Friday, 20 June 2025
ECONBIZ

‘รมว.ปุ้ย’ ร่วมคณะ ‘นายกฯ’ ตรวจเยี่ยม จ.กาญจนบุรี  ‘รับฟัง-หาแนวทางแก้’ ปัญหา ‘ศก.-หนี้สิน-ยาเสพติด-เกษตรฯ’ ในพื้นที่

(9 ธ.ค. 66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ลงตรวจราชการเพื่อติดตามความคืบหน้าเส้นทาง โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) และประชุมหารือแนวทางการพัฒนาและแก้ไขปัญหาภาพรวมจังหวัดกาญจนบุรี รวมทั้งตรวจเยี่ยมสถานการณ์การค้าชายแดนบริเวณจุดผ่านแดนถาวรบ้านพุน้ำร้อน โดยมีนายเอกนิติ รมยานนท์ รองเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม รักษาราชการแทนผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม, นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย, นายเนตร์ กัญยะมาสา อสจ.กาญจนบุรี และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมคณะด้วย ณ จังหวัดกาญจนบุรี 

สำหรับภารกิจในครั้งนี้ ทาง รมว.พิมพ์ภัทรา พร้อมคณะผู้บริหารในกระทรวงอุตสาหกรรมได้มีการประชุมหารือแนวทางการพัฒนาและแก้ไขปัญหา ภาพรวมจังหวัดกาญจนบุรี โดยได้ไปติดตามข้อมูลทางด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และปัญหาเชิงลึกแต่ละกรณี 

นอกจากนี้ ยังได้ติดตามการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในพื้นที่ ปัญหาหนี้สินที่เป็นนโยบายสำคัญขณะนี้ ยาเสพติดที่ต้องเร่งปราบปราม การค้าขายระหว่างพรมแดนและผลิตภัณฑ์การเกษตร อันเป็นอีกช่องทางเศรษฐกิจสำคัญ เพราะพื้นที่กาญจนบุรีมีพรมแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน มีการค้าขายเชื่อมโยง และมีโอกาสพัฒนาการที่ดีต่อไปในอนาคต

ทั้งนี้ ระหว่างการลงพื้นที่ เพื่อติดตามการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าในพื้นที่ และรับฟังพร้อมหาแนวทางแก้ไขปัญหาภาพรวมของจังหวัดกาญจนบุรี โดยมีการพบปะพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจในพื้นที่ หนี้สิน ยาเสพติด การค้าขายระหว่างพรมแดนและผลิตภัณฑ์การเกษตรนั้น ได้มีประชาชนในพื้นที่เดินทางมาให้กำลังใจจำนวนมากอีกด้วย

ในการนี้มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม, ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมลงพื้นที่ด้วย

‘THAI FIGHT’ บุกจีน ลุยส่งเสริมอุตสาหกรรมมวยไทย เตรียมเปิดยิมสอนทักษะ 10,000 แห่ง ภายในเวลา 5 ปี

(9 ธ.ค.66) นายนพพร วาทิน ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยไฟท์ จำกัด เจ้าของแบรนด์ THAI FIGHT บริษัทจัดการแข่งขันมวยไทยอาชีพระดับโลก กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ (เอ็มโอยู) กับ บริษัท ยูไนเต็ด แวนเซน สปอร์ต แมเนจเมนท์ จำกัด โดยนายวิลเลียม หวู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เป็นผู้ลงนาม มีนางจิราพร สุดานิช กงสุลใหญ่ไทย ณ นครกว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมเป็นสักขีพยาน เมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว THAI FIGHT และ United Vansen จะร่วมกันส่งเสริมอุตสาหกรรมมวยไทยเข้าสู่จีนแผ่นดินใหญ่ ได้แก่ การจัดการแข่งขันมวยไทยระดับโลกในประเทศจีน ดำเนินการเปิดยิมมวยไทยทั่วประเทศจีนเพื่อฝึกอบรมตลอดจนปลูกฝังและคัดเลือกนักมวยไทยมืออาชีพที่เป็นชาวจีน รวมทั้งบุคคลทั่วไปที่สนใจออกกำลังกายด้วยวิชามวยไทยเพื่อสุขภาพที่ดีและรวมถึงเป็นศิลปะการป้องกันตัวด้วย ตั้งเป้าจะเปิดยิมมวยไทย 10,000 ยิม ภายในเวลา 5 ปี

นายนพพร กล่าวว่า บริษัท ยูไนเต็ด แวนเซน สปอร์ต แมเนจเมนท์ จำกัด บริหารจัดการกีฬาชั้นนำอันดับต้นๆ ของจีน มีสำนักงานใหญ่ที่กรุงปักกิ่ง ความร่วมมือครั้งนี้ได้รับการประสานงานจากนายเชาว์ชัย เจียมวิจิตร และนายฉัตรชัย เล่งอี้ ประธานและรองประธานคณะอนุกรรมการหอการค้าแห่งประเทศไทยด้านค้าชายแดนด้านจีนตอนใต้ ซึ่งตรงกับนโยบายหลักของบริษัทฯ คือความเป็น ‘THAI SPIRIT’ ที่บ่งบอกความเป็นไทยและคนไทยเท่านั้นที่จะทำได้ดีที่สุด

นายวิลเลี่ยม กล่าวว่า ความร่วมมือของทั้งสองบริษัทครั้งนี้ถือเป็นการเปิดตัวโครงการแลกเปลี่ยนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของจีน-ไทย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมพัฒนาในเชิงลึกของทั้ง 2 ประเทศไม่ว่าจะเป็นในด้านวัฒนธรรม กีฬา การท่องเที่ยว และด้านอื่นๆ หลังจากพิธีลงนามทั้งสองฝ่ายยังได้หารือและวางแผนในเชิงลึกเกี่ยวกับความร่วมมือในด้านการจัดการแข่งขัน พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมกีฬา และกีฬาเพื่อสุขภาพอย่างละเอียด รวมถึงมีแผนจะผลักดันด้านลิขสิทธิ์กีฬา สื่อบันเทิงกีฬา รวมถึงอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์กีฬาต่างๆ ที่มีคุณภาพของประเทศไทย รวมถึงเครื่องดื่มชูกำลังด้วย

พีระพันธ์ุ ชี้!! 3 ข้อ ที่สามารถหนุนลดค่าไฟได้

(9 ธ.ค.66) จากเพจเฟซบุ๊ก ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ United Thai Nation Party’ ได้โพสต์ข้อความของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงค่าไฟฟ้าที่ลดได้จะเกิดจาก 3 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่…

1.) การขยายหนี้ กฟผ. ออกไปอีก 1 งวด 2.) การปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ และ 3.) การกำหนดราคาขายก๊าซธรรมชาติของ ปตท.

‘อ.พงษ์ภาณุ’ ชี้!! ฤๅไทยจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืดจริงๆ แล้วเรื่องนี้ ‘แบงก์ชาติ’ จะมี ‘คำอธิบาย-แก้ตัว’ ใด?

