Monday, 19 May 2025
NEWS FEED

สำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมภาคีเครือข่าย มอบรางวัล พลเมืองดีส่งคลิปขับขี่ฝ่าฝืนกฎหมายตาม “โครงการอาสาตาจราจร”

วันนี้ (1มี.ค. 67) เวลา 14.00 น. ณ ห้องสารสิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการ ประจำ สำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ  คุณพิศเพลิน วิริยะพันธุ์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) คุณนิตยา ลีธีระกุล ผู้บริหารสถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ.91 และ คุณอัจฉรา  บัวสมบูรณ์ ผู้บริหารสถานีวิทยุ จส.100 ร่วมแถลงผลการมอบรางวัล และเกียรติบัตรโครงการอาสาตาจราจร โดยมอบรางวัลให้กับประชาชนเจ้าของคลิปกล้องหน้ารถที่บันทึกอุบัติเหตุทางถนนหรือการกระทำผิดกฎจราจรที่สำคัญ ประจำเดือน ม.ค.2567 รวมรางวัลทั้งสิ้น20 รางวัล เงินรางวัลสูงสุด 20,000 บาท รวมเงินรางวัลที่จะมอบในวันนี้ เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 100,000 บาทโดยบริษัท วิริยะประกันภัย และกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เป็นผู้สนับสนุนเงินรางวัล

พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวว่า นับแต่เริ่มโครงการมาจนถึงปัจจุบัน สังคมมีความตื่นตัว มีคลิปการกระทำผิดกฎจราจรจากภาคประชาชนส่งมาให้คณะทำงานพิจารณาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลเบาะแสเหล่านี้ แสดงถึงความสนใจ ใส่ใจกับปัญหาการจราจร และจะเป็นการขับเคลื่อนที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาการจราจร เพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนนให้กับผู้ใช้ทาง  สำหรับผู้กระทำผิดที่ถูกบันทึกคลิปวิดีโอเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำไปตรวจสอบและติดตามมาดำเนินคดี  โครงการนี้มุ่งหวังให้ผู้ขับขี่ ยับยั้งชั่งใจในการกระทำผิด เพื่อมุ่งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น  สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าร่วมกิจกรรม สามารถส่งคลิปการกระทำผิดกฎจราจรมายังช่องทางที่หลากหลาย ได้แก่ เพจอาสาตาจราจร เพจตำรวจทางหลวง  เพจกองบังคับการตำรวจจราจร  รวมถึงเพจเครือข่ายที่ร่วมโครงการ ทั้งเพจมูลนิธิเมาไม่ขับ สวพ.91 และ จส.100  คลิปที่มีเนื้อหาน่าสนใจผ่านการคัดเลือก นอกจากได้รับเงินรางวัลแล้ว ยังได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะพลเมืองดี ช่วยส่งพยานหลักฐานเพื่อช่วยคนดีชี้คนผิด เป็นส่วนหนึ่งในการลดอุบัติเหตุทางถนน 

ทางด้าน นพ.แท้จริง  ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ  กล่าวเสริมว่า โครงการนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการสร้างการตระหนักรู้ในการขับขี่ปลอดภัย ให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจร การมีส่วนร่วมดังกล่าวเป็นการสร้างมาตรฐานทางสังคมให้เกิดความยับยั้งชั่งใจในการกระทำผิด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งประชาสัมพันธ์เพิ่มเติม เรื่องใบสั่งจราจร ตามกฎหมายใหม่ เมื่อทำผิดกฎจราจรแล้วได้รับใบสั่งหากไม่ชำระตามเวลาที่กำหนด จะต้องถูกฟ้องต่อศาลทุกราย ตามกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัย ขั้นตอนหลังจากได้รับใบสั่งจะมีกำหนดเวลาให้ชำระค่าปรับระบุไว้ในใบสั่ง หากพ้นกำหนดเวลาเจ้าหน้าที่จะส่งหนังสือเตือนให้ไปชำระตามเวลาที่กำหนดอีก 1 ครั้ง ถ้ายังไม่ไปชำระอีก เจ้าหน้าที่จราจรจะสรุปข้อเท็จจริงเป็นสำนวนส่งไปยังพนักงานอัยการเพื่อส่งฟ้องศาลทุกราย โดยเริ่มมีผลกับใบสั่งที่ออกตั้งแต่ 25 ต.ค.2565 เป็นต้นมา 

