Friday, 20 June 2025
ECONBIZ

ได้ฤกษ์!! 'มอเตอร์เวย์โคราช-บางปะอิน' เปิดวิ่งฟรี 80 กม.  ดีเดย์ 28 ธ.ค.นี้ อนุญาตเฉพาะรถ 4 ล้อเท่านั้น

(7 ธ.ค. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตรวจติดตามความคืบหน้าโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์บางปะอิน - นครนครราชสีมา และความพร้อมที่จะเปิดให้บริการช่วงสีคิ้ว - นครราชสีมา ภายหลังตรวจติดตามฯ และรับฟังบรรยายสรุปข้อมูลโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์บางปะอิน - นครนครราชสีมา นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ตั้งแต่วันที่ 28 ธ.ค. 2566 เป็นต้นไป จะเปิดใช้ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 หรือ มอเตอร์เวย์ M6 หรือ ‘มอเตอร์เวย์โคราช-บางปะอิน’ ฟรีตลอดจนกว่าการก่อสร้าง ‘มอเตอร์เวย์โคราช-บางปะอิน’ จะแล้วเสร็จสมบูรณ์พร้อมเก็บค่าผ่านทางในปี 2568 พร้อมสั่งการให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวง เปิดใช้ มอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช ตอน 24 ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จ.นครราชสีมา ถึง ตอน 40 อำเภอเมืองนครราชสีมา จ.นครราชสีมา แบบไปกลับ 4 ช่องจราจร ระยะทาง 77.493 กิโลเมตร เฉพาะรถยนต์ 4 ล้อเท่านั้น ตลอด 24 ชั่วโมง และให้มีจุดบริการห้องน้ำ 1 จุด ช่วง อำเภอปากช่อง - อำเภอสีคิ้ว ที่ กม.147 ทั้งขาเข้าและขาออก

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กรมทางหลวง กำชับสำนักงานทางหลวง และแขวงทางหลวง ที่ดูแล ‘มอเตอร์เวย์โคราช-บางปะอิน’ มอเตอร์เวย์ M6 ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนที่ใช้เส้นทาง ปรับปรุงเส้นทางให้เกิดทัศนวิสัยในการมองเห็นชัดเจน มีการจัดตั้งศูนย์บริการประชาชน เพื่ออำนวยความสะดวก โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานราชการ และเอกชนในพื้นที่ ติดตั้งไฟฟ้าส่องแสงสว่างตลอดเส้นทาง รวมถึงติดตั้งป้ายเตือน ป้ายแนะนำ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน โดยเฉพาะติดตั้งป้ายระหว่างการก่อสร้าง ในช่วงที่ยังมีการก่อสร้าง ต้องมีป้ายเตือน ไฟเตือนให้เป็นไปตามระเบียบ และให้เพิ่มให้มากขึ้นในช่วงที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ

สำหรับความคืบหน้า ‘มอเตอร์เวย์โคราช-บางปะอิน’ ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 แผนงานความก้าวหน้าร้อยละ 92.588 ผลงานความก้าวหน้าร้อยละ 93.054 เร็วกว่าแผนร้อยละ 0.466 คาดว่าจะเปิดทดลองให้บริการช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ตั้งแต่ปากช่อง - ทางเลี่ยงเมืองนครราชสีมา ระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร 

ทั้งนี้ งานโยธาจะก่อสร้างเสร็จแล้วปลายปี 2568 โดยจะทดลองวิ่งจริงและเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ ทั้ง 196 กิโลเมตรแบบเก็บค่าผ่านทาง ส่วนโครงการก่อสร้างกำแพงบังสายตาพร้อมวัสดุปิดคลุมแบบสมบูรณ์ 700 เมตร และกำแพงบังตารวม 1,000 เมตร ช่วง กม.140+040.000 ถึง กม.140+345.000 และช่วง กม.141+045.000 ถึง 141+740.000 ได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว

>> เส้นทาง ‘มอเตอร์เวย์โคราช-บางปะอิน’ ทั้งโครงการ มีแนวเส้นทางดังนี้ 

แนวเส้นทางโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ‘มอเตอร์เวย์โคราช-บางปะอิน’ มีระยะทางรวมประมาณ 196 กิโลเมตร โดยออกแบบให้มีการควบคุมการเข้าออกอย่างสมบูรณ์ มีจุดเริ่มต้นเชื่อมต่อกับถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันออก (ถนนกาญจนาภิเษก) อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และไปสิ้นสุดที่บริเวณทางเลี่ยงเมืองจังหวัดนครราชสีมาด้านตะวันตก อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ระยะทางก่อสร้างรวมทั้งสิ้น 196 กม. หากเดินทางจาก กรุงเทพฯ - โคราช คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 ชม.

'1.4 แสนชาวไร่อ้อย' เฮ!! ครม.ไฟเขียว จ่ายเงินหนุนตัดอ้อยสดตันละ 120 บาท ขอบคุณ 'รมว.ปุ้ย' จัดให้ หวัง!! อยากให้มีของขวัญแบบนี้ในทุกๆ ปี

(7 ธ.ค. 66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบเงินสนับสนุนตัดอ้อยสด ในโครงการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น pm 2.5 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยชาวไร่อ้อยจะได้รับเงินสนับสนุนตัดอ้อยสดตันละ 120 บาท คาดว่า มีชาวไร่อ้อยที่เข้าร่วมโครงการประมาณ 140,000 ราย ทั้งนี้ โครงการฯจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับชาวไร่อ้อย และส่งผลต้นทุนการผลิตอ้อยปรับตัวสูงขึ้น 

จากการคาดการณ์ใน ปี 2567-2568 ถึงแม้อุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่มที่มีการใช้น้ำตาลในการเป็นวัตถุดิบในการผลิตจะขยายตัวเพิ่มขึ้น หากแต่เกษตรกรชาวไร่อ้อยที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำตาล กลับต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องต้นทุนการเพาะปลูกที่สูงขึ้นทั้งด้านพลังงาน ปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช และค่าจ้างแรงงานเก็บเกี่ยวโดยเฉพาะอ้อยสด ซึ่งส่งผลต่อรายได้สุทธิและการตัดสินใจเพาะปลูกของเกษตรกร

ทั้งนี้ น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม ได้เล็งเห็นปัญหาต่าง ๆ และได้เร่งดำเนินการแก้ไขโดยเริ่มจากการเสนอโครงการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดี เพื่อลดฝุ่น pm 2.5 ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังประชุมได้ มีการอนุมัติโครงการดังกล่าว ทำให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยหนองบัวลำภูที่ทราบข่าวรวมตัวกันเดินทางมาที่รอพบรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มีกำหนดการมาดูงานที่โรงงานน้ำตาลเอราวัณ 

เมื่อ น.ส.พิมพ์ภัทรา และคณะได้เดินทางมาถึง นาย สมพร สังข์ศิริ ตัวแทนสมาชิกสมาคมชาวไร่อ้อยหนองบัวลำภู ได้ขอบคุณเป็นภาษาอีสาน ว่า “ผมขอเป็นตัวแทนเกษตรกรชาวไร่อ้อยหนองบัวลำภู และชาวไร่อ้อยไทย ที่ได้รับของขวัญปีใหม่ได้รับเงินสนับสนุนตัดอ้อยสดตันละ 120 บาท รวม ๆ แล้วได้เงินเป็นหมื่นที่สร้างรายได้ให้ครอบครับ และหวังว่าจะมีของขวัญแบบนี้ให้ทุก ๆ ปี แล้วชาวเกษตรกรชาวไร่อ้อยก็มีของขวัญปีใหม่คือสัญญาที่จะทำการเก็บเกี่ยวเฉพาะอ้อยสดเท่านั้นมอบให้ ครม. ด้วยเช่นกัน”

จากการอนุมัติโครงการดังกล่าวส่งผลให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยที่เข้าร่วมโครงการ ประมาณ 140,000 ราย มีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 8,000 ล้านบาท อีกทั้งการที่เกษตรกรชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสด นั้นมีผลดีหลายอย่าง เช่น จะทำให้อ้อยที่เก็บเกี่ยวมีปริมาณมากขึ้นเพราะไม่สูญเสียจากความร้อนของไฟที่เผาไหม้ หรือสารอาหารแร่ธาตุต่าง ๆ ในดินก็ไม่เสียหาย และที่สำคัญ ยังลดมลพิษ pm 2.5 ในอากาศ เมื่อไม่มีการเผาไหม้ก็เกิดผลดีทั้งเกษตรกรและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

