Friday, 26 April 2024
ECONBIZ NEWS

INFLUENCER TRIP BY PTT ก้าวผ่าน…สู่อนาคต

#บทพิสูจน์ความตั้งใจในการขยายระบบนิเวศEV
#ขับเคลื่อนทุกวิถีชีวิตด้วยพลังงานแห่งอนาคต

ถือเป็นอีกภารกิจใหญ่ของ ปตท. ในการเป็นอีกส่วนสำคัญเพื่อช่วยขับเคลื่อนประเทศ ด้วยการก้าวสู่เส้นทางธุรกิจแห่งอนาคตอย่าง ธุรกิจด้านพลังงานทางเลือกใหม่ เพื่อแก้ปัญหามลภาวะ และให้ความสำคัญกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) โดยล่าสุดได้มีการตอกย้ำความชัดเจนนี้อีกครั้ง ผ่านงาน INFLUENCER TRIP BY PTT ก้าวผ่าน…สู่อนาคต ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2565 ณ ปตท. สำนักงานใหญ่ ซึ่งงานนี้พร้อมเพรียงไปด้วยเหล่าบรรดา INFLUENCER มากมาย พร้อมบรรดาสื่อหลากแขนง ที่มารวมตัวพบปะภายในงาน เพื่อพูดคุยและนำพาสังคมไทยก้าวผ่านไปสู่อนาคตอันยิ่งใหญ่

ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา กลุ่ม ปตท. ให้ความสำคัญกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) อย่างมาก จึงเน้นให้มีการดำเนินธุรกิจด้วยการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน ตามเทรนด์หลักที่สำคัญของโลก 2 ด้าน คือ Go Green และ Go Electic ภายใต้วิสัยทัศน์ 'Poweiing Life with Future Energy and Beyond ขับเคลื่อนทุกชีวิตด้วยพลังแห่งอนาคต' 

โดยมุ่งสู่ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ไฟฟ้าและยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร รวมถึงต่อยอดนวัตกรรมและแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชน

ทั้งนี้ หากหันมามองด้านธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าที่กำลังได้รับความสนใจในระดับสากลนั้น กลุ่ม ปตท. เล็งเห็นแนวโน้มการใช้งานที่ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นทั้งในประเทศและภูมิภาค จึงมุ่งวางรากฐานขยายธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร (EV Value Chain) ให้ครอบคลุมในทุกมิติ เพื่อสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่สมบูรณ์ให้กับประเทศไทย รวมไปถึงโครงสร้างพื้นฐาน และการให้บริการแบบครบวงจรของยานยนต์ไฟฟ้า สนับสนุนให้คนไทยใช้พลังงานสะอาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) ในปี 2065

นั่นจึงทำให้ ปตท. จัดตั้ง บริษัท อรุณ พลัส จำกัด (ARUN PLUS) ขึ้น เพื่อรองรับการขยายฐานธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า และเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนา EV Ecosystem ทั้งของ ปตท. และของประเทศไทยให้ครบวงจร อีกทั้งทำหน้าที่ประสานการลงทุนกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ รวมถึงร่วมลงทุนกับพันธมิตรชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ อันจะช่วยสนับสนุนให้เกิดการใช้ EV อย่างแพร่หลายในประเทศไทย พร้อมทั้งขับเคลื่อนไทยให้เป็นฐานการผลิต EV

ขณะที่ บริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด (HORIZON PLUS) บริษัทร่วมทุนระหว่าง อรุณ พลัส และ บริษัท หลินยิ่ง อินเตอร์เนชั่นแนล อินเวสเมนท์ (Foxconn Technology Group) ที่ได้มีการจดทะเบียนก่อตั้งบริษัท JV ARUN PLUS ถือหุ้น 60% Foxconn 40% เกิดขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและประกอบรถยนต์ครบวงจรรูปแบบใหม่ด้วยเทคโนโลยี MIH Platform หรือ Open EV Platforn ซึ่งเป็นโครงช่วงล่างของตัวรถยนต์ไฟฟ้าที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับแต่งให้เข้ากับรถยนต์ได้หลายประเภท สามารถช่วยแบรนด์รถยนต์ลดค่าใช้จ่าย, ลดระยะเวลาในการพัฒนา และผลิตรถยนต์แต่ละรุ่นออกมาในราคาที่จับต้องได้ ซึ่งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของ HORIZON PLUS นี้ จะตั้งบนพื้นที่ 313 ไร่ ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ อำเภอหนองใหญ่ จังหวัด ชลบุรี เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) (คาดว่าแล้วเสร็จในปี 2024) เฟสแรกจะดำเนินการด้วยงบลงทุนประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับการก่อสร้างโรงงานคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมผลิต EV สู่ตลาดภายในปี 2567 ในระยะแรกมีกำลังการผลิตที่ 50,000 คัน/ 

