย จึงทำให้ลูกสาวรู้สึกว่า จะต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด

ส่วนที่คู่กรณีออกมาบอกว่า ไม่ได้เตะแต่เป็นการล้มใส่ ซึ่งประเด็นนี้ ตั้งข้อสังเกต ว่าหากเป็นการล้มใส่ ของคนที่ตัวโตน้ำหนักเกือบ 100 กิโลกรัม น่าจะไม่ใช่แค่จุก น่าจะล้มไปทั้งตัว หากล้มใส่จริง มีเหตุผลอะไรที่ต้องไปด่าลูกสาวของตนและเพื่อนที่ไปด้วยกัน ส่วนของสภาพจริงของลูกสาวแม้ว่าจะมีความระแวงและกังวล แต่เธอก็ยืนยันว่าจะดำเนินการให้ถึงที่สุด ซึ่งทางครอบครัวก็เคารพสิทธิและการตัดสินใจของเธอ

ทางด้าน พ.ต.อ.นิกร ชูทอง ผกก.สภ.ถลาง จ.ภูเก็ต กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า ได้รับรายงานจากพนักงานสอบสวนแล้ว เบื้องต้น พญ.ผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับมีการตรวจร่างกายจากแพทย์ เนื่องจากผู้เสียหายระบุถูกทำร้ายร่างกาย ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบปากคำเพิ่มเติม ส่วนคู่กรณีที่ถูกระบุว่าเป็นชายชาวต่างชาติเจ้าของวิลล่าหรูริม อ่าวยามู ต.ป่าคลอก อ.ถลาง นั้น ยังไม่ได้เข้ามาแจ้งความกรณีที่ พญ.บุกรุกตามที่มีการกล่าวอ้างในวันเกิดเหตุ

สำหรับเหตุการณ์นี้ ทางตำรวจจะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ส่วนกรณีภรรยาชาวต่างชาติอ้างว่ารู้จักกับนายตำรวจใหญ่ หรือ มีลูกเป็นตำรวจนั้น ใครๆ ก็พูดได้ ส่วนข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ไม่เกี่ยวกับรูปคดี ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก ตำรวจมีหน้าที่รักษากฎหมาย

สตม.รวบหนุ่มปากีสถานอัปโหลดภาพเปลือยสาวหลังมีความสัมพันธ์ลงแอปพลิเคชัน

กก.4 บก.สส.สตม. จับกุมนายซาบาส (นามสมมติ) อายุ 32 ปี สัญชาติปากีสถาน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ 835/2566 ลงวันที่ 12 กันยายน 2566 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม หน้าหอพักในซอยรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ

การจับกุมผู้ต้องหารายนี้สืบเนื่อง บก.สส.สตม. ได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากหญิงไทยรายหนึ่งว่า ได้ถูกอดีตสามีซึ่งเป็นชาวปากีสถานแอบถ่ายภาพโป้เปลือยกายของตนแล้วนำไปโพสต์ลงบน Facebook และ Instagram จนได้รับความอับอายและเสียหาย จึงได้สั่งการให้ กก.4 บก.สส.สตม. ทำการสืบสวนกรณีดังกล่าว จากการสืบสวนทราบว่าชาวปากีสถานดังกล่าวคือ นายชาบาส (นามสมมติ) อายุ 32 ปี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ 835/2566 ลงวันที่ 12 กันยายน 2566 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ โดยนายชาบาส ได้หลบซ่อนตัวอยู่ในห้องพักแห่งหนึ่งย่านรามคำแหง จึงได้ไปเฝ้าติดตามจนกระทั่งพบนายชาบาส จึงได้ทำการจับกุม  ตามหมายจับดังกล่าว จากการสอบถามนายซาบาส ในชั้นจับกุมให้การว่าได้ทำการสร้างเฟซบุ๊กอวตาร (เฟซบุ๊กปลอม) และอินสตาแกรมอวตาร (ปลอม) จากนั้นได้นำภาพถ่ายโป๊เปลือยกายของอดีตภรรยาที่ได้แอบถ่ายไว้ไปโพสต์ลงบนโซเชียลดังกล่าวจริง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้นำตัวนายชาบาส ส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป 