‘ดร.เอ๋ พรเทพ’ แชร์ประสบการณ์ถูกโจรล้วงกระเป๋าเงินในห้างดัง โชคดี!! ‘พี่ล้วง’ เอามาคืน คาด!! เพราะสงสารต้องอายัดบัตรหลายสิบใบ

(1 ก.พ. 67) เฟซบุ๊ก ‘กบ เหนือ เอ๋’ ของ ดร.พรเทพ เตชะไพบูลย์ สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม และอดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้โพสต์ข้อความเล่าถึง ‘พี่ล้วง’ หรือนักล้วงกระเป๋า โดยระบุว่า…

“เมื่อวานไปเดินพารากอน ถูกล้วงกระเป๋า มีตังค์อยู่ 2,000 กว่าบาท แต่เต็มไปด้วยบัตรเครดิต 10 กว่าใบ ทีแรกตกใจแทบแย่ ไปนั่งเศร้าอยู่ มีคนสะกิดว่ามีกระเป๋าอยู่ใต้เก้าอี้ ขอบคุณพี่ล้วงมาก ๆ ที่เอา กระเป๋า มาคืน คงสงสารเรา ที่ต้องไประงับบัตรหลายใบเรียกว่า ‘ล้วงแบบมีความรับผิดชอบ’ ขอให้รวย ขอให้รวยนะครับพี่ล้วง”

มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ร่วมกับ กลุ่มไทยสมายล์ สนับสนุนเครื่องฟอกอากาศและฆ่าเชื้อโรค เพื่อช่วยบรรเทามลพิษทางอากาศ ให้กับสถาบันการแพทย์แผนไทย

​วันที่ 1 มีนาคม 2567 นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ พร้อมด้วยทีมงานมวลชนสัมพันธ์ (CSR) กลุ่มไทยสมายล์ (รถและเรือโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้า) ลงพื้นที่เพื่อมอบเครื่องฟอกอากาศและฆ่าเชื้อโรค ให้กับสถาบันการแพทย์แผนไทย ณ อาคารพิพิธภัณฑ์การสาธารณสุขและการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข เพื่อส่งมอบให้กับ สถาบันการแพทย์แผนไทย โดยมี นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ กระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้รับมอบ ​นางเธียรรัตน์ กล่าวว่า ในวันนี้ดิฉันในนามประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ได้นำเครื่องฟอกอากาศและฆ่าเชื้อโรค จำนวน 3 เครื่อง (เป็นจำนวนเงิน 78,000 บาท) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก กลุ่มไทยสมายล์ (รถและเรือโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้า) มามอบให้กับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อนำไปส่งต่อให้กับสถาบันการแพทย์แผนไทย สำหรับสถาบันการแพทย์แผนไทย มีหน้าที่ในการ พัฒนาองค์ความรู้ นวัตกรรม การแพทย์แผนไทย การแพทย์ทางเลือก และสมุนไพร พร้อมทั้งให้บริการในระบบบริการสุขภาพที่เป็นเลิศ เพียงพอ และครอบคลุม รวมถึงส่งเสริม และสนับสนุนการพัฒนาการแพทย์แผนไทย นวดไทย สมุนไพรไทย การแพทย์ทางเลือก เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างอาชีพ เสริมสร้างเศรษฐกิจชุมชน และคุณภาพชีวิตประชาชน โดยภายในสถาบันฯ ยังมีบุคคลากรทำงานกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน 

