Monday, 29 April 2024
ECONBIZ NEWS

รัฐบาลเดินหน้าลุยต่อภูเก็ตโมเดล เปิดรับนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนัก ด้าน ‘สุพัฒนพงษ์’ เผยมีเงินเพียงพอ เยียวยาตามมาตรการรัฐ ไม่ต้องกู้เพิ่ม เตรียมกดรับสิทธิ์ แพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ พ.ค.นี้

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เรียกทีมเศรษฐกิจหารือบนตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพื่อหามาตรการเยียวยาช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดโควิด 19 รอบที่ 3 เพิ่มเติม ซึ่งจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด รวมถึง แผนการเปิดประเทศภูเก็ตโมเดล ว่า ที่ประชุมได้หารือ ถึงการเปิดรับนักท่องเที่ยวที่ จ.ภูเก็ต ซึ่งจะดำเนินการตามแผนเดิม คือ วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 เนื่องจากความต้องการท่องเที่ยวยังไม่ลดลง โดยจะเน้นการท่องเที่ยวจากประเทศระยะไกล และเชื่อว่าการแพร่ระบาดโควิด 19 ไทยระลอกนี้ไม่ส่งผลต่อนักท่องเที่ยว เพราะจากมาตรการของรัฐบาล รวมถึงการดูแลสุขภาพของประชาชนจะทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงเรื่อย ๆ ซึ่งระบบสาธารณสุขของไทยได้เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า รัฐบาลยืนยันเดินหน้าโครงการช่วยเหลือประชาชนในแพ็คเกจเดิม อาทิ โครงการเราชนะ คนละครึ่ง ม.33 เรารักกัน หรือแม้แต่ มาตรการใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นมา คือเราผูกพัน ที่จะช่วยเหลือข้าราชการ อีกทั้งเตรียมมาตรการดึงเงินฝากที่มีอยู่ 5-6 แสนล้านบาท ออกมาใช้จ่าย ซึ่งกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณา และคาดว่าปลายเดือนพฤษภาคมจะดำเนินการเรียบร้อย และประกาศใช้ในเดือนมิถุนายนนี้

พร้อมยืนยันรัฐบาลได้มีการจัดสรรคงบประมาณไว้ช่วยเหลืออย่างเพียงพอ ไม่จำเป็นต้องกู้เพิ่ม เพราะงบประมาณที่กู้ยังเพียงพอ และยังเดินหน้าดึงดูดนักลงทุน แต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดโดยช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นผล ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน

ผู้สื่อข่าวถามว่าการระบาดในระลอกนี้จะส่งผลกระทบต่อจีดีพีของประเทศหรือไม่ นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ขอประเมินสถานการณ์ในช่วงเดือนนี้ก่อน ถ้าหากสถานการณ์สามารถควบคุมได้ในสิ้นเดือนนี้ ก็หาทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป ทั้งนี้ส่วนตัวเชื่อว่า หลังมีมาตรการยกระดับควบคุมการแพร่ระบาดใน 14 วันนี้ สถานการณ์จะดีขึ้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความร่วมมือจากทุกคน

พร้อมยอมรับว่า ที่ผ่านมาเราเตรียมการควบคุมไว้ แต่บังเอิญเกิดความประมาทเสียเอง ซึ่งหากถ้าควบคุมสถานการณ์ได้ การฉีดวัควีนในเดือน พฤษภาคมและมิถุนายน ก็จะเป็นไปตามแผน และน่าจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น โดยที่เราทำตัวเราเอง จนเกิดเหตุการณ์ขึ้นจากคนกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่ใช่เฉพาะคลับทองหล่อเท่านั้น แต่ยังมีภาพที่เกิดขึ้น พื้นที่ จ.ภูเก็ต ที่เห็นภาพนักท่องเที่ยวไม่สวมหน้ากากอนามัย เดินท่องเที่ยวชายหาด ซึ่งส่วนตัวเสียดายที่ไม่มีการป้องกันดูแลตัวเองตามนโยบายของรัฐบาล เพราะ จ.ภูเก็ตคือตัวแทนประเทศไทยในการเปิดประเทศ โดยยืนยันนายกรัฐมนตรีแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ ที่จะเร่งรัดหาวัคซีนอย่างเต็มที่ โดยที่ทุกคนจะได้ฉีดวัคซีนอย่างครอบคลุม


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

.

ผู้ว่าการ กนอ.คนใหม่ ! การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ลงนามในสัญญาจ้าง ‘วีริศ อัมระปาล’ นั่งแท่น ผู้ว่าการ กนอ.คนใหม่ เดินหน้าสานต่อโครงการเมกะโปรเจกต์ขับเคลื่อนงานตามนโยบายรัฐบาล

นายนรินทร์ กัลยาณมิตร ประธานคณะกรรมการ กนอ. (บอร์ด กนอ.) เปิดเผยว่า กนอ. จัดพิธีลงนามสัญญาจ้างผู้ว่าการ กนอ.คนใหม่ ในวันที่ 20 เม.ย. 64 หลังคณะกรรมการสรรหามีมติเป็นเอกฉันท์เลือก นายวีริศ อัมระปาล ขึ้นเป็นผู้ว่าการ กนอ. ซึ่งภายหลังการเจรจาเรื่องค่าตอบแทนและสัญญาจ้างแล้ว ได้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยคณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ.2564 เห็นชอบแต่งตั้ง นายวีริศ อัมระปาล ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ กนอ. คนใหม่ ทั้งนี้ นายวีริศฯ จะเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการ กนอ. ตามเงื่อนไขและสัญญาจ้างที่มีต่อ กนอ. โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน พ.ศ.2564 เป็นต้นไป

นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวต่อว่า ในส่วนของโครงการสำคัญต่างๆ ที่เตรียมส่งมอบให้กับผู้ว่าการ กนอ.คนใหม่สานต่อ โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจกต์ที่กนอ.ขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาล ประกอบด้วย

1.) โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม smart park โดยการดำเนินงานขั้นต่อไปคือการก่อสร้างโครงการและเปิดดำเนินการภายในปี 2567 และดำเนินการตามแผนธุรกิจที่วางไว้

2.) โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 ซึ่งในการดำเนินงานขั้นต่อไปคือการกำกับดูแลภาคเอกชนคู่สัญญา งานขุดลอกและถมทะเล งานก่อสร้างท่าเรือก๊าซ รวมทั้งการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 ช่วงที่ 2 ซึ่งก็คือการคัดเลือกเอกชนและประกาศเชิญชวนเอกชนเพื่อลงนามในสัญญาร่วมทุนโครงการ

3.) การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน คือ การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว และการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสงขลา ที่ต้องมีมาตรการส่งเสริมการจองเช่า/ซื้อที่ดิน เพื่อกระตุ้นยอดขาย/เช่าในพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมทั้งสองแห่ง รวมทั้งการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสงขลา ระยะที่ 2

และ 4.) การพัฒนานิคมและท่าเรืออุตสาหกรรมเข้าสู่การเป็นนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอัจฉริยะ (Smart Eco) ที่การดำเนินงานขั้นต่อไป คือ การจัดทำแผนแม่บทที่จะดำเนินการให้เป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ และการที่นิคมอุตสาหกรรมต้องได้รับรองการเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในระดับ Eco-Champion Eco-Excellence และ Eco-World Class เพิ่มขึ้นอย่างน้อยจำนวน 36 นิคมฯ เข้าสู่การเป็นนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ภายในปี 2565

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐมุ่งส่งเสริมการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนำเทคโนโลยีเครือข่ายอัจฉริยะ 5G มาประยุกต์ใช้ตามแผนพัฒนาการบริหารและการดำเนินงานของนิคมอุตสาหกรรม ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กนอ. ทั้ง 14 แห่ง โดยตั้งเป้าให้ทุกนิคมอุตสาหกรรมก้าวสู่การเป็นนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ (Smart Industrial Estate) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่การปฏิวัตินิคมอุตสาหกรรม และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทย และสร้างประโยชน์ให้กับภาคเศรษฐกิจในระยะยาวได้


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

หอการค้าไทย ถกซีอีโอธุรกิจไทย กว่า 40 บริษัท วางแผนช่วยรัฐกระจายวัคซีน หลังพบคนไทยได้ฉีดวัคซีนต่ำมาก เพียง 0.4% เท่านั้น ลุ้นเป้ากรุงเทพฯ ได้ฉีด 70% ในปี 64 หรืออย่างน้อย 50,000 โดสต่อวัน

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ.2564 นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทยจัดการประชุมระหว่างหอการค้าไทยกับประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของบริษัทใหญ่กว่า 40 บริษัท จากทุกกลุ่มธุรกิจของไทยผ่านระบบประชุมทางไกล เพื่อร่วมกันวางแผนการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของภาคเอกชน และต้องจัดหาวัคซีนทางเลือกให้เพียงพอ โดยสนับสนุนภาครัฐให้สามารถเปิดประเทศได้อย่างรวดเร็ว เพื่อความปลอดภัยและขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวนโยบายหลัก ภารกิจ 99 วันแรกของการทำงานในหอการค้า ที่ต้องมีการ Connect the dots คือ ดึงความร่วมมือจากทุกฝ่าย ให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้

อย่างไรก็ตาม วัคซีนล็อตใหญ่ที่จะเริ่มเข้ามาตั้งแต่เดือนมิถุนายนนี้ จะต้องมีการเตรียมตัว และวางแผนการกระจายวัคซีนให้มีประสิทธิภาพ ดังนั้น หอการค้าไทยและเครือข่ายภาคเอกชน จะช่วยสนับสนุนภาครัฐในการกระจายวัคซีนที่ภาครัฐจัดซื้อมา ให้เกิดประสิทธิภาพและทั่วถึงมากที่สุด โดยจะเริ่มที่ กทม.ก่อน เพื่อเป็นตัวอย่างให้จังหวัดอื่น ๆ พร้อมสนับสนุนให้เอกชนมีส่วนร่วมในการเจรจาซื้อวัคซีนทางเลือกเพิ่มเติม

