Tuesday, 14 May 2024
ECONBIZ

‘ชาดา’ สนับสนุนเปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 เชื่อ!! จะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่แท้จริง

(12 ต.ค.66) ที่กรมโยธาธิการและผังเมือง นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย กล่าวถึงการควบคุมอาวุธปืนเถื่อนว่า หากพบการครอบครองอาวุธปืนเถื่อนต้องจับกุมอยู่แล้ว โดยอาจจะออกกฎเพิ่มเติมหลังจากนี้ ตนยังไม่สามารถตอบรายละเอียดเรื่องนี้ได้ เพราะอยู่ระหว่างการดูระเบียบตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน พ.ศ. 2490 ยอมรับว่าเป็นกฎหมายที่เก่ามาก ควรมีการปรับปรุงแก้ไข แต่ต้องไปว่ากันในระบบของรัฐสภา ทางกระทรวงมหาดไทยจะดำเนินการให้กฎหมายมีความครอบคลุมและทันสมัยมากยิ่งขึ้น

นายชาดา กล่าวว่า การควบคุมอาวุธปืนในครั้งนี้จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้ในระดับหนึ่ง เพราะจะมีมาตรการคุมเข้มยิ่งขึ้น เช่น การซื้อขายกระสุนปืนจะต้องมีใบ ป.3 ด้วย และมีข้อกำหนดว่าจะสามารถถือครองได้กี่นัด อย่างไรก็ตาม อาจจะต้องมีการแก้กฎหมายร่วมด้วย

เมื่อถามถึงความคืบหน้าในการปราบปรามผู้มีอิทธิพล นายชาดา กล่าวว่า อยู่ระหว่างการรวบรวมรายชื่อ คาดว่าต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะจะรวบรวมรายชื่อจากหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และต้องพิจารณาถึงพฤติกรรมร่วมด้วย ขอให้ประชาชนใจเย็นๆ ตอนนี้กำลังดำเนินการอยู่ คาดว่าจะสามารถส่งรายชื่อได้สิ้นเดือน ต.ค.นี้ 

เมื่อสอบถามว่ามีความกังวลจังหวัดใดเป็นพิเศษหรือไม่ นายชาดา กล่าวว่า จ.นครปฐมเพราะมีการยิงกันบ่อย แต่ก็มีอีกหลายจังหวัด

เมื่อถามว่าเป็นอย่างไรบ้างที่นายชาดาได้ให้เบอร์ส่วนตัว เพื่อให้ประชาชนติดต่อแจ้งเรื่องได้ นายชาดา กล่าวว่า วันนึงโทรมาเป็น 100 สาย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องความเดือดร้อนจากพฤติกรรมของบุคคลในพื้นที่ มีทั้งเรื่องสำคัญและไม่สำคัญ เรื่องใดที่สามารถดำเนินการได้เลยก็จะดำเนินการให้ ซึ่งทางอธิบดีกรมการปกครอง (ปค.) ก็จะส่งเรื่องให้กับผู้ว่าฯ และตำรวจดำเนินการจับกุมต่อไป เช่น บ่อนการพนัน สามารถดำเนินการจับกุมได้ทันที เพราะเป็นความผิดเฉพาะหน้า ไม่ต้องรอรวบรวมรายชื่อ

เมื่อถามถึงกรณีที่จะมีการอนุญาตเปิดสถานบันเทิงถึงเวลา 04.00 น. นายชาดา กล่าวว่า ตนเห็นด้วย และควรทำมานานแล้ว โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยว ซึ่งการเปิดสถานบันเทิงถึงเวลา 04.00 น. ไม่ใช่เรื่องอาชญากรรมแต่เป็นเรื่องของการท่องเที่ยว หลายๆ ประเทศก็เปิดกัน มองว่าเป็นคนละเรื่องกับความมั่นคง แต่เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว ส่วนมาตรการความปลอดภัยหลังจากนี้นั้น เชื่อว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมดูแลตลอดเวลาอยู่แล้ว

‘กระทรวงพลังงาน-ปตท.’ จัดงานนิทรรศการ ‘ธ ทรงเป็นแรงบันดาลใจ’ มอบรางวัลศิลปกรรม ปตท. ครั้งที่ 38 เนื่องในวัน ‘วันนวมินทรมหาราช’

(12 ต.ค. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการ ‘ธ ทรงเป็นแรงบันดาลใจ’ เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและเทิดพระเกียรติวันนวมินทรมหาราชและงานมอบรางวัลศิลปกรรม ปตท. ครั้งที่ 38 พร้อมด้วย นางสาวอรพินทร์ เพชรทัต ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และคณะผู้บริหาร ปตท. ณ PTT Art Gallery @ หอศิลป์ ณ บ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ กรุงเทพฯ

นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค กล่าวว่า ปี 2566 นี้ นับเป็นปีแรกที่มีการประกาศให้ทุกวันที่ 13 ตุลาคมของทุกปีเป็น ‘วันนวมินทรมหาราช’ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยเฉพาะเรื่องราวของ ‘พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย’ ซึ่งกระทรวงพลังงาน ได้น้อมนำแนวพระราชดำริสู่การพัฒนาพลังงานมาจนถึงปัจจุบัน จึงเชื่อมั่นว่า ผู้ที่ได้เข้าชมผลงานในนิทรรศการ ‘ธ ทรงเป็นแรงบันดาลใจ’ จะได้ร่วมน้อมรำลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 และได้รับแรงบันดาลใจผ่านผลงานศิลปะทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือกผลงานชิ้นเอกของศิลปินแห่งชาติมาร่วมจัดแสดง ผลงานจากเยาวชนจากโครงการรณรงค์เพื่อสร้างจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนผ่านงานศิลปะ หัวข้อ ‘Energy For All’ กระทรวงพลังงาน และผลงานจากโครงการศิลปกรรม ปตท. ที่ผ่านมา 

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ เปิดเผยว่า ในปี 2529 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้รับการถวายพระราชสมัญญาว่า ‘อัครศิลปิน’ ซึ่งเป็นปีแรกที่ ปตท. จัดประกวดศิลปกรรม จึงได้กำหนดหัวข้อ ‘ในหลวงของเรา’ และได้กำหนดหัวข้อที่เกี่ยวกับรัชกาลที่ 9 อย่างต่อเนื่อง อาทิ 84 พรรษา มหาราชาภูมิพล ของขวัญแด่พระราชา พลังงานกับชีวิตไทย เป็นต้น  

นอกจากนำผลงานรางวัลมาจัดแสดงนิทรรศการ ‘ธ ทรงเป็นแรงบันดาลใจ’ แล้ว วันนี้ยังเป็นการมอบรางวัลให้กับศิลปินผู้ชนะการประกวดศิลปกรรม ปตท. ประจำปี 2566 ตั้งแต่ระดับเยาวชนจนถึงรุ่นประชาชนทั่วไป มีผลงานที่ได้รับรางวัลรวม 24 ผลงาน จากผลงานที่ส่งเข้าประกวดทั้งสิ้น 831 ผลงาน ซึ่งในปีนี้จัดประกวดภายใต้หัวข้อ ‘จุดประกายความหวัง จุดพลังชีวิต’ เป็นการต่อยอดจากโอกาสพิเศษที่ ปตท. ก้าวเข้าสู่ปีที่ 45 โดยขอเชิญชวนประชาชนร่วมเข้าชมนิทรรศการระหว่างวันที่ 11 - 31 ตุลาคม 2566 โดยจะมีการจัดกิจกรรมพิเศษทุกสัปดาห์ อาทิ workshop วาดภาพสีน้ำรัชกาลที่ 9 การเพ้นท์ถุงผ้าใส่ยาเพื่อนำไปมอบให้กับผู้ป่วยเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล และยังมีการแสดงดนตรีบทเพลงพระราชนิพนธ์ อีกทั้งทุกท่านสามารถร่วมบอกเล่าแรงบันดาลใจเรื่องราวรัชกาลที่ 9 บนโซเชียลมีเดียเพื่อรับโปสการ์ดศิลปะ Limited Edition จากศิลปินไทยชื่อดัง

