Thursday, 25 April 2024
ECONBIZ NEWS

'มือเศรษฐกิจจุลภาค' แชร์ประสบการณ์กลโกงออนไลน์ เหยื่อส่วนใหญ่ 'ไม่โง่' แต่ไม่ทันเล่ห์ ชี้!! 'เด็ก-สูงวัย' โดนเพียบ

(3 ต.ค. 66) นายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ มือเศรษฐกิจจุลภาค อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Ta Plus Sirikulpisut' ระบุว่า...

สังคมไร้เงินสด

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีระบบการชำระเงินก้าวหน้าที่สุด และทั่วโลกก็กำลังเป็นระบบสังคมไร้เงินสด

การออมเงินผ่านระบบการฝากเงินใส่สมุดบัญชี เปลี่ยนเป็นระบบ Digital จากบัตร ATM สู่ App บนมือถือ และมันก็เป็นช่องทางที่เงินหลุดออกไปง่ายดายมาก ๆ ลูก ๆ ผมกำลังโตขึ้น เขาได้รับการออมเงินจากเงินที่ผู้ปกครองให้ ญาติให้ ทำงานพิเศษ ฯลฯ

วันหนึ่งเงินก็หายไปจากบัญชี จำนวนเยอะมาก ๆ หลายครั้ง จนลูกคนหนึ่งเหลือเงินในบัญชี 400 บาท เขามาบอกคุณแม่ เราเริ่มติดตามสาเหตุ พบว่าเขาถูกหลอกลงทุน ผ่านสังคมออนไลน์ เขาเพิ่งเป็นผู้ใหญ่ไม่ทันคน และที่ร้ายไปกว่านั้นก่อนหน้านี้ไม่นานลูกอีกคนก็เพิ่งเสียเงินจำนวนเยอะมาก ๆ จากเหตุการณ์คล้ายกัน ทั้งสองคนไม่โง่ แต่ไม่ทันคนคิดร้าย และเงินออกจากบัญชีง่าย ๆ มาก ถ้าหากเป็นระบบเดิม ต้องไปธนาคารเอาสมุดบัญชีถอนเงิน มันใช้เวลากว่ามาก 

ย้อนไป 30 ปีก่อน เพื่อนผมหลายคนเพิ่งมีบัตรเครดิต มันไม่ใช่เงินสด การใช้จ่ายคล่องตัว เขาใช้จนเป็นหนี้ธนาคารเยอะมาก ดอกเบี้ยก็แพง ผมถูกขอให้ช่วยเหลือ ผ่านไป 30 ปี เขาก็ยังไม่คืนเงิน เขาลืมความลำบากในการถูกเก็บดอกเบี้ยร้อยละ 20-30% ใช้ชีวิตดี แต่ปัญหาเพราะความระวังในการใช้ cashless น้อย

ผมเล่าให้เพื่อนอีกคนฟัง เขาก็ตอบว่าลูกเขาก็โดน อายุไม่มาก เป็นเด็กฉลาดเรียนเก่ง มีเงินเก็บที่พ่อแม่ให้เยอะ แต่ก็ไม่ทันคน โดนหลอกไปเยอะมาก ๆ คำว่าเยอะมาก ๆ ของผม หลายคนคงเดาได้ ถ้าเราไปบอกธนาคารเขาก็บอกเราโง่เอง 

แต่ท่านเชื่อไหมครับ ผม Search Google ง่าย ๆ ชื่อคนที่เราโอนเงินไป มีเต็มใน Google เป็นคนร้ายที่มีคดีมาก่อน ตำรวจเคยจับแล้ว 

บทความนี้เขียนเพื่อให้เพื่อน ๆ ที่อ่านระวัง มันอาจเกิดกับท่าน ลูกหลาน ผู้ใหญ่ที่ท่านรักที่อายุมากแล้ว

‘เคอรี่ เอ็กซ์เพรส’ ประกาศยกเลิกการเรียกเก็บค่าน้ำมันส่วนเพิ่ม หลังรัฐบาลมีมติเห็นชอบตรึงราคาดีเซลต่ำกว่า 30 บาท/ ลิตร

(2 ต.ค.66) เคอรี่ เอ็กซ์เพรส แจ้งยกเลิกการเรียกเก็บค่าน้ำมันส่วนเพิ่ม หลังรัฐบาลได้มีมติเห็นชอบให้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลต่ำกว่า 30 บาท/ ลิตร

จากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้ทางบริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านธุรกิจจัดส่งพัสดุด่วนทั่วไทย จำเป็นจะต้องเก็บค่าน้ำมันส่วนเพิ่ม เพื่อรักษาคุณภาพการให้บริการตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันทางรัฐบาลได้มีมติเห็นชอบให้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลต่ำกว่า 30 บาท/ ลิตร ฉะนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จึงขอแจ้งยกเลิกการเรียกเก็บค่าน้ำมันส่วนเพิ่มตามเงื่อนไขที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้า จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยมีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

อนึ่งก่อนหน้านี้ บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KERRY ได้ออกประกาศเรื่องการจัดเก็บค่าน้ำมันส่วนเพิ่ม (Additional Fuel Charge) ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2565

ประกาศดังกล่าวระบุว่า เนื่องด้วยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษามาตรฐานการให้บริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า บริษัทฯ มีความจำเป็นต้องจัดเก็บค่าน้ำมันส่วนเพิ่มตามรายละเอียดดังนี้ จนกว่าราคาน้ำมันจะเข้าสู่ภาวะปกติ..

1. ราคาน้ำมันดีเซล ต่ำกว่าหรือเท่ากับ 30 บาทต่อลิตร ไม่เก็บค่าน้ำมันส่วนเพิ่ม
2. ราคาน้ำมันดีเซล สูงกว่า 30 บาทต่อลิตร โดยปลายทางผู้รับในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เก็บค่าน้ำมันส่วนเพิ่ม 2 บาทต่อกล่องพัสดุ และปลายทางผู้รับในต่างจังหวัด เก็บค่าน้ำมันส่วนเพิ่ม 3 บาทต่อกล่องพัสดุ
3. ราคาน้ำมันดีเซล สูงกว่า 34 บาทขึ้นไป ต่อลิตร ทุก ๆ 2 บาท จากราคาน้ำมัน 34 บาทขึ้นไป เก็บค่าน้ำมันส่วนเพิ่ม 1 บาท (จากค่าน้ำมันส่วนเพิ่มในข้อ 2)

‘รมว.อุตฯ’ ดัน 5 วาระด่วน ชวน ‘อุตฯ ไทย’ รักษ์โลก เชื่อมการค้านานาชาติ หลังทุก ปท.มุ่งสู่อุตฯ สีเขียว

‘รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม’ เดินหน้านโยบายเร่งด่วนยกระดับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมทุกขนาด ผ่านแนวคิด ‘อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ’ ที่ ‘เติบโตอย่างยั่งยืนคู่ชุมชน’ ปรับโหมดยกระดับไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียวเพื่อลดโลกร้อนและสอดรับกับ BCG Model (บีซีจี โมเดล) เพื่อก้าวสู่บริบทการพัฒนาเศรษฐกิจยุคใหม่ เข้มมาตรฐานการผลิต ใช้เทคโนโลยี อำนวยความสะดวกเพิ่มการติดตาม ด้านสิ่งแวดล้อม เปิดทางให้ชุมชนมีส่วนร่วม มุ่งขับเคลื่อนภาคการผลิต เติบโตแบบยั่งยืน

(2 ต.ค.66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มอบหมายเร่งด่วนให้หน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมพัฒนาผู้ประกอบการทุกขนาดยกระดับไปสู่อุตสาหกรรมที่ยั่งยืนโดยนำแนวคิด ‘อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ’ ที่ ‘เติบโตอย่างยั่งยืนคู่ชุมชน’ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มและอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) ที่ไทยวางเป้าหมายสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ปีค.ศ. 2065 และสอดคล้องกับนโยบาย BCG Model ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เพื่อเพิ่มมูลค่าและขีดความสามารถในการแข่งขัน ลดการเกิดของเสียโดยจัดการใช้ทรัพยากรภายในสถานประกอบการให้เกิดประโยชน์สูงสุด 

“กระทรวงอุตสาหกรรมต้องมีบทบาทเป็นหน่วยงานส่งเสริมแทนการกำกับดูแลที่เน้นให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดให้มากขึ้นด้วย เพื่อให้โรงงานมีความคล่องตัวในการพัฒนากระบวนการผลิตให้มีความทันสมัย มีต้นทุนแข่งขันได้ ควบคู่ไปกับการดูแลชุมชน และสิ่งแวดล้อมให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมโดยยึดหลัก อุตสาหกรรมเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืนคู่ชุมชน เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจไทยเป็นไปแบบยั่งยืนที่แท้จริง” รมว.อุตสาหกรรมกล่าว