และมีประชาชนเข้ามาใช้บริการจำนวนมาก นับว่ามีปัจจัยเสี่ยงในด้านของคุณภาพอากาศและเชื้อโรคที่อาจส่งผลต่อสุขภาพ ​นางเธียรรัตน์ กล่าวต่อว่า การที่มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ได้นำเครื่องฟอกอากาศและฆ่าเชื้อโรค มามอบในครั้งนี้ เพื่อต้องการมอบอากาศ “บริสุทธิ์” บรรเทาปัญหาในด้านคุณภาพอากาศและฆ่าเชื้อโรค ให้กับบุคลากรภายในสถาบันฯ รวมทั้งพี่น้องประชาชนทั่วไปที่เข้ามาใช้บริการ ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ ในด้านการสนับสนุนช่วยเหลือด้านการแพทย์ และสาธารณสุข รวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสาธารณประโยชน์ ต่อชุมชน ทำนุบำรุงศาสนา และช่วยพัฒนาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

'สกลธี' เสียดาย!! กทม.โอนภารกิจลงทุนรถไฟฟ้าใหม่ 3 เส้นคืนให้คมนาคม พร้อมวิเคราะห์ 4 ข้อ 'ถูก-ผิด' ที่อยากให้ กทม.ลองนำไปพิจารณาใหม่

(1 มี.ค.67) นายสกลธี ภัททิยกุล อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

เห็นข่าวที่ผู้บริหาร กทม.จะโอนภารกิจลงทุนรถไฟฟ้าใหม่ 3 เส้นทางประกอบด้วย สายสีเทา ระยะที่ 1 (วัชรพล - ทองหล่อ) สายสีเงิน (บางนา - สุวรรณภูมิ) และสายสีฟ้า (ดินแดง - สาทร) คืนกลับให้กระทรวงคมนาคมแล้วบอกตรงๆ ว่าเสียดายครับ

ทั้ง 3 เส้นทางเป็นโครงการที่อยู่ในภารกิจของ กทม. และได้ทำการศึกษามานาน แต่ยังไม่ได้ลงมือทำเพราะใช้งบประมาณเยอะพอสมควร ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ทางผู้บริหาร กทม. ได้ให้ข่าวกับทางสื่อสารมวลชน ประกอบกับให้เหตุผลว่าการโอนภารกิจกลับคืนกระทรวงคมนาคมจะได้ประสานคิดค่าตั๋วร่วมกับรถไฟฟ้าสายสีอื่นภายใต้กระทรวงคมนาคมง่ายกว่าไม่มีค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน ประโยชน์จะได้เกิดกับประชาชนสูงสุด

อันนี้ผมว่ามีทั้งส่วนถูกและไม่ถูกครับ

1. เรื่องการลงทุนมีส่วนถูกคือถ้าให้ กทม. ลงทุนเพียงฝ่ายเดียวก็คงเกิดยากและกระทบกับงบประมาณในส่วนอื่นที่ต้องดูแลพี่น้องชาวกรุงเทพฯ แต่โครงการใหญ่แบบนี้โดยเฉพาะทั้ง 3 เส้นทางที่มีผู้อยู่อาศัยและศักยภาพในการใช้บริการจำนวนมากย่อมดึงดูดเอกชนให้มาร่วมทุนได้อย่างแน่นอน รวมถึงยังสามารถบริหารจัดการสินทรัพย์โดยรอบสถานีในรูปของการเช่า การโฆษณาหรือการเชื่อมต่อสถานีกับอาคารต่างๆ กลับคืนมาได้ไม่มากก็น้อย 

2. หรือถ้าหาเอกชนร่วมทุนไม่ได้จริงๆ (ซึ่งกรณีนี้ผมว่ามีโอกาส แต่ยากมาก เพราะทั้ง 3 เส้นทางมีศักยภาพในการดึงดูดเอกชนมาลงทุน) ด้วยสายสัมพันธ์ของท่านผู้ว่าฯ กับรัฐบาลน่าจะแบ่งงบประมาณ มาลงทุนในโครงการเหล่านี้ได้ไม่มากก็น้อย

