Thursday, 15 May 2025
ECONBIZ NEWS

รมว.เฮ้ง เตรียมหารือ 4 หน่วยงาน หลัง ศปก.ศบค. เห็นชอบหลักการนำเข้า MOU แก้ปัญหาแรงงานข้ามชาติทะลักชายแดน

ที่ประชุมศปก.ศบค. เห็นชอบแนวทางการนำแรงงานข้ามชาติเข้ามาทำงานตาม MOU ในสถานการณ์โควิดตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ  โดยให้เร่งหารือร่วมกับ สตม.  กต. สธ. และกอ.รมน. เพื่อดำเนินการนำเข้าโดยเร็ว

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล. อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ห่วงใยปัญหาแรงงานข้ามชาติลักลอบเข้าเมืองตามเส้นทางธรรมชาติและการเคลื่อนย้ายแรงงานผิดกฎหมาย หลังพบสถานประกอบการในประเทศจำนวนมากขาดแคลนแรงงาน จึงได้มอบหมายกระทรวงแรงงาน แก้ปัญหาดังกล่าวและวางแนวทางการนำเข้าแรงงานต่างด้าวตาม MOU ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด ซึ่งวิธีนี้จะแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานอย่างตรงจุด ส่งผลให้ปัญหาลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายเพื่อทำงานลดน้อยลง 

“สำหรับแนวทางเบื้องต้นยังคงจัดกลุ่มแรงงานข้ามชาติที่อนุญาตให้เข้ามาทำงานกับนายจ้างในประเทศเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสีเขียว ที่ฉีดวัคชีนครบ 2 เข็ม เป็นระยะเวลา 1 เดือนขึ้นไป จะได้พิจารณาเป็นลำดับแรก โดยต้องแสดงวัคซีนพาสปอร์ต กลุ่มสีเหลือง ที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม แต่ยังไม่ครบกำหนดระยะเวลา 1 เดือน และ กลุ่มสีแดงที่ฉีดวัคซีนเพียง 1 เข็มหรือยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเลย โดยให้นายจ้าง/สถานประกอบการ รับผิดชอบค่าใช้จ่าย ซึ่งประกอบด้วยค่าสถานที่กักกัน ค่าตรวจหาเชื้อ COVID-19 ค่ารักษา (กรณีคนต่างด้าวติดเชื้อ COVID-19) หากอยู่ในกิจการที่อยู่ในระบบประกันสังคม และเป็นผู้ประกันตน มาตรา 33 หลังครบกำหนดระยะเวลากักตัวจะได้รับวัคซีนตามสิทธิผู้ประกันตน กรณีไม่ได้เป็นผู้ประกันตนม.33 นายจ้างจะเป็นผู้จัดหาวัคซีนทางเลือกให้แก่คนต่างด้าว ซึ่งการอนุญาตให้นำเข้า จะอนุญาตตามจำนวนสถานที่รองรับในการกักตัว” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว

นายสุชาติ กล่าวต่อไปถึงมาตรการที่กระทรวงแรงงานดูแลแรงงาน 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว เมียนมา) ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมาว่า  กระทรวงแรงงานดำเนินการปรับเปลี่ยนระเบียบ นโยบาย หรือมาตรการต่างๆ เพื่อสอดรับกับสถานการณ์ โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนนายจ้าง/สถานประกอบการ ที่ขาดแคลนแรงงาน พร้อมกับควบคุมป้องกันมิให้เกิดการแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ โดยเสนอครม.เพื่อมีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา อยู่ในราชอาณาจักร เป็นกรณีพิเศษภายใต้สถานการณ์ โควิดระลอกใหม่ โดยให้นายจ้างที่จ้างแรงงานข้ามชาติ ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ยื่นบัญชีรายชื่อแจ้งความต้องการจ้างคนต่างด้าวผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งทำให้แรงงาน 3 สัญชาติ กว่า 4 แสนรายได้รับอนุญาตทำงาน