ต่อมากับ 'ออน-ไอออน' (on-ion) ผู้ให้บริการธุรกิจสถานีอัดประจุสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Station) ภายใต้ บริษัท อรุณ พลัส จำกัด โดยมุ่งขยายเครือข่ายไปยังพื้นที่ทำเลศักยภาพ อาทิ ศูนย์การค้า, โรงแรม, อาคารสำนักงาน, ร้านอาหาร เป็นต้น และจะให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยเครื่องอัดประจุไฟฟ้าชนิดกระแสสลับ (AC Charger) รองรับรถยนต์ปลั๊ก- อิน ไฮบริด (Plug in Hybrid) และรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV Battery Electic Vehicle) ทุกรุ่น ทุกแบรนด์ที่มีหัวชาร์จ Type 2 โดยใช้งานผ่าน on-ion Mobile Application รองรับทั้งระบบ Android และ IOS ในการค้นหาสถานี ซึ่งปัจจุบัน on ion EV Charging Station เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้วที่...

ส่งออก 9 เดือนโตพุ่ง 10.6% โกย 7.5 ล้านล้านบาท อานิสงส์ 'โควิดซา - เปิดประเทศ - ค้าขายชายแดนคึกคัก'

‘จุรินทร์’ ปลื้มส่งออกไทย ก.ย.65 โต 7.8% มูลค่า 888,371 ล้านบาท เผยส่งออก 9 เดือนแรกปีนี้พุ่ง 10.6% ร่วม 7.5 ล้านล้านบาท ผลบวกโควิดคลี่คลาย-เปิดประเทศ ค้าชายแดนยังดี 9 เดือนแรก บวก 19.3% เกือบ 4.9 แสนล้านบาท คาดปีนี้โตทะลุเป้า

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยว่า ในเดือนก.ย.65 มีมูลค่า 24,919 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 7.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ตลาดคาดว่าจะขยายตัว 4.3.-4.4% ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 25,772 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 15.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้เดือนก.ย. ไทยขาดดุลการค้า 853.2 ล้านเหรียญสหรัฐ 

ส่วนในช่วง 9 เดือนปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.65) มูลค่าการส่งออกรวม อยู่ที่ 221,366 ล้านเหรียญสหรัฐ  ขยายตัว 10.6% มูลค่าการนำเข้ารวม อยู่ที่ 236,351 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 20.7% ส่งผลให้ไทย 9 เดือน ไทยขาดดุลการค้า 14,985 ล้านเหรียญสหรัฐ เชื่อว่า การส่งออกของไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จะขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ โดยคาดว่าทั้งปีนี้ การส่งออกของไทยจะขยายตัวได้ราว 8% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 4% มั่นใจว่าการส่งออกไตรมาส 4 ยังจะขยายตัวได้ดี และยังเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญทางเศรษฐกิจปีนี้ คาดว่าส่งออกจะโตได้เท่าตัวจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 4

สำหรับปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนให้การส่งออกของไทยในเดือน ก.ย.65 ยังขยายตัวได้ดีมาจาก 1.กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการใช้ชีวิตของประชาชน เริ่มกลับสู่ภาวะปกติหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย 2.ปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์เริ่มคลี่คลาย ทำให้การผลิตสินค้าที่มีชิปเป็นส่วนประกอบสามารถกลับมาผลิตได้ตามความต้องการของตลาด 3.เงินบาทที่อ่อนค่า ส่งผลดีต่อราคาส่งออกสินค้าเกษตรของไทย โดยเฉพาะสินค้าข้าว ซึ่งคาดว่าปีนี้จะสามารถส่งออกข้าวได้สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 7 ล้านตัน

โดยการส่งออกสินค้าในเดือนก.ย. เมื่อแยกเป็นรายกลุ่ม จะพบว่า สินค้าเกษตร กลับมาขยายตัวในรอบ 3 เดือน โดยขยายตัว 2.7% ที่มูลค่า 2,005 ล้านเหรียญ สินค้าเกษตรที่ขยายตัวได้ดี คือ ไก่สด แช่เย็นแช่แข็ง และแปรรูป, ผลไม้แช่แข็ง และผลไม้แห้ง, ข้าว สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร ยังขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 19 โดยขยายตัว 0.8% ที่มูลค่า 1,734 ล้านเหรียญ สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่ขยายตัวได้ดีคือ ไอศกรีม, อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป,น้ำตาลทราย และอาหารสัตว์เลี้ยง ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรม ยังขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 19 เช่นกัน โดยขยายตัว 9.4% ที่มูลค่า 20,234 ล้านเหรียญ สินค้าอุตสาหกรรมที่ขยายตัวได้ดีคือ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, อัญมณีและเครื่องประดับ, เครื่องใช้สำหรับเดินทาง, รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และส่วนประกอบ และเครื่องปรับอากาศ

