Wednesday, 14 May 2025
THE STATES TIMES TEAM

ลงแขกอัฟกา​นิสถาน ศึกชิงผลประโยชน์จาก​ 3​ ชาติมหาอำนาจ​ อิสรภาพยังเป็นแค่ภาพลวงตา​ | Knowledge Times EP.19

????รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘KnowLedge Times’
???? ลงแขกอัฟกา​นิสถาน ศึกชิงผลประโยชน์จาก​ 3​ ชาติมหาอำนาจ​ อิสรภาพยังเป็นแค่ภาพลวงตา​

การถอนกองกำลังทหารของสหรัฐฯ ออกจากอัฟกานิสถานไปก่อนหน้านี้​ พร้อม ๆ​ กับการประกาศชัยชนะของกลุ่มตอลิบานทันทีนั้น​ อาจจะดูเหมือนโฉมใหม่ของอัฟกานิสถานในฐานะประเทศจะกลับมาอย่างชัดเจน

แต่ทันทีที่สหรัฐฯ​ ถอย!! จีนและรัสเซีย​ ก็เข้ามาเสียบเชื่อมความสัมพันธ์กับตอลิบานอย่างรวดเร็ว

กลุ่มอำนาจใหญ่ ๆ​ ในอัฟกานิสถาน​ ณ​ ตอนนี้​ จึงประกอบไปด้วย 3 ฝ่ายด้วยกัน ได้แก่ ตอลิบาน จีน​ และ​ รัสเซีย 

จากภาพภูมิทัศน์ทางรัฐศาสตร์นี้​ หลายคนคงเชื่อว่าสหรัฐ​ฯ​ หน้าแหก และยกธงขาวในเวทีผลประโยชน์ถิ่นอัฟกันฯ ที่เชื่อว่าเต็มไปด้วย​ Rare​ Earth​ สำคัญแห่งอนาคต

แต่แท้จริงแล้ว​ นี่เป็นเพียงแผนเปลี่ยนรูปแบบการรบของสหรัฐฯ จากเดิมที่สิ้นเปลืองงบไปกับกองกำลังคนและยุทโธปกรณ์ ซึ่งไม่คุ้มเสีย เปลี่ยนมาใช้ยุทธวิธีการ​ 'ก่อการร้าย'​ เพื่อ 'บ่อนเซาะทำลาย'​ อำนาจของกลุ่มตอลิบานที่ได้รับการหนุนหลังจากจีนและรัสเซียแทน

นี่คือเหตุการณ์ที่น่าติดตาม​ ซึ่งกำลังซ้ำรอยประวัติศาสตร์​ โดยเปรียบเทียบได้กับกรณีการเข้ายึดหาผลประโยชน์ในอัฟกานิสถานของสหภาพโซเวียตและสหรัฐฯ ช่วงยุคสงครามเย็นเมื่อปี 1970 ซึ่งครั้งนั้น​ 'ภาพ​ของโซเวียตหรือรัสเซีย'​ กำลังซ้ำรอยเดียวกันกับสหรัฐฯ​ ในปัจจุบัน

ย้อนไปในช่วงเวลานั้น​ อัฟกานิสถานได้พัฒนาประเทศไปถึงขีดสุดจากการเปิดรับโลกทุนนิยมเข้ามา​ และก็ไปเตะตาประเทศมหาอำนาจอย่าง​ โซเวียต และ​สหรัฐฯ​ 

โดยโซเวียตได้เข้ามาแทรกแซงในอัฟกานิสถาน มีการฝึกกองกำลัง รวมไปถึงเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ จึงทำให้มีการต่อสู้กันระหว่างฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย

ส่งผลให้เกิดสงครามในอัฟกานิสถาน​ และส่งผลให้โซเวียตตัดสินใจส่งกองกำลังเข้ามายึดกรุงคาบูล แต่ในที่สุดโลกเสรี​ หรือจะเรียกว่าสหรัฐฯ​ ก็ได้นั้น​ ก็ตอบโต้โซเวียตด้วยการสร้างขบวนการกลุ่มนักรบมูจาฮีดีน ที่มีความชำนาญในพื้นที่และเร้นกายตามหุบเขา ทำให้อาวุธของสหภาพโซเวียต ด้อยประสิทธิภาพไปในทันที

