Friday, 9 May 2025
NEWS FEED

อังกฤษประกาศใช้ 'แผนบี' รับมือโอมิครอน หลังพบระบาดเร็วมาก ติดเชื้อเพิ่มเท่าตัวทุก 2-3 วัน

บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ออกข้อกำหนดเมื่อวันพุธ (8 ธ.ค.) ให้ประชาชนทำงานจากที่บ้าน สวมหน้ากากในที่สาธารณะและใช้บัตรผ่านวัคซีนเพื่อชะลอการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตัวกลายพันธุ์โอมิครอน หลังพบข้อมูลการแพร่เชื้อรวดเร็วมาก ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเท่าตัวในทุก 2 ถึง 3 วัน และตัวเลขที่แท้จริงอาจเฉียด ๆ 10,000 คนแล้ว

จอห์นสันระบุว่า โอมิครอนกำลังระบาดอย่างรวดเร็วและเขาไม่มีทางเลือกยกเว้นแต่เคลื่อนเข้าสู่ "แผนบี" พร้อมกับเริ่มดำเนินโครงการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ทั้งนี้ แม้ยังคงห่างไกลจากมาตรการล็อกดาวน์เต็มรูปแบบที่เคยกำหนดในช่วงต้น ๆ ของโรคระบาดใหญ่ แต่มาตรการใหม่นี้ถูกโวยวายว่าเป็นค้อนทุบธุรกิจร้านอาหาร คาเฟ่และห้างร้านทั้งหลาย ที่คาดหวังว่าการค้าขายในช่วงคริสต์มาสจะช่วยกอบกู้สถานะทางการเงินของพวกเขา

ส.ส. หลายคนในพรรคการเมืองของจอห์นสันเองก็แสดงความไม่พอใจต่อข้อจำกัดรอบใหม่เช่นกัน ด้วยหวั่นเกรงต่อผลกระทบของมาตรการดังกล่าว หลังจากเศรษฐกิจของประเทศหดตัวถึง 10% เมื่อปีที่แล้ว รุนแรงสุดเป็นประวัติการณ์

"ขณะที่ภาพรวมอาจดีขึ้น ซึ่งผมก็หวังด้วยความจริงใจว่ามันจะเป็นเช่นนั้น แต่เรารู้ว่าการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อแบบก้าวกระโดด อาจทำให้จำนวนผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นจำนวนมาก และน่าเศร้า ด้วยเหตุนั้น จำนวนผู้เสียชีวิตก็อาจเพิ่มขึ้นเช่นกัน" จอห์นสันกล่าวระหว่างแถลงข่าว

นายกรัฐมนตรีจอห์นสัน ซึ่งยกเลิกข้อจำกัดโควิด-19 เกือบทั้งหมดในอังกฤษในเดือนกรกฎาคม ตามหลังโครงการฉีดวัคซีนที่มีความคืบหน้าอย่างรวดเร็ว เคยประกาศเดินทางเข้าสู่ฤดูหนาวโดยปราศจากทางเลือกของการล็อกดาวน์รอบที่ 4 แต่สำรองไว้ซึ่งมาตรการที่เรียกว่า "แผนบี"

บางส่วนของมาตรการเหล่านั้น เช่น การกลับมาบังคับสวมหน้ากากบนระบบขนส่งสาธารณะและตามห้างร้านต่าง ๆ ได้ถูกบังคับใช้ไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่ในวันพุธ (8 ธ.ค.) จอห์นสันระบุเพิ่มเติมว่า เวลานี้ประชาชนควรทำงานจากที่บ้าน

มาตรการสวมหน้ากากจะถูกบังคับใช้ในสถานที่สาธารณะ อย่างเช่น โรงภาพยนตร์และโรงละคร และจะมีการบังคับแสดงบัตรผ่านโควิด-19 สำหรับเข้าไปในไนต์คลับและสถานที่ต่าง ๆ ที่มีผู้คนจำนวนมาก

จอห์นสันกล่าวว่า มาตรการนี้มีความจำเป็น หลังพบเคสผู้ติดเชื้อตัวกลายพันธุ์โอมิครอนแล้ว 568 รายในประเทศ ซึ่งข้อมูลบ่งชี้ว่ามันใช้เวลา 2 ถึง 3 วันในการแพร่กระจายเชื้อเพิ่มขึ้นเท่าตัว

‘ภาพตัดต่อ’ อย่าแชร์!!

