Monday, 12 May 2025
ECONBIZ NEWS

รู้จัก 'คัดสรร 999' ผู้คัดสรร 'เหรียญรางวัลทรงคุณค่า'  เติมเต็มความสำเร็จให้ทุก 'ชัยชนะ' ผ่าน 2 พี่น้องคนเก่ง

ถ้าพูดถึงเรื่องงานด้านกีฬา การแข่งขัน การประกวดต่างๆ ก็ต้องมีเรื่องของผลการแพ้ การชนะ เข้ามาเกี่ยวข้อง และถ้ามองไปถึงจุดหมายแห่งความสำเร็จของชัยชนะ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยและเป็นตัวแทนแห่งความสำเร็จ นั่นคือ 'เหรียญรางวัล' ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจ เป็นเกียรติแก่นักกีฬาและผู้ที่รับได้รับรางวัล 

'ณัฏฐนิชา ตันติพงศ์' และ 'ดารากร สุวรรณสัญญา' 2 พี่น้องสตาร์ตอัป ที่มองเห็นโอกาสจากจุดนี้ ได้ร่วมกันสร้างธุรกิจตัวแทนแห่งความสำเร็จ/ความภาคภูมิใจของผู้ที่ได้รับรางวัล ภายใต้ บริษัท คัดสรร 999 (ประเทศไทย) จำกัด 

"ในปัจจุบัน กีฬาเป็นการออกกำลังกายเพื่อดูแลสุขภาพ อีกทั้งยังเป็นการแข่งขัน เพื่อให้การออกกำลังกายไม่น่าเบื่อ หลายคนจึงนิยม ไปร่วมงานการแข่งขันต่างๆ เช่น การแข่งขันจักรยาน, ว่ายน้ำ, และการแข่งขันวิ่ง เป็นต้น จัดขึ้นโดยหน่วยงานภาครัฐ เอกชน หรือ ผู้จัดงานการแข่งขัน เพื่อส่งเสริมการออกกำลังกายเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกัน และเพื่อสร้างความสนุกสนานกับกลุ่มเพื่อนๆ โรงเรียน ชุมชน จนถึงกลุ่มองค์กรต่างๆ" พวกเธอทั้งสองกล่าวและว่า...

"ดังนั้นเรา 2 คน พี่น้อง จึงได้ตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้ และตัดสินใจที่จะเปิดบริษัทฯ รับผลิต จำหน่าย และนำเข้าเหรียญรางวัล โดยทางเรายินดีให้คำปรึกษาช่วยคิดออกแบบงาน ช่วยวางแผนงานให้กับลูกค้า ด้วยประสบการณ์การทำงานความเป็นมืออาชีพเกือบ 10 ปี"

ทั้งสองกล่าวเสริมอีกว่า "ที่ผ่านมา 'สินค้าของเราถือเป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูงและราคาถูก' โดยไม่เพียงแค่ในส่วนของเหรียญเท่านั้น แต่ยังมีโล่รางวัล ถ้วยรางวัล ของที่ระลึก รวมถึงรับจัดงานอีเวนต์การแข่งขัน ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีให้กับผู้จัดงานต่างๆ ไม่ต้องเสียเวลาตามหาให้เหนื่อยหรือวุ่นวาย ภายใต้ความเชี่ยวชาญที่สามารถทำได้ตั้งแต่ช่วยออกแบบงาน ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและที่สำคัญ เวลาจัดส่งสินค้าที่รวดเร็ว ด้วยประสบการณ์ความเป็นมืออาชีพ ความตั้งใจ และผลงานสินค้าคุณภาพ ... ที่เรามั่นใจว่าไม่แพ้ใคร โดยเฉพาะในเรื่องของคุณภาพและเวลาการจัดส่งสินค้าที่เร็วทันใจลูกค้า"

>> Medal Trophy Award Event

สำหรับธุรกิจของ 'คัดสรร 999' ประกอบไปด้วย...