กลุ่ม ปตท. จุดพลัง ‘สุดยอดนักขาย’ และ ‘สุดยอดไอเดียการตลาด’ มอบรางวัล ‘Young Influencer Challenge Thailand 2023’

เมื่อไม่นานมานี้ ณ อาคาร ปตท. สำนักงานใหญ่ นางกนกพร รอดรุ่งเรือง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารชื่อเสียงองค์กรและกิจการเพื่อสังคม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เป็นประธานใน พิธีประกาศผลและมอบรางวัลโครงการ ‘Young Influencer Challenge Thailand 2023 : ชวน U สร้างรอยยิ้ม’ ภายใต้ความร่วมมือของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท เทลสกอร์ จำกัด และ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีระยอง (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด เพื่อนำความรู้จากสถาบันการศึกษามาใช้วางแผนการตลาดให้กับสินค้าชุมชน และแข่งขันจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนในโครงการชุมชนยิ้มได้ ซึ่งมีเยาวชน 30 ทีม จาก 10 มหาวิทยาลัยเข้าร่วมโครงการฯ โดย ปตท. และผู้สนับสนุน ร่วมมอบเงินรางวัลรวมมูลค่า 65,000 บาท เพื่อเป็นกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงานของนิสิต นักศึกษา

นางกนกพร รอดรุ่งเรือง กล่าวว่า โครงการ ‘Young Influencer Challenge Thailand 2023 : ชวน U สร้างรอยยิ้ม’ เป็นกิจกรรมที่เปิดพื้นที่ให้เยาวชนได้แสดงพลังและปลุกไอเดียความคิดสร้างสรรค์ พร้อมนำองค์ความรู้มาประยุกต์ใช้พัฒนาแผนการตลาดจำหน่ายสินค้าชุมชนในโครงการ ‘ชุมชนยิ้มได้ โดย กลุ่ม ปตท.’ ผ่านช่องทางออนไลน์ สร้างประสบการณ์จริง ซึ่งตลอดการแข่งขันในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เยาวชนทั้ง 30 ทีม กว่า 137 คน จาก 10 มหาวิทยาลัย ได้แสดงศักยภาพในการสื่อสารการตลาดทางออนไลน์ให้กับสินค้ากับชุมชน โดยศึกษาอัตลักษณ์สินค้าชุมชนร่วมกับชุมชนเจ้าของสินค้านั้น ๆ อย่างจริงจัง จนมาสู่การวางแผนการตลาด ทำให้สามารถสร้างรายได้ในการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทาง www.ชุมชนยิ้มได้.com รวมเป็นเงิน 547,048 บาท ในระยะเวลาเพียง 1 เดือน ส่งเสริมให้สินค้าชุมชนในโครงการฯ เป็นที่รู้จักแพร่หลายเพิ่มมากขึ้น 

อีกทั้ง เยาวชนยังได้มอบความรู้ทางการตลาด และสร้างความมั่นใจให้กับชุมชนในการจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์ ขณะเดียวกัน โครงการฯ นี้ยังเป็นการจุดประกายความตระหนักในบทบาทของเยาวชนไทยในการเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชนยั่งยืนได้ พร้อมเป็นกำลังที่สร้างอนาคตของชาติต่อไปด้วย

สำหรับรางวัลในการแข่งขันโครงการ Young Influencer Challenge Thailand 2023 ประกอบด้วย รางวัลสุดยอดนักขาย (Best Seller Award) จำนวน 5 รางวัล โดย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มอบรางวัลทีมที่ยอดจำหน่ายสูงสุด มูลค่า 25,000 บาท และมอบ รางวัลสุดยอดไอเดียการตลาด (Best Idea Award) จำนวน 1 รางวัล มูลค่า 5,000 บาท ซึ่งมีการประชันไอเดียจาก 4 ทีมที่มีแผนการตลาดโดดเด่น โดยไม่เกี่ยวกับยอดขาย เพื่อตัดสินรางวัลภายในพิธีฯ โดยมีรายชื่อทีมผู้ชนะ ดังนี้

รางวัล Best Seller Award :  
• รางวัลชนะเลิศ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สินค้า ‘Mango Cornflake Cookie’ จ.สระบุรี 
• รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 : มหาวิทยาลัยศิลปากร สินค้า ‘หมี่กรอบน้ำมะดันผสมธัญพืช’ จ.นครนายก
• รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สินค้า ‘กล้วยเส้น’ จ.เลย
• รางวัลชมเชย (2 รางวัล) : มหาวิทยาลัยกรุงเทพ สินค้า ‘กระเป๋าสานกระจูดหูยาว’ จ.ระยอง
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ สินค้า ‘น้ำผึ้งแท้จากดอกลำไย’ จ.เชียงใหม่  

“ความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากการแข่งขันในโครงการนี้ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่สามารถส่งเสริมการขายสินค้าชุมชนด้วยไอเดียการตลาดที่สอดรับเทรนด์การขายสินค้าออนไลน์ ในช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ซึ่งช่องทางและแผนการตลาดที่พัฒนาผ่านโครงการฯ ครั้งนี้ สามารถส่งต่อแก่ชุมชน เพื่อส่งเสริมการขายและเป็นช่องทางการสื่อสารกับลูกค้าในอนาคตได้ นับเป็นความภาคภูมิใจขององค์กรที่ได้สนับสนุนพื้นที่ให้เยาวชนได้แสดงฝีมือ และพร้อมที่จะผลักดันและส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรเพื่อเป็นพลัง ในการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป” นางกนกพร กล่าว

'นายกฯ เศรษฐา' นัดเจอทีมงานเทศกาลดนตรี EDM ระดับโลก Tomorrowland  ดึงจัดในไทย 10 ปี หวังกระตุ้น 'เศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวไทย' ไปยาวๆ

(7 ธ.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ทวิตข้อความ ระบุว่า...

"แฟนๆ EDM อยากไปเทศกาลดนตรี Tomorrowland ไหมครับ เมื่อคืนมีนัดทานข้าวกับทีมงาน เรารอไปสนุกกับเทศกาลระดับโลกพร้อมกันนะครับ ไม่ใช่แค่ปีเดียว แต่อาจจะถึง 10 ปีเต็มเลย"

สำหรับเทศกาลทูมอร์โรว์แลนด์ (Tomorrowland) เป็นเทศกาลดนตรีแนวดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ (EDM) ที่จัดขึ้นที่เมืองบูม ประเทศเบลเยียม โดยเริ่มจัดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2005 และกลายเป็น 1 ในเทศกาลดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และมีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก มีแฟนเพลงเข้าร่วมนับหมื่นคน มักจะขายบัตรหมดภายในไม่กี่นาที

ทั้งนี้ ถือว่า นายกฯ เป็นผู้มีรสนิยม และเข้าใจถึงดนตรีที่มีความหลากหลาย ซึ่งเป็นศิลปะหนึ่งในหลายแขนง ทำให้เกิดโอกาสใหม่ๆ ในการพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในประเทศไทยได้อย่างมาก เป็น Music Festival ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยมาร่วมงาน ทำให้มีเงินหมุนเวียนจากกิจกรรมนี้อย่างเดียวหลายพันล้านบาท

การให้ความสำคัญ และเปิดโอกาสให้มีกิจกรรมดนตรีและศิลปะที่หลากหลายมากขึ้น จะเปิดโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวและการส่งออกผลงานทางศิลปะได้มากขึ้นตามไปด้วย

'รัฐบาลเศรษฐา' เดินหน้า เร่งดัน EEC เฟส 2  มั่นใจ!! ดึงเงินลงทุนจริง 5 แสนล้าน ใน 5 ปี

เมื่อวานนี้ (6 ธ.ค.66) โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี (EEC) ที่เป็นเรือธงในการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ผ่านมา ได้ถูกหยิบยกมาสานต่อในรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกครั้ง 

ทั้งนี้ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ได้มีการพิจารณาเห็นชอบ ร่างแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (2566-2570) ที่เป็นกรอบดำเนินงานหลักของอีอีซี เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ร่วมบูรณาการในการพัฒนาเชิงพื้นที่ในทุกมิติ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม

ถือเป็นการต่อยอดการพัฒนาอีอีซี จากระยะที่ 1 (2560-2565) ที่มีมูลค่าอนุมัติการลงทุนไปแล้วราว 2 ล้านล้านบาท ซึ่งจากการหารือทางที่ประชุมได้ให้หน่วยงานต่างๆ กลับไปจัดทำร่างแผนปฏิบัติการและการดำเนินงาน รวมถึงขอรับการจัดสรรงบประมาณให้ที่ประชุมพิจารณาอีกครั้งในเดือนมกราคม 2567

นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ อีอีซี เปิดเผยว่า ในการประชุมบอร์ดอีอีซีล่าสุด ได้เห็นชอบร่างแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2566-2570 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบ และจัดทำร่างแผนปฏิบัติการและการดำเนินงาน

รวมถึงขอรับการจัดสรรงบประมาณ โดยจะนำร่างแผนดังกล่าวสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบภายในเดือนธันวาคม 2566 นี้

แหล่งข่าวจากสกพอ.กล่าวว่า ร่างแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (2566-2570) เป็นการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อผลักดันให้เกิดการลงทุนจริงในพื้นที่อีอีซีระยะที่ 2 ให้ได้ โดยมีเป้าหมายไว้ราว 5 แสนล้านบาทในระยะเวลา 5 ปี หรือเฉลี่ยปีละ 1 แสนล้านบาท

ทั้งนี้จะช่วยสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมของพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Gross Provincial Cluster Product : GPCP EEC) ขยายตัวเฉลี่ย 6.3% และดัชนีความก้าวหน้าของคน (Human Achievement Index) ในพื้นที่ได้แก่ ดัชนีย่อยด้านชีวิตการงานและดัชนีย่อยด้านเศรษฐกิจ มีอัตราเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2%

“ในปี 2564 GPCP EEC เท่ากับ 2.36 ล้านล้านบาท คิดเป็น 14.6 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ซึ่งช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (ปี 2560-2562) เศรษฐกิจอีอีซีมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 2.1 % จากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการเป็นหลัก”

สำหรับการผลักดันเป้าหมายดังกล่าว จะดำเนินงานภายใต้การพัฒนา 5 แนวทางประกอบด้วย 

1.ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายและบริการแห่งอนาคต ที่ตั้งเป้าหมายให้ได้มูลค่าความตกลงสิทธิประโยชน์ปีละ 2.5 แสนล้านบาท มีจำนวนโรงงานอุตสาหกรรมเป้าหมายเพิ่มขึ้น 3.5 % ต่อปี สัดส่วนรายได้ของธุรกิจเอสเอ็มอีในอุตสาหกรรมเป้าหมายต่อจีดีพีในอีอีซีไม่น้อยกว่าปีละ 7 % รวมถึงจำนวนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอุตสาหกรรมเป้าหมายเพิ่มขึ้นปีละ 3.5 %

2. เพิ่มประสิทธิภาพ และการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค โดยมีเป้าหมายความสำเร็จของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลัก ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา แล้วเสร็จกว่า 90% ในปี 2570 การก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ท่าเทียบเรือ F1 แล้วเสร็จในปี 2570 

ขณะที่การก่อสร้างท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ช่วงที่ 1 แล้วเสร็จในปี 2569 โดยจะมีปริมาณการขนส่งสินค้าทางรางเพิ่มขึ้นปีละ 5% มีปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดไม่น้อยกว่า 5 % ในปี 2570 และมีปริมาณนํ้าต้นทุนเพียงพอต่อความต้องการใช้ในปี 2570 ที่ 2,888 ล้านลูกบาศก์เมตร

3. ยกระดับทักษะแรงงานให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและนวัตกรรม มีเป้าหมายผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้นปีละ 2.5% อัตราการว่างงานเฉลี่ยไม่เกินปีละ 0.83% มีแรงงานที่ได้รับการพัฒนาทักษะตามความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมายไม่น้อยกว่า 2 หมื่นคนต่อปี

4. พัฒนาเมืองให้มีความทันสมัย น่าอยู่อาศัยและเหมาะสมกับการประกอบอาชีพ มีเป้าหมายการพัฒนาเมืองใหม่และเมืองเดิมได้รับการพัฒนาตามแผน 2 เมือง มีอัตราการส่งต่อผู้ป่วยออกนอกพื้นที่ลดลงปีละ 10 % ปริมาณการล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง 20% ในปื2570 เมื่อเทียบกับปีฐาน และมีสัดส่วนการนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ไม่น้อยกว่า 15 % ต่อปี

5.เชื่อมโยงประโยชน์จากการลงทุนสู่ความยั่งยืนของชุมชน ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนไม่น้อยกว่า 5 % ต่อปี

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ขณะที่แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการพัฒนาอีอีซี ระหว่างปี 2566-2570 ที่ผ่านมาได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีไปแล้ว ภายใต้ 3 ยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประกอบด้วย

1.การเพิ่มขีดความสามารถของระบบรางและทางนํ้า และเชื่อมต่อกับการขนส่งสินค้ารูปแบบอื่น
2.การยกระดับโครงข่ายคมนาคมรองรับการเดินทางของประชาชนอย่างไร้รอยต่อ และ
3.ยกระดับโครงข่ายคมนาคมด้วยมาตรการเชิงรุกและเทคโนโลยีที่ทันสมัย

ทั้งนี้ กำหนดให้มีการดำเนินโครงการทางด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งจำนวน 77 โครงการ วงเงินรวม 337,797.07 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่เริ่มดำเนินการในช่วงปี พ.ศ. 2566 จำนวน 29 โครงการ วงเงินรวม 125,599.98 ล้านบาท แบ่งเป็นวงเงินปี 66 ประมาณ 25,425.65 ล้านบาทและโครงการที่เริ่มดำเนินการในช่วงปี พ.ศ. 2567-2570 จำนวน 48 โครงการ วงเงินรวม 212,197.09 ล้านบาท

สำหรับโครงการตามแผนปฏิบัติการฯ พ.ศ. 2566-2570 รวม 77 โครงการ วงเงินรวม 337,797.07 ล้านบาท แบ่งเป็น

ภาครัฐลงทุน จากงบประมาณแผ่นดิน เงินกู้ และงบรัฐวิสาหกิจ จำนวน 61 โครงการ วงเงินรวม 178,578.07 ล้านบาท (52.87%)
ภาคเอกชนลงทุน และการร่วมทุนระหว่างภาครัฐ และเอกชน (PPP) จำนวน 16 โครงการ วงเงินรวม 159,219 ล้านบาท ( 47.13%)

ทั้งนี้เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 295,710.49 ล้านบาท ( 87.5%) ระบบสาธารณูปโภค 38,382.58 ล้านบาท ( 11.4%) และมาตรการส่งเสริม 3,704 ล้านบาท ( 1.1%)

ส่วนกรณีที่อีอีซีมีแผนจะขยายพื้นที่จังหวัดในระยะที่ 2 ออกไปนั้น ยืนยันว่ายังไม่มีแผนดังกล่าว เพราะการขยายพื้นที่ในระยะที่ 2 จะต้องออกกฎหมายเพิ่มเติมหรือออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) เนื่องจากตามกฎหมายในปัจจุบันกำหนดให้อีอีซียังดำเนินการภายในพื้นที่ 3 จังหวัดตามเดิม ประกอบด้วย ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา

‘พีระพันธุ์’ เอาจริง!! มุ่งแก้ปัญหาค่าไฟฟ้าแพง บรรเทาทุกข์ประชาชน

‘ปัญหาราคาพลังงาน’ เป็นสิ่งที่คนไทยทั้งประเทศ ทุกข์ทนมายาวนาน หวังว่าสักวันจะมีคนเข้ามาแก้ไข ปรับปรุง และสร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชน และแน่นอนว่าวันที่ประชาชนรอคอยมาถึงแล้ว นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีกว่าการกระทรวงพลังงานคนปัจจุบัน กำลังพยายามแก้ปัญหาพลังงานที่สุดจะยุ่งเหยิงนี้อยู่