ทั้งนี้ ทั่วโลกกำลังมุ่งไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทำให้ประเทศพัฒนาแล้วกำหนดมาตรการต่างๆ ในการลดภาวะโลกร้อนที่ทำให้มีระเบียบ ข้อบังคับสำหรับการนำเข้าสินค้าที่เป็นลักษณะกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTB) ดังนั้นผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัวในกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมมุ่งยกระดับผู้ประกอบการผ่านกลไกต่างๆ ที่จะทำให้การดูแลสิ่งแวดล้อมไม่เป็นภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นหรือเพิ่มขึ้นน้อยที่สุด 

ดังนั้นวาระเร่งด่วนจึงให้ความสำคัญดังนี้…

1. มุ่งเน้นอุตสาหกรรมเป้าหมาย อุตสาหกรรมที่รองรับบริบทการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งด้านการท่องเที่ยว การใช้พลังงานสะอาดและการลดการใช้ฟอสซิล อุตสาหกรรม Soft power ฯลฯ

2. การผลักดันให้หน่วยงานกระทรวงอุตสาหกรรมก้าวสู่การเป็นภาครัฐดิจิทัล (Digital Government) อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเป็นกลไกในการให้บริการ การขออนุมัติ/อนุญาต และบูรณาการการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ในรูปแบบ One Stop Service เพื่อเป็นกลไกในการกำกับดูแลโรงงาน เหมืองแร่ และมาตรฐานอย่างจริงจัง

3. เร่งแก้ไขปัญหามลพิษทางน้ำ อากาศ และกากของเสีย โดยกำหนดมาตรฐานการปล่อยมลพิษในพื้นที่อุตสาหกรรมหนาแน่นให้เข้มงวดขึ้น การรวมพลังของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับผู้ประกอบการในการกำกับดูแลแม่น้ำลำคลอง การทิ้งกากอุตสาหกรรม และมาตรฐานความปลอดภัยในการประกอบการต่างๆ

4. กำหนดมาตรการแก้ไขฝุ่นมลพิษ PM 2.5 โดยการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า การยกระดับการบังคับใช้มาตรฐานการปล่อยมลพิษไปสู่มาตรฐาน EURO 6 ในรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป การกำกับการปลดปล่อยมลพิษทางอากาศจากโรงงานอย่างเข้มงวด การส่งเสริมมาตรการช่วยเหลือชาวไร่อ้อยที่ดูแลพื้นที่เพาะปลูกอ้อยที่ไม่มีการลักลอบเผา ตลอดทั้งการช่วยเหลือโรงงานน้ำตาลที่ไม่รับอ้อยลักลอบเผา

5. ขยายการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมโดยใช้แนวทางของการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษหรือ EEC ในภูมิภาคต่างๆ โดยเน้นการใช้พลังงานสะอาด และมาตรการลดราคาที่ดินและบริการเพื่อเป็นกลไกดึงดูดการลงทุนรายใหม่ 

ปตท. มอบใบประกาศฯ หลักสูตรพลังงานเพื่อชุมชน รุ่น 9 เพื่อเตรียมพร้อมชุมชนเข้าสู่ ‘สังคมคาร์บอนต่ำ’

เมื่อเร็ว ๆ นี้ - ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีปิดและมอบประกาศนียบัตรผู้สำเร็จหลักสูตรพลังงานเพื่อชุมชน (พพช.) รุ่นที่ 9 พร้อมมอบรางวัลโครงงานเชิงปฏิบัติการดีเด่น และบรรยายพิเศษในหัวข้อ ‘พลังงานชุมชนกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน’ โดยมี นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ร่วมแสดงความยินดีและมอบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้สำเร็จหลักสูตรฯ จำนวน 58 คน ณ ศูนย์เอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ 