(9 ธ.ค.66) ทีมข่าว THE STATES TIMES  ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ในประเด็น 'ฤๅไทยจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด (Deflaion) จริงๆ' โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

อาจจะยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวว่าประเทศไทยเข้าสู่ภาวะเงินฝืดแล้ว แต่ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index-CPI) ของเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศเมื่อ 7 ธันวาคม ได้ติดลบ 0.44% แบบ Year on Year ซึ่งถือเป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และเมื่อประกอบกับการดำเนินนโยบายการเงินที่ผิดพลาด (Policy Blunder) ของธนาคารแห่งประเทศไทย น่าจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงเป็นอย่างมากให้กับประเทศที่จะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด

หลายท่านอาจจะคิดว่าระดับราคาสินค้าและบริการลดลงเป็นผลดีต่อประชาชน แต่ในทางเศรษฐศาสตร์การเงินแล้ว ถือว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่าภาวะเงินเฟ้อเสียอีก ระดับราคาที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจะทำให้ครัวเรือนและธุรกิจชะลอการจับจ่ายใช้สอยเนื่องด้วยคาดการณ์ว่าราคาจะลดลงต่อไปเรื่อยๆ ภาระหนี้ (Debt Burden) จะสูงขึ้น เพราะมูลหนี้ที่แท้จริงรวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) สูงขึ้น และอาจนำไปสู่วิกฤตหนี้ได้ ขณะนี้หนี้ของประเทศ โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะ อยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ และอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทยก็อาจถือว่าอยู่ในระดับที่สูงที่สุดในโลก

ภาวะเงินฝืดไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วแก้ไขได้ยากกว่าเงินเฟ้อ อย่างประเทศญี่ปุ่น ตอนเข้าสู่ภาวะเงินฝืดราวปี 1990 หลังฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้นแตก ต้องใช้เวลาแก้ไขนานกว่า 25 ปีจึงเริ่มที่จะเห็นสัญญาณหลุดพ้นในปัจจุบัน ด้วยการดำเนินนโยบายการเงินที่ตรึงดอกเบี้ยไว้ต่ำ ไม่ขึ้นตามธนาคารกลางอื่น และปล่อยให้ค่าเงินเยนอ่อนลงอย่างมาก 

ประเทศสหรัฐฯ และยุโรป ก็เคยประสบปัญหาเงินฝืดจนต้องลดดอกเบี้ยลงใกล้ศูนย์ เท่านั้นยังไม่พอต้องใช้มาตรการ Quantitative Easing (QE) พิมพ์เงินอัดฉีดเข้าระบบ จีนก็ได้เข้าสู่ภาวะเงินฝืดมาสักระยะแล้วหลังจากฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์แตกและมีบริษัทขนาดใหญ่ล้มละลายไปหลายบริษัท

ผมได้เคยเตือนมาเป็นระยะเวลาพอสมควรแล้วว่า ประเทศไทยอาจเดินตามจีนเข้าสู่ Deflation แต่กลับตกใจที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ดำเนินนโยบายการเงินที่ผิดพลาดมาโดยตลอด ตั้งแต่ปีที่แล้วที่ Delay การขึ้นดอกเบี้ยด้วยความเกรงใจรัฐบาลก่อนที่แต่งตั้งผู้ว่าการฯ เข้ามา จนทำให้ประเทศไทยมีเงินเฟ้อสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง และหลุดกรอบ Inflation Targeting ไปกว่าเท่าตัว 

แต่พอมาปีนี้กลับมาเร่งขึ้นดอกเบี้ยหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤษภาคม แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดต่ำลงแรงจนหลุดกรอบล่างของเป้าหมายเงินเฟ้อเป็นเวลา 6 เดือนติดต่อกัน โดยเฉพาะการประชุม กนง. 2-3 ครั้งที่ผ่านมา การหยุดขึ้นดอกเบี้ยครั้งหลังดูเหมือนจะเป็นการยอมรับความผิดพลาด แต่ก็ไม่วายโทษรัฐบาลว่า ความไม่แน่นอนของมาตรการ Digital Wallet ทำให้การคาดการณ์เศรษฐกิจต่ำกว่าเป้าเป็นอย่างมาก 

การที่ CPI ติดลบ 2 เดือนติดต่อกันครั้งนี้ ก็เชื่อว่าคงจะไม่ยอมรับผิด แล้วก็คงจะโทษคนอื่นตามฟอร์ม ว่ามีการออกมาตรการบรรเทาค่าครองชีพให้ประชาชน

อยากขอให้สำนึกว่าหน้าที่หลักของธนาคารกลางคือการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน ความเป็นอิสระของธนาคารกลางมาพร้อมกับความรับผิดชอบ (Accountability) ต่อเป้าหมาย

‘บุปผา เรืองสุด’ ปลื้ม!! เด็กไทยคว้า 6 เหรียญสุดยิ่งใหญ่ ในเวทีแข่งขันฝีมือแรงงานระดับเอเชีย ณ กรุงอาบูดาบี

จากรายการ THE TOMORROW ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยอัปเดตกับ นางสาวบุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ในประเด็น ‘เยาวชนไทยคว้าชัยจากเวทีการแข่งขันฝีมือแรงงานเอเชีย ครั้งที่ 2 ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์’ เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.66 โดยมีรายละเอียด ดังนี้...

การแข่งขันฝีมือแรงงานเอเชีย ครั้งที่ 2 ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว โดยเยาวชนไทยสามารถคว้าเหรียญรางวัลในเวทีการแข่งขันฝีมือแรงงาน ระดับเอเชียมาได้ทั้งหมด 6 เหรียญ ประกอบด้วย... 

>> 1 เหรียญทอง จากสาขาแต่งผม นายสิทธิพร พาสง่า สนับสนุนโดยโรงเรียนเสริมสวยอรอุบล  

>> 2 เหรียญเงิน ได้แก่ สาขาเทคโนโลยีงานเชื่อม นายสิทธิชัย ไชยวิเศษ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย สาขาหุ่นยนต์เคลื่อนที่ (ประเภททีม) ได้แก่ นายภัคพล ปรีชาวนา และนายฬูค่า ชนกันต์ บอนด์ จากศูนย์การเรียนรู้การเขียนโปรแกรมและนวัตกรรมหุ่นยนต์ 

>> 1 เหรียญทองแดง จากสาขาเทคโนโลยีเว็บ นายณฐนันท์ แพน้อย วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออก (อี.เทค) 

>> และคว้าเหรียญฝีมือยอดเยี่ยมมาได้อีก 2 สาขา คือ สาขาเทคโนโลยีระบบทำความเย็น นายหัตศนัยต์ บุญแก้วคง จากวิทยาลัยเทคนิคสงขลา และสาขากราฟิกดีไซน์ นางสาวปภัชญา พีรกรวรธรรม จากวิทยาลัยเทคโนโลยีสยามบริหารธุรกิจ วิทยาเขตสะพานใหม่

นางสาวบุปผา กล่าวต่อว่า น้อง ๆ ที่คว้ารางวัลกลับมายังประเทศไทยในครั้งนี้ ได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ และได้แสดงศักยภาพด้านทักษะฝีมือให้ประเทศอื่น ๆ ได้เห็นว่า เด็กไทยมีฝีมือไม่แพ้ชาติใดในโลก ส่วนน้อง ๆ ที่พลาดเหรียญรางวัลก็ไม่ต้องเสียใจ ทุกคนได้ทำหน้าที่ตัวแทนประเทศไทยอย่างเต็มที่และสุดความสามารถแล้วประสบการณ์ที่ได้รับมีคุณค่ามากกว่า เพราะหาฝึกจากที่ไหนไม่ได้  และต้องยอมรับว่าทุกคนที่ก้าวมาถึงเวทีนี้ถือว่าสุดยอดมาก ๆ ขอให้นำประสบการณ์ในครั้งนี้เป็นแรงผลักดันในการต่อสู้ในเวทีอื่น ๆ และนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับการเรียนและการทำงานในอนาคตต่อไป 

ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงสถาบันการศึกษาผู้อยู่เบื้องหลังแห่งสำเร็จในครั้งนี้ที่ให้การสนับสนุนในช่วงระหว่างการเก็บตัวฝึกซ้อม พร้อมกับสนับสนุนด้านต่าง ๆ จนทำให้เยาวชนไทยสามารถไปร่วมการแข่งขันและคว้าเหรียญรางวัลกลับประเทศไทยอย่างภาคภูมิใจ เวทีการแข่งขันทุกเวทีเป็นการกระตุ้นให้เกิดการ Upskill แรงงานได้ กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานจะส่งแรงงานและเยาวชนเข้าร่วมในทุกเวทีและทุกด้าน เพื่อสร้างแรงผลักดันให้แรงงานไทยทุกคนได้เห็นความสำคัญของการพัฒนาหรือ Upskill ฝีมือตนเองอย่างต่อเนื่องเพื่อให้พร้อมกับการก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานต่อไป

อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับเยาวชนที่สามารถคว้าเหรียญรางวัล จะได้รับรางวัลดังนี้ เหรียญทอง 261,000 บาท เหรียญเงิน 161,500 บาท เหรียญทองแดง 82,000 บาท เหรียญฝีมือยอดเยี่ยม 35,000 บาท และรางวัลปลอบใจสำหรับน้องที่พลาดเหรียญรางวัลคนละ 10,000 บาท สำหรับการดูแลต่อจากนี้ นอกเหนือจากการเก็บตัวฝึกซ้อมเพื่อไปแข่งในระดับนานาชาติช่วงเดือนกันยายน 2567 หากน้อง ๆ ต้องการที่จะศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจะประสานกับทางมหาวิทยาลัย จัดหาโควต้าในการศึกษาต่อให้ สำหรับการเข้าทำงานต้องยอมรับว่า น้อง ๆ มีทักษะสูงจึงมีบริษัทจองตัวไว้แล้ว อีกส่วนหนึ่ง กรมพัฒนาฝีมือแรงงานเตรียมรับเป็นวิทยากรของกรมฯ เพื่อทำหน้าที่ครูฝึกให้แก่แรงงานต่อไปด้วย

‘เศรษฐา’ ชี้!! เดินสายทั่วโลก ช่วยดึงดูดนักลงทุนชั้นนำ ยกเคส Google ร่วมไทย นำเทคโนโลยีใหม่เอื้อ ‘ชีวิต-งาน’

‘เศรษฐา’ โชว์วิสัยทัศน์ พร้อมขอบคุณ Google ร่วมมือรัฐบาลไทย นำเทคโนโลยี มาใช้ทำงานในชีวิต เชื่อ AI-Cloud ตอบโจทย์พันธกิจ พัฒนาธุรกิจไทย ลั่น!! วันนี้สวมหมวกรัฐบาล ทำงานเชิงรุก หวังคนไทยกินดีอยู่ดี ย้ำ!! ไม่ทิ้งคนไหนไว้ข้างหลัง

(8 ธ.ค.66)  ที่ห้องแมคโนเลียบอลรูม โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน ‘Google Digital Samart Thailand’ ว่า ขอขอบคุณผู้บริหาร Google และหลายภาคส่วนที่สำคัญ ทั้งภาคธุรกิจประชาชนคนไทยและอีกหลายท่านที่มาร่วมงานในวันนี้ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความร่วมมือระหว่าง Google และรัฐบาลไทยในวันนี้การนำเทคโนโลยี Google มาใช้ในการทำงานและชีวิตประจำวันการพัฒนาขีดความสามารถและการใช้งานจำนวนมากในภาคประชาชนและธุรกิจล้วนเป็นจุดเริ่มต้นสารตั้งต้นของงานในวันนี้

นายกฯ กล่าวว่า วันนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ได้มาพูดในงาน Google ประเทศไทย ครั้งแรกจำได้ดีตอนอยู่ภาคเอกชนเดือนมิถุนายนปีที่แล้วประสบการณ์ของตนและ Google ทำให้ทราบว่านอกจากเป็นผู้นำทางด้านดิจิทัลแล้ว ยังใส่ใจในความแตกต่างความหลากหลายของผู้คนในสังคมหน่วยงานในภาครัฐและภาคธุรกิจขนาดใหญ่ขนาดกลางและขนาดเล็ก วันนี้ตนได้เห็นภาพชัดเจนของโครงการและการลงทุนต่างๆ ของ Google โดยเฉพาะด้าน AI และ Cloud นั้นจะตอบโจทย์พันธกิจ ของ Google ช่วยประเทศไทยและพัฒนาคนไทยและธุรกิจไทยอย่างแน่นอน 

นายกฯ กล่าวว่า วันนี้สวมหมวกใหม่ในฐานะรัฐบาลเราให้ความสำคัญในการทำงานเชิงรุกที่สร้างความอยู่ดีกินดีให้กับพี่น้องประชาชนคนไทย ซึ่งที่ผ่านมาก็พยายามดำเนินนโยบายหลังเร่งด่วนมาโดยตลอด ขณะเดียวกันขอย้ำเสมอว่าประเทศไทยอยู่ท่ามกลางความท้าทายของสภาพเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน และตนได้ออกไปเชิญนักธุรกิจทั่วโลกในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เป็นที่ประจักษ์ดีว่าเพื่อประกาศให้โลกรู้ประเทศไทยเปิดแล้วสำหรับการทำธุรกิจ และเราจะทำให้ประเทศไทยกลับมาเป็นจุดมุ่งหมายของการลงทุนของนักลงทุนชั้นนำอีกด้วย ยกระดับเศรษฐกิจไทยให้ไปสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลนำ AI และ Cloud เข้ามาพัฒนาการให้บริการพี่น้องประชาชน นำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจมูลค่าสูงด้วยกลยุทธ์การดำเนินการที่กล่าวไปแล้วเราได้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในหลายมิติ

“การไปประชุมที่นิวยอร์กเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้พบปะกับ ประธานบริหารการลงทุนและประธานบริหารการเงิน ของ Google ซึ่งหารือถึงการทำงานร่วมกันเพื่อยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยโดยรวม นับจากนั้นเป็นต้นมา คณะทำงานของทั้งสองฝ่าย ต้องขอขอบคุณทาง Google ประเทศไทยและทีมงานของตนที่ได้ทำงานกันอย่างหนักเชิงรุกร่วมกันอย่างเข้มแข็ง จนบรรลุถึง MOU ความร่วมมืออย่างเป็นทางการ ระหว่างไทยและ Google ที่การประชุมเอเปคกลางเดือนที่ผ่านมาความร่วมมือทั้งสองฝ่ายประกาศร่วมกัน 4 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ การต่อยอดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจดิจิทัล เช่น การลงทุนขยาย Data Center ในประเทศไทยการส่งเสริมการใช้ Cloud และ AI อย่างมีความรับผิดชอบและปลอดภัยเพื่อยกระดับการให้บริการของภาครัฐการวางหลักการเกี่ยวกับนโยบายการใช้งานระบบ Cloud เป็นหลัก หรือที่เรียกว่า Cloud first Policies และการทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงทักษะด้านดิจิทัลได้อย่างมากขึ้น” นายกฯกล่าว

นายกฯ กล่าวต่อว่า รัฐบาลได้ประกาศนโยบายการใช้ระบบ Cloud เป็นหลัก ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างแข็งแรงในยุคเศรษฐกิจ AI รัฐบาลได้จัดทำนโยบายและแผนเพื่อเป็นกรอบการขยายงานใช้งาน Cloud และเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีทั้งภาครัฐและเอกชนโดยเน้นการใช้งาน Public Ground ที่มีมาตรฐานในการดูแลข้อมูลของภาครัฐ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมจะเป็นผู้เรื่องขับเคลื่อนนโยบาย เน้นบูรณาการด้านเทคโนโลยี Cloud กับการดำเนินงานของภาครัฐ ซึ่งทำให้เกิดผลได้เชิงปฏิบัติโดยเร็ว โดยอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้นอกจากจะเร่งให้เกิดการยกระดับการให้บริการในภาครัฐแล้ว ยังยกระดับขีดความสามารถของประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดหมายการลงทุนของระบบ บริษัทชั้นนำของทั่วโลก เรื่องที่ 2 เรากำลังวางแนวทางจัดแผน ในหน่วยงานรัฐและที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้มีมาตรฐานลดความซ้ำซ้อนเพิ่มการป้องกันการคุกคามภัยทางไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาทางคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์แห่งชาติ ได้มีการคิกออฟการทำงานไปแล้ว ต้นปีหน้าเราจะเห็นแผนการทำงานที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และเรื่องที่ 3 อัปสกิล-รีสกิล ตนยินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นความร่วมมือกับ Google และกระทรวงและหน่วยงานราชการ ซึ่งจะพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากร และหน่วยงานภาครัฐทั้งหมดทำให้การบริการพี่น้องประชาชนได้ดียิ่งขึ้น เริ่มโครงการนำร่องใช้ในงานของภาครัฐ ความร่วมมือดังกล่าว

