Wednesday, 11 June 2025
ECONBIZ

‘สุกี้ตี๋น้อย’ จัดโปรเด็ดทุกสาขา ลดราคาเหลือ 169 บาท เพียงแค่จ่ายผ่าน ‘เป๋าตังเปย์’ ขีดเส้น 1 ส.ค.- 31 ธ.ค.67

(2 ส.ค.67) ‘เพจสุกี้ตี๋น้อย’ ได้โพสต์รูปภาพพร้อมข้อความ กลับมาแล้วส่วนลดปัง เอาใจสายตี้ สุกี้ตี๋น้อย ลดราคาจาก 219 บาท เหลือ 169 บาท เพียงแค่สแกนจ่ายเงินผ่าน ‘เป๋าตังเปย์’ ก็รับส่วนลดไปเลย โดยลูกค้าใหม่รับส่วนลด 50 บาท เมื่อสมัครสำเร็จ และลูกค้าปัจจุบันรับส่วนลด 20 บาท ทุกเดือน

โปรโมชันตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม - 31 ธันวาคม 2567 ที่สุกี้ตี๋น้อยทุกสาขา!​ (ร้าน Teenoi Express ก็สามารถใช้สิทธิได้)

>> สำหรับเงื่อนไขการรับสิทธิ

-สิทธิพิเศษเมื่อสแกนจ่ายผ่านเป๋าตังเปย์วอลเลตเท่านั้น​
-สำหรับลูกค้าใหม่ เมื่อสมัครเป๋าตังเปย์วอลเลต แลกรับคูปองส่วนลด 50 บาท
-สำหรับลูกค้าปัจจุบัน รับคูปองส่วนลด 20 บาท* (เมื่อมียอดชำระขั้นต่ำ 50 บาท)
-ราคาดังกล่าวยังไม่รวมค่าเครื่องดื่มรีฟิลและภาษีมูลค่าเพิ่ม​
-คูปองส่วนลด 50 บาท จำกัดการได้รับคูปองส่วนลด 1 สิทธิ/ลูกค้า/กิจกรรมส่งเสริมการขาย
-คูปองส่วนลด 20 บาท จำกัดจำนวนกดรับคูปองส่วนลดสูงสุด 1 สิทธิ/ลูกค้า/เดือน
-จำกัด 1 สิทธิ/คน และจำกัด 1 คูปองส่วนลด ต่อ 1 ใบเสร็จ (ไม่สามารถแยกใบเสร็จในทุกกรณี)​
-จำกัด 20,000 สิทธิแรก โดยนับจากการใช้คูปองส่วนลดตามลำดับ​
-ระยะเวลากิจกรรมส่งเสริมการขายตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 เวลา 00.01 น. ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 เวลา 23.59 น. (ตามเวลาประเทศไทย) (‘ระยะเวลากิจกรรมส่งเสริมการขาย’) เว้นแต่จะครบตามจำนวนสิทธิที่กำหนดก่อนครบระยะเวลาดังกล่าว

-ส่วนลด 50 บาท จำกัดจำนวนคูปองส่วนลด 100,000 สิทธิ ตลอดระยะเวลากิจกรรมส่งเสริมการขาย (เว้นแต่จะครบตามจำนวนสิทธิที่กำหนดก่อนครบระยะเวลาดังกล่าว)
-ส่วนลด 20 บาท จำกัดการใช้คูปองส่วนลดจำนวน 15,000 สิทธิแรก/เดือน รวม 75,000 สิทธิ ตลอดระยะเวลาส่งเสริมการขายนี้ เว้นแต่จะครบตามจำนวนสิทธิ์ที่กำหนดก่อนครบระยะเวลาดังกล่าว
-กรณีใช้คูปองไม่ทันตามลำดับสิทธิ ธนาคารขอสงวนสิทธิไม่ชดเชยคูปองส่วนลดให้แก่ลูกค้า​
-สงวนสิทธิ์เฉพาะลูกค้าที่สมัครเป๋าตังเปย์วอลเลตสำเร็จเท่านั้น​
-คูปองส่วนลดที่ได้รับสามารถใช้ได้ทันที หรือเก็บไว้ใช้ได้ภายใน 30 วันหลังจากวันที่ลูกค้ากดรับคูปองส่วนลด กรณีใช้คูปองส่วนลดไม่ทันในเวลาที่กำหนด หรือจำนวนสิทธิที่ใช้หมดก่อน ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ไม่ชดเชยคูปองส่วนลดหรือชดเชยด้วยวิธีการอื่นใดให้แก่ลูกค้า

-ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการคืนส่วนลดจากมูลค่าของคูปองส่วนลด หากคำสั่งการทำรายการชำระค่าอาหารและบริการถูกยกเลิกหรือถูกปฏิเสธทุกกรณี ​
-ไม่สามารถใช้ร่วมกับโปรโมชันอื่น ๆ ได้​
-ไม่สามารถแลก/เปลี่ยน/ทอนเป็นเงินได้​
-เงื่อนไขการใช้คูปองส่วนลดเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด​
-สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเป๋าตังเปย์วอลเลต บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง ได้ที่ Krungthai Contact Center โทร. 0-2111-1111

>> ขั้นตอนการเก็บคูปองสำหรับลูกค้าใหม่ มูลค่า​ 50.-

1.เปิดแอปพลิเคชันเป๋าตัง (โปรดอัปเดตแอปพลิเคชันให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด)
2.กดสมัครบริการเป๋าตังเปย์วอลเลต ทำตามขั้นตอนการสมัครจนสำเร็จ
3.กดไอคอน ภารกิจรับรางวัล และเลือกภารกิจ ภารกิจลูกค้าใหม่เป๋าตังเปย์
4.ลูกค้าสามารถกดแลกรับคูปองอิ่มคุ้มร้านแบรนด์ดัง มูลค่าสูงสุด 50 บาทได้
5.สามารถตรวจสอบคูปองส่วนลดที่ได้รับ โดยเข้าไปที่ ภารกิจรับรางวัล > กดเลือก คูปองของฉัน > กดเลือกรางวัลคูปองส่วนลดที่ได้รับจากกิจกรรมภารกิจลูกค้าใหม่เป๋าตังเปย์ > อ่านรายละเอียดและกดใช้งานคูปอง

‘อนุทิน’ สั่งทุกจังหวัด ‘ลดค่าแผง-จัดขายของราคาถูก’ ช่วยประชาชนช่วง 3 เดือน ก่อนได้ใช้ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’

(2 ส.ค.67) ทำเนียบฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมหารือโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจของกระทรวงพาณิชย์ ที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ เป็นประธานว่า กระทรวงพาณิชย์ ได้เสนอต่อที่ประชุมว่าจะมีมาตรการระยะสั้นระหว่างปัจจุบันถึงเดือนตุลาคม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนที่ประชาชนจะได้เงินจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตในไตรมาสที่ 4 ของปี อาทิ การทำให้สินค้าราคาถูกลง สนับสนุนผู้ประกอบการรายเล็กให้มีช่องทางค้าขาย และขอให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ลดราคาสินค้า เพื่อให้ประชาชนได้ซื้อสินค้าในราคาต่ำลง 