🏅🏅รับผลิตนำเข้าเหรียญรางวัลโลหะซิงค์อัลลอยด์พร้อมสายดิจิตอลปริ๊นพิมลายตามแบบ, เข็มกลัด, ที่เปิดขวด, พวงกุญแจ ,สายคล้องคอพร้อมตะขอ ฯลฯ🎖️🧷🥇🥈🥉🎗️

⭐ให้คำปรึกษา ช่วยออกแบบงานต่างๆ เหรียญรางวัลพร้อมสายพิมลายที่ต้องการและช่วยดูราคาที่เหมาะสมให้กับลูกค้า
⭐นำเข้าเองโดยตรง💥
⭐งานของโรงงานสวย และมีคุณภาพ
⭐ช่วยดูแบบและช่วยปรับแบบให้ลูกค้าเพื่องานที่ออกมาสวยและมีคุณภาพ
⭐ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านงานเหรียญรางวัลและสินค้าต่างๆ มามากมาย จึงมั่นใจได้ในความเป็นมืออาชีพ
⭐เวลาในการผลิตงาน 30 วันขึ้นไป (แต่ถ้างานด่วนมีไฟล์ a.i.แล้ว ไม่ถึง 30 วัน ปรึกษาขอดูงานก่อน สามารถผลิตทัน‼️)
⭐เหรียญรางวัลทำได้ทั้งแบบเงา, แบบด้าน ได้ทั้งสีทอง, เงิน, ทองแดง, สีเข้มและสีอ่อน และชุบสีอื่นๆ เช่น สีน้ำเงิน, สีชมพู, สีดำ...ได้ทั้งแบบสีด้านและสีเงา ยินดีให้คำปรึกษา

⭐สำหรับผู้ใดที่สนใจติดต่อ☎️ (นาเดียร์)
Tel.0922556456
Line ID: 0922556456
หรือ inbox มาสอบถามและปรึกษาฟรี⭐
⭐พร้อมบริการลูกค้าด้วยใจและความเป็นมืออาชีพ⭐

‘รมว.ปุ้ย’ นำทีมเยือนญี่ปุ่น ศึกษาโมเดล ‘นิคมอุตสาหกรรม Circular’ เน้น!! นำระบบอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ มาปรับใช้ในไทย เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

(21 ก.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 21 – 27 กรกฎาคม 2567 มีภารกิจเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่น โดยนำคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมศึกษาดูงานการพัฒนาการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม Circular ซึ่งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ร่วมกันจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม Circular เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) โดยเฉพาะรถยนต์ EV ตามมาตรการสนับสนุนของรัฐ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญในการดึงดูดนักลงทุนเข้ามาตั้งฐานการผลิตและลงทุนในประเทศไทย โดยโครงการนิคมอุตสาหกรรม Circular จะตอบโจทย์ในโครงการศูนย์ธุรกิจอีอีซีและเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ ภายใต้แนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

นอกจากนี้ คณะผู้แทนจากกระทรวงอุตสาหกรรม ยังมีกำหนดการหารือกับองค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมประเทศญี่ปุ่น (NEDO) และองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และระดมความคิดไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เศรษฐกิจหมุนเวียน และความเป็นกลางทางคาร์บอน นอกจากนี้ คณะผู้แทนยังจะได้เยี่ยมชมกระบวนการรีไซเคิลรถยนต์และการกำจัดของเสียในโรงงานของบริษัท Eco-R Japan และศึกษาเทคโนโลยีของบริษัท ไอเอชไอ คอร์ปอเรชั่น (IHI Corporation) รวมถึงการใช้แอมโมเนียแทนก๊าซธรรมชาติ ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล พร้อมทั้งเยี่ยมชม กระบวนการรีไซเคิลหลอดฟลูออเรสเซนต์ของบริษัท J-Relights และกระบวนการรีไซเคิล แผงโซล่าเซลส์ บริษัท Shinryo Corporation ด้วย

อีกหนึ่งไฮไลท์ของการเยือนครั้งนี้ คือ การศึกษาดูงานเมืองเชิงนิเวศคิตะคิวชู (Kitakyushu Eco-Town) ซึ่งเป็นต้นแบบในการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่ประสบความสำเร็จและสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมในประเทศไทยได้ รวมทั้งหารือกับสำนักสิ่งแวดล้อมเทศบาลเมืองคิตะคิวชู เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ภายใต้ BCG Model

“การเดินทางเยือนญี่ปุ่นในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการกระชับความร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่น เพื่อการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทยสู่ความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกที่ทุกประเทศมีเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน” นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าว