3. เรื่องค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนอันนี้ถูกครับว่าไม่ควรเก็บ แต่การโอนทั้ง 3 เส้นทางไปให้กระทรวงคมนาคม สมมติว่าก่อสร้างเสร็จทั้ง 3 เส้นทาง ส่วนใหญ่ก็ต้องมาเชื่อมกับสายสีเขียว (ของ กทม.) ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของกรุงเทพฯ อยู่ดี ความซ้ำซ้อนก็ยังคงมีอยู่ ทางที่ถูกควรจะนั่งเจรจากันระหว่าง กทม. กับรัฐบาลแก้ปัญหาเรื่องการเก็บค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนและใช้ตั๋วร่วมใบเดียวให้เกิดให้ได้ซักที เหมือน Octopus card ของฮ่องกง ที่ใช้ได้เกือบทุกการคมนาคมขนส่งและร้านสะดวกซื้อ

4. ถึงที่สุดถ้าเลือกโอนไปให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงคมนาคมรับขึ้นมา ก็ใช่ว่าโครงการจะเกิดได้เร็ว เนื่องจากในส่วนของทางกระทรวงคมนาคมก็มีโครงการอีกมากมายของตัวเองที่ต้องผลักดันทั่วประเทศ รวมถึงรถไฟในกรุงเทพฯ อีกหลายเส้นทางที่อยู่ภายใต้กระทรวงคมนาคมก็ยังไม่เกิด ยิ่งโครงการเรือธงของกระทรวงอยากจะทำเรื่อง Land Bridge ซึ่งใช้งบประมาณเป็นล้านๆ บาท ความเร่งด่วนของรถไฟฟ้าทั้ง 3 สายในกรุงเทพฯ น่าจะไม่อยู่ในสายตาของทางกระทรวงแน่นอนครับ

ที่กล่าวมาทั้งหมดก็อยากจะหวังเห็นทีมผู้บริหาร  กทม. ชุดนี้ใช้ความพยายามสูงสุดทุกทางในการที่จะให้โครงการเกิดเสียก่อน ถ้าเดินแล้วมันไม่ได้หรือติดจริงๆ จะยกโอนให้กระทรวงคมนาคมผมว่าคนกรุงเทพฯ ก็คงไม่ติดใจครับ

เอาไว้วันหลังมีโอกาสจะมาแบ่งปันสิ่งดีๆ ที่อยากให้เกิดในกรุงเทพฯ ของเราเพื่อให้เมืองของเราอยู่สบายและมีความสุขเหมือนเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลกครับ

ป.ล. อีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้เกิดมากและเยอะๆ คือขนส่งสาธารณะสายรองหรือ Feeder ที่จะพาคนเข้าขนส่งขนาดใหญ่ได้สะดวกขึ้น เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะมีบ้านหรือคอนโดอยู่ในระยะเดินถึงสถานีรถไฟฟ้าได้ครับ 

กสม. ผนึกกำลังภาคีเครือข่าย กะเทาะ '1 ปี พ.ร.บ. ซ้อมทรมานฯ ข้อท้าทายและความคาดหวัง'

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ห้อง Conference Room สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ร่วมกับ สถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด มูลนิธิผสานวัฒนธรรม สมาคมเพื่อการป้องกันการทรมาน (APT) และสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) จัดการเสวนาเนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปี ของการบังคับใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 โครงการขับเคลื่อนนโยบาย กสม. ประเด็นสิทธิในกระบวนการยุติธรรม หัวข้อ “1 ปี พ.ร.บ. ซ้อมทรมานฯ ข้อท้าทายและความคาดหวัง” 

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างองค์กรภาคประชาสังคมและหน่วยงานของรัฐ ในการขับเคลื่อนการบังคับใช้ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย 

ในการนี้ นางสาวพรประไพ  กาญจนรินทร์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุชาติ เศรษฐมาลินี นางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช และนายวสันต์  ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พร้อมด้วยนายพิทักษ์พล  บุณยมาลิก เลขาธิการ กสม. นายชนินทร์  เกตุปราชญ์ รองเลขาธิการ กสม. ผู้บริหารสำนักงาน กสม. นักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรสิทธิมนุษยชนสำหรับนักบริหารระดับสูง (ปสม.) รุ่นที่ 1-2-3  สถาบันพระปกเกล้า ข้าราชการตำรวจ เข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนความเห็นด้วย 