“หอการค้าไทยตั้งเป้าหมายว่า ภายในปี 2564 ต้องบรรลุเป้าหมายการฉีดวัคซีนในกรุงเทพฯ 70% โดยบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นด่านหน้าของ กทม. ต้องได้รับการฉีดทั้งหมด 100% ภายในสิ้นเดือนมิถุนายน ส่วนการฉีดวัคซีนสำหรับประชาชนทั่วไปในกรุงเทพฯ ต้องให้ได้อย่างน้อย 50,000 โดสต่อวัน โดยภาคเอกชนจะเข้ามาเสริมการทำงานของภาครัฐเพื่อให้ได้เป้าหมายดังกล่าว พร้อมกันนั้น จะจัดทำรูปแบบมาตรฐาน หรือรูปแบบตัวอย่างของภาคเอกชนที่สนับสนุนการฉีดวัคซีน ให้กับจังหวัดอื่น ๆ ภายในสิ้นเดือนเมษายนนี้ และเชื่อมั่นว่า ภาคเอกชนสามารถใช้ความถนัด ความเชี่ยวชาญ และทรัพยากรของพวกเราเพื่อประเทศได้ ” นายสนั่น กล่าว

ทั้งนี้ หอการค้าไทยและเครือข่าย จะแบ่งงานออกเป็น 4 ทีม เพื่อสนับสนุนการฉีดวัคซีน ได้แก่

TEAM A: Distribution and Logistics ทีมสนับสนุนการกระจายและฉีดวัคซีน ช่วยสนับสนุน สถานที่ บุคลากร อาสาสมัคร และอุปกรณ์ IT เช่น คอมพิวเตอร์ ปริ๊นเตอร์ เครื่องอ่านบัตรประชาชน ให้ กทม. เพิ่มจากโรงพยาบาลรัฐและเอกชน ซึ่งตอนนี้ได้มีการเตรียมและไปลงพื้นที่สำรวจกับ กทม. แล้วในระยะแรก จำนวน 10 พื้นที่ใน กทม. ที่เอกชนจะนำร่อง เช่น กลุ่มเซ็นทรัล , SCG , เดอะมอลล์ , สยามพิวรรธน์ , เอเชียทีค , โลตัส , บิ๊กซี , ทรูดิจิตัลพาร์ค เป็นต้น โดยจะสรุปกับ กทม. ภายในวันที่ 27 เมษายนนี้ และในระยะถัดไปจะมีการหารือในการจัดทำหน่วยฉีดวัคซีนเคลื่อนที่ไปยังจุดต่าง ๆ เพื่อลดการเคลื่อนย้ายของประชาชน

TEAM B: Communication ทีมการสื่อสาร เพื่อให้ประชาชนเข้าใจและมาฉีดวัคซีนในสถานที่ที่พร้อม เพราะปัจจุบันหลายคนยังไม่เข้าใจเรื่องการฉีดวัคซีน หลายคนไม่ยอมฉีด ดังนั้น ต้องทำความเข้าใจให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ทั้งนี้ ภาครัฐจะทำระบบ “หมอพร้อม” เสร็จสิ้นในเดือนนี้ ซึ่งจะสามารถระบุสถานที่ต่าง ๆ ที่ลงทะเบียนฉีดวัคซีน การจัดคิวการฉีดที่ไม่หนาแน่น หรือลำดับการฉีดที่เหมาะสม โดยได้รับการสนับสนุนจากหลายบริษัท เช่น Google, LINE , Facebook , VGI และ Unilever เป็นต้น

TEAM C: IT Operation ทีมเทคโนโลยีและระบบ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพการลงทะเบียน ขั้นตอนในการฉีดที่รวดเร็ว และมีระบบการติดตามตัว พร้อมสามารถออกใบรับรองการฉีดวัคซีนได้ โดยมีหลายบริษัท นำทีมโดย IBM เข้ามาสำรวจและปรับปรุงกระบวนการ

TEAM D: Extra Vaccine procurement ทีมจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม ร่วมกับภาครัฐและเครือข่ายโรงพยาบาลเอกชน โดยจะไปสำรวจความต้องการฉีดวัคซีนทางเลือกเพิ่มเติม เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของรัฐบาล และทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็วมากขึ้น นำโดยสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งในวันนี้ได้มีการหารือกันแล้ว ประเมินว่ายังต้องการวัคซีนทางเลือกเพิ่มเติมอีก 30 ล้านโดส เพื่อให้ครอบคลุม 70% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งวัคซีนทางเลือก ได้แก่

1.) ประเทศสหรัฐอเมริกา วัคซีน Moderna และ Pfizer

2.) ประเทศจีน วัคซีน Sinopharm และ CanSino Biologics

3.) ประเทศอินเดีย วัคซีน COVAXIN จากบริษัท Bharat Biotech

และ 4.) ประเทศรัสเซีย วัคซีน Sputnik V ซึ่งภาคเอกชนยินดีที่จะจ่ายค่าวัคซีนให้กับพนักงานของบริษัทรวมแล้วเกือบ 1 ล้านราย เพื่อแบ่งเบาภาระให้กับรัฐบาล

“ผลสรุปจากการประชุม CEO ทุกบริษัทเห็นตรงกันว่าขณะนี้ประเทศไทยได้รับการฉีดวัคซีนไปเพียง 0.4% ของประชากรเท่านั้น ซึ่งถือว่าล่าช้ามากสำหรับการที่จะเปิดประเทศที่จะต้องฉีดให้ได้ถึง 70% ของประชากร ภาครัฐจำเป็นต้องจัดหาวัคซีนให้เพียงพอกับทุกคน โดย CEO ทุกท่านพร้อมที่จะช่วยภาครัฐ ซึ่งหอการค้าไทยพร้อมที่จะเป็นตัวกลางในการ Connect the dots เพื่อฟื้นเศรษฐกิจไทย และเชื่อว่า หากคนไทยทุกคน ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมแรงร่วมใจ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จะทำให้ประเทศไทยของเราฝ่าวิกฤติ COVID-19 นี้ไปได้อย่างแน่นอน” นายสนั่น กล่าวทิ้งท้าย