สำหรับการเยือนประเทศญี่ปุ่นครั้งนี้ คณะผู้บริหารของกระทรวงอุตสาหกรรม ประกอบด้วย นายดนัยณัฏฐ์ โชคอำนวย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม นางนิภา รุกขมธุ์ รองผู้ว่าการ กนอ. สายงานยุทธศาสตร์ นางบุปผา กวินวศิน รองผู้ว่าการ กนอ. สายงานพัฒนาที่ยั่งยืน และคณะผู้บริหารกระทรวงฯ ที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ ประเทศญี่ปุ่นถือเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 3 ของไทย ขณะที่ไทยเป็นอันดับ 6 ของญี่ปุ่น โดยเศรษฐกิจญี่ปุ่นไตรมาสแรกปี 2566 โตถึง 1.6% มีสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปญี่ปุ่น ได้แก่ รถยนต์ เครื่องจักรกล เครื่องจักรไฟฟ้า สินค้าโภคภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ในขณะที่ญี่ปุ่นนำเข้าสินค้าสำคัญ ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องจักรไฟฟ้า เครื่องจักรกล เภสัชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นยังคงเป็นแหล่งลงทุนสำคัญของไทย โดยในปี 2565 มีโครงการลงทุนถึง 293 โครงการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาท

ไม่พลาด!! ‘บริดจสโตน’ คว้าแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ประเภทยางรถยนต์ รางวัลแห่งความภาคภูมิจาก Marketeer No.1 Brand Thailand 2024

(20 ก.ค. 67) รายงานข่าวระบุว่า บริดจสโตนคว้ารางวัล ‘แบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ของประเทศไทยประจำปี พ.ศ. 2567’ หรือ ‘Marketeer No.1 Brand Thailand 2024’ ประเภทยางรถยนต์ นับเป็นรางวัลแห่งความภาคภูมิใจและตอกย้ำความแข็งแกร่งของบริดจสโตนซึ่งครองอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคมาอย่างยาวนานเป็นปีที่ 13 จากการสํารวจความคิดเห็นของผู้บริโภคทั่วประเทศ โดยคุณโชทาโร่ คิตะมุระ ผู้อำนวยการสายงานธุรกิจยางรถยนต์นั่งและรถบรรทุกขนาดเล็ก บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เข้ารับรางวัลอันทรงเกียรติจากคุณเพิ่มพล โพธิ์เพิ่มเหม บรรณาธิการและผู้ก่อตั้งนิตยสาร Marketeer ณ ห้องฉัตราบอลรูม โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ

“นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งจากเสียงสะท้อนของผู้บริโภคทั่วประเทศที่สนับสนุนให้บริดจสโตนเป็นแบรนด์ยางรถยนต์ยอดนิยมอันดับหนึ่ง ผมขอขอบคุณทุกความเชื่อมั่นและไว้วางใจที่มอบให้บริดจสโตนเสมอมา ความสำเร็จดังกล่าวยังต่อยอดเป็นแรงผลักดันให้ทีมงานของเราไม่หยุดยั้งพัฒนามาตรฐานการดำเนินงานต่อไปด้วย ‘ความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ’ บนพื้นฐานลูกค้าเป็นศูนย์กลางสำคัญ ควบคู่กับการสร้างคุณค่าร่วม เราพร้อมมุ่งมั่นพัฒนาและส่งมอบผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์พรีเมียม บริการ และโซลูชั่นที่ทันสมัยและหลากหลายให้ตอบสนองกับไลฟ์สไตล์การเดินทางอย่างลงตัว พร้อมกันนี้ เรายังพัฒนาเทคโนโลยียางสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อร่วมยกระดับการเดินทางที่ยั่งยืนและส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้คนไทย โดยทั้งหมดนี้ ถือเป็นความตั้งใจของเราที่จะยกระดับแบรนด์บริดจสโตนสู่ความพรีเมียมที่ยั่งยืน” คุณโชทาโร่ คิตะมุระ เผยหลังจากรับรางวัล

พิธีมอบรางวัล ‘แบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ของประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2567’ หรือ ‘Marketeer No.1 Brand Thailand 2024’ จัดขึ้นโดยนิตยสาร Marketeer อ้างอิงจากผลสำรวจของบริษัท มาร์เก็ตติ้ง มูฟ จำกัด ผู้ให้บริการด้านงานวิจัยและที่ปรึกษาทางธุรกิจ ในการสำรวจแบรนด์ยอดนิยมในสินค้าและบริการประเภทต่างๆ ของผู้บริโภคชาวไทย ประจำปี พ.ศ. 2567