ทั้งนี้ตลาดส่งออกสำคัญในเดือน ก.ย.นี้ ที่ขยายตัวได้ในระดับสูง 10 อันดับแรก คือ อันดับ 1 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ขยายตัว 70% อันดับ 2 สหราชอาณาจักร (อังกฤษ) ขยายตัว 51.5% อันดับ 3 ซาอุดีอาระเบีย ขยายตัว 36.7% อันดับ 4 CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ขยายตัว 26.3% อันดับ 5 สหรัฐอเมริกา ขยายตัว 26.2% อันดับ 6 สหภาพยุโรป ขยายตัว 18% อันดับ 7 ออสเตรเลีย ขยายตัว 15.5% อันดับ 8 แคนาดา ขยายตัว 10.6% อันดับ 9 อาเซียน (5) ขยายตัว 9% และอันดับ 10 ลาตินอเมริกา ขยายตัว 6.3%

เปิด 6 ยุทธศาสตร์ 'มาดามแอน' เจ้าของใหม่ MU ผู้สร้างอาณาจักรหมื่นล้านขึ้นได้ในช่วง 2 ทศวรรษ

หลังจากที่เป็นข่าวลือมานาน ในที่สุด 'แอน จักรพงษ์' หรือ 'จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์' ก็ได้นั่งแท่นเจ้าของเวทีมิสยูนิเวิร์ส (Miss Universe) คนใหม่อย่างเป็นทางการแบบ 100% เสียทีโดยสาวแอน หรือ 'แม่แอน' ได้ประกาศข่าวดีนี้ด้วยตัวเองผ่านเฟซบุ๊ก Anne Jakrajutatip ที่ทำเอาแฟนนางงามชาวไทยได้เฮสนั่นกันถ้วนหน้า

สำหรับ 'แอน จักรพงษ์' หรือ 'มาดามแอน' เธอคือซีอีโอในบริษัททุนตลาดหลักทรัพย์ที่มีคาแรกเตอร์ฉีกไม่เหมือนใคร ทั้งพูดจาฉะฉาน ชัดเจน ตรงประเด็น วิสัยทัศน์แหลมคม และตอบทุกประเด็นคำถามอย่างแจ่มชัด สร้างความฮือฮาจากคนทั้งประเทศมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน 

วันนี้เธอสร้างเส้นทางชีวิตสู่ความสำเร็จหมื่นล้านด้วยน้ำพักน้ำแรงตนเองอย่างไม่มีใครกังขา และเต็มไปด้วยกรณีศึกษาที่ถูกนำมาตีแผ่!!

>> เธอคว้า 10 ล้านในวัย 21 ปี 
จากอดีตอาตี๋ลูกคนโตแห่งศูนย์เช่าวิดีโอสู่เซียนคอนเทนต์แห่งอาเซียน เธอมาจากอาตี๋ ครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนที่ครอบครัวดำเนินธุรกิจเปิดร้านเช่าวิดีโอ เธอเริ่มต้นธุรกิจในวัยเพียง 21 ปี และมีมุมมองในการเฟ้นหาคอนเทนต์ เรียกว่า สายตาแหลมคมประหนึ่งเทพ คว้าสารคดี Walking With Dinosaurs มาผลิตในรูปแบบดีวีดีจัดจำหน่ายในบ้านเรา สร้างรายได้ก้อนแรกให้กับเธอมากถึง 10 ล้านบาท และส่งผลให้เธอเป็นนักค้าคอนเทนต์อันดับหนึ่งของประเทศไทยและอาเซียน ณ ปัจจุบัน

>> เธอคว้าหลักร้อยล้านในวัย 25 ปี 
วิสัยทัศน์ของแอน ในการนำเสนอขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ที่นำเข้ามาให้กับช่องทีวีในยุคนั้น ๆ รวมแล้วน่าจะเกือบทุกช่องที่จะต้องซื้อคอนเทนต์ของเธอ เพื่อมาออกอากาศเรียกคนดูและโกยเรตติ้งท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง ถือเป็นช่วงชีวิตที่เริ่มโรยกุหลาบให้เส้นทางตัวเองอย่างเด่นชัดขึ้น

