Tuesday, 10 June 2025
ECONBIZ

‘กฟผ.’ จับมือ ‘CNOS’ เซ็น MOU แลกเปลี่ยนความรู้-เทคโนโลยี เตรียมความพร้อมพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็กในไทย

กฟผ. และบริษัทยักษ์ใหญ่จีน CNOS ร่วมลงนาม MOU แลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ตลอดจนศึกษาความเป็นไปได้ในการนำโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) มาใช้ในไทย มุ่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างความมั่นคงและยั่งยืนด้านการจัดหาพลังงานระยะยาว

เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 67 นายทิเดช เอี่ยมสาย รองผู้ว่าการพัฒนาโรงไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ Mr.Qiao Gang, Vice President of China National Nuclear Corporation Overseas Ltd. (CNOS) จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ด้านเทคโนโลยีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ มุ่งส่งเสริมพลังงานสะอาด สร้างความมั่นคงและความยั่งยืนด้านการจัดหาพลังงาน ณ ห้อง Press Conference ชั้น 3 อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่ กฟผ.

นายทิเดช เอี่ยมสาย รองผู้ว่าการพัฒนาโรงไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน กฟผ. เปิดเผยว่า กฟผ. มีเป้าหมายบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 ด้วยการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ซึ่งพลังงานนิวเคลียร์เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าสูง ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการผลิตไฟฟ้า สามารถช่วยเพิ่มความมั่นคงและความยั่งยืนด้านการจัดหาพลังงานในระยะยาวได้ 

ปัจจุบัน กฟผ. อยู่ระหว่างศึกษาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor: SMR) ตลอดจนการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นเพื่อรองรับโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทย ซึ่ง SMR เป็นหนึ่งในพลังงานทางเลือกที่มีความเป็นไปได้ในแผนพลังงานชาติ เพื่อตอบสนองความต้องการใช้พลังงานในอนาคตและเสริมความมั่นคงด้านพลังงาน นอกจากนี้โรงไฟฟ้า SMR มีขนาดเล็กจึงมีความยืดหยุ่นและความปลอดภัยสูง โดยออกแบบและผลิตเป็นโมดูลในโรงงานแล้วนำไปติดตั้งในพื้นที่ ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและระยะเวลาการก่อสร้างได้ 

ด้าน Mr.Qiao Gang, Vice President of CNOS กล่าวว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนมีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าแล้ว 57 เครื่อง (Unit) และกำลังก่อสร้างหรืออยู่ในระหว่างขออนุมัติจากรัฐบาล 36 เครื่อง โดยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ของ China National Nuclear Corporation (CNNC) ที่เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าแล้ว 26 เครื่อง และอยู่ระหว่างก่อสร้างหรืออนุมัติ 18 เครื่อง ซึ่ง CNNC เป็นบริษัทแม่ของ CNOS และเป็นบริษัทเดียวในสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ดำเนินธุรกิจด้านนิวเคลียร์อย่างครบวงจรตั้งแต่ การทำเหมืองยูเรเนียมที่เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ การออกแบบและก่อสร้าง จนถึงการจัดการเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้ว และเป็นกำลังหลักในการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเฉพาะการพัฒนาโรงไฟฟ้า SMR ที่ทั่วโลกให้ความสนใจเป็นอย่างมาก CNNC อยู่ระหว่างการก่อสร้าง SMR แห่งแรก 

โดยกำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ภายในสิ้นปี 2568 สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อทราบว่า กฟผ. เป็นหน่วยงานสำคัญด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทย มีความมุ่งมั่นในการสำรวจและพัฒนาพลังงานไฟฟ้าของประเทศไปสู่ความยั่งยืน ตามแนวทางที่รัฐบาลไทยกำลังพิจารณาและวางแผนการใช้โรงไฟฟ้า SMR ในทศวรรษหน้า เนื่องจากพลังงานนิวเคลียร์เป็นพลังงานสะอาด มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย รวมทั้งมีบทบาทสำคัญในการลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก

การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้ กฟผ. และ CNOS จะร่วมกันแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดใหญ่ และโรงไฟฟ้า SMR ทั้งในด้านเชื้อเพลิง งานวิศวกรรม งานก่อสร้าง การดำเนินงานและการบำรุงรักษา รวมถึงการจัดการกากกัมมันตรังสีและเชื้อเพลิงใช้แล้ว โดย CNOS จะให้การสนับสนุนการศึกษาและเตรียมการพัฒนาโรงไฟฟ้า SMR ของ กฟผ. เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ด้านพลังงานนิวเคลียร์และการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสู่การดำเนินงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

'GAC Group' ประกาศศักดา 'HYPTEC SSR' ที่สุดแห่งไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้า ก้าวกระโดดครั้งใหม่ของอุตสาหกรรมยานยนต์จีน จ่อลุยตลาดโลก

ประกาศศักดาอย่างเต็มตัวไปเมื่อ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา หลังจาก GAC Group ได้เปิดตัว HYPTEC SSR เวอร์ชัน Global Model อย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ให้กับไฮเปอร์คาร์จากประเทศจีนที่พร้อมจะทำตลาดในระดับโลก นับเป็นการยกระดับเทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ของประเทศจีนไปสู่มาตรฐานระดับโลก โดยรถไฮเปอร์คาร์ถือเป็น 'ที่สุดของรถยนต์สมรรถนะสูง' ในอุตสาหกรรมยานยนต์ การผลิต HYPTEC SSR และจำหน่ายในต่างประเทศได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่เป็นการทำลายการผูกขาดเทคโนโลยีของไฮเปอร์คาร์จากชาติตะวันตกเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งออกผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี วัฒนธรรม และแบรนด์รถยนต์ระดับสูงของจีนอีกด้วย นับเป็นการก้าวกระโดดครั้งใหม่ของอุตสาหกรรมยานยนต์จีน

นับตั้งแต่ HYPTEC SSR เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา HYPTEC ได้มุ่งมั่นพัฒนารถยนต์ในทุกด้าน ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนา การออกแบบ การทดสอบ การผลิตอัจฉริยะ และระบบห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาจะช่วยยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมยานยนต์จีน อีกทั้งยังได้ส่งเสริมนวัตกรรมยานยนต์และวงการมอเตอร์สปอร์ตในประเทศ ทำให้จีนก้าวสู่การเป็นประเทศที่มีอิทธิพลในวงการยานยนต์ระดับโลก

HYPTEC ยึดมั่นในแนวทางที่จริงจังและมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนารถยนต์ระดับพรีเมียม ซึ่งสามารถดึงดูดนักออกแบบดีไซน์รถยนต์ระดับโลกอย่างคุณ Pontus Fontaeus นักออกแบบรถยนต์ชื่อดังที่เคยร่วมงานกับแบรนด์รถยนต์ระดับโลกอย่าง Ferrari, Bugatti และ Lamborghini ได้เลือกที่จะร่วมมือกับ HYPTEC ในการรังสรรค์ HYPTEC SSR ให้เป็นงานศิลปะชิ้นเอก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณภาพสูงสุดของไฮเปอร์คาร์ยุคใหม่

ในงาน Thailand International Motor Expo 2023 ที่ผ่านมา HYPTEC SSR ได้สร้างสถิติราคาสูงสุดสำหรับการส่งออกรถยนต์ของประเทศจีน และยังมีการสั่งซื้อจากลูกค้าภายในงานอีกด้วย นอกจากนี้ที่งาน Milan Design Week ไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้า HYPTEC SSR ได้รับความสนใจจากนักออกแบบทั่วโลก ด้วยการผสมผสานศิลปะจีนและตะวันตกเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว สร้างความประทับใจให้กับผู้คนภายในงานเป็นอย่างยิ่ง และในเดือนตุลาคมนี้ HYPTEC SSR ยังมีแผนที่จะเข้าร่วมงาน Paris Motor Show เพื่อแสดงศักยภาพเทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศจีนในภูมิภาคยุโรปอีกด้วย