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2564 ทางสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES ได้มีการโพสต์ข่าวที่อ้างอิงจาก สำนักข่าวอิศรา (https://www.isranews.org/article/south-news/academic-arena/104493-panitanusa.html) ถึงกรณีที่ไทยถูกเมินและไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมเวทีการประชุมสุดยอดด้านประชาธิปไตยของสหรัฐฯ ผ่านมุมมอง ‘รศ.ดร. ปณิธาน วัฒนายากร’ อาจารย์พิเศษประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ลิงก์ข่าวของ THE STATES TIMES : 
>> https://www.facebook.com/111420904033712/posts/466098158565983/
>> https://thestatestimes.com/post/2021112627

>> ปัญหา คือ ตอนนี้ในโลก Social ได้มีบุคคล (ยังไม่ทราบตัวตนแน่ชัด) ได้นำภาพต้นสำเนาจากทางสำนักข่าว THE STATES TIMES ที่ประกอบเนื้อหาข้างต้นไป ‘ตัดต่อ’ และ ‘บิดเบือน’ ใหม่ ในบรรทัดที่ 2 และบรรทัดที่ 3 ดังนี้...

>> ความเดิม ได้แก่...
...เวทีประชาธิปไตย แค่เกมการเมืองสหรัฐฯ 
...ฟากความมั่นคงชี้!! ไทยหลุดโผ สะท้อนไม่ใช่ลิ่วล้อมะกัน

>> กลายเป็น…
...คนแดนไกล อยู่เบื้องหลัง
...อเมริกา ที่ไม่ให้เชิญไทย

จากการตัดต่อดังกล่าว ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเป็นวงกว้าง สร้างความเสียหายต่อทางสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘รศ.ดร. ปณิธาน วัฒนายากร’ อาจารย์พิเศษประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นอย่างมาก 

อีกทั้งล่าสุดข้อความบิดเบือนในภาพดังกล่าว ได้สร้างความเข้าใจผิดให้อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งพอได้เห็นภาพข่าวบิดเบือนนั้น ก็ได้เกิดเป็นข้อพิพาทใหม่ต่อ ‘รศ.ดร. ปณิธาน’ ทั้งที่ท่านมิได้กล่าวถ้อยความบิดเบือน ๆ ใด ๆ หรือพาดพิงถึงอดีตนายฯ แม้แต่น้อย หากแต่เป็นการถูกตัดต่อจากบุคคลที่ประสงค์ร้าย ซึ่งต้องหาทางสืบค้นตัวตนต้นตอต่อไป

'ทูตนริศโรจน์' เผยเวียดนามจัดการ 'มิสแกรนด์ฯ' ปมชู 3 นิ้ว หวั่นกระทบสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

9 ธ.ค. 64 - นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์เฟซบุ๊กว่า ได้รับทราบจาก น้อง ๆ ที่ทำงานที่เวียดนามส่งข่าวด่วนมาว่า ทาง กระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม ได้ออกแถลงการณ์ในกรณีนางงามเวียดนามมาชู 3 นิ้วในไทยแล้ว

โดยทางการเวียดนามเห็นแก่ความสัมพันธ์ไทย-เวียดนามเป็นสำคัญ จึงได้ทำการสั่งสื่อเวียดนามมิให้นำเสนอภาพและข่าวนางงามเวียดนามชู 3 นิ้วในไทยโดยเด็ดขาด

รวมทั้งกระทรวงวัฒนธรรมได้สั่งการให้นางงามเวียดนามคนที่ชู 3 นิ้ว หยุดแสดงพฤติกรรม หรือคำพูดที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสัมพันธ์ที่ดีงามระหว่างไทยและเวียดนามด้วยเช่นกัน

ต้องขอขอบคุณรัฐบาลเวียดนามอย่างมากมา ณ ที่นี้ครับ ที่ได้แสดงออกและตอบสนองอย่างรวดเร็ว โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประชาชนไทยและเวียดนามเป็นสำคัญ

ชาวนา - ชาวสวนยางได้เฮ!! "จุรินทร์" คิกออฟจ่ายเงินประกันรายได้ "ข้าว-ยาง" พร้อมกันทั่วประเทศวันนี้!!