>> เธอคว้าพันล้านในวัย 38 ปี 
เพราะกล้าแตกต่างและเห็นช่องทางตลาดใหม่ในธุรกิจซื้อขายคอนเทนต์ ลงทุน ลงแรง บริหารเองกับมือ ทำให้อาณาจักรคอนเทนต์ JKN เติบโตจนสามารถเดินหน้าเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในปี 2560 สร้างความฮือฮาให้กับแวดวงนักลงทุนเป็นอย่างมาก เป็นข่าวดังใหญ่โตเพราะเธอสามารถสร้างให้หุ้นของ JKN นั้น ติด Ceiling ต่อเนื่อง 4 วัน และ เช่นกัน โควิดก็ทำอะไรเธอไม่ได้ ดังคำที่เธอเคยบอก “อะไรก็ฆ่าฉันไม่ตาย” นอกจากนี้เธอยังยกระดับ JKN ย้ายเข้า SET ในช่วงโควิดที่ทุกธุรกิจกระทบเป็นวงกว้างแต่ JKN กลับโตสวนกระแสและทำกำไรอย่างมหาศาล

>> เธอตั้งเป้าคว้า 10,000 ล้าน ในวัย 42 ปี 
เธอการประกาศแผนลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญของ JKN ด้วยการเข้าซื้อกิจการช่อง NEW18 หวังชุบชีวิตฟื้นคืนช่องทีวีดิจิทัล พร้อมเปลี่ยนชื่อทางการใหม่เป็น JKN18 ตั้งเป้าดันขึ้น TOP10 ทีวีดิจิทัลชั้นนำในเมืองไทย

ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากวิสัยทัศน์ การวางแผน การบริหารจัดการที่ก้าวไกล และมาจากแนวคิดกลยุทธ์การตลาดที่สุขุม นุ่มลึก ซึ่งได้รวบรวมมาไว้เป็นแนวทาง ดังนี้...

(1) มองขาดเรื่อง Content is King
(2) ใช้สื่อที่มีในมืออย่างชาญฉลาดทั้ง JKN TV และ JKN CNBC สื่อสารสร้างให้ผู้ชมเกิดการเสพติดทางสายตาอย่างแยบยล
(3) มองไกลในกลุ่มคอนซูมเมอร์โปรดักส์ ใช้ Superstar Marketing การันตีด้วยการสร้างยอดขายหลายสิบล้านในชั่วข้ามคืน
(4) CEO Branding ความกล้านำเสนอตัวตนอย่างชัดเจน เด่น และแตกต่าง ในทุกพื้นที่สื่อของไทย และนำเสนอเรื่องราวใหม่ ๆ ในพื้นที่คอนเทนต์ของเธอเอง ใช้ชื่อรายการว่า “Real Anne” ที่ปัจจุบันออกอากาศผ่านทางยูทูบ JKN Official ซึ่งซีซัน 1 มีทั้งหมด 30 ตอน ซึ่งมียอดผู้ชมรวมมากกว่า 30 ล้านวิว และกำลังก้าวเข้าสู่ ซีซันที่ 2 ซึ่งจะออกอากาศให้ได้ชมตอนแรกในวันศุกร์ที่ 30 เมษายน 64 นี้
(5) วางหมากขุนพลที่จะมาช่วยขับเคลื่อนกระบวนทัพของธุรกิจ JKN ได้อย่างมือฉมัง
(6) นำเสนอโมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ก่อนใครด้วยการขึ้นแท่นเป็น Content – Commerce – Company (3C) ที่ให้ข้อมูลว่าพร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 5,000 ล้านบาท ในปี 67

ทอท. เพิ่มจุดส่งผู้โดยสารสำหรับ TAXI ใหม่ แก้ปัญหารถติดหน้าอาคาร 2 สนามบินดอนเมือง

เพจโครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure ได้โพสต์ข้อความถึงการแก้ปัญหารถติดหน้าสนามบินดอนเมือง อาคาร 2 โดยระบุว่า จุดส่งผู้โดยสารใหม่ Taxi Drop Lane สนามบินดอนเมือง อาคาร 2 

เพิ่มจุดส่งผู้โดยสาร แก้ปัญหารถติดหน้าอาคาร สำหรับ Taxi โดยเฉพาะ!!!