ทั้งนี้ ในส่วนของกระทรวงมหาดไทยก็ได้นำมาตรการที่ว่าไปกำชับทุกจังหวัดทั่วประเทศให้ช่วยประชาสัมพันธ์และหาช่องทางรวมถึงจัดพื้นที่ให้มีการขายสินค้ามากขึ้น อาทิ ศาลากลางจังหวัด รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ และสั่งการให้องค์การตลาดของกระทรวงมหาดไทยลดค่าเช่าแผงในช่วง 3 เดือนนี้ด้วย

'สุชาติ-รวมไทยสร้างชาติ' หนุนภาคธุรกิจไทย ใช้ประโยชน์จาก FTA มั่นใจ!! ช่วยลดอุปสรรคทางการค้า-ขยายตลาดส่งออกคล่อง

(2 ส.ค.67) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้รับมอบหมายจากนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้ลงพื้นที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พร้อมกับกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เพื่อพบผู้ประกอบการบริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบรนด์มาม่า และบริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคจำเป็นทั้งของใช้ส่วนตัวและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เช่น สบู่ ครีมอาบน้ำ แชมพู ยาสีฟัน ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน เป็นต้น โดยสินค้าของทั้งสองบริษัทมีทั้งที่วางจำหน่ายในประเทศทั้งในตลาดออนไลน์ และออฟไลน์ และส่งออกไปประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในส่วนของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่าได้รับความนิยมมากในเอเชีย และมีการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกาออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ และแอฟริกาด้วย รวม 68 ประเทศ

นายสุชาติ ชมกลิ่น กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งสองบริษัทมีการจ้างแรงงานรวมเกือบ 10,000 คน และได้รับทราบว่ามีการนำนวัตกรรมมาพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์และปรับปรุงคุณภาพ ตลอดจนเพิ่มความหลากหลายของสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ และมีการนำโมเดลเศรษฐกิจ BCG มาใช้ด้วย สำหรับบทบาทของกระทรวงพาณิชย์นั้นจะเป็นลมใต้ปีกให้แก่ผู้ประกอบการที่ช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการสร้างโอกาสในการขยายตลาดจากความตกลงการค้าเสรีหรือ FTA ที่มีทั้งหมด 15 ฉบับ กับประเทศคู่ค้า 19 ประเทศ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจะดำเนินการในเรื่องนี้ในเชิงรุกต่อไป

ประเทศคู่ค้า FTA ที่ยกเว้นการจัดเก็บภาษีนำเข้าศุลกากรบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ได้แก่ อาเซียน, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, จีน และชิลี นอกจากนี้ FTA แต่ละฉบับยังช่วยลดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีด้วย เช่น กฎระเบียบทางการค้าต่าง ๆ ที่อาจเป็นภาระสำหรับผู้ประกอบการไทย การทำ FTA จึงถือเป็นแต้มต่อทางการค้าให้แก่ผู้ประกอบการ ให้สามารถขยายตลาดส่งออกนำรายได้เข้าประเทศ เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม

ในส่วนของการดูแลพี่น้องประชาชนผู้บริโภค รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้เน้นย้ำให้ผู้ประกอบการร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ตลอดจนร่วมกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่องต่อไป ซึ่งบริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ฯ และบริษัท ไลอ้อนฯ ได้ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่มาโดยตลอด 

ทั้งนี้ ในวันที่ 1-3 สิงหาคม 2567 กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในจะจัดงานธงฟ้าราคาประหยัด ณ บริเวณลานกิจกรรมหน้าศาลากลางจังหวัดชลบุรี อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี โดยจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคราคาประหยัดเพื่อลดค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ซึ่งนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะเดินทางไปเป็นประธานเปิดงานด้วย

‘บอร์ด EA’ ไฟเขียว!! แต่งตั้ง ‘สุพันธุ์ มงคลสุธี’ นั่งกรรมการฯ ส่ง ‘ฉัตรพล ศรีประทุม’ ขึ้นนั่ง CEO ส่วน ‘วสุ กลมเกลี้ยง’ นั่ง CFO

บอร์ด EA อนุมัติแต่งตั้ง ‘สุพันธุ์ มงคลสุธี’ เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการคนใหม่ พร้อมตั้ง ‘ฉัตรพล ศรีประทุม’ ขึ้นแท่น CEO ขณะที่ ‘วสุ กลมเกลี้ยง’ ขึ้นนั่ง CFO มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.นี้ ทางด้าน ‘สมใจนึก เองตระกูล’ ยังคงนั่งเป็นประธานบอร์ด มั่นใจศักยภาพทีมผู้บริหารรุ่นใหม่สามารถผลักดันแผนธุรกิจที่วางไว้ให้องค์กรเติบโตในแนวทางพลังงานสะอาด ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตอบโจทย์ Net Zero สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน 

(2 ส.ค. 67)  นายสมใจนึก เองตระกูล ประธานกรรมการ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติแต่งตั้งนายสุพันธ์ มงคลสุธี เข้ารับตำแหน่งกรรมการแทนนายชัชวาลย์ เจียรวนนท์ และมีมติแต่งตั้งทีมผู้บริหารรุ่นใหม่โดยมี นายฉัตรพล ศรีประทุม ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) และนายวสุ กลมเกลี้ยง ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน (CFO) โดยมีผลตั้งแต่ วันที่ 1 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี อดีตประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ถือเป็นบุคคลที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญการดำเนินธุรกิจ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และกรรมการ บริษัท พลัส เทค อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน)

ขณะที่นายฉัตรพล ศรีประทุม จบการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโท MBA การเงิน ร่วมงานกับบริษัทฯ มากว่า 10 ปี ผ่านงานด้านการพัฒนากลยุทธ์และวางแผนการลงทุน รวมถึงโครงการกลยุทธ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการพัฒนา ปัจจุบันเป็นซีอีโอ บริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) และประธานกรรมการ บริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ไต้หวัน) ผลงานโดดเด่นล่าสุด นำ EA เข้าโครงการซื้อขายคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศ นับเป็นโครงการแรกของโลกที่มีการซื้อขายกันเกิดขึ้น ภายใต้ความตกลงปารีส Article 6.2 ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างไทย-สวิตเซอร์แลนด์ ผ่านกรอบความร่วมมือกันระหว่างประเทศที่มีการระบุชัดเจนว่าจะต้องเป็นโครงการการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ นับเป็นแรงกระตุ้นที่ดีสำหรับภาคเอกชนในการพัฒนาโครงการที่ช่วยรักษาและปกป้องสิ่งแวดล้อม