การเปิดตัวรถเวอร์ชัน Global Model ของ HYPTEC SSR ยังเป็นการเสริมสร้างการยอมรับในความสามารถของอุตสาหกรรมยานยนต์จีนจากผู้บริโภคในต่างประเทศอีกด้วย HYPTEC ได้ก้าวข้ามพรมแดนออกจากประเทศจีน และไม่เพียงแต่แสดงถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาสู่ตลาดโลก แต่ยังยกระดับสถานะของอุตสาหกรรมยานยนต์จีนในระดับสากล HYPTEC ใช้ความสามารถและนวัตกรรมที่โดดเด่น เพื่อเปลี่ยนมุมมองของผู้บริโภคที่ให้ความเชื่อมั่นแบรนด์รถยนต์ระดับไฮเอนด์จากฝั่งตะวันตก ให้หันมาสนใจรถยนต์ระดับไฮเอนด์จากประเทศจีนมากยิ่งขึ้น 

ทั้งนี้ การเปิดตัว HYPTEC SSR เวอร์ชัน Global Model เป็นสัญญาณของการก้าวสู่แบรนด์ระดับโลกในระดับไฮเอนด์ โดย HYPTEC SSR ซึ่งเป็นไฮเปอร์คาร์ที่ถูกออกแบบ วิจัย พัฒนา และผลิตขึ้นเองโดย GAC ทั้งหมด ได้สร้างมาตรฐานใหม่ในวงการซูเปอร์คาร์และไฮเปอร์คาร์ เป็นการเปิดประตูให้กับไฮเปอร์คาร์จากประเทศจีนสู่เวทีระดับโลกอย่างแท้จริง เพื่อสร้างรถไฮเปอร์คาร์หมายเลขหนึ่งของจีน HYPTEC ได้ก้าวผ่านความท้าทายทางเทคนิคหลายประการ ตั้งแต่การออกแบบจนถึงการวิจัยและพัฒนา และในที่สุดก็ประสบความสำเร็จในการสร้างสายการผลิตไฮเปอร์คาร์ของประเทศจีนเป็นครั้งแรก HYPTEC SSR ได้ใช้มาตรฐานการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ถึง 1,184 มาตรฐาน ในการสร้างสรรค์ศิลปะและเทคโนโลยีเพื่อมอบประสบการณ์เหนือระดับให้กับผู้ใช้งาน ทั้งยังเป็นการกำหนดมาตรฐานการผลิตไฮเปอร์คาร์ในระดับสากลอีกด้วย

HYPTEC SSR ได้รับการออกแบบด้วยเทคโนโลยีระดับโลกหลายอย่าง รวมถึงตัวถังที่ทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ 100% โครงสร้างที่ทำจากอะลูมิเนียมมีน้ำหนักเบาและมีความแข็งแรงสูง ในด้านเทคโนโลยีระบบไฟฟ้า HYPTEC SSR ได้พัฒนาระบบแบตเตอรี่ที่สามารถจัดการความร้อนได้ดี ช่วยให้สามารถส่งพลังงานไปสู่ระบบขับเคลื่อนได้อย่างต่อเนื่อง ในส่วนของมอเตอร์ไฟฟ้า HYPTEC SSR ใช้มอเตอร์สามตัวที่ให้กำลังมากกว่า 1,000 แรงม้า นอกจากนี้ยังใช้ยางที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นยางเกรดเดียวกับที่ใช้ในอากาศยาน พร้อมด้วยจานเบรกที่ทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์คุณภาพสูง ถือเป็นการเติมเต็มช่องว่างในเทคโนโลยีรถสมรรถนะสูงของประเทศจีน

นอกจากนี้ การเปิดตัว HYPTEC SSR เวอร์ชัน Global Model ยังได้รับความสนใจจากผู้บริโภคในต่างประเทศมากมาย ซึ่งเป็นการเริ่มต้นบทใหม่ของแบรนด์ HYPTEC ในระดับสากล HYPTEC SSR จะเริ่มต้นการส่งมอบในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเดือนสิงหาคมนี้ และจะขยายตลาดไปยังตะวันออกกลาง อเมริกาใต้ และยุโรปอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะทำให้ HYPTEC ได้รับการยอมรับในฐานะแบรนด์รถยนต์ระดับไฮเอนด์ของโลก อีกทั้งการเปิดตัว HYPTEC SSR เวอร์ชัน Global Model ยังเป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาที่ครอบคลุมทั้งในด้านการวิจัย การออกแบบ การทดสอบ การผลิตอัจฉริยะ และห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์จีน และเป็นการแสดงให้เห็นถึงเสน่ห์และนวัตกรรมของยานยนต์ระดับไฮเอนด์จากประเทศจีนอีกด้วย

สำหรับลูกค้าที่สนใจรถยนต์ไฟฟ้า AION รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะที่มาพร้อมกับฟีเจอร์และเทคโนโลยีอัจฉริยะระดับโลก สามารถเข้าไปทดลองขับได้ที่ศูนย์บริการ AION ทั่วประเทศ และสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:

Website : https://www.aionauto.com/
Facebook : https://www.facebook.com/AIONthailand
Instagram : https://www.instagram.com/aion_thailand/
X (Twitter) : https://x.com/AION_TH
Tiktok : https://www.tiktok.com/@aion_thailand

'รมว.ปุ้ย' สั่ง 'สนอ.' เกาะติดราคาน้ำตาลตลาดโลก ห่วง!! อาจกระทบราคาอ้อยในไทยปี 67/68

เมื่อวานนี้ (15 ส.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้กำชับให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ติดตามสถานการณ์ราคาน้ำตาลตลาดโลกอย่างใกล้ชิด ห่วงอาจกระทบกับราคาอ้อยในประเทศ ฤดูการผลิตปี 2567/68 ซึ่งสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ราคาน้ำตาลตลาดโลกเฉลี่ยที่ระดับ 20 เซนต์ต่อปอนด์ ลดลง 16.67% จากปี 2566 ที่ราคาอยู่ในระดับ 24 เซนต์ต่อปอนด์ เนื่องจากมีสต็อกน้ำตาลในตลาดโลกเป็นจำนวนมาก และบราซิล ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ของโลกมีผลผลิตน้ำตาลที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งได้เพิ่มสัดส่วนการผลิตน้ำตาล ประกอบกับในฤดูการผลิตปี 2566/67 ไทยมีผลผลิตน้ำตาล 8.81 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 12.80% จากที่คาดการณ์ไว้ว่าจะมี 7.81 ล้านตัน 

สำหรับสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 แนวโน้มราคาน้ำตาลตลาดโลกจะอยู่ในระดับที่ไม่เกิน 21 เซนต์ต่อปอนด์ โดยมีปัจจัยมาจากบราซิลสามารถผลิตน้ำตาลได้มากขึ้น และหากอินเดียได้เปลี่ยนนโยบายอนุญาตให้ส่งออกน้ำตาลได้ตามปกติ จะส่งผลให้สต็อกน้ำตาลในตลาดโลกสะสมเพิ่มขึ้น ส่วนไทยคาดว่าในฤดูการผลิตปี 2567/68 จะมีผลผลิตอ้อย 92 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 11.96% เมื่อเทียบกับฤดูการผลิตปีที่ผ่านมาที่มีปริมาณอ้อย 82.17 ล้านตัน

ด้าน นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) กล่าวว่า เบื้องต้น สอน. ได้นำตัวเลขมาคิดคำนวณราคาอ้อยในประเทศสำหรับฤดูการผลิตปี 2567/68 หากราคาน้ำตาลตลาดโลกยังคงอยู่ในระดับที่ 21 เซนต์ต่อปอนด์ จะส่งผลให้ราคาอ้อยเฉลี่ยอยู่ที่ 1,200 บาทต่อตันอ้อย ลดลง 15.49% เมื่อเทียบกับฤดูการผลิตปีที่ผ่านมาที่มีราคาอ้อยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,420 บาทต่อตันอ้อย 

อย่างไรก็ดี องค์ประกอบในการคำนวณราคาอ้อยในประเทศยังคงมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ในฤดูการผลิตปี 2567/68 สอน. จะมีแนวทางในการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตเพื่อให้ชาวไร่อ้อยมีผลผลิตที่ดี และโรงงานได้น้ำตาลทรายที่มีคุณภาพ ซึ่งจะช่วยผลักดันราคาอ้อยในประเทศให้สูงขึ้นในอนาคต สอดคล้องกับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่จะให้ชาวไร่อ้อยจะได้มีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะสามารถเพิ่มกำลังซื้อและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้อีกทาง

'ไทยออยล์' แจ้งข่าวดี!! ผู้รับเหมาช่วง จ่ายค่าจ้างกลุ่มผู้ใช้แรงงานแล้ว พร้อมขอบคุณทุกหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ช่วยผลักดันลุล่วง

(16 ส.ค.67) จากกรณีกลุ่มผู้ใช้แรงงานรวมตัวชุมนุมบริเวณริมถนนสุขุมวิท หน้าโรงกลั่นไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2567 เนื่องจากไม่ได้รับค่าจ้างจากผู้รับเหมาช่วงของ UJV - Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd., Petrofac South East Asia Pte. Ltd. และ Saipem Singapore Pte. Ltd. (UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem) นั้น

ในวันที่ 9 สิงหาคม 2567 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน และผู้แทน UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ได้ร่วมประชุมหารือเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่ไม่ได้รับชำระค่าจ้าง โดยมี ไทยออยล์ เข้าร่วมสังเกตการณ์ ณ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้ข้อสรุปว่า...

UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ตกลงจะนำเงินไปจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายให้กับลูกจ้างในวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานฯ 2 ฉบับ (ที่ 20/2567 และ 21/2567) โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจะเข้าไปกำกับดูแลกลไกและเงื่อนไขการจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายให้ครบถ้วน

ทั้งนี้ ในวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ไทยออยล์ ได้รับรายงานว่า บริษัท เอสทีพี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (STP) และ บริษัท เอสซีไอ สยาม โคเรีย อินดัสเตรียล จำกัด (SCI) ได้ชำระเงินค่าจ้างค้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างแล้ว ส่งผลให้กลุ่มลูกจ้างได้ยุติการรวมตัวชุมนุมบริเวณหน้าโรงกลั่นไทยออยล์เมื่อเวลา 18.15 น.

ทั้งนี้ ทาง ไทยออยล์ ได้แสดงความขอบคุณหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน, สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรี ที่ช่วยประสานและผลักดันให้กลุ่มผู้ใช้แรงงานที่รวมตัวชุมนุมดังกล่าวได้รับค่าจ้างค้างจ่าย ทำให้สถานการณ์คลี่คลาย บรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นของกลุ่มผู้ใช้แรงงาน และสามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติ

'ไฮเออร์' ทุ่มงบหมื่นล้าน ผุด รง.ผลิตแอร์ ใน WHA เป้า 6 ล้านเครื่องต่อปี หนุนไทยฮับการผลิตใหญ่ในอาเซียน พร้อมจ้างงานเพิ่ม 3,000 ตำแหน่ง

(15 ส.ค. 67) มร.โจว หยุนเจี๋ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ กรุ๊ป กล่าวว่า “นับเป็นก้าวสำคัญภายใต้วิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ในการมุ่งขยายธุรกิจให้ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคของโลก การขยายการเติบโตในครั้งนี้ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่แห่งใหม่และเป็นแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน

ซึ่งไทยนับเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค ประกอบกับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดเครื่องปรับอากาศในประเทศไทยที่มีมูลค่ากว่าหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งไฮเออร์ยังคงเป็นผู้นำในตลาดโดยมีส่วนแบ่งกว่า 13% เป็นยอดขายอันดับ 1 ในกลุ่มเครื่องปรับอากาศแมส ในแง่ของจำนวนในช่องทางออฟไลน์

ไอเออร์มีฐานการผลิตที่ไทยก่อนหน้านี้คือโรงงาน ณ ปราจีนบุรี เป็นฐานการผลิตตู้เย็นและตู้แช่ และโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศของไฮเออร์แห่งนี้ ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 324,000 ตร.ม. ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 3 (WHA ESIE 3) จ.ชลบุรี

โดยพื้นที่ดังกล่าวนับเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญภายใต้โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของประเทศไทย ห่างจากท่าเรือแหลมฉบังใน จ.ชลบุรี 49 กิโลเมตร และห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 131 กิโลเมตร

รวมถึงสามารถเชื่อมต่อด้านคมนาคมได้หลายเส้นทาง โดยโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศของไฮเออร์แห่งนี้ รองรับกำลังการผลิตเครื่องปรับอากาศสูงสุดถึง 6 ล้านเครื่องต่อปี โรงงานดังกล่าวมีแผนการดำเนินการก่อสร้างแบ่งเป็น 3 เฟส และมีกำหนดแล้วเสร็จภายในปี 2570

-เฟสแรกจะเปิดในส่วนของการผลิต 3 ล้านเครื่องในเดือนกันยายน 2568
-เฟสที่สองและเฟสสามจะเสร็จสิ้นพร้อมเปิดดำเนินการในปี 2569 และ 2570 ตามลำดับ

ทั้งนี้หลังจากดำเนินการก่อสร้างเสร็จสิ้นโรงงานแห่งนี้จะกลายเป็นฐานการผลิตเครื่องปรับอากาศที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตในต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศของไฮเออร์

การเติบโตของตลาดแอร์ในไทยที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท โดยไฮเออร์กินมาร์เก็ตแชร์เบอร์ 1 ที่ 13% ตลอดทั้งปี โฟกัสเจาะตลาดกลุ่ม Mid to High ตั้งเป้าสิ้นปี 67 กวาดรายได้ 11,000 ล้าน ซึ่งผ่านมาครึ่งปีแรกกวาดรายได้ทะลุ 6,600 ล้านบาท

โดยไอเออร์เป็นแบรนด์มีจุดแข็งเรื่องช่องทางจำหน่ายออฟไลน์ที่มีสัดส่วนกว่า 90% ช่องทางออนไลน์ 10% ทางแบรนด์มองเห็นโอกาสในการขยายช่องทางออนไลน์ให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 15-20% ภายในปีหน้า

พร้อมกันนี้ ไฮเออร์ยังมุ่งส่งเสริมการกระจายความรู้ทางด้านเทคโนโลยีอันโดดเด่นเฉพาะตัวของแบรนด์ทั้งด้านการวิจัย การผลิต และการขาย แก่บุคลากรเพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพ ผ่านความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชนท้องถิ่น โดยในอนาคตอีก 2 ปีข้างหน้า

เมื่อโรงงานดำเนินการสร้างเสร็จสมบูรณ์ คาดว่าจะกระตุ้นตลาดแรงงาน สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจกระจายรายได้สู่ชุมชน พร้อมสามารถสร้างงานให้ผู้คนในจังหวัดชลบุรีได้กว่า 3,000 ตำแหน่ง นับเป็นการส่งเสริมการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศไทยอีกหนึ่งช่องทาง

'เอ็มจี' ต้อนรับ ‘รมว.ปุ้ย’ ชมโรงงาน พร้อมร่วมเปิดไลน์ผลิต ‘ALL NEW MG3 HYBRID+’ ชูศักยภาพโรงงาน ด้วยกำลังการผลิตสูงสุด 100,000 คันต่อปี

(15 ส.ค.67) บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ - ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ได้รับเกียรติจาก นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รักษาการรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม, นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบการควบคุมทางสรรพสามิต และ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) พร้อมคณะและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมเปิดไลน์การผลิตรถไฮบริดรุ่นล่าสุด ALL NEW MG3 HYBRID+ ก่อนเปิดตัวและประกาศราคาอย่างเป็นทางการในไทย วันที่ 20 สิงหาคม นี้ พร้อมเยี่ยมชมฐานการผลิตรถยนต์เอ็มจีในไทย ที่ครอบคลุมการผลิตรถยนต์ในทุกรูปแบบการขับเคลื่อน ทั้งรถยนต์สันดาปภายใน รถยนต์พลังงานทางเลือก และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า รวมถึงโรงงานประกอบแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าแห่งแรก ในประเทศไทย พร้อมแสดงศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ที่ครอบคลุม

สำหรับ โรงงานผลิตรถยนต์แบบครบวงจรของ เอ็มจี ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 2 (WHA ESIE 2) จังหวัดชลบุรี บนพื้นที่ทั้งหมด 437.5 ไร่ พัฒนาขึ้นภายใต้งบการลงทุนที่สูงถึงกว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่ง เอ็มจี ถือเป็นแบรนด์รถยนต์จีนที่มีการลงทุนตั้งฐานการผลิตในไทยสูงเป็นอันดับต้น ๆ กับจุดเด่นของโรงงานที่สามารถผลิตและประกอบรถยนต์ครอบคลุมทุกรูปแบบการขับเคลื่อนด้วยกำลังการผลิตสูงสุด 100,000 คันต่อปี 