>> เกี่ยวกับบริดจสโตน ประเทศไทย: บริดจสโตน ผู้นำระดับโลกด้านยางรถยนต์และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับยาง พร้อมนำเสนอโซลูชั่นด้านการเดินทางที่ปลอดภัยและยั่งยืน และสำหรับประเทศไทย บริษัท ไทยบริดจสโตน จำกัด คือหนึ่งในผู้ผลิตชั้นนำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และบริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านการนำเข้า จัดจำหน่าย และทำการตลาดยางรถยนต์ภายใต้แบรนด์บริดจสโตน, ไฟร์สโตน และเดย์ตันแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย บริดจสโตนเป็นแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า ตัวแทนจำหน่าย และพันธมิตรทางธุรกิจ เรานำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์พรีเมียมที่หลากหลายและโซลูชั่นขั้นสูงซึ่งพัฒนาจากนวัตกรรมทางเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาการเดินทาง, การใช้ชีวิต, การทำงาน และการพักผ่อนของผู้คนทั่วโลก

‘กทพ.’ ประกาศข่าวดี รับ!! เดือนกรกฎาคม เตรียมใช้บริการ ‘ทางด่วนฟรี’ 3 วัน 3 สาย

(19 ก.ค.67) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม แจ้ง ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษในเดือนกรกฎาคม จำนวน 3 วัน รวม 3 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางด่วนขั้นที่ 1) จำนวน 20 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช (ทางด่วนขั้นที่ 2) จำนวน 31 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา (บางปะอิน-ปากเกร็ด) จำนวน 10 ด่าน ดังนี้

- วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม 2567 (วันอาสาฬหบูชา)
- วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม 2567 (เข้าพรรษา)
- วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม 2567 (วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10)

โดยเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมที่ปรากฏในสัญญาสัมปทานฉบับแก้ไขใหม่ระหว่าง กทพ. บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) และบริษัททางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด (NECL) เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนในวันหยุดและช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน รวมทั้งช่วยลดปัญหาจราจรติดขัดบริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษได้อีกด้วย

ทั้งนี้ ขอเชิญชวนผู้ใช้บริการบัตร Easy Pass ลงทะเบียนปรับปรุงข้อมูลด้วยตนเองทาง EXAT Portal Application หรือ www.thaieasypass.com เพื่อยกระดับบัตร Easy Pass เป็น Easy Pass Plus สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ทางพิเศษ (EXAT Call Center) โทร 1543 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘อัครเดช รวมไทยสร้างชาติ’ ชม ‘พีระพันธุ์’ ตรึงค่าไฟงวดก.ย.-ธ.ค.67 เคาะราคา 4.18 บ./หน่วยเท่าเดิม ช่วยลดภาระประชาชนยาวถึงปลายปี

(19 ก.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงกรณีที่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยืนยันว่าจะคงอัตราค่าไฟฟ้างวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. 67 ไว้ที่ 4.18 บาทต่อหน่วยเท่าเดิม ว่า ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติต้องขอชื่นชมรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ได้ตระหนักถึงภาระและปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ด้วยการตรึงราคาค่าไฟฟ้าไว้ ซึ่งที่ผ่านมาท่านพีระพันธุ์ได้ไปต่อสู้ให้กับประชาชนด้วยการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อตรึงราคาค่าไฟฟ้าต่อไปอีกในงวด ก.ย.-ธ.ค. 67 

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า  สส. ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ผ่านมาหลายครั้งในการประชุมพรรคก็ได้สะท้อนความเดือดร้อนของประชาชนเรื่องค่าครองชีพ โดยอยากให้รัฐบาลตรึงราคาค่าไฟฟ้า ซึ่งทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะหัวหน้าพรรค ท่านก็รับทราบปัญหาและพยายามหาวิธีแก้ เพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าให้กับประชาชน วันนี้ถือว่าเป็นข่าวดีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ใช้ทุกวิถีทางเพื่อต่อสู้ตรึงราคาค่าไฟฟ้าต่อไปจนถึงปลายปีให้กับประชาชน

โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ยังกล่าวต่อถึงการแก้ปัญหาราคาค่าไฟฟ้าในระยะยาว ว่า เรื่องนี้ทางรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้มีการจัดทำแผนและวางแนวทางการแก้ปัญหาระยะยาวไว้แล้ว และจะได้นำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาอนุมัติ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับที่ประชุม ครม. ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร คาดว่าทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานจะได้มีการชี้แจงอีกครั้ง ดังนั้นการตรึงราคาค่าไฟฟ้าครั้งนี้ขอยืนยันว่าเป็นความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ต่อสู้หาวิธีแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนภายใต้เงื่อนไขที่จำกัด โดยเฉพาะเรื่องของจัดหาแก๊ส LNG จากต่างประเทศ ที่เป็นต้นทุนหลักในการผลิตไฟฟ้า และปัจจุบันมีราคาสูงขึ้นจากภาวะสงครามอีกด้วย 

”การตรึงราคาค่าไฟฟ้าครั้งนี้ขอยืนยันว่าเป็นความสามารถและความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ของท่านพีระพันธุ์ ที่ต้องการแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนท่ามกลางภาวะแวดล้อมที่ไม่เป็นใจ ซึ่งต้องขอชื่นชม และต้องบอกว่าถ้าไม่ใช่ท่านพีระพันธุ์ที่มีความตั้งใจจริงในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ราคาค่าไฟฟ้าคงไม่ใช่เท่านี้แน่นอน“ โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวทิ้งท้าย

'แบงก์ชาติ' ชี้!! 'แบงก์พาณิชย์' ทยอยใช้ Biometric ยืนยันตัวตนร่วม OTP สร้างความปลอดภัยแก่ลูกค้าจากภัยไซเบอร์ ที่นับวันจะซับซ้อนมากขึ้น

(19 ก.ค. 67) ตามที่ ‘ธนาคารกลางสิงคโปร์’ ประกาศให้ธนาคารในประเทศสิงคโปร์ ยุติการใช้รหัส OTP (One Time Password) ทำธุรกรรมทางการเงินภายในอีก 3 เดือน โดยจะหันมาออก ‘ดิจิทัล โทเคน’ ผ่านแอปพลิเคชันของแต่ละธนาคารแทน เพื่อป้องกันมิจฉาชีพหลอกลวงข้อมูลและสวมรอยทำธุรกรรมในรูปแบบ ‘ฟิชชิ่ง’ ซึ่งจะช่วยเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรมออนไลน์ และการยืนยันตัวตนนั้น

จากกรณีดังกล่าว ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่า การใช้ระบบ OTP ของธนาคารพาณิชย์ไทยในปัจจุบัน ยังมีความสามารถเพียงพอรองรับ และป้องกันการหลอกลวงในการทำธุรกรรมออนไลน์หรือไม่ และในอนาคต ธปท. มีแนวทางให้ธนาคารพาณิชย์ เพิ่มมาตรการดูแลความปลอดภัยของลูกค้าจากภัยไซเบอร์ ที่นับวันจะหลากหลาย และซับซ้อนมากขึ้นในอนาคตอย่างไร

ด้าน น.ส.ดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี 2566 การยืนยันตัวตนผ่าน mobile banking ของไทย ได้ทยอยเปลี่ยนจากการใช้ PIN ร่วมกับ One-Time-Password (OTP) ที่มาจาก SMS มาเป็นการใช้ PIN ร่วมกับรูปใบหน้า (Facial recognition) ซึ่งเป็น Biometric ที่มีความปลอดภัยสูงกว่า และถือเป็นการยืนยันตัวตน 2 ชั้น ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล

อย่างไรก็ดี การใช้ SMS ส่ง OTP ยังคงใช้ในบางธุรกรรมที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า เช่น การชำระเงินผ่านบัตรเครดิต/เดบิต เป็นต้น

สำหรับการใช้งาน Mobile Banking ให้มีความปลอดภัย นั้น ธปท. ได้กำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นต่ำอย่างต่อเนื่อง เช่น การห้ามใช้โทรศัพท์ที่ผ่านการ Root/Jailbreak เข้าใช้งาน mobile banking