ต่อมาเสนอครม.เพื่อมีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2564 ผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่แล้วหรือเคยได้รับอนุญาตทำงาน แต่ไม่สามารถดำเนินการขอใบอนุญาตทำงานตามขั้นตอนปกติเนื่องจากมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด -19 สามารถอยู่ในราชอาณาจักรเพื่อการทำงานได้ต่อไปถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 หรือ 2 ปี นับแต่วันที่การอนุญาตเดิมสิ้นสุด รวมทั้งขยายเวลาการหานายจ้างจาก 30 วัน เป็น 60 วัน ซึ่งทำให้แรงงานต่างด้าวได้รับอนุญาตทำงานกว่า 1 แสนคน ช่วยแก้ปัญหาให้นายจ้างที่ขาดแคลนแรงงาน และลดภาระค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก และล่าสุดมติครม.เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา เห็นชอบให้กระทรวงแรงงานดำเนินการตรวจสถานที่ก่อสร้าง สถานประกอบการ โรงงาน และสถานที่ทำงาน เพื่อให้คำแนะนำการปฏิบัติตนตามมาตรการทางสาธารณสุขแก่นายจ้างและแรงงานต่างด้าว เป็นระยะเวลา 30 วัน เก็บตกแรงงาน 3 สัญชาติ ที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

 

‘จุรินทร์’ ชมเปาะ ‘ทูตจีนคนใหม่’ ลึกล้ำ แค่เห็นของฝาก มองขาดขอช่วยส่งออกผลไม้

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ท่านทูตจีนคนใหม่ “หาน จื้อเฉียง” เข้าพบที่กระทรวงพาณิชย์เมื่อวันก่อน…

หลังจากท่านรับข้อเสนอที่ผมขอให้จีนช่วยเปิดด่านทางบกจาก “เชียงของ” เข้าจีนที่ด่าน “โมฮั่น” และด่านเชียงแสนของไทยผ่านแม่น้ำโขง เข้าจีนที่ “ท่าเรือกวนเล่ย” ทางตอนใต้ของ “ยูนนาน” ทั้งคู่

เพื่อจะได้ “เชื่อมเหนือ-เชื่อมโลก” ต่อไปในอนาคต 

พร้อมทั้งผมได้ขอให้ท่านทูตช่วยสนับสนุนการส่งออก “ไก่ รังนก ข้าวและผลไม้” ของไทยไปจีนได้สะดวกคล่องตัวมากขึ้นด้วย 

หลังการเจรจา ท่านมีของที่ระลึกมาฝาก…

เป็นแจกันจีนเพนต์ภาพเขียนรูปกวางและนกกระเรียนงดงามมาก 

'สุพัฒนพงษ์' หวังเศรษฐกิจไทยปีหน้าโตพรวด 6%

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยในงานสัมมนาบูสอัพไทยแลนด์ 2022 เรื่องบูสอัพทุบโจทย์ใหม่เศรษฐกิจไทย ว่า เศราฐกิจไทยในปี 65 มีโอกาสขยายตัวได้ถึง 5-6% หากไม่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่เกิดขึ้น โดยเชื่อว่าหากทุกคนร่วมไม้ร่วมมือกันรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นภายในประเทศ โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะกลับมาฟื้นตัวได้เร็วก็เป็นไปได้ แต่อาจจะกลับไปไม่เหมือนเดิม เพราะจะกลายเป็นเศรษฐกิจในวิถีใหม่ ซึ่งจะมีความเข็มแข็งมากกว่าเดิม

ทั้งนี้ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามสร้างระบบนิเวศน์ให้เอื้อกับการลงทุน และสร้างรายได้ใหม่ทางเศรษฐกิจเพื่อพลิกโฉมเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งบางอย่างต้องใช้เวลา แต่เชื่อมั่นว่าจะเริ่มเห็นผลที่ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น เรื่องของการลงทุนที่เกิดจากนโยบายในการกระจายการลงทุนไปยังภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะโครงการรถไฟทางคู่ และโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในพื้นที่สำคัญของเศรษฐกิจ ทั้งสนามบิน และท่าเรือ ซึ่งเริ่มเห็นผลอย่างชัดเจนจากตัวเลขการลงทุน 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.64) พบว่า การขอส่งเสริมการลงทุนมีวงเงินสูงถึง 5.2 แสนล้านบาท มากกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนและคาดว่าทั้งปีจะถึง 6 แสนล้านบาท ซึ่งมากกว่าปีก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19