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิด ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th  จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

'ดร.อานนท์' งัดหลักฐาน ยัน!! ‘เกาะกูด’ เป็นของไทยทั้งเกาะ ลั่น!! ดินแดนของไทย จะสูญเสียไม่ได้แม้แต่ตารางนิ้วเดียว

(29 ก.พ. 67) ผศ.ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘เกาะกูด (Koh-Kut) ทั้งเกาะคือดินแดนของไทย เสียไปไม่ได้แม้แต่ตารางนิ้วเดียว’ โดยระบุข้อความว่า…

สยามยอมเสียเขมรอันเป็นประเทศราชของสยามไปเกือบค่อนประเทศคือพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ เพื่อแลกกับการที่สยามจะได้จังหวัดตราดไปจนถึงสุดชายแดนที่บ้านหาดเล็กและได้เกาะกูดกลับคืนมา โดยมิได้ปัจจันตคีรีเขตหรือเกาะกงกลับคืนมา

ให้อ่านข้อ 1 และ ข้อ 2 ของสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส เมื่อรัตนโกสินทร์ศก 125 หรือ คริสตศักราช 1907 มีสัญญาบ่งบอกไว้ชัดเจนว่าเกาะกูดเป็นของสยามอย่างแน่นอน

ส่วนในข้อ 5 นั้นสยามหรือไทย พยายามแก้ไขปัญหาสิทธิสภาพนอกอาณาเขตซึ่งคนในบังคับของฝรั่งเศสไม่ต้องขึ้นศาลไทยเลย ให้เป็นว่าคนในบังคับของฝรั่งเศสหรือซับเยกของฝรั่งเศสหลัง รัตนโกสินทร์ศก 122 (ค.ศ.1904) ต้องมาขึ้นศาลไทย แต่ไทยต้องแก้ไขกฎหมายให้เป็นสากลเสียก่อน 

ในคราวนั้น คศ. 1907-1908 ได้มีคณะกรรมการปักปันเขตแดนร่วมกันระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ได้ทำแผนที่อัตราส่วน 1:200,000 แสดงดินแดนของไทยที่จังหวัดตราด อันแคบขนานริมทะเลไปตามสันปันน้ำของเทือกเขาบรรทัดจนสุดชายแดนที่บ้านหาดเล็กดังรูปในแผนที่นี้ ตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาตามข้อ 4

เมื่อคุณลุง ศ.ดร. สมปอง สุจริตกุล ยังมีชีวิตอยู่ได้อธิบายว่าสัญญา รศ. 125 หรือ ค.ศ. 1907 นี้เป็นสัญญาประธาน ข้อตกลงความเข้าใจร่วมกัน (Memorandum of understanding: MOU) ข้ออ้างอิง (Term of reference: TOR) การสื่อสารร่วม (Joint Communique) หรือ การจัดเตรียมชั่วคราว (Provisional arrangement: PA) ใด ๆ ก็ตามย่อมไม่อาจจะขัดแย้งกับสัญญาประธานอันเป็นลายลักษณ์อักษรได้ 

ดังนั้นเกาะกูดจึงเป็นดินแดนของไทยทั้งเกาะ กัมพูชาไม่มีสิทธิ์ขีดเส้นบนแผนที่ลากเฉือนแบ่งเกาะกูดออกเป็นสองฝั่งยึดครองไปเป็นของกัมพูชาและอ้างอธิปไตยของดินแดนไทยเพื่อครอบครองพื้นที่ในทะเลอ่าวไทยว่าเป็นพื้นที่พัฒนาร่วม (Joint development area: JDA) หรือ พื้นที่ทับซ้อนใด ๆ ก็มิได้ทั้งสิ้น ขัดกับสัญญาประธาน ที่เคยทำไว้กับประเทศไทย