โดยมีพื้นที่ของโรงประกอบตัวถัง (Body Shop) โรงพ่นสีรถยนต์ (Paint Shop) โรงประกอบรถ (General Assembly Shop) ครอบคลุม ไปถึงส่วนของคลังจัดเก็บอะไหล่เพื่อรองรับรถยนต์ของเอ็มจีทุกรุ่น รวมถึงพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK ซึ่งประกอบด้วย โรงประกอบแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน 

ส่วนภายในโรงงานมีการจัดสรรพื้นที่เป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ ได้แก่ ส่วนการประกอบแบตเตอรี่ ประกอบด้วยสายการผลิตอัตโนมัติที่ทันสมัยอย่างการนำหุ่นยนต์ (Robotic) เข้ามาช่วยในการผลิตเพื่อให้ได้มาตรฐานที่แม่นยำสามารถประกอบแบตเตอรี่ Cell-To Pack ได้สูงสุดมากกว่า 50,000 แพ็คต่อปี

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยกว่า 10 ปี เอ็มจี ยังคงพัฒนาแบรนด์อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยอย่างครอบคลุม ในฐานะผู้บุกเบิกยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ โดย เอ็มจี ได้มีพัฒนาและขยาย MG EV ECOSYSTEM เพื่อรองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต พร้อมทั้ง ให้ความร่วมมือกับภาครัฐในนโยบายส่งเสริมต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายให้คนไทยได้ใช้ยานยนต์คุณภาพในราคา ที่เข้าถึงได้ ซึ่งล่าสุด เอ็มจี ได้เริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ เริ่มต้นด้วยโกลบอลโมเดลอย่าง NEW MG4 ELECTRIC 

นอกจากนี้ เอ็มจี ยังสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานทางเลือกอย่างยั่งยืน ด้วยการขยายไลน์การผลิตเพื่อรองรับการผลิตรถไฮบริดอย่าง ALL NEW MG3 HYBRID+ ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้ ตอกย้ำให้เห็นถึงเทคโนโลยียานยนต์ที่ผสมผสานทั้งระบบเครื่องยนต์สันดาปภายใน และระบบไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ ให้สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสอดรับกับทิศทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นอีกหนึ่งเซ็กเมนต์ ที่ไทยมีโอกาสเป็นฐานการผลิตระดับโลกได้ต่อไป

'นสพ.ไทยรัฐ' ออกประกาศ!! คุณสมบัติโครงการสมัครใจลาออก ยอมรับ!! ประสบปัญหาขาดทุน ยอดขายลดลง

(15 ส.ค.67) สำนักข่าวอิศรารายงานว่า เมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา บริษัท วัชรพล จํากัด ผู้จัดพิมพ์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ออกประกาศโครงการสมัครใจลาออก ถึงพนักงานในบริษัท โดยระบุว่า เนื่องจากปัจจุบันยอดจำหน่ายหนังสือพิมพ์ลดลงมาก ส่งผลกระทบกับธุรกิจ ทำให้บริษัทฯ ประสบภาวะขาดทุน ด้วยเหตุนี้ ทางบริษัทฯ จำเป็นต้องดำเนินการปรับลดค่าใช้จ่ายและลดอัตรากำลังในทุกหน่วยงาน 25% เพื่อให้ดำเนินธุรกิจได้ โดยรายละเอียดของโครงการดังกล่าว มีดังนี้ต่อไป 

1. คุณสมบัติของพนักงานที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการ
พนักงานสังกัดบริษัท วัชรพล จํากัด ทุกระดับ ที่ได้รับการบรรจุเป็นพนักงานประจํา

2. วิธีการดำเนินการ 
2.1) พนักงานที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการ ให้กรอกรายละเอียดในแบบฟอร์มหนังสือแสดงความประสงค์ได้ที่ ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ตั้งแต่วันที่ 14 - 30 สิงหาคม 2567
2.2) ฝ่ายทรัพยากรบุคคล จะพิจารณาตรวจสอบคุณสมบัติพนักงาน ที่บ่นความประสงค์เข้าร่วมโครงการ และจัดทํารายชื่อ เพื่อนําเสนอในการพิจารณาของสายบังคับบัญชา ตามขั้นตอนต่อไป
2.3) ผลการพิจารณาอนุมัติจากประธานกรรมการบริหาร ให้ถือเป็นที่สิ้นสุด

3. ผลประโยชน์ตอบแทนตามโครงการ
3.1) เงินช่วยเหลือตามอายุงาน โดยให้นับอายุงานตั้งแต่วันที่เข้าทํางานกับบริษัทฯ จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2567

>> สำหรับเงินช่วยเหลือนั้นสอดคล้องกับอายุงานจะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1.ครบ 120 วันขึ้นไป แต่ไม่ครบ 1 ปี ได้เงินเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน
2.ครบ 1 ปีขึ้นไป แต่ไม่ครบ 3 ปี ได้เงินเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน
3.ครบ 3 ปีขึ้นไปแต่ไม่ครบ 6 ปีได้เงินเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน
4.ครบ 6 ปีขึ้นไป แต่ไม่ครบ 10 ปี ได้เงินเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วัน
5.ครบ 10 ปีขึ้นไป แต่ไม่ครบ 20 ปี ได้เงินเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน
6.ครบ 20 ปีขึ้นไป ได้เงินเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 400 วัน

ทั้งนี้ พนักงานที่ได้รับการพิจารณาอนุมัติ จะพ้นสภาพการเป็นพนักงาน ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ส่วนพนักงานที่ได้รับอนุมัติตามโครงการ จะได้รับเงินช่วยเหลือเป็นเช็ค ในวันที่ 22-31 ตุลาคม 2567 ที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล

‘EA’ โชว์ครึ่งแรกปี 67 กวาดรายได้หมื่นล้าน-กำไรสุทธิ 1.4 พันล้านบาท มั่นใจ!! เคลียร์ดอกเบี้ยหุ้นกู้ตามนัด พร้อมเดินหน้าหาพาร์ทเนอร์เสริมแกร่ง

(15 ส.ค. 67) นายวสุ กลมเกลี้ยง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน กล่าวว่า “แม้รายได้และกำไรในครึ่งแรกของปี 2567 จะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากได้มีการส่งมอบ EV Bus ให้กับลูกค้ารายใหญ่ลดต่ำลง แต่ EA ยังมีรายได้ประจำที่เกิดขึ้นจากการขายไฟให้กับภาครัฐเดือนละประมาณ 1,000 ล้านบาทเพียงพอสำหรับการชำระคืนดอกเบี้ยหุ้นกู้ให้กับผู้ถือหุ้นกู้และคืนหนี้ให้กับเจ้าหนี้สถาบันการเงิน” 

ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 กำไรสุทธิของบริษัทอยู่ที่ 1,430.44 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยลดลงจากผลการดำเนินงานของธุรกิจผลิตและจำหน่าย รถโดยสารไฟฟ้าและรถเพื่อการพาณิชย์ จากผลการดำเนินงานของธุรกิจแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและจากผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ เนื่องจากการหมดระยะเวลาการรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล (adder) 

สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังปี 2567 ในส่วนของธุรกิจรถโดยสารไฟฟ้าและรถเพื่อการพาณิชย์ บริษัทฯจะมุ่งเน้นไปที่การจำหน่ายรถหัวลากไฟฟ้า (EV Truck) เป็นหลัก โดยที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการส่งมอบให้กับกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่หลายราย เช่น กลุ่มบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) JWD กลุ่มบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) PTTGC กลุ่มบริษัท ดับบลิวเอช เอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) WHA เป็นต้น 

นอกจากนี้ยังมีคู่ค้าอีกหลายรายที่อยู่ระหว่างการเจรจา และเตรียมการส่งมอบ EV Truck เพราะช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการจากปัญหาราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง และสอดรับกระแส Green Energy ซึ่งอยู่ในเมกะเทรนด์โลก 

ในส่วนของธุรกิจแบตเตอรี่บริษัทฯ อยู่ในระหว่างปรับปรุงการออกแบบเพื่อนำแบตเตอรี่ไฟฟ้าไปใช้ในการผลิตรถหัวลากไฟฟ้า รวมถึงการนำแบตเตอรี่ไปจำหน่ายในรูปแบบของ Energy Storage (ESS) 