ภาคเอกชนประเมินเศรษฐกิจกำลังดีขึ้น หวังส่งออกฟื้น

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกร. ประเมินว่าสถานกาณ์ที่ดีขึ้นเป็นลำดับ พร้อมกับมาตรการภาครัฐที่มีเสริมขึ้นมาจะทำให้เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยปี 2564 จะขยายตัวในกรอบ 0.5 % ถึง 1.5%ส่วนการส่งออก กกร. ยังคงคาดว่ามีแนวโน้มจะขยายตัว 12.0% ถึง 14.0% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 1.0% ถึง 1.2% ซึ่งมองว่าตัวเลขนี้อยู่ในเงื่อนไขที่ไม่มีการระบาดซ้ำเพิ่มเติมและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 

ทั้งนี้กกร.ยังมองว่า การเปิดประเทศเมื่อ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา ช่วยหนุนเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปี การเปิดประเทศและการคลายล็อกดาวน์ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ และประชาชน โดยมีการคาดการณ์จากผู้ประกอบการโรงแรมว่า อัตราการเข้าพักน่าจะขยับขึ้นไปที่ระดับ 25% ในเดือนพ.ย. จากเดือนก.ย.ที่มี 15% ประกอบกับการจับจ่ายใช้สอยในภูมิภาคดีขึ้น ส่วนภาคการค้าปลีกมองว่า ผ่านจุดต่ำสุดที่ไตรมาส 3 มาแล้ว สอดคล้องกับมุมมองของนักธุรกิจต่างชาติในประเทศไทยก็เชื่อมั่นในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในไตรมาส 4 

‘SCB x’ ควัก 1.7 หมื่นล้าน ซื้อหุ้น ‘Bitkub’ เดินหน้ายุทธศาสตร์ยานแม่ มุ่งสู่โลกการเงินอนาคต

“กลุ่มเอสซีบี เอกซ์” เดินหน้ายุทธศาสตร์ยานแม่ ควัก 17,850 ล้านบาท ส่ง SCBS เข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน “บิทคับ ออนไลน์” พร้อมร่วมเป็นพันธมิตรวางรากฐานธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล มุ่งสร้างการเติบโตระยะยาว เตรียมพร้อมสู่โลกการเงินอนาคต

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลหนึ่งในธุรกิจการเงินแห่งโลกอนาคตมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีโอกาสเติบโตในระยะยาว การที่ “กลุ่มเอสซีบี เอกซ์” เข้าไปลงทุนใน “บิทคับ ออนไลน์” (Bitkub Online Co., Ltd.) ซึ่งให้บริการแพลตฟอร์มด้านการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำของประเทศไทยที่มีความน่าเชื่อถือ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา จะช่วยให้ “กลุ่มเอสซีบี เอกซ์” สามารถสร้างคุณค่าใหม่ที่สามารถเติบโตในระยะยาวไปกับโลกใหม่ได้ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ยานแม่ SCBX ในการยกระดับสู่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีการเงิน สามารถตอบสนองความต้องการใหม่ของผู้บริโภค และสามารถเข้าสู่สนามการแข่งขันแบบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยเร็วในอีก 3-5 ปีข้างหน้า”

ทั้งนี้ การเข้าลงทุนใน Bitkub “กลุ่มเอสซีบี เอกซ์” ได้ขับเคลื่อนผ่านบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBS ในการเข้าซื้อหุ้นสามัญและเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ “บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด” (Bitkub Online Co., Ltd.) ผู้นำด้านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทย (Digital Asset Exchange) จาก “บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด” ในสัดส่วนร้อยละ 51 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 17,850 ล้านบาท นอกจากการลงทุนแล้วยังมีแผนที่จะพัฒนาธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลด้านต่าง ๆ ผ่านโมเดลทางธุรกิจรูปแบบใหม่ร่วมกับ Bitkub ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาว และวางรากฐานในการเข้าสู่โลกการเงินแห่งอนาคตต่อไป

สสว. จับมือพันธมิตรภาคเอกชน เสริมแกร่ง SME ดันองค์กรที่มีความหลากหลาย เป็นคู่ค้ายูนิลีเวอร์

สสว. จับมือ SME D Bank และภาคเอกชน ได้แก่ ยูนิลีเวอร์ กูเกิล ประเทศไทย และโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ร่วมสร้างโครงการส่งเสริมธุรกิจ SME ที่มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นเกิน 51% มีความหลากหลายในองค์กร ผลักดันให้เป็นซัพพลายเออร์ของยูนิลีเวอร์ในอนาคต