ส่วนนายวสุ กลมเกลี้ยง จบการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาโทด้านการบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ สาขาการเงินระหว่างประเทศ ก่อนเข้ามาร่วมงานกับบริษัทฯ เคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารสถาบันการเงินหลายแห่ง และเมื่อร่วมงานที่บริษัทฯ ได้ดูแลด้านการบริหารการเงินการจัดหาแหล่งเงินทุนจากทั้งตลาดเงินและตลาดทุน รวมถึงรับผิดชอบงานการลงทุนทั้งในและต่างประเทศของกลุ่มบริษัทฯ ทั้งหมด 

ผลงานโดดเด่นล่าสุด เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการเจรจาและจัดโครงสร้างการลงทุนใน บมจ. เน็กซ์ พอยท์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการและกรรมการบริหาร บมจ. เน็กซ์ พอยท์ นอกจากนี้ยังเป็นผู้ร่วมผลักดันการตั้งบริษัทร่วมทุน Super Holding Company กับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดย EA มีสิทธิในการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดแบบรวมศูนย์ของ สปป.ลาวทั้งหมด เพื่อให้กลายเป็นศูนย์กลางจำหน่าย และ บริหารพลังงานสะอาดแบบครบวงจร 

นายสมใจนึก กล่าวเพิ่มเติมว่า “ผมในฐานะประธานกรรมการมั่นใจว่าทีมผู้บริหารใหม่ ทั้ง CEO และ CFO เป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์การทำงานร่วมกับ EA มานาน พร้อมที่จะสานต่อภารกิจทั้งด้านธุรกิจพลังงานสะอาด แบตเตอรี่ ยานยนต์ไฟฟ้า ระบบกักเก็บพลังงาน การซื้อขายคาร์บอนเครดิต การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์สุทธิ นำพาองค์กรเติบโตได้ตามแผนงานที่วางไว้”

ในส่วนของหุ้นกู้บริษัทฯจะจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ในวันที่ 9 และ วันที่ 14 สิงหาคม 2567 โดยบริษัทฯ จะเพิ่มอัตราผลตอบแทนและขอเลื่อนการไถ่ถอนหุ้นกู้ออกไปเป็นภายในปีหน้า

'รมว.ปุ้ย' ตอบกระทู้สด 'ก้าวไกล' ปมการบริหารจัดการ 'แคดเมียม' 'ขนกลับต้นทางครบ-ไร้กระทบสุขภาพ ปชช.' ลั่น!! คนผิดต้องไม่ลอยนวล

(1 ส.ค. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา ทำหน้าที่เป็นประธานพิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจาของนายศิรโรจน์ ธนิกกุล ส.ส.สมุทรสาคร เขต 2 พรรคก้าวไกล ถาม นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การบริหารจัดการสารเคมีอันตรายในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร โดยตั้งคำถามปริมาณของกากแคดเมียมที่ขนกลับไป จ.ตาก ตลอดจนถึงความมั่นคงแข็งแรงเพียงพอต่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนหรือไม่ นอกจากนี้แนวทางการบริหารจัดการหลังจากนี้เป็นอย่างไรบ้าง ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจะได้รับการเยียวยาเพียงใด และการสอบสวนผู้กระทำทั้งกระบวนการมีความคืบหน้าอย่างไร  

รมว.พิมพ์ภัทรา ได้มาตอบกระทู้สดด้วยตัวเอง โดยระบุว่า ตนในฐานะ รมว.อุตสาหกรรม หลังจากที่ได้รับรายงานว่ามีการพบกากตะกอนแคดเมียม ซึ่งเป็นสารเคมีอันตราย ในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ก็ได้ลงพื้นที่ในทันที โดยได้พบและหารือผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ผู้นำส่วนราชการต่าง ๆ ทั้งจากกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยได้ตรวจสอบถึงที่มาของกากแคดเมียมว่ามาจากแหล่งใด ปริมาณเท่าไร จากนั้นได้มีการตรวจสุขภาพของบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อหาสารปนเปื้อนทั้งนี้ พี่น้องประชาชนในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ที่เข้ามาทำงาน คนงาน ทั้งหมด หลังจากนั้นก็ได้เร่งหากกากตะกอนแคดเมียมซึ่งกระจายในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ทั้งหมด 

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวด้วยว่า ในเรื่องของจำนวนตัวเลขกากตะกอนแคดเมียมที่ระบุว่า มีประมาณ 15,000 ตัน เป็นตัวเลขกลม ๆ ที่เกิดจากการแจ้งขอขนย้าย และเมื่อมีการตรวจสอบอย่างละเอียด พบว่ามีการนำออกจริงผ่านระบบอนุญาตอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 13,800 ตัน สำหรับปริมาณน้ำหนักของกากแคดเมียมที่ได้ขนกลับไปที่แหล่งต้นทางจังหวัดตากเหลือเพียง 12,912 ตัน สิ่งที่หายไปคือความชื้น และเมื่อไปดูการขุดออกมาจากหลุมฝังกลบ ทั้งกระบวนการ และฤดูกาล ล้วนมีผลต่อน้ำหนัก ซึ่งเราได้ทำการตรวจสอบตามหลักวิชาการในทุกขั้นตอน 

นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวถึง การย้ายอุตสาหกรรมจังหวัดตาก เข้ามาประจำกระทรวงอุตสาหกรรม ทันทีที่เกิดเรื่อง ก็เพื่อให้การสอบสวนเป็นไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม ทั้งนี้เพื่อหาข้อเท็จจริงมาตอบสังคมว่ากระบวนการที่เกิดขึ้นถูกต้องหรือไม่อย่างไร นอกจากนี้กระทรวงอุตสาหกรรม ยังได้ตั้ง นายเดชา จาตุธนานันท์  ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการการขนย้ายกากแคดเมียมและกากสังกะสี ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นทาง จ.สมุทรสาคร จนถึงปลายทาง จ.ตาก 

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้มีคำสั่งให้ตั้งคณะกรรมการจาก 6 กระทรวงมาทำงานร่วมกันเพื่อให้การกำจัดกากตะกอนแคดเมียมเป็นไปตามกระบวนการ EIA โดยคำนึงถึงสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมทั้งระบบ ไม่เฉพาะ จ.สมุทรสาครเท่านั้น แต่เป็นความเชื่อมั่นของประชาชนทั้งประเทศต่อการจัดการของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีก็ได้กำชับมาว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนกลับคืนมา  

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวถึงความคืบหน้าการสอบสวนหาผู้กระทำความผิดว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการทางการปกครองโดยให้บริษัทต้นทางนำกากตะกอนแคดเมียมกลับไปในพื้นที่ต้นทางต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมถึง ยังได้ร้องทุกข์กล่าวโทษผู้กระทำความผิดต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) แจ้งข้อกล่าวหาทางอาญา โดยในพื้นที่ จ.ชลบุรี ศาลได้พิพากษาจำคุกผู้กระทำความผิดเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน และยังได้ฟ้องแพ่ง เรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้น จากบริษัทที่ทำให้เกิดความเสียหายทั้งต้นทางและปลายทาง ในจำนวนที่รัฐต้องจ่ายไปก่อนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ยืนยันว่าคนทำผิดต้องได้รับโทษตามกฎหมาย 