นอกจากนี้ ธปท. ได้ยกระดับมาตรการดูแลความปลอดภัย ป้องกันภัยหลอกลวงธุรกรรมออนไลน์ ติดตามรูปแบบภัยต่าง ๆ อีกทั้งมีการประสานความร่วมมือ กับ ‘ศูนย์ประสานงานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศภาคการธนาคาร’ (TB-Cert) อย่างใกล้ชิด เพื่อยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับผู้ใช้บริการเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภัยจากแอปดูดเงิน ได้แก่ การตรวจจับการแก้ไข application, การติดตั้งโปรแกรมแปลกปลอมที่ขอสิทธิ์ accessibility, การป้องกันการแก้ไข mobile banking application ของธนาคาร เป็นต้น

‘พีระพันธุ์’ ยืนยัน!! ตรึงค่าไฟ 4.18 บาทต่อหน่วย ขอบคุณ ‘กกพ.-กฟผ.-ปตท.’ ช่วยทำเพื่อประชาชน

(19 ก.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน กล่าวกรณีมีกระแสข่าวว่าจะปรับขึ้นค่าไฟ 6 บาทต่อหน่วย ว่า "จากการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ข้อยุติว่า จะตรึงค่าไฟไว้ที่ 4.18 บาท รอบเดือน ก.ย.-ธ.ค.67 โดยในวันนี้ได้เชิญประธานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.), ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และประธานคณะกรรมการบมจ. ปตท. (PTT) มาหารือร่วมกัน

"ส่วนจะตรึงต่อไปอีกกี่เดือนนั้น ต้องพิจารณาตามราคาตามค่าเอฟทีที่ปรับทุก 4 เดือน ซึ่งต้องมาดูตรงนี้ด้วย ถ้ามีการปรับลดลงราคาไฟก็ลดลง อย่างไรก็ตามสำหรับการตรึงค่าไฟรอบนี้ ต้องขอบคุณการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และปตท.ที่ยินดีไม่รับค่าตอบแทนใดๆ จากค่าไฟฟ้างวดนี้เลย เพื่อช่วยเหลือประชาชน"

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากระแสข่าวที่ออกมาเกิดจากอะไร? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า "ก็เป็นเหมือนทุกครั้ง ที่พยายามทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด สื่อก็ต้องช่วยทำความเข้าใจ ต้องเข้าใจว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องคิดในสิ่งที่ควรจะเป็นจริง ก่อนที่สุดท้ายจะต้องมาดูด้วยว่า นโยบายจะสามารถแก้ไขอะไรได้บ้าง" 

"การที่จะช่วยประชาชน ไม่ว่าจะค่าไฟฟ้าหรือน้ำมัน ไม่ได้อยู่ที่กระทรวงพลังงานเพียงกระทรวงเดียว แต่ต้องประสานทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเรื่องราคาน้ำมันที่กระทรวงพลังงานพยายามตรึงไว้ที่ราคาเดิมที่ 33 บาท/ลิตร แต่ปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงนับวันเป็นภาระหนี้สินมากขึ้น การจะปรับลดราคาน้ำมันลงมาได้ต้องปรับลดภาษีด้วย ซึ่งตนพยายามปรับปรุงกฎหมายอยู่ ขณะนี้การยกร่างกฎหมายฉบับที่ 1 เกี่ยวกับการดูแลราคาน้ำมันประจำวันเสร็จแล้ว อยู่ระหว่างการทบทวนความถูกต้อง จากนั้นจะเสนอให้นายกรัฐมนตรีได้รับทราบต่อไป" นายพีระพันธุ์ กล่าวทิ้งท้าย

9 หุ้นโรงไฟฟ้าปรับตัวลงยกแผง 'BGRIM' ร่วงหนักสุด หลัง 'พีระพันธุ์' สั่งตรึงค่าไฟไว้ราคาเดิมที่ 4.18 บาท

(19 ก.ค. 67) ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยภาคเช้า ณ วันที่ 19 กรกฎาคม 2567 เวลา 10.00 น. หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับตัวลงยกแผง หลังจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานมีคำสั่งให้ตรึงค่าไฟงวดเดือนก.ย.-ธ.ค.2567 ที่ 4.18 บาทต่อหน่วยเท่าเดิม