ดินแดนของไทย และบูรณภาพแห่งดินแดนจะสูญเสียไปไม่ได้แม้แต่ตารางนิ้วเดียว

รมว.พิพัฒน์ ลุยเพิ่มการจ้างงาน วัยเรียน แรงงานอิสระ กระตุ้นเศรษฐกิจ พัทลุง ผู้สนใจกว่า 3 หมื่นคน ในงาน 'สร้างงาน เส้นทางสู่อาชีพ@พัทลุง'

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดงานสร้างงาน และเส้นทางสู่อาชีพ ณ จังหวัดพัทลุง โดยมี นายภุชงค์ วรศรี ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน  นายภูมิพัฒน์ เหมือนจันทร์ โฆษกกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นเกียรติในพิธี นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวรายงาน นางนิศากร วิศิษฏ์สรอรรถ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง นางกัญจนา สุขมาก นักวิชาการแรงงานชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแทน จัดหางานจังหวัดพัทลุง พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดพัทลุง ให้การต้อนรับ ณ โรงแรมร้อยทองรีสอร์ท อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จังหวัดพัทลุงเป็นเมืองรองที่มีศักยภาพโดดเด่นด้วยความเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อภาคใต้ตอนบนและภาคใต้ตอนล่าง เป็นเส้นทางหลักที่จะผ่านไปยังจังหวัดต่างๆ และพร้อมก้าวสู่การเป็นเมืองแห่งความยั่งยืน ด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานจึงจัดงาน “สร้างงานและเส้นทางสู่อาชีพ จังหวัดพัทลุง” ขึ้นที่นี่ เพื่อพัฒนาศักยภาพกำลังแรงงานภายในจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียงให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อรองรับความเจริญเติบโต และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทุกภาคส่วนของจังหวัด ด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมให้คนหางาน และสถานประกอบการที่มีตำแหน่งงานว่าง มีโอกาสมาพบกัน เพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงบริการของรัฐ เข้าถึงข้อมูลอาชีพ - การศึกษา รู้สภาวะและแนวโน้มตลาดแรงงาน เปิดโลกทัศน์ สร้างสรรค์และจุดประกายไอเดียการประกอบอาชีพและเห็นทิศทางของอาชีพยุคใหม่ ตลอดจนรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เพื่อสามารถพัฒนาทักษะและปรับตัวเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างเหมาะสม บรรลุเป้าหมายการจ้างงาน 1 ล้านอัตรา ภายในปี 2567 

ด้าน นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ การรับสมัครและสัมภาษณ์งานโดยตรงกับนายจ้าง สถานประกอบการในจังหวัดพัทลุง และจังหวัดใกล้เคียง จำนวน 33 แห่ง มีตำแหน่งงานว่าง 681 อัตรา อาทิ พนักงานขายสินค้า พนักงานบริการลูกค้า พนักงานธุรการ ช่างเทคนิค ฯลฯ การรับสมัครงานกลุ่มคนพิเศษ ค้นหาตำแหน่งงานว่างทั่วประเทศจากรถบริการจัดหางานเคลื่อนที่ Mobile Unit การสาธิตอาชีพและฝึกปฏิบัติอาชีพอิสระ 6 อาชีพ ได้แก่ บาริสต้า การทำขนมชั้น การทำเบเกอรี่ การทำแกงไตปลาแห้ง การพิมพ์ลายผ้าจากใบไม้ การติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ นิทรรศการแนะแนวการศึกษาต่อสำหรับนักเรียนนักศึกษาที่ใกล้เรียนจบ บริการแนะแนวอาชีพ การทดสอบความพร้อมทางอาชีพและทดสอบภาษาอังกฤษเพื่อการสมัครงาน นิทรรศการโลกของอาชีพและการเรียนรู้เสมือนจริง การให้คำปรึกษาแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพ การให้คำปรึกษาและรับลงทะเบียนผู้สนใจไปทำงานต่างประเทศ และการให้บริการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน การจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าของผู้รับงานไปทำที่บ้าน และผลิตภัณฑ์ของผู้พิการ รวมทั้งหาไอเดียการทำธุรกิจ Food Truck & Franchise น่าลงทุน โดยมีผู้ให้ความสนใจการจัดงานครั้งนี้ จำนวน 32,586 คน 