ทั้งนี้ การประกวดศิลปกรรม ปตท. เป็นโครงการที่ ปตท. ร่วมกับมหาวิทยาลัยศิลปากร จัดมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2529 กว่า 38 ปีของโครงการศิลปกรรม ปตท. มีศิลปินร่วมส่งผลงานเข้าประกวดกว่า 27,000 คน ผลงานเข้าประกวดกว่า 35,000 ชิ้น และมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดไปแล้วกว่า 900 รางวัล ซึ่งนอกจากการจุดประกายสังคมผ่านงานศิลปะแล้ว สถานที่ ‘หอศิลป์ ณ บ้านเจ้าพระยา’ ยังเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่ ปตท. ได้เข้าพัฒนาให้เป็นสถานที่ดำเนินงานเพื่อสังคมมาตั้งแต่ปี 2561 โดยจัดให้เป็น PTT Art Gallery พื้นที่จัดแสดงงานศิลปะสำหรับทุกคน ทั้งงานจากโครงการศิลปกรรม ปตท. ผลงานศิลปินที่มีชื่อเสียง ผลงานจากศิลปินรุ่นใหม่ นักเรียน นักศึกษา และจัดกิจกรรมเวิร์กชอปด้านศิลปะ รวมถึงยังเปิดดำเนินการ Café Amazon for chance ร้านกาแฟที่เปิดโอกาสให้ผู้บกพร่องทางการได้ยินมีส่วนร่วมในการบริการ เป็นการจุดประกายและจุดความหวังของสังคมได้อีกทางหนึ่ง

‘ไทย-ตุรกี’ หารือฟื้น FTA ลดช่องว่างการค้า เล็งเชิญผู้นำไทยเยือนตุรกีในรอบ 20 ปี

(12 ต.ค. 66) นางนลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย เปิดเผยหลังการหารือกับนางแซรัป แอร์ซอย เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐตุรกีประจำประเทศไทย ว่า ไทยและตุรกีเห็นพ้องกันที่จะผลักดันความตกลงการค้าเสรีหรือ FTA ระหว่างกันให้ก้าวหน้า เนื่องจากที่ผ่านมามีการเจรจากันถึง 7 รอบ แต่ต้องหยุดชะงักลงเมื่อปี 2564 จากเหตุปัจจัยภายในประเทศของตุรกี โดยไทยพร้อมและยินดีจะกลับเข้าสู่การเจรจาทันทีเมื่อตุรกีเสร็จสิ้นกระบวนการทบทวนนโยบาย ซึ่งเอกอัครราชทูตตุรกียืนยันว่าแนวทางการพิจารณาของตุรกี น่าจะเป็นรูปเป็นร่างได้ในช่วงต้นปี 2567 

ทั้งนี้ หากการจัดทำ FTA ร่วมกันสำเร็จ ทั้ง 2 ประเทศก็จะได้ประโยชน์โดยเฉพาะการลดช่องว่างดุลการค้าและด้านอื่น ๆ เช่น การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรม โดยในปีนี้ไทยและตุรกีมีความสัมพันธ์ครบรอบ 65 ปีอีกด้วย

นางนลินี กล่าวว่า ตุรกีเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อสูง มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 19 ของโลก ไทยสามารถใช้ตุรกีเป็นสะพานเชื่อมต่อทางการค้าไปสู่ยุโรปตะวันออก กลุ่มประเทศบอลข่าน และแอฟริกาตอนเหนือได้ และสินค้าไทยที่จะได้รับประโยชน์จาก FTA เช่น ยานพาหนะ ตู้เย็น พลาสติกชนิดโพลิสไตลีน ผ้าทอ เมล็ดพืช อาหารฮาลาล ผลไม้ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น 

ส่วนทางตุรกีนั้น สามารถใช้ไทยเป็นประตูการค้าไปสู่เอเชียตะวันออก อาเซียน และประเทศอื่นที่มีความตกลงการค้าเสรีกับอาเซียน โดยเฉพาะประเทศสมาชิก RCEP รวมทั้งการลงทุนใน EEC ขณะเดียวกันตุรกียังสนใจใช้ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปยังกลุ่มประเทศอาเซียน โดยตุรกีมีความเข้มแข็งด้านอุตสาหกรรมก่อสร้าง ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากจีน

นางนลินี กล่าวอีกว่า สำหรับบริษัทไทยที่เข้าไปลงทุนในตุรกี เช่น CPF Indorama และ Dusit Thani ส่วนบริษัทตุรกีที่ลงทุนในไทย เช่น KOC Holding HIDROMEX Sabanci Holding เป็นต้น และทั้ง 2 ประเทศยังมีเที่ยวบินตรงระหว่างกันทั้ง Turkish Airlines และสายการบินไทยจำนวนหลายเที่ยวบินต่อสัปดาห์ โดยตุรกีเห็นว่าทั้ง 2 ประเทศยังร่วมกันพัฒนาด้านอื่นได้อีก ได้แก่ เศรษฐกิจสีเขียว ธุรกิจเพื่อความยั่งยืน อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และการจัดตั้งโรงเรียนในประเทศไทย และอยากให้ไทยพิจารณาผ่อนปรนเงื่อนไขการนำเข้าผลไม้จากตุรกีด้วย

"ท่านทูตตุรกีย้ำว่าไทยไม่ได้มีการเยือนตุรกีในระดับผู้นำเป็นเวลามากกว่า 20 ปีแล้ว จึงอยากเชิญนายกฯ และผู้แทนการค้าไทยไปเยือนตุรกี และยังแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งที่ราชวงศ์ไทย รัฐบาล ภาคเอกชน NGO และประชาชนชาวไทย ให้ความช่วยเหลือตุรกีในเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อเดือน ก.พ.66 ที่ผ่านมาด้วย" นางนลินี กล่าว

‘ปตท.’ ผนึกกำลังวิสาหกิจชุมชน จ.แพร่ เดินหน้าปลูกป่าล้านที่ 2 ตั้งเป้า 8,000 ไร่ ในปี 66

เมื่อไม่นานมานี้ นายวรพงษ์ นาคฉัตรีย์ ผู้อำนวยการสถาบันปลูกป่าและระบบนิเวศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาพื้นที่ปลูก และบำรุงรักษา ปี 2566 ในพื้นที่แปลงปลูกป่า อำเภอสอง จังหวัดแพร่ จำนวน 8,000 ไร่ ระหว่าง ปตท. กับ วิสาหกิจชุมชนคนก้นต้อรักษ์ป่าแม่สอง ตำบลเตาปูน จำนวน 5,000 ไร่ และ วิสาหกิจชุมชนอนุรักษ์ส่งเสริมการปลูกป่า ตำบลห้วยหม้าย จำนวน 3,000 ไร่

โดยมี นายวิชัน ใจเขม็ง ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนคนก้นต้อรักษ์ป่าแม่สอง ต.เตาปูน อ.สอง จ.แพร่ นายชัยณรงค์ สุปินะ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนอนุรักษ์ส่งเสริมการปลูกป่า ต.ห้วยหม้าย อ.สอง จ.แพร่ และนางเยาวลักษณ์ ชูโชติ ผู้จัดการฝ่ายปลูกป่าและบำรุงรักษาระบบนิเวศอย่างยั่งยืน ปตท. ร่วมลงนาม โดยมีนายศุภชัย บุญทิพย์ นายอำเภอสอง และนายสงคราม ขาวสะอาด ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 สาขาแพร่ กรมป่าไม้ และนายณัฐพล ทองไหล นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเตาปูน ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีดังกล่าว 

ทั้งนี้ วิสาหกิจชุมชนทั้ง 2 กลุ่ม จะดำเนินการปลูก ในปี พ.ศ. 2566 และจะร่วมกันบำรุงรักษาป่าอย่างต่อเนื่อง ในปี 2567 - 2575 รวมระยะเวลา 10 ปี