วันที่ 9 ธันวาคม 2564 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการยางแห่งประเทศไทย นางกุลฤดี พัฒนะอิ่ม รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ผู้บริหารกรมข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย และผู้แทนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)แถลงข่าว จ่ายเงินประกันรายได้ ข้าว-ยาง ปี 3 ที่ห้องบุรฉัตรไชยากร ตึกสำนักงานปลัด กระทรวงพาณิชย์

นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้เป็นวันที่สำคัญสำหรับเกษตรกร โดยเฉพาะเกษตรกรผู้ปลูกข้าวกับผู้ปลูกยางพารา เนื่องจากมีนโยบายสำคัญคือนโยบายประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมันและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยดำเนินการมาแล้ว 2 ปี ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ 3

สำหรับประกันรายได้ข้าวกับยางนั้น รัฐบาลได้ค้างจ่ายเงินส่วนต่างที่จะต้องจ่ายให้กับเกษตรกร เพื่อชดเชยกับราคาตลาดที่ไม่ถึงรายได้ที่ประกัน สำหรับข้าวค้างจ่าย 5 งวด และยางค้างจ่าย 2 งวด แต่หลังจากท่านนายกรัฐมนตรีขยายเพดานตามพระราชบัญญัติวินัยการคลัง เมื่อวันที่ 24 พ.ย.2564  มีผลให้เพดานเพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 35% สามารถนำเงินที่มีอยู่มาจ่ายเงินส่วนต่างให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวกับยางพาราได้

สำหรับข้าว ปีที่ 3 เงินที่เกษตรกรจะได้รับ มี 3 ก้อน

>> ก้อนที่หนึ่ง เงินส่วนต่าง โดยงวดที่ 1-2 กับงวดที่ 3 บางส่วน ได้จ่ายให้กับเกษตรกรไปแล้ววงเงินประมาณ 13,000 ล้านบาท ส่วนงวดที่ 3 ที่เหลือ จะมาจ่ายให้ครบโดยเริ่มจ่ายวันนี้ (9 ธ.ค. 2564) โดยจ่ายงวดที่ค้างอยู่ 5 งวดพร้อมกัน คือ งวดที่ 3 บางส่วนและงวด 4-7 รวมเป็นเงิน 64,847 ล้านบาท

ส่วนงวดที่ 8 จะจ่ายวันที่ 14 ธ.ค.เป็นเงิน 3,720 ล้านบาท  และงวดที่ 9-33 จะทยอยจ่ายทุก 7 วันจนครบ โดยงวดสุดท้าย วันที่ 27 พ.ค. 2565   

เกษตรกรครัวเรือนที่ได้รับเงินส่วนต่างสูงสุดสำหรับผู้ปลูกข้าวหอมมะลิ สูงสุด 58,988 บาท  ข้าวหอมนอกพื้นที่สูงสุด 60,086 บาท ข้าวหอมปทุม สูงสุด 36,358 บาท ข้าวเปลือกจ้าว สูงสุด 67,603 บาท ข้าวเหนียว 71,465 บาท สามารถช่วยชาวนาได้ประมาณ 4.7 ล้านครัวเรือน

>> เงินก้อนที่สอง คือเงินในมาตรการคู่ขนานซึ่งเป็นเงินช่วยเหลือเฉพาะผู้ที่เข้าร่วมโครงการ เช่น เก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางเป็นเวลา 5 เดือนเพื่อไม่ให้ข้าวออกสู่ตลาดมากจนเกินไป ช่วยตันละ 1,500 บาท หรือสหกรณ์เก็บไว้จะช่วยตันละ 1,500 บาท และช่วยเหลือดอกเบี้ย ถ้าสหกรณ์เก็บข้าว 12 เดือน ช่วยดอกเบี้ย 3% ถ้าโรงสี เก็บข้าว 6 เดือน จะช่วยดอกเบี้ย 3% เพื่อไม่ให้ข้าวออกสู่ตลาดมากเกินไปและไปกดราคาข้าวในตลาด

>> ก้อนที่สาม คือ ช่วยค่าบริหารจัดการหรือปรับปรุงคุณภาพข้าว ไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ต่อครัวเรือน สูงสุดไม่เกิน 20,000 บาท โดยจ่ายวันที่ 13 ธ.ค. 2564 เป็นต้นไป เป็นเงิน 53,871 ล้านบาท ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว 4.7 ล้านครัวเรือน

ส่วนชาวนาที่น้ำท่วมเสียหายจะได้เงินอีกก้อนหนึ่ง คือ เงินชดเชยความเสียหายจากอุทกภัยหรือภัยธรรมชาติ