ทั้งนี้ กระทรวงแรงงาน ขอเชิญชวนคนหางาน นักเรียน นักศึกษา และประชาชน ที่สนใจหางาน ต้องการพัฒนาทักษะฝีมือ และหาไอเดียในการประกอบอาชีพเสริม มาพบกันในงาน "สร้างงาน และเส้นทางสู่อาชีพ @พัทลุง” ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 ตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.00 น. หรือหากไม่สามารถมาร่วมงานในวันนี้ได้ ยังสามารถเข้าร่วมงาน ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช ในวันที่ 1-2 มีนาคม 2567 โดยลงทะเบียนสมัครงานเพื่อความสะดวกได้ที่เว็บไซต์กรมการจัดหางาน e-Service.doe.go.th “ไทยมีงานทำ” หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดพัทลุง โทร 0 7461 4141 ต่อ 18

สตม.จับนายหน้ารถตู้ขนแรงงานต่างด้าวหลบหนีหมายจับนาน 5 ปี นำส่งชายแดนไทย-พม่า โดยฝ่าฝืนกฎหมาย พร้อมก่อเหตุลักทรัพย์นายจ้างกว่า 200,000 บาท 

กก.4 บก.สส.สตม. จับกุม นายอ่อง (นามสมมติ) อายุ 33 ปี สัญชาติเมียนมา ผู้ต้องหาตามหมายจับ     ศาลจังหวัดระนอง ที่ จ.136/2564 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ต้องหากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามพระราชบัญญัติควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558 นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ปากจั่น จว.ระนอง ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุมบริเวณบ้านพักริมคลองบางบอน แขวงบางบอน เขตบางบอน กรุงเทพฯ

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2564  เวลาประมาณ 05.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ทหาร ได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ขับขี่รถพยาบาล 2 ราย โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม, และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558” พร้อมจับกุมตัวแรงงานชาวเมียนมาจำนวน 10 คน โดยกล่าวหาว่า “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558”

จากการสอบถามผู้ขับขี่ ให้การรับสารภาพว่าเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2564  ได้รับจ้างขนแรงงานชาวเมียนมา ให้กับนายอ่อง โดยได้ขับรถไปรับนายอ่องในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อไปรับแรงงานต่างด้าวในพื้นที่จังหวัดระนอง บริเวณ ปากซอยก่อนถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง ประมาณ 100 เมตร และได้ร่วมเดินทางกลับพร้อมแรงงานต่างด้าว เมื่อมาถึงสี่แยกไฟแดง อ.กระบุรี จว.ระนอง นายอ่องขอลงรถอ้างว่าจะกลับไปบ้านที่ย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา และได้หลบหนีไป ต่อมาศาลจังหวัดระนองได้อนุมัติหมายจับ ที่ จ.136/2564 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ให้จับนายอ่องในความผิดฐาน “ร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามพระราชบัญญัติควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558”

จากการสืบสวนของ กก.4 บก.สส.สตม. สืบทราบว่านายอ่อง ได้เข้ามาในประเทศไทยและได้มาพักอาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ จึงได้ทำการสืบสวนจนทราบว่านายอ่อง ได้พักอาศัยอยู่ที่ห้องเช่าแห่งหนึ่งย่านบางบอน จึงได้ทำการเฝ้าติดตามจนกระทั่งพบตัวนายอ่อง จึงได้ทำการจับกุมตามหมายจับดังกล่าว ในเบื้องต้นนายอ่องได้รับสารภาพว่าในช่วงที่ประเทศไทยมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตนได้ทำหน้าที่เป็นนายหน้า ในการนำแรงงานชาวเมียนมาเข้ามายังประเทศไทย ผ่านชายแดนจังหวัดระนอง และจัดหารถตู้วิ่งรับและนำแรงงานชาวเมียนมาเข้ามาในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและกรุงเทพฯ ได้ค่าจ้าง ประมาณ 10,000 บาท/คน ซึ่งรายได้ค่อนข้างดี จึงได้เป็นนายหน้าในการหาคนเข้ามาทำงานเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป  