'ไทย' ไปต่อ!! เตรียมส่งดาวเทียมแนคแซท 2 สู่อวกาศต้นปี 67 มุ่งภารกิจเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันอุตสาหกรรมอวกาศ

เมื่อวานนี้ (11 ต.ค. 66) ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) จัดงานแถลงข่าวพิธีส่งดาวเทียมแนคแซท 2 (KNACKSAT-2) ซึ่งเป็นโครงการดาวเทียมคิวบ์แซท (CubeSat) ขนาด 3U (30 x 10 x 10 ซม.) พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ มีรูปแบบเป็น Ride Sharing Platform หรือการแชร์พื้นที่ใช้สอยบนดาวเทียมร่วมกัน

โดยดาวเทียม KNACKSAT-2 มีพื้นที่ในการบรรจุเพย์โหลด (Mission Payload) หรืออุปกรณ์เพื่อปฏิบัติภารกิจถึง 7 ระบบ มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ที่ต้องการใช้ประโยชน์จากห้วงอวกาศให้สามารถเข้าถึงอวกาศได้ง่ายขึ้น โดยใช้ทรัพยากรที่มีจำกัดร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

โครงการนี้ได้รับการจัดสรรทุนจาก หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และมีบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด เป็นผู้ร่วมทุนในการวิจัยและพัฒนาระบบ IoT เป็นหนึ่งความสำเร็จจากความร่วมมือของหลายภาคส่วน ซึ่งนอกจากใช้ประโยชน์ในภาคการศึกษาพัฒนาบุคลากรและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศแล้ว KNACKSAT-2 ยังสามารถขยายไปสู่เชิงพาณิชย์ สร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับธุรกิจในการก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมอวกาศ

โดย มจพ. มีกำหนดนำดาวเทียม KNACKSAT-2 ออกจากประเทศไทยในเดือนตุลาคม 2566 เพื่อเตรียมความพร้อมในการนำส่งเข้าสู่วงโคจรจากสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ช่วงต้นปี 2567 โดยความร่วมมือระหว่าง มจพ. บริษัท NBSPACE มหาวิทยาลัย Kyushu Institute of Technology (KYUTECH) และ องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (JAXA)

‘ศูนย์วิจัยกสิกรไทย’ เผย ปีนี้คนกรุงกินเจเพิ่ม 3.5% รับเทรนด์สุขภาพ หนุนเงินสะพัด 3 พันล้าน สวนกระแสต้นทุนวัตถุดิบพุ่ง เหตุน้ำมันแพง

(11 ต.ค. 66) ‘ศูนย์วิจัยกสิกรไทย’ มองว่า เทศกาลกินเจปี 66 จะเริ่มขึ้นวันที่ 15-23 ต.ค. 66 รวมเป็นเวลา 9 วัน ในปีนี้ราคาอาหารเจน่าจะยังคงปรับสูงขึ้น เนื่องจากต้นทุนการผลิตอาหารเจหลายรายการมีแนวโน้มจะขยับขึ้นจากช่วงเทศกาลกินเจปีก่อน ได้แก่ ผักบางชนิด (อาทิ คะน้า ฟักทอง เต้าหู้) และข้าว จากสภาพอากาศแปรปรวน ฝนตกหนักและน้ำท่วมในบางพื้นที่ ซึ่งกระทบกับปริมาณผลผลิต นอกจากนี้ กลุ่มโปรตีนเกษตรก็น่าจะปรับขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มในช่วงกินเจ

ขณะที่ราคาพลังงานที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่ล่าสุดเดือน ก.ย. 66 ภาพรวมเงินเฟ้อหมวดอาหารที่บริโภคในบ้านที่เติบโต 1.5%YoY และหมวดอาหารที่บริโภคนอกบ้านที่เติบโต 1.1%YoY สะท้อนให้เห็นว่า ทิศทางราคาอาหารเจทั้งที่บริโภคในบ้านและร้านอาหาร ก็น่าจะปรับเพิ่มขึ้นเช่นกันเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ช่วงเทศกาลกินเจ ขณะที่จำนวนคนกินเจในปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้น จากความนิยมอาหารเพื่อสุขภาพและการกลับมาใช้ชีวิตปกติ

อย่างไรก็ดี ด้วยทิศทางราคาอาหารเจที่มีอาจปรับสูงขึ้น ประกอบกับความกังวลต่อค่าครองชีพที่สูง และกำลังซื้อที่ฟื้นตัวไม่เต็มที่ แม้ว่าภาครัฐจะออกมาตรการลดภาระค่าครองชีพบางส่วน อาทิ มหกรรมลดราคา แต่ผู้บริโภคยังกังวลกับภาระค่าใช้จ่ายอื่นๆ รวมถึงรายได้ในอนาคต

ทั้งนี้ สะท้อนจากผลการสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่ระบุว่า คนกรุงเทพฯ ที่วางแผนจะกินเจ พยายามปรับพฤติกรรมการใช้จ่าย เพื่อควบคุมงบประมาณการใช้จ่ายตลอดเทศกาล โดยการลดวันกินเจลง รวมถึงเลือกใช้บริการช่องทางการจำหน่ายที่ราคาไม่สูง อาทิ ร้านอาหารตักขายข้างทางและนั่งทานในร้าน

ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงคาดว่า เม็ดเงินค่าใช้จ่ายของคนกรุงเทพฯ ช่วงเทศกาลกินเจปี 66 น่าจะอยู่ที่ 3,100 ล้านบาท หรือขยายตัว 3.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเป็นผลมาจากระดับราคาอาหารเจที่อาจปรับขึ้นราว 2.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ปริมาณการบริโภคอาหารเจโดยรวมน่าจะเติบโตเล็กน้อยหรือราว 1.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน

อย่างไรก็ดี เมื่อมองไปข้างหน้า คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ยังคงไม่สนใจบริโภคอาหารเจ ถือเป็นความท้าทายต่อทิศทางการเติบโตของธุรกิจอาหารเจ ดังนั้น โจทย์สำคัญคงอยู่ที่แนวทางในการกระตุ้นยอดขายและฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้นแม้อยู่นอกเทศกาลกินเจ โดยเฉพาะการชูจุดขายความคุ้มค่าด้านราคาเมื่อเทียบกับอาหารทั่วไป รวมถึงพัฒนาความพิเศษให้กับเมนูอาหาร เพื่อสร้างประสบการณ์การบริโภคที่ดี และนำไปสู่การกลับมาซื้อซ้ำ อาทิ ใช้วัตถุดิบพรีเมียมที่มีคุณค่าทางอาหารสูง (โปรตีนทางเลือก ซุปเปอร์ฟู้ด) พัฒนาเมนูแปลกใหม่ที่แตกต่างกว่าอาหารเจเดิมๆ ที่มีจำหน่ายในตลาด รวมถึงการจัดโปรโมชันหรือส่วนลดให้กับอาหารเจ ทั้งในและนอกเทศกาลกินเจ

‘AIS’ ใจป้ำ!! จับมือ ‘ททท.’ กระตุ้นท่องเที่ยวไทยช่วงไฮซีซัน แจกฟรี 1 ล้านซิมให้นทท. ตั้งแต่ 17 ต.ค.66 จนถึง 31 มี.ค.67

(11 ต.ค.66) รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ฉัททันต์ กุญชร ณ อยุธยา ระบุ ปี 2566 ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วกว่า 20.3 ล้านคน การฟื้นตัวที่สำคัญมาจากนักท่องเที่ยวตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ จำนวนถึง 14.7 ล้านคน เช่น จีน มาเลเซีย อินเดีย 

ททท. จึงเพิ่มแรงส่งอย่างต่อเนื่องด้วยการอำนวยความสะดวกด้านระบบสื่อสารและบริการดิจิทัลที่จะสนับสนุนพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ให้สะดวกสบายผ่านโลกออนไลน์ได้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งถือเป็นกลยุทธ์ที่ดีในการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยรับไฮซีซันส่งท้ายปลายปี 2566

หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS ปรัธนา ลีลพนัง ระบุ จากพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน นิยมใช้บริการทุกด้านผ่านทาง Digital Channel ทั้งการทำธุรกรรมทางการเงิน, การจองที่พัก, ช้อปปิ้ง รวมไปถึงการใช้บริการของภาครัฐเอง นอกจากนี้ ยังมีกลุ่ม Digital Nomad ที่นิยมเดินทางท่องเที่ยว พร้อมกับ Work From Anywhere จากทุกมุมโลก 

โดยร่วมกับ ททท. เปิดตัวแคมเปญ Welcome Back to Thailand ผ่าน Amazing Thailand SIM ที่มีแพ็กเกจการใช้งานและสิทธิพิเศษที่ครอบคลุมทุก Lifestyle ให้กับนักท่องเที่ยว

รวมถึงทำงานร่วมกับภาครัฐเพื่อเตือนภัยผ่านทางเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้กับนักท่องเที่ยวสร้างความมั่นใจว่า สามารถเที่ยวเมืองไทยได้อย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นมาตรการเบื้องต้นที่ภาคเอกชนพร้อมจะสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ให้เป็น Key Driver หลักในการพลิกฟื้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้

สำหรับแคมเปญ ‘TAT x AIS 5G: Welcome Back to Thailand’ จะมอบแพ็กเกจซิมโทรศัพท์มือถือ จำนวน 1 ล้านซิม พร้อมสิทธิพิเศษจากพันธมิตรในรูปแบบ e-voucher ให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2566 - 31 มีนาคม 2567 โดยแจกจ่ายผ่านสำนักงาน ททท. ภูมิภาคเอเชีย และแปซิฟิกใต้ ให้เป็นเครื่องมือทำการตลาดร่วมกับบริษัทนำเที่ยว OTA สายการบิน สมาคมต่าง ๆ ในต่างประเทศ ตั้งแต่ก่อนนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์การเดินทางที่น่าประทับใจมากยิ่งขึ้น

'วีระศักดิ์' ร่วมเสวนา Russian Ecological Forum ครั้งที่ 3 บรรยายหลัก กม.ขยายความรับผิดชอบของผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์

เมื่อวันที่ 10 ต.ค.66 นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของวุฒิสภาไทย ได้รับเชิญให้ขึ้นอภิปรายที่กรุง มอสโก ประเทศรัสเซีย ในหัวข้อ 'หลักกฎหมายขยายความรับผิดชอบของผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์' (Extended Producers Responsibility EPR) 

การเสวนา Russian Ecological Forum ครั้งที่ 3 นี้ จัดโดยรัฐสภาและรัฐบาลรัสเซีย ในโอกาสที่ประธานาธิบดีปูตินนำหลักกฎหมายพิทักษ์สิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ออกมาใช้บังคับ เพื่อกำหนดภาระเพิ่มแก่ผู้ผลิต หรือผู้นำเข้าสินค้า ที่จะต้องลดปริมาณการใช้พลาสติกตั้งแต่ขั้นออกแบบ การใช้พลาสติกในการทำหีบห่อบรรจุภัณฑ์ การรับคืนภาชนะเมื่อผู้บริโภคใช้หมดแล้ว การนำกลับมาใช้ใหม่ หรือนำกลับมาทำลาย ซึ่งเป็นหนึ่งในความพยายามของรัฐบาลรัสเซียที่ประสงค์จะลดปริมาณขยะและปิดเลิกหลุมฝังกลบที่เคยมีอยู่ ให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้

โดยบุคลากรระดับสูงที่ร่วมบนเวทีเสวนาครั้งนี้ ประกอบด้วยนางวิคตอเรีย อัมรามเชงโก รองนายกรัฐมนตรี รองประธานสภาดูมาร์ (สภาผู้แทนราษฎรรัสเซีย) รองประธานวุฒิสภารัสเซีย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมรัสเซีย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมเบลารุส รองประธานธนาคารกลางรัสเซีย ที่ปรึกษาประธานาธิบดีรัสเซีย ประธานบริษัทวิสาหกิจขนาดใหญ่ ด้านการจัดการขยะผู้อำนวยการด้านสิ่งแวดล้อมของรัสเซีย และนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของไทย

‘ไทยเบฟ’ เปิดเกมรุก ชิงส่วนแบ่งตลาดน้ำดำ รีแบรนด์ ‘เอส’ รอบ 11 ปี งัดไม้เด็ดมาร์เก็ตติ้งเจาะฐานเจน Z ดันแบรนด์สู่ ‘เอเชียนโคล่าแห่งภูมิภาค’

(11 ต.ค. 66) สมรภูมิตลาดน้ำอัดลม 62,000 ล้าน เดือด!!  ‘เอส’ เปิดเกมเฉือนส่วนแบ่งเจ้าตลาด ‘โค้ก-เป๊ปซี่’ หวังขยับมาร์เก็ตแชร์เพิ่มทุกปีจากปัจจุบัน 9.1% รั้งเบอร์ 3 รีแบรนด์รอบทศวรรษ ทุ่ม 200 ล้าน งัดมิวสิคมาร์เก็ตติ้งขยายเจน-Z พร้อมแจกน้ำอัดลม 1 ล้านกระป๋อง มุ่ง เอเชียนโคล่าแห่งภูมิภาค

ตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมไทยมูลค่ารวมกว่า 62,000 ล้านบาท ถูกครองตลาดโดย 2 โกลบอลแบรนด์ ‘โค้ก’ และ ‘เป๊ปซี่’ ซึ่งทั้งสองค่ายมีส่วนแบ่งการตลาดน้ำอัดลมในไทยรวมกันเกินกว่า 80% นำโดย โค้ก ครองส่วนแบ่งการตลาด 54% ตามมาด้วย เป๊ปซี่ 30% นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์ ‘บิ๊กโคล่า’ จากอเมริกาใต้ และ ‘อาร์ซี’ แบรนด์โคล่าสัญชาติอเมริกา

แม้ตลาดน้ำอัดลมไทยจะมีโกลบอลแบรนด์เป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก แต่แบรนด์สัญชาติไทย 'เอส' ภายใต้อาณาจักรยักษ์ใหญ่เครื่องดื่มกลุ่มไทยเบฟ แจ้งเกิดตั้งแต่ปี 2554 ถือเป็นแบรนด์น้องใหม่ แต่เก๋าเกม ด้วยผู้ก่อตั้งแบรนด์อย่าง บริษัท เสริมสุข มีความเชี่ยวชาญและเป็นผู้วางรากฐานในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมของไทย มานานกว่า 6 ทศวรรษ

โดยปัจจุบัน ‘ไทยดริ้งค์’ ในเครือไทยเบฟเป็นผู้ทำตลาด ‘เอส’ อยู่ในสถานะเบอร์ 3 ของตลาดด้วยส่วนแบ่งฯ 9.1% แน่นอนว่า ความแข็งแกร่งของธุรกิจไทยเบฟที่มีเครือข่ายและมีช่องทางจำหน่ายครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมแผนเชิงรุกมุ่งเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ล่าสุดกับการปรับโฉมแบรนด์จะเป็นแรงหนุนทำให้ ‘เอส’ เติบโต พร้อมขยายส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น

นางสาวสุภรณ์ เด่นไพศาล ผู้อำนวยการสำนักการตลาด สายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ประเทศไทย บริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดน้ำอัดลมไทยปี 2566 แข่งขันอย่างดุเดือด ทุกแบรนด์ต่างโหมแคมเปญและทำตลาดอย่างเข้มข้นตลอดทั้งปี ทั้งการเปิดตัวเครื่องดื่มรสชาติใหม่ การทำกิจกรรมการตลาด และการเลือกใช้พรีเซนเตอร์ มาร่วมขยายฐานกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคนรุ่นใหม่