“ต้องขอบคุณกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ ในการส่งเสริมผลักดันความร่วมมือกับ Google และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่นของโลกทั้งในเรื่อง AI Cloud และความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์การดำเนินการเชิงรุกของรัฐบาลยกระดับเศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ และดีใจที่วันนี้เรามีการร่วมมือกับทาง Google จะทำงานกันต่อไป โดยไม่ทิ้งคนไทยคนไหนไว้ข้างหลัง” นายกฯกล่าว

ด้านนาย Karan Bajwa Vice President Asia Pacific Google Cloud กล่าวว่า จากผลการวิจัยพบว่าหากภาคส่วนและองค์กรต่างๆ ในประเทศไทยนำนวัตกรรม AI มาใช้งานจะสามารถปลดล็อกผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้อย่างน้อย 2.6 ล้านล้านบาท ภายในปี 2573 อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์แบบดั้งเดิมยังขาดความสามารถในการปรับขนาดและความยืดหยุ่น เพื่อรองรับความต้องการด้าน AI ที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ความสามารถของเทคโนโลยี Cloud AI ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานระดับองค์กร โดยเฉพาะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรม

ดังนั้น เราจึงได้ร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการร่างนโยบาย Go Cloud First เพื่อสร้างแนวทางที่ชัดเจนขึ้นสำหรับองค์กรต่างๆ ในการเข้าถึงความสามารถเหล่านี้อย่างรวดเร็ว ภายใต้ความร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงคมนาคม และสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ เราจะดำเนินการในขั้นตอนต่อไปในการเตรียมความพร้อมให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการแก่ประชาชนในการสร้างและปรับใช้โซลูชั่น Generative AI โดยใช้ความสามารถของ Cloud AI ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการความร่วมมือ โดยมีเป้าหมายทำให้องค์กรต่างๆ ได้รับประโยชน์ที่มีอยู่ Generative AI เพื่อช่วยพลิกโฉมเศรษฐกิจประเทศไทย และสร้างประโยชน์ในวงกว้างต่อคนไทยทุกคนได้อย่างรวดเร็ว

‘พีระพันธุ์’ จ่อชง ครม. ดึงงบกลางตรึงค่าไฟ 3.99 บ. ต่อหน่วย ช่วยผู้ใช้ไฟไม่เกิน 300 หน่วย จำนวน 17.7 ล้านครัวเรือน

(8 ธ.ค. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า เพื่อลดค่าครองชีพประชาชนและเป็นของขวัญปีใหม่กระทรวงพลังงานเตรียมนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่จะตรึงค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) งวด ม.ค.-เม.ย. 67 ไว้ที่อัตราเดิม 3.99 บาท/หน่วยให้เฉพาะกลุ่มเปราะบางจำนวน 17.7 ล้านครัวเรือน โดยอ้างอิงจากข้อมูลเดิมคือผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน โดยจะต้องขอความเห็นชอบจาก ครม.เพื่อใช้งบกลางปี 2567 ราว 2,000 ล้านบาท ส่วนผู้ใช้ไฟฟ้าที่เกิน 300 หน่วยขึ้นไป เตรียมที่จะนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในวันที่ 13 ธันวาคมนี้ เพื่อหารือถึงแนวทางในการดูแลค่าไฟให้กลุ่มนี้ต่อไปเพื่อลดผลกระทบ

“คงเน้นไปที่กลุ่มเปราะบางก่อนในระยะสั้นนี้ แต่ต่อไปก็จะเร่งพิจารณาส่วนผู้ใช้ไฟที่เกิน 300 หน่วยต่อเดือนโดยแนวทางก็อาจจะพิจารณายืดหนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ ให้ บมจ. ปตท. ลดราคาต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติลง ซึ่งยังต้องหาข้อสรุปว่าจะสามารถลดค่าไฟให้เหลือ 3.99 บาทตอนหน่วยได้หรือไม่ เนื่องจากการจะลดค่าไฟทั่วประเทศจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก เพราะราคาก๊าซธรรมชาติในระยะนี้สูงขึ้นเช่นกัน แต่ยืนยันค่าไฟฟ้าจะไม่ถึง 4.68 บาทต่อหน่วยแน่นอน โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปไปในเดือนธันวาคมนี้” นายพีระพันธุ์กล่าว

สำหรับการจัดทำน้ำมันดีเซลราคาถูกให้กับกลุ่มเกษตรกรว่า เตรียม จะเสนอร่างกฎหมาย จัดทำโครงสร้าง ราคาน้ำมันดีเซล ให้กับกลุ่มเกษตรกรเช่นเดียวกับน้ำมันเขียวที่ขายให้กับกลุ่มประมง ภายในวันที่ 12 ธันวาคมนี้ ที่จะมีการประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่ 2 เบื้องต้นอยู่ระหว่างการจัด ร่างกฎหมาย โดย จะมีความแตกต่าง จากน้ำมันเขียว ที่ได้รับการยกเว้นจัดเก็บภาษีน้ำมันดีเซลสรรพสามิต แต่ในส่วนน้ำมันของเกษตร ยืนยันว่าจะขายในราคาต่ำกว่าราคาดีเซลปัจจุบัน  

‘พีระพันธุ์’ ลั่น!! อยากตรึงค่าไฟงวด ม.ค.-เม.ย. 67 ไว้ที่ 3.99 ชี้!! อาจต้องให้ ‘ปตท.-กฟผ.’ ช่วยแบกรับแทนประชาชนไปก่อน

(8 ธ.ค.66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงประเด็นเรื่องค่าไฟงวด ม.ค.-เม.ย.67 สำหรับกลุ่มประชาชนทั่วไป ว่า ขณะนี้กำลังพยายามหาแนวทางหลากหลายรูปแบบในการดำเนินการ เพื่อทำให้ค่าไฟต่ำกว่า 4.68 บาทตามที่ที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศล่าสุด

อย่างไรก็ดี คงต้องยอมรับก่อนว่า เรื่องดังกล่าวไม่ใช่ว่าจะสามารถทำได้แบบที่ใจคิด เนื่องจากมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย โดยการที่จะให้ค่าไฟลดลง 10 สตางค์ จะต้องมีค่าใช้จ่าย หรือผู้ที่ต้องแบกรับภาระตั้งแต่ 1,000-10,000 ล้านบาท 

“การพยายามจะตรึงราคาค่าไฟไว้ที่ระดับเดิม 3.99 บาทต่อหน่วยคงทำได้ยาก เพราะราคาค่าก๊าซธรรมชาติที่นำมาใช้ผลิตไฟมีการปรับขึ้นราคาในช่วงฤดูหนาว แต่จะพยายามทำให้ต่ำที่สุด”

ขณะที่ประเด็นที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานต้องการให้ค่าไฟงวดใหม่อยู่ที่ราคา 4.10 บาทต่อหน่วย ไม่ใช่ 4.20 บาทต่อหน่วยตามที่กระทรวงพลังงานเคยระบุว่าจะดำเนินการก่อนหน้านี้นั้น ในความคิดเห็นส่วนตัวต้องการให้อยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วยมากกว่า