บก.สส.สตม. ได้ทำการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่านายอ่องได้ก่อเหตุลักทรัพย์นายจ้าง เหตุเกิดในพื้นที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ ไปจำนวนหลายครั้ง ความเสียหายกว่า 2 แสนบาท จึงได้ประสาน สน.ทุ่งมหาเมฆ เพื่อทำการอายัดตัวผู้ต้องหารายดังกล่าวต่อไป

‘แพทย์สาว’ ร้อง!! ถูก ‘เจ้าของศูนย์อนุรักษ์สัตว์ชื่อดัง’ ทำร้าย เหตุไม่พอใจนั่งหน้าบ้าน พร้อมขู่!! รู้จัก ตร.ยศใหญ่ ยิงตายก็ไม่ผิด

เมื่อวานนี้ (28 ก.พ.67) จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊ก Chaiyachot Uttamang โพสต์ข้อความและภาพว่า ลูกสาวที่เป็นหมออยู่ใน จ.ภูเก็ต ถูกชาวสวิสทำร้าย โดยมีข้อความว่า

“#เรื่องเล่า_จากแพทย์หญิงไทยถูกชายต่างชาติชาวสวิสทำร้ายบนผืนดินไทย
ลูกสาวของผมผู้เป็นหมออยู่ที่ภูเก็ต ซึ่งเป็นคนสุภาพและถ่อมตนเป็นปกติ เขียนข้อความออกมาจากร่างกายและจิตใจของเธอที่ถูกทำร้ายว่า…

สวัสดีค่ะ ขออนุญาตขอความช่วยเหลือเพื่อกระจายข่าวเพื่อความยุติธรรมด้วยค่ะ
เราถูกชาวต่างชาติที่เป็นเจ้าของศูนย์อนุรักษ์ช้างทำร้ายร่างกายค่ะ
โดยมีลำดับเหตุการณ์ ดังนี้

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 เวลาประมาณ 19.30 น. เราไปกินข้าวกับเพื่อนผู้หญิงที่เป็นหมอด้วยกัน ที่ร้าน Taste Yamu หลังกินเสร็จก็ชวนกันไปเที่ยวหาดสาธารณะแถวใกล้บ้านบริเวณ Cape Yamu คือ ปกติไปเดินเที่ยวบ่อยเนื่องจากเป็นหาดที่อยู่ใกล้บ้านที่สุด และค่อนข้างปลอดภัย

ตอนเราเดินไปที่หาดกับเพื่อนเจอพี่ยามคนนึง แกก็ถามว่าเรามาดูดวงจันทร์ใช่มั้ย เพราะมันเป็นวันมาฆบูชา (ฟูลมูน) เลยตอบไปว่า ใช่ค่ะ พี่ยามก็บอกว่า ครับ เอนจอย ครับ แล้วเดินจากเราไป เรากับเพื่อนเดินดูดวงจันทร์บนชายหาดกันสักพัก รู้สึกเมื่อยและอยากนั่งพัก จึงเดินไปนั่งตรงบันไดที่ปลูกลงมาบริเวณชายหาดที่ต่อลงมาจากวิลล่า หมายเลข 23 เพราะคิดว่าเป็นบันไดของชายหาด โดยที่เท้ายังจุ่มอยู่บนพื้นทราย