ตลาดรวมน้ำอัดลมในปีนี้ที่มีมูลค่า 62,000 ล้านบาท แบ่งเป็น น้ำดำ 75% และ น้ำสี 25% กลับมาขยายตัวสูงในรอบหลายปีที่ผ่านมา โดยหากเปรียบเทียบกับปี 2562 ตลาดรวมมีมูลค่าประมาณ 50,000 ล้านบาท ส่วนในปีที่ผ่านมา 2565 ภาพรวมตลาดรวมมีการขยายตัวประมาณ 1.8%

โดยในปีนี้ได้รับแรงหนุนการใช้จ่ายในประเทศ รวมถึงการบริโภคที่สูงขึ้น รวมถึงนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศ และจากการปรับขึ้นราคาน้ำอัดลมในช่วงที่ผ่านมา หากไปสำรวจการดื่มน้ำอัดลมของคนในประเทศ เฉลี่ยต่อปี 37.5 ลิตรต่อคนต่อปี ส่วนปริมาณรวมการบริโภคน้ำอัดลมในประเทศประมาณรวม 2,100 ล้านลิตร

“ภาพรวมตลาดปีนี้ กลับมาขยายตัวสูง 16% และเติบโตสูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากที่ผ่านมาตลาดจะขยายตัวเป็นตัวเลขแบบอัตราเดียว โดยตลาดรวมได้รับปัจจัยบวกจากสถานการณ์ในประเทศที่กลับมาปกติ และสภาพอากาศที่ร้อนมากขึ้น จึงเป็นปัจจัยกระตุ้นทำให้ตลาดรวมกลับมาแข่งขันอย่างรุนแรงขึ้น” นางสาวสุภรณ์ กล่าว

‘เอส’ รีแบรนด์รอบ 11 ปี
ทั้งนี้ ‘เอส’ ได้มีการรีแบรนด์ใหญ่ในรอบ 11 ปี โดยการปรับสูตรและปรับโฉมใหม่ การร่วมดึง ไอคอนตัวแทนคนรุ่นใหม่ชาวเอเชีย ชาอึนอู และพรีเซนเตอร์คนไทย มาร่วมขยายตลาดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคนรุ่นใหม่ สามารถสร้างยอดขายสูงขึ้น 22.6% นับตั้งแต่เดือน ก.ย. 2565 - ส.ค.2566 ทำให้มีส่วนแบ่งการตลาด เพิ่มขึ้นเป็น 9.1% นับจากเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา จากเดิมมีส่วนแบ่งการตลาด 7%

แผนการตลาดในปี 2567 (ต.ค. 2566-ก.ย. 2567) จะใช้งบประมาณ 200 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน พร้อมขยายตลาดด้วยกลยุทธ์​ มิวสิคมาร์เก็ตติ้ง เพื่อเป็นสื่อสำคัญในการเข้าถึงคนรุ่นใหม่ ที่ต่างให้ความสำคัญในเรื่องนี้ จึงได้ทุ่มงบ 80 ล้านบาท ร่วมมือพันธมิตรทางดนตรี ‘เอ-ไทม์’ และ ‘จีเอ็มเอ็มโชว์’ จัด 2 กิจกรรมใหญ่ ประกวดดนตรีในตำนาน ‘est Cola Presents Hotwave Music Awards 2023’ การร่วมเทศกาลดนตรีที่ใหญ่สุดใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ‘est Cola Presents Monster Music Festival 2023’ พร้อมส่งบรรจุภัณฑ์กระป๋อง ‘est Cola Awards Awesome Monster’ ที่นำคาแรกเตอร์มอนสเตอร์รวม 8 ลาย มาร่วมขยายตลาดกลุ่มเป้าหมาย

เจาะคนรุ่นใหม่ - ดันแบรนด์ ‘เอเชียนโคล่า’
สำหรับกลยุทธ์มิวสิคมาร์เก็ตติ้งในครั้งนี้ จึงเป็นการเร่งเครื่องขยายตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มเจน Z ในอายุ 15-24 ปี ที่เป็นฐานลูกค้าสำคัญ และมีแผนนำเครื่องดื่มน้ำอัดลม 1 ล้านกระป๋อง เปิดให้ลูกค้าได้เข้ามาร่วมทดลองชิมผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างการรับรู้ถึงเครื่องดื่มที่ได้ปรับรสชาติใหม่

นอกจากตลาดในประเทศที่บริษัทเร่งโหมการตลาดครั้งใหญ่แล้ว อีกแนวทางสำคัญที่จะเพิ่มยอดขายกับ ขยายช่องทางจำหน่ายและทำตลาดเพิ่มมากขึ้น โดยพร้อมเร่งขยายตลาดผ่านร้านโชห่วยทั่วประเทศ จากในปัจจุบันมีจำนวนกว่า 1 แสนโชห่วยทั่วไทย รวมถึงขยายผ่านช่องทางร้านอาหารควบคู่กัน

พร้อมกันนี้ ‘เอส’ เตรียมรุกตลาดภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น โดยวางตำแหน่งแบรนด์ ‘เอเชียน โคล่า’ โดยจะรุกตลาดไปในประเทศใหม่ๆ สอดคล้องนโยบายกลุ่มไทยเบฟที่ได้วางยุทธศาสตร์ขยายตลาดครอบคลุมอาเซียน และมีการลงทุนไปในประเทศต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมา เอสได้มีการทำตลาดทั้งในประเทศ จีน ทำเลตอนใต้ และมาเลเซีย สร้างผลตอบรับที่ดีเช่นกัน

“ภาพรวมปีนี้ประเมินว่า ยอดขายจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และบริษัทสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในเครื่องดื่มน้ำอัดลมมากขึ้น”

ผู้ประกอบการลุยเซ็กเมนต์ใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจตลาดน้ำอัดลมในไทย ยังมีการเพิ่มเซ็กเมนต์ใหม่เพิ่มขึ้นจากผู้ประกอบการเครื่องดื่มรายใหญ่ของไทย ทั้งจาก ตันซันซูเครื่องดื่มโซดา ที่เป็นน้ำอัดลมในสไตล์เกาหลี จากบริษัท อิชิตัน กรุ๊ป เข้ามาสร้างประสบการณ์ครั้งใหม่และเจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ รวมถึงจากค่าย สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ที่มีเครื่องดื่มอัดก๊าซ อย่าง ‘สิงห์ เลมอนโซดา’ เข้ามาร่วมกระตุ้นตลาด สร้างเซ็กเมนต์ใหม่เครื่องดื่มอัดก๊าซให้มีความคึกคักมากยิ่งขึ้น

อีกทั้ง อีกปัจจัยที่ทำให้ตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมในภาพรวมกลับมาขยายตัวสูง มาจากธุรกิจท่องเที่ยวที่กลับมาขยายตัว ทำให้ธุรกิจร้านอาหารต่างๆ กลับมาเปิดให้บริการ จึงส่งผลดีต่อตลาดน้ำอัดลมโดยรวม

'กรมทางหลวง' พร้อม!! ปิดตำนานถนน 7 ชั่วโคตร เปิดใช้ฟรี 'มอเตอร์เวย์บ้านแพ้ว' 8 กม.กลางปี 67

(11 ต.ค. 66) นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยภายหลังพิธีลงนามในข้อตกลงคุณธรรมร่วมกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ในโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 82 (M82) สายทางยกระดับบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว ระยะทาง 24.7 กิโลเมตร (กม.) สำหรับการให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) ในการดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) เมื่อวันที่ 10 ต.ค.2566

สำหรับการลงนามข้อตกลงคุณธรรมในครั้งนี้ เป็นไปตามข้อกำหนดภายใต้ประกาศสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เรื่อง แนวทางปฏิบัติสำหรับการนำข้อตกลงคุณธรรมมาใช้กับโครงการร่วมลงทุนที่ดำเนินการตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 และ 2564 เพื่อสร้างความร่วมมือในการป้องกันการทุจริตในโครงการร่วมลงทุน ส่งผลให้กระบวนการคัดเลือกเอกชนเป็นไปด้วยความสุจริต โปร่งใส และได้รับการยอมรับจากทุกภาคส่วน