โดยชาวนาที่ปลูกข้าวแล้วน้ำท่วม จะยังได้รับเงินส่วนต่างจากโครงการประกันรายได้ผู้ปลูกข้าว เพราะขอให้ปลูกจริง ไปขึ้นทะเบียนแม้พืชผลจะเสียหายเพราะภัยธรรมชาติจะยังได้รับเงินช่วยเหลือส่วนต่างเช่นกัน

สำหรับยางพาราจะเริ่มจ่ายงวดที่ 1-2 ในวันนี้ ( 9 ธ.ค. 2564) เช่นเดียวกัน โดยงวดที่ 1 วงเงินประมาณ 900 ล้านบาท งวดที่ 2 วงเงิน 540 ล้านบาท รวม 1,440 ล้านบาทโดยประมาณ และจะจ่ายงวดที่ 3-6 ทุกเดือนจนถึงเดือน เม.ย. 2565 โดยงวดที่ 3 จะเริ่มจ่ายวันที่ 7 ม.ค. 2565 วงเงิน 8,626 ล้านบาท  สำหรับยางพารามีเงินเตรียมไว้  10,065 ล้านบาท

โดยวงเงินสูงสุดที่ได้รับเฉพาะงวดที่ 1-2 ยางแผ่นดิบสูงสุด 3,835 บาทต่อครัวเรือนน้ำยางข้น 2,975 บาท และยางก้อนถ้วยจะไม่ได้รับเงินส่วนต่าง ที่ผ่านมายางราคาดีกว่าช่วงก่อน สำหรับน้ำยางข้น ประกันรายได้ที่กิโลกรัมละ 57 บาท ตอนนี้ราคาไปกิโลกรัมละ 60 บาทแล้ว ยางก้อนถ้วย ประกันที่กิโลกรัมละ 23 บาท ตอนนี้ 25-26 บาทแล้วภาคอีสานมากกว่าภาคใต้ 1 บาทเพราะอยู่ใกล้แหล่งการส่งออก ซึ่งยางก้อนถ้วยราคาสูงกว่ารายได้ที่ประกันมาเป็นปีแล้ว

 

สวิตเซอร์แลนด์ อนุมัติใช้ ‘Sarco’ แคปซูลฆ่าตัวตาย ช่วยจากไปอย่างไม่ทรมาน

สวิตเซอร์แลนด์ อนุมัติใช้ “แคปซูลฆ่าตัวตาย” สำหรับผู้ทำการุณยฆาตที่ต้องการจากไปอย่างไม่ทรมาน คาดเริ่มใช้ต้นปีหน้า 

เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2564 ยูเอสเอทูเดย์ รายงานว่า องค์กรแห่งหนึ่งในออสเตรเลีย ได้สร้างแคปซูลฆ่าตัวตายแบบพิมพ์ 3 มิติ ซึ่งช่วยให้ผู้ทำการุณยฆาตสามารถจากไปอย่างไม่เจ็บปวด ซึ่งอาจพร้อมใช้ในสวิตเซอร์แลนด์เร็ว ๆ นี้

แคปซูลนี้สร้างขึ้นโดยองค์กรไม่แสวงผลกำไรชื่อ “เอ็กซิท อินเตอร์เนชั่นแนล” (Exit International) โดยใช้ชื่อว่า Sarco ซึ่งให้บริการช่วยเหลือการฆ่าตัวตาย ในขณะที่การช่วยฆ่าตัวตายในสวิตเซอร์แลนด์ในปัจจุบัน ดำเนินการโดยการใช้สาร “โซเดียมเพนโทบาร์บิทอล” แต่ทางองค์กรฯ กำลังวางแผนที่จะเสนอทางเลือกอื่น

“ฟิลิป นิตช์เค่” ผู้ก่อตั้งเอ็กซิท อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า แคปซูลจะเต็มไปด้วยไนโตรเจน ก่อนที่จะค่อย ๆ ลดระดับออกซิเจนลงเหลือ 1% กล่าวว่ากระบวนการนี้ใช้เวลาน้อยกว่า 30 วินาที และบุคคลนั้นจะรู้สึกมึนงง ก่อนหมดสติ

“ผู้ที่จะทำการุณยฆาตจะเข้าไปด้านใน แล้วนอนลง มันสบายมาก พวกเขาอาจจะถูกถามคำถามบางอย่าง เมื่อตอบครบแล้ว พวกเขาอาจจะต้องกดปุ่มภายในแคปซูลเพื่อเปิดกลไกด้วยตนเอง” นิตช์เค่เผย
 

'สอดอฯ' ซัด!! กลุ่ม 3 นิ้ว ชอบใช้ 'สลิ่ม' แบ่งแยกผู้คน ชี้!! เป็นคำพูดสุดล้าหลัง ในวันที่ประเทศต้องการเดินหน้า

เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น “สอดอ Style” ยูทูบเบอร์ดัง ประกาศชัดรัก “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” ย้อน 3 นิ้ว เจ็บ คนไม่รัก 3 สถาบันนี้ ยิ่งกว่าสลิ่ม!