โดยนายพีระพันธุ์ เคยโพสต์เฟซบุ๊กถึงเรื่องนี้ไว้ พร้อมระบุว่า…

“ขอให้มั่นใจค่าไฟจะไม่สูงอย่างที่เป็นข่าวครับ

ผมเข้าใจถึงความกังวลใจของพี่น้องประชาชนที่ถามกันมามากเรื่องราคาค่าไฟฟ้าภายหลังจากสิ้นสุดระยะเวลามาตรการลดค่าไฟฟ้าในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ว่าราคาอาจกระโดดสูงขึ้นถึงหน่วยละ 4.68 บาท หรือ 17% จากราคาปัจจุบันหน่วยละ 3.99 บาทตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้เปิดให้มีการสอบถามและมีมติไป

ผมเองก็รับไม่ได้ถ้าราคาค่าไฟจะเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างนั้น เพราะถึง กกพ.จะมีมติแบบนั้น แต่เราก็ต้องบริหารจัดการเอาราคาค่าไฟลงมาให้ได้ ซึ่งผมได้สั่งการให้หน่วยงานต่าง ๆ เร่งประสานทุกจุดล่วงหน้าด้วยวิธีการใหม่ ๆ หลายรูปแบบแล้ว เพื่อไม่ให้ประชาชนไม่แบกรับค่าไฟฟ้าที่มากเกินไป จะพยายามทำให้ใกล้เคียงกับที่จ่ายอยู่ในปัจจุบันให้มากที่สุด

ผมขอให้ความมั่นใจว่ากระทรวงพลังงานยุคนี้ไม่ได้นิ่งนอนใจและทำงานล่วงหน้ามาระยะหนึ่งแล้วเพื่อให้ราคาค่าไฟอยู่ในระดับที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก ซึ่งต้องใช้หลายกลไกพร้อม ๆ กันภายใต้โครงสร้างในปัจจุบันที่ไม่ได้ให้อำนาจกับฝ่ายนโยบายมากนัก แต่จะพยายามทำอย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน

ทั้งนี้การที่ กกพ. ประกาศให้ประชาชนเห็นชอบแนวทางในการปรับอัตราค่าไฟฟ้าก่อนหน้านี้ เป็นเงื่อนไขตามกฎหมายที่จะต้องมีการประกาศเพื่อให้ประชาชนแสดงความคิดก่อนที่จะมีมติ แต่ทั้งนี้ไม่ได้เป็นที่สุด จะต้องมีการบริหารจัดการเพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุดต่อไป

ทั้งหมดนี้จะเตรียมการให้เสร็จสิ้นและประกาศโดยเร็วที่สุด

ผมพูดเสมอว่านี่คือการแก้ไขปัญหาระยะสั้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนภายใต้โครงสร้างแบบปัจจุบัน

แต่ที่กำลังดำเนินการแบบเข้มข้นที่สุด และทำงานกันไม่หยุดหย่อนทุกวัน คือการเร่งรวบรวมข้อมูลทุกด้านเกี่ยวกับพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ก๊าซ ไฟฟ้า พลังงานทดแทน และพลังงานสะอาด ให้ครบทุกมิติ เพื่อนำไปสู่การ รื้อ ลด ปลด สร้าง พลังงานให้มั่นคง เป็นธรรม และยั่งยืนทั้งระบบ

ไม่ยากครับถ้าแค่พูดเอาเท่ ฟังดูดีทรงภูมิ 

คนทำแบบนั้นมีเยอะแล้ว แต่ไม่เคยเห็นรูปธรรม พูดไปเรื่อย ๆ ใช่ครับ อะไร ๆ ก็แก้โครงสร้าง แต่จะแก้อะไร แก้อย่างไรครับ ส่งผลกระทบแบบไหน จะทดแทนด้วยอะไร ทั้งระบบต้องสอดคล้องและไม่ก่อภาระเพิ่มให้กับประชาชน

ย้อนกลับไปดูกันนะครับ กฎหมายแต่ละฉบับ รูปแบบที่ใช้กันอยู่ ใช้มานานเท่าไร ปล่อยกันมาสี่สิบปีแล้วนะครับ

ผมเองหลังแถลงนโยบายมาสองเดือนเศษ ผมไม่พูดมากแต่ลงมือทำ อย่างน้อยผมก็พยายามลดภาระให้ประชาชนไม่ว่าจะตามโครงสร้างแบบไหน ทั้งน้ำมันดีเซล เบนซิน ค่าไฟฟ้า ตรึงราคาค่าแก๊ส ผมดีใจที่พี่น้องประชาชนได้ประโยชน์อย่างเต็มที่

เวลาเดียวกันก็เร่งดำเนินการรวบรวมข้อมูลชนิดลงลึกทุกขั้นทุกตอน ทำงานกันหลายคณะ ทำมากกว่าพูดลอย ๆ ว่า “ปรับโครงสร้างๆๆ”

เมื่อข้อมูลครบถ้วนแล้ว ไม่นานครับ เพราะผมและคณะจะร่างกฎหมายเอง เป็นชุดและครอบคลุมทั้งหมด ตอบได้ทุกคำถาม เพราะยึดเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง

ผมศึกษา หาข้อมูล ถกเถียง คิดวิเคราะห์ คืบหน้าไปมากแล้ว แต่ยังไม่สมบูรณ์

เพราะนี่คือการลงมือทำจริง ไม่ใช่เพียงแค่พูดแล้วเสกออกมา

ขอให้มั่นใจ ผมเอาจริงแน่นอน

‘ttb’ จัดติวเสริมความรู้ ‘ESG’ ผู้ประกอบการไทย พัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืน ต่อยอดแข่งขันในเวทีโลก

(6 ธ.ค. 66) ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี จัดงานเสวนาติวเข้มความรู้ ESG ดึงบริษัทชั้นนำแชร์ประสบการณ์ นำองค์กรสู่ความยั่งยืน เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถพัฒนาองค์กรของตนเอง และแข่งขันได้ในเวทีโลก

นายศรัณย์ ภู่พัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ปัจจุบันนี้หลายประเทศเริ่มมีมาตรการทางการค้าเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น CBAM หรือ Carbon Border Adjustment Mechanism ซึ่งเป็นมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป ที่จะเริ่มบังคับใช้กับสินค้าเหล็ก ซีเมนต์ กระแสไฟฟ้า ปุ๋ย อะลูมิเนียม และจะขยายไปยังสินค้ากลุ่มอื่นในอนาคต และยังมีมาตรการ CCA หรือ Clean Competition Act ที่จะมีการปรับราคาคาร์บอนสำหรับสินค้านำเข้าสหรัฐอเมริกา สำหรับประเทศไทยได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เช่นกัน ซึ่งเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีมาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย หรือ Thailand Taxonomy ออกมา เพื่อผลักดันภาคธุรกิจสู่แนวคิด ESG และยังได้แสดงเจตนารมณ์ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ของระดับประเทศ โดยได้ประกาศเป้าหมายการเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2065  

"นอกจากมาตรการระดับโลกและประเทศแล้ว บริษัทชั้นนำระดับโลกและบริษัทใหญ่หลายแห่งในไทย ก็เริ่มมีนโยบายกระตุ้นให้ซัพพลายเออร์และคู่ค้าของธุรกิจ ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย เช่น มีประกาศที่จะใช้พลังงานทดแทนให้ได้ 100% ครอบคลุมทุกร้านค้าและสำนักงานทั่วโลกภายในปี 2026 หรือ มีกฎให้ผู้ผลิตในห่วงโซ่อุปทานวัดและจัดเก็บข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อทำความเข้าใจการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุปทานของพวกเขาและดำเนินการลดอย่างมีนัยสำคัญกับผู้ผลิตในอนาคต และจะมีอีกหลายบริษัทที่ทยอยออกมาตรการออกมา ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงควรให้ความสำคัญกับ ESG มากขึ้น ไม่เช่นนั้นแล้วอาจสูญเสียโอกาสทางธุรกิจได้" นายศรัณย์ กล่าว