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘คลัง’ ขอครม.เพิ่มงบ ‘เราชนะ’ อีก 3 พันล้านบาท ช่วยผู้ใช้สิทธิไม่มีสมาร์ทโฟนและติดเตียง หลังพบจำนวนผู้ใช้สิทธิสูงเกินคาดจาก 31 ล้านคน เป็น 33 ล้านคน พร้อมขยายระยะเวลาโครงการออกไปอีก 1 เดือน

เมื่อวันที่ 20 เม.ย.2564 นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (20 เม.ย.) นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอของบประมาณจำนวน 3 พันล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการ เราชนะ เพิ่มเติม เนื่องจาก มีจำนวนผู้ใช้สิทธิเพิ่มจากที่คาดการณ์ไว้จากกว่า 31 ล้านคน เป็นราว 33 ล้านคน

นอกจากนี้ ยังเสนอขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการเป็นสิ้นสุด มิ.ย. จาก พ.ค.นี้ เพื่อรองรับการใช้สิทธิของกลุ่มที่ได้รับสิทธิใหม่ โดยกลุ่มผู้ได้รับสิทธิใหม่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟนและป่วยติดเตียง

"เดิมเราคาดการณ์จำนวนผู้ใช้สิทธิเราชนะที่ประมาณ 31 ล้านคน แต่ขณะนี้ มีผู้ใช้สิทธิมากกว่านั้น เราคาดว่า จะเพิ่มเป็น 33 ล้านคน จึงเสนอคณะรัฐมนตรีเพิ่มวงเงินเพื่อรองรับการใช้จ่ายดังกล่าว"

สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่นั้น กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งจะดำเนินการหลังสิ้นสุดโครงการเราชนะแล้ว อาจจะเป็นโครงการที่เคยดำเนินการไปแล้วในระยะที่ผ่านมาและจะมีโครงการใหม่เพิ่มเติมด้วย


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แจ้งราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศระเบียบคณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย. 2564

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แจ้งว่า ขณะนี้ราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศระเบียบคณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ว่าด้วยมาตรฐานการประกอบธุรกิจนำเที่ยวและมาตรฐานการปฏิบัติหน้าที่ของมัคคุเทศก์ ที่พึงปฏิบัติต่อนักท่องเที่ยวภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พ.ศ.2564 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย. 2564 เป็นต้นไป

สำหรับสาระสำคัญมาตรฐานนี้ กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวที่ให้บริการนำเที่ยวกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 63 ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนด คือ ให้บริการนำเที่ยวนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ผ่านมาตรการกักตัวตามระยะเวลาและในสถานที่ที่รัฐกำหนด และต้องได้รับการรับรองมาตรฐาน SHA และต้องมีระบบการควบคุมการเดินทางของนักท่องเที่ยวในระหว่างที่มีการให้บริการนำเที่ยว หรือแทรคกิ้ง ด้วย

ขณะเดียวกันยังกำหนดให้มีการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายนักท่องเที่ยวก่อนขึ้นรถ หากพบว่ามีอุณหภูมิร่างกายเท่ากับหรือมากกว่า 37.5 องศาเซลเซียส ขึ้นไป หรือมีอาการไข้ ไอ จาม มีน้ำมูก หรือเหนื่อยหอบ ให้รีบแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งต่อไปยังสถานพยาบาลทันที จัดบริการเจลแอลกอฮอล์สำหรับฆ่าเชื้อให้กับนักท่องเที่ยวสำหรับพกติดตัวขณะท่องเที่ยว โดยอย่างน้อยให้มี 1 คน ต่อหนึ่งขวดหรือหนึ่งหลอด พร้อมมีการจัดเตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาด สำหรับนักท่องเที่ยวให้เพียงพอตลอดรายการนำเที่ยว เช่น เจลล้างมือที่มีแอลกอฮอล์อย่างน้อย 70% ขึ้นไป หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย สบู่เหลวล้างมือ

รวมทั้งกำหนดให้มัคคุเทศก์สื่อสารกับนักท่องเที่ยวเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงการแพร่กระจายเชื้อขณะนำเที่ยว ส่วนมัคคุเทศก์ ผู้ช่วยมัคคุเทศก์ พนักงานขับรถและนักท่องเที่ยวทุกคนต้องสวมหน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัยทุกครั้งขณะปฏิบัติหน้าที่หรือขณะท่องเที่ยว พร้อมทำความสะอาดและอาจฆ่าเชื้อด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อบนยานพาหนะนำเที่ยวทุกวัน และทุกครั้งหลังจากใช้บริการเสร็จสิ้น โดยเน้นจุดสัมผัสร่วม เช่น ราวบันได ที่พักแขน พนักพิง ราวจับ เบาะนั่ง หน้าต่าง ส่วนเครื่องดื่มหรืออาหารว่างสำหรับนักท่องเที่ยวต้องจัดเก็บอย่างเหมาะสมต้องมีถังขยะมีฝาปิดหรือถุงขยะสภาพดีสำหรับแยกทิ้งขยะที่เหมาะสมและเพียงพอ และมีการเก็บรวมขยะโดยมัดปากถุงให้มิดชิดเพื่อส่งไปกำจัดอย่างถูกต้อง


