Thursday, 15 May 2025
THE STATES TIMES TEAM

ชัยภูมิ – ผู้ว่าฯสั่งจับตา เตือนประชาชนทุกพื้นที่ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดไปจนถึง 11 ก.ย. นี้ หลังฝนเริ่มตกหนักต่อเนื่องแล้วหลายพื้นที่ บริเวณลำชีน้ำเริ่มหนุนสูง รวมทั้งเขื่อนลำปะทาวใกล้เต็มเริ่มปล่อยระบายน้ำออกนอกเขื่อนแล้ว!

( 8 ก.ย.64 ) ขณะที่ จ.ชัยภูมิ นายวิเชียร  จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ ( ผวจ.ชัยภูมิ) ประกาศแจ้งเตือนประชาชน พร้อมสั่งแจ้งผู้นำชุมชนทุกหมู่บ้านในพื้นที่เสี่ยงใกล้เชิงเขา อยู่ใกล้ริมตลิ่งลำน้ำชี และเขื่อนปล่อยน้ำไหลผ่าน  ให้เตรียมความพร้อมช่วยกันเฝ้าระวังในช่วงระหว่าง 7- 11 ก.ย.64 นี้ ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ และ จ.ชัยภูมิ จะเกิดฝนตกหนักฟ้าคะนอง เสี่ยงเกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากได้ทุกพื้นที่

ซึ่งหลังเกิดฝนตกหนักในพื้นที่มาต่อเนื่องตั้งแต่วานนี้ (7 ก.ย.64)ที่ผ่านมา ซึ่ง จ.ชัยภูมิ เป็นจังหวัดเป็นแหล่งจุดต้นกำเนิดแม่น้ำชี ที่จะไหลผ่านไปเกือบทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสาน ล่าสุดเริ่มทำให้มีน้ำป่าไหลหลากลงสู่ลำแม่น้ำชีเริ่มหนุนสูงใกล้ล้นตลิ่งอีกไม่ถึง 1 เมตร แล้วหลายพื้นที่ผ่านลงมาจาก อ.หนองบัวแดง,อ.หนองบัวระเหว,อ.บ้านเขว้า,อ.จัตุรัส และผ่านมาเชื่อมในเขต อ.เมืองชัยภูมิ บางส่วนในเขตตำบลบ้านค่ายและตำบลบุงคล้า ติดรอยต่อเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิ  ก่อนที่จะไหลผ่านไปยังพื้นที่ อ.เนินสง่า,คอนสวรรค์ และเชื่อมไหลผ่านออกต่อไปยังจังหวัดขอนแก่น ต่อไป

รวมทั้งในส่วนของเขื่อนลำปะทาวตอนบน และตอนล่าง ความจุรวมกว่า 60 ล้าน ลบ.ม.ที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาภูแลนคา อยู่รอยต่อของ 2 อำเภอเขต อ.เมืองชัยภูมิ และ อ.แก้งคร้อ ที่จะมีเส้นทางน้ำไหลผ่าน ลงมาในโซนเศรษฐกิจตัวเมืองเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิ ด้วยทั้งหมดในขณะนี้เกิดฝนตกตกเนื่องทำให้มีปริมาณน้ำใกล้เต็มเขื่อนลำปะทาวทั้ง 2 แห่งแล้ว ซึ่งทางเขื่อนลำปะทาวก็ได้เริ่มเตรียมแผนรับมือด้วยการทยอยปล่อยระบายน้ำออกมาจากเขื่อนลำปะทาวตอนล่างอย่างต่อเนื่องในขณะนี้แล้ว เพื่อไม่ให้เกิดน้ำป่าหลากล้นเขื่อนได้

ซึ่งนายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ จึงขอแจ้งประกาศเตือนประชาชนในทุกพื้นที่เสี่ยงดังกล่าว ช่วยกันเฝ้าระวัง และติดตามสถานการณ์ที่ในช่วงตั้งแต่ 7- 11 ก.ย.64 นี้ จ.ชัยภูมิ ยังจะเกิดฝนฟ้าคะนองตกหนัก  และเสี่ยงเกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าหลากได้ ควรที่การเตรียมตัวให้พร้อมในการติดตามสภาพอากาศและปริมาณน้ำในพื้นที่ใกล้ตัวเอง เตรียมสิ่งของเครื่องใช้ของมีค่าที่จำเป็นและพร้อมเตรียมอพยพออกจากพื้นที่มาอยู่ในที่ปลอดภัยที่แต่ละพื้นที่ต้องมีการจัดเตรียมรองรับไว้ได้ทันทีในช่วงนี้ด้วย

เชียงใหม่ - ประธานหอฯ เชียงใหม่ ชี้! ภาวะเศรษฐกิจเชียงใหม่ครึ่งแรก และแนวโน้มโควิด-19 ยังเป็นปัจจัยหลักทำให้เศรษฐกิจภาพรวมยังหดตัว

วันที่​ 7​ ก.ย.​ 2564​ เวลา​ 10.00​ น.​ ณ​ ห้องประชุม​ 1​ ชั้น​ 2​ สำนักงานหอการค้า​จังหวัดเชียงใหม่ นายจุลนิตย์ วังวิวัฒน์ ประธานกรรมการหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ ดร.กอบกิจ อิสรชีวัฒน์ รองประธานกรรมการหอการค้าจังหวัด เชียงใหม่  นายสมชาย ทองคำคูณ รองประธานกรรมการหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารฯได้ร่วมกันแถลงข่าวภาวะเศรษฐกิจจังหวัดเชียงใหม่ไตรมาสที่ 1-2 ประจำปี 2564 และแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจในไตรมาส 3 และ 4