ในส่วนของธุรกิจไบโอดีเซล บริษัทมีรายได้จํานวน 2,042.40 ล้านบาท จากรายได้จากการผลิตและจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซล (B100) จากการผลิตและจำหน่ายกลีเซอรีนบริสุทธิ์ และจากการผลิตและน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) รวมถึงรายได้จากการผลิตและจำหน่าย PCM

นอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจอื่น ๆ บริษัทฯยังมีรายได้เพิ่มขึ้นจากธุรกิจบริการสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า รายได้โครงการรับเหมาก่อสร้างติดตั้ง Solar Rooftop และรายได้จากโครงการกำจัดขยะมูลฝอยในพื้นที่เกาะล้านที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี และเทศบาลนครภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต

ในส่วนของงบดุล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 110,006.34 ล้านบาท โดยมีหนี้สินรวมจำนวน 69,709.87 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 40,296.48 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 2566 จำนวน 3,713.14 ล้านบาท โดยหลักลดลงจากการจ่ายการจ่ายปันผลจำนวน 1,113.85 ล้านบาท ลดลงจากองค์ประกอบอื่นของส่วนของเจ้าของจำนวน 3,426.25 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจำนวน 1,430.44 ล้านบาท

สำหรับการบริหารจัดการสภาพคล่อง หลังจากที่บริษัทได้ถูกปรับลดระดับความน่าเชื่อถือจาก BBB+ (Negative) เป็น BB+ (Negative) ผู้บริหารได้ใช้นโยบายและการจัดการความเสี่ยงด้านสภาพคล่องในการบริหารจัดการอย่างเร่งด่วน กล่าวคือ ในวันที่ 8 สิงหาคม 2567 กลุ่มกิจการได้เข้าทำสัญญาเงินกู้ยืม ระยะยาวและเงินกู้ยืมร่วม (Syndicated Loan) กับสถาบันการเงินหลายแห่งคิดเป็นจำนวนเงินรวมประมาณ 8,500 ล้านบาท เพื่อวัตถุประสงค์ในการชำระคืนเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงิน โดยมีการกำหนดเงื่อนไขการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยภายใน 3 ปี โดยกลุ่มกิจการจะทยอยจ่ายคืนเงินกู้ผ่านกระแสเงินสด (Cash Flow) จากการดำเนินงานตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภาครัฐ (PPA) 

ในวันที่ 9 สิงหาคม 2567 ที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2567 สำหรับหุ้นกู้รุ่น EA248A ผู้ถือหุ้นกู้มีมติอนุมัติการขยายวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้โดยไม่ถือเป็นเหตุให้ผิดนัดจำนวน 1,500 ล้านบาท จากเดิมครบกำหนดในวันที่15 สิงหาคม พ.ศ. 2567 เป็นวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยจากเดิมร้อยละ 3.11 ต่อปีเป็นร้อยละ 5.00 ต่อปี และมีหลักประกันให้เพิ่มเติม โดยไม่ถือเป็นเหตุผิดนัดชำระ  

ในวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้รุ่น EA249A บริษัทได้ขออนุมัติการขยายวันครบกำหนด ไถ่ถอนหุ้นกู้โดยไม่ถือเป็นเหตุให้ผิดนัดจำนวน 4,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นกู้ที่เข้าร่วมประชุม ในวันดังกล่าวไม่ครบองค์ประชุมซึ่งกำหนดไว้ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 66 ของหุ้นกู้ที่ยังไม่ได้ไถ่ถอน จึงจะจัดการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ครั้งที่ 2/2567 ในวันที่ 23 สิงหาคม โดยการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ครั้งนี้ จะต้องมีองค์ประชุมมาเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของหุ้นกู้ที่ยังไม่ได้ไถ่ถอน บริษัทคาดว่า จะครบองค์ประชุมและได้รับการอนุมัติ

อย่างไรก็ตาม เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการเงิน บริษัทฯอยู่ในระหว่างการเจรจาหาผู้ร่วมทุนรายใหม่ Strategic Partner ที่มีศักยภาพสามารถเข้ามาเพิ่มทุน และเพิ่ม Synergy ระหว่างกัน รวมถึงการจำหน่ายสินทรัพย์ของบริษัทฯ ซึ่งรวมถึงการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) หรือการจำหน่ายสินทรัพย์ให้แก่นักลงทุนที่ให้ความสนใจ

นอกจากนี้ บริษัทยังมีพัฒนาการที่สำคัญในไตรมาสที่สอง 2 โครงการที่สำคัญ คือ โครงการที่ 1 EA ได้ลงนามในสัญญาร่วมพัฒนาโครงการ (Joint Development Agreement) กับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) จัดตั้งบริษัทร่วมทุน Super Holding Company ในบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดแบบรวมศูนย์ของ สปป.ลาว ริเริ่มการเป็นศูนย์กลางการจำหน่าย และบริหารพลังงานสะอาดแบบครบวงจรของประเทศ ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ประเทศ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศให้มีเสถียรภาพในระยะยาว และตั้งเป้าภายใน 3 ปี เพิ่มรายได้ค่าไฟฟ้า ลดภาระ การนำเข้าน้ำมันดิบพัฒนาโครงการกักเก็บพลังงานไฟฟ้า จัดหาโซลูชั่น EV ลงทุนพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมร่วมผลักดันสู่เป้าหมายยุทธศาสตร์แห่งชาติ ‘Battery of Asia’

โครงการที่ 2  EA ได้เข้าร่วมลงนามเป็น Strategic Partner กับ CRRC Dalain ซึ่งเป็นการส่งเสริมการลดคาร์บอนไดออกไซด์ของเครื่องยนต์สันดาปในแบบเก่า การเปลี่ยนแปลงเพื่อการยกระดับอุปกรณ์เส้นทางคมนาคม ซึ่ง EA และ CRRC Dalian ได้ร่วมมือใน 

1. ร่วมกันออกแบบและพัฒนาระบบไฟฟ้าแบตเตอรี่ และ/หรือระบบไฟฟ้าแบตเตอรี่ดีเซลไฮบริด สำหรับรถไฟหัวรถจักรและรถไฟโดยสาร

2. ร่วมกันสำรวจและประเมินความต้องการของลูกค้า จำหน่ายและจัดหาผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาร่วมกันในประเทศไทยและตลาดต่างประเทศ 

3. ร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ตามความต้องการของตลาดเป้าหมาย โดยใช้เทคโนโลยี การผลิตรถไฟที่แข็งแกร่งของ CRRC Dalian และเทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเทียมและเทคโนโลยี Ultra-fast charge ของ EA เพื่อสร้างขีดความสามารถของเทคโนโลยีในระยะยาว ในด้านต้นทุน และประสิทธิภาพ 

4. ร่วมกันพิจารณาจัดตั้งโรงงานผลิตและประกอบในประเทศไทย

'กฟผ.' ชวนเยาวชน 'เรียนรู้-เปิดประสบการณ์' อนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ในมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 16-25 สิงหาคมนี้ ที่เมืองทองธานี

เมื่อวานนี้ (14 ส.ค.67) กฟผ. ขอชวนเยาวชนร่วมงาน มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2567 เรียนรู้ ‘โลกไฟฟ้ายั่งยืน Into Sustainable World’ ร่วมผจญภัยพร้อมสัมผัสประสบการณ์การอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม รับพาสปอร์ตสะสมแต้มจากภารกิจ 4 โซน ทั้งการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด โดยเฉพาะโซลาร์เซลล์ลอยน้ำระบบไฮบริด การเรียนรู้ประโยชน์ของต้นไม้ที่ช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ รวมทั้งวิธีการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านห้องเรียนสีเขียว ฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 และสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EleX by EGAT ร่วมตะลุยค้นหาศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ลุ้นรับของรางวัลสุดพิเศษมากมาย พลาดไม่ได้กับกิจกรรมบนเวที และการแข่งขัน E-Sport กับโค้ชทีมชาติ ในวันที่ 16-25 สิงหาคม 2567 เวลา 09.00-19.00 น. ณ อาคาร 12 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

'ศาสตรา-รวมไทยสร้างชาติ' ยกเมืองหาดใหญ่ เมืองพหุวัฒนธรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว ชี้!! รัฐบาลควรเร่งปลดล็อกศักยภาพเมือง เพื่อดึงนักท่องเที่ยว สร้างรายได้ทุกมิติ

(14 ส.ค.67) นายศาสตรา ศรีปาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา เขต 2 พรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงกรณี เมืองหาดใหญ่เป็นเมืองที่คุ้มค่าที่สุดจากการสำรวจของ Agoda ว่า...