"ส่วนการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องการขนย้ายกากตะกอนแคดเมียมนั้น ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบหมายให้ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ทำงานร่วมกับดีเอสไอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน นี้" รมว.อุตสาหกรรม กล่าว

‘BOI’ เผย ยอดขอรับส่งเสริมการลงทุน 6 เดือนแรก แตะ 4.5 แสนล้าน เติบโตกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 35% ในแง่เงินลงทุน

(1 ส.ค. 67) Business Tomorrow รายงานว่า BOI เผยยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุน 6 เดือนแรก ปี 2567 ยังเติบโตต่อเนื่อง ทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมีคำขอรับการส่งเสริม 1,412 โครงการ เงินลงทุน 458,359 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 นำโดย 3 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และชิ้นส่วน เกษตรและแปรรูปอาหาร

ขณะที่การลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) สิงคโปร์อันดับหนึ่ง ตามด้วยจีน และฮ่องกง ครึ่งปีหลังเร่งแผนโรดโชว์ชิงลงทุนฮับภูมิภาค ควบคู่กับการปรับโครงสร้างการผลิต เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน

ตามรายงานจากนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) การลงทุนในประเทศไทยแสดงแนวโน้มการเติบโตที่น่าประทับใจในช่วงครึ่งปีแรกของ 2567 สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและความน่าดึงดูดของประเทศในฐานะจุดหมายปลายทางการลงทุน

ในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2567 การขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีโครงการทั้งสิ้น 1,412 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 64 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าการลงทุนรวมสูงถึง 458,359 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 35

>> กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก

1. อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า : 139,725 ล้านบาท
2. ยานยนต์และชิ้นส่วน : 39,883 ล้านบาท
3. เกษตรและแปรรูปอาหาร : 33,121 ล้านบาท
4. ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ : 25,344 ล้านบาท
5. ดิจิทัล : 25,112 ล้านบาท

>> โดยมีการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีความสำคัญต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ดังนี้

- กิจการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ได้แก่ การผลิต Wafer, การออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์, การประกอบ และทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ และวงจรรวม 10 โครงการ เงินลงทุนรวม 19,543 ล้านบาท
- กิจการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (Printed Circuit Board: PCB) 31 โครงการ เงินลงทุนรวม 39,732 ล้านบาท
- กิจการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ 8 โครงการ เงินลงทุนรวม 38,182 ล้านบาท
- กิจการ Data Center 3 โครงการ เงินลงทุนรวม 24,289 ล้านบาท
- กิจการผลิตเครื่องจักร อุปกรณ์ หรือระบบ Automation 69 โครงการ เงินลงทุนรวม 10,271 ล้านบาท
- กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนหรือขยะ 255 โครงการ เงินลงทุนรวม 72,475 ล้านบาท

หากยังมีโจทย์ท้าทายสำหรับประเทศไทยที่จะต้องเอาชนะปัญหาใหญ่ 5 ประการ ดังกล่าวได้ โดยคุณสุวัฒน์ สินสาฎก CFA, FRM, ERP รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจหลักทรัพย์ลูกค้าสถาบัน บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) BYD ได้มีความเห็นไว้ว่า ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่ถูกละเลยมากว่า 3 ทศวรรษ ตั้งแต่ทศวรรษ 1990s ที่ไทยริเริ่มก่อเกิดโครงการมาบตาพุดที่ได้กลายเป็นกระดูกสันหลังของอุตสาหกรรมส่งออกไทยมากว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมา

>> โดยปัญหาเชิงโครงสร้างมีดังนี้

1. ไทยเป็นประเทศสังคมสูงวัย โดยมีอายุเฉลี่ยของประชากรถึง 40.5 ปี เทียบกับเวียดนาม 32.8 ปี และอินโดนีเซีย 29.9 ปี หรือยังมากกว่าจีนที่ 39 ปี จากผลของนโยบายลูกคนเดียว (one child policy)

2. ไทยมีปัญหาขาดแคลนแรงงานอย่างมาก แม้ตัวเลขอัตราการว่างงานต่ำมากเพียง 1.06% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปกติที่ 2.0% แต่เป็นการทำงานแบบแฝง ดังนั้นไทยจำเป็นต้องพึ่งพาแรงงานต่างด้าว 2.3 ล้านคนที่ลงทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย (8.5% ของแรงงานนอกภาคเกษตรของไทย) แต่คาดว่าตัวเลขแรงงานต่างด้าวจริงในประเทศไทยน่าจะสูงกว่า 5 ล้านคน

3. ไทยเป็นประเทศที่มีค่าแรงค่อนข้างสูง แม้รายได้ต่อหัวจะสูงราว $7,298 สำหรับไทย เทียบกับ $5,109 ของอินโดนีเซีย และ $4,316 ของเวียดนาม

แต่แม้ไทยจะมีรายได้ต่อหัวต่ำกว่ามาเลเซียที่ $13,034 แต่มาเลเซียสามารถดึง FDI ได้มากกว่าไทยมาก เพราะนโยบายภาครัฐที่เน้นการสร้างบุคลากร การสร้างโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่สำคัญเพื่อการลงทุนในอุตสาหกรรม Semiconductor และ AI ต่างกับไทยที่ไม่มีการเตรียมพร้อมใด ๆ ในช่วงที่ผ่านมาเลย

4. ไทยมีค่าไฟฟ้าที่สูงกว่าเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และสูงกว่าแม้แต่ค่าไฟฟ้าในอเมริกา ทำให้ไทยเสียเปรียบในการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เช่น AI data center semiconductor EV ที่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาล

ค่าไฟฟ้าไทยปัจจุบันที่ 4.18 บาทต่อ kWh แพงกว่าอเมริกา 11%, แพงกว่ามาเลเซีย 20%, แพงกว่าเกาหลีใต้ 33%, แพงกว่าอินเดีย 35%, แพงกว่าไต้หวัน 39%, แพงกว่าแคนาดา 52%, แพงกว่าจีน 79%, และแพงกว่าเวียดนามและอินโดนีเซียกว่าเท่าตัว

5. ไทยไม่มีความพร้อมแรงงานที่มีคุณภาพสำหรับอุตสาหกรรมยุค 4.0 แตกต่างกับสิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ที่ภาครัฐมีความชัดเจนในนโยบายการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ และมีความพร้อมของบุคลากรมากกว่าไทย

โดยคุณสุวัฒน์ สินสาฎก มองว่ามีทางแก้ปัญหาเพื่อเพิ่ม FDI มีสองทางหลัก ได้แก่

ทางแก้แรก: ‘ลดค่าเงินบาท’ ทางแรกคือการลดค่าเงินบาท เช่นที่เคยทำหลังวิกฤติต้มยำกุ้งปี 1997 เพราะหลังจากเศรษฐกิจฟื้นตัว ด้วยค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ที่ 42-45 บาท FDI เติบโตมากถึง 3 เท่าตัว และการเติบโตของการลงทุนมากถึง 12.6% ในปี 2004 และ 15% ในปี 2005 หากทางนี้เป็นการทำลายประเทศ ซึ่งเป็นไปไม่ได้