นายจุลนิตย์ วังวิวัฒน์ ประธานกรรมการหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงทั่วโลกต้นปี 2563  ส่งผลให้ธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่หดตัวรุนแรงและสูญเสียรายได้ ซึ่งส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่อเนื่องหดตัวสูง ทั้งการบริโภคและการลงทุน ธุรกิจจำนวนมากปิดกิจการและเลิกจ้างแรงงาน  ภาวะเศรษฐกิจช่วงไตรมาส 1 ปี 2564 หดตัวใกล้เคียงต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน จากการแพร่ระบาดของโควิดระลอกที่สอง ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวหดตัวมาก  การใช้จ่ายปรับตัวดีขึ้นในกลุ่มสินค้าจำเป็น  ในไตรมาสที่สองเศรษฐกิจเชียงใหม่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากการแพร่ระบาดของโควิดรอบสาม และการดำเนินมาตรการควบคุมการระบาดในประเทศ ส่งผลให้ภาคท่องเที่ยวและการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนหดตัวมากขึ้น ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัวจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น ด้านการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวสูงจากการเร่งเบิกจ่าย ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนชะลอลงตามสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวม

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจจังหวัดเชียงใหม่ช่วงไตรมาส 3 และ 4 ปี 2564  การแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกสามกระทบการท่องเที่ยวไตรมาส 3 ปี 64 อย่าง มาก รายได้ของธุรกิจและชาวเชียงใหม่หายไปมากช่วงปีเศษนี้ แผนการจัดหาและกระจายวัคซีน โควิด-19 ที่ชัดเจนมากขึ้น และสถานการณ์ ความรุนแรงของโควิด ณ ต้นเดือน ก.ย.น่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว หากธุรกิจ ท่องเที่ยวและธุรกิจท่ีเกี่ยวข้อง ได้รับการสนับสนุนเยียวยา ฟื้นฟูจากทางการ เช่น การเติมสภาพคล่อง การปรับโครงสร้างหนี้ คาดว่าการท่องเที่ยวจาก นักท่องเที่ยวในประเทศจะค่อย ๆ ฟื้นตัวในไตรมาส 4 ปี 64 เมื่อการท่องเท่ียวท่ีเป็นเครื่องยนต์หลักของจงัหวดัเชียงใหม่กลับมา เดินเครื่องได้ ธุรกิจอื่น ๆ ท่ีเก่ียวเนื่อง การจ้างแรงงาน การใช้จ่าย การลงทุนจะเริ่มขยับขึ้นมาได้

ด้านดร.กอบกิจ อิสรซีวัฒน์ รองประธานกรรมการหอการค้าจังหวัด เซียงใหม่ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาคบริการด้านการท่องเที่ยว ไตรมาส 1 ปี 2564 หดตัวมากขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า จากการแพร่ระบาดระลอกสอง ประกอบกับสถานการณ์หมอกควัน ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวและอัตราการเข้าพักลดลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติยังคงหดตัวสูง จากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ เข้าสู่ไตรมาส 2 ภาคการท่องเที่ยวหดตัวมากขึ้น จากการระบาดของโควิดระลอกสาม ที่กระจายวงกว้างและรุนแรงมาก และจากมาตรการควบคุมการระบาดของจังหวัดต่าง ๆ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวในประเทศชะลอการเดินทาง โดยภาพรวมช่วงครึ่งปีแรก 2564 ภาคการท่องเที่ยวหดตัวรุนแรง สูญเสียรายได้ต่อเนื่องเกือบ 2 ปี ธุรกิจจำนวนมากต้องปิดกิจการ  แรงงานภาคท่องเที่ยวไม่มีรายได้ 

ภาคอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ไตรมาสแรกของปี หดตัวน้อยลงจากไตรมาสก่อน จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ส่งผลให้การใช้จ่ายสินค้าในชีวิตประจำวันปรับดีขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าจำเป็น ในขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนกำลังซื้อที่เปราะบาง เมื่อเข้าสู่ไตรมาส 2 การอุปโภคบริโภคหดตัวเพิ่มขึ้น จากการระบาดของ COVID-19 ระลอกสาม  ทำให้การใช้จ่ายในหมวดสินค้าใน 

ชีวิตประจำวันและหมวดบริการหดตัว ด้านการใช้จ่ายหมวดสินค้าคงทนชะลอกำลังซื้อโดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และรถบรรทุกเชิงพาณิชย์ ขณะที่กลุ่มรถจักรยานยนต์ยังขยายตัวได้ตามความต้องการซื้อของลูกค้ากลุ่มเกษตร โดยภาพรวมครึ่งปี 2564 การใช้จ่ายกระเตื้องเล็กน้อยในช่วงต้นปี และชะลอลงเมื่อพบการระบาดระลอกที่สาม

ภาคการลงทุนภาคเอกชน ชะลอลงต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาทั้งสองไตรมาส การลงทุนเพื่อการก่อสร้างชะลอตัว ตามภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ชะลอลงตามกำลังซื้อที่อ่อนแอ ทำให้ผู้ประกอบการเลื่อนแผนการลงทุนออกไป การลงทุนเพื่อการผลิตขยายตัวเล็กน้อย จากการลงทุนในกลุ่มธุรกิจขนส่ง ทั้งสินค้า  E-Commerce และสินค้าเกษตร โดยยังมีความต้องการซื้อรถยนต์เชิงพาณิชย์ สะท้อนจากยอดจดทะเบียนรถยนต์เชิงพาณิชย์ขยายตัว รวมทั้งมีการลงทุนนำเข้าเครื่องจักรเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและรองรับคำสั่งซื้อในอนาคต เฉพาะธุรกิจรายใหญ่บางรายเท่านั้น โดยภาพรวมช่วงครึ่งปีแรกของปีการลงทุนภาคเอกชนชะลอลงมาก   

ไตรมาสแรก (ม.ค. - มี.ค) การใช้จ่ายของภาครัฐลดลงจากไตรมาสก่อน รายจ่ายประจำหดตัวโดยลดลงมากในหมวดเงินอุดหนุนทั่วไปของสถาบันการศึกษา และหมวดรายจ่ายอื่นของงบกลาง ส่วนทางด้านรายจ่ายลงทุนขยายตัวสูงต่อเนื่อง จากการเร่งเบิกจ่ายของ หน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะในหมวดที่ดินและสิ่งก่อสร้างด้านโครงสร้างพื้นฐาน ในไตรมาส 2 การใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวสูงจากไตรมาสก่อน จากการเร่งรัดการเบิกจ่าย โดยรายจ่ายประจำขยายตัว ส่วนรายจ่ายลงทุนก็ขยายตัวสูงตามการใช้จ่ายในหมวดที่ดินและสิ่งก่อสร้างด้านโครงสร้างพื้นฐาน และหมวดเงินอุดหนุนเฉพาะกิจของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน    