ลำดับแรกเมืองหาดใหญ่ ถือเป็นเมืองพหุวัฒนธรรม เรามีการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมไทย จีน และมุสลิม ทำให้เมืองหาดใหญ่เป็นเมืองที่มีจุดเด่นที่หลากหลาย โดยเฉพาะด้านอาหารการกิน 

ต่อมาในด้านที่พัก เมืองหาดใหญ่มีความหลากหลายตั้งแต่ Budget Hotel หรือ โรงแรมราคาประหยัด ไปจนถึงโรงแรมหรู ซึ่งทำให้เมืองสามารถรองรับนักท่องเที่ยวหลากหลายกลุ่ม 

สำหรับการเดินทางภายในเมืองหาดใหญ่ ค่อนข้างมีความสะดวก ใช้ระยะเวลาในการเดินทางประมาณ 10 นาที สามารถไปทุกจุดในเมืองได้ นอกจากนี้เมืองหาดใหญ่ยังเป็นฮับของการเดินทางทั้งสนามบิน สถานีรถไฟ ที่บริการรถโดยสารระหว่างจังหวัด 

โดยส่วนตัวที่เป็นคนหาดใหญ่ ตนคิดว่าเมืองหาดใหญ่ที่มีงบประมาณค่อนข้างครบถ้วน หาดใหญ่เป็นเมืองที่จ่ายภาษีไปลำดับต้น ๆ ของประเทศหากภาษีเหล่านี้ย้อนกลับมาพัฒนาเมือง ตนเชื่อว่าหาดใหญ่จะกลายเป็นเมืองแห่งโอกาสสำหรับทุก ๆ คน ปัญหาในพื้นที่ รวมทั้งการพัฒนาเมืองจะสามารถทำได้อย่างตรงจุดมากยิ่งขึ้น 

ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตนเชื่อว่า 'หาดใหญ่เป็นเมืองที่พร้อมจะพัฒนาให้ดีขึ้นได้ในทุกมิติ' ในมิติโครงสร้างพื้นฐานในเมือง ตนได้ประสานงานและติดตามอย่างต่อเนื่องถึงโครงการทั้งการพัฒนาถนนหนทาง การนำสายไฟฟ้าและสายสื่อสารลงดิน 

นอกจากนี้ ปัญหาในเมืองหาดใหญ่ ที่ทำให้พี่น้องชาวหาดใหญ่ต่างเจ็บปวด คือ ปัญหาน้ำท่วม ตนได้ติดตามผลักดัน คลอง ร.1 โครงการพระราชดำริ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 จนแล้วเสร็จซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมแก่คนในพื้นที่ได้ 

นอกจากนี้ ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตนยังได้ติดตามและผลักดันอีกหลายเรื่อง เช่น รถไฟทางคู่ในวงเงินงบประมาณ 66,000 ล้านบาท จะเริ่มสร้างในปี 68 เป็นการเชื่อมโยงจาก จ.สุราษฎร์ธานี มาที่หาดใหญ่ เราจะเป็นศูนย์กลางการคมนาคม ขนส่งและกระจายสินค้า ซึ่งจะเชื่อมต่อกับทางมาเลเซีย นำเงินเข้าประเทศมหาศาล ควบคู่ไปกับการดูแล เยียวยาชาวบ้านในชุมชนรถไฟให้ได้มีที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ 

มากกว่านั้นหาดใหญ่ต้องเตรียมพร้อม และ ร่วมพัฒนาไปพร้อมกับ จังหวัดข้างเคียง และประเทศเพื่อนบ้าน เราต้อง บูรณาการ ทั้ง 16 อำเภอ ร่วมกัน หลังจากภาครัฐผลักดันโครงการขนาดใหญ่ เช่น Landbridge สะพานเชื่อมเศรษฐกิจภาคใต้ ท่าเรือ ระนอง - ชุมพร ระเบียงเศรษฐกิจ เชื่อม มหาสมุทรแปซิฟิก และ มหาสมุทรอินเดีย เข้าด้วยกัน ทำให้ภาคใต้เป็นศูนย์กลางการขนส่ง ศูนย์กลางด้านพลังงาน และศูนย์กลางด้านการเงิน ซึ่งจะเกิดการแข่งขันทางการค้า การจ้างงาน เราจะทำอย่างไรให้คนหาดใหญ่ ได้ประโยชน์ เข้าไปมีส่วนร่วม มีรายได้ มีโอกาส จากการลงทุนมหาศาล ช่วยคนรากหญ้าให้ลืมตาอ้าปาก มีเงินในกระเป๋า เกิดธุรกิจขนาด เล็ก กลาง ใหญ่ ให้คนในพื้นที่ได้ลงทุนต่อยอด

นอกจากนี้ Entertainment Complex สถานบันเทิงครบวงจร ภายใต้ข้อกฎหมายที่รัดกุม หากเกิดขึ้นในเมืองหาดใหญ่ที่มีความเหมาะสมและความพร้อมในทุกด้าน จะสามารถปลดล็อกศักยภาพของเมืองหาดใหญ่ได้ดียิ่งขึ้น

ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการการท่องเที่ยวเห็นว่า ที่ผ่านมาได้มีการยกเลิกใบ ตม. 6 เพื่อความสะดวกในการเข้าออก เป็นสิ่งที่ดีมาก แต่ต้องทำควบคุมเรื่องความปลอดภัยให้มากขึ้น ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการ Register ล่วงหน้า ด่านสะเดาของเราก็จะมีความรวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้น 

รัฐบาลต้องการกระตุ้นการท่องเที่ยวโดยการเปิดประเทศโดย จึงมีนโยบาย Free Visa ให้ชาวต่างชาติ ถึง 93 ประเทศ แต่จะต้องป้องกันไม่ให้ คนต่างชาติมาแย่งงานคนไทย เหมือนในหลายพื้นที่วันนี้ คนจีน คนรัสเซีย, คนพม่า เข้ามาทำธุรกิจผิดกฎหมาย แย่งงานคนไทยเป็นจำนวนมาก 

รัฐบาลต้องเอาหาดใหญ่ออกจาก Red Flag พื้นที่สีแดง เพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าใจผิดเหมารวมทั้งจังหวัดสงขลา ว่าเป็นพื้นที่อันตราย พาลเหมารวมหาดใหญ่ไปด้วย ซึ่ง 16 อำเภอในจังหวัดสงขลา มีเพียง 4 อำเภอเท่านั้น ที่ยังต้องมีในเรื่องของความมั่นคง ซึ่งไม่ควรมีชื่อ 'หาดใหญ่' อยู่ในนั้น 

และรัฐบาลต้องแก้ปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ ไกด์เถื่อน ทัวร์เถื่อน อย่างจริงจัง ทั้ง Offline และ Online ดูแลผู้บริโภค ที่โดนหลอก โดยตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนแบบ One Stop Service ให้กับคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ รวมถึง ออกกฎหมาย แก้ไขกฎกระทรวงให้มีความทันสมัยเป็นประโยชน์ให้ผู้ประกอบการ โรงแรมขนาดเล็ก-กลาง-ใหญ่

'รมว.ปุ้ย' สั่ง สมอ.คุมเข้ม 'สินค้าด้อยคุณภาพ-ราคาถูก' แพลตฟอร์มข้ามชาติ พร้อมเดินหน้าจัดเก็บภาษี 'อีคอมเมิร์ซ' สร้างความเป็นธรรมในการแข่งขัน

(14 ส.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากกรณีที่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามชาติได้เข้ามาบุกตลาดสินค้าไทย ได้ส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อธุรกิจ SME รวมถึงความไม่ปลอดภัยของประชาชนจากการใช้สินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน กระทรวงอุตสาหกรรม ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้สั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และเร่งดำเนินการตามภารกิจ 'Quick win' เพื่อสกัดกั้นสินค้าไม่ได้มาตรฐานเข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าที่ สมอ. ควบคุม ทั้ง 144 รายการ ที่ สมอ. สามารถดำเนินการได้ตามกฎหมายเพื่อความปลอดภัยของประชาชน 