โดยระบุว่า จากกรณีที่มีประเด็นดรามา หลังสาวเส้นด้าย พิมพ์ลดา แววไธสง หรือที่รู้จักกันในนาม สอดอ Style อินฟลูเอนเซอร์ดังของเพจ สอดอ Style โดยเจ้าตัวได้มีโอกาสเดินทางไปร่วมงาน Expo 2020 Dubai ที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ที่ผ่านมา แล้วไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊ก ในชุดไทยจิตรลดา สีเหลือง เข้าร่วมเดินขบวนร่วมกับตัวแทนจากประเทศไทย

แต่ที่เป็นประเด็นขึ้นมาระหว่างที่ไลฟ์ คือ ได้มีชาวเน็ตกลุ่ม 3 นิ้ว เข้ามาคอมเมนต์ต่อว่า บอกว่า เจ้าตัวเป็นสลิ่ม ทำให้สาวเส้นด้ายโต้เดือด ถามกลางไลฟ์ว่า “นี่จะมาสลิ่มอะไรคะ หยุดสลิ่มนะคะ มึงรักชาติหรือเปล่า มึงรักบ้านเกิดเมืองนอนไหม กูเนี่ยเสียสละงาน มาเพื่อประกาศให้ทุกคนรู้เลยว่าประเทศไทยเนี่ยโคตรเจ๋ง”

‘สาธารณสุข’ ผนึกพลังองค์กรระดับโลก ร่วมส่งเสริม ‘การเกิดมีชีพ’ อย่างยั่งยืน

ไม่นานมานี้ กระทรวงสาธารณสุข, กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) และ บริษัท ริกคิทท์ ประเทศไทยและอินโดจีน (Reckitt) ได้ร่วมมือกันจัด ‘การประชุมเชิงปฏิบัติการการนำเสนอสรุปผลการดำเนินงานของโครงการการพัฒนาและส่งเสริม การเกิดอย่างมีคุณภาพและถ้วนหน้า (Safe Birth for All) ผ่านสื่อออนไลน์’

โดยมี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยตัวแทนจาก Reckitt Thailand & Indochina และ Dr. Asa Torkelsson, Representative for UNFPA Malaysia and Country Director for UNFPA Thailand กล่าวเปิดการประชุม และ นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวรายงานการประชุม

เริ่มต้นที่ ดร.สาธิต ได้กล่าวว่า การตายของมารดาเป็นเครื่องชี้วัดด้านสุขภาพที่สำคัญของโลก ทุกประเทศทั่วโลกมีข้อตกลงร่วมกันในการกำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ของโลกในอีก 15 ปีข้างหน้า โดยตั้งหวังที่จะลดอัตราการตายของมารดาทั่วโลกให้ต่ำกว่า 70 ต่อ ‘การเกิดมีชีพ’ แสนคน ภายในปี 2573

(หมายเหตุ : การเกิดมีชีพ คือ เด็กที่คลอดออก มาแล้วมีลมหายใจ ชีพจรเต้น มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ)

สำหรับประเทศไทย โดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้มีการดำเนินงานเพื่อลดอัตราส่วนการตายของมารดาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขยังคงเฝ้าระวังและส่งเสริมการเกิดคุณภาพ โดยเฉพาะทั้งคนไทยและไม่ใช่คนไทยในพื้นที่ห่างไกล ได้เข้าถึงบริการอนามัยแม่และเด็ก เป็นการป้องกันการตายที่ป้องกันได้ของพื้นที่ที่มีความเสี่ยงการตายสูง ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับมาตรฐานการพัฒนาและส่งเสริมการเกิดอย่างมีคุณภาพและถ้วนหน้า (Safe Birth for All)

“ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข และกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ได้ร่วมมือดำเนินงานโครงการการพัฒนาและส่งเสริมการเกิดอย่างมีคุณภาพและถ้วนหน้า (Safe Birth for All) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาระบบรายงานและการให้บริการอนามัยแม่และเด็ก และวัยรุ่นวัยเจริญพันธุ์อย่างมีคุณภาพ ตลอดจนบูรณาการการมีส่วนร่วมของบุคลากรสาธารณสุข บุคลากรวิชาชีพอื่น ๆ ในชุมชนท้องถิ่น ในพื้นที่ชายขอบและห่างไกล ลดปัญหาการตายของมารดาและทารกระยะเวลา 15 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 - ธันวาคม 2564 เพื่อปรับปรุงระบบการให้บริการอนามัยแม่และเด็กและประสานความร่วมมือ ภาคีเครือข่ายในการดำเนินงาน โดยการสนับสนุนงบประมาณจาก บริษัท ริกคิทท์ ประเทศไทยและ อินโดจีน (Reckitt)” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว

ด้านนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า “โครงการการพัฒนาและส่งเสริมการเกิดอย่างมีคุณภาพและถ้วนหน้า” (Safe Birth for All) กรมอนามัย ได้ดำเนินการในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และตาก ภายใต้การดำเนินงานของศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ ศูนย์อนามัยที่ 2 พิษณุโลก และศูนย์อนามัยกลุ่มชาติพันธุ์ชายขอบ และแรงงานข้ามชาติ (ศอช.) ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ตามตะเข็บชายแดนไทย-พม่า ที่อนามัยมารดาและทารกเข้าไม่ถึงบริการ 

โดยพื้นที่ดังกล่าวมีกลุ่มหญิงวัยเจริญพันธุ์ที่เป็นคนไทยและชาติพันธุ์ ประมาณ 210,000 คน และเป็นหญิงตั้งครรภ์ประมาณ 30,700 คน ซึ่งต้องอาศัยผดุงครรภ์โบราณ กลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการลดการตายมารดาและทารกในพื้นที่ชายขอบและห่างไกล ช่วยให้หญิงมีครรภ์ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องเหมาะสม เนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์และชายขอบเป็นประชากรราวร้อยละ 60 ของประชากรในพื้นที่ และข้อจำกัดด้านการเดินทางของประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ทำให้ยังมีการคลอดที่บ้านโดยผดุงครรภ์โบราณ 

ทั้งนี้ กรมอนามัยให้การสนับสนุนอุปกรณ์การทำคลอดจำนวน 1,500 ชุด ชุดตรวจ ATK มีการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมผดุงครรภ์โบราณ จำนวน 1 หลักสูตร จัดประชุมระบบการแจ้งการเกิด การตาย แก่เครือข่ายครู ตชด. ครู กศน. พร้อมทั้งพัฒนาระบบเฝ้าระวังการตายทารกปริกำเนิด โดยปี 2565 จะมีการขยายผลให้ครอบคลุมสถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่งทั่วประเทศ และมีการวางแผนจะขยายผลให้ครอบคลุมในสถานพยาบาลของรัฐนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข สถานพยาบาลเอกชน และการตายนอกสถานพยาบาลต่อไป

‘ดร.อนันต์’ เผย ข้อมูลใหม่ ‘โอไมครอน’ พบหลบภูมิคุ้มกันจาก ‘ไฟเซอร์’ ได้ 41 เท่า

เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Anan Jongkaewwattana ระบุว่า 

ผลการทดสอบไวรัสโอไมครอนตัวจริงกับซีรัมของผู้ที่รับวัคซีน Pfizer ครบ 2 เข็มทดสอบโดยทีมวิจัยจากแอฟริกาใต้ออกมาแล้วครับ เป็นไปตามคาด โอไมครอนหนีภูมิจาก PZ ได้ 41.4 เท่า หรือมากกว่า 10 เท่าเมื่อเทียบกับสายพันธุ์หนีภูมิเก่งอย่างเบตาที่รู้จักกัน (ภูมิโดยเฉลี่ยจาก 1300+ ลดลงเหลือ 32…) ทีมวิจัยพบว่า เมื่อเปรียบเทียบระหว่างผู้ที่ได้รับวัคซีนอย่างเดียว กับผู้เคยติดเชื้อและได้รับวัคซีนด้วย ภูมิแบบ hybrid immunity แบบหลังจะสูงกว่าชัดเจน และมีมากเพียงพอที่จะยับยั้งการติดเชื้อโอมิครอนได้แม้จะตกมากเช่นเดียวกัน (เส้นสีเขียว)