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ธนาคารแห่งประเทศไทย เตรียมปล่อยกู้สินเชื่อซอฟต์โลน และโครงการพักหนี้ตั้งแต่วันที่ 26 เม.ย.นี้

นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 26 เม.ย.นี้เป็นต้นไป ธปท.จะเริ่มให้สถาบันการเงินมาขอเงินกู้ ตาม พ.ร.ก.ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดโควิด-19 ทั้ง มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (สินเชื่อฟื้นฟู) และมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ (โครงการพักทรัพย์ พักหนี้) วงเงินรวม 3.5 แสนล้านบาท เพื่อนำไปปล่อยกู้ภาคธุรกิจต่อ หลังจากได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.64

ล่าสุด ธปท. ได้ออกประกาศจำนวน 2 ฉบับ เพื่อกำหนดขอบเขตคุณสมบัติของผู้ประกอบธุรกิจที่สามารถเข้าร่วมโครงการ หลักการ และเงื่อนไขที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจภายใต้ พ.ร.ก. ดังกล่าว โดยกระทรวงการคลังและ ธปท. ได้เตรียมความพร้อมกับสถาบันการเงิน เพื่อให้สามารถกระจายเม็ดเงินไปสู่ลูกหนี้ได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ ขอให้สถาบันการเงินรับคำขอเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือจากลูกหนี้ได้ตั้งแต่ พ.ร.ก. ฟื้นฟูฯ มีผลบังคับใช้ นอกจากนี้ ลูกหนี้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ ธปท. และติดต่อสถาบันการเงินที่ใช้บริการได้ทันที


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม ""บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!"" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

สศช.ชี้โควิด ทำกระทบคน 1.13 ล้านครัวเรือนเสี่ยงตกเป็นคนจน

นางสาวจินางค์กูร โรจนนันต์ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า สศช. ประเมินว่าการระบาดของไวรัสโควิด-19 จะกระทบต่อครัวเรือนที่มีความเสี่ยงต่อการตกเป็นคนจน 1.13 ล้านครัวเรือน มากถึง ทั้งกลุ่มครัวเรือนที่พึ่งพิงรายได้จากเงินช่วยเหลือจากบุคคลอื่นภายนอกครัวเรือน ประมาณ 6.37 แสนครัวเรือน, กลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้จากการทำงานลดลงมาก 4.5 แสนครัวเรือน เช่น ทำงานในภาคการท่องเที่ยว และครัวเรือนที่ประกอบอาชีพอิสระ และกลุ่มครัวเรือนเกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกิน หรือมีที่ดินทำกินน้อย ประมาณ 4.9 หมื่นครัวเรือน 

ส่วนตัวเลขความยากจนจากผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการจ้างงาน ทำให้คนยากจนมีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยเมื่อใช้เส้นความยากจนในปี 62 ที่ 2,763 บาทต่อคนต่อเดือน ประเมินจำนวนคนจนในไตรมาส 1 - 3 ของปี 2563 พบว่า ไตรมาส 1 ปี 63 คนยากจนจะมีจำนวนทั้งสิ้น 7.8 ล้านคนคิดเป็นสัดส่วนคนจนที่ 12.7% เพิ่มขึ้นจากปี 62 ที่มีจำนวนคนจนเพียง 4.3 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 6.4%  

ขณะที่ในไตรมาส 2 ปี 63 ซึ่งเป็นช่วงที่โควิดกระทบต่อไทยสูงสุด ส่งผลให้จำนวนคนยากจนเพิ่มขึ้นเป็น 9.1 ล้านคน หรือ 14.9% อย่างไรก็ตามภายหลังการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ที่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น จำนวนคนยากจนในไตรมาส 3 จึงปรับตัวลดลงมาที่ 7.2 ล้นคน หรือคิดเป็นสัดส่วนคนจนที่ 11.7% จากแนวโน้มนี้สะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์ความยากจนในปี 63 จะปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่จะไม่สูงมากนัก

กนอ. ปลื้ม! ผลงานลงทุนกลุ่มยานยนต์-การขนส่ง พุ่ง 1 แสนล้านบาท

วันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2564 นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เผยผลประกอบการช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 (ต.ค.63 - มี.ค.64) มีมูลค่าการลงทุนรวมอยู่ที่ 106,146.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 78,758.09 ล้านบาท ที่ทำได้ 27,388.47 ล้านบาท หรือคิดเป็น 287.56% เป็นผลจากการแจ้งเริ่มประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมในช่วง 1 ถึง 2 ปีที่ผ่านมา ที่ยังคงมีการลงทุนต่อเนื่องและขยายการลงทุนเพิ่ม ชี้ให้เห็นว่านักลงทุนยังคงมีความต้องการขยายการลงทุนอีกมากโดยเฉพาะในอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์และการขนส่ง , เหล็กและผลิตภัณฑ์โลหะ , กลุ่มยาง พลาสติกและหนังเทียม , กลุ่มเครื่องยนต์ เครื่องจักรและอะไหล่ รวมถึงกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์  ที่ยังคงมีการลงทุนมากที่สุดในช่วง 2 ไตรมาสของปี 64 เช่นกัน ขณะที่มีการจ้างงานในนิคมอุตสาหกรรมประมาณ 4,655 คน ซึ่งลดลงกว่าปีก่อนหน้า 42% เนื่องจากโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมส่วนใหญ่มีการปรับเปลี่ยนโดยเริ่มนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตมากขึ้น

ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรม 5 อันดับแรกที่เป็นกลไกขับเคลื่อนการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม ประกอบด้วย อุตสาหกรรมยานยนต์และการขนส่ง 13.94% ยังคงครองแชมป์การลงทุน รองลงมาคืออุตสาหกรรมเหล็กและผลิตภัณฑ์โลหะ 11.69% อุตสาหกรรมยาง พลาสติก และหนังเทียม 7.95% อุตสาหกรรมเครื่องยนต์ เครื่องจักรและอะไหล่ 7.2% อุตสาหกรรมปุ๋ย สีและเคมีภัณฑ์ 5.99 % โดยนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นได้ให้ความสนใจมาลงทุนมากเป็นอันดับ 1 ถึง 37.36% รองลงมาคือนักลงทุนจากประเทศจีน 8.16 % อเมริกา 6.79 % สิงคโปร์ 6.78 % และไต้หวัน 4.11 %

“สำหรับการขาย/ให้เช่าที่ดินในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 64 ในภาพรวมประมาณ  473.75 ไร่ ซึ่งลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผู้ประกอบการซื้อ/เช่าประมาณ 1,398.84 ไร่ คิดเป็น 66.13% แบ่งเป็นการขาย/เช่าในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) 394.42 ไร่ และนอกพื้นที่อีอีซี 79.33 ไร่ ซึ่งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แม้ในภาพรวมจะชะลอการลงทุนอยู่บ้าง เนื่องมาจากการระงับเดินทางข้ามประเทศชั่วคราว แต่ความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ด้วยระบบโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม และสามารถจูงใจการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมได้”  นางสาวสมจิณณ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในปี 64 กนอ.มีแนวทางยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับนักลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมและท่าเรืออุตสาหกรรมให้สามารถขับเคลื่อนภาคการผลิต โดยเพิ่มศักยภาพการให้บริการระบบสาธารณูปโภค และสาธารณูปการในนิคมอุตสาหกรรม ที่ตั้งเป้าให้ทุกนิคมก้าวสู่นิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ โดยการนำเทคโนโลยี 5G มาประยุกต์ใช้ให้ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเชื่อมโยงข้อมูล การขับเคลื่อนการบริหารจัดการระบบสาธารณูปโภค รวมถึงบริการต่าง ๆ ในนิคมอุตสาหกรรม

อธิบดีกรมสรรพสามิต ชี้! ยังไม่ถึงเวลาเหมาะสม จัดเก็บภาษีใหม่ หวั่นซ้ำเติมประชาชน

วันที่19 เมษายน พ.ศ.2564 นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ยืนยันว่าจะยังไม่มีการจัดเก็บภาษีใหม่ ๆ ในช่วงนี้ เนื่องจากยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะเศรษฐกิจยังได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ดังนั้นการออกภาษีใหม่ ๆ จึงยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะ โดยขณะนี้กระทรวงการคลังและรัฐบาลได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการใช้มาตรการภาษีในการเอื้อต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมากกว่า

สำหรับความคืบหน้าเกี่ยวกับการปฏิรูปโครงสร้างภาษี ที่กระทรวงการคลังได้รับนโยบายจากรัฐบาลมานั้น แต่ละกรมจัดเก็บรายได้ คือ กรมสรรพากร กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิตอยู่ระหว่างดำเนินการ ในส่วนของกรมสรรพสามิตนั้นได้ดำเนินการศึกษาแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างภาษีที่เกี่ยวข้องในทุกมิติ ไม่ใช่แค่การจัดเก็บรายได้เท่านั้น แต่ได้พิจารณาในทุกเรื่อง ภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องปฏิรูปโครงสร้างภาษีออกมาให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และตอบโจทย์ภารกิจของกรมสรรพสามิต

“กรมฯ กำลังดำเนินการอยู่ ต้องดูในทุกมิติ ไม่ใช่แค่การออกพิกัดอัตราภาษีใหม่เท่านั้น แต่ต้องดูให้ครอบคลุมรวมไปถึงภาษีที่จัดเก็บอยู่แล้วก็ต้องทำให้ดี มีประสิทธิภาพมากขึ้น ต้องดูในภาพที่ใหญ่ขึ้นว่าจะต้องดำเนินการในส่วนไหนบ้าง เช่น ภาษีบาปที่ยังมีช่อง ก็ไปศึกษาดูว่าจะดำเนินการอย่างไร ส่วนภาษีใหม่ ๆ ที่มีการเสนอ เช่น ภาษีเครื่องใช้ไฟฟ้า และภาษีจากความเค็ม ทีมกำลังทำการบ้านอยู่ มีความคืบหน้า ข้อมูลทั้งหมดมีอยู่แล้ว แต่อยากขอเวลาทำงานให้รอบคอบมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่ายังมีเวลาเพราะช่วงโควิด และช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวแบบนี้คงไม่เหมาะหากจะออกภาษีใหม่ ๆ มาใช้ ทุกอย่างยังมีเวลา อยากศึกษาให้ดีและรอบคอบก่อน” นายลวรณ กล่าว