>> Climate Change เกิดแน่ แนะผู้ประกอบการเร่งประเมินตัวเอง 

ดร.ศรายุธ แสงจันทร์ กรรมการผู้จัดการกลุ่ม Health Products and Sustainability กลุ่มมิตรผล กล่าวว่า มิตรผลเริ่มต้นปรับเปลี่ยนองค์กรโดยการวิเคราะห์ธุรกิจของตัวเอง เริ่มตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ซึ่งต้นน้ำคือ การปลูกอ้อย จากนั้นจึงต่อยอดไปยังเรื่องอื่นๆ ของ ESG โดยทางมิตรผลมองว่า Climate Change นั้น มีผลต่ออุตสาหกรรมเกษตรอย่างแน่นอน จึงมีการบริหารจัดการในเรื่องนี้ และกำหนดเป้าหมายที่จะเป็นองค์กร Net Zero สิ่งที่ได้ดำเนินการคือ พยายาม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ มีการพัฒนาโรงงานไฟฟ้าให้สามารถผลิตคาร์บอนเครดิต ขณะเดียวกันก็ทำให้ซัพพลายเออร์หันมาให้ความสำคัญในเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย

"แต่ละองค์กรควรมีแนวทางในการรับมือกับ Climate Change เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแน่นอน สิ่งแรกที่ต้องทำเพื่อเปลี่ยนผ่านในเรื่องนี้คือ การประเมินองค์กรตัวเองว่ามีกิจกรรมอะไรบ้าง เริ่มตั้งแต่รับวัตถุดิบเข้ามาจนถึงการส่งมอบสินค้า จากนั้นให้วัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของแต่ละกิจกรรม เพื่อพิจารณาว่าจะมีมาตรการอย่างไรที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแต่ละจุดได้" ดร.ศรายุธ กล่าว

>> ตามโลกให้ทัน พิจารณาปัจจัยเสี่ยง มองหาโอกาสใหม่

ดร.ณัฐกร ไกรกุล ผู้จัดการฝ่าย (Vice President) Decarbonization Center of Excellence บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจควบคู่กับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน ช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงและโอกาสต่างๆ ได้ เช่น ประเด็นความเสี่ยงด้าน Climate Change ที่เป็นประเด็นสำคัญของโลก และมีกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับต่างๆ เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท ในส่วนของ GC นั้น มีการดำเนินงานด้านความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง และบูรณาการเข้ากับการดำเนินธุรกิจ จนได้รับการยอมรับจากหน่วยงานต่างๆ เช่น DJSI, CDP และ EcoVadis เป็นต้น จนปัจจุบัน GC ได้ยกระดับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน โดยกำหนดกลยุทธ์และเป้าหมายระยะยาว เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 ผ่านแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจน ได้แก่ 1) Efficiency-Driven ผ่านโครงการอนุรักษ์พลังงาน การใช้พลังงานสะอาด และเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ 2) Portfolio-Driven ผ่านการปรับโครงสร้างธุรกิจที่เน้น Sustainable Product ให้มากขึ้น และ 3) Compensation-Driven ผ่านการศึกษาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Carbon Capture and Storage และการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยใช้คาร์บอนเครดิตจากโครงการปลูกป่าต่างๆ นอกจากนี้ GC ยังมีการกำหนดแนวทางการกำกับดูแล เพื่อให้มั่นใจได้ว่ากลยุทธ์และการดำเนินงานด้าน Decarbonization เป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

"เราต้องรู้ให้ทันว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร จากนั้นพิจารณาว่าอะไรคือปัจจัยเสี่ยง อะไรคือโอกาส เพื่อที่จะได้บริหารจัดการ ทั้งเรื่องความเสี่ยงและเรื่องของการสร้างธุรกิจใหม่ในอนาคต ถ้าเรามองว่า Climate Change จะส่งผลกระทบกับเรา ก็เป็นจุดเริ่มต้นให้หันมาพิจารณาว่าสินค้าและกระบวนการผลิตขององค์กรเรายังดำเนินต่อไปได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงแก้ไข อย่ารอช้า เพราะเราอาจเปลี่ยนไม่ทัน" ดร.ณัฐกร กล่าว

>>สินเชื่อสีเขียว-สินเชื่อสีฟ้า รองรับโปรเจกต์ทั้งใหญ่และเล็ก

นายกมลพันธ์ ลักษณา หัวหน้าการพัฒนาที่ยั่งยืน ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ทีทีบี ช่วยให้ลูกค้าเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสีเขียวได้อย่างราบรื่น ผ่านการพัฒนาสินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อม หรือ Green Loan ให้มีความหลากหลายมากขึ้นและยืดหยุ่นมากขึ้น มีทั้งอาคารสีเขียว พลังงานหมุนเวียน การจัดการของเสีย การป้องกันมลพิษ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การจัดการน้ำ และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ทีทีบี ยังได้ขยายจากสินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อมไปสู่สินเชื่อเพื่อความยั่งยืนทางทะเล หรือ Blue Loan และยังมีสินเชื่อที่ส่งเสริมความยั่งยืน โดยคิดอัตราดอกเบี้ยตามผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของลูกค้า 

"หลายคนมองว่าการขอสินเชื่อด้านสิ่งแวดล้อมจะต้องทำในสเกลใหญ่ แต่ความจริงแล้วแค่โปรเจกต์เล็กๆ ก็สามารถขอสินเชื่อได้ ทีทีบี มีความยืดหยุ่นในการปล่อยสินเชื่อ ไม่จำเป็นต้องเป็นอาคารสีเขียวทั้งอาคาร หรือต้องเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานใหม่ทั้งหมด แค่เปลี่ยนเครื่องปรับอากาศ เปลี่ยนหลอดไฟ หรือเครื่องมือบางอย่างที่จะช่วยประหยัดพลังงานมากขึ้น หรือเปลี่ยนเป็นรถยนต์ EV ก็สามารถขอสินเชื่อได้" นายกมลพันธ์ กล่าวปิดท้าย

‘รมว.ปุ้ย’ เตรียมชง ครม.ตั้ง ‘ศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาล’ เชื่อช่วยดัน GDP ภาคอุตฯ 1.2% ราว 5.5 หมื่นล้าน

‘รมว.พิมพ์ภัทรา’ เตรียมเสนอเรื่องเข้า ครม. ก่อตั้ง ‘ศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาล’ เชื่อช่วยสร้างตัวเลขทางเศรษฐกิจกว่า 5.5 หมื่นล้านบาท พร้อมเผยข้อเสนอกลไกการบริหารงานศูนย์ฯ ระยะสั้น 3 เดือน ลั่น!! ต้องมีการแต่งตั้งผู้แทนการค้าไทยที่รับผิดชอบเรื่องฮาลาลขับเคลื่อนวาระและกำกับดูแลอย่างจริงจัง

(6 ธ.ค.66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการผลักดันอุตสาหกรรมฮาลาลสู่ตลาดโลกว่า ล่าสุดกระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขออนุมัติดำเนินการจัดตั้งศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาล และคณะทำงาน

ส่วนแนวทางการจัดตั้งศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาลนั้น จะมีข้อเสนอกลไกการบริหารงานศูนย์ฯในระยะสั้น 3 เดือน ได้แก่ จะต้องมีการแต่งตั้งผู้แทนการค้าไทยที่รับผิดชอบเรื่องฮาลาล ซึ่งเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยผู้แทนการค้าไทย เพื่อขับเคลื่อนวาระฮาลาล และทำหน้าที่กำกับดูแลศูนย์ฯ

หลังจากนั้นก็จะมีการขยายบทบาทและยกระดับศักยภาพสถาบันอาหารให้เป็นเจ้าภาพและศูนย์กลางการประสานงานเกี่ยวกับอุตฯฮาลาลของประเทศ (National Focal Point) เพื่อขับเคลื่อนนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลของประเทศ (Nation Agenda)

รวมถึงจะต้องมีขอยืมตัวข้าราชการ (Secondment) พนักงานราชการ หรือบุคลากรจากหน่วยงานของรัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อปฏิบัติงานในศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาลที่จัดตั้งขึ้นในระยะทดลอง 1 ปี และต้องขอรับงบอุดหนุนจากสำนักงบประมาณตามนโยบายของรัฐบาล

ส่วนระยะยาวสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ประเมินผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินการ 1 ปีแรกตามตัวชี้วัดของการจัดตั้งศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาล เพื่อปรับบทบาทตามความเหมาะสม

ทั้งนี้ เมื่อตั้งคณะทำงานได้เรียบร้อยแล้วคาดว่าเบื้องต้นน่าจะต้องใช้งบประมาณอยู่ที่ 630 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการใช้ในภารกิจส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้แก่