ทางแก้ที่สอง: เพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจและเร่งสร้างและเพิ่มประสิทธิภาพ ความสามารถในการแข่งขันอุตสาหกรรมไทยให้รวดเร็วขึ้น ดังเช่นที่ทำได้เป็นรูปธรรมสำหรับอุตสาหกรรมรถ EV

นอกจากนี้ นายนฤตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในช่วงครึ่งปีหลัง ทิศทางการลงทุนโลกยังคงมีแนวโน้มเคลื่อนย้ายการลงทุนและการปรับซัพพลายเชนทั่วโลก จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญของประเทศไทยที่ต้องช่วงชิงการลงทุนมาให้ได้ โดย BOI จะให้ความสำคัญกับการบุกเจาะกลุ่มเป้าหมายเชิงรุก และส่งเสริมให้เกิดการลงทุนปรับโครงสร้างการผลิต เพื่อให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มสูงขึ้น

โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวน 1,451 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินลงทุนรวม 476,276 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 ประโยชน์ของโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนเหล่านี้

คาดว่าจะเพิ่มมูลค่าการส่งออกของประเทศอีกกว่า 1.3 ล้านล้านบาท/ปี โดยส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังเพิ่มการใช้วัตถุดิบในประเทศกว่า 4.9 แสนล้านบาท/ปี และเกิดการจ้างงานคนไทยกว่า 1 แสนตำแหน่งด้วยกัน

ปิดตำนาน 41 ปี Daidomon โบกมือลา สาขาสุดท้าย 5 ส.ค.นี้ แฟนคลับใจหาย!! หากกลับมาเปิดใหม่ พร้อมจะกลับไปอุดหนุน

(1 ส.ค.67) หลังออกมาประกาศปิด ไดโดม่อน โคเรียน กริลล์ สาขาเซ็นทรัลอุบลราชธานี ไปเมื่อ 30 เมษายน ทำให้ลูกค้าต่างใจหาย พร้อมว่า จะยังเหลือเพียงสาขา ฟิวเจอร์ พาร์ค รังสิต ตามที่เคยรายงานไปนั้น

ล่าสุด Daidomon ก็ได้ออกมาประกาศข่าวเศร้ากับแฟน ๆ อีกครั้งว่า ไดโดมอน สาขาฟิวเจอร์พาร์ครังสิต จะให้บริการ 5 สิงหาคม 2567 เป็นวันสุดท้าย

พร้อมระบุว่า “ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ให้การสนับสนุน DAIDOMON สาขาฟิวเจอร์พาร์ครังสิต ตลอดหลายปีที่ผ่านมา และขอเรียนให้ทราบว่า ทางร้านจะเปิดให้บริการถึงวันที่ 5 สิงหาคม 2567 นี้”

ซึ่งก็มีคนเข้าไปคอมเมนต์ว่า…

- “ขอบคุณที่ผ่านมาเหมือนกัน เกือบ 20 ปีแล้ว ร้านปิ้งย่างขวัญใจวัยรุ่น ครั้งแรกที่กินสาขาฟิวเจอร์พาร์คบางแค น้ำจิ้มอร่อย ข้าวผัดกระเทียมอร่อย น้ำรีฟิล เติมได้เรื่อย ๆ ไว้ถ้าเศรษฐกิจดีกว่านี้มีโอกาสกลับมาเปิดใหม่ เราก็จะกลับไปอุดหนุนเหมือนเดิม”
- “ร้านของเด็กยุค 90 ตลอดไป”
- “ใจหายมาก ความทรงจำสมัยเรียนเลยสาขานี้”
- “ควรปิดตั้งนานแล้วครับ”

สำหรับ ไดโดมอน เป็นร้านอาหารสไตล์ปิ้งย่างที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2526 นับเป็นร้านบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างแห่งแรก ๆ ในไทย ก่อนที่ บริษัท ​ฮอทพอท จำกัด (มหาชน) จะเข้าซื้อกิจการ บริษัท ไดโดมอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2554 ในระยะหลัง ประสบกับปัญหาขาดทุนมาตลอด จนกระทั่งเหลือเพียงสาขาเดียวในปีนี้

'พีระพันธุ์' นั่งหัวโต๊ะ กบง.ไฟเขียวพยุงราคาขายปลีก NGV 3 เดือน หลังมองเกม!! ราคาก๊าซธรรมชาติช่วงปลายปีมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น

เมื่อวานนี้ (31 ก.ค.67) นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) และโฆษกกระทรวงพลังงาน ได้เปิดเผยว่า

ที่ประชุม กบง. ซึ่งมี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ที่ประชุมมีมติให้นำส่วนต่างต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติที่เกิดจากผลการดำเนินการตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2566

โดยในการปรับหลักเกณฑ์การคิดราคาก๊าซธรรมชาติที่เข้าและออกจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ มาช่วยลดภาระค่าครองชีพด้านพลังงานให้กับประชาชนผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) โดยการนำส่วนต่างราคาดังกล่าวมาช่วยพยุงราคาขายปลีก NGV ไม่ให้มีการปรับขึ้นอย่างทันทีจากราคาก๊าซธรรมชาติในช่วงปลายปีที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ 16 สิงหาคม - 15 ตุลาคม 2567 โดยมอบหมายให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รับไปดำเนินการและให้รายงานผลการดำเนินการให้ กบง. ทราบต่อไป

นายวีรพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมยังได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอการปรับปรุงหลักการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมสำหรับโครงการผลิตไฟฟ้ากลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง และขยะอุตสาหกรรม ในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับปี 2565 - 2573 เพื่อสนับสนุนการลงทุนในพลังงานสะอาด

โดยมีการทบทวนและปรับหลักการสำหรับผู้ยื่นคำเสนอที่ผ่านหลักเกณฑ์ในรอบแรกที่ไม่ได้รับการคัดเลือก จะได้รับการพิจารณารับซื้อเป็นลำดับแรกในปริมาณการรับซื้อไฟฟ้ารวมไม่เกิน 600 เมกะวัตต์ สำหรับพลังงานลม และไม่เกิน 1,580 เมกะวัตต์ สำหรับพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน สำหรับโควตาส่วนที่เหลือจากการเปิดรับซื้อข้างต้น ให้เป็นการเปิดรับซื้อเป็นการทั่วไป

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอหลักการการปรับเลื่อนกำหนดวันเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (SCOD) สำหรับโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 - 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018 Rev.1) ในช่วงปี พ.ศ. 2564 - 2573 (ปรับปรุงเพิ่มเติม) ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งทุเลาของศาลปกครองกลาง จำนวน 22 โครงการ ทำให้โครงการต้องชะลอการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง

ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายให้ กกพ. ไปพิจารณาปรับกรอบระยะเวลาการเข้าทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และปรับเลื่อนกำหนด SCOD สำหรับโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมดังกล่าวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของแต่ละโครงการได้ตามสมควร