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรม ยังไม่ครอบคลุมสินค้าที่มีการซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์ที่มีจำนวนกว่า 1,000 รายการ จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนร่วมดำเนินการควบคุมและกำกับติดตาม ทั้งกระทรวงการคลัง, กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงดิจิทัลฯ,  กระทรวงสาธารณสุข, สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) เพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ไม่มีคุณภาพหรือเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค รวมทั้ง พิจารณาให้มีการจัดเก็บภาษีอีคอมเมิร์ซ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการแข่งขัน โดยการกำหนดนโยบายการจัดเก็บภาษีที่เหมาะสมสำหรับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามชาติ เพื่อให้บริษัทเหล่านี้เสียภาษีอย่างถูกต้องและไม่เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ

ด้าน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สมอ. ได้เร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้งภารกิจ 'Quick win' กวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาด และทางออนไลน์ ตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 จนถึง เดือนกรกฎาคม 2567 ได้ยึดอายัดสินค้าไม่ได้มาตรฐานเป็นมูลค่า 322,420,097 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้ เป็นสินค้าไม่ได้มาตรฐานที่นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน มูลค่า 92,767,374 บาท คิดเป็น 29% จากทั้งหมด

นอกจากนี้ สมอ. ยังได้กำหนดมาตรฐานสินค้าเพิ่มในปีนี้อีกจำนวนกว่า 1,400 มาตรฐาน จากเดิมที่ประกาศใช้แล้วจำนวน 2,722 มาตรฐาน และอยู่ระหว่างดำเนินการประกาศเป็นสินค้าควบคุมอีกจำนวน 52 มาตรฐาน เพิ่มเติมจากเดิมจำนวน 144 มาตรฐาน ครอบคลุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เช่น ภาชนะและเครื่องใช้สแตนเลส กระทะ/ตะหลิว/หม้อ/ช้อน/ส้อม/ปิ่นโต/ถาดหลุม/ถุงพลาสติกสำหรับบรรจุอาหาร/ถุงพลาสติกบรรจุอาหารสำหรับอุ่นในไมโครเวฟ/เตาหุงต้มในครัวเรือนใช้กับก๊าซปิโตรเลียมเหลว/ท่อยางและท่อพลาสติกสำหรับใช้กับก๊าซหุงต้ม/ฟิล์มติดกระจกสำหรับรถยนต์/ภาชนะพลาสติกสำหรับบรรจุน้ำบริโภค/ที่รองนั่งไฟฟ้าสำหรับโถส้วมนั่งราบ/ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก และแผงโซลาร์เซลล์ เป็นต้น 

นอกจากการดำเนินการข้างต้น สมอ. ยังมีแนวทางการดำเนินงานเพื่อป้องกันการเข้าถึงแพลตฟอร์มออนไลน์รายใหม่เพิ่มเติม ดังนี้...

1) เร่งทำความเข้าใจและชี้แจงข้อกฎหมายกับผู้ประกอบการที่ให้บริการขนส่งสินค้า และให้บริการดำเนินพิธีการศุลกากร (Shipping) เพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน 
2) สร้างความตระหนักให้ประชาชนเลือกซื้อสินค้าที่มีเครื่องหมายมาตรฐานบนแพลตฟอร์มออนไลน์ 
3) บูรณาการการทำงานร่วมกับกรมศุลกากร เพื่อการนำเข้าสินค้าที่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานจากแพลตฟอร์มออนไลน์ 
4) บูรณาการการทำงานร่วมกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) เกี่ยวกับการควบคุมแพลตฟอร์มออนไลน์  
และ 5) บูรณาการการทำงานกับสภาองค์กรของผู้บริโภค เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างยั่งยืน

ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ EA รุ่น EA249A เลื่อนโหวตไปเป็น 23 สิงหาคม เหตุไม่ครบองค์ประชุม

(14 ส.ค. 67) บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) ได้มีการจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้รุ่น EA249A  เพื่อพิจารณาอนุมัติขยายวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ไปปรากฏว่ามีจำนวนผู้ถือหุ้นกู้และผู้รับมอบฉันทะเข้าร่วมประชุมไม่ครบเป็นองค์ประชุม 

สำหรับการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2567 ของหุ้นกู้รุ่น EA249A ในวันนี้มีจํานวนผู้เข้าร่วมประชุม 889 คน คิดเป็น 1,900,600 หน่วย หรือ คิดเป็นร้อยละ 47.5 ตามกำหนดต้องมีผู้ถือหุ้นเป็นจำนวนรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 66 ของทั้งหมดจึงจะครบองค์ประชุม 

จึงจำเป็นต้องเลื่อนการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ออกไปเป็นการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 2/2567  ในวันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2567 เวลา 10:00 น. ซึ่งบริษัทจะส่งหนังสือเชิญประชุมให้กับผู้ถือหุ้นกู้อีกครั้ง โดยในครั้งถัดไปจะต้องมีองค์ประชุมมาเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของหุ้นกู้ที่ยังไม่ได้ไถ่ถอน ทั้งนี้ มั่นใจว่าในครั้งหน้าจะครบองค์ประชุม และได้รับการอนุมัติ

'สุริยะ' ชวน 'ญี่ปุ่น' ลงทุนรถไฟฟ้าสายสีแดงส่วนต่อขยาย พร้อมดึงร่วมพัฒนาระบบ AGT 'สายสีน้ำตาล-เทา-สีเงิน'

เมื่อวานนี้ (13 ส.ค. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้การต้อนรับ นายโอตากะ มาซาโตะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย พร้อมคณะ เนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง ณ ห้องรับรอง กระทรวงคมนาคม โดยได้หารือถึงความร่วมมือด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศไทยและหน่วยงานในประเทศญี่ปุ่น พร้อมติดตามความคืบหน้าโครงการต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กล่าวว่า วันนี้ได้มีโอกาสหารือในประเด็นการขอรับความช่วยเหลือด้านการซ่อมบำรุงรถไฟสายสีแดงจากญี่ปุ่น โดยให้ความสนใจกับกลุ่มบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านรถไฟที่มีชื่อเสียงด้านการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง การบำรุงรักษาที่มีประสิทธิภาพและทันสมัย อีกทั้งได้เชิญชวนญี่ปุ่นพิจารณาร่วมลงทุนในโครงการส่วนต่อขยายรถไฟสายสีแดง ซึ่งปัจจุบันการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) อยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียดและเอกสารที่เกี่ยวข้องสำหรับส่วนต่อขยาย 3 เส้นทาง ได้แก่ 

1) บางซื่อ - พญาไท - มักกะสัน - หัวหมาก และบางซื่อ - ห้วยลำโพง 
2) รังสิต - มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 
และ 3) ศิริราช - ตลิ่งชัน - ศาลายา เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งเมื่อกระบวนการเสร็จสิ้นจะเป็นโอกาสสำหรับอุตสาหกรรมรถไฟของญี่ปุ่นในการพิจารณาลงทุนก่อสร้างต่อไป 

นายสุริยะ กล่าวเพิ่มเติมว่า "ด้วยความสำเร็จของการนำเทคโนโลยีระบบขนส่งมวลชนนำทางอัตโนมัติ (AGT) มาใช้กับรถไฟฟ้าสายสีทอง เราจึงมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างความร่วมมือกับญี่ปุ่นในการต่อยอดเทคโนโลยีนี้ไปยังโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล, สายสีเทา และสายสีเงิน และขอขอบคุณญี่ปุ่นสำหรับความร่วมมือในโครงการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำแผนพัฒนาเมืองอัจฉริยะบางซื่อ ระหว่างองค์กรพัฒนาและฟื้นฟูเมืองแห่งญี่ปุ่น (UR) กับสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (รฟฟท.) ซึ่งผลลัพธ์ของโครงการได้เน้นย้ำถึงความสำคัญการพัฒนาโครงการที่ผสมผสานการใช้ประโยชน์ที่ดินรอบสถานีขนส่ง (TOD) ในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศในการเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และการขนส่งในภูมิภาคอาเซียน"