ขยายตลาดการค้าอุตสาหกรรมฮาลาลทั้งในและต่างประเทศ เช่น ซาอุดีอาระเบีย, แอฟริกา จีน เป็นต้น โดยคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณ 550 ล้านบาท แบ่งเป็น…

- เจรจาจัดทำกรอบความร่วมมือในการขยายตลาดสินค้า และบริการฮาลาล 150 ล้านบาท
- สร้างความร่วมมือกับหน่วยงานเครือข่ายฮาลาล (Thai Halal Network)
- ส่งเสริมและขยายตลาดผ่านกิจกรรมการจัดงาน HaLal Expro 2024/กิจกรรมทางการทูต (งาน Thai Night) เพื่อเผยแพร่สินค้าฮาลาลไทย 300 ล้านบาท
- ส่งเสริมประชาสัมพันธ์ และสร้างภาพลักษณ์ สินค้าและบริหารฮาลาลไทยในภารกิจ MICE เช่น ท่องเที่ยว การบิน การประชุม/นิทรรศการนานาชาติ 100 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีภารกิจพัฒนาการผลิตและมาตรฐาน โดยเป็นการยกระดับการผลิตและพัฒนาต้นแบบสินค้าฮาลาล 75 ล้านบาท แบ่งเป็น…

- พัฒนาผลิตภัณฑ์ฮาลาลต้นแบบเพื่อผู้บริโภคมุสลิม 25 ล้านบาท
- พัฒนา/จัดทำ Role Model เพื่อยกระดับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมฮาลาล เพื่อการส่งออก เช่น โรงงานแปรรูป โรงฆ่าสัตว์ 50 ล้านบาท

สำหรับการดำเนินการดังกล่าวเชื่อว่าภายในระยะเวลา 3 ปีจะสามารถทำให้จีดีพี (GDP) ภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 55,000 ล้านบาท หรือประมาณ 1.2% ของจีดีพีภาคอุตสาหกรรม

นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า สินค้าเป้าหมายในระยะแรกประกอบด้วย เนื้อสัตว์, อาหารทะเล ในรูปแบบของอาหารพร้อมรับประทาน (Ready-to-EAT) และอาหารฮาลาลโดยธรรมชาติ, อาหารมุสลิมรุ่นใหม่ (Snack Bar) อีกทั้งยังมีสินค้าประเภทแฟชั่นฮาลาล, เครื่องสำอาง, ยาสมุนไพร และท่องเที่ยว

อย่างไรก็ดี หน่วยงานที่จะต้องบูรณาการทำงานร่วมกันเบื้องต้น ประกอบด้วย กระทรวงอุตสาหกรรม, สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.), กรมเจาจรการค้าระหว่างประเทศ, กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ, กระทรวงการต่างประเทศ, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.), สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.), สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา, กรมทรัพย์สินทางปัญญา, สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย (สกอท.), สถาบันมาตรฐานฮาลาลแห่งประเทศไทย, กรมประมง/กรมปศุสัตว์/กรมวิชาการเกษตร, กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก/กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ, สถาบันอาหาร, ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย), สถาบันฮาลาล (มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์) และห้องปฏิบัติการกลาง

“ปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมฮาลาลมีหลายหน่วยงาน เพราะฉะนั้น จะต้องรวบรวมทุกหน่วยงานเข้ามาทำงานร่วมกัน เพื่อให้ขับเคลื่อนนโยบายไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ”

‘ยูเนสโก’ ประกาศขึ้นทะเบียน ‘ประเพณีสงกรานต์ไทย’ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ

(6 ธ.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก จัดการประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 18 ณ เมืองคาเซเน สาธารณรัฐบอตสวานา

โดยมีวาระการพิจารณา ‘ประเพณีสงกรานต์ประเทศไทย’ ขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม รายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ

โดยรัฐบาลมอบหมายให้ นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการประชุม

‘พีระพันธุ์’ หารือแนวทางกดค่าไฟเหลือ 3.99 บาท/หน่วย ย้ำ!! เร่งทำงานเต็มที่ เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทย

(6 ธ.ค. 66) รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงาน แจ้งว่า กรณีคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดแรกของปี คือ มกราคม-เมษายน 2567 ซึ่งจะส่งผลให้ค่าไฟเฉลี่ยเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟทุกประเภทอยู่ที่เฉลี่ย 4.68 บาทต่อหน่วย เป็นไปตามกระบวนการทางกฏหมายที่จะต้องเปิดรับฟังความเห็นก่อนจะมีมติ แต่ยังไม่ถือเป็นการสิ้นสุด

โดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มีอำนาจบริหารจัดการเพื่อไม่ให้กระทบต่อค่าครองชีพประชาชนและดูแลเศรษฐกิจโดยตรง ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางที่จะไม่ให้ค่าไฟขึ้นไปถึงระดับ 4.68 บาทต่อหน่วยแน่นอน หากเป็นไปได้จะพยายามตรึงราคา 3.99 บาทต่อหน่วย หรือหากที่สุดต้องปรับขึ้นจะไม่เกิน 4.20 บาทต่อหน่วย

“ขณะนี้คณะทำงานกำลังเร่งหาแนวทางลดค่าไฟฟ้าจากหลายเครื่องมือ อาทิ ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ ‘กฟผ.’ แบกรับภาระหนี้บางส่วนออกไป ให้บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) รับภาระส่วนของต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติ รวมไปถึงอาจหาเงินงบประมาณมาสนับสนุน ซึ่งนายพีระพันธุ์จะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงต้องใช้เวลาช่วงเดือนธันวาคมนี้ในการเร่งทำงาน มั่นใจว่าจะเป็นข่าวดีสำหรับประชาชนในช่วงปีใหม่นี้แน่นอน” รายงานข่าวระบุ

‘กนอ.’ ยกระดับ ‘เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ’ ปี 66 สำเร็จตามเป้า พร้อมเร่งพัฒนาความร่วมมือภาคอุตฯ-สังคม-สิ่งแวดล้อม มุ่งสู่ SDGs

(5 ธ.ค. 66) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เผย ยกระดับ ‘เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ’ ปี 66 สำเร็จตามเป้า พร้อมลุยต่อแผนปีงบประมาณ 2567 ให้สอดคล้องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) 13 เป้าหมาย พร้อมผลักดันสิทธิประโยชน์ทั้งการลดหย่อน / ยกเว้น ค่าบริการอนุญาตในระบบ e-PP

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า กนอ. มุ่งมั่นพัฒนาและยกระดับนิคมอุตสาหกรรม สู่การเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Industrial Town) เพื่อการเกื้อหนุนซึ่งกันและกันของภาคอุตสาหกรรม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน ภายใต้กรอบ 5 มิติ  คือ มิติกายภาพ, มิติเศรษฐกิจ, มิติสิ่งแวดล้อม, มิติสังคม และมิติการบริหารจัดการ

โดยส่งเสริมให้เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการยกระดับนิคมอุตสาหกรรม ตามวิสัยทัศน์ ‘นำนิคมอุตสาหกรรมสู่มาตรฐานสากล ด้วยนวัตกรรมอย่างยั่งยืน’

โดยปีงบประมาณ 2566 กนอ. สามารถพัฒนาและยกระดับนิคมอุตสาหกรรมเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ จากระดับ Eco-Champion 39 แห่ง ยกระดับขึ้นเป็นระดับ Eco-Excellence 22 แห่ง และระดับ Eco-World Class 7 แห่ง ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 
กนอ. มีเป้าหมายขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ตามนโยบายเศรษฐกิจ ‘BCG Model’ ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ และเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศให้เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน

โดย กนอ. ดำเนินโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับนิคมฯ และโรงงาน เช่น การยกระดับนิคมอุตสาหกรรมสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ โครงการปรับปรุงค่าประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (Eco Efficiency) โครงการส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่ยั่งยืน มุ่งเน้นจัดการกากของเสียให้มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันยังสนับสนุนโรงงานอุตสาหกรรมเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว โรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) และ Eco Factory for Waste Processor

“ปี 2567 กนอ. ยังคงใช้หลักเกณฑ์การเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศเดิม แต่จะปรับปรุงให้สอดคล้องตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) 13 ข้อ ขณะเดียวกันยังผลักดันสิทธิประโยชน์สำหรับผู้พัฒนานิคมฯ และผู้ประกอบการ ทั้งการลดหย่อน / ยกเว้น ค่าบริการอนุญาตในระบบ e-PP ซึ่งจะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของ กนอ.ในอนาคตต่อไป” นายวีริศ กล่าว

ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2567 กนอ. มีแผนงานยกระดับนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในนิคมอุตสาหกรรม ดังนี้ ระดับ Eco Champion ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิว เอช เอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4, ระดับ Eco Excellence ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมบางปู นิคมอุตสาหกรรมราชบุรี, ระดับ Eco World Class ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิว เอช เอ ตะวันออก (มาบตาพุด), นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ซิตี้

‘รมว.ปุ้ย’ เดินหน้าปักธง ‘นครศรีฯ’ ดันสู่โกโก้ฮับภาคใต้ หนุนชูเป็นพืชเศรษฐกิจหลัก คาด สร้างมูลค่า 4,000 ลบ.