“การจะปรับลดค่าไฟไม่ใช่อยู่ที่การพูดว่าต้องการเท่าไหร่ แต่อยู่ที่หลายภาคส่วนประกอบกัน เช่น ผู้ประกอบการจะอยู่ได้หรือไม่ เพราะปัจจุบันไม่ใช่มีแค่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เท่านั้น แต่ยังมีผู้ประกอบการภาคเอกชนด้วย ซึ่งบางรายเพิ่งฟื้นจากสถานการณ์โควิด19 หากเอกชนที่เป็นรายเล็กบางรายอยู่ไม่ได้ ก็อาจจะทำให้มีไฟฟ้าไม่เพียงพอ ซึ่งคงวุ่นวายไปมากกว่านี้ ดังนั้น ต้องคิดอย่างรอบคอบให้เกิดความเป็นไปได้ของทุกส่วน ต้องแก้ปัญหาให้เป็นวงกลม”

นอกจากนี้ การที่จะดำเนินการช่วยเหลือกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ใช้ไฟเกิน 300 หน่วยต่อเดือน จะต้องนำเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาเห็นชอบด้วยในวันที่ 13 ธันวาคม 2566

สำหรับแนวทางการให้ความช่วยเหลือ แน่นอนว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือ เพราะเป็นองค์กรที่ดูแลเรื่องก๊าซธรรมชาติ เช่นเดียวกับ กฟผ. ที่อาจจะต้องแบกรับภาระเพื่อประชาชนอีก

ส่วนจะใช้โอกาสดังกล่าวนี้ในการปรับโครงสร้างพลังงานทั้งระบบเลยหรือไม่นั้น ปัจจุบันกำลังอยู่ในขั้นตอนของการศึกษาเพื่อไม่ให้ปัญหาทางด้านพลังงานจะต้องเกิดขึ้นทุก 3-4 เดือนที่จะมีการประกาศค่าไฟงวดใหม่ โดยกำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปัญหา เพื่อนำมาแก้ไข

“ตอนนี้คงต้องทำตามโครงสร้างเดิมก่อน เพราะเป็นแบบนี้มามากกว่า 40 ปีแล้ว แต่ก็พยายามหาทางทุกมิติว่าจะปรับโครงสร้างพลังงานอย่างไร เพื่อให้ราคาลดลงได้ด้วยตัวเอง และไม่เพิ่มภาระให้ประชาชน หรือเรียกว่าปลดแอกจากราคาที่ขึ้นอยู่กับตลาดโลกเป็นปัจจัยหลักสำคัญ”

‘CEO ปตท.’ คว้ารางวัลวิศวกรผลงานโดดเด่น  จากสมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี

เมื่อไม่นานมานี้ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) รับรางวัล Outstanding Engineer Award จาก ดร.ประเสริฐ  สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะวิศวกรที่มีผลงานโดดเด่นและน่ายกย่องในวิชาชีพวิศวกรรม รวมถึงการทำประโยชน์ต่อสังคม และส่งเสริมการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับด้านไฟฟ้าและพลังงาน ในงาน IEEE PES Dinner Talk 2023 ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี (ประเทศไทย) หรือ IEEE Power & Energy Society (Thailand) 

นอกจากนี้ นายอรรถพล ยังได้ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ การตอบสนองความต้องการด้านพลังงานในโลกที่ไม่หยุดนิ่ง เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านนโยบายและทิศทางการพัฒนาพลังงานแก่ผู้เข้าร่วมงานอีกด้วย

‘ททท.’ เผย ยอดต่างชาติเที่ยวไทย ปี 66 ทะลุเป้า 27 ล้านคน สวนทางรายได้ วืดเป้า 4 แสนล้าน เหตุเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก

เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 66 นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ททท.คาดว่าตลอดปี 2566 จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยกว่า 27 ล้านคน สร้างรายได้จากตลาดต่างประเทศ 1.2 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่ ททท. ตั้งไว้ตลอดปีนี้ ซึ่งตั้งเป้ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 25-28 ล้านคน สร้างรายได้ 1.6 ล้านล้านบาท

หลังจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 3 ธ.ค. 2566 รวม 25,081,212 คน สร้างรายได้ 1,067,513 ล้านบาท และเมื่อประเมินเฉพาะเดือน ธ.ค. ซึ่งตรงกับช่วงเทศกาลปีใหม่ จึงคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา 2 ล้านคน สร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท

“ด้วยปัญหาเศรษฐกิจโลก ปัญหาจำนวนเที่ยวบินยังไม่กลับมาเป็นปกติ ขณะที่ตลาดนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นความหวังว่าจะเห็นการฟื้นตัว 4-4.04 ล้านคน น่าจะได้จริงเพียง 3.4-3.5 ล้านคน ห่างจากปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาดที่มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยกว่า 11 ล้านคน เนื่องจากในตอนนี้เศรษฐกิจจีนเองกำลังมีปัญหา และรัฐบาลจีนเน้นส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ เห็นได้จากค่าตั๋วเครื่องบินภายในประเทศจีน เดือน ธ.ค. เฉลี่ย 590 หยวน ลดลง 19% จากเดือน พ.ย. ที่มีราคา 728 หยวน ส่วนราคาตั๋วเครื่องบินไปต่างประเทศในเดือน ธ.ค. ราคาเท่ากับเดือน พ.ย. ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 1,980 หยวน ทำให้คนจีนออกท่องเที่ยวภายในประเทศกันเป็นจำนวนมาก” ผู้ว่าการ ททท. กล่าว

ด้านกระแสการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศของคนไทย จากสถิติช่วง 11 เดือนแรก ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 30 พ.ย.ที่ผ่านมา พบว่ามีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย (รวมนักท่องเที่ยวและนักทัศนาจร) เดินทางสะสมแล้ว 228 ล้านคน-ครั้ง สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ตลอดปี 2566 ที่ 200 ล้านคน-ครั้ง และคาดว่าทั้งปีนี้จะไปถึง 240 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 8 แสนล้านบาท เนื่องจากคนไทยใช้จ่ายน้อยลง แต่มีความถี่ในการเดินทางมากขึ้นจากการกระตุ้นของรัฐบาล

“แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติจะเป็นไปตามเป้าหมาย แต่เมื่อรวมรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.2 ล้านล้านบาท และนักท่องเที่ยวไทยอีก 8 แสนล้านบาท ทำให้ในปี 2566 ประเทศไทยจะมีรายได้รวมการท่องเที่ยว 2 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าเป้ารายได้ที่ตั้งไว้ 2.4 ล้านล้านบาท หรือขาดไป 4 แสนล้านบาท” ผู้ว่าการ ททท. กล่าว

เหตุผลหลักมาจากรายได้ของนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรปซึ่งพักค้างคืนในไทยนานขึ้น ยังมีสัดส่วนน้อยกว่านักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีคนเดินทางเข้ามาจำนวนมาก แต่พักค้างระยะสั้น เช่น นักท่องเที่ยวมาเลเซีย ซึ่งคาดว่าสิ้นปีนี้จะมีจำนวนเดินทางเข้าไทย 4.59 ล้านคน แต่มีค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปที่ 26,000 บาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด

ส่วนนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งมีจำนวนมากเป็นอันดับ 2 ในปีนี้ คาดใช้จ่ายเฉลี่ย 50,000 บาท เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับปี 2562 โดยรายงานจาก ‘อาลีเพย์’ (Alipay) ระบุว่า นักท่องเที่ยวจีนมียอดใช้จ่ายเฉพาะการชอปปิงและทานอาหารในไทย (ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินและที่พัก) เพิ่มขึ้น 100% จาก 10,000 บาทต่อทริป เป็น 20,000 บาทต่อทริป