Taxi Drop Lane เป็นการปรับปรุงใหม่ของอาคาร 2 เพื่อมาแก้ปัญหารถติดหน้า Terminal 

ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังกันมาตลอด เพราะการจอดส่งผู้โดยสารหน้าอาคารที่มีปริมาณมาก บางคันใช้เวลามากกว่าปกติ รวมถึงรถบางส่วนที่ต้องการไปจอดรถบนอาคารจอดรถ 7 ชั้นด้วย

ทั้งนี้ AOT มีการจัดจราจรจราจรใหม่ โดยแยกจราจรก้อนหลักคือ รถ Taxi ซึ่งมีจำนวนพอสมควร มาให้ใช้พื้นที่จุดจอดใหม่คือ “Taxi Drop Lane” เพื่อลดปริมาณจราจรหน้า Terminal เพื่อให้คล่องตัวมายิ่งขึ้น และใช้ศักยภาพของถนนหน้าอาคารผู้โดยสารได้เต็มมากยิ่งขึ้น

ซึ่งหลาย ๆ คนคงทราบว่า Terminal 2 สนามบินดอนเมือง มีถนนต่างระดับอยู่หน้า อาคารอยู่ 6 เลน แบ่งเป็น 

- ถนนติดหน้าอาคาร 3 เลน สำหรับส่งผู้โดยสารเดิม ที่รถติดมาก ๆ บางที่ผ่านประตูต้น ๆ กว่าจะถึงประตูด้านหลัก อาจจะต้องใช้เวลา 5-10 นาที (ขึ้นกับปริมาณจราจร) ซึ่งจะมีหางแถวไปกระทบถึงอาคาร 1 และทางขึ้น ต่างระดับเลย

- ถนนต่างระดับ จากอาคาร 1 ลงระดับดิน ซึ่งเส้นนี้ ปกติจราจรน้อยตลอด เพราะ จะรับรถหลักของอาคาร 1 ซึ่งบางส่วนก็ไม่อยากตัดกับจราจรอาคาร 2 เลยยอมผ่านหน้าอาคาร 2 ไปด้วย

ทำให้ทาง AOT เห็นถึงพื้นที่ ๆ สามารถนำมาให้บริการเพิ่มเติมได้ คือ ถนนต่างระดับ จาก อาคาร 1 ลงระดับดิน

ซึ่งตรงนี้จะลดระดับลงจากหน้าอาคาร 2 ประมาณ 3 เมตร ทำให้สามารถทำทางเข้าเสริม เป็น “Taxi Drop Lane” โดยเชื่อมตรงเข้ากับชั้น 2 ของอาคาร 2 ได้เลย

ครม.ปลดล็อกต่างชาติ ซื้อบ้าน-ที่ดินไม่เกิน 1 ไร่ แลกลงทุน 40 ล้าน ดึงกลุ่มคนรายได้สูงเข้าไทย

ครม.ปลดล็อกต่างชาติที่มีรายได้สูง สามารถซื้อบ้าน-ที่ดิน ได้ไม่เกิน 1 ไร่ แลกลงทุน 40 ล้าน โดยต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 3 ปี จากเดิม 5 ปี

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ขอความเห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) นำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการได้มาซึ่งที่ดิน เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าว ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูด คนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย พ.ศ. ... ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ ให้กลุ่มคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูง 4 ประเภท ได้แก่ 1. กลุ่มประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง 2. กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ 3. กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย และ 4. กลุ่มผู้มีทักษะ เชี่ยวชาญพิเศษ มีสิทธิขอได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการลงทุนโดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย

ทั้งนี้ กำหนดจำนวนเนื้อที่ไม่เกิน 1 ไร่มาตรา 63 ทวิแห่งประมวลกฎหมายที่ดิน จำนวนเงินลงทุนและระยะเวลาการดำรงทุนต้องไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท และดำรงทุนการลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 3 ปี นับแต่วันยื่นคำขอ (กฎกระทรวงฯ พ.ศ. 2565 กำหนด 5 ปี ให้นับมูลค่าการลงทุน ณ วันที่ยื่นคำขอ

โดยมีสาระสำคัญ คือ กำหนดประเภทของคนต่างด้าวที่สามารถขอได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย สาระสำคัญ คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามประกาศ กระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาอยู่ ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2565 โดยไม่รวมผู้ติดตามของคนต่างด้าวดังกล่าว

โดยคนต่างด้าวต้องลงทุนในธุรกิจหรือกิจการประเภทหนึ่งประเภทใด หรือหลายประเภทรวมกัน ดังนี้

1. การซื้อพันธบัตรรัฐบาลไทย พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ หรือพันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงิน หรือดอกเบี้ย 2. การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้าง พื้นฐาน กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงิน หรือกองทุนรวมเพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นตาม กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (เพิ่มกองทุนรวมโครงสร้าง พื้นฐานจากกฎกระทรวงฯ พ.ศ. 2555)

3. การลงทุนในกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ที่จัดตั้งขึ้น ตามกฎหมายว่าด้วยทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน (เพิ่มขึ้นใหม่จาก กฎกระทรวงฯ พศ. 2555) 4. การลงทุนในทุนเรือนหุ้นของนิติบุคคลที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน 5. การลงทุนในกิจการที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้ประกาศ ให้เป็นกิจการที่สามารถขอรับ การส่งเสริมการลงทุนได้ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน

สำหรับกรณีมีการจำหน่ายที่ดินทั้งหมดหรือบางส่วนก่อนครบกำหนดจำนวน 1 ไร่ ให้นำจำนวนที่ดินในส่วนที่ได้จำหน่ายไปแล้วมารวมกับสิทธิที่จะได้มา ซึ่งที่ดินตามกฎกระทรวงนี้ด้วย ส่วนกรณีที่ได้มาซึ่งที่ดินครบจำนวน 1 ไร่แล้ว ต่อมาได้จำหน่ายที่ดินทั้งหมด หรือบางส่วนไป สิทธิที่จะได้มาซึ่งที่ดินตามกฎกระทรวงนี้เป็นอันระงับไป

'บิ๊กป้อม' ขอบคุณ 'หัวเว่ย' หนุนดิจิทัลไทยก้าวหน้า สู่ไทยแลนด์ 4.0 พร้อมปูทางผู้นำ 5G ของภูมิภาค

พล.อ.ประวิตร ปาฐกถาเปิดงานยิ่งใหญ่ 'Global Mobile Broadband Forum 2022' ครั้งที่ 13 หนุนความร่วมมือ 'ไทย-หัวเว่ย' พลิกโฉม สู่ ไทยแลนด์ 4.0 มุ่งก้าวเป็นผู้นำ 5G ของภูมิภาค 

(26 ต.ค. 65) พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธาน เปิดงานประชุมสัมมนา และนิทรรศการ Global Mobile Broadband Forum 2022 ครั้งที่ 13 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กทม. ห้องบอลรูม 1-4 

จากนโยบายของรัฐบาลไทย ที่กำลังเดินหน้าเข้าสู่ยุค ไทยแลนด์ 4.0 โดยสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และต่อยอดโครงสร้างพื้นฐาน 5G ให้ทุกภาคส่วนเข้าถึงการใช้ประโยชน์ สร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมดิจิทัล เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ดึงดูดการลงทุน พร้อมหนุนขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี 5G ของภูมิภาค ซึ่งบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด และเครือข่ายพันธมิตร (GSMA) ได้ขานรับนโยบายของรัฐบาลไทย เพื่อส่งเสริมการนำเทคโนโลยี 5G มาประยุกต์ใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย ในอนาคต

การจัดงานในครั้งนี้ บริษัท หัวเว่ยฯ ได้ร่วมกับองค์กรกำกับดูแลมาตรฐานผู้ให้บริการการสื่อสาร (GSMA) และ GTI ซึ่งเป็นองค์กรพันธมิตรทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรม โดยร่วมกันจัดงานขึ้นเป็นประจำทุกปี และครั้งนี้จัดขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรก จึงถือเป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์ทางอุตสาหกรรมด้านโทรคมนาคม และเทคโนโลยี นวัตกรรมดิจิทัล ให้สามารถเชื่อมต่อองค์ความรู้ และเทคโนโลยีร่วมกัน เพื่อยกระดับภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

‘หาดชะอำ’ สุดสำราญ นทท.คืบคลานไม่แพ้บางแสน ดึงบรรยากาศการค้าคึกคักอีกครั้งช่วงวันหยุดยาว

พวกเขากลับมาแล้วจริง ๆ

ในระหว่างที่ช่วงหยุดยาววันปิยมหาราช ทั้งชาวไทยใคร ๆ ก็ต่างพาไปโฟกัสบางแสน ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งนอกและในพื้นที่นับล้าน คืบคลานเข้ามาร่วมสร้างความคึกคักนั้น

ช่วงเดียวกัน บรรยากาศการท่องเที่ยวที่ชายหาดชะอำ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี สถานที่ท่องเที่ยว และพักผ่อนยอดฮิตริมทะเลของ จ.เพชรบุรี ก็เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และต่างชาตินับหมื่นคนที่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ เพื่อมาพักผ่อนเล่นน้ำทะเลดับร้อนจำนวนมากพร้อมกับมานั่งรับประทานอาหารริมชายหาด 

ช่วงวันหยุดยาว ระหว่างวันที่ 22-24 ตุลาคมที่ผ่านมานั้น เปลี่ยนบรรยากาศบริเวณชายหาดชะอำที่เคยเหงา แลดูมีสีสัน โดยส่วนใหญ่มากันเป็นครอบครัว และหมู่คณะ แถมตลอดแนวชายหาดชะอำเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ 

ผลดีชัด ๆ คือ พ่อค้าแม่ค้ายอดขายดีขึ้นมาก กอบโกยรายได้กันตั้งแต่ด้านถนนเพชรเกษมตั้งแต่บริเวณแยกเข้าชายหาดชะอำ ไปจนถึงเขตติดต่อ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

'กอบศักดิ์' ชี้ ญี่ปุ่นเลือกกดดอกเบี้ย-ค่าเงิน หวังทำสงครามกับนักเก็งกำไร ปลายทางมักจบไม่สวย

(25 ต.ค. 65) ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ โพสต์ข้อความ ผ่านเฟสบุ๊ก Kobsak Pootrakool ระบุว่า

หนทางสู่วิกฤตของญี่ปุ่น !!!!