ปตท. จัดทำหลักสูตรพลังงานเพื่อชุมชน เพื่อสร้างการพึ่งพาตนเองทางด้านพลังงานทดแทนให้แก่ชุมชน ตั้งแต่ปี 2558 โดยในปีนี้ได้เพิ่มเนื้อหาด้านนวัตกรรมพลังงานที่สามารถนำไปพัฒนาและใช้งานได้จริง เพิ่มเนื้อหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการมุ่งเข้าสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เพื่อเตรียมพร้อมชุมชนเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ปัจจุบันมีผู้ผ่านการอบรมจนจบหลักสูตรทั้งสิ้น ประมาณ 505 คน

‘กรมประมง’ ชวนเจ้าของเรือโหลดแอปพลิเคชัน ‘Fisheries Touch’ ชี้ สามารถติดตามเรือได้ทุกที่ทุกเวลา ล่าสุดเข้าระบบแล้ว 3,000 ลำ

(2 ต.ค. 66) นายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมง รักษาการในตำแหน่งอธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า กรมประมงพัฒนาแอปพลิเคชันขึ้นมาชื่อว่า Fisheries Touch ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่กรมประมงทำขึ้นเพื่อให้ชาวประมงใช้สำหรับติดตามแสดงตำแหน่ง ทิศทาง ความเร็ว และสถานะของเรือได้อย่าง Real-Time ตลอด 24 ชั่วโมง บนแผนที่อิเล็กทรอนิกส์ทางทะเลก่อนเข้าเขตห้ามทำการประมงต่าง ๆ

เช่น เขตทะเลชายฝั่ง เขตปิดอ่าว เขตอุทยานแห่งชาติ และเขตน่านน้ำประชิดประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น ระบบจะแสดงแนวกันชน (Buffer Zone) หรือแนวแจ้งเตือนในระยะ 0.5 ไมล์ทะเลด้านนอกของเขตที่ห้ามทำการประมงดังที่กล่าวมา

โดยชาวประมงสามารถเรียกดูเส้นทางการเดินเรือของตัวเองในตลอดเวลาย้อนหลังได้ตามช่วงเวลาที่ต้องการ หากชาวประมงที่มีเรือในกรรมสิทธิ์อยู่หลายลำ และมีการติดตั้งระบบติดตามเรือประมงกับบริษัทผู้ให้บริการต่างบริษัทกัน ก็สามารถดูเรือทุกลำภายในบัญชีผู้ใช้งานเดียวกันได้ ช่วยให้ชาวประมงสามารถติดตามเรือของตนเองผ่านทางออนไลน์ได้จากทุกที่ทุกเวลา

และสามารถแจ้งเตือนไปยังผู้ควบคุมเรือเพื่อแก้ไขปัญหาความสุ่มเสี่ยงที่อาจจะเกิดการทำประมงผิดกฎหมายได้อีกด้วย ถือเป็นการลดการกระทำผิดด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้อย่างมากซึ่งสอดรับกับนโยบายรัฐบาล

ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า) ที่พยายามผลักดันการฟื้นฟูชีวิตอุตสาหกรรมประมงให้กลับมาเป็นแหล่งรายได้ ด้วยการอำนวยความสะดวกและลดอุปสรรคในการทำการประมง

สำหรับปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 15 กันยายน 2566) มีเรือประมงที่ได้เข้าใช้งานแอปพลิเคชัน Fisheries Touch จำนวน 3,323 ลำ จากเรือประมงที่ต้องติดตั้งระบบติดตามเรือทั้งหมด 5,082 ลำ และมีเรือที่ยังไม่ได้ใช้แอปพลิเคชันดังกล่าวนี้อีกมากถึงจำนวน 1,759 ลำ ประกอบกับในห้วงที่ผ่านมา กรมประมงพบว่ามีการรายงานข้อมูลที่มีชาวประมงมีโอกาสสุ่มเสี่ยงที่จะเข้าไปทำการประมงในเขตห้ามทำการประมงต่าง ๆ

ดังนั้น กรมประมงจึงขอแจ้งประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้เรือประมงที่ยังไม่ได้เข้าใช้แอปพลิเคชันดังกล่าวให้ดาวน์โหลดและลงทะเบียนเข้าใช้งาน เพื่อป้องกันการทำประมงผิดกฎหมาย