1.หุ้น BGRIM ร่วง 9.01% หรืออยู่ที่ 2.00 บาท  หรือระดับราคาอยู่ที่ 20.20 บาท
2.หุ้น GPSC ร่วง 6.13% หรืออยู่ที่ 2.50 บาท หรือระดับราคาอยู่ที่ 38.25 บาท
3.หุ้น IRPC ร่วง 1.21% หรืออยู่ที่ 0.02 บาท  หรือระดับราคาอยู่ที่ 1.63 บาท
4.หุ้น EGCO ร่วง 0.97% หรืออยู่ที่ 1.00 บาท หรือระดับราคาอยู่ที่ 102.50 บาท
5.หุ้น BANPU ร่วง 0.96% หรืออยู่ที่ 0.05 บาท หรือระดับราคาอยู่ที่ 5.15 บาท
6.หุ้น EA ร่วง 0.94% หรืออยู่ที่ 0.05 บาท หรือระดับราคาอยู่ที่ 5.25 บาท
7.หุ้น RATCH ร่วง 0.86% หรืออยู่ที่ 0.25 บาท หรือระดับราคาอยู่ที่ 28.75 บาท
8.หุ้น GUNKUL ร่วง 0.81% หรืออยู่ที่ 0.02 บาท หรือระดับราคาอยู่ที่ 2.46 บาท 
9.หุ้น BPP ร่วง 0.81% หรืออยู่ที่ 0.10 บาท หรือระดับราคาอยู่ที่ 12.30 บาท 

ขณะที่ หุ้น GULF ปรับบวกเพิ่ม 1.68% หรือเพิ่มขึ้น 0.75 บาท หรือระดับราคาอยู่ที่ 45.50 บาท

อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ ได้เปิดเผยผ่านเพจกรุงเทพธุรกิจ ว่า ก่อนหน้านี้ กกพ. มีแผนที่จะขึ้นค่าไฟฟ้า อีก 20-40 สตางค์ หลังต้นทุนปรับเพิ่มสูงขึ้น แต่ล่าสุด นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ออกมาบอกว่า ไม่ยังไม่ขึ้นค่าไฟ แต่จะยังคงยึดราคาเดิมที่ 4.18 บาท ทำให้หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าได้รับผลลบ เพราะไม่สามารถขึ้นค่าเอฟทีได้ ในงวดเดือนก.ย.-ธ.ค.2567 

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีผลกระทบเชิงเซนติเมนระยะสั้น แต่ยังคงสะท้อนไม่แน่นอนในอนาคต ขณะที่ประมาณการก็ไม่ได้มีการคิดว่าจะมีการปรับขึ้นค่าไฟ โดยในปีหน้าอาจจะมีการปรับประมาณการณ์ดาวน์ไซด์ ซึ่งก็ยังคงต้องติดตาม เนื่องจากรัฐบาลยังคงยื้ออยู่เพื่อไม่ให้มีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า

‘CARS x' ผนึกกำลัง ‘TPG X’ ยกระดับธุรกิจ ‘รถมือสอง’ ในไทย ชู!! มืออาชีพคัด ‘รถยนต์คุณภาพ’ พร้อมบริการหลังการขายเต็มพิกัด

(19 ก.ค. 67) ดร.สัณหพัฒน ตันติธนาทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ ‘CARS x’ กล่าวว่า การร่วมทุนกับ ‘TPG X’ ซึ่งเป็นบริษัทลงทุนชั้นนำ เป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของเรา การร่วมทุนในครั้งนี้จะช่วยให้เราสามารถขยายสาขาและสร้างสรรค์บริการใหม่ ๆ ผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการยกระดับธุรกิจรถยนต์มือสองในไทย

โดย CARS x มีความมุ่งมั่นสูงสุดในการคัดสรรรถยนต์คุณภาพ และมีการตรวจเช็กรถ 210 จุดโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน พร้อมทั้งการดูแลบริการหลังการขายให้กับลูกค้า โดยมีการรับประกันสูงสุด 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง เพื่อสร้างความอุ่นใจในทุกสถานการณ์และเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า เพื่อให้ ‘ทุกการขับขี่มีรอยยิ้ม’

การผนึกกำลังครั้งนี้ CARS x’ ในฐานะที่อยู่ในวงการรถยนต์มือสองมายาวนาน มีความเข้าใจในความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภครวมถึงสามารถปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี จึงมั่นใจว่าการผนึกกำลังในครั้งนี้ร่วมกับ TPG X ที่มีศักยภาพและความพร้อมในทุกด้านจะช่วยผลักดันธุรกิจให้เติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น โดย CARS x ยังคงเน้นเรื่องความเป็นมืออาชีพและคุณภาพในเรื่องรถยนต์มือสอง มุ่งมั่นจะยกระดับธุรกิจรถยนต์มือสองในไทย และในปลายปีนี้มีแผนขยายสาขาเพิ่มเติมเพื่อส่งมอบที่สุดของประสบการณ์การซื้อ-ขายรถยนต์มือสองให้ครอบคลุมการบริการแก่ลูกค้าชาวไทยในฐานะผู้นำตลาดรถมือสองในประเทศ