รายได้ภาคเกษตร ในครึ่งแรกปี 2564 โดยรวมลดลงเล็กน้อย เนื่องจากผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสุกรลดลงจากโรคระบาด  ราคาสุกรเพิ่มสูงตามความต้องการจากตลาดภายในและต่างประเทศ ส่วนราคาข้าวโพดสูงขึ้นเล็กน้อย  ราคาที่สูงยังไม่สามารถชดเชยรายได้ที่เสียไปจากผลผลิตที่ลดลงมาก สำหรับผลผลิตพืชสำคัญชนิดอื่น เช่น ข้าว ลำไยนอกฤดู มะม่วง เพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยและราคาอยู่ในเกณฑ์ดี 

การผลิตภาคอุตสาหกรรมฟื้นตัว เครื่องชี้สำคัญ เช่น การใช้ไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 3.7 แต่ปรับตัวดีขึ้นช่วงไตรมาสสอง  ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มหมวดอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.3 อุตสาหกรรมผลิตเพื่อการส่งออกฟื้นตัวตามเศรษฐกิจต่างประเทศ  แต่ประสบปัญหาขาดตู้คอนเทนเนอร์ ทำให้การขนส่งล่าช้า และต้นทุนการขนส่งสูงขึ้นมาก การผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศโดยรวมหดตัวตามภาวะเศรษฐกิจ  สำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์จากโคนมและหมวดอาหารแปรรูปฟื้นตัวดี และช่วงปลายไตรมาสสอง โรงงานแปรรูปผลิตผลเกษตร คอนกรีตผสมเสร็จเริ่มต้นผลิต 

เสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงขึ้นจากช่วงก่อนหน้ามาอยู่ที่ร้อยละ 1.7 ตามราคาพลังงานจากราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ ที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ด้านตลาดแรงงานเปราะบางมากขึ้น อัตราการว่างงานสูงขึ้นเป็นเฉลี่ยร้อยละ 2.9 ในไตรมาสที่สอง  เทียบกับอัตราว่างงานร้อยละ 1.6 ช่วงก่อนโควิดไตรมาสที่ 4 ปี 2562  ธุรกิจปรับตัว เช่น การลดชั่วโมงการทำงาน ให้พนักงานหยุดงานโดย   ไม่รับค่าจ้าง  รวมทั้งเปลี่ยนเงื่อนไขการจ้างจากรายเดือนเป็นรายวัน และเลิกจ้างแรงงานประเภทสัญญาชั่วคราว   

ภาคการเงิน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 ยอดเงินฝากคงค้างของสาขาธนาคารพาณิชย์ลดลงจากช่วงก่อนหน้า เนื่องจากย้ายไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น จากที่โอนย้ายมาฝากกับธนาคารพาณิชย์ช่วงเกิดโควิดระลอกแรก ด้านสินเชื่อคงค้างยังคงขยายตัวต่อเนื่องในสินเชื่อประเภทค้าส่งค้าปลีก บริการและอุปโภคบริโภค ขณะที่สินเชื่อที่ให้กับสถาบันการเงินประเภทสหกรณ์ออมทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมลดลง

 


ภาพ/ข่าว  พัฒนชัย / เชียงใหม่

ตม.จว.ตาก คุมเข้มชายแดน! จับกุมคนเมียนมา พาเพื่อนร่วมชาติ 44 คน เดินลัดเลาะเขาหลบหนีเข้าพื้นที่ชั้นใน

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบ

ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม 5, พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.เศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.5, พ.ต.อ.สัมพันธ์ เหลืองสัจจกุล ผกก.ตม.จว.ตาก และ พ.ต.ท.สุชาติ เพ็ญภู่ รอง ผกก.ตม.จว.ตาก ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

เจ้าหน้าที่ ตม.จว.ตาก ได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีขบวนการนำพาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายพาเข้าไปทำงานยังพื้นที่ชั้นในโดยวิธีลัดเลาะขึ้นป่าเขา จึงได้ประสานกำลังจากเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจตระเวนชายแดน ช่วยกันสกัดกั้น จนกระทั่งคืนวันเกิดเหตุ สามารถจับกุมผู้ต้องหาดังกล่าวได้ขณะกำลังเดินลัดเลาะแนวเขาบ้านห้วยไม้ฮ่าง หมู่ 6 ต.ด่านแม่ละเมา อ.แม่สอด จว.ตาก จากการตรวจสอบพบนายเปาเป็ง ไม่มีนามสกุล อายุ 42 ปี สัญชาติเมียนมา ยอมรับว่าตนเป็นชาวเมียนมา เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรได้ประมาณ 5 ปี ต่อมาตนและเพื่อนอีก 3 คน ได้ตกลงนัดหมายกันที่จะลักลอบพาชาวเมียนมา จำนวน 44 คน เดินทางข้ามมายังฝั่งไทย โดยใช้วิธีเดินเท้าลัดเลาะเขาเพื่อพาไปส่งยังจุดนัดพบที่ อ.บ้านตาก จว.ตาก จะมีกลุ่มขบวนการอีกกลุ่มรอรับอยู่ โดยนายเปาเป็ง ยอมรับว่าตนพร้อมพวกเป็นคนนำทางจริง ได้ค่าจ้างหัวละ 200 บาท ส่วนนายส่อเลหน่าย พร้อมพวกคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาหลบหนีเข้าเมืองอีก 44 คน รับว่าได้ลักลอบเข้าเมืองมาโดยผิดกฎหมาย โดยได้จ่ายค่าเดินทางให้กับนายหน้าไปแล้วคนละ ประมาณ 7,500 - 20,000 บาท เพื่อเข้าไปทำงานที่เขตบางแค กรุงเทพฯ โดยเดินทางข้ามฝั่งทางเรือมายังฝั่งไทยในเวลากลางคืน แล้วก็มีนายเปาเป็ง กับพวก เป็นคนนำทางพาเดินลัดเลาะป่าเขาจนกระทั่งถูกจับกุม จนท.ชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและนำตัวผู้ต้องหานำส่ง สภ.พะวอ เพื่อดำเนินคดีต่อไป