ทั้งนี้ แอปพลิเคชัน Fisheries Touch สามารถใช้งานบน Smart Phone ทั้งระบบ IOS ของ iPhone และ iPad ที่ใช้ Version IOS ขั้นต่ำ 5.0 และระบบ Android ของ Smart Phone และ Tablet ใช้ Version ขั้นต่ำ 4.0.3 ซึ่งใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว โดยชาวประมงสามารถเข้าไปดาวน์โหลดได้ที่ App Store หรือ Play Store และติดต่อขอรหัสใช้งานได้ที่เจ้าหน้าที่ศูนย์ VMS โทร. 0-2561-3132, 0-2561-2296, 0-2561-2297 หรือทาง Line ID : @114velss

‘พาณิชย์’ ดึงเอกชน จัดมหกรรมลดราคาสินค้า 1.5 แสนรายการ หวังช่วยลดค่าครองชีพ ปชช. - กระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมขยายตัว

(2 ต.ค. 66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า พาณิชย์ได้ประชุมร่วมกับผู้ผลิตสินค้า ผู้ประกอบการห้างค้าปลีกโมเดิร์นเทรดทั้งในส่วนกลางและผู้ประกอบการห้างท้องถิ่นผู้จัดจำหน่ายสินค้า 288 ราย เตรียมจัดมหกรรมลดราคาสินค้า 151,676 รายการ สูงสุด 87% เริ่มตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 คาดว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายภาระค่าครองชีพของประชาชนได้ประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท โดยกระทรวงพาณิชย์มองว่าการลดราคาสินค้าครั้งนี้จะช่วยให้เศรษฐกิจภาพรวมขยายตัวได้ถึง 5%

สำหรับสินค้าที่จะนำมาร่วมลดราคา ประกอบด้วยสินค้า 3 กลุ่ม คือสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ อาหารและเครื่องดื่ม 3,058 รายการ ลดราคาสูงสุด 87% สินค้าของใช้ประจำวัน 8,290 รายการ ลดราคาสูงสุด 80% สินค้าวัสดุทางการเกษตร 198 รายการ ราคาสูงสุด 40% กลุ่มบริการ ประกอบด้วยบริการที่เกี่ยวกับยานยนต์ 123 รายการ ราคาสูงสุด 50% บริการทางการแพทย์ 140,000 รายการ ลดราคาสูงสุด 20% บริการเกี่ยวกับผ้าขนส่ง 7 รายการ ลดราคาสูงสุด 9%

และกลุ่มสินค้าแพลตฟอร์มออนไลน์แบ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ด้านอาหารหรือ food delivery ลดสูงสุด 60% และแพลตฟอร์มออนไลน์อีคอมเมิร์ซลดสูงสุด 80% และแต่ละแพลตฟอร์มแจกโค้ดส่วนลดใช้สั่งอาหารและซื้อสินค้าออนไลน์ รวม 1,012,000 รายการ เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

“จากการหารือกับผู้ประกอบการกระทรวงพาณิชย์จะมีนโยบายใช้มาตรการในการสร้างสมดุลในการดูแลราคาสินค้า ทิศทางการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ก็คือจะหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย หากผู้ประกอบการรายใดที่เข้ามาช่วยลดราคาแล้วประสบปัญหาเรื่องกฎระเบียบที่ค้างคาหรือมีอะไรติดขัดก็ให้อธิบดีกรมการค้าภายในนัดหารือ”

สำหรับต้นทุนการผลิตสินค้าโดยเฉพาะการปรับลดราคาพลังงานทั้งน้ำมันและไฟฟ้ามีผลกับต้นทุนการผลิตสินค้าลดลงไม่มาก มันปรับลดราคาครั้งนี้จะมีส่วนเสริมช่วยให้ห่วงโซ่การผลิตเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ปรับตัวดีขึ้นเศรษฐกิจเติบโตตามเป้าหมายและในที่สุดทุกคนก็จะดีขึ้น

นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า การลดราคาเป็นการกระตุ้นการจับจ่ายในส่วนของผู้บริโภค ประชาชนได้รับอานิสงส์ยังไม่เห็นผลกระทบที่มีนัยสำคัญ

ส่วนผลกระทบต่อเงินเฟ้อในไตรมาส 4 จะมีการประเมินหลังจากนี้เพราะจำนวนสินค้าที่นำมาลดราคาครั้งนี้ในคิดเป็น 70-80 เปอร์เซ็นต์ของรายการสินค้าทั้งหมด น่าจะมีผลตั้งแต่เดือนถัดไป