สสว. จับมือ ธพว. และภาคเอกชน ได้แก่ ยูนิลีเวอร์ กูเกิล ประเทศไทย และ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme หรือ UNDP) ร่วมเป็นพันธมิตรเพื่อส่งเสริมธุรกิจ SME ที่มีสัดส่วนผู้ประกอบการผู้หญิง กลุ่ม LGBTQI+ ผู้พิการ หรือกลุ่มชาติพันธุ์เป็นเจ้าของ หรือถือหุ้นร้อยละเกิน 51 ของผู้ถือหุ้นหลัก เพื่อพัฒนาขีดความสามารถ โดยให้โอกาสในการมีส่วนร่วมในโครงการพัฒนาซัพพลายเออร์ 

โดยมีผู้ประกอบการมากกว่า 100 ราย ตอบรับเพื่อเข้าร่วมโครงการ และได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา เพื่อต้อนรับผู้ประกอบการ SME ที่เข้าร่วมโครงการสู่การฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างทักษะและศักยภาพการทำธุรกิจ ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ความรู้ในเรื่องของวัฒนธรรมองค์กรเพื่อความหลากหลาย ความรู้ทางด้านดิจิทัล และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อเตรียมผู้ประกอบการสำหรับโลกแห่งการทำงานในอนาคต ตลอดช่วงเดือนพฤศจิกายน 2564 นี้ ผ่านช่องทางการอบรมออนไลน์ และเมื่อผ่านการอบรม จะสามารถเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกเพื่อเป็นซัพพลายเออร์ของยูนิลีเวอร์ต่อไป

เหลือแต่ความทรงจำ!! ทุบทิ้งแล้ว ‘โรงหนังสกาลา’ ปิดตำนานโรงหนังสุดคลาสสิก

ทุบทิ้งแล้ว ‘โรงภาพยนตร์สกาลา’ ปิดตำนานโรงหนังยุคบุกเบิกสุดคลาสสิก เตรียมส่งมอบพื้นที่ให้เซ็นทรัลพัฒนา หรือซีพีเอ็น พัฒนาพื้นที่ต่อหลังคว้าสิทธิ์ในพื้นที่ 30 ปี

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังซีพีเอ็นชนะการประมูลพื้นที่ที่ดิน Block A จากสํานักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นเวลา 30 ปี คิดเป็นค่าตอบแทนกว่า 7,750 ล้านบาท ประกอบด้วย โรงภาพยนตร์สกาลา ซึ่งเป็นโรงภาพยนตร์สแตนด์อโลนขนาด 1,000 ที่นั่ง เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2512 หรือกว่า 50 ปี

และพื้นที่อาคารพาณิชย์สูง 3-4 ชั้น จํานวน 79 คูหา ส่วนใหญ่ประกอบกิจการเป็นคลินิก ร้านอาหาร ร้านค้าสินค้าแฟชั่น เครื่องสําอาง ธนาคาร โรงเรียนกวดวิชา ฯลฯ ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกปทุมวัน จุดตัดระหว่างถนนพญาไทกับถนนพระรามที่ 1 ตรงข้ามกับสยามดิสคัฟเวอรี่ มีเนื้อที่โครงการทั้งหมดประมาณ 7 ไร่ 31 ตารางวา

ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก Foto momo โพสต์ภาพรวมไปถึงคลิปไลฟ์สดทางเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับการปรับปรุงพื้นที่รื้อถอน-ทุบทิ้งโรงภาพยนตร์สกาลา ก่อนส่งมอบให้บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN นำไปพัฒนาตามแผนงานต่อไป

พลังงานชงครม.กู้เงิน 2 หมื่นล.ตรึงดีเซลไม่เกินลิตรละ 30 บาท

นายสมภพ พัฒนอริยางกูล โฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เป็นประธาน ได้เห็นชอบร่างหลักเกณฑ์การกู้ยืมเงินตามที่สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงนำเสนอ เพื่อเตรียมพร้อมสภาพคล่องในการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาท ช่วยลดผลกระทบต่อค่าครองชีพประชาชนในช่วงที่สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงมีแนวโน้มผันผวนต่อเนื่อง โดยขั้นตอนจากนี้จะเสนอร่างนี้ให้กับที่ประชุมครม.พิจารณาเห็นชอบต่อไป 