สำหรับกิจกรรมช่วงเช้า มีการกล่าวเปิดการเสวนาโดย ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และ หม่อมหลวงศุภกิตต์ จรูญโรจน์ เลขาธิการสถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด จากนั้น มีการเสวนาหัวข้อ “1 ปี กับการบังคับใช้ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมาน ฯ ” โดยวิทยากรประกอบด้วย (1) นายสุริยน ประภาสะวัต อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 1 สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด (2) นายรัฐวิช จิตสุจริตวงศ์ ผู้อำนวยการส่วนการสอบสวนคดีอาญา กรมการปกครอง (3) พ.ต.อ.วีร์พล ใหญ่อรุณ รองผู้บังคับการกองคดีอาญา สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (4) นางสาวนรีลักษณ์  แพไชยภูมิ ผู้อำนวยการกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม และ (5) นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินรายการโดย นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

ต่อมามีการเสวนาหัวข้อ “ข้อท้าทายและความคาดหวังต่อผู้บังคับใช้กฎหมาย” โดย (1) นายสมชาย หอมลออ ทนายความและผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิทธิมนุษยชน (2) นางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (3) หม่อมหลวงศุภกิตต์ จรูญโรจน์ เลขาธิการสถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด และ (4) นางสาวนริศราวัลถ์ แก้วนพรัตน์ (ผู้เสียหายจากคดีทรมาน กรณีพลทหารวิเชียร เผือกสม) ดำเนินรายการ โดย นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

ช่วงบ่าย มีการกล่าวสุนทรพจน์ภาคภาษาอังกฤษ โดยเยาวชนผู้ชนะการประกวดโครงการ Safe in Custody และการเสวนาวิชาการหัวข้อ “ก้าวต่อไปกับการป้องกันการทรมาน” ซึ่งเป็นการพูดคุยเกี่ยวกับ (1) สิ่งที่อยากเห็นและความคาดหวังต่อการป้องกันการทรมาน โดย นายอัรฟาน ดอเลาะ รองประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย (2) สะท้อนปัญหาการซ้อมทรมาน : สู่แนวทางการป้องกัน โดย นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ  มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (3) การเข้าเป็นภาคีพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (OPCAT) : ประโยชน์และข้อท้าทาย โดย ผศ.ดร. รณกรณ์ บุญมี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (4) กสม. กับงานด้านการตรวจเยี่ยมและทิศทางในอนาคต โดย นายชนินทร์ เกตุปราชญ์ รองเลขาธิการ กสม. ดำเนินรายการ โดย นายชนินทร์ เกตุปราชญ์ รองเลขาธิการ กสม.

นราธิวาส - แม่ทัพภาคที่ 4 พบปะประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส เนื่องในโอกาสก่อนเข้าเดือนรอมฎอน ฮิจเราะห์ศักราช 1445

ที่คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมด้วย พลโท ปราโมทย์ พรหมอินทร์ แม่ทัพน้อยที่ 4/ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจจังหวัดนราธิวาส และคณะ เข้าพบปะ นายซาฟีอี เจ๊ะเลาะ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส เนื่องในโอกาสก่อนเข้าสู่เดือนรอมฎอน ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1445 พร้อมมอบสิ่งของอุปโภคบริโภค และอินทผาลัมให้กับผู้นำศาสนา เพื่อแจกจ่ายให้กับพี่น้องประชาชน ใช้ในการละศีลอด โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ตลอดจนผู้นำศาสนาในพื้นที่ให้การต้อนรับ

พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 กล่าวว่า ใกล้จะถึงเดือนรอมฎอนอันประเสริฐยิ่ง เดือนแห่งความบริสุทธิ์ของพี่น้องมุสลิม ขอให้พี่น้องปฏิบัติศาสนกิจอย่างเต็มกำลังความสามารถ ปฏิบัติในสิ่งที่ดีที่ถูกต้อง ในส่วนกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน จุดตรวจ จุดสกัดในห้วงเดือนรอมฎอนทุกจุด ก็จะปรับเปลี่ยนมาเป็นจุดบริการ คอยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่ใช้รถใช้ถนนในการประกอบศาสนกิจ และเดินทางกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัว อย่างไรก็ตาม ความห่วงใยเรื่องการจุดพลุ ปะทัด ดอกไม้เพลิง เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย และอันตราย เพราะฉนั้น ขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนร่วมกันรณรงค์ ห้าม ซื้อขาย ปะทัด ดอกไม้เพลิงทุกชนิด หากเจ้าหน้าที่พบเห็นจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทันที และความพิเศษในห้วงเดือนรอมฎอนปีนี้ ยังต่อเนื่องกับช่วงเทศกาลสงกรานต์ประเพณีของพี่น้องชาวไทยพุทธ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ขอส่งมอบความสุข และความสันติสุขแก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในทุกๆเทศกาลและตลอดไป              

นายซาฟีอี เจ๊ะเลาะ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส กล่าวอีกไม่กี่วันเราจะได้เจอกันในเดือนอันประเสิรฐ ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1445 อยากให้ทุกคนร่วมกันทำความดี ละเว้นความชั่ว ขอวิงวอนผู้นำศาสนา ผู้ปกครอง ดูแลบุตรหลานให้ดี ไม่จุดปะทัด ที่ถือเป็นสิ่งผิดกฏหมาย ผิดหลักศาสนา และไม่มีในประเพณีวัฒนธรรมของศาสนาอิสลาม ที่มุ่งให้พี่น้องชาวไทยมุสลิมได้ปฏิบัติศาสนกิจอย่างสงบสุข และ 10 วันสุดท้ายของเดือนรอมฎอน อยากให้เยาวชนในพื้นที่มาร่วมกันปฏิบัติศาสนกิจ เพื่อผลบุญทวีคูณ และขอให้ปีนี้เป็นเดือนรอมฎอนอันประเสริฐ สู่สันติสุขที่แท้จริงให้กับทุกคน

‘หนุ่มอังกฤษ’ ใจงาม!! ออกวิ่งจาก ‘อ.แม่สาย’ สู่ ‘อ.เบตง’ ระดมเงิน 1.4 แสนบาท ช่วยเหลือเด็กกำพร้า-ยากไร้ในไทย

‘Chris Russell’ หนุ่มชาวอังกฤษออกวิ่งจากอำเภอแม่สายมาถึงอำเภอเบตงภายในระยะเวลา 50 วัน เพื่อระดมเงินให้เด็กกำพร้าและโรงเรียนยากไร้ในไทย ซึ่งขณะนี้วิ่งถึงที่หมายแล้ว พร้อมยอดบริจาคล่าสุดประมาณ 140,000 บาท

เมื่อวานนี้ (29 ก.พ. 67) Mr.Chris Russell นักวิ่งชาวอังกฤษที่ได้ออกวิ่งจาก อ.แม่สาย จ.เชียงราย มาถึง อ.เบตง จ.ยะลา ภายในระยะเวลา 50 วัน ใช้ชื่อว่า Run Thailand 2,100 KM. เพื่อหาเงินบริจาคให้เด็กกำพร้าและโรงเรียนยากไร้ในประเทศไทย ซึ่งล่าสุดได้รับบริจาคกว่า 3,962 ปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 140,000 กว่าบาท โดย Chris Russell นักวิ่งชาวอังกฤษได้วิ่งเข้าเขตอำเภอเบตง จังหวัดยะลาแล้ว

Mr.Chris Russell นักวิ่งชาวอังกฤษ บอกว่า ตลอดเส้นทางที่วิ่งผ่านมามีประชาชนคอยให้กำลังใจมาตลอดทาง และในแต่ละวันเมื่อถึงเวลาค่ำถึงที่ไหนจะพักที่นั่นเลย ล่าสุดก่อนถึงอำเภอเบตง ได้เข้าพักที่เชิงเขารีสอร์ตอัยเยอร์เวง โดยเจ้าของรีสอร์ตให้นอนพักได้โดยไม่คิดเงิน ทำให้ซาบซึ้งในน้ำใจของคนไทยจริงๆ