นายสราวุธ กล่าวว่าแผนการดำเนินโครงการ O&M มอเตอร์เวย์ M82 นั้น วงเงิน 15,724 ล้านบาท สัญญาสัมปทาน 32 ปี แบ่งเป็น ค่างาน O&M วงเงิน 14,687 ล้านบาท ระยะเวลา 30 ปี และ ค่าก่อสร้างงานระบบ วงเงิน 1,037 ล้านบาท ระยะเวลา 2 ปี เบื้องต้นได้แต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 และ ทล. จัดทำร่างเอกสารประกาศเชิญชวนให้เอกชนร่วมลงทุน (RFP) แล้วเสร็จ อยู่ระหว่างเตรียมเสนอโครงการฯ ต่อคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 พิจารณาเห็นชอบต่อไป

นายสราวุธ กล่าวต่อว่า ทล.มีแผนจะประกาศเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุน และจำหน่ายเอกสารการคัดเลือกเอกชน (RFP) ในไตรมาส 1/2567 โดยจะเปิดให้เอกชนยื่นข้อเสนอฯ ในช่วงไตรมาส 3/2567 ก่อนจะสรุปผลการคัดเลือกเอกชน และเสนอไปยังคณะกรรมการอัยการสูงสุด พร้อมลงนามในสัญญาภายในปลายปี 2567 หลังจากนั้นจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบผลการคัดเลือกในช่วงไตรมาส 1/2568 ต่อไป 

ส่วนความคืบหน้าการก่อสร้างงานโยธานั้น ตอนที่ 1 หรือสัญญาที่ 1-3 ช่วงบางขุนเทียน-เอกชัย ระยะทาง 8.3 กม. วงเงิน 10,477.386 ล้านบาท ณ ก.ย. 2566 มีความคืบหน้าอยู่ที่ 86.45% จะแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2567 และจะเปิดให้บริการทดลองใช้ฟรีทันที เชื่อมต่อการเดินทางกับโครงการทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตกของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) แบบไร้รอยต่อ 

นายสราวุธ กล่าวว่าขณะที่ ตอนที่ 2 อีก 10 สัญญา ช่วงเอกชัย-บ้านแพ้ว ระยะทาง 16.4 กม. ปัจจุบันผลงานคืบหน้า 33.94% ได้เร่งรัดให้ดำเนินการแล้วเสร็จภายในกลางปี 2568 จากแผนจะแล้วเสร็จในปลายปี 2568 ซึ่ง ทล. จะพิจารณาเปิดใช้งานโยธา ควบคู่การส่งมอบพื้นที่ให้กับเอกชน เพื่อเข้าพื้นที่ไปดำเนินการโครงการ O&M โดยคาดว่า จะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2569

“โครงการมอเตอร์เวย์ M82 ที่จะวิ่งลงสู่ภาคใต้นั้น ผมได้เร่งรัดให้งานโยธาแล้วเสร็จภายในกลางปี 68 จากเดิมกำหนดแล้วเสร็จภายในปลายปี 68 ซึ่งจะถือว่า เป็นการปิดตำนานถนนเจ็ดชั่วโคตรบนถนนพระราม 2 จบแน่นอน ส่วนต่อขยายจากบ้านแพ้ว ไปยังปากท่อ ซึ่งอยู่ในแผนฯ ของ ทล.นั้น คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 71 ซึ่งในช่วงดังกล่าว ยังมีปริมาณการจราจรไม่มากนัก และรอความชัดเจนของนโยบายรัฐบาลในระยะต่อไป“ นายสราวุธ กล่าว

นายสราวุธ กล่าวอีกว่า ส่วนความคืบหน้าโครงการ O&M มอเตอร์เวย์ หมายเลข 6 (M6) สายบางปะอิน–นครราชสีมา และหมายเลข 81 (M81) สายบางใหญ่–กาญจนบุรี โดยกลุ่มกิจการร่วมค้า BGSR ซึ่งประกอบด้วย บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STECON) และ บมจ.ราช กรุ๊ป (RATCH) เป็นผู้ได้รับการคัดเลือกนั้น 

ทั้งนี้ ในส่วนของโครงการ M6 มีความคืบหน้าการดำเนินการล่าช้ากว่าแผน 19% เหตุจาก ทล. ส่งมอบพื้นที่ล่าช้า เนื่องจากขณะนี้ อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 12 ตอน ภายหลังได้รับการเพิ่มวงเงินจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2566 โดยในปี 2566 จะก่อสร้างแล้วเสร็จ 2 ตอน, ปี 2567 แล้วเสร็จ 6 ตอน และจะแล้วเสร็จอีก 4 ตอนครบตลอดสายทางภายใน มิ.ย. 2568 ขณะที่ โครงการ O&M M81 ล่าช้ากว่าแผน 16% อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ไม่กระทบต่อแผนการดำเนินโครงการอย่างแน่นอน

สำหรับโครงการมอเตอร์เวย์ M82 จะใช้ระบบจัดเก็บค่าผ่านทางในรูปแบบไร้ไม้กั้น (M-Flow) เต็มรูปแบบ 100% ทั้งนี้ ทล. คาดการณ์ปริมาณจราจรในปีแรกที่เปิดให้บริการอยู่ที่ 64,203 คันต่อวัน และมีปริมาณจราจรตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ได้รับสัมปทานรวม 1,548,539,113 คัน ส่วนการคาดการณ์รายได้ค่าธรรมเนียมผ่านทางปีแรกที่เปิดให้บริการอยู่ที่ 1,272.71 ล้านบาท และมีรายได้ค่าผ่านทางตลอดสัญญาสัมปทาน 30 ปี อยู่ที่ 116,954.15 ล้านบาท

‘นิสสัน’ เปิดแคมเปญ ช่วยลูกค้าประสบภัยน้ำท่วม ถึงสิ้นปี 66 มอบส่วนลดค่าอะไหล่-อุปกรณ์ 30% พร้อมบริการยกรถส่งศูนย์ฟรี

(11 ต.ค.66) ‘นิสสัน ประเทศไทย’ เปิดแคมเปญ ช่วยเหลือลูกค้าประสบภัยรถยนต์เสียหายจาก น้ำท่วม ลดค่าอะไหล่ อุปกรณ์ตกแต่ง ถึงสิ้นปี 2566

แคมเปญ ‘นิสสันร่วมใจช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม’ จะจัดขึ้นถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 โดยจะมีส่วนลดพิเศษสูงสุด 30% สำหรับค่าอะไหล่, เคมีภัณฑ์, น้ำมันหล่อลื่น และอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์

นอกจากนี้ยังมีบริการยกรถที่ประสบภัยน้ำท่วม ไปยังศูนย์บริการนิสสันที่ใกล้ที่สุดฟรี เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระลูกค้าที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยที่กำลังเกิดขึ้นในหลายๆ พื้นที่ของประเทศ

“แคมเปญช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมตอกย้ำความมุ่งมั่นของนิสสันในการดูแลเอาใจใส่ลูกค้าตลอดระยะเวลาการเป็นเจ้าของรถยนต์นิสสัน มีจุดมุ่งหมายเพื่อมอบความช่วยเหลือในช่วงเวลาวิกฤติ และแบ่งเบาภาระของลูกค้าให้สามารถดำเนินชีวิต และใช้รถยนต์นิสสันได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด” อิซาโอะ เซคิกุจิ ประธาน นิสสัน ประเทศไทย และนิสสัน อาเซียน กล่าว

ทั้งนี้ รถยนต์ที่จะได้รับสิทธิครอบคลุมรถยนต์นิสสันทุกรุ่น ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลาแคมเปญ และสำหรับลูกค้านิสสันที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้วยตัวเองเท่านั้น ไม่รวมลูกค้าที่ได้รับผลประโยชน์ความคุ้มครองจากบริษัทประกันภัย หรือบริษัทประกันภัยเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย

‘สุริยะ’ เร่งสปีดดัน ‘โครงการแลนด์บริดจ์’ เตรียมชง ครม. ต.ค.นี้ พร้อมลุยโรดโชว์ดึงต่างชาติร่วมทุน ลุ้นเดินเรือยักษ์ใหญ่ร่วม