‘มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง’ ห่วงใยผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์และบ้านพักผู้สูงอายุ จัดโครงการเสริมสร้างความปลอดภัย ใส่ใจผู้สูงอายุ (นำร่อง) มอบวอคเกอร์และไม้เท้ารวม 10 แห่ง

ระหว่างวันที่ 3 และ 7 ธันวาคม 64 ที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ ห่วงใยผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์และบ้านพักผู้สูงอายุ นำทีมแผนกสังคมสงเคราะห์ นำโดย นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ ผู้ช่วยหัวหน้าแผนกสังคมสงเคราะห์ ลงพื้นที่มอบวอคเกอร์และไม้เท้า ให้กับผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ และบ้านพักผู้สูงอายุ ในโครงการ “ป่อเต็กตึ๊ง เสริมสร้างความปลอดภัย ใส่ใจผู้สูงอายุ (นำร่อง) รวม 10 แห่ง  ประกอบด้วย

ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางละมุง จ.ชลบุรี / สถานสงเคราะห์คนพิการและทุพพลภาพพระประแดง จ.สมุทรปราการ / สถานสงเคราะห์เฉลิมราชกุมารี (หลวงพ่อลำใยอุปถัมภ์) จ.กาญจนบุรี / สถานสงเคราะห์คนชรานครปฐม จ.นครปฐม / สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งนนทบุรี จ.นนทบุรี / สถานสงเคราะห์คนชราปทุมธานี / สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งชายธัญบุรี จ.ปทุมธานี / สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหญิงธัญบุรี จ.ปทุมธานี / สถานสงเคราะห์คนชราบ้านเขาบ่อแก้ว จ.นครสวรรค์ และ ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ จ.พระนครศรีอยุธยา

รวมวอคเกอร์จำนวน 335 อัน และไม้เท้า 4 ขา จำนวน 195 อัน คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 281,300 บาท (สองแสนแปดหมื่นหนึ่งพันสามร้อยบาทถ้วน) โดยมี นางศิริพร โอภาสวงศ์ อาสาสมัครกิตติมศักดิ์ ร่วมในพิธี พร้อมด้วย  ผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ แต่ละแห่งเป็นผู้รับมอบ

 

เปิดประวัติและผลงานสำคัญ 'แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต' ผู้ก่อตั้งเสถียรธรรมสถาน

เป็นอีกหนึ่งความเศร้าเสียใจของคนไทย หลังจากเพจเฟซบุ๊ก ‘เสถียรธรรมสถาน Sathira Dhammasathan’ ได้ออกหนังสือแถลงการณ์เกี่ยวกับอาการป่วยของ ‘แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต’ ว่าแพทย์ตรวจพบเชื้อลุกลามของโรคมะเร็งที่กระเพาะอาหารระยะสุดท้าย หลังจากที่ก่อนหน้านี้เข้ารับการรักษาจนสามารถควบคุมอาการของโรคได้แล้ว กระทั่งล่าสุดเพจเฟซบุ๊กดังกล่าวได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่สอง แจ้งข่าวการถึงแก่กรรมของแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ในช่วงค่ำของวันที่ 7 ธ.ค. 64 สิริอายุ 68 ปี 1 เดือน 7 วัน

แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต นามเดิม ‘ศันสนีย์ ปัญญศิริ’ (ตุ๊กตา) เกิดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2496 เป็นบุตรีของ นายเฉลียว จรัสศรี นายอำเภอ อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ นางจำลอง พรหมินทะโรจน์ ครูประจำโรงเรียนบางปะหัน (เชื่อมประชานุกูล) มีพี่สาว 1 คน ชื่อ สายสัมพันธ์ ปัญญศิริ หรือ ตุ๋มติ๋ม

>> เกียรติประวัติ
ในปี 2530 ได้ก่อตั้ง ‘เสถียรธรรมสถาน’ ขึ้นเพื่อเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างศานติ โดยมีพระธรรมนำทางในทุกช่วงวัย ตั้งแต่เกิดจนตายเพื่อสร้างสังคมให้อยู่เย็นเป็นสุข ทั้งยังสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งงานเชิงรุกและเชิงรับ อาทิ โครงการจิตประภัสสรตั้งแต่นอนอยู่ในครรภ์, โรงเรียนพ่อแม่, อารยตาราภาวนาวิชชาลัย, สาวิกาสิกขาลัย, โครงการเยาวชน บ่มเพาะ แตกหน่อ ต่อยอด เมล็ดพันธุ์แห่งปัญญา, รางวัล International Tara Awards รางวัลสำหรับคนปลุกสังคมด้วย "หัวใจโพธิสัตว์", ISV Club (International Spiritual Volunteer Club), CSV Club (Community Spiritual Volunteer Club), ธรรมชาติบำบัด และการเยียวยาผู้ป่วยระยะสุดท้าย