ถ้าทางการญี่ปุ่นยังเลือกที่จะเดินตามแนวทางปัจจุบัน

กดดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลไว้ให้ต่ำ เพื่อช่วยรัฐบาลที่มีหนี้มาก

กดค่าเงินไว้ไม่ให้อ่อนไปกว่านี้

ทั้งหมด คงจบลงด้วยการเกิดวิกฤต

ที่จะเป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่า ในเชิงเศรษฐศาสตร์ 3 สิ่งที่อยู่ด้วยกันแล้วจะเป็นเรื่อง ก็คือ ค่าเงินที่คงที่ ดอกเบี้ยที่เลือกกำหนดตามใจฉัน และเงินทุนที่ไหลอย่างอิสระ (Free Flow of Capital)

ทฤษฎีนี้เรียกว่า Impossible Trinity หรือ “สามเป็นไปไม่ได้” ซึ่งถูกคิดค้นโดย Robert Mundell นักเศษฐศาสตร์รางวัลโนเบล และ John Fleming เมื่อช่วงปี 1960-1963

ประเทศไหนก็ตามที่พยายามจะทำใน 3 สิ่งนี้พร้อม ๆ กัน ปัญหาก็จะตามมา

โดยประเทศที่มีค่าเงินคงที่ แต่อยากจะกดดอกเบี้ยให้ต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ เงินจะไหลออกจากประเทศ จากดอกเบี้ยต่ำ ไปหาประเทศที่มีดอกเบี้ยสูงกว่า นำมาซึ่งเงินสำรองที่จะร่อยหรอลงจนสุดท้าย ก็เกิดวิกฤตค่าเงิน

หรือประเทศที่กดดอกเบี้ยไว้ต่ำกว่าคนอื่น แต่อยากตรึงค่าเงินไว้ ณจุดใดจุดหนึ่ง สุดท้ายก็จะประสบปัญหาเดียวกัน คือเงินไหลออก นำไปสู่แรงกดดันต่อค่าเงินที่ตรึงไว้อย่างต่อเนื่อง ทำให้สุดท้ายเงินสำรองก็ร่อยหรอ และสุดท้ายก็ไม่สามารถคงค่าเงินไว้ได้ กลายเป็นวิกฤตเช่นกัน

สิ่งที่ทางการญี่ปุ่นทำขณะนี้ ก็คือเรื่องนี้

1. โลกที่ญี่ปุ่นอยู่ คือโลกของเงินที่ไหลเวียนอย่างอิสระ

2. อีกด้าน การที่รัฐบาลญี่ปุ่นมีหนี้ภาครัฐเยอะมาก สูงถึง 264% ของ GDP ซึ่งหนี้ส่วนใหญ่ เป็นหนี้ในประเทศ ทำให้ทางการญี่ปุ่นซึ่งขาดดุลการคลังอยู่แล้วถึง 8% ของ GDP และมีภาระดูแลสังคมผู้สูงวัย อ่อนไหวกับอัตราดอกเบี้ยในประเทศอย่างยิ่ง

ไม่น่าแปลกใจ ที่แบงก์ชาติญี่ปุ่นจึงมีหน้าที่พิเศษอีกอย่าง ก็คือ ต้องพยายามช่วยกดดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลของญี่ปุ่นเอาไว้ โดยดูแลดอกเบี้ยใน Yield Curve ของญี่ปุ่นที่อายุช่วง 7-10 ปีลงมา ให้ปรับตัวขึ้นไม่มาก เพียงแค่ 0.25% เท่านั้น ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ แบงก์ชาติญี่ปุ่น ได้ประกาศโครงการรับซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง และเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ต้องประกาศ Emergency Bond Buying Program อีก 2.5 แสนล้านเยน