นางสาวฐาปนีย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตามที่รัฐบาลออกมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Exemption) หรือ ‘ฟรีวีซ่า’ เป็นการชั่วคราวให้แก่นักท่องเที่ยวจีน คาซัคสถาน อินเดีย และไต้หวัน พร้อมขยายระยะเวลาพำนักของนักท่องเที่ยวรัสเซียเป็นสูงสุดไม่เกิน 90 วันนั้น ได้ช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวอย่างมาก และถือว่ามาตรการนี้ได้ผล เห็นได้จากประเทศคู่แข่งได้ออกมาตรการอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าเพื่อกระตุ้นตลาดเป้าหมาย โดยล่าสุดประเทศมาเลเซียเพิ่งประกาศมาตรการฟรีวีซ่าแก่ชาวจีนตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2566 ไปจนถึงสิ้นปี 2567

“ททท.เตรียมเสนอรัฐบาลต่ออายุมาตรการฟรีวีซ่าให้นักท่องเที่ยวจีน ที่จะหมดลงในวันที่ 29 ก.พ. 2567 รวมทั้งให้พิจารณาเพิ่มวันพำนักแก่นักท่องเที่ยวจากประเทศที่ได้รับฟรีวีซ่าอยู่แล้ว จาก 30 วัน ให้เพิ่มเป็น 90 วัน รวมทั้งเตรียมหารือกระทรวงการต่างประเทศ ให้ชาวต่างชาติที่ทำวีซ่านักท่องเที่ยวสามารถเข้าออกประเทศไทยได้หลายครั้ง (Multiple Visa) เพื่อรองรับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว ที่สนใจเดินทางจากไทยเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ดึงดูดให้เขากลับมาเที่ยวประเทศไทยอีก” ผู้ว่าการ ททท. กล่าว

‘ปตท.’ รับรางวัลสาขาความเป็นเลิศด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน  จากเวที ‘Thailand Corporate Excellence Awards 2023’

เมื่อไม่นานมานี้ นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา องคมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล Thailand Corporate Excellence Awards 2023 ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย ร่วมกับสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) โดยมี นายเทอดเกียรติ พร้อมมูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลยุทธ์องค์กรและความยั่งยืน เป็นผู้แทน ปตท. เข้ารับรางวัลในสาขาความเป็นเลิศด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Excellence) รางวัลดังกล่าวได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่องค์กรที่มีความเป็นเลิศทางด้านการบริหารจัดการในสาขาต่าง ๆ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ ปตท. ในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน พร้อมมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทย ตลอดจนดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมให้เติบโตอย่างมั่นคงต่อไป

‘ทรู-ดีแทค’ ประกาศ ‘เลิกใช้กระดาษ’ ในศูนย์บริการ 100% เดินหน้าใช้ AI ช่วยเซฟเวลาทำงาน 5 แสนชั่วโมงต่อปี

(7 ธ.ค.66) บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย ยกเลิกการใช้เอกสารแบบฟอร์มกระดาษทั้งหมดในศูนย์บริการทรูและดีแทค ด้วยระบบการทำงานแบบดิจิทัลที่เร็วกว่าและปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าดียิ่งขึ้น การให้บริการแบบไร้กระดาษ (Paperless) จะช่วยให้บริษัทฯ ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก (Carbon Footprint) จากกิจกรรมการทำงานของบริษัท และเป็นส่วนหนึ่งที่เดินหน้าใช้ระบบอัตโนมัติ 100% ในงานพื้นฐานประจำวันที่ซ้ำๆ ภายในปี 2570 โดยการพลิกโฉมการดำเนินงานในครั้งนี้จะช่วยประหยัดเวลาดำเนินการในศูนย์บริการได้รวม 400,000 ชั่วโมงต่อปี

นายชารัด เมห์โรทรา รองประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “นี่คือการมุ่งมั่นที่จะพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าในทุกศูนย์บริการและทุกช่องทาง เรากำลังนำนวัตกรรมโซลูชัน อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระบบอัตโนมัติ และหุ่นยนต์เสมือน เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการและปกป้องข้อมูลของส่วนบุคคลของลูกค้า ทั้งนี้ จากการยกเลิกการใช้เอกสารแบบฟอร์มกระดาษ 100% ในศูนย์บริการทำให้ลูกค้าของเราใช้บริการได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น การใช้ระบบดิจิทัลอย่างสมบูรณ์แบบยังช่วยปกป้องข้อมูลลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของเราอีกด้วย”

ทั้งนี้ จากเดิมก่อนปรับเป็นระบบดิจิทัล หรือไร้กระดาษ (Paperless) 100% ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้มีการใช้เอกสารในรูปแบบต่างๆ สำหรับการทำรายการ 24 ประเภท ซึ่งการทำธุรกรรมต่างๆ ลูกค้าต้องกรอกเอกสารที่ใช้เวลานาน และการใช้กระดาษยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว แบบฟอร์มกระดาษอาจจะเกิดความเสี่ยงข้อผิดพลาดในการนำข้อมูลมาป้อนลงในระบบ แพลตฟอร์มดิจิทัลใหม่จะพลิกโฉมขั้นตอนนี้และเพิ่มการปกป้องคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าให้เข้มงวดยิ่งขึ้นในการเข้าถึงได้

นอกจากการพลิกโฉมสู่การดำเนินการแบบไร้กระดาษ ทรู คอร์ปอเรชั่นยังปรับระบบการทำงานสู่รูปแบบอัตโนมัติ โดยนำระบบหุ่นยนต์เสมือนมาช่วยในส่วนของการทำงานที่สิ้นเปลืองเวลามากแต่มีการปฏิบัติซ้ำๆ และชัดเจน ซึ่งสามารถจัดการกระบวนการที่ลูกค้าต้องรอในร้านค้าได้ถึง 80% ทำให้ดำเนินการได้เร็วขึ้นทันที นอกจากนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้เพื่อดำเนินการอัตโนมัติเพิ่มอีก 20% เพื่อให้ประหยัดเวลาของลูกค้าโดยรวมได้มากขึ้นจาก 400,000 เป็น 500,000 ชั่วโมงต่อปีในไตรมาสที่ 1 ปี 2567

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับเพื่อทำให้ช่องทางบริการทรูและดีแทคเป็นอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น ขณะนี้ ศูนย์บริการทรูและดีแทค พร้อมกับตัวแทนร้านค้าได้นำโซลูชัน AI มาใช้งาน ทำให้สามารถวินิจฉัยปัญหาและเสนอแนะได้ทันที ลดเวลาในการจัดการลง 35% รวมถึงการนำ AI มาใช้กับแชทบอท บริการลูกค้าประมาณ 150,000 รายการต่อเดือน

ระบบอัตโนมัติเป็นหนึ่งในโครงการริเริ่มกว่า 100 โครงการที่ทรู คอร์ปอเรชั่นกำลังดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของ Synergies มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) 2.5 แสนล้านบาท ระหว่างปี 2566-2573 โดยส่วนหนึ่งของ Synergies ประมาณ 65,000-70,000 ล้านบาทมาจากการผสานองค์กรและการดำเนินงานแบบครบวงจร ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงการดำเนินการให้ทันสมัยและระบบอัตโนมัติ