เมื่อวานนี้ (10 ต.ค.66) จากช่องยูทูบ MONAI CHANNEL ได้โพสต์คลิปวิดีโออธิบายเกี่ยวกับ ‘โครงการแลนด์บริดจ์ ระนอง-ชุมพร’ ที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่าพร้อมเดินหน้าโครงการนี้ต่อ โดยระบุว่า…

ณ ปัจจุบันนี้ หนึ่งในเส้นทางการเดินเรือสำคัญของโลกเป็นการเชื่อมกันระหว่างเอเชียตะวันออก ก็คือประเทศจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จากนั้นก็มีการอ้อมผ่านทางทะเลจีนใต้ ผ่านแหลมมลายู สิงคโปร์ ไปสู่ที่มหาสมุทรอินเดีย ไปผ่านอินเดียตอนใต้แล้วค่อยไปออกแถวแอฟริกา จากนั้นไปผ่านคลองสุเอซ เข้าไปต่อที่บริเวณแถบยุโรป และนี่คือเส้นทางการเดินเรือสำคัญ หรือจากยุโรปเองจะมีการส่งสินค้ามาก็ผ่านเส้นทางนี้เช่นกัน

แต่ ‘โครงการแลนด์บริดจ์’ ที่สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) มีการศึกษามาเรียบร้อยแล้ว คือเป็นการทำ ‘ชอร์ตคัท’ ไม่ต้องไปอ้อมแหลมมลายูของทางสิงคโปร์ แต่ผ่านบริเวณแผ่นดินของประเทศไทย โดยจุดเชื่อมสำคัญบริเวณ ‘ทะเลอ่าวไทย’ คือ จังหวัดชุมพร และจุดเชื่อมสำคัญของบริเวณ ‘ทะเลอันดา’ คือ จังหวัดระนอง ซึ่งเราจะมีทั้งรถไฟทางคู่และถนนมอเตอร์เวย์ เพื่อที่จะให้เวลาเหลือ มีการเปลี่ยนโหมด ซึ่งพอมาถึงชุมพรจากนั้นก็ใช้เครื่องออโตเมติกหยิบตู้คอนเทนเนอร์ใส่รถไฟ รถไฟก็จะวิ่งข้ามแผ่นดินมาถึงที่จังหวัดระนอง จากนั้นก็มีระบบอัตโนมัติหยิบตู้คอนเทนเนอร์จากรถไฟไปลงเรือ จากเรือไปต่อมหาสมุทรอินเดียแล้วก็ไปส่งของต่อ ซึ่งจะเป็นเอเชียใต้ แอฟริกา หรือยุโรปก็ได้…

ซึ่งตอนแรกสุดเหมือน คุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า…อาจจะไม่เดินหน้าโครงการนี้ต่อ แต่ล่าสุด ณ วันที่ 9 ตุลาคม 2566 คุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ ซึ่งขออนุญาตหยิบยกมาจากข่าวสด 

นายสุริยะกล่าวว่า “โครงการสภาเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย อันดามัน ชุมพรกับระนอง หรือแลนด์บริดจ์ คาดว่าจะเสนอให้ครม. พิจารณาเห็นชอบในหลักการภายใน 2 สัปดาห์นี้” ซึ่งก็คือภายในเดือนตุลาคมนี้ 

“ก่อนจะเดินหน้าไปโรดโชว์ต่างประเทศอย่างยุโรป สหรัฐฯ รวมไปถึงตะวันออกกลาง เพื่อชี้แนะรายละเอียดของโครงการประกอบการจูงใจดึงดูดนักลงทุนให้มาร่วมลงทุนในโครงการนี้ด้วย เพราะโครงการนี้ใช้เม็ดเงินลงทุนตัวเลขกลม ๆ ประมาณ 1 ล้านล้านบาท” นายสุริยะกล่าว

แต่เราจะไม่ใช้งบประมาณจะเป็นการลงทุนของภาคเอกชนทั้งหมด และจากนั้นให้สัมปทานไปยาว ๆ 50 ปีด้วยกัน ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ประชาชนต่างถกเถียงกันเป็นอย่างมาก โดยบางส่วนห่วงเรื่องของการจัดทำผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และบางส่วนบอกว่าจำเป็นต้องเดินหน้าจะเป็นโครงการที่เรียกได้ว่าพลิกโฉมหน้าประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านการค้า การคมนาคมขนส่ง และแลนด์บริดจ์ที่ว่านี้ จะเป็นจิ๊กซอว์สำคัญในการเดินหน้าเขตพัฒนาพิเศษภาคใต้ หรือ SEC โดยปัจจุบันนี้ เรามีเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC จากนี้ไปเราจะมีแต่ละภาคหมด อย่างภาคเหนือจะมี NEC ส่วนภาคใต้ก็จะมี SEC 

ซึ่ง คุณสุริยะ ได้บอกต่อว่า คาดว่าจะเสนอสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ศึกษาเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม EIA แล้วเสร็จ ภายในช่วงต้นปี 67 ก่อนจะขับเคลื่อนเรื่องการลงทุนต่อไป เช่นเดียวกับแผนพัฒนาโครงข่ายทางพิเศษระหว่างเมืองและระบบราง ก็จะให้สนข.ผลักดันเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ‘แลนด์บริดจ์’ ยังไม่จบ…และจะมีการเดินหน้าต่อไปอย่างแน่นอน แต่ที่นี่ต้องรอดูว่าครม.จะเห็นชอบหลักการหรือไม่ และถ้าเกิดครม.เห็นชอบหลักการเวลาไปโรดโชว์ต่างประเทศ มีนักลงทุนต่างชาติสนใจหรือเปล่า…เพราะเป้าหมายสำคัญนักลงทุนต่างชาติที่ต้องให้ความสนใจ คือ บริษัทเดินเรือขนาดใหญ่…

‘คลัง’ เตรียมเปิดลงทะเบียนร้านค้าร่วม ‘เงินดิจิทัล’ พ.ย.นี้ ยัน!! จ่าย 1 หมื่นครั้งเดียว-ไม่แบ่งงวด ใช้จริง ก.พ. 67

(10 ต.ค. 66) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ประมาณเดือนพฤศจิกายน 2566 จะเริ่มเปิดลงทะเบียนร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ส่วนประชาชนที่จะเข้าร่วมโครงการ คาดว่าจะสามารถเข้าร่วมโครงการได้หลังจากนี้

ดังนั้นจึงยืนยันว่า นโยบายเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet สามารถดำเนินการได้ทัน ที่จะเปิดใช้อย่างเป็นทางการเดือนกุมภาพันธ์ 2567

ทั้งนี้โครงการรัฐที่ผ่านมามีประชาชนยืนยันตัวตนมาแล้ว 40 ล้านคน ที่มีอยู่ในระบบฐานข้อมูลของรัฐ แต่ยังมีผู้ที่ยังไม่อยู่ในระบบฐานข้อมูลอีกประมาณ 10 ล้านคน ด้วยกฎหมายที่กำหนด ทั้งรัฐบาลยืนยันจะเติมเงินดิจิทัลให้ทุกคนที่มีสิทธิครั้งเดียว 10,000 บาท โดยไม่มีการแบ่งจ่ายเงินเป็นงวด ๆ แน่นอน แม้ที่ผ่านมาจะมีข้อเสนอให้เปลี่ยนเงื่อนไขแบ่งเป็นงวด เพราะเห็นว่าจะเกิดประโยชน์มากกว่า แต่ที่ผ่านมามีข้อเสนอให้แบ่งจ่ายเป็นงวดเข้ามาจริง

สำหรับนโยบายการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จำเป็นต้องเปิดให้ลงทะเบียน แต่การลงทะเบียนในโครงการ ไม่เกี่ยวข้องกับการลดจำนวนโครงการเพื่อไม่ให้โครงการต้องใช้เงินมากถึง 5.6 แสนล้านบาทใช่หรือไม่