ซึ่งตนได้เริ่มวิ่งตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค.67 โดยตนได้บอกกับเพื่อนชาวอังกฤษว่าตนเดินทางมาวิ่งตามความยาวของประเทศไทย โดยได้เริ่มที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งเป็นจุดเหนือสุดของประเทศไทยซึ่งติดกับประเทศพม่า และไปสิ้นสุดที่ อ.เบตง จ.ยะลา ซึ่งเป็นทางใต้สุดของประเทศไทย รวมระยะทางกว่า 2,100 กม. และมีแผนจะเสร็จสิ้นภายใน 50 วัน และเมื่อถึงอำเภอเบตงแล้วจะเดินทางต่อไปประเทศมาเลเซีย เพื่อท่องเที่ยวและอาจจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ จากสนามบินในประเทศมาเลเซีย

Chris Russell นักวิ่งชาวอังกฤษบอกทิ้งท้ายอีกว่า Run Thailand คือการระดมทุนจากมวลชนเพื่อเป็นการระดมเงินจำนวนหนึ่งเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ในประเทศไทย เงินที่ได้จากการระดมทุนทั้งหมดจะมอบให้โรงเรียนและสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในประเทศไทย ซึ่งการรับบริจาคเงินเพื่อหาเงินบริจาคให้เด็กกำพร้าและโรงเรียนยากไร้ในประเทศไทย ตนได้ลงในเว็บไซต์ของตัวเองที่ชื่อว่า https://www.justgiving.com/crowdfunding/runacrossthailand โดยได้รับบริจาคจากเพื่อน ๆ ในอังกฤษและคนไทยตามเส้นทางที่วิ่งผ่าน นอกจากได้ระดมทุนเพื่อให้เด็กกำพร้าและโรงเรียนยากไร้ ยังได้ชมวิวสวย ๆ ข้างทางอีกด้วย

‘อัยการสูงสุด’ สั่งฟ้อง ‘อนันต์ อัศวโภคิน’ ฐานสมคบฟอกเงิน ‘คดีสหกรณ์ยูเนี่ยนคลองจั่น’

เมื่อวานนี้ (29 ก.พ. 67) นายประยุทธ เพชรคุณ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ตามที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ส่งสำนวนคดีอาญา ส.1 เลขรับที่ 57/2562 คดีระหว่าง สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ผู้กล่าวหา นายอนันต์ อัศวโภคิน ผู้ต้องหา ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุได้มีการสมคบกัน (คดีสหกรณ์ยูเนี่ยนคลองจั่น) พร้อมความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา เพื่อให้อัยการสูงสุดพิจารณาชี้ขาดตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 34

คดีนี้ อัยการสูงสุด ได้พิจารณาแล้วมีคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้องนายอนันต์ อัศวโภคิน ผู้ต้องหา ในฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุได้มีการสมคบกัน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5, 9, 60 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 มาตรา 10 ตามความเห็นแย้งของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ

นายประยุทธ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ขณะนี้สำนวนคดีนี้อยู่ในความรับผิดชอบดำเนินคดีของสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 โดยพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบดำเนินคดีได้นัดหมายนายอนันต์ อัศวโภคิน ผู้ต้องหา มาพบพนักงานอัยการที่สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารถนนรัชดาภิเษกเพื่อส่งฟ้องศาลในวันที่ 2 เม.ย.2567 เวลา 09.30 น.