ทั้งนี้ ไม่ให้เกินกรอบภายในปี พ.ศ. 2573 เพื่อให้ไม่กระทบต่อแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดของประเทศตามเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ 30-40% (Nationally Determined Contribution: NDC) ภายในปี พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030)

'รัดเกล้า' เผย!! ไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดประชุม AALCO สมัยที่ 62 เล็งยก 'กฎหมายทะเล-การค้าระหว่างประเทศ' ขึ้นถกเพื่อประโยชน์ไทย

(1 ส.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีขององค์การที่ปรึกษากฎหมายแห่งเอเชียและแอฟริกา (Asian - African Legal Consultative Organization: AALCO) (การประชุมประจำปีของ AALCO) สมัยที่ 62 ระหว่างวันที่ 8 - 13 กันยายน 2567

รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า AALCO ตั้งขึ้นเมื่อปี 2499 ปัจจุบันมีประเทศสมาชิกจากทวีปเอเชียและแอฟริกา รวม 48 ประเทศ โดยสำนักงานเลขาธิการของ AALCO ตั้งอยู่ ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้กลุ่มประเทศเอเชียและแอฟริกามีบทบาทในการประมวลและพัฒนากฎหมายระหว่างประเทศ และผลักดันพัฒนาการดังกล่าวให้สอดคล้องกับท่าทีและผลประโยชน์ของประเทศในเอเชียและแอฟริกา การประชุมประจำปีของ AALCO เป็นเวทีที่ประเทศสมาชิกจะอภิปรายแสดงความเห็นและท่าทีในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการของกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นที่สนใจของประเทศสมาชิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพัฒนาการในกรอบคณะกรรมาธิการกฎหมายระหว่างประเทศ (International Law Commission: ILC) และคณะกรรมการ 6 (กฎหมาย) ของสมัชชาสหประชาชาติ ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทย ในฐานะสมาชิกของ AALCO ได้ใช้เวทีดังกล่าวในการติดตามพัฒนาการของกฎหมายระหว่างประเทศ และผลักดันท่าทีประเทศไทยในประเด็นที่ประเทศไทยให้ความสำคัญเพื่อให้พัฒนาการของกฎหมายระหว่างประเทศเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับท่าทีและผลประโยชน์ของประเทศไทยและประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ในทวีปเอเชียและแอฟริกา

การประชุมประจำปีของ AALCO เป็นการประชุมที่มีหัวหน้าคณะระดับรัฐมนตรี โดยมีกำหนดจัดการประชุมในช่วงเดือนกันยายน - ตุลาคม ของทุกปีก่อนการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (United Nations General Assembly: UNGA) โดยในการประชุมประจำปี AALCO สมัยที่ 61 ณ เมืองบาหลี อินโดนีเซีย ที่ประชุมเห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปี ของ AALCO ในสมัยที่ 62 โดย กต. เสนอให้จัดการประชุมประจำปี สมัยที่ 62 ระหว่างวันที่ 8 - 13 กันยายน 2567 โดยไทยเคยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของ AALCO มาแล้ว 2 สมัย ได้แก่ สมัยที่ 8 เมื่อปี 2509 และสมัยที่ 26 เมื่อปี 2530

ทั้งนี้ AALCO ครั้งที่ 62 จะมีผู้เข้าร่วมการประชุมเป็นผู้แทนระดับรัฐมนตรีหรือเทียบเท่าจากหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านกฎหมายระหว่างประเทศของประเทศสมาชิก ผู้แทนประเทศและองค์การระหว่างประเทศ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศจากสาขาต่าง ๆ และผู้แทนจากหน่วยงานของประเทศไทย รวมทั้งสิ้นประมาณ 250 - 300 คน โดยประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยที่จะหยิบยกขึ้นมาพิจารณา อาทิ เรื่องกฎหมายทะเล และกฎหมายการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ เป็นต้น

‘ปชช.’ แห่ลงทะเบียน 'ทางรัฐ' รับสิทธิเงินดิจิทัล จนขึ้นเทรนด์ X หลายรายโอด!! แอปฯ ‘ค้าง-เด้งออก’ หลังเปิดให้กรอกมา 1 ชม.

(1 ส.ค. 67) วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดให้ลงทะเบียนยืนยันรับสิทธิโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ ซึ่งประชาชนให้ความสนใจอย่างมาก โดยแฮชแท็ก #แอปทางรัฐขึ้นอันดับ 1 เทรนด์แอปพลิเคชัน X รวมถึง #ดิจิทัลวอลเล็ต ก็อยู่อันดับต้น ๆ เช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ดี หลังจากเปิดลงทะเบียนมาประมาณ 1 ชั่วโมง เริ่มมีหลายรายบ่นว่า แอปทางรัฐมีอาการค้าง หรือบางรายก็ล็อกอินเข้าระบบแล้วก็เด้งออก รวมถึงบางรายก็ได้รับข้อความ แจ้งขออภัย เนื่องจากมีผู้ใช้งานจำนวนมาก แต่บางคนก็สามารถลงทะเบียนได้

ด้าน นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่า รัฐบาลมีการให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือกระทรวงดีอีเอส และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA ตั้งวอร์รูม รองรับการแก้ไขปัญหาการลงทะเบียนที่อาจไม่คาดหมายที่จะเกิดขึ้น และหากประชาชนมีข้อสงสัย หรือติดปัญหาใด สามารถติดต่อ Call Center ได้ที่หมายเลข 1111

‘ธอส.’ ออกมาตรการช่วยเหลือ ‘ลูกหนี้’ รักษาบ้านของตนเอง ปรับดอกเบี้ยเหลือ 3.55% ต่อปี-ขยายเวลาผ่อนชำระนาน 2 ปี

(31 ก.ค. 67) นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส.ได้จัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ให้ความช่วยเหลือลูกค้านานสูงสุด 2 ปี จำนวน 2 มาตรการ ประกอบด้วย

>> 1. มาตรการช่วยเหลือ ‘DC1’ สำหรับกลุ่มลูกค้าสถานะ SM, ลูกค้าสถานะ NPL และลูกหนี้สถานะมีโจทก์นอก ที่กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี 

สามารถผ่อนชำระเงินงวดที่คำนวณจากอัตราดอกเบี้ยที่ 3.55% ต่อปี และ +100 บาท เป็นระยะเวลา 2 ปี กรณีลูกค้าชำระเกินกว่าที่ธนาคารกำหนด ให้นำไปตัดดอกเบี้ยค้างชำระ (หากมี)

>> 2. มาตรการช่วยเหลือ ‘DC2’ สำหรับกลุ่มลูกค้าสถานะ NPL และลูกหนี้สถานะมีโจทก์นอก ที่กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี จะได้รับอัตราดอกเบี้ย 4 เดือนแรก 0% ต่อปี 