อีกทั้ง​ กลุ่มมูจาฮีดีน​ ซึ่งได้รับเครื่องยิงเฮลิคอปเตอร์มา ก็ตอบโต้สหภาพโซเวียตได้เจ็บแสบ​ ส่งผลให้เฮลิคอปเตอร์เสียหายไปหลายลำจนสุดท้ายต้องถอยทัพไปในที่สุด

ผลของสงครามครั้งนั้น​ ที่มี​ สหภาพโซเวียต -​ สหรัฐฯ และกลุ่มมูจาฮีดีน ทำให้สหภาพโซเวียตสิ้นเปลืองงบประมาณมากมายมหาศาล เป็นสาเหตุหลักหนึ่งที่ทำให้สหภาพโซเวียตประสบปัญหาในทางเศรษฐกิจและในที่สุดก็ต้องประกาศนโยบาย Perestroika นำไปสู่การปฏิรูปและล่มสลายลงในสมัย มิคาเอล​ กอร์บาชอฟ​ และ​ บอริส เยลต์ซิน เป็นต้นมา

ดังนั้นยุทธภูมิของอัฟกานิสถานในตอนนี้​ เป็นรอยซ้ำที่เปลี่ยนสถานะกันเท่านั้น​ หรือก็คือสหรัฐฯ​ ก็เดินซ้ำรอยของโซเวียตในอดีต

แต่สิ่งที่น่าจับตา คือ​ มหาอำนาจขั้วใหม่อย่างจีน​ ที่อัฟกานิสถานหันไปจับมือด้วย​ เดินเกมในแบบสร้างประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ​ร่วมกัน

อัฟกาฯ​ มีแร่สำคัญ​ ส่วนจีนก็มีเส้นทางสำคัญของโครงการ Belt and Road Rout ที่​ 4 ซึ่งต้องผ่านอิหร่านและผ่านมาทางอัฟกานิสถานเท่านั้น

ฉะนั้นอย่าเพิ่งด่วนสรุปว่า​ สถานการณ์ในอัฟกานิสถานสวยงาม​ อิสรภาพและเสรีภาพจะหวนคืน​ เพราะนาทีนี้​ 3​ ขั้วมหาอำนาจ​ มีแผนเดินเกมใช้เวทีอัฟกาฯ​ เป็นสมรภูมิรบเพื่อประโยชน์บางประการชัดเกินชัด

แค่พลิกบทบาท!! แต่ยังแย่งชิงอำนาจกันจนกว่าจะกลายเป็นหนึ่งเดียวในโลกที่ครอบครองอัฟกานิสถานได้แบบเบ็ดเสร็จที่สุด...

.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
- ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
- รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
- สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
- แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

กอ.รมน.จังหวัดฉะเชิงเทรา มอบอุปกรณ์การแพทย์ป้องกัน โควิด-19 ให้หน่วยกู้ภัยฉะเชิงเทราและกู้ภัยบางคล้า สนับสนุนบุคคลากรด่านหน้าที่มีความเสี่ยงสัมผัสเชื้อ

วันนี้ (15 ก.ย.64) ที่สมาคมสงเคราะห์การกุศลฉะเชิงเทรา อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา พันเอกเฉลิม เนียมช่วย รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดฉะเชิงเทรา มอบอุปกรณ์การแพทย์ป้องกัน โควิด-19 ให้แก่หน่วยกู้ภัยฉะเชิงเทรา และหน่วยกู้ภัยบางคล้า โดยมีนายปัญญา หลำประเสริฐ นายกสมาคมสงเคราะห์การกุศลหน่วยกู้ภัยฉะเชิงเทรา เป็นผู้แทนรับมอบ ประกอบด้วย ชุดกาวน์ CPE จำนวน 300 ชุด / หมวกตัวหนอน จำนวน 300 ชิ้น / Face Shield จำนวน 300 ชิ้น / แอลกอฮอล์ ขนาด 5 ลิตร จำนวน 10 แกลลอน / ถุงครอบรองเท้า จำนวน 300 คู่ / แมส KN 95 จำนวน 180 แพ็ค รวมมูลค่ากว่า30,000 บาท

ทั้งนี้ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ได้กระจายแพร่ไปวงกว้างและรุนแรง  หน่วยกู้ภัยฉะเชิงเทราและกู้ภัยบางคล้า เป็นองค์กรที่เป็นจิตอาสา อาสาสมัคร ผู้เสียสละ ทุ่มเท และมุ่งมั่น เพื่อช่วยเหลือเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปโรงพยาบาล และเคลื่อนย้ายผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 ไปบำเพ็ญกุศล แต่ยังขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์เป็นจำนวนมาก  วันนี้ ทางกอ.รมน.จังหวัดฉะเชิงเทรา จึงได้รวบรวบอุปกรณ์ทางการแพทย์ป้องกัน โควิด-19 สิ่งที่หน่วยกู้ภัยฯ บุคคลากรด่านหน้าที่ต้องการนำมามอบให้ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและปฏิบัติหน้าที่ให้มีความปลอดภัย