ในขณะที่เรานั่งอยู่รู้สึกเหมือนมีใครเดินมาข้างหลัง จึงหันไปพูดกับเพื่อนว่า รู้สึกเหมือนมีคนเดินมา จากนั้น พลันก็รู้สึกสะเทือนหนักหน่วงไปทั้งร่าง เมื่อได้สติก็ทำให้รู้ว่า เกิดจากหน้าแข้งที่กระหน่ำเตะลงมาที่กลางหลัง จากชายชาวต่างชาติตัวใหญ่น้ำหนักราว 100 กิโลกรัม ในสภาพหน้าแดง เหงื่อท่วม กำลังถือโทรศัพท์เพื่ออัดวิดีโอ และสบถด่าคำหยาบออกมาสารพัด เรากับเพื่อนเลยเดินไปหาพี่ยาม บนป้อมยามบนเนินข้างบน แล้วบอกว่า “พี่คะ หนูถูกทำร้ายร่างกาย” พี่ยามก็ตกใจและพาเราไปยังหน้าวิลล่า 23 ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ

ฝรั่งคนนั้นแสดงอาการโกรธสบถคำด่าออกมาสารพัด จากนั้นภรรยาชาวไทยพร้อมแผงสร้อยเพชรเม็ดโตก็เดินออกมา ตอนนั้นเรากับเพื่อนแอบดีใจเพราะคิดว่าจะเคลียร์กันได้ แต่ประโยคแรกที่ภรรยาชาวไทยพูดถึงกับทำให้เรากับเพื่อนสตันท์ไป เพราะเธอบอกว่า “นี่อีดอ* สองตัวนี้มานั่งอยู่หน้าบ้านกู พวกมึ* รู้ไหมต่อให้พวกกู ยิงพวกมึ*ตาย กูก็ไม่ผิด เพราะลูกกูเป็นตำรวจและรู้จักนายตำรวจใหญ่ของภูเก็ต กูจะเอาพวกมุ*เข้าคุกให้ได้ กูจะโทรหาท่านรองเดี๋ยวนี้” จากนั้นเธอก็โทรหาตำรวจยศใหญ่ของเธอว่าให้ส่งตำรวจมา

ผ่านไปประมาณ 15 นาที มีตำรวจ 2 คนเดินมา คนหนึ่งแต่งตัวนอกเครื่องแบบ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นตำรวจในเครื่องแบบ ตำรวจหนุ่มทั้งสองพยายามมาเจรจาเคลียร์เรื่อง หลังจากที่ตำรวจมาคุยกับเรา เราก็บอกกับตำรวจว่า เราถูกทำร้ายร่างกาย ชายชาวต่างชาติก็มาพูดกับเราว่า “อ่อเป็นชนพื้นเมือง เป็นคนไทยเหรอ รู้ไหมชั้นไม่ได้จ่ายค่าเช่าวิลล่าเดือนละล้านบาท มาให้พวกมุ*นั่งหน้าบ้านกู”

เราก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร หลังจากนั้นตำรวจก็เดินมาพูดกับเราว่า ตอนนี้มันผิดกันทั้งสองฝ่าย ฝ่ายเราเป็นคนบุกรุกมีโทษหนักกว่าต้องติดคุก 4 ปี ฝ่ายเขาแค่ทำร้ายร่างกายจ่ายเงินก็จบ เราเลยช็อกไป ตำรวจนายหนึ่งบอกว่าต้องเคลียร์ให้ยอมความกันให้ได้ จะได้ไม่ต้องถึงโรงพัก

เราจึงเสนอให้ 3 ทางเลือก คือ 1. ต่างคนต่างขอโทษแล้วจบ 2. ต่างคนต่างไม่ขอโทษแล้วจบ 3. ไปคุยกันที่โรงพัก ฝั่งนู้นเขาบอกว่า “#เราขอโทษฝรั่งได้_แต่ฝรั่งจะไม่ขอโทษเรา #และเราจะต้องติดคุก”

หลังจากนั้นเราจึงไปแจ้งความที่ สภ.ถลาง หลังจากแจ้งความ เราได้ทราบชื่อของชาวต่างชาติคนนี้ซึ่งทำให้เราช็อกมาก เพราะชายคนนี้เป็นชาวสวิส ที่เป็นเจ้าของศูนย์อนุรักษ์สัตว์ดัง ที่เคลมว่าเขาจะปกป้องดูแลช้างและไม่ทำร้ายช้าง แต่เขาทำร้ายผู้หญิงค่ะ!