นอกเหนือจากการติดตั้ง AI ไว้ในระบบการให้บริการและการดำเนินงานของบริษัทแล้ว ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังนำเทคโนโลยี AI มาใช้กับลูกค้ากลุ่มธุรกิจอีกด้วย โดยกลุ่มทรู ดิจิทัล ได้พัฒนาโซลูชั่นด้านการค้าปลีก เกษตรกรรม และสุขภาพ โดยผสานข้อมูลจากอุปกรณ์ IoT การใช้งาน 5G และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine learning) เข้าด้วยกันเพื่อการใช้งานรูปแบบต่างๆ ดังนั้น จึงสามารถยกระดับสู่โรงพยาบาลอัจฉริยะไปจนถึงฟาร์มอัจฉริยะและการค้าปลีกอัจฉริยะ รวมถึงการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine learning) ยังมาช่วยเพิ่มความปลอดภัย การขนส่งสินค้ารวดเร็ว และลดการใช้พลังงาน

“ในฐานะบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย เรามุ่งมั่นที่จะสร้างมาตรฐานนำเสนอบริการที่ดีกว่า ปลอดภัยกว่า และยั่งยืนยิ่งขึ้นเพื่อลูกค้าของเรา เรายังมุ่งมั่นในการนำโซลูชันเพื่อพัฒนาทุกภาคส่วน และยกระดับการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลของประเทศร่วมกัน” นายชารัด กล่าวในที่สุด

'IPOWER' บริษัทย่อย 'ILINK’ คว้างานใหม่ ‘กฟภ.’  ก่อสร้างสายส่งระบบ 115 เควี Tap Line มูลค่า 144.76 ลบ.

เมื่อวานนี้ (6 ธ.ค.66) แจ้งข่าวดีรับปีใหม่!! บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ฯ หรือ ILINK ส่งบริษัทย่อย ‘บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เพาเวอร์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด’ ลงนามสัญญางานโครงการก่อสร้าง สายส่งระบบ 115 เควี Tap Line มูลค่า 144.76 ล้านบาท หนุนผลงานโค้งสุดท้ายของปี เพิ่มผลงานในปี 2568 โดยภาพรวมธุรกิจเติบโตตามแผน พร้อมรอข่าวใหญ่ปีหน้าคว้างานบิ๊กโปรเจ็กต์ และจะมีข่าวงานโครงการทยอยเซ็นต์สัญญาต่อไป 

นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสายสัญญาณที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า ‘บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เพาเวอร์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด’ หรือ IPOWER ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ร่วมลงนามในสัญญาจ้างก่อสร้างสายส่งระบบ 115 เควี Tap Line [สถานีไฟฟ้าแรงสูงสีคิ้ว 2 (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) - สถานีไฟฟ้าสีคิ้ว 2] - สถานีไฟฟ้าด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมาตามโครงการพัฒนาระบบส่งและจำหน่ายระยะที่ 2 แผนงานที่ 2 มูลค่างาน 144,760,000.00 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยงานโครงการนี้มีระยะเวลาการส่งมอบงานภายใน 360 วัน นับถัดจากวันที่ลงนามในสัญญา คาดว่าจะรับรู้รายได้ในปี 2567 ทั้งหมด

“การที่บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เพาเวอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ. อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ได้รับงานใหม่ในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำถึงศักยภาพ ความสามารถ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะด้านการติดตั้งงาน Turnkey วิศวกรรมโครงการต่าง ๆ อีกทั้งยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่น และความไว้วางใจจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ซึ่งเป็นลูกค้าหลักรายใหญ่มาอย่างยาวนาน ส่งผลทำให้บริษัทฯ มีมูลค่างานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในอนาคต บริษัทฯ ยังรอผลการประกวดราคางานโครงการ Turnkey วิศวกรรมโครงการอีก 2 - 3 งาน ซึ่งคาดว่าน่าจะทยอยประกาศในช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 2 เพื่อหนุนต่อเติม Backlog สร้างผลงานโดดเด่น ผลักดันให้บริษัทฯ ก้าวหน้า และสามารสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นอีกด้วย ตอกย้ำการเติบโตของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนแบบมีคุณภาพ ซึ่งบริษัทฯ ได้ยืนยัน จะเติบโตทั้งรายได้ และผลกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นตามนโยบายที่ประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา และจะได้เห็นผลชัดเจนแล้วในปี 2566 นี้”

'ทีวี ไดเร็ค' ผนึกกำลัง 'ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น' รุกออนไลน์มาร์เก็ตเพลส ผลักดันแพลตฟอร์มขายสินค้าไทย พร้อมบริการจัดส่งแบบครบวงจร

'ทีวี ไดเร็ค' ร่วมกับ 'ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น' ผสานจุดแข็ง 2 องค์กร  ต่อยอดพัฒนาธุรกิจการขายและการตลาด ตอบโจทย์ลูกค้าทั่วประเทศ พร้อมผลักดันแพลตฟอร์มการขาย และแอปพลิเคชั่นออนไลน์มาร์เก็ตเพลสที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการไทย ด้วยบริการจัดส่งแบบครบวงจร ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ 

(7 ธ.ค.66) บริษัท ทีวีไดเร็ค จำกัด  ร่วมกับ บริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด (ปณด) จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ณ ห้องภาณุพันธุวงศ์  อาคารภาณุรังษีไปรษณียาคาร โดยมี นายวรสิทธิ์ ลีลาบูรณพงศ์ พร้อมด้วยนางสาววัชราภรณ์ สุวินย์ชัย กรรมการบริษัท บริษัท ทีวีไดเร็ค จำกัด และนายพีระ อุดมกิจสกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท ไปรษณีย์ไทย ร่วมลงนาม

สำหรับสาระสำคัญในการลงนามความร่วมมือครั้งนี้ ทาง นายวรสิทธิ์ ลีลาบูรณพงศ์ กรรมการบริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการผนึกจุดแข็งของทั้ง 2 บริษัท เข้าด้วยกัน โดยมุ่งเน้นการยกระดับให้กับสินค้าและบริการทางด้านการเกษตรของไทย ทำให้มั่นใจได้ว่าทุกภาคส่วนจะได้รับประโยชน์สูงสุด 

โดย บริษัท ทีวี ไดเร็ค ซึ่งมีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยี ได้ทำการพัฒนาแอปพลิเคชัน ภายใต้ชื่อ 'พร้อมสั่ง' ในรูปแบบ Online Marketplace และ 'พร้อมส่ง' ที่เป็น Online Delivery รองรับระบบ Marketplace ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เพื่อสร้างช่องทางใหม่ให้คนไทย ภายใต้การบริการที่มีคุณภาพ รวดเร็วและทันสมัย กับ 'สินค้าพร้อมส่ง สินค้าพร้อมขาย' 

"เรียกได้ว่า ฝั่งผู้ประกอบการ ก็สามารถจำหน่ายสินค้าได้ง่ายขึ้น เมื่อผ่านการใช้แอปพลิเคชัน และยังสามารถนำข้อมูลฐานลูกค้ามาบริหารจัดการกับธุรกิจในอนาคตอีกด้วย ... ส่วนฝั่งผู้บริโภค ก็มีช่องทางการสั่งซื้อสินค้าได้หลากหลายมากขึ้น สินค้าสดใหม่ส่งตรงถึงมือผู้บริโภคด้วยบริการโลจิสติกจากไปรษณีย์ไทย ถือเป็นการเปิดธุรกิจใหม่ของประเทศที่สามารถให้คนไทยได้อุดหนุนสินค้าและบริการของคนไทยด้วยกัน เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตยิ่งๆ ขึ้นไป" นายวรสิทธิ์ กล่าว

แน่นอนว่า การลงนามในความร่วมมือครั้งนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายต่างมุ่งหวังพัฒนาธุรกิจร่วมกัน โดยใช้ประสบการณ์ทางธุรกิจ ส่งเสริมศักยภาพการให้บริการโลจิสติกส์และการขายการตลาด เพื่อให้เกิด 'แพลตฟอร์มขายสินค้าพร้อมจัดส่งครบวงจรผ่านช่องทางสื่อสารแบบ Offline, Online, On-air' ซึ่งจะเป็นการช่วยสนับสนุนสินค้าจากผู้ผลิตและผู้ประกอบการไทยได้อย่างมาก 