วิทยาลัยสารพัดช่างบรรหาร-แจ่มใส จังหวัดสุพรรณบุรี จัดโครงการอาชีวศึกษาเพื่อ "คนพิการ" และพัฒนาทักษะวิชาชีพ

วันที่ 15 กันยายน 2564 ณ.วิทยาลัยสารพัดช่างบรรหาร- แจ่มใส จังหวัดสุพรรณบุรี "นายไพบูลย์ คำภาพักตร์ " ผู้อำนวยการฯ ร่วมกับศูนย์ส่งเสริมประสานงานกิจการนักศึกษา และกิจการพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา  ได้จากโครงการอาชีวศึกษาเพื่อคนพิการและพัฒนาทักษะวิชาชีพสำหรับผู้เรียนคนพิการทางสติปัญญาระหว่างวันที่ 13-17 กันยายน 2564 ได้รับเกียรติ จาก "นายวีระ ทวีสุข" ศึกษาธิการจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นประธานในพิธีเปิดงานซึ่งโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนที่มีความบกพร่องทางร่างกาย และสติปัญญา มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะอาชีพ มีอาชีพ มีฝีมือและส่งผลการสร้างอาชีพการมีรายได้ และมีงานทำโดยจัดอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น วิชาการทำขนมและอาหารว่าง / วิชากาแฟเพื่ออาชีพและวิชาตัดผมชาย

ในการนี้ "นายชัยพร ภูผารัตน์" ผู้อำนวยการสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย ได้ให้เกียรติลงพื้นที่ให้กำลังใจ ครูผู้สอนวิชาชีพ และนักศึกษาคนพิการที่เข้าร่วมรับการฝึกอบรม อีกทั้งยังได้มีการพูดคุยกับ "นายสนธยา รอสูงเนิน" รองผู้อำนวยการฝ่ายแผน และ "นางวัชราภรณ์ มาหนู" รองผู้อำนวยการฝ่ายยริการทรัพยากรเพื่อ ให้ความรู้ความเข้าใจการออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวกคนพิการ และ Universal Design

"นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล" นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทย และตำแหน่ง คณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการด้านแรงงาน ได้ให้กำลังใจกับครูผู้สอนและนักศึกษาคนพิการที่เข้ารับการฝึกอบรม อีกทั้งยังมีการพูดคุยหารือในการส่งเสริมให้คนพิการมีอาชีพที่สามารถทำงานได้จากที่บ้าน ภายในชุมชน ในเขตพื้นที่ที่คนพิการอยู่อาศัย จะเป็นการสร้างรายได้อีกช่องทางหนึ่ง และยังมีการหารือ การส่งเสริมและเพิ่มทักษะ การพัฒนาฝีมืออาชีพด้านแรงงานต่าง ๆ ที่คนพิการอาจจะมีความถนัดและเหมาะสมกับทางกายภาพของคนพิการเพื่อเข้าสู่ระบบสังคมการมีงานทำได้ในวันข้างหน้า และใช้นี้ยังได้กล่าวขอบคุณวิทยากรสารพัดช่างบรรหาร- แจ่มใสสุพรรณบุรี และ นายลงไปวันเสาร์นายกสมาคมคนพิการภาคตะวันออก ที่เป็นหัวเรี่ยว หัวแรง ในการผลักดันให้คนพิการมีโอกาส การเข้าถึงอาชีพของคนพิการต่อไป

ขอนแก่น - พร้อมจัดการเลือกตั้ง อบต.140 แห่ง “อภินันท์” ย้ำชัด! ว่าที่ผู้สมัครต้องเตรียมตัวให้พร้อมตามระเบียบที่กำหนด เตือนผู้ใจบุญฉวยโอกาสโควิดมอบสิ่งของแฝงหาเสียง หากมีการร้องเรียนต้องเข้ารับการสอบสวนทันที