รบกวนขอความยุติธรรมกับเรื่องนี้ด้วยนะคะ เพราะอีกฝั่งเป็นชาวต่างชาติที่มีอิทธิพลในภูเก็ต มีข้อสังเกตว่ามีตำรวจยศใหญ่คอยช่วยเหลือดูแลอยู่เบื้องหลัง และเราคิดว่าเรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้น #ไม่สมควรมีคนไทยคนไหนโดนชาวต่างชาติทำร้ายร่างกาย #คนไทยผู้เป็นสุจริตชน #ผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินไทยค่ะ

จาก #ผู้หญิงไทยคนหนึ่งผู้ถูกชายชาวต่างชาติคนหนึ่งทำร้าย
(28 กุมภาพันธ์ 2024)”

ผู้สื่อข่าวมีโอกาสได้โทรศัพท์พูดคุยกับเจ้าของเฟซบุ๊กดังกล่าว ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ผู้เสียหายเป็นลูกสาวของตนเองประกอบอาชีพเป็นแพทย์อยู่ในโรงพยาบาล ที่จังหวัดภูเก็ต ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อดูแลครอบครัวให้ได้รับความเป็นธรรม มีกำหนดการเดินทางมาที่จังหวัดภูเก็ต ถึงในค่ำวันนี้เนื่องจากในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พนักงานสอบสวน มีกำหนดการเรียกไปพบ เพื่อต้องการที่จะเอาเอกสารใบรับรองของแพทย์ที่ตรวจร่างกายไปให้ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และเท่าที่ทราบ พนักงานสอบสวนยังไม่ลงหมายเลขคดีแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ลูกสาวต้องการขอความเป็นธรรม ในคดีให้อายัดตัวนักธุรกิจรายนี้ อย่างไรก็ดีทราบว่า มีนายตำรวจ ระดับรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 มีกำหนดการว่าจะมาร่วมพบปะลูกสาว ที่ สภ.ถลางในวันพรุ่งนี้ด้วย (ภรรยาชาวสวิสอ้างว่า มีลูกชายเป็นตำรวจและรู้จักตำรวจระดับรองฯ) อย่างไรก็ดีเท่าที่ได้พูดคุยกับลูกสาว ลูกสาวยืนยันว่า จะต่อสู้ในเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แพทย์หญิงรายดังกล่าว ยังได้นำใบลงบันทึกประจำวัน โพสต์ลงในเฟซบุ๊กด้วย

'สุริยะ' สั่งเพิ่มเที่ยวบินช่วงสงกรานต์ แก้ปัญหาตั๋วเครื่องบินแพงช่วงเทศกาล พร้อมถก 6 สายการบินในประเทศ ร่วมอัดโปรฯ ตั๋วราคาพิเศษ

'คมนาคม' เปิดมาตรการระยะสั้น แก้ปัญหาตั๋วเครื่องบินแพง สั่งเพิ่มเที่ยวบินช่วงสงกรานต์ 2567 รวม 38 เที่ยวบิน มีที่นั่งเพิ่ม 13,000 ที่นั่ง ด้าน '6 สายการบินในประเทศ' เตรียมอัดโปรฯ ตั๋วราคาพิเศษ ครอบคลุมเส้นทางทุกภูมิภาค สนองความต้องการเดินทางของผู้โดยสาร เน้นย้ำ 'สะดวก - รวดเร็ว - ปลอดภัย - ราคาสมเหตุสมผล'