ผู้ถูกจับที่ 1 นายเปาเป็ง ในความผิดฐาน “ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม” ผู้ถูกจับที่ 2 – 45 นายส่อเลหน่าย พร้อมพวกคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง (ช.22 ญ.22) ในความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” เหตุเกิด บริเวณกลางป่าไม้บ้านห้วยไม้ฮ่าง หมู่ 6 ต.ด่านแม่ละเมา อ.แม่สอด จว.ตาก

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประเทศเพื่อนบ้าน ให้บริการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใด เห็นเบาะแสการกระทำความผิด  กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ตม.จว.ระนอง จับกุม! เครือข่ายขบวนการ ‘นำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง’ หลังสารภาพได้รับการว่าจ้าง จัดหาอาหาร มาส่งให้แรงงานต่างด้าวที่หลบซ่อนอยู่ในป่า เพื่อรอเดินทางเข้าสู่พื้นที่ชั้นใน

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบ

ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6 พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ รอง ผบก.ตม.6 พ.ต.อ.สมชาย จิตสงบ ผกก.ตม.จว.ระนอง ร่วมกันแถลงข่าว ดังนี้

คดีจับกุมเครือข่ายขบวนการลักลอบนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร

เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนปราบปราม ตม.จว.ระนอง, กก.สส.ภ.จว.ระนอง, สภ.ปากจั่น, กก.5 บก.ป., สันติบาล, กก.5 บก.ปคม., ต.ช.ด.ที่ 415, ส.ทท.2 กก.2 บก.ทท.3, กก.สส.ภ.8, ตำรวจน้ำระนอง, จนท.ทหาร ร้อย ร.2521 ฉก.ร.25 (จุดตรวจคลองจั่น, จุดตรวจศิลาสลัก), ได้รับแจ้งเบาะแสจากสายข่าวว่ามีการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวจาก จว.ระนอง ไปยัง จว.ชุมพร เส้นทางบ้านคลองจั่น-ท่าแซะ ต่อมา จนท.ทหาร ประจำจุดตรวจคลองจั่น ม.8 ต.จ.ป.ร. อ.กระบุรี จว.ระนอง ตรวจพบ นายเกริกชัยหรือดอน และนายธวัชชัยหรือโอ๋ ขับขี่รถยนต์กระบะทะเบียนระนอง ทำหน้าที่ขับรถนำหน้าดูเส้นทาง โดยได้ว่าจ้างให้นายไพโรจน์ ขับขี่รถยนต์กระบะทะเบียนสุราษฎร์ธานี บรรทุกนายอาวกู อายุ 26 ปี สัญชาติเมียนมา กับพวกรวม 9 คน ซึ่งเป็นแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย จากพื้นที่ ต.น้ำจืด อ.กระบุรี จว.ระนอง ไปส่งที่ อ.ท่าแซะ จว.ชุมพร เป็นเงิน 13,000 บาท เมื่อมาถึงจุดตรวจบ้านคลองจั่น ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ และจับกุมตัว ส่ง พงส.สภ.ปากจั่น ดำเนินคดีตามกฎหมาย

จนท.ตม.จว.ระนอง, สภ.ปากจั่น, กก.สส.ภ.จว.ระนอง, ตชด.ที่ 415, กก.5 บก.ปคม. และ จนท.ทหารชุด ร้อย ร.2521 ไล่สกัดจับกุมนายต้อยขับรถยนต์กระบะทะเบียนลพบุรี บรรทุกนายอาว อายุ 25 ปี สัญชาติเมียนมา กับพวกรวม 17 คน เป็นแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย จากการสืบสวนขยายผล นายต้อย รับสารภาพว่าว่าได้รับการว่าจ้างจาก นายเกริกชัยหรือดอน ให้นำพาแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายจากซอยบ่อโยก ต.ปากจั่น อ.กระบุรี จว.ระนอง ไปส่งที่ อ.ท่าแซะ จว.ชุมพร ได้รับค่าจ้าง 15,000 บาท โดยมี นายเกริกชัย และนายสุริยัน ทำหน้าที่ขับรถนำหน้า เมื่อมาถึงบ้านหินใหญ่ ม.6 ต.จ.ป.ร. อ.กระบุรี จว.ระนอง ก็ถูกเจ้าหน้าที่ไล่สกัดจับกุมตัว

ตม.จว.ระนอง, กก.สส.ภ.จว.ระนอง, สภ.ปากจั่น, ส.ทท.2 กก.2 บก.ทท.3, สันติบาล, กก.5 บก.ปคม., ตำรวจน้ำระนอง และ จนท.ทหาร ร้อย ร.2521 ฉก.ร.25 ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่ามีแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย มาแอบหลบซ่อนอยู่ในป่าจากบ้านสองพี่น้อง ม.1 ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนอง จึงไปตรวจสอบพบ นายธวัชชัยหรือจ้ง ทำหน้าที่จัดหาอาหารและน้ำดื่ม ไปส่งให้แรงงานต่างด้าวที่หลบซ่อนอยู่ในป่าจาก จึงจับกุมตัวไว้ ต่อมาจากการสืบสวนขยายผล นายธวัชชัยให้การรับสารภาพว่า ได้รับการว่าจ้างจากนายสุนทร นายหน้าชาวเมียนมา และนายเกริกชัยหรือดอน ให้จัดหาอาหารและน้ำดื่ม มาส่งให้แรงงานต่างด้าวที่หลบซ่อนอยู่ในป่าจากเพื่อรอเดินทางเข้าสู่พื้นที่ชั้นในต่อไป

นายเกริกชัยหรือดอน ได้รับการติดต่อกลุ่มขบวนการหรือเครือข่ายลักลอบนำพาแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายในประเทศต้นทาง โดยได้นำพาแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ในพื้นที่ จว.ระนอง จากนั้นนายเกริกชัยหรือดอน ได้ว่าจ้าง สั่งการ ให้กับขบวนการรับขน เคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวจากพื้นที่ชายแดนเข้าสู่พื้นที่ชั้นใน ไปส่งยังพื้นที่ปลายทางที่แรงงานต่างด้าวต้องการเดินทางไปหางานทำในประเทศไทย หรือส่งต่อไปยังประเทศที่ 3 ต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th

"บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษา (สบ 9) ลงพื้นที่ สน.ห้วยขวาง ตรวจสอบดูความพร้อม กล้องวงจรปิด พร้อมใช้งาน

ตามนโยบาย ผบ.ตร.วางเป้าหมาย การพัฒนารูปแบบวิธีการป้องกันอาชญากรรมเชิงรุก สร้างพื้นที่ปลอดภัยจากอาชญากรรม ด้วยระบบการป้องกันอาชญากรรมในรูปแบบบูรณาการทุกภาคส่วน โดยใช้นวัตกรรม และยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางตามแนวคิดเรื่อง "เมืองอัจฉริยะ" อันจะนำไปสู่ความปลอดภัยจากอาชญากรรมอย่างยั่งยืน

วันที่ 6 กันยายน 2564 พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษา (สบ 9) "บิ๊กโจ๊ก" ได้เดินทาง มาตรวจโครงการสมาร์ทเซฟตี้โซนฯ พื้นที่ สน.ห้วยขวาง ตามนโยบายสำนักงานตารวจแห่งชาติ ของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ดำเนินโครงการสมาร์ทเซฟตี้โซน 4.0  (SMART SAFETY ZONE 4.0) ร่วมกับ พล.ต.ต.สมประสงค์ เย็นท้วม รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) พร้อม พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ห้วยขวาง

โดยพื้นที่ของ สน.ห้วยขวางควบคุม 7.61  ตร.กม  13,583 หลังคาเรือน รวม 53 จุด กล้อง 105 ตัว รวมกับกทม. 32จุด 1กล้อง 105 ตัว และภาคประชาชน 26 จุด กล้อง 28 ตัว

ด้าน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์  กล่าวว่า ผบ.ตร. สั่งการให้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมดูความพร้อมโครงการนำร่อง สมาร์ทเซฟตี้โซน วันนี้ ช่วงเช้าได้ลงพื้นที่ สน.ภาษีเจริญไปแล้ว ช่วงบ่ายจึงเดินทางมา สน.ห้วยขวาง ผบ.ตร อย่างให้ ผู้หญิงหรือเด็ก มีความเชื่อมั่นในการเดินทางที่เปลี่ยวในช่วงเวลากลางคืน จะเห็นได้ชัดเจน รองรับให้ประชาชนมีความปลอดภัย อุ่นใจ ทั้งชีวิต และ ทรัพย์สิน  ยกตัว  กล้องวงจรปิดภายในชุมชนจะลิงค์ ภาพทั้งหมดเข้าไปที่ สน. ต่อไปจะมีระบบ ai เชื่อมโยงกับกล้องที่มียู่แล้ว ซึ่งรวมกับกล้องเดิม อีก 1 หมื่นตัว จากการลงพื้นที่ 2 สน. เชื่อว่า ประชาชนจะมีความปลอดภัย มากขึ้น  ส่วนนี้ฝากถึงประชาชนทุกท่าน โครงงานนี้ขยายวงออกไปอีก เพื่อควบคุมอาชญากรรมเป็นการทำงนเชิงรุก และ ทั้ง 15 สน. ที่นำร่อง มีความพร้อม

ร้อยเอ็ด - สั่งทิ้งทวน...แลนด์มาร์คแห่งใหญ่! พ่อเมืองร้อยเอ็ดมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงาน เพื่อจัดสร้างพุทธมณฑลจังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อประโยชน์สาธารณะ

เมื่อเวลา 09.00 น. นายชยันต์ ศิริมาศ ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเพื่อจัดสร้างพุทธมณฑลจังหวัดร้อยเอ็ด ณ ห้องประชุมพระเวสสันดร ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีพระพรหมวชิรโสภณ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 10 (ธ) เจ้าอาวาสวัดบึงพระลานชัย , พระราชพรหมจริยคุณ เจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ดจะเอาวาดวัดบ้านเปลือยใหญ่ , พระราชปริยัติวิมล เจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด (ธ) , พระญาณวิลาศ รองเจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด (ธ) , นายชนาส ชัชวาลวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด , นายสมชัย คล้ายทับทิม รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด หัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม

สืบเนื่องจากการประชุมฯ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2564 เรื่องการจัดสร้างพระพุทธรูปประจำจังหวัด มีมติที่ประชุมเห็นชอบการก่อสร้างพระพุทธรูปประจำจังหวัดร้อยเอ็ด และผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ได้มอบหมายให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการก่อสร้างพุทธมณฑลจังหวัดร้อยเอ็ด และได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานเพื่อจัดสร้างพุทธมณฑลจังหวัดร้อยเอ็ด คำสั่งจังหวัดร้อยเอ็ด ที่ 2703/2564 ประกอบกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พิจารณาดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อเสนอของนายกรัฐมนตรี ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2547 ควรมีการจัดตั้งพุทธศาสนสถาน ที่มีลักษณะทำนองเดียวกับพุทธมณฑลในส่วนภูมิภาคให้แพร่หลายเพิ่มขึ้น เพื่อใช้เป็นส่วนสาธารณะ ที่สงบ ร่มรื่น ราษฎรสามารถใช้ออกกำลังกายได้ ประกอบพิธีทางศาสนา ประชุมปรึกษาเรื่องทางศาสนา และใช้เป็นสถานที่แสดงธรรมได้

จังหวัดร้อยเอ็ดจึงได้กำหนดให้มีการประชุมขึ้นในครั้งนี้โดยที่ประชุมได้มีการพิจารณาในวาระสำคัญ ดังนี้

1. หารือถึงปัญหาการขับเคลื่อนการจัดสร้างพุทธมณฑลจังหวัดร้อยเอ็ดในช่วงที่ผ่านมา และแนวทางการแก้ไข

2. การมอบหมายภารกิจที่จำเป็นเบื้องต้นสำหรับการขับเคลื่อนการจัดสร้างพุทธมณฑลจังหวัดร้อยเอ็ด ด้านต่างๆ ได้แก่ ด้านการจัดทำแผนแม่บท ด้านการจัดทำแบบแปลนและรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง การขอใช้พื้นที่อ่างธวัชชัยเพื่อจัดสร้างพุทธมณฑลจังหวัดร้อยเอ็ด การนำเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ดท่านใหม่ที่มารับหน้าที่ให้รับทราบเรื่องการจัดสร้างพุทธมณฑลจังหวัดร้อยเอ็ดด้วย