นอกจากนี้ กรมสรรพสามิตเตรียมพิจารณาขยายเวลาเลื่อนการปรับขึ้นอัตราภาษีความหวานตามขั้นบันไดไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากผู้ประกอบการได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ส่วนจะขยับไปนานเท่าไหร่นั้น คงเป็นเรื่องที่ฝ่ายนโยบายจะพิจารณาอีกที

นายลวรณ กล่าวอีกว่า ภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตในช่วง 6 เดือนของปีงบประมาณ 2564 (ต.ค.63 - มี.ค.64) ถือว่าทำได้ในระดับที่น่าพอใจ จากอานิสงส์ของการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์และภาษีเบียร์ที่ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้มั่นใจว่าภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของกรมฯ ในปีงบประมาณ 2564 จะทำได้สูงกว่าเป้าหมายของกระทรวงการคลัง และสูงกว่าการจัดเก็บในปีงบประมาณก่อนหน้าแน่นอน

ทั้งนี้ ยังต้องติดตามภาพรวมการจัดเก็บรายได้ในช่วง 6 เดือนหลังของปีงบประมาณ 2564 ด้วย หากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อการเดิน การบริโภคและใช้จ่ายมากขึ้น ก็จะส่งผลดีกับรายได้จากภาษีน้ำมันที่จะกลับมาฟื้นตัวได้ดีมาก ๆ และจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการจัดเก็บรายได้ในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2564 ซึ่งการจัดเก็บรายได้จากภาษีน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 2.3 แสนบาทต่อปี

อย่างไรก็ดี ในส่วนของการพิจารณาโครงสร้างภาษีกัญชานั้น กรมสรรพสามิตมองว่ายังมีเวลาในการศึกษาแนวทางดำเนินการให้รอบคอบ โดยยังต้องรอความชัดเจนจากฝ่ายนโยบายด้วยว่าจะกำหนดให้กัญชาไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ในระดับใด โดยปัจจุบันยังเป็นเพียงการนำมาใช้ในการทำอาหารปรุงสด หรือการเป็นเครื่องดื่ม ซึ่งไม่เสียภาษีสรรพสามิต แต่การที่กรมฯ จะเข้าไปจัดเก็บภาษีได้นั้น ก็ต่อเมื่อมีการนำกัญชามาบรรจุลงขวดหรือกระป๋อง จึงยังมีเวลาในการพิจารณาเรื่องนี้อยู่พอสมควร

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เดินหน้าโครงการ เตรียมความพร้อมผู้ประกอบการด้านการเงิน ผ่านหลักสูตร “SMEs รอบรู้เรื่องบัญชี วางแผนดี ขอสินเชื่อกี่ทีไม่มีพลาด” เพื่อให้ผู้ประกอบการได้เตรียมความพร้อมรับมือในทุกสถานการณ์ปัจจุบัน

นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) เปิดเผยว่า ดีพร้อม ได้พัฒนาหลักสูตร “SMEs รอบรู้เรื่องบัญชี วางแผนดี ขอสินเชื่อกี่ทีไม่มีพลาด” หลักสูตรออนไลน์ ภายใต้โครงการ เตรียมความพร้อมสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจใหม่ ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) หรือผู้ประกอบการที่ต้องการขยายธุรกิจ ให้มีโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และมีแผนงานที่ชัดเจนในการสร้างสภาพคล่องทางธุรกิจ ทั้งยังช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบและทราบถึงสุขภาพทางการเงินของกิจการได้ โดยเนื้อหาของหลักสูตร แบ่งออกเป็น 5 บทเรียน

ประกอบด้วย ความรู้บัญชีเบื้องต้น การบริการจัดการเงิน ตัวอย่างการวิเคราะห์ธุรกิจ ภาษีธุรกิจ และการจัดการสินเชื่อ ผ่านการบรรยายให้ความรู้ในรูปแบบออนไลน์จากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ โดยผู้ประกอบการสามารถเลือกเรียนได้ทุกที่และทุกเวลากรมส่งเสริมอุตสาหกรรมในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่ส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาผู้ประกอบการให้มีขีดความสามารถที่เพิ่มขึ้น รวมถึงเป็นสื่อกลางให้ผู้ประกอบการได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน

ดังนั้น ผู้ประกอบการจำเป็นจะต้องสร้างภูมิคุ้มกันด้านการเงินเพื่อรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบันซึ่งจากผลสำรวจเบื้องต้นพบว่า ผู้ประกอบการรายย่อย และกลุ่มผู้ประกอบขนาดกลางและขนาดย่อมและวิสาหกิจชุมชน ประสบปัญหาด้านการบริหารการเงินของธุรกิจและการขอสินเชื่อเป็นจำนวนมากซึ่งเป็นผลมาจากการขาดทักษะและองค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการบัญชีธุรกิจ ส่งผลให้ผู้ประกอบการบางส่วนมีหลักฐานทางบัญชียังไม่ชัดเจน ไม่สามารถระบุเส้นทางเข้าออกของรายได้ จึงพลาดการพิจารณาให้สินเชื่อ เพื่อนำเงินทุนมาพัฒนาและต่อยอดให้กับธุรกิจของตนได้เพียงพอ