ทั้งนี้ยืนยันว่า การเตรียมกู้เงินในครั้งนี้ ก็เพื่อตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ไม่ให้เกิน 30 บาทเนื่องจากน้ำมันดีเซล เป็นพื้นฐานของการดำเนินธุรกิจหากปล่อยให้มีราคาสูงเกินไปจะกระทบต่อผู้ประกอบการ ค่าขนส่ง ค่าสินค้าและบริการต่างๆ ซึ่งกระทรวงพลังงานจะควบคุมการใช้เงินกู้อย่างเข้มงวด และเป็นไปตามข้อกฎหมายที่กำหนดเอาไว้

คลังเล็งออกคนละครึ่งเฟส 4 ต้นปีหน้า 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ภายหลังจากกระทรวงการคลัง ได้เปิดให้ประชาชนให้ลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 ” ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ในวันนี้ (1 พ.ย.) เพื่อเก็บตกผู้ที่ลงทะเบียนไม่สำเร็จที่ผ่านมาจาก 28 ล้านสิทธิ มีจำนวน ทั้งสิ้น 119,974 สิทธิ นั้น ทราบว่าเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่เปิดให้สามารถลงทะเบียนได้ตอนนี้สิทธิเต็มครบจำนวนแล้ว ล่าสุดกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและความเหมาะสมของโครงการคนละครึ่งเฟส 4 ในช่วงต้นปี 2565 

ทั้งนี้ต้องดูสถานการณ์อีกที โดยพล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม มีนโยบายแผนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว คู่ขนานไปกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 เน้นความปลอดภัยของประชาชนเป็นที่ตั้งอย่างแน่นอน โดยโครงการคนละครึ่ง ถือว่าเป็นโครงการที่ครองใจประชาชนมากที่สุด เพราะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในแต่ละวันได้ ช่วยประคับประคองการบริโภค ทำให้ประชาชนมีการวางแผนการใช้จ่ายดีขึ้น ได้รับการตอบรับที่ดี พิสูจน์ได้ว่า ประชาชนมีการนำเงินออกมาใช้จ่าย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ประชาชน ร้านค้า ได้ประโยชน์ร่วมกันหมด แสดงถึงความสำเร็จของมาตรการที่นายกรัฐมนตรีพยายามดำเนินการเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน

‘Toyota’ เปิดตัว ‘bZ4X’ รถไฟฟ้าล้วนคันแรก ชาร์จเพียง 1 ครั้ง วิ่งไกล 500 กิโลเมตร

เมื่อไม่นานมานี้โตโยต้าญี่ปุ่นเพิ่งเปิดตัวรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นรถ SUV BEV แพลตฟอร์มในชื่อรุ่น ‘bZ4X’ รถไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ โดยในการชาร์จ 1 ครั้ง สามารถวิ่งได้ระยะทางไกลกว่า 500 กิโลเมตร และทางโตโยต้าตั้งเป้าเตรียมขายในกลางปี 2022 นี้ 

โดยรถยนต์รุ่นนี้ถือเป็นรุ่นแรกของตระกูล ‘bZ’ หรือ ‘beyond Zero’ อันประกอบไปด้วยเทคโนโลยีและการออกแบบล้ำสมัยมากมาย ที่โตโยต้าจะนำมาใช้ครั้งแรกกับรถตระกูล bZ ภายใต้แนวคิด ‘activity hub’ ที่เป็นเสมือนสายใย ให้ผู้โดยสารทุกคนสามารถแบ่งปันช่วงเวลาและพื้นที่ ที่สนุกสนานร่วมกันได้บนรถยนต์ไฟฟ้าสุดล้ำคันนี้

นอกจากนี้ทางบริษัทยังตั้งเป้าที่จะสร้างรถยนต์ที่ท้าทายนวัตกรรมใหม่ในแต่ละด้าน ไม่ว่าจะเป็นสไตล์การตกแต่งภายใน ความรู้สึกในการขับขี่ รวมไปถึงสมรรถนะในการขับขี่ เพื่อให้ผู้โดยสารได้สัมผัสประสบการณ์สุดล้ำนี้ผ่านเจ้ารถตระกูล ‘bZ’ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top