'วิทิตนันท์ โรจนพานิช' คนไทยคนแรกผู้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ ปลื้ม!! 'ศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ' เชิดชูเกียรติในฐานะผู้มีคุณูปการ-นิสิตเก่าดีเด่น

(1 มี.ค.67) นายวิทิตนันท์ โรจนพานิช คนไทยคนแรกที่พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ ยอดเขาที่สูงที่สุดใน 7 ทวีป และเป็นคนที่ 179 ของโลก เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 พร้อมทั้งเป็นนิสิตเก่าดีเด่น ภาควิชาทัศนศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ขอบคุณทางคณะฯ ที่ได้จัดงาน 'พิธียกย่องเชิดชูเกียรติผู้มีคุณูปการและนิสิตเก่าดีเด่น' โดยระบุว่า...

กราบขอบพระคุณท่านคณาจารย์ผู้ก่อตั้งสถาปนา อาจารย์ผู้พร่ำสอนสรรพวิทยา เจ้าหน้าที่ทุกๆ ท่านที่ร่วมกันเดินทางมาจนถึงปีที่ ๔๐ ของคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันนี้กระผมได้รับเกียรติอันสูง จึงขอกราบแสดงความคารวะและกราบขอบพระคุณทุกท่านด้วยหัวใจครับ กระผมคงเป็นศิลปกรรมหนึ่งเดียว (ในตอนนี้) ที่เรียนจบภาควิชาทัศนศิลป์ เอกปีนเขา ซึ่งไม่มีใครรู้ว่า มันเป็นศิลปะ ! สิ่งนี้คืองาน Happening Art ที่โหดที่สุดในชีวิตครับ ดีใจมากกว่าการได้รับการเชิดชูคือ ได้ทำประโยชน์และทำตามความฝัน และสิ่งที่ได้เพิ่มเติมคือชื่อ ที่คนศิลปกรรมเค้าเรียกกระผมว่า 'หนึ่งบ้า'

มุกดาหาร -รมช.พาณิชย์ เปิด Business Forum มุกดาหาร เพิ่มช่องทางการตลาดให้ผู้ประกอบการค้าชายแดน

เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 09.30 น.นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในพิธีเปิดงานงานสัมมนาธุรกิจ Business Forum ด้านการค้าการลงทุนกลุ่มจังหวัดสนุก ตามโครงการพัฒนาศักยภาพและเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการค้าชายแดน ของกลุ่มจังหวัดสนุกตามแผนพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567ที่โรงแรมมุกดาหารแกรนด์ โฮเทล อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร โดย มีนายวรญาณ บุญราช ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหารเป็นผู้กล่าวรายงาน

นายวรญาณ กล่าวว่า กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 มีประชากรรวม 2,220,390 คน มีชายแดนติดกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีแม่น้ำโขงเป็นเส้นกั้นพรมแดนยาว 246 กิโลเมตร มีสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 ที่จังหวัดมุกดาหาร และสะพาน มิตรภาพแห่งที่ 3 ที่จังหวัดนครพนม มูลค่าการค้าระหว่างประเทศของ 2 จังหวัด ปี 2566 

รวมทั้งสิ้น 447,797.79  ล้านบาท ในส่วนของจังหวัด มุกดาหารมีมูลค่าการค้า 325,415 ล้านบาท โดยทั้งสองจังหวัดตั้งอยู่บนจุดกึ่งกลางตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก -ตะวันตก ทำให้เป็นจุดเชื่อมโยงการค้า และวัฒนธรรมที่สำคัญกับประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง อีกทั้งจังหวัดมุกดาหารและจังหวัดนครพนมยังได้ประกาศเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมีความพร้อมที่จะรองรับการพัฒนาบริเวณชายแดน เพื่อสร้างฐานการผลิตเชื่อมโยงกับอาเซียนและพัฒนาเมืองชายแดนที่มีศักยภาพกลุ่ม มีสินค้าหลากหลาย อาทิ สินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์ชุมชน สินค้ามีอัตลักษณ์ สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) เช่น ผ้าหมักโคลนหนองสูง โคขุนโพนยางคำ ข้าวฮางหอมทองสกลทวาปี หมากเม่าและน้ำหมากเม่าสกลนคร ผ้าครามธรรมชาติสกลนคร ลิ้นจี่นครพนม สับปะรดท่าอุเทน เป็นต้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top