โดยผ่อนชำระเงินงวดเพียง 1,000 บาทต่อเดือน, เดือนที่ 5-8 ผ่อนชำระเงินงวดที่คำนวณจากอัตราดอกเบี้ยที่ 1.90% เพียง 50% และ +100 บาท และเดือนที่ 9-12 ผ่อนชำระเงินงวดคำนวณจากอัตราดอกเบี้ยที่ 3.90% เพียง 50% และ +100 บาท 

กรณีลูกค้าชำระเกินที่ธนาคารกำหนดให้นำไปตัดดอกเบี้ยค้างชำระ (หากมี) ทั้งนี้ ดอกเบี้ย 50% ของงวดที่ 5-12 ธนาคารจะพักชำระไว้ เมื่อลูกค้าผ่อนชำระครบตามเงื่อนไขจะได้รับส่วนลดดอกเบี้ย 50% ช่วงที่อยู่ในมาตรการ

“การจัดทำมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ ของ ธอส. ในภาวะที่ลูกค้าได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจ นอกจากจะเป็นการช่วยเหลือลูกค้าให้ได้มีบ้านเป็นของตนเองแล้ว ยังช่วยลูกค้ารักษาบ้านของตนเองได้ต่อไป ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดนี้ ในภาพรวมจะส่งผลดีต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ และภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศให้ขยายตัวดีขึ้นตามไปด้วย” 

สำหรับลูกค้าที่ประสงค์เข้าร่วมมาตรการข้างต้น สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2567 ผ่านทาง Application : GHB ALL BFRIEND โดยลูกค้าจะต้อง Upload หลักฐานยืนยันการได้รับผลกระทบทางรายได้เพื่อให้ธนาคารพิจารณาด้วย 

‘NETA’ หั่นราคา NETA V รุ่นแรก เหลือ!! 399,000 บาท พร้อมฟรีประกันภัยชั้น 1 - Wallbox พิกัดศูนย์ย่านนนทบุรี

(31 ก.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ‘ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า’ สะเทือนอีก เมื่อโลกออนไลน์เปิดเผยว่า ค่ายรถยนต์ EV ดังอย่างเนต้า (NETA) เตรียมลดราคาจำหน่าย เนต้า วี (NETA V) และ เนต้า วี-ทู (NETA V-II) จากเดิมลงไป 110,000-120,000 บาท

โดย NETA V รุ่น LITE จะลดราคาลงจากเดิม 120,000 บาท ทำให้ราคาขาย 549,000 บาท ลดราคาลงมาเหลือ 429,000 บาท ส่วน NETA V-II SMART จะลดราคาลง 110,000 บาท จากเดิม 569,000 บาท ทำให้ราคาลงไปอยู่ที่ 459,000 บาท

นอกจากนี้ NETA ลดราคา NETA V รุ่นแรก เหลือเพียง 399,000 บาทเท่านั้น โดยภาพดังกล่าว เป็นศูนย์ที่อยู่ย่านนนทบุรี ถือเป็นล็อตสุดท้ายราคาใหม่ ฟรีประกันภัยชั้น 1 และฟรี Wallbox อีกด้วย

‘OR’ ผนึกกำลัง ‘บาชุนดารา กรุ๊ป’ ขยายธุรกิจ ‘Café Amazon’ ในบังกลาเทศ ตั้งเป้าเปิดสาขาแรกไตรมาส 4 ปีนี้ พร้อมวางแผนต้องมีอย่างน้อย 100 สาขา

(31 ก.ค.67) นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR และนายอาห์เมด อัคบาร์ โซบาน (Ahmed Akbar Sobhan) ประธานกรรมการ บาชุนดารา กรุ๊ป (Chairman of Bashundhara Group) ร่วมลงนามสัญญาการมอบสิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์ (Master Franchise) คาเฟ่ อเมซอน ในประเทศบังกลาเทศอย่างเป็นทางการ โดยมี นายพสุศิษฏ์ วงศ์สุรวัฒน์ อัครราชทูต ณ กรุงไคโร ปฏิบัติหน้าที่ราชการ ณ กรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา กระทรวงการต่างประเทศ และ นายโมฮัมหมัด มาซูมูร์ ราฮามาน (Mr. Md. Masumur Rahaman) อัครราชทูตที่ปรึกษา (Counsellor and Head of Chancery) สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ประจำประเทศไทย ร่วมเป็นเกียรติในพิธี ณ ห้องกรุงเทพ 1 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร โดยวางแผนจะเปิดคาเฟ่ อเมซอน สาขาแรกภายในไตรมาส 4 ของปี 2567 และมีเป้าหมายเปิดร้านอย่างน้อย 100 สาขาต่อไป

โดยนายดิษทัต เปิดเผยว่า ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการขยายธุรกิจคาเฟ่ อเมซอน สู่ตลาดบังกลาเทศ ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง ด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็ว ตลาดผู้บริโภคที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และวัฒนธรรมการบริโภคกาแฟที่กำลังเติบโตอย่างมาก นอกจากนี้ ผู้บริโภคชาวบังกลาเทศยังมีความชื่นชอบในสินค้าและแบรนด์จากประเทศไทย เนื่องจากไว้วางใจในคุณภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ รวมถึงมีความเชื่อมั่นในแบรนด์ที่มาจากประเทศไทย และยังเป็นการเสริมสร้างศักยภาพกลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์ของ OR แข็งแกร่งยิ่งขึ้น สอดคล้องกับหนึ่งในพันธกิจของ OR ที่มุ่งสร้างทางเลือกเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคทุกไลฟ์สไตล์อย่างครบวงจร

ทั้งนี้ การขยายธุรกิจครั้งนี้ OR หวังว่าด้วยความชำนาญในธุรกิจกาแฟของ OR ที่ช่วยส่งเสริมศักยภาพในการเติบโตของคาเฟ่ อเมซอน ผนวกกับความเชี่ยวชาญในการบริหารธุรกิจหลากหลาย ซึ่งครอบคลุมธุรกิจด้านอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มของบาชุนดารา กรุ๊ป จะทำให้ คาเฟ่ อเมซอน ได้รับการต้อนรับจากผู้บริโภคในบังกลาเทศเป็นอย่างดี และสามารถร่วมกันสร้างโอกาสในการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป โดย OR จะเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่ง และจะยังคงพัฒนาธุรกิจคาเฟ่ อเมซอน อย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอเครื่องดื่มและบริการที่ดีที่สุดแก่ผู้บริโภคชาวบังกลาเทศต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของ OR ในการขยายฐานการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันกับสังคม ชุมชน และเศรษฐกิจในพื้นที่ ตลอดจนสร้างความสำเร็จและการยอมรับในตลาดโลก นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังเป็นไปตามวิสัยทัศน์ของ OR คือ ‘Empowering All toward Inclusive Growth’ หรือ เติมเต็มโอกาสเพื่อทุกการเติบโตร่วมกัน 

'รมว.ปุ้ย' เสนอบังคับ 'มาตรฐานเหล็กเคลือบ' ผ่าน ครม. ฉลุย หลังประชาชนร้อง!! 'เหล็กเคลือบห่วย' เต็มท้องตลาด