‘พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมโกโก้ทั่วประเทศสู่การเป็นโกโก้ฮับเมืองไทย ตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ ดันพื้นที่ภาคใต้ชูจังหวัดนครศรีธรรมราช สู่โกโก้ฮับ ‘นครศรีฯ เมืองโกโก้’ พร้อมเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการ ผลักดันสู่การเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของไทย คาดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 4,000 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 66 นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมขานรับนโยบายรัฐบาล ในการยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมโกโก้ทั่วประเทศสู่การเป็นไทยโกโก้ฮับ โดยจะนำร่องการยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมโกโก้ไทยในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช สู่ ‘โกโก้ฮับ’ (THAI COCOA HUB) ภายใต้ชื่อ ‘นครศรีฯ เมืองโกโก้’ เพื่อเป็นศูนย์กลางรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมโกโก้ในไทย อีกทั้งเป็นแหล่งความรู้และลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ และสนับสนุนผู้ประกอบการให้มีศักยภาพขีดความสามารถในการส่งออกสู่ตลาดโลกได้ในอนาคต

“กระทรวงฯ ได้จัดกิจกรรมสนทนากลุ่ม (Focus group) กับผู้ประกอบการ รวมถึงศึกษาแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมโกโก้ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพื่อพัฒนาและยกระดับศักยภาพตลอดห่วงโซ่อุปทาน ด้วยการบูรณาการความร่วมมือระหว่างผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อส่งเสริมอย่างมีระบบ เป็นคลัสเตอร์เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ผ่านการสร้างเอกลักษณ์ในแต่ละพื้นถิ่น (Single Origin) ช่วยสร้างจุดเด่นและมูลค่าเพิ่มของโกโก้ให้ตรงกับความต้องการผู้บริโภคมากขึ้น ตลอดจนการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ และส่งเสริมตลาดทั้งในและต่างประเทศ สนับสนุนให้มีการจัดโรดโชว์ในต่างประเทศ เพื่อให้โกโก้ไทยเป็นที่รู้จักในระดับสากลมากขึ้น และสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมโกโก้ให้เป็นหนึ่งในพืชแห่งอนาคต (Future Crop) และยกระดับสู่การเป็นไทยโกโก้ฮับ (THAI COCOA HUB) ของอาเซียนในอนาคต คาดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 4,000 ล้านบาท” รมว.อุตสาหกรรม กล่าว

ทั้งนี้ ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พืช ‘โกโก้’ ถูกจับตามองว่าเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจใหม่และได้รับกระแสความนิยมเพิ่มมากขึ้น สะท้อนได้จากการเติบโตของร้านคาเฟ่ ขนมหวาน ช็อกโกแลตพรีเมียม รวมถึงเทรนด์รักสุขภาพ เนื่องจากโกโก้สามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย อาทิ อาหารเพื่อสุขภาพชั้นดีเยี่ยม (Super Food) ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ส่งผลให้พื้นที่เพาะปลูกโกโก้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับโอกาสในอนาคต โดยจากข้อมูลปี 2565 ไทยส่งออกโกโก้และของปรุงแต่งจากโกโก้ไปตลาดโลกมีมูลค่ากว่า 69.38 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 64.32 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมี ญี่ปุ่น อาเซียน และเกาหลีใต้เป็นตลาดหลักส่งออกที่สำคัญ

สำหรับประเทศไทยมีความได้เปรียบด้านพื้นที่สามารถปลูกโกโก้ได้ทุกภาค โดยที่น่าจับตามอง คือ ภาคตะวันออกในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ที่มีพื้นที่การปลูกโกโก้และเป็นพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งจะมุ่งเน้นการตั้งโรงงานแปรรูปโกโก้ขนาดเล็กเพื่อสนับสนุนให้มีการปลูกโกโก้ให้มากขึ้น รวมถึงภาคใต้ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช มีพื้นที่ปลูกโกโก้มากกว่า 1,600 ไร่ เป็นอันดับหนึ่งของประเทศ

โดยปัจจุบันมีเกษตรกรที่ปลูกโกโก้ทั้งสิ้นกว่า 3,000 ครัวเรือน ถือว่าได้เป็นแหล่งผลิตโกโก้คุณภาพดีของไทย การันตีด้วยรางวัลระดับโลก อย่างแบรนด์ ‘ภราดัย’ คว้ารางวัลพิเศษระดับทองสำหรับช็อกโกแลตบาร์ 75 เปอร์เซ็นต์ จากจังหวัดนครศรีธรรมราช ประเภท ‘Bean to Bar’ หรือ ‘ช็อกโกแลตที่ผู้ผลิตมีส่วนร่วมตั้งแต่กระบวนการหลังการเก็บเกี่ยว’

คนใช้รถเฮ!! ‘ปตท.-บางจาก’ ปรับลดราคา ‘เบนซิน-แก๊สโซฮอล์’ ลงอีก 40 สตางค์/ลิตร

(5 ธ.ค. 66) ปั๊มน้ำมันแจ้งปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ลด 40 สตางค์ กลุ่มดีเซลคงเดิม 

ด้าน PTT Station ปรับราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ลดลง 0.40 บาท/ลิตร สำหรับกลุ่มดีเซลคงเดิม มีผล 5 ธ.ค. 2566 เวลา 05.00 น.เป็นต้นไป โดยราคาขายปลีกจะเป็นดังนี้…

- ULG = 43.54 บาท
- GSH95 = 35.65 บาท
- E20 = 33.54 บาท
- GSH91 = 33.88 บาท
- E85 = 33.69 บาท
- พรีเมี่ยม GSH95 = 43.44 บาท
- HSD-B7 = 29.94 บาท
- HSD-B10 = 29.94 บาท
- HSD-B20 = 29.94 บาท
- พรีเมี่ยมดีเซล B7 = 41.54 บาท

***ทั้งนี้ราคาขายปลีกข้างต้นยังไม่รวมภาษีบำรุงกรุงเทพมหานคร***

ด้าน บางจากฯปรับราคาน้ำมันเฉพาะกลุ่มแก๊สโซฮอล์ลดลง 0.40 บาท/ลิตร สำหรับกลุ่มดีเซลคงเดิม…

- GSH95S EVO 36.05 บาท
- GSH91S EVO 34.28 บาท
- GSH E20S EVO 33.94 บาท
- GSH E85S EVO 34.09 บาท
- Hi Premium 97 (GSH95++) 47.74 บาท
- Hi Diesel B20S 29.94 บาท
- Hi Diesel S 29.94 บาท
- Hi Diesel S B7 29.94 บาท
- Hi Premium Diesel S B7 43.64 บาท

(ราคาดังกล่าวยังไม่รวมภาษีบำรุงท้องที่ กทม.)