นายกองเอก เปล่งศักดิ์ ประกาศเภสัช นายกสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย กล่าวว่าในส่วนของสินค้าปุ๋ยมีการปรับลดราคา 8% ซึ่งภาคเอกชนมองว่าการลดราคาจะช่วยให้ภาพรวมของเศรษฐกิจดีขึ้น ช่วยดูแลในเรื่องของปัญหาอุปสรรคของภาคเอกชนด้วยนับว่าเป็นรัฐบาลแรกจากที่ผมอยู่ผ่านมาหลายรัฐบาลแล้ว

นายพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการทั่วไปบริษัทไทยเพรซิเดนท์ฟู้ด จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันต้นทุนการผลิตมามากซองละ 7 บาทประกอบไปด้วยต้นทุนหลายอย่างทั้งแป้งสาลีน้ำมันปาล์มค่าเดินทางค่าไฟค่าคนค่าห้างสรรพสินค้า แต่ทางมาม่าก็พร้อมที่จะลดราคาเพราะหากทุกฝ่ายช่วยกันลดก็ทำให้ต้นทุนโดยเฉลี่ยลดลงได้

กำลังซื้อในช่วงหลังเลือกตั้งชะลอตัวแต่คาดว่า 3 เดือนหลังจากนี้เมื่อมีการออกมาตรการและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆก็จะช่วยให้กำลังซื้อปรับตัวดีขึ้น ประชาชนมีความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

ส่วนการขึ้นค่าแรงมองว่ายังไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจแต่จะส่งผลดีกับแรงงานที่จะมีรายได้มากขึ้น และจะทำให้มีการเพิ่มการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น

นายสมเกียรติ มรรคยาธร นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ผลิตข้าวถุงไทย เผยว่ากลุ่มผู้ประกอบการเข้าถุงมีการปรับลดราคาประมาณ 20-30% ในส่วนของข้าวหอมมะลิซึ่งมองว่าผลผลิตในปีนี้น่าจะได้รับผลดีจากปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นมาก ข้าวหอมมะลิเป็นข้าวที่ชอบน้ำแต่ในส่วนของข้าวขาวก็ยังต้องรอดูประเมินสถานการณ์อีกระยะหนึ่งเพราะว่ามีการสั่งซื้อเข้ามามาก อย่างไรก็ตาม มองว่าเป้าหมายการส่งออกในปีนี้ 8 ล้านตันสามารถทำได้

สำหรับผู้ประกอบการ 288 ราย ประกอบด้วย ผู้ผลิตสินค้า ของกินของใช้จำเป็น รวม 88 ราย ผู้จำหน่าย ทั้งห้างโมเดิร์นเทรด ห้างท้องถิ่น และห้างขายอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและอุปกรณ์ช่าง รวม 83 ราย ผู้ให้บริการ เช่น โรงพยาบาล ศูนย์บริการรถยนต์ และบริษัทขนส่งสินค้า/พัสดุ รวม 110 ราย แพลตฟอร์ม 7 ราย

‘เมเจอร์’ รุกตลาดขนมขบเคี้ยว เสิร์ฟแบรนด์ ‘POPCORN’ ส่งขาย 7-11 พร้อมดึง ‘Three Man Down’ เป็นพรีเซ็นเตอร์ หวังเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่

(2 ต.ค.66) นายวิศรุต พูลวรลักษณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของธุรกิจป๊อปคอร์น ในแบรนด์ ‘POPCORN MAJOR’ โดยวางจำหน่ายใน Modern Trade ร้านสะดวกซื้อ เซเว่น อีเลฟเว่น ที่มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศมากถึง 14,000 สาขา

โดยการวางจำหน่ายป๊อปคอร์นผลิตภัณฑ์ใหม่ซึ่งได้พัฒนาจากป๊อปคอร์นโรงหนังซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ที่มีเอกลักษณ์ความอร่อยไม่เหมือนใคร ในรูปแบบซองสูญญากาศที่เก็บรสชาติความหอม กรอบ อร่อยได้ทุกที่ทุกเวลา มีให้เลือก 3 รสชาติ ได้แก่ รสชีส, รสคลาสสิก และรสข้าวโพดปิ้ง ซึ่งมาในรูปแบบซองสีสันสดใสขนาด 35 กรัม จำหน่ายราคาซองละ 28 บาท โดยได้เริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่กลางเดือนกันยายน 2566 ที่ผ่านมา

สำหรับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ‘POPCORN MAJOR’ ในร้านสะดวกซื้อครั้งนี้ ถือเป็นการรุกตลาดขนมขบเคี้ยว (สแน็ค) อย่างเต็มตัว โดยเลือกใช้พรีเซ็นเตอร์วงป๊อปร็อกรุ่นใหม่ ‘Three Man Down’ ตัวแทนที่จะมาถ่ายทอดความอร่อยโพด ๆ ของ ‘POPCORN MAJOR’ ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้า Gen Z อายุ 10-25 ปี มากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ มีแผนที่จะขยายช่องทางการขาย ‘POPCORN MAJOR’ ไปยังช่องทางอื่น ๆ ให้เลือกซื้อได้ที่หลากหลายมากขึ้น ได้แก่ โมเดิร์น เทรด อาทิ โลตัส, บิ๊กซี, วิลล่า มาร์เก็ท, กูร์เมต์ มาร์เก็ต, โฮม เฟรช มาร์ท, ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต, เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และ ฟู้ดแลนด์ ซุปเปอร์ มาร์เก็ต เป็นต้น

“ซึ่งการนำป๊อปคอร์นโรงหนังเข้าสู่ตลาดขนมขบเคี้ยว (สแน็ค) จะช่วยขยายฐานกลุ่มลูกค้าที่ชอบกินป๊อปคอร์น เพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจป๊อปคอร์น และยังเป็นการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ ‘POPCORN MAJOR’ ให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้นอกจากแตกไลน์สินค้าสู่สแน็ค บริษัทมีแผนที่จะเดินหน้าเปิดคีออสเพิ่มอีกกว่า 40 สาขา และดีลิเวอรี่ยังคงเดินลุยขายต่อเนื่อง” นายวิศรุต กล่าว

ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมาเครื่องดื่มและป๊อปคอร์นทำเงินให้เมเจอร์ฯ ราว 2,000 ล้านบาท ซึ่งในปี 2566 ตั้งเป้าโตแตะ 2,400 ล้านบาท

‘บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ’ ใช้ซื้อตั๋ว ‘นครชัยแอร์’ ได้ทุกเที่ยวทุกเส้น ใช้สิทธิ์ได้ตามวงเงิน เฉพาะหน้าเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วเท่านั้น

(2 ต.ค.66) บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สามารถใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถซื้อตั๋วโดยสารนครชัยแอร์ได้ทุกเส้นทาง ใช้สิทธิ์ได้ที่เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วนครชัยแอร์ เท่านั้น  สามารถใช้ได้ตามวงเงินที่กรมบัญชีกลางกำหนดจำนวน 750 บาท ในแต่ละเดือน

ไทม์ไลน์เงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐบัตรคนจนเดือนตุลาคม 2566

>> วันที่ 1 ตุลาคม 2566
วงเงินซื้อสินค้าอุปโภค-บริโภค ได้คนละ 300 บาทต่อเดือน
วงเงินค่าเดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะ 750 บาทต่อเดือนประกอบด้วย บขส. รถไฟ ขสมก. รถไฟฟ้า (MRT/BTS/ARL) และนครชัยแอร์
วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม 80 บาทต่อ 3 เดือน

>> วันที่ 20 ตุลาคม 2566
เงินเพิ่มเบี้ยความพิการ 200 บาท โดยจะต้องเป็นผู้พิการที่อายุ 18 ปีขึ้นไป มีบัตรประจำตัวผู้พิการ และได้รับสิทธิสวัสดิการรอบใหม่ โดยต้องยืนยันตัวตนกับธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรก่อน จึงจะได้รับสิทธิ แบ่งจ่าย ดังนี้
เงินผู้พิการ 800 บาท : โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารเหมือนเดิม ทุกวันที่ 10 ของเดือน.