3. ค่าเงิน จากเดิมที่ญี่ปุ่นเคยปล่อยให้ค่าเงินเคลื่อนไหวตามกลไกตลาด แต่เนื่องจากช่วงนี้ค่าเงินเยนได้อ่อนค่าลงต่อเนื่อง อ่อนสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 30 กว่าปี ทางการญี่ปุ่นจึงเริ่มกังวลใจ และเริ่มเข้าแทรกแซงค่าเงินไม่ให้อ่อนไปกว่านี้ ซึ่งตอนนี้ พยายามขีดเส้นไว้ที่ประมาณ 150 เยน/ดอลลาร์

ซึ่งในเรื่องนี้ หากทางการญี่ปุ่นประสบความสำเร็จในการตรึงค่าเงินไว้ที่ 150 เยน/ดอลลาร์ ตามที่ตั้งใจได้ ระบบค่าเงินเยนก็จะทำตัวเหมือนอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ หรือใกล้เคียงกับระบบดังกล่าว

ทั้งหมดจะทำให้ญี่ปุ่นเข้าเงื่อนไขของทฤษฎี “สามเป็นไปไม่ได้” หรือ Impossible Trinity

และหมายความต่อไปว่า ถ้ายังคงเดินไปตามทางนี้ เงินดอกเบี้ยต่ำในญี่ปุ่น ก็จะไหลออกไปหาเงินดอกเบี้ยสูงในสหรัฐ โดยมีทางการญี่ปุ่นช่วยดูแลความเสี่ยงเรื่องค่าเงินให้

'อลงกรณ์' ชี้ 2565 จุดเปลี่ยนประเทศไทยสู่ยุคใหม่ ลดก๊าซเรือนกระจกต้นเหตุภาวะโลกร้อน

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานมูลนิธิ Worldview Climate Foundation (WCF) บรรยายพิเศษ หัวข้อ 'ศักยภาพของโครงการบลู คาร์บอนในประเทศไทย' (Potential for blue carbon projects in Thailand) ในการประชุมนานาชาติจัดโดยมูลนิธิ Worldview International ที่กรุงเทพมหานครวันนี้ โดยแสดงวิสัยทัศน์อนาคตประเทศไทยในการเดินหน้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Nation) เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ (Climate Change) ด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Green House Gases:GHGs) อย่างจริงจังตามพันธกรณีที่นายกรัฐมนตรีของไทยประกาศเป้าหมายในการประชุม COP26 ที่เมืองกลาสโกว์ สกอตแลนด์

'กรุงเทพ' คว้าแชมป์เมืองท่องเที่ยวพักผ่อน 'ที่ดีที่สุด' ในเอเชียแปซิฟิก

(23 ต.ค.65) Business Traveller สื่อธุรกิจท่องเที่ยวชื่อดัง ประกาศรายชื่อ ผู้ชนะรางวัลด้านการท่องเที่ยวอันยิ่งใหญ่ในภูมิภาค นั้นก็คือ รางวัล Business Traveller Asia-Pacific จัดขึ้นเป็นปีที่ 31 ของงานแจกรางวัล และยังคงจัดอย่างต่อเนื่องเพื่อเฉลิมฉลองให้กับสิ่งที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรมการเดินทางและการโรงแรม ซึ่งได้รับการโหวตจากกรรมการที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในภูมิภาค ได้แก่ ผู้อ่าน Business Traveller Asia-Pacific

ผู้อ่านของเราเป็นผู้เชี่ยวชาญ สำหรับการเดินทางเพื่อทำธุรกิจ โดยเฉลี่ย 19 ครั้งต่อปี (ก่อนเกิดโควิด-19) ซึ่งสามารถประเมินว่าอะไรคือเที่ยวบินที่สมบูรณ์แบบและโรงแรมที่ยอดเยี่ยม ในแต่ละปีเราเชิญสมาชิกที่ภักดีของเรามากกว่า 30,000 รายให้ลงคะแนนเสียงใน Reader Poll และแบ่งปันความคิดเห็นเกี่ยวกับทุกอย่างตั้งแต่แบรนด์โรงแรมที่พวกเขาชื่นชอบหรือโรงแรมที่ต้องการในเมืองใดเมืองหนึ่ง ไปจนถึงประสบการณ์บนเครื่องบินที่ดีที่สุด หรือสนามบินและสายการบินที่ต้องการ

ในขณะที่ปีนี้เรากลับมาขอความคิดเห็นของผู้อ่านในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาเท่านั้น (ปีที่แล้วคือ 24 เดือนเนื่องจากสถานการณ์ทั่วโลกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน) เรายังคงขอให้ผู้อ่านพิจารณาประสบการณ์ที่ไม่ใช่การเดินทางที่เกี่ยวข้องกับโควิดและผลที่ตามมา รวมถึงระดับ ด้านการสื่อสาร ประสิทธิภาพ ความอ่อนไหว และการสนับสนุนจากบริษัทและองค์กรภายในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top