ต่อมาในปีพ.ศ. 2551 ได้ก่อตั้ง สาวิกาสิกขาลัย มหาวิชชาลัยธรรมะเพื่อเยียวยาสังคมเพื่อส่งเสริมคนให้เป็นอริยชน รู้จักการใช้ปัญญาในการดำเนินชีวิต นำหลักพุทธธรรมไปช่วยเยียวยาผู้อื่นและสังคมโดยจัดกระบวนการศึกษาเรียนรู้เพื่อการบรรลุธรรมในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท

ในปีพ.ศ. 2560 ได้ก่อตั้ง ธรรมาศรม (Mindfulness Hospital) ที่มีนวัตกรรมแห่งการฉุดช่วยให้คนทุกช่วงวัยใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย สามารถบริหารเวลาได้อย่างมีคุณค่า ใช้เวลาร่วมกันอย่างประเสริฐสุดในขณะที่มีกันและกัน นอกจากนี้ยังได้จัดตั้ง กองทุนเสถียรธรรม โดยมี เสถียร เสถียรสุต เป็นประธาน และ แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต เป็นผู้อำนวยการ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแผ่ธรรมะแก่เพื่อนมนุษย์ทุกคนในรูปแบบต่าง ๆ เป็นต้น

แม่ชีศันสนีย์ มีบทบาททั้งในระดับชาติและระดับโลกมากมาย อาทิ เป็นคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.), ที่ปรึกษาคณะกรรมการกองทุน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), คณะที่ปรึกษาฝ่ายการวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม, คณะกรรมการอำนวยการ คณะกรรมการบริหาร และศูนย์อำนวยการบริหาร ‘ยุทธศาสตร์เมืองไทยแข็งแรง’ ตามยุทธศาสตร์แห่งชาติ ‘รวมพลังสร้างสุขภาพ’ กระทรวงสาธารณสุข

เป็นประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ภายใต้คณะกรรมการอำนวยการจัดงาน 100 ปีพุทธทาสภิกขุ กระทรวงศึกษาธิการ, ที่ปรึกษากรรมการอำนวยการโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ กระทรวงศึกษาธิการ, คณะกรรมการกำกับทิศทาง ‘แผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ’ มูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง ขับเคลื่อนด้วยองค์ความรู้เพื่อให้สุขภาพผู้หญิงได้รับความคุ้มครอง (สคส.)

คณะทำงาน คณะกรรมการการดำเนินงานโครงการวิสาขบูชา พุทธศักราช 2550 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, คณะอนุกรรมการอุปถัมภ์ คณะกรรมการการจัดงานวันวิสาขบูชา วันสำคัญของโลกมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สำนักนายกรัฐมนตรี

รองประธานกรรมการคณะกรรมการอำนวยการสนับสนุนความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อสร้างสังคมคุณธรรม สำนักนายกรัฐมนตรี

อนุกรรมการการพัฒนาและบูรณาการโครงการและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ภายใต้คณะกรรมการฝ่ายโครงการและกิจกรรม ในคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ

ประธานอนุกรรมการการพิจารณาคัคเลือก 100 ตัวแทนทำดีเพื่อพ่อ ในคณะกรรมการการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550, คกก.การจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, กรรมการกิตติมศักดิ์ มูลนิธิ ซาย มูฟเม้นท์

รองประธานอุปถัมภ์โครงการหุ้มทองคำยอดฉัตรพระมหาเจดีย์ พุทธคยา และคณะกรรมการอำนวยการความร่วมมือสร้างคนดีให้มีคุณธรรมโดยธรรมะ เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ภาคีเครือข่ายความร่วมมือสร้างคนดีให้มีคุณธรรมฯ วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2559 เป็นต้น

บทบาทระดับโลก อาทิ การเป็นประธานร่วมขององค์กร THE GLOBAL PEACE INITIATIVE OF WOMEN (GPIW ), UNDP นอกจากนี้ยังเป็นประธานการจัดการประชุมนานาชาติศากยธิดาเพื่อพุทธสาวิกา ครั้งที่ 12 (12th International Sakyadhita Conference on Buddhist Women) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-18 มิถุนายน 2554
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top