'บาร์บีคิวพลาซ่า' ปรับเมนูภาษาเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ แง้ม!! ยอดขายยังตามเป้า มั่นทั้งปีขอ 3,800 ล้านบาท

(2 ต.ค.66) นายรัฐ ตระกูลไทย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด เจ้าของร้านปิ้งย่าง บาร์บีคิวพลาซ่า เปิดเผยว่า ในขณะนี้ การแข่งขันในธุรกิจปิ้งย่าง มีการแข่งขันสูง และ ลูกค้ามีทางเลือกใหม่ๆ มากขึ้น แต่ในส่วนของยอดขายของ บาบีคิว พลาซ่า เองก็ยังไม่ตกลง และตัวเลขยอดขายล่าสุดก็อยู่ที่ 1,700 - 1,800 ล้านบาท ซึ่งยังมั่นใจว่า ยอดขายที่วางไว้ทั้งปีที่ 3,800 ล้านบาท จะทำได้ตามเป้าหมาย แต่ยังมีในส่วนของธุรกิจเดลิเวอรี่ ที่มีการปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก หลังจากหมดสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งทางบริษัทก็มีการปรับตัวในการออกแบบสินค้าใหม่ ในหมวดอาหารพร้อมทานมากขึ้น เพราะตกกับความต้องการของลูกค้ามากกว่า

“ธุรกิจปิ้งย่างมีคู่แข่งใหม่เกิดขึ้นมามาก และก็เป็นทางเลือกให้กับลูกค้า ซึ่งเขาจะไปทดลอง แต่สำหรับแบรนด์เก่าแก่อย่าง บาร์บีคิวพลาซ่า อย่างบาบีคิว พลาซ่า ถือว่า เป็น คอมฟอร์ดโซนของลูกค้า ซึ่งเขาก็จะกลับมาใช้บริการเราเสมอ และทางบริษัทก็ไม่ได้หยุดนิ่ง มีการออกสินค้าใหม่ๆ ทั้งเรื่องของ หมาล่า หรือเมนูหมูกระทะ ซึ่งก็ได้รับเสียงตอบรับดีจากลูกค้า” นายรัฐ กล่าว

อย่างไรก็ดี ในส่วนของการขายผ่านสาขา ทางบริษัทก็ยังให้ความสำคัญเหมือนเดิม และในปีนี้ ก็ยังมีการขยายสาขาใหม่ต่อเนื่อง โดยในปี 66 มีการขยายเพิ่มอีก 5 สาขา ทำให้สิ้นปีนี้จะมีสาขาของ บาบีคิว พลาซ่า ถึง 146 สาขา

พร้อมกันนี้ในแง่ของการให้บริการ บริษัทก็คำนึงถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยว ที่สนใจอยากจะลิ้มลอง อาหารสไตล์ปิ้งย่างแบบไทยๆ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน หลังไทยเปิดฟรีวีซ่า โดยตอนนี้ทางบริษัทก็มีการปรับในส่วนของเมนูอาหาร ที่มีทั้งภาษาอังกฤษ และ ภาษาจีน ในการเพิ่มการให้บริการ

“ตอนนี้สาขาตามแหล่งท่องเที่ยว ก็เริ่มมีนักท่องเที่ยวมาทานอาหารและใช้บริการพอสมควร ดังนั้นบริษัทจึงมีการปรับตัว รับกับลูกค้ากลุ่มนี้มากขึ้น และส่วนตัวเห็นด้วยหากจะมีการสนับสนุน อาหารปิ้งย่าง หมูกระทะ เป็นซอฟต์เพาเวอร์ของไทย เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว” นายรัฐ กล่าว

‘นายกฯ เศรษฐา’ เตรียมทุ่ม 5.6 แสนลบ. เดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ต กระตุ้น ศก.หมุนเวียนในชุมชน ย้ำ!! พร้อมใช้งานภายใน ก.พ. 67

(2 ต.ค. 66) ที่ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ ชั้น 1 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง เป็นประธานพิธีเปิดโครงการประชุมสัมมนาการมอบนโยบายและแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยกล่าวช่วงหนึ่งว่า การฟื้นฟูรายได้ รัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2567 ด้วยการอัดฉีดเงิน 560,000 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นระดับชุมชน กระตุ้นอุปสงค์ ก่อนขับเคลื่อนอุปทาน สิ่งที่รัฐได้กลับมา คือ ภาษี ในระยะเวลา 6 เดือน ให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ

“ไม่ต้องห่วงครับใช้ได้แน่นอนภายในเดินก.พ.นี้” นายเศรษฐา กล่าวและว่า สำหรับค่าแรงขั้นต่ำ เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นจะขยับค่าแรงไปถึง 400 บาทต่อวันให้ได้เร็วที่สุด ซึ่งถือเป็นก้าวแรก


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top