รมช.คลังบอกว่า ไม่เกี่ยวกันเนื่องจากเมื่อมีการเดินหน้าโครงการนี้แล้วรัฐบาลก็ต้องหาแหล่งเงินมาเพื่อรองรับโครงการอยู่แล้วโดยไม่ได้รอว่าจะมีจำนวนการลงทะเบียนจำนวนเท่าไหร่ในการทำโครงการ โครงการนี้จะใช้งบประมาณเป็นหลัก เนื่องจากขณะนี้มีตัวเลือกให้กับรัฐบาลหลายทางเลือก แต่จะใช้ทางเลือกที่ดีที่สุด คือการเกลี่ยงบประมาณและปรับลดงบประมาณที่ไม่จำเป็น และขณะนี้เป็นช่วงการจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567

ยืนยันว่า กระทรวงการคลังไม่มีแนวคิดที่จะขายหุ้นของรัฐวิสาหกิจ หรือลดสัดส่วนการถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจลงโดยการขายหุ้นออกมากเพื่อนำเงินมาใช้ในโครงการนี้อย่างแน่นอน โดยเบื้องต้นทางเลือกแรกที่รัฐบาลจะใช้คือการเกลี่ยงบประมาณและปรับลดงบประมาณที่ไม่จำเป็น

อย่างไรก็ตาม หลังจากได้งบประมาณที่เป็นไขมันส่วนเกินแล้วจะนำงบประมาณที่เหลือมาใช้ในการพัฒนาลงทุนในโครงการต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นและเกี่ยวเนื่องกับนโยบายของรัฐ ซึ่งสำนักงบประมาณก็จะไปดูในรายละเอียดว่ามีโครงการใดบ้างที่ไม่จำเป็น

ขณะนี้เป็นช่วงการจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 อยู่ระหว่างการทำเรื่องเสนอของบประมาณไปยังสำนักงบประมาณ ดังนั้นโครงการใดที่ไม่จำเป็นหรือเป็นไขมันส่วนเกินที่สามารถปรับลดได้หรือตัดได้ โดยนำงบประมาณที่เหลือมาใช้ในการพัฒนาลงทุนในโครงการต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นและเกี่ยวเนื่องกับนโยบายของรัฐ ซึ่งสำนักงบประมาณก็จะไปดูในรายละเอียดว่ามีโครงการใดบ้างที่ไม่จำเป็น

‘รมว.แรงงาน’ ชูนโยบายเร่งด่วน แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานท่องเที่ยว พร้อมอัดฉีดงบอัปสกิล ‘ภาษา-การบริการ’ มั่นใจ!! มีงานทำ-รายได้สูง

(10 ต.ค. 66) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า นโยบายด้านพัฒนาทักษะแรงงานในระยะเร่งด่วนตอนนี้ คือการ Upskill แรงงานภาคการท่องเที่ยว เพราะขาดแคลนแรงงานทางด้านนี้มาก จึงต้องเร่งฝึกทักษะและอบรมในสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับภาคการท่องเที่ยวและบริการ

อีกทั้ง ในช่วงที่ผ่านมานายกรัฐมนตรี ท่านเศรษฐา ทวีสิน ได้ไปต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวบินแรก หลังการประกาศนโยบาย ‘วีซ่าฟรี’ แสดงความพร้อมของไทยในการเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยรัฐบาลคาดการณ์รายได้ที่จะเข้าประเทศกว่า 2.38 ล้านล้านบาท โดยกระทรวงแรงงานในฐานะหน่วยงานหลักในการดูแลกำลังแรงงานของประเทศ ได้ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในการผลักดันการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพแรงงาน ส่งเสริมให้แรงงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นแรงงานที่มีผลิตภาพสูง มีทักษะสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อไปว่า การ Upskill และ Reskill ให้แรงงานมีทักษะที่จำเป็นในการทำงาน โดยเติมเต็มทักษะด้านภาษาต่างประเทศ และส่งเสริมนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ หลักสูตรฝึกอบรม เช่นภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน เพื่อการทำงาน, การสร้างสื่อมัลติมีเดียเพื่อการท่องเที่ยว, นวดแผนไทย สปา, งานบริการอาหารและเครื่องดื่ม นักส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม, สปาตะวันตก, การจัดการด้านอาหารและโภชนาการบนเรือ, การบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยวอย่างมืออาชีพ

โดยบูรณาการกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยวและบริการ เพื่อสำรวจความต้องการแรงงานและการพัฒนาทักษะฝีมือในส่วนที่แรงงานยังขาดแคลน เพื่อพัฒนากำลังแรงงานภาคท่องเที่ยวให้ตรงกับความต้องการของสถานประกอบกิจการ ในปี 2566 กำลังแรงงานภาคการท่องเที่ยวและบริการเข้ารับการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน ทั้งในส่วนที่ภาครัฐและภาคเอกชนดำเนินการรวมจำนวน 288,438 คน เป็นผู้มีงานทำร้อยละ 93.20 ผู้ผ่านการพัฒนาฝีมือแรงงาน สามารถรักษาฐานรายได้คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ 51,450.19 ล้านบาท/ปี

สำหรับในปีนี้ ได้สั่งการให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เร่งผลิตและเพิ่มทักษะแรงงานภาคท่องเที่ยวและบริการ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างรายได้ให้ประเทศอย่างเร่งด่วน

ทางด้านของนางสาวบุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนที่กรมดำเนินการเอง ได้วางเป้าหมายและงบประมาณไปยังหน่วยฝึกที่มีทั่วประเทศ เพื่อพัฒนาทักษะให้แก่แรงงานภาคการท่องเที่ยว รวมกว่า30,000 คน โดยเฉพาะกลุ่มจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่น กระบี่ ภูเก็ต พังงา พัทยา เชียงใหม่ เชียงราย กรุงเทพฯเป็นต้น

พร้อมได้กำชับให้หน่วยฝึกคัดเลือกหลักสูตรที่มีความจำเป็นต้องใช้ในการให้บริการ อาทิ การฝึกด้านภาษาต่างประเทศ กรณีที่เป็นแรงงานที่อยู่ในกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่ต้องรองรับนักท่องเที่ยว มีการจัดหลักสูตรเกี่ยวกับการแปรรูปผลิตภัณฑ์ของชุมชน การออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นฝากของที่ระลึก ส่วนหนึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับตัวสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในชุมชน เพื่อให้แรงงานในกลุ่มวิสาหกิจชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้ตั้งแต่ระดับชุมชน

ทั้งนี้ ได้แจ้งให้หน่วยฝึกไปสำรวจความต้องการแรงงานจากผู้ประกอบกิจการในพื้นที่ด้วย สำหรับผู้ที่สนในเข้าฝึกอบรมในหลักสูตรต่างๆ ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว สามารถสมัครได้ที่สถาบันและสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานทั่วประเทศ หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 1506 กด 4

ปตท. คว้ารางวัล ‘องค์กรผู้นำด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก’ ตอกย้ำการบริหารจัดการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืน

เมื่อไม่นานมานี้ พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบโล่ประกาศเกียรติคุณ ‘องค์กรผู้นำด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก’ (Climate Action Leading Organization) หรือ CALO ให้แก่ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) โดย ปตท. เป็น 1 ใน 16 องค์กรของประเทศที่ได้รับรางวัล ประเภทโดดเด่น มีผลการประเมินในด้านการวัดและการลดก๊าซเรือนกระจกอยู่ในระดับทอง ตอกย้ำการดำเนินงานของ ปตท. ที่บูรณาการความยั่งยืนเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์และเป้าหมายการดำเนินธุรกิจ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและแนวคิดเรื่อง ESG โดยวัดผลการดำเนินงานในระดับสากล Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) และสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) 

รวมทั้งให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการ Climate Change ตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ที่ ปตท. ตั้งไว้ 3 ด้าน คือ New Growth, Business Growth และ Clean Growth เพื่อการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน พร้อมดูแลสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top