‘ซีพีเอฟ’ ขับเคลื่อนกิจกรรมสร้างสมดุลเพื่อธรรมชาติ ปลูกจิตสำนึก ‘พนักงาน-คู่ค้า’ คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม

(4 ธ.ค. 66) นางกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสุงสุด สายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า วันที่ 4 ธันวาคม เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก  ทาง ซีพีเอฟ ซึ่งให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่ทั่วโลกต้องร่วมมือกันลดผลกระทบจากวิกฤตการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ  (Climate Change) การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และมลพิษด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อมุ่งสู่การเติบโตบนพื้นฐานของความยั่งยืน ตามแนวทาง ESG (Environment Social Governance) และคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน ความเสมอภาคที่ประชาชนทุกคนในการเข้าถึงสิ่งแวดล้อมที่ดี ทั้งทรัพยากรป่า ไม้ น้ำ และได้รับอากาศที่บริสุทธิ์ตามสิทธิขั้นพื้นฐาน  สนับสนุนความมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

"เราตระหนักดีว่า ในการดำเนินธุรกิจ ต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ซีพีเอฟ มุ่งมั่นขับเคลื่อนองค์กรสู่ธุรกิจสีเขียว (Green Business) คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ทั้งน้ำ อากาศต้นไม้ ความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อสร้างธรรมชาติที่ดีให้กับสังคม และสร้างพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ " นางกอบบุญ กล่าว

ซีพีเอฟ กำหนดประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางสู่ความยั่งยืนของบริษัทฯ อาทิ  การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ (Water Management) การปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ ( Biodiversity and Ecosystem) การจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Climate Change Management and Net-Zero)

การดำเนินธุรกิจของซีพีเอฟคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการผลิต พัฒนามาตรฐานฟาร์มสีเขียว (Green Farm) บริหารจัดการฟาร์มสุกรรักษ์โลกที่เน้นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เลี้ยงสุกรในโรงเรือนระบบปิดที่ทำความเย็นด้วยการระเหยของน้ำหรือระบบอีแวป (EVAP) ใช้ระบบบำบัดน้ำด้วยไบโอแก๊ส (Biogas) ช่วยลดกลิ่น กระบวนการผลิตอาหารสัตว์ ลดผลกระทบต่อชุมชนรอบข้าง โดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย และระบบอัตโนมัติมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตอาหารสัตว์ กระบวนการผลิตอาหาร ให้ความสำคัญกับการออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน โดยร่วมมือกับ กลุ่ม SCG พัฒนาบรรจุภัณฑ์อาหารเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

นอกจากนี้  บริษัทฯได้จัดทำนโยบายด้านการจัดหาอย่างยั่งยืน  โดยตั้งเป้าหมายร้อยละ 100 ของการจัดหาวัตถุดิบหลัก ได้แก่ ข้าวโพด  ปลาป่น น้ำมันปาล์ม กากถั่วเหลือง และมันสำปะหลัง ต้องไม่มาจากแหล่งที่มีการตัดไม้ทำลายป่า เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยึดแนวทาง ‘ไม่เขา ไม่เผา เราซื้อ’ พัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดมาใช้ในการจัดหาผลผลิต รวมทั้งการถ่ายทอดความรู้ให้แก่เกษตรกร ส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเพิ่มผลผลิต ปลอดการเผาตอซัง แก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5  บรรเทาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เกษตรกรได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สุขภาพ ความปลอดภัย

ซีพีเอฟ ยังได้ส่งเสริมความตระหนักของพนักงาน รู้คุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ และสร้างการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ปกป้องและดูแลสิ่งแวดล้อม ผ่านการดำเนินโครงการต่างๆ อาทิ โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำและป๋าชายเลน โครงการปลูกต้นไม้ในสถานประกอบการทั้งกิจการในประเทศไทยและกิจการต่างประเทศ กิจกรรมกับดักขยะทะเล ในโครงการ CPF Restore the Ocean  ที่นำแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาประยุกต์ใช้ ด้วยการนำฝาขวดน้ำพลาสติกที่ไม่ใช้แล้วมาแปรรูปเป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานได้ อาทิ  กระถางต้นไม้ และถาดใส่ของ ซึ่งโครงการดังกล่าว สร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งด้านเศรษฐกิจ คือ สร้างรายได้เสริมให้กับชุมชน จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ด้านสังคม สร้างการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาขยะ และด้านสิ่งแวดล้อม แก้ปัญหามลพิษจากขยะพลาสติก รักษาระบบนิเวศทางทะเล

นางกอบบุญ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ ส่งเสริมให้คู่ค้าตลอดห่วงโซ่คุณค่า โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เสริมสร้างความรู้ให้คู่ค้า SMEs ช่วยพัฒนากระบวนการผลิต เพื่อให้ผู้ประกอบการนำส่วนของผลประหยัดที่เกิดขึ้น  มาลงทุนกับโครงการลดการปล่อยคาร์บอนฯของตัวเอง ขณะเดียวกัน ได้จัด โครงการ ‘ปันรู้ ปลูกรักษ์’ โดยร่วมมือกับโรงเรียนในพื้นที่ที่ซีพีเอฟเข้าไปดำเนินโครงการด้านสิ่งแวดล้อมให้ความรู้กับเยาวชนเข้าใจในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ร่วมมือกันอนุรักษ์และดูแลสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน

'แบงก์ชาติ' เปิดให้บริการชำระเงินข้ามพรมแดน 'ไทย-ฮ่องกง' ผ่าน QR เอื้อประโยชน์ผู้ที่เดินทางระหว่าง 2 ประเทศกว่า 1.5 ล้านคนต่อปี

(4 ธ.ค.66) ธนาคารกลางฮ่องกง (Hong Kong Monetary Authority: HKMA) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เปิดตัวการให้บริการชำระเงินข้ามพรมแดนผ่าน QR ระหว่างฮ่องกงและประเทศไทย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่เดินทางระหว่างฮ่องกงและประเทศไทยได้รับบริการชำระเงินที่รวดเร็ว ปลอดภัย และเข้าถึงได้ง่าย

บริการชำระเงินข้ามพรมแดนผ่าน QR ดังกล่าว จะทำให้ผู้ที่เดินทางระหว่างฮ่องกงและประเทศไทยสามารถทำรายการชำระเงินกับร้านค้าได้โดยง่าย โดยผู้ใช้บริการที่มาจากฮ่องกงสามารถใช้แอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือสแกน QR มาตรฐานของไทย (Thai QR code) และผู้ใช้บริการที่มาจากไทยสามารถใช้แอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือสแกน QR ของฮ่องกง (Hong Kong FPS QR code) ที่ร้านค้าได้แสดงไว้ ทำให้ผู้ใช้บริการมีช่องทางชำระเงินที่สะดวกและมีประสิทธิภาพ ขณะที่ร้านค้าจะได้รับเงินค่าสินค้าในทันที ทั้งยังเป็นการสนับสนุนธุรกิจการท่องเที่ยวและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของฮ่องกงและประเทศไทยด้วย

นาย Eddie Yue ผู้ว่าการธนาคารกลางฮ่องกง กล่าวว่า ธนาคารกลางฮ่องกงมีความยินดีอย่างยิ่งต่อความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายในการพัฒนาช่องทางการชำระเงินข้ามพรมแดนรายย่อย ที่สะดวก ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ โดยการเปิดตัวบริการในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของระบบ Fast Payment System ในการขยายบริการชำระเงินข้ามพรมแดนในภูมิภาค

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ความร่วมมือกับฮ่องกงในครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการพัฒนาด้านดิจิทัลของไทย และสะท้อนความมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างการชำระเงินข้ามพรมแดนในภูมิภาค ให้มีประสิทธิภาพ และครอบคลุมทั่วถึงมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เดินทางระหว่างฮ่องกงและไทยจำนวนประมาณ 1.5 ล้านคนต่อปี และต่อร้านค้าที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นรูปธรรม

โครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของหลายภาคส่วน ทั้งการผลักดันจากธนาคารกลาง คือ HKMA และ ธปท. ผู้ให้บริการระบบการชำระเงิน ได้แก่ Hong Kong Interbank Clearing Limited (HKICL) และ บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ็กซ์ (NITMX) ผู้ให้บริการชำระดุลระหว่างประเทศ ได้แก่ HSBC Hong Kong และธนาคารกรุงเทพ รวมทั้งผู้ให้บริการชำระเงินหลายรายที่เข้าร่วมให้บริการแอปพลิเคชัน ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ 7 แห่ง และ Non-bank 2 แห่งของฮ่องกง และธนาคารพาณิชย์ 3 แห่งของไทย และอีกหลายแห่งของทั้งสองฝ่ายที่ร่วมให้บริการ QR แก่ร้านค้า โดยมีรายชื่อตามเอกสารแนบ

ธนาคารกลางทั้ง 2 แห่งเชื่อว่าการเชื่อมโยงการชำระเงินข้ามพรมแดนครั้งนี้ ให้ทางเลือกการชำระเงินที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสม และจะส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือด้านนวัตกรรมทางการเงินในภูมิภาคมากยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top