เมื่อเวลา 08.30 น.วันที่ 15 ก.ย. 2564 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำ จ.ขอนแก่น หรือ กกต. นายอภินันท์  จันทร์อุปละ ผอ.กกต.ขอนแก่น เปิดเผยว่า ขณะนี้การเตรียมการเลือกตั้ง อบต.ภาพรวมของ จ.ขอนแก่น ภายหลังจากที่ ครม.มีมติเห็นชอบให้มีการจัดการเลือกตั้ง และ กกต.กลางได้กำหนดแผนการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาฯและ นายก อบต. โดยมีการส่งเรื่องให้กับ กกต.จังหวัดได้รับทราบแล้วนั้น ซึ่งขณะนี้ กกต.ขอนแก่น ได้มีการประสานงานไปยัง อบต. 140 แห่งที่ต้องจัดการเลือกตั้งในแผนการจัดการเลือกตั้งตามที่ กกต.กำหนด เพื่อให้ ปลัด อบต.ฯทุกแห่ง ในฐานะ ผอ.กกต.ประจำ อบต.ได้ดำเนินการตามแผนการจัดการเลือกตั้งโดยเฉพาะการเสนอรายชื่อ กกต.อบต.แห่งละ 3 คนให้กับ กกต.พิจารณาแต่งตั้งให้แล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย.เนื่องจากการประกาศให้มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาฯและ นายก.อบต.ในวันที่ 1 ต.ค.ดังนั้นนอกจากการที่ สมาชิกสภาฯและ นายก อบต.ทั้งประเทศจะต้องหยุดปฎิบัติหน้าที่ในวันที่ 30 ก.ย.แล้ว ขั้นตอนการดำเนินงานของ ผอ.กกต.อบต.จะต้องดำเนินการในด้านต่าง ๆ จะต้องเป็นไปตามแนวทางที่ กกต.ได้กำหนดไว้ในภาพรวมเช่นกัน

“การเลือกตั้ง อบต.ที่จะเกิดขึ้น ตามการประกาศของ กกต.ให้มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาฯและ นายก อบต.ทั้งประเทศในวันที่ 1 ต.ค. ซึ่งในแผนงานดังกล่าวการรับสมัครรับการเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 11-15 ต.ค.และกำหนดให้มีการจัดการเลือกตั้งในวันที่ 28 พ.ย. ดังนั้นว่าที่ผู้สมัคร สมาชิกสภาฯและนายกฯ จะต้องเตรียมเอกสารหลักฐานและดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติ รวมทั้งระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ที่ กกต.กำหนดไว้ 26 ข้อ ที่ถือเป็นกฎเหล็กของการสมัครรับการเลือกตั้งในครั้งนี้อย่างไรก็ดี การเลือกตั้ง อบต.ทั้ง 140 แห่งของ จ.ขอนแก่น ในครั้งนี้ ซึ่งมีทั้งหมด 1,546 หน่วยเลือกตั้ง ซึ่ง กกต.กำหนดเขตเลือกตั้ง คือ 1 หมู่บ้าน 1 เขต มีสมาชิก อบต.ได้ 1 คน ขณะที่ นายก อบต. คือ 1 ตำบลคือ 1 เขตเลือกตั้ง ยังคงมั่นใจว่าชาวขอนแก่นจะให้ความสนใจในการออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งแบวิถีใหม่นิวนอมอลกันอย่างพร้อมเพรียง”

นายอภินันท์ กล่าวต่ออีกว่า การจัดการเลือกตั้งโดยเฉพาะสถานที่สำหรับการจัดการเลือกตั้งนั้น กกต.ประจำ อบต.ทุกตำบล จะต้องปฎิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุขขอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะคูหาเลือกตั้งที่จะต้องมีการแยกคูหาเฉพาะสำหรับผู้ที่ไข้สูงหรือกลุ่มเสี่ยง ขณะที่ อบต.บางแห่ง อาจจะมีการทำฉากกั้นในช่อลงคะแนนเพื่อความปลอดภัยของผู้ที่มาใช้สิทธิ์ลงคะแนน ซึ่งในการเลือกตั้งเทศบาลฯที่ผ่านมา อบต.หลายแห่งได้มาดูงานและร่วมเป็นคณะทำงานในการจัดการเลือกตั้งแล้ว ดังนั้นในการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นมั่นใจว่า ทุก อบต.จะดำเนินการจัดการเลือกตั้งที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่ถึงอย่างไรยังคงแจ้งเตือนว่าที่ผู้สมัครทุกคนว่าอย่าฉวยโอกาสในสถานการณ์โควิดที่กำลังเกิดขึ้นในการมอบสิ่งของ หรือกระทำการที่หมื่นเหมาต่อกฎหมาย ซึ่งแม้ว่า ตามกฎหมายคือตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.เป็นต้นไปจะเข้าสู่ช่วงเลือกตั้งแต่การกระทำการใดที่หมิ่นเหม่และขัดต่อกฎหมายเลือกตั้งซึ่งว่าที่ผู้สมัครทุกคนนั้นรู้ถึงข้อกฎหมายอยู่แล้ว ดังนั้นหากมีการร้องเรียน กกต.จะต้องมีการสอบสวนทันทีโดยไม่ละเว้น และในการเลือกตั้ง ผู้ที่ปฎิบัติหน้าที่ อสม. สามารถลงสมัครรับการเลือกตั้งได้โดยกระทรวงมหาดไทยได้มีเอกสารชี้แจงในประเด็นดังกล่าวนี้มาแล้ว