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CARS x สามารถติดต่อได้ที่ Line Official : @carsx หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่ www.carsx.info

'รัดเกล้า' เผย ‘Depa’ เดินหน้าโครงการ ‘Coding for Better Life’ ขับเคลื่อนโมเดลพัฒนาคนดิจิทัล สร้างรากฐานอนาคตประเทศไทย

(19 ก.ค. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เดินหน้าโครงการ Coding for Better Life สร้างรากฐานอนาคตประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนโมเดลการพัฒนากำลังคนดิจิทัลของประเทศ และแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานอย่างยั่งยืน ภายหลังที่ประชุม ครม. (9 มกราคม 2567) รับทราบแนวทางการดำเนินโครงการดังกล่าว

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กิจกรรม Coding Bootcamp และ Coding Roadshow ภายใต้โครงการ Coding for Better Life มี 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่ Coding Bootcamp Coding Roadshow และ Coding War รอบคัดเลือก ที่จะมีการเดินสายทั่วประเทศใน 8 จังหวัดทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยเริ่มพื้นที่แรกไปแล้ว

(1) เมื่อวันที่ 4-5 กรกฎาคม 2567 จังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 2,600 และมีผู้ชมผ่าน FB Live รวมกว่า 23,000 คน 
(2) วันที่ 8-9 กรกฎาคม 2567 กรุงเทพฯ 
(3) วันที่ 11-12 กรกฎาคม 2567 จังหวัดอุบลราชธานี 
(4) วันที่ 15-16 กรกฎาคม 2567 จังหวัดพิษณุโลก 
(5) วันที่ 18-19 กรกฎาคม 2567 จังหวัดเชียงใหม่ 
(6) วันที่ 23-24 กรกฎาคม 2567 จังหวัดภูเก็ต 
(7) วันที่ 15-16 สิงหาคม 2567 จังหวัดชลบุรี 
(8) วันที่ 19-20 สิงหาคม 2567 จังหวัดสงขลา

โดยในส่วนของกิจกรรม Coding Bootcamp นั้น จัดขึ้นสำหรับครูและนักเรียนจากโรงเรียนในพื้นที่ภาคกลางที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 400 คน 100 ทีม เพื่อเรียนรู้ทักษะโค้ดดิ้งเข้มข้น ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติจากผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลในหัวข้อต่าง ๆ ก่อนคัดเลือก 10 ผลงานยอดเยี่ยมเพื่อเป็น 1 ใน 100 ทีมเข้าร่วมการแข่งขัน Coding War รอบ Final ที่ MCC Hall เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ ระหว่างวันที่ 13-15 กันยายน 2567 เพื่อค้นหาสุดยอดผลงาน ชิงเงินรางวัล และรับสิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันโค้ดดิ้งเวทีระดับนานาชาติอย่าง Seoul International Invention Fair 2024 (SIIF 2024) ณ สาธารณรัฐเกาหลี

โดยกิจกรรม Coding Roadshow จัดขึ้นสำหรับผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไปที่สนใจ โดยภายในกิจกรรมมีทั้งนิทรรศการ และกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโค้ดดิ้ง เทคโนโลยี และนวัตกรรมดิจิทัล 

ส่วนกิจกรรม Coding War เป็นการเปิดพื้นที่ให้ครูและนักเรียนจากโรงเรียนที่สนใจ และส่งใบสมัครเข้าร่วมแข่งขันนำเสนอผลงานและคัดเลือกสู่การเป็น 1 ใน 100 ทีมเข้าร่วมการแข่งขัน Coding War รอบ Final ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือติดตามรายละเอียดและข่าวสารต่าง ๆ ของโครงการ Coding for Better Life สร้างรากฐานอนาคตประเทศไทย ได้ทาง www.depa.or.th และเฟซบุ๊กเพจ depa Thailand และ Coding Thailand by depa


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top