(31 ก.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ผลักดันให้มีการบังคับใช้มาตรฐานเหล็กเคลือบ ทั้งเคลือบสังกะสี อะลูมิเนียม แมกนีเซียม และเคลือบสี หลังจากได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่า มีการจำหน่ายเหล็กเคลือบไม่ได้มาตรฐานในท้องตลาด จึงได้เร่งรัดให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ดำเนินการบังคับใช้มาตรฐานโดยเร็ว เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน และปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการนำเข้าเหล็กเคลือบคุณภาพต่ำเข้ามาจำหน่ายในราชอาณาจักร สร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมเหล็ก และอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่นำเหล็กเคลือบไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเป็นอย่างมาก 

โดยเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ครม. ได้มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง จำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนเคลือบอะลูมิเนียม 55% ผสมสังกะสี โดยกรรมวิธีจุ่มร้อน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. … และร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสี โดยกรรมวิธีจุ่มร้อน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. … ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในเดือนพฤษภาคม 2568  

นอกจากนี้ ครม. ยังได้เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดเล็กที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... เพื่อแก้ไขปัญหามลภาวะด้านฝุ่นละออง และควบคุมการระบายมลพิษจากแหล่งกำเนิด โดยใช้กลไกของกฎหมายในการควบคุมและกำกับดูแล เพื่อยกระดับมาตรฐานมลพิษทางอากาศที่เกิดจากยานยนต์ ให้สอดคล้องกับมาตรฐานในระดับสากล (ยูโร 6) และพัฒนาขีดความสามารถของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย ให้มีศักยภาพสูงขึ้น รวมทั้งเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนในด้านสุขภาพการได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศ โดยมาตรฐานดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2568 

ด้าน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจาก ครม. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงทั้ง 3 ฉบับแล้ว สมอ. จะเร่งจัดทำกฎกระทรวง เพื่อเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงนาม และนำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ทั้งนี้ ผู้ทำ ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กเคลือบและรถยนต์ขนาดเล็กที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินดังกล่าว จะต้องขอรับใบอนุญาตทำ นำเข้าจาก สมอ. ก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ สำหรับความคืบหน้าของการบังคับใช้มาตรฐานยูโร 6 ของรถยนต์ประเภทอื่น ๆ เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศ สมอ. ได้มีการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์ และหน่วยงานภาครัฐ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา เพื่อให้ผู้ผลิตรถยนต์เตรียมความพร้อมและวางแผนการผลิตรถยนต์ตามกรอบระยะเวลาต่อไป  

'กกพ.' เคาะค่าไฟใหม่เป็นทางการ 4.18 บาท กลุ่มเปราะบาง 3.99 บาท หลัง 'พีระพันธุ์' สั่งตรึงราคา จบตัวเลขก่อนหน้าที่จ่อพุ่งแตะ 6 บาท

(31 ก.ค.67) แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในวันนี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เตรียมประชุมเห็นชอบค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) เรียกเก็บในงวดสุดท้ายของปี ก.ย.-ธ.ค. 67 อย่างเป็นทางการ หลังจากเปิดรับฟังความคิดเห็นในกรณีต่าง ๆ ผ่านทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 12-26 ก.ค. 67 ใน 3 กรณี คือ กรณีแรก หน่วยละ 4.65 บาท กรณี 2 หน่วยละ 4.92 บาท และกรณี 3 หน่วยละ 6.01 บาท แต่ละกรณีแตกต่างกันที่การชำระหนี้คงค้างจำนวน 98,495 ล้านบาท ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)

อย่างไรก็ตาม แม้ กกพ.จะประกาศ 3 ราคา ซึ่งเป็นการปรับขึ้นค่าไฟทั้งหมด จากงวดปัจจุบันอยู่ที่หน่วยละ 4.18 บาท แต่ทางนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ได้ขอที่ประชุม ครม.พิจารณาแนวทางการช่วยเหลือประชาชนให้ตรึงราคาค่าไฟฟ้างวดสุดท้ายไว้เท่าเดิม คือ หน่วยละ 4.18 บาท ซึ่งทาง ครม.วันที่ 23 ก.ค. 67 ได้อนุมัติแนวทางตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ภายใต้แนวทางการบริหารจัดการภาระค่าเชื้อเพลิงร่วมกับ กฟผ. และบมจ.ปตท. รวมถึงการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่กรอบไม่เกินลิตรละ 33 บาท โดยใช้งบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จนถึงวันที่ 31 ต.ค. 67 ซึ่งขณะนี้ทาง กกพ.ได้รับหนังสือยินยอมภาระต้นทุนคงค้าง และจะทยอยคืนทีหลังจาก กฟผ.แล้ว และคาดว่า วันที่ 30 ก.ค. ทาง ปตท.จะส่งหนังสือรับภาระต้นทุนคงค้าง และทยอยจ่ายคืนทีหลังเช่นกัน

ทั้งนี้หากที่ประชุมบอร์ด กกพ. อนุมัติและประกาศเป็นทางการแล้ว คาดว่า ใช้เวลา 1-2 วัน หรืออย่างช้าสุดไม่เกิน 1 สัปดาห์หลังจากบอร์ดเห็นชอบ ส่งผลให้บิลค่าไฟฟ้าเดือน ก.ย.–ธ.ค. 67 อัตราค่าไฟฟ้าสำหรับประชาชนทั่วไปจะอยู่ที่หน่วยละ 4.18 บาท ส่วนกลุ่มเปราะบาง ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ยังคงไว้ในอัตราเดิมหน่วยละ 3.99 บาท มีจำนวน 17.7 ล้านครัวเรือนเช่นเดิม โดย ครม.จะนำงบกลางมาชดเชย

อย่างไรก็ตามผลจากการตรึงราคาค่าไฟฟ้างวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. 67 อยู่ที่หน่วยละ 4.18 บาท จากที่ควรต้องปรับขึ้นตามแนวทางที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดรับฟังความคิดเห็น เป็นที่ 4.65-6.01 บาทต่อหน่วย ทำให้ ปตท.และ กฟผ. จะยังไม่ได้รับการคืนต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริง หรือเอเอฟก๊าซ ที่ทั้ง 2 หน่วยงานร่วมกันแบกรับภาระแทนประชาชนไปก่อน 15,083.79 ล้านบาท โดย กฟผ.จะได้รับคืนภาระต้นทุนคงค้างที่เกิดขึ้นจริงเพียงหน่วยละ 5 สตางค์ จากภาระต้นทุนคงค้างที่สะสมอยู่จำนวน 98,495 ล้านบาท จะต้องรอทยอยเรียกเก็บคืนจากประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าในภายหลัง ซึ่งยังไม่รู้อนาคตว่า งวดแรกของปี 68 (ม.ค.-เม.ย.) จะต้องรับภาระยืดการชำระไปอีกหรือไม่ เนื่องจากทิศทางราคาพลังงานยังมีแนวโน้มผันผวนอย่างต่อเนื่อง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top