นายณัฐพล กล่าวต่อว่า ดีพร้อม ในฐานะหน่วยงานที่อยู่เคียงข้างผู้ประกอบการและส่งเสริมในทุกมิติ ยังมีข้อแนะนำแนะนำ 6 ข้อที่ผู้ประกอบการต้องพัฒนาสร้างภูมิคุ้มกันด้านการเงินดังนี้

F: Financial Intelligence : ความรู้ความเข้าใจในข้อมูลการเงินที่จำเป็น คือ ต้องมีความรู้ด้านบัญชีพื้นฐาน เพื่อให้ทราบถึงตัวแปรต่าง ๆ ที่มีผลต่อสถานะทางการเงินของธุรกิจ รวมทั้งการบันทึกบัญชีให้เป็นปัจจุบัน เพื่อการวางแผนรับมือ หรือเผชิญวิกฤตการณ์ทางการเงินได้ทันท่วงที

I : Investment : การลงทุนที่เหมาะสม ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งนี้นอกจากการลงทุนในเครื่องจักรกลเพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตแล้ว ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญกับการลงทุนกับคน หรือ บุคลากรในองค์กร ให้มีทักษะที่สามารถทำงานได้หลายรูปแบบ

N: New Normal Opportunity : โอกาสและความเสี่ยงในสถานการณ์ปกติใหม่ คือ ความเสี่ยงทางธุรกิจ และโอกาสทางธุรกิจ ที่ผู้ประกอบการต้องวิเคราะห์ในแผนการเงิน เนื่องจากภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 การดำเนินธุรกิจในรูปแบบเดิมจะเปลี่ยนไป อาจมีทั้งโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มมากขึ้นในบางประเภทของกิจการ อาทิ ธุรกิจเครื่องมือแพทย์ ธุรกิจอาหาร ธุรกิจโลจิสติกส์และความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับกลุ่มธุรกิจที่อยู่นอกเหนือปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีพ อาทิ ธุรกิจบริการ ธุรกิจแฟชั่น และธุรกิจการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง

S: Statement for Loan : การเตรียมตัวเพื่อขอสินเชื่อ คือการเตรียมแผนธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ต้องแสดงให้สถาบันการเงินเห็นว่า ธุรกิจสามารถทำกำไร และมีหลักประกันทางธุรกิจที่มั่นคง พร้อมทั้งหลักฐานทางบัญชีที่แสดงถึงเส้นทางการเข้า-ออกของรายได้และรายจ่ายต่าง ๆ รวมทั้งแผนบริหารการเงินที่เหมาะสม

E: Earning / Cash Flow : ความเข้าใจด้านกำไรและกระแสเงินสด คือ ผู้ประกอบการจำเป็นจะต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ทางการเงินของธุรกิจในทุกด้านให้มีความพร้อม ซึ่งกระแสเงินสดถือเป็นปัจจัยหลัก เพราะหากมีกระแสเงินสดเพียงพอ ผู้ประกอบการสามารถใช้กลยุทธ์เพื่อสร้างกำไรให้กับสินค้าและบริการ แต่หากไม่เพียงพอ อาจจำเป็นต้องจัดโปรโมชั่นเพื่อให้มีเงินสดเข้าสู่บัญชีเพิ่มขึ้น แต่มีผลกำไรที่ลดลง

R: Re-Check : การตรวจสอบแผนการเงิน เพื่อให้ทราบถึงจุดแข็ง-จุดอ่อน และทราบถึงปัจจัยเสี่ยง ของแผนการเงิน รวมทั้งการวางแผนสำรองเพื่อรองรับสถานการณ์ต่าง ๆ อันแสดงถึงความรอบครอบและความพร้อมของผู้ประกอบการ

“นอกจากความรู้ด้านการเงินผู้ประกอบการจำเป็นจะต้องหาแนวทางเพื่อเพิ่มรายได้ของธุรกิจลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น และปรับแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงการคาดการณ์อนาคตให้รอบคอบ เพื่อที่จะช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจได้อีกทางหนึ่ง” นายณัฐพล กล่าวทิ้งท้าย

ผู้ประกอบการที่ต้องการพัฒนาทักษะด้านการเงินสามารถลงทะเบียนหลักสูตร “SMEsรอบรู้เรื่องบัญชี วางแผนดี ขอสินเชื่อกี่ทีไม่มีพลาด” ผ่านเว็บไซต์ https://www.dip-sme-academy.com/ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และข่าวดีสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่อยู่จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียงสามารถสมัครเข้าอบรมเชิงปฏิบัติการ หลักสูตรเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการด้านการเงิน (วันที่ 29-30 เมษายน พ.ศ.2564) โดยเนื้อหาในหลักสูตรจะสอนตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนการขอสินเชื่อธุรกิจ ตลอดจนการเขียนแผนธุรกิจเพื่อใช้ประกอบการขอสินเชื่อ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อธุรกิจสมัครได้ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2564 ผ่านเว็บไซต์ https://i.industry.go.th/ ระบบลงทะเบียนลูกค้ากระทรวงอุตสาหกรรม เลือกลงทะเบียนกิจกรรม A664 กิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการด้านการเงิน (จ.เชียงใหม่) สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มสนับสนุนการจัดตั้งธุรกิจ กองส่งเสริมผู้ประกอบการและธุรกิจใหม่ โทรศัพท์ 0 2202 4564 หรือติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ www.facebook.com/dipindustry และ www.dip.go.th


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top