ขณะเดียวกัน ทั้ง 2 ยังร่วมกันศึกษา เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านดิจิทัลที่รองรับการทำธุรกิจ B2B Solutions, Healthcare Solutions ใหม่ ตลอดจนพัฒนาบริการการจัดเก็บสินค้าที่ใช้ Robotic เพื่อสนองตอบความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ ที่ต้องการคุณภาพ, มาตรฐานการจัดเก็บ และความรวดเร็วการจัดส่งเป็นพิเศษ ตลอดจนตอบสนองลูกค้ากลุ่มใหม่ต่างประเทศอีกด้วย

'วี สแควร์ คลินิก' จัดทัพศิลปิน นางงาม อินฟลูฯ แถลงข่าวดี กอดคอ 'มาสเตอร์พีช' พร้อมอวดสาขาใหม่ล่าสุด เซ็นทรัล เวสต์วิลล์

ฉลองครั้งใหญ่ไฟกะพริบกับความร่วมมือทางธุรกิจศัลยกรรมความงาม สองยักษ์ใหญ่แห่งวงการกอดคอกันกลมรับลมหนาวก่อนปิดปีกระต่ายทอง 2566 ระหว่างแบรนด์ Masterpiece Hospital และ V Square Clinic ขนทัพศิลปิน นางงาม อินฟลูเอนเซอร์ ร่วมยินดีแน่น เซ็นทรัล เวสต์วิลล์

ในงานแถลงข่าว 'เปิดบ้าน วี สแควร์ คลินิก และกลยุทธ์ธุรกิจการเติบโตในอนาคต' ของบริษัท วี เอ็กคลูซีฟ กรุ๊ป จำกัด ครั้งนี้ นอกจากเพื่อฉายภาพธุรกิจแล้ว ยังนับเป็นปาร์ตี้เฉลิมฉลองเพื่อแจ้งข่าวดีเรื่องความร่วมมือทางธุรกิจกับบิ๊กเนมเจ้าตลาดศัลยกรรมฯ อย่างโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช พร้อมทัพศิลปิน นางงาม และอินฟลูเอนเซอร์ ตบเท้าเข้าร่วมงานคับคั่ง อาทิ ฟลุค - เกริกพล มัสยวาณิช, ตุ้ย - ธีรภัทร สัจจกุล, กี้ - นิโคล เทริโอ, อินฟลูเอนเซอร์คนดัง นินิว เพชรด่านแก้ว, ออยล์ - จุฑามาศ เมฆเสรี 

และนางงามจากหลายเวที อาทิ MUT ร้อยเอ็ด เอิร์ธ - กรประภา พลเขต, MUT อุดรธานี ซาร่า -สุภัสสรา สุปัญญา (ซาร่า), มิสแกรนด์นครพนม โอลีฟ - ศศิชา ดวงเกษ, Miss Angie Beauty Queen Thailand หมีพูห์ - วาสิตา ไชยกุลชื่นสกุล, Miss Trans Thailand ดร.พอลลี่ ณฑญา เป้ามีพันธ์, Miss Sexy Thailand เซียน - ปิยพร สังข์สุวรรณ ณ บริเวณ ชั้น G ลานน้ำตก Amphi Theatre, Central Westville (ลานแอมฟิ เธียเตอร์, เซ็นทรัล เวสต์วิลล์)

หลังจบพิธีการงานแถลงด้านกลยุทธ์ ธุรกิจและการตลาด เจ้าบ้าน วี สแควร์ คลินิก -นายแพทย์ พุทธพงศ์ เหลืองรัตน์ และคุณแป๊บ - นิวัฒน์ ตั้นตระกูล พร้อมแขกเยือนผู้มาร่วมกอดคอโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช Specialty Hospital ของอุตสาหกรรมด้านความงามอันดับต้นของประเทศไทยและเอเชีย โดย หมอเส - นายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล ซีอีโอ และ คุณดาว - ลภัสรดา เลิศภานุโรจ รองซีอีโอ บมจ.มาสเตอร์ สไตล์ ร่วมนำทัพศิลปิน นางงาม อินฟลูเอนเซอร์ และสื่อมวลชน อวดโฉมสาขาล่าสุดของ วี สแควร์ คลินิก ณ เซ็นทรัล เวสต์วิลล์ พร้อมช็อตเด็ดเซอร์ไพรส์ 'หมอเบส แห่ง วี สแควร์ คลินิก ฉีดโบทอกซ์ให้หมอเส แห่ง โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช' ตอกย้ำความน่าเชื่อถือระดับซีอีโอ และก่อนหน้านี้ตัวหมอเบสเองก็ฉีดฟิลเลอร์ครึ่งซีกด้านขวาของตนเอง เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างอย่างมีนัยยะหว่างซีกหน้าที่ฉีดและไม่ได้ฉีดฟิลเลอร์ว่า ใบหน้าซีกขวาไม่ว่าจะใต้ตาและร่องแก้มที่หย่อนคล้อยกลับฟื้นฟู ดูยกกระชับ อ่อนเยาว์ แถมเห็นผลในทันที ทำเอาอึ้งกันทั้งวงการ 

งานนี้ 'แข่งกัน...ไม่ดี ข้ามแบรนด์...ไม่มี มีแต่จับมือ กอดคอ ผนึกกำลังกันแกร่ง สะเทือนลั่นวงการอุตสาหกรรมความงาม'

ย้อนกล่าวถึงแบรนด์ วี สแควร์ คลินิก โดยสรุปคือ ความเป็นเจ้าตลาดคลินิกเสริมความงามมายาวนานนับทศวรรษ โดย บริษัท วี เอ็กคลูซีฟ กรุ๊ป จำกัด ผู้ประกอบกิจการ วี สแควร์ คลินิก ภายใต้การนำของ นายแพทย์ พุทธพงศ์ เหลืองรัตน์ หัวหน้าทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านความงามอย่างยาวนาน พร้อมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มีประสบการณ์และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในด้านความงาม เช่น คลินิกปรับรูปหน้ายอดนิยม โดยให้บริการฟิลเลอร์ โบทอกซ์ ร้อยไหม เมโส Hifu CoolSculpting รวมถึงการนำเทคโนโลยียกกระชับอย่าง Thermage FLX และ New Ulthera SPT ดูแลโดยทีมแพทย์ที่สั่งสมประสบการณ์ยาวนานกว่า 15 ปี ชำนาญการปรับรูปหน้าในเคสที่หลากหลายด้วยความพิถีพิถัน เพื่อดูแลและให้คำแนะนำที่ดีที่สุด โดยมุ่งเน้นเรื่องความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ และมีการติดตามผลทุกเคส

นอกจากนี้ยังเป็นคลินิกความงามที่มีรีวิวจากผู้มารับบริการจริง และมีลูกค้าเพิ่มขึ้นจากการบอกต่อเป็นจำนวนมาก ผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ที่ใช้ทุกตัวเป็นแบรนด์ระดับโลก จากประเทศสหรัฐอเมริกา สวีเดน และสวิตเซอร์แลนด์สามารถตรวจสอบกับผู้ผลิตได้ทุกชิ้นว่าเป็นของแท้ ทำให้ผู้รับบริการรู้สึกมั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัย โดยจุดแข็งของ วี สแควร์ คลินิก ที่ผู้รับบริการกล่าวถึงมากที่สุด ได้แก่ ราคาที่ย่อมเยา คุ้มค่าและสมเหตุสมผล วี สแควร์ คลินิก มี 24 สาขา ทั่วกรุงเทพฯ ดูแลผิวพรรณและเลเซอร์ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ทันสมัยและได้รับมาตรฐานระดับสากล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top