(29 ก.พ.67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่ได้สั่งการให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หน่วยงานบริหารและกำกับดูแลสนามบิน สายการบินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในภาคการขนส่งทางอากาศและการท่องเที่ยวไปพิจารณาร่วมหาแนวทางแก้ไขปัญหาราคาค่าโดยสารทางอากาศที่มีราคาสูงและแผนรองรับการท่องเที่ยวช่วงเทศกาล เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติตามนโยบายของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้ประชุมนัดแรกไปแล้วเมื่อวันที่ 20 ก.พ.67 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เมื่อวาน (28 ก.พ.67) ทาง กพท. ได้ประชุมร่วมกับ 6 สายการบินที่ให้บริการในเส้นทางการบินภายในประเทศอีกครั้ง ได้แก่ สายการบินไทย, สายการบินไทยแอร์เอเชีย, สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส, สายการบินไทยไลอ้อนแอร์, สายการบินนกแอร์ และสายการบินไทยเวียตเจ็ท เพื่อสรุปมาตรการลดผลกระทบจากราคาค่าโดยสารที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงแผนการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินให้เพียงพอต่อความต้องการช่วงเทศกาล โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 ที่จะถึงนี้

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า การประชุมในครั้งนี้ ได้มีการตรวจสอบความพร้อมและความสามารถในการทำการบินจริงของแต่ละสายการบิน พร้อมทั้งมีเป้าหมายเพิ่มจำนวนเที่ยวบินในช่วงเทศกาลให้มากที่สุด ซึ่งในเบื้องต้นจะเป็นการเพิ่มเที่ยวบินเข้าสู่ระบบทั้งก่อนและหลังเวลาปฏิบัติการบินปกติในสนามบินที่มีความต้องการเดินทางสูง สอดคล้องกับมติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่กำหนดให้มีวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2567 รวมระยะเวลา 6 วัน หรือระหว่างวันที่ 12 - 17 เมษายน 2567

สำหรับมาตรการระยะสั้นช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 มีแผนเพิ่มเที่ยวบินพิเศษจำนวน 38 เที่ยวบิน ในช่วงระหว่างวันที่ 11 - 12 เมษายน 2567 และวันที่ 15 - 16 เมษายน 2567 ในเส้นทางครอบคลุมทุกภูมิภาค เช่น เชียงใหม่, ภูเก็ต, กระบี่, อุดรธานี, ขอนแก่น และอุบลราชธานี เป็นต้น ซึ่งจากการเพิ่มเที่ยวบินดังกล่าว จะทำให้มีตั๋วโดยสารเครื่องบินเพิ่มขึ้นประมาณ 13,000 ที่นั่ง 

ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นการเพิ่มเที่ยวบินในรอบเช้าและรอบค่ำนอกช่วงเวลาเที่ยวบินที่มีอยู่ตามปกติ สายการบินจึงเตรียมจัดทำโปรโมชั่นราคาพิเศษ เพื่อให้มีราคาที่ถูกลง และให้สอดคล้องกับความต้องการในการเดินทางของผู้โดยสาร 

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า จากมาตรการดังกล่าว ได้มอบหมายให้กรมท่าอากาศยาน (ทย.), บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) และบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) เตรียมความพร้อมในการขยายเวลาดำเนินการตามที่สายการบินกำหนด โดยจะวางแผนการดำเนินการภายในหน่วยงาน เพื่อจัดทำแผนบุคลากรรองรับการให้บริการผู้โดยสารในห้วงเวลาดังกล่าว และกำหนดแนวทางการสนับสนุนการดำเนินการระหว่างกัน ทั้งนี้ จะเร่งเตรียมความพร้อม เพื่อให้ทันต่อการเดินทางของผู้โดยสาร และเพิ่มความคล่องตัวของระบบการขนส่งทางอากาศให้เกิดความสะดวกรวดเร็วมากขึ้นด้วย

กระทรวงคมนาคมและทุกหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงฯ มีความห่วงใยต่อประชาชนทุกภาคส่วน พร้อมที่จะอำนวยความสะดวกในการเดินทาง มีราคาสมเหตุสมผล มุ่งเน้นด้านความปลอดภัยและรวดเร็ว เพื่อให้ประชาชนสามารถเดินทางถึงจุดหมายปลายทางได้โดยสวัสดิภาพ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top