3. การจัดหางบประมาณในการก่อสร้างพุทธมณฑลจังหวัดร้อยเอ็ด

4. การเตรียมจัดทำแผนเพื่อบูรณาการกับแผนพัฒนาจังหวัด 

ทั้งนี้ นายชยันต์ ศิริมาศ ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวว่า ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดให้มีกิจกรรมต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในพื้นที่อ่างเก็บน้ำธวัชชัย เช่น กิจกรรมจิตอาสา กิจกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรม พร้อมให้จัดทำผังการพัฒนาเชื่อมโยงไปยังสถานที่สำคัญและแหล่งท่องเที่ยวในบริเวณใกล้เคียง พร้อมย้ำว่าการพัฒนาของจังหวัดร้อยเอ็ดควรเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจโดยควรทำเรื่องสุขภาพโดยเฉพาะการดูแลผู้สูงวัย เนื่องจากจังหวัดร้อยเอ็ดมีศักยภาพด้านการสาธารณสุข พร้อมทั้งต้องพัฒนาพื้นที่โดยรอบควบคู่ไปกับการสร้างพุทธมณฑลจังหวัดร้อยเอ็ด


ภาพ/ข่าว  โกสิทธิ์ / ร้อยเอ็ด(ห)

หนองบัวลำภู - สนง.เกษตรหนองบัวลำภู ทำโครงการสมุนไพรต้านภัยโควิด-19 ผลิตฟ้าทะลายโจรแจกเกษตรกรกว่า 2 หมื่นต้น พร้อมสนับสนุนผลิตเชิงการค้า

นายอำพน ศิริคำ เกษตรจังหวัดหนองบัวลำภู กล่าวว่า จากการที่ได้เกิดวิกฤตการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ไปทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อกว่า 220 ล้านคน คร่าชีวิตผู้คนกว่า 4.5 ล้านคน สำหรับในประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อกว่า 1.2 ล้านคน เสียชีวิตกว่า 12,000 คน และยังส่งผลทางเศรษฐกิจมหาศาลยากที่จะประเมิน ในประเทศไทยได้มีการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจรรักษาโรคดังกล่าวปรากฏว่าหายขาดไปแล้วเป็นจำนวนมาก

ดังนั้น สำนักงานเกษตรจังหวัดหนองบัวลำภู จึงได้ร่วมกับสำนักงานเกษตรอำเภอทุกอำเภอจัดทำโครงการสมุนไพรต้านภัยโควิด-19 โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้

1 ผลิตฟ้าทะลายโจรแจกเกษตรกรและประชาชนทั่วไป

2 ส่งเสริมเกษตรกรผลิตฟ้าทะลายโจรเชิงการค้าเชิงการค้า

โดยมีเป้าหมายผลิตฟ้าทะลายโจรภายในปี 2565 ไม่น้อยกว่า 20,000 ต้นโดยไม่ใช้งบประมาณของทางราชการ โดยมีแนวทางการดำเนินงานดังนี้

1.ผลิตแปลงแม่พันธุ์โดยรวบรวมต้นพันธุ์จากพื้นที่ต่างๆไม่น้อยกว่า 3,000ต้น

2.ขยายพันธุ์แก่เกษตรกรในจังหวัดหนองบัวลำภู

3 ส่งเสริมเกษตรกรที่สนใจจะปลูกเป็นการค้าโดยเน้นเป็นกลุ่ม เช่นวิสาหกิจชุมชน แปลงใหญ่  โดยจะสนับสนุนความรู้วิชาการ กระบวนการผลิต และส่งเสริมด้านการตลาดด้วย

ทั้งนี้เนื่องจากฟ้าทะลายโจรจากอดีตราคาซื้อขายตันละประมาณ 20,000 บาทเศษ ขณะนี้ได้ขยับตัวสูงขึ้นอีกกว่าเท่าตัวและยังไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด ดังนั้นจึงเป็นโอกาสดีของเกษตรกรที่จะปลูกฟ้าทะลายโจรสร้างรายได้โดยใช้หลักตลาดนำการผลิต ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

เกษตรจังหวัดหนองบัวลำภู  กล่าวอีกว่า ขณะนี้ในแต่ละสัปดาห์ เจ้าหน้าที่ของสำนักงานเกษตรจังหวัดหนองบัวลำภู ทุกระดับ จะช่วยกันนำดินกรอกถุงดำและทยอยตัดชำต้นฟ้าทะลายโจรเป็นระยะ ๆ แล้วจะทยอยทำไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์คาดว่าจะเริ่มแจกเกษตรกรได้ราวเดือนมกราคม 2565 ซึ่งจะได้แจ้งให้ทราบในโอกาสต่อไป

ดังนั้น เกษตรกรกลุ่มพืชสมุนไพร หรือกลุ่มวิสาหกิจชุมชน หรือแปลงใหญ่ กลุ่มใด สนใจจะปลูกฟ้าทะลายโจรเชิงการค้าขอให้สมัครได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอทุกอำเภอในจังหวัดหนองบัวลำภูหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่สำนักงานเกษตรจังหวัดหนองบัวลำภู โทรศัพท์ 042-313301 , 042-316788


ภาพ / นายอำพน ศิริคำ เกษตรจังหวัดหนองบัวลำภู พร้อมด้วยหัวหน้ากลุ่ม หัวหน้าฝ่าย นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร เจ้าพนักงานธุรการ คนงาน พนักงานขับรถยนต์ ร่วมกันผลิตขยายพันธุ์ฟ้าทะลายโจร

กาฬสินธุ์ – หมอใหญ่เตือน! เปิบเนื้อหมูดิบ เสี่ยงป่วยโรคหูดับเสียชีวิต แนะผู้บริโภคต้องไม่ประมาท โดยเลือกซื้อเนื้อสุกรจากแหล่งที่เชื่อถือได้

นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์เตือนบริโภคเนื้อหมูดิบเสี่ยงได้รับเชื้อและป่วยโรคหูดับเสียชีวิต หลังพบโรคหูดับในภาคเหนือ แต่ยังไม่พบในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ แนะผู้บริโภคต้องไม่ประมาท โดยเลือกซื้อเนื้อสุกรจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และนำมาปรุงสุกก่อนบริโภค เพื่อความปลอดภัย

เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2564 จากการติดตามบรรยากาศการประกอบอาชีพ ของเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร และในกลุ่มผู้นิยมบริโภคเนื้อสุกรในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ โดยผู้บริโภคเนื้อสุกรหลายรายมีความกังวล ว่าจะเกิดการแพร่ระบาดเหมือนโรคลัมปี สกิน ในโค หรือโรคเพิร์ส ในสุกรในพื้นที่หรือไม่ หลังพบมีการแพร่ระบาดของโรคหูดับ ในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย และพบว่ามีผู้ป่วยหลายรายได้รับเชื้อ มีอาการรุนแรงและเสียชีวิต ซึ่งทางด้านนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ยืนยันยังไม่พบในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ พร้อมเตือนบริโภคเนื้อหมูดิบเสี่ยงได้รับเชื้อและป่วยโรคหูดับเสียชีวิต และควรนำมาปรุงสุกก่อนบริโภค เพื่อความปลอดภัย

นายแพทย์อภิชัย ลิมานนท์ นายแพทย์สาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า จากกรณีการเกิดโรคหูดับในบางจังหวัดเขตภาคเหนือของประเทศไทย ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมานั้น ซึ่งมีทั้งผู้ได้รับเชื้อและเสียชีวิต สาเหตุเกิดจากการบริโภคเนื้อสุกรที่ไม่ผ่านการปรุงสุก ทั้งนี้ อาจจะมีพื้นฐานมาจากวัฒนธรรมการบริโภคเนื้อสุกรดิบ จึงเป็นความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อดังกล่าว ทั้งนี้ โรคหูดับหรือ โรคติดเชื้อสเตรฟโตคอกคัส ซูอิส (Streptococcus Suis) เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย  สามารถเข้าสู่ร่างกายของคนได้ 2 ทาง คือการบริโภคเนื้อสุกร เครื่องในสุกร หรือเลือด ที่ไม่ผ่านการทำให้สุก เช่น ลาบ ลู่ ปิ้งย่างที่ไม่สุก นอกจากนี้ยังเข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผล รอยถลอก เยื่อบุตา จากการสัมผัสโรค หรือสุกรที่เป็นโรค

นายแพทย์อภิชัย กล่าวอีกว่า เชื้อดังกล่าว ที่ปกติจะอยู่ในสุกรเกือบทุกตัว โดยฝังอยู่ในต่อมทอนซิลของสุกร แต่ไม่ได้ก่อให้เกิดโรค แต่เมื่อร่างกายอ่อนแอ เครียด หรือป่วย โรคจะไปกดภูมิคุ้มกัน แบคทีเรียตัวนี้จะเพิ่มจำนวน และทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือดและทำให้สุกรป่วยและตายได้ เมื่อนำเนื้อสุกรที่ตายด้วยโรคดังกล่าวมาบริโภคโดยไม่ผ่านการปรุงสุก จึงทำให้เชื่อเข้าสู่ร่างกายและเจ็บป่วย ในรายที่อาการรุนแรงทำให้เสียชีวิตได้

“อาการของผู้ป่วยโรคหูดับ หลังได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกายภายใน 3 วันจะมีอาการไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ปวดตามข้อ มีจ้ำเลือดตามตัว ตามผิวหนัง ซึม คอแข็ง ชัก มีการเปลี่ยนแปลงระดับความรู้สึก เมื่อเชื้อเข้าสู่เยื่อหุ้มสมอง และกระแสเลือด ทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ข้ออักเสบ ม่านตาอักเสบ เนื่องจากเยื่อหุ้มสมองอยู่ใกล้กับประสาทหูชั้นในทั้งสองข้าง เชื้อจึงสามารถลุกลาม จึงทำให้เกิดหนองบริเวณปลายประสาทรับเสียง และปลายประสาททรงตัว ทำให้หูตึง หูดับ จนกระทั่งหูหนวก ซึ่งอาการทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นภายใน 14 วัน หลังจากเริ่มมีอาการไข้ และหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที ผู้ป่วยจะเสียการได้ยิน และอาจชีวิตในเวลาต่อมา” นายแพทย์อภิชัยกล่าว

นายแพทย์อภิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคนี้ไม่มีประวัติพบผู้ป่วยในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ ทั้งนี้ อาจจะมีผลมีจากชาว จ.กาฬสินธุ์ ไม่นิยมบริโภคเนื้อสุกรดิบ อย่างไรก็ตาม เพื่อความไม่ประมาทและไม่เกิดความกังวลในการบริโภคเนื้อสุกร จึงขอประชาสัมพันธ์ไปถึงผู้บริโภค เลือกซื้อเนื้อหมูจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และนำมาปรุงสุกก่อนบริโภค เพื่อความปลอดภัยก็จะไม่เสี่ยงกับการได้รับเชื้อโรคต่าง ๆ เช่น เชื้อพยาธิ โรคท้องร่วง และป่วยโรคหูดับเสียชีวิตดังกล่าว

ตม.สุราษฎร์ธานี ลุยจับ!! เมียนมาหัวโจกขบวนการ พร้อมแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ฝ่าฝืนมาตรการป้องกันโควิด-19

พ.ต.อ.ศุภฤกษ์ พันธ์โกศล ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี  ได้แถลงผลจับกุมขบวนการนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง นำโดย ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี  พร้อมด้วยชุดปฏิบัติการกลางที่ 9 ตร. โดย พ.ต.ท.ชาตรี ชูแก้ว รอง ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี, พ.ต.ท.ธีระวัฒน์ อํานาจเจริญยิ่ง สว.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี, ร.ต.อ.สิริวัฒน์ สมหวัง รอง สว.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี, ร.ต.อ.กันต์ อักษรทอง รอง สว.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี พร้อมเจ้าหน้าที่ประจำชุดปฏิบัติการฯ ได้ทำการสืบสวนหาข่าว และออกสืบสวนจับกุมขยายผล ขบวนการนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง

สืบเนื่องจากได้รับแจ้งข้อมูลว่า เมื่อวันที่ 6 ก.ย.64 เวลาประมาณ 17.00 น. มีการจับกุมขบวนการนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองที่ จว.ชุมพร โดยจะมีการนำมาส่งให้นายฮูเซ็น สัญชาติเมียนมา ที่ อ.เวียงสระ จว.สุราษฎร์ธานี จึงสนธิกำลังร่วมกับจนท.ตร.กก.สส.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี,สภ.เวียงสระ และ จนท.ศรภ.บก.ทท.วางแผนตรวจสอบ จนกระทั่งสามารถร่วมกันจับกุมตัว นางสาวชู อา ลิน สัญชาติ เมียนมา ผู้ถูกจับที่ 1 และ Mr.Man Jo Min หรือนายฮูเซ็น สัญชาติ เมียนมา ผู้ถูกจับที่ 2 (หัวโจกขบวนการ) โดยกล่าวหา  ผู้ถูกจับที่ 1 ว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” ผู้ถูกจับที่ 2 ว่า “รู้ว่าคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม”  พร้อมด้วยของกลาง ได้แก่รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า,  โทรศัพท์มือถือ จำนวน 2 เครื่อง,ซิมการ์ด จำนวน 1 ซิม โดยจับกุมได้ที่บริเวณห้างสรรพสินค้าโลตัส สาขาเวียงสระ ม.1 ต.เวียงสระ อ.เวียงสระ จว.สุราษฎร์ธานี  โดยในชั้นจับกุม ผู้ถูกจับที่ 1 ให้การรับสารภาพว่าหลบหนีเข้าเมืองมาตามช่องทางธรรมชาติอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และมาพักอาศัยอยู่กับผู้ถูกจับที่ 2 ตั้งแต่เดือน ก.ค.2564  จึงได้นำตัวผู้ถูกจับพร้อมของกลาง ส่งพงส.สภ.เวียงสระ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ได้สืบสวนขยายผล ทราบว่า นานฮูเซ็นฯได้นำคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาอีก 3 คน ซ่อนตัวไว้ที่บ้านพักเลขที่ 59/7 ม.5 ต.คลองฉนวน อ.เวียงสระ จว.สุราษฎร์ธานี จึงได้ไปตรวจสอบ จนกระทั่งสามารถร่วมกันจับกุมตัว น.ส.ลาลาเมิด สัญชาติ เมียนมา ผู้ถูกจับที่ 3, น.ส.เคียน ชา อายุ 30 ปี สัญชาติ เมียนมา ผู้ถูกจับที่4, น.ส.จู จู เมียนนาน อายุ 20 ปี สัญชาติ เมียนมา ผู้ถูกจับที่ 5 โดยกล่าวหา ผู้ถูกจับที่ 3-5 ว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”พร้อมด้วยของกลาง โทรศัพท์มือถือ จำนวน 1 เครื่อง จับกุมได้บริเวณบ้านเลขที่ 59/7 ม.5 ต.คลองฉนวน อ.เวียงสระ จว.สุราษฎร์ธานี

ในชั้นจับกุม ผู้ถูกจับที่ 3-5 ให้การรับสารภาพว่าได้เดินทางเข้ามาตามช่องทางธรรมชาติ อ.แม่สอด จว.ตาก เมื่อวันที่ 30 ส.ค.64 และเดินทางด้วยรถตู้ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน มาพบนายฮูเซ็นฯที่ จว.สุราษฎร์ธานี โดยนายฮูเซ็นฯ ได้พามาพักที่บ้านหลังดังกล่าวเพื่อรอเดินทางออกไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย จนท.จึงได้นำตัวผู้ถูกจับทั้งสาม พร้อมด้วยของกลาง นำส่ง พงส.สภ.เขานิพันธ์ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.เขานิพันธ์ ให้ดำเนินคดีกับ นายฮูเซ็นฯ สัญชาติเมียนมา ในข้อหา “รู้ว่าคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม” ตามกฎหมายต่อไป

พ.ต.อ.ศุภฤกษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การจับกุมดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายและมาตรการในการป้องกันปราบปรามของ พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส รอง ผบก.ตม.6 ที่ได้สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัด ดำเนินการสืบสวน ปราบปราม และเข้มงวดกวดขัน จับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามากระทำผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งขบวนการนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองนั้น ถือว่าเป็นพฤติการณ์ที่เชื่อว่าเป็นภัยต่อสังคมหรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือความปลอดภัยของประชาชน และความมั่นคงของประเทศได้ พร้อมทั้งได้กำชับให้ดำเนินการสืบสวน จับกุมอย่างต่อเนื่องเพื่อดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป  หากประชาชนพบเห็น หรือต้องการแจ้งเบาะแสการกระทำความผิดในพื้นที่ จว.สุราษฎร์ธานีให้แจ้งได้ที่ สายด่วน สตม. 1178 หรือที่ ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้ทุกจุด

สภากาชาดไทย จับมือ GGC และ สแตนดาร์ด แมนูแฟคเจอริ่ง ลงนาม MOU ความร่วมมือบริจาค โครงการ “มอบชุดธารน้ำใจสู่ผู้สูงวัย ที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ทั่วประเทศ”

นายขรรค์ ประจวบเหมาะ ผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย , นายไพโรจน์ สมุทรธนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) และนายจิรโรจน์ ลัญฉนะวณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สแตนดาร์ด แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด

ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือบริจาคเพื่อโครงการ “มอบชุดธารน้ำใจสู่ผู้สูงวัยที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ทั่วประเทศ” โดย GGC ได้สนับสนุนเจลแอลกอฮอล์ภายใต้แบรนด์ CHOB จากโครงการ Green Health Project มูลค่า 1,353,550 บาท เพื่อนำไปบรรจุลงในชุดธารน้ำใจสู่ผู้สูงวัยมอบให้แก่กลุ่มผู้เปราะบาง ผู้สูงอายุในภาวะพึ่งพิง ติดบ้าน ติดเตียง ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ณ สำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top