ในส่วนของความร่วมมือระหว่างกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น (MLIT) กับกรมทางหลวง (ทล.) กรมทางหลวงชนบท (ทช.) และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ภายใต้ความตกลงระหว่างกระทรวงคมนาคมไทย - ญี่ปุ่นด้านการจัดการจราจรและเทคโนโลยีทางถนนนั้น ที่ผ่านมาได้มีการหารือและการเยี่ยมชมพื้นที่ก่อสร้างต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาระบบสัญญาณไฟจราจรอัจฉริยะ ระบบ SCADA (ระบบตรวจสอบ และวิเคราะห์ข้อมูลแบบ Real-Time) และโครงการก่อสร้างอุโมงค์และสะพาน โดยกระทรวงคมนาคมจะให้การสนับสนุนการศึกษาดูงานระหว่างกันอย่างต่อเนื่องต่อไป

'นายกฯ' ไม่ฟันธง!! 'เทสลา' ปรับแผนลงทุนในไทย ยัน!! ตอนคุยผู้บริหาร มีระบุ 'จะลงทุนในอินเดีย-สนใจลงทุนไทย'

(13 ส.ค. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีข่าวที่เทสลาปรับเรื่องแผนการลงทุนในไทย นายกฯ ทราบเรื่องนี้หรือไม่ ว่าไม่ทราบ ทางทีมงานยังคุยอยู่ ปัจจุบันเรื่องความอ่อนไหวทางด้านตลาดดีมานด์ของรถอีวีมีสูง เข้าใจว่าตอนนั้นที่คุยกันอยู่เขาเลือกดูอินเดียอยู่ และเขาคงไปแน่นอน เพราะมีตลาดความต้องการปริมาณสูงมาก ซึ่งเป็นประเทศที่เขาดูอยู่ แต่ถ้าเขาจะสร้างก็สร้างที่ประเทศไทย ตนทราบแค่นี้

‘รัฐบาล’ ยัน!! ‘ทุนจีน’ ซื้อกิจการรถทัวร์ในประเทศไทยไม่ได้ เหตุใบอนุญาตประกอบกิจการขนส่งไม่สามารถโอนต่อได้

(13 ส.ค.67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยต่อกรณีที่เป็นกระแสความสงสัยในสังคม ว่า ทุนจากต่างประเทศเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยทำให้คนไทยเสียผลประโยชน์นั้น ขอให้ทุกฝ่ายในสังคมพิจารณาอย่างถ้วนถี่โดยใช้หลักการและเหตุผล โดยขอชี้แจงตามข้อมูลจากหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

ต่อกรณีการเข้ามาของกลุ่มทุนต่างประเทศในธุรกิจร้านอาหาร และมีการกล่าวอ้างว่า ธุรกิจร้านอาหารปิดกิจการถึง 50% นั้น ไม่เป็นความจริง แม้ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหลาย แต่ยังมีการจัดตั้งธุรกิจร้านอาหารไทยใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2567 ไทยมีนิติบุคคลดำเนินธุรกิจร้านอาหารอยู่ 23,414 ราย ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก 97.46% (22,819 ราย)

ในช่วง 7 เดือน (มกราคม-กรกฎาคม 2567) มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจร้านอาหารใหม่ 2,472 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวและหัวเมืองใหญ่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 926 ราย ชลบุรี 258 ราย ภูเก็ต 192 ราย เชียงใหม่ 165 ราย และสุราษฎร์ธานี 122 ราย

ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ดูแลช่วยเหลือภาคธุรกิจร้านอาหาร ด้วยการเสริมแกร่งให้ผู้ประกอบการร้านอาหารของไทยสามารถปรับตัว แสวงหาโอกาส และรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยให้ร้านอาหารเข้าถึงและเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคมากขึ้น ผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าจับมือผู้เชี่ยวชาญธุรกิจร้านอาหารร่วมกันสร้างสรรค์ 7 กิจกรรม ดังนี้

1) ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพด้านการบริหารจัดการธุรกิจร้านอาหารอย่างมืออาชีพ ผ่านหลักสูตร Smart Restaurant Plus ปัจจุบันมีร้านอาหารผ่านการพัฒนาจากกรมแล้วกว่า 3,000 ราย

2) ยกระดับมาตรฐานร้านอาหารไทยผ่านตราสัญลักษณ์ Thai SELECT

3) กระตุ้นยอดขายเพิ่มรายได้ร้านอาหาร ผ่านแคมเปญ “เที่ยว ฟิน กิน Thai SELECT” โดยร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยพลังเศรษฐกิจสร้างสรรค์ Soft Power อาหารไทย

4) ส่งเสริมช่องทางการตลาด ผ่านการจำหน่ายอาหารในงานเทศกาลอาหารต่าง ๆ และแพลตฟอร์มฟู้ดดีลิเวอรีชั้นนำ

5) เสริมสร้างการรับรู้ให้แก่ร้านอาหารไทยและตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ทั้งในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ผ่านผู้ทรงอิทธิพลบน Social Media (Influencer)

6) การเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวกับร้านอาหาร โดยได้นำร่องแล้ว 10 เส้นทาง อาทิ จ.นครราชสีมา เชียงใหม่ ภูเก็ต เป็นต้น และมีเป้าหมายเพิ่มขึ้นให้ครบทุกภูมิภาคต่อไป

7) สร้างเครือข่ายผู้ประกอบการร้านอาหาร ผ่านกิจกรรมเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจของผู้ประกอบร้านอาหาร และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การเพิ่มคู่ค้าและต่อยอดธุรกิจ

นอกจากนี้ ได้ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการใช้ประโยชน์จากกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจมากขึ้น โดยนำกิจการมาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น

ส่วนประเด็นรถทัวร์ศูนย์เหรียญ กระทรวงพาณิชย์มีมาตรการดูแลกลุ่มทุนต่างประเทศที่เข้ามาดำเนินธุรกิจท่องเที่ยวแบบเบ็ดเสร็จ คือ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เร่งเดินหน้าทำงานกับหน่วยงานพันธมิตรด้านการบังคับใช้กฎหมายเพื่อกำกับดูแลให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ประกอบการไทย จากการเข้ามาแข่งขันและจัดตั้งธุรกิจโดยผิดกฎหมายของต่างชาติ ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบธุรกิจที่มีลักษณะนอมินี หรือให้คนไทยถือหุ้นแทนคนต่างด้าวเพื่อหลีกเลี่ยงการขออนุญาตประกอบธุรกิจตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ที่กำหนดให้คนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจบริการตามบัญชีท้าย พ.ร.บ. และต้องการถือหุ้นเกินร้อยละ 50 ต้องเข้าสู่กระบวนการขออนุญาตโดยถูกต้อง มิฉะนั้นจะมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งแสนถึงหนึ่งล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ขณะนี้มีบริษัทจากประเทศจีน ซึ่งเป็นทั้งผู้ผลิตและเดินรถ เริ่มเข้ามาเจรจาจะขอซื้อกิจการรถทัวร์ในประเทศไทย ว่าไม่สามารถทำได้

โดยกรมการขนส่งทางบกได้ชี้แจงว่า ใบอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทางและใบอนุญาตประกอบการขนส่งไม่ประจำทางด้วยรถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสาร ไม่สามารถโอนใบอนุญาตประกอบการขนส่งจากนิติบุคคลรายหนึ่งไปให้นิติบุคคลอีกรายหนึ่งได้ รวมทั้งได้ชี้แจงด้วยข้อกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 กำหนดคุณสมบัติของผู้ขอรับใบอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทางด้วยรถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสาร และการขนส่งไม่ประจำทางด้วยรถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสาร กรณีที่เป็นนิติบุคคลว่าจะต้องจดทะเบียนตามกฎหมายไทยและมีสำนักงานใหญ่อยู่ในราชอาณาจักรไทย รวมถึงกรรมการไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งต้องมีสัญชาติไทยและทุนของบริษัทไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 ต้องเป็นของผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาและมีสัญชาติไทย ซึ่งกรมการขนส่งทางบกได้ตรวจสอบและพิจารณาอนุญาตโดยถือปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวอย่างเคร่งครัด

“นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ห่วงใยต่อความรู้สึก กำลังใจของประชาชนในการดำรงชีวิต เข้าใจดีว่าประชาชนมีความท้าทายที่หลากหลาย และไม่ต้องการให้กำลังใจของประชาชนถูกบั่นทอนด้วยข่าวบิดเบือน รวมทั้งได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด รักษาสิทธิประโยชน์ของคนไทยอย่างสูงสุด” นายชัย กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top