“สัณหพจน์” ลุยแก้ปัญหา “ปาล์มน้ำมัน” ภาคใต้ ตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมเบรกผลศึกษากรมการค้าภายใน

ดร.สัณหพจน์ ประธานอนุกมธ.ปาล์มน้ำมัน พร้อมคณะกมธ.ที่มีนายวีระกร คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์ เป็นประธาน ลงพื้นที่ ชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันกระบี่ ตรวจสอบข้อเท็จจริงการขาดทุน และการบริหารจัดการหนี้กว่า 1,000 ล้านบาท หวั่นส่งผลกระทบเกษตรกรชาวสวนปาล์มภาคใต้ พร้อมติดเบรกผลการศึกษาโครงสร้างราคาปาล์มน้ำมัน ของกรมการค้าภายใน ตั้งข้อสงสัยช่วยโรงงาน หรือเกษตรกร

ดร.สัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.เขต 2 จ.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาโครงสร้างราคาการตรวจสอบการลักลอบการนำเข้าน้ำมันปาล์ม และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการบริหารจัดการปาล์มน้ำมันอย่างเป็นระบบ (กมธ.ปาล์มน้ำมัน) เปิดเผยว่า ตนได้ลงพื้นที่จ.กระบี่ พร้อมคณะกมธ. เพื่อตรวจสอบกระบวนการและโครงสร้างการรับซื้อปาล์มน้ำมันดิบ และปัญหาหนี้สินของชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันกระบี่ จำกัด

ทั้งนี้ความคืบหน้า กรณีปัญหาขาดทุนของชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันกระบี่ จำกัด ซึ่งอยู่ในระหว่างการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถึงเรื่องความโปร่งใสในการบริหาร

สำหรับกรณีปัญหาดังกล่าว ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสหกรณ์ปาล์มน้ำมันจำนวน 13 แห่ง ในพื้นที่ภาคใต้รวม 5 จังหวัดได้แก่ จ.กระบี่ ตรัง พังงา สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ซึ่งมีสมาชิกกว่า 20,000 คน รวมไปถึง เจ้าหน้าที่และแรงงาน ของชุมนุมสหกรณ์ฯ เอง และเจ้าหนี้ซึ่งเป็นสหกรณ์และวิสาหกิจชุมชนอีก 17 แห่ง ซึ่งชุมนุมสหกรณ์ฯ ได้ค้างชำระหนี้ค่าผลปาล์มสดกว่า 31 ล้านบาท

“ปัญหาเรื่องการจัดการหนี้สินของชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันกระบี่ จำกัด ซึ่งมีหนี้สินกว่า 1,000 ล้านบาท จึงทำให้ต้องมีการขายโรงงานสกัดปาล์มน้ำมันเพิ่ม เป็นแห่งที่ 2 แต่ก็ปรากฏว่า กรรมการฯ ยังไม่ความเข้าใจในส่วนกฎหมาย พ.ร.บ.สหกรณ์ มาตรา 20 ถ้าที่ประชุมใหญ่หรือที่ประชุมคณะกรรมการดําเนินการสหกรณ์ ลงมติอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ข้อบังคับระเบียบของสหกรณ์ ระเบียบหรือคําสั่งของนายทะเบียนสหกรณ์ ให้นายทะเบียนสหกรณ์ หรือรองนายทะเบียนสหกรณ์มีอํานาจสั่งยับยั้งหรือเพิกถอนมตินั้นได้

กมธ.จึงได้เชิญ นายประกอบ เผ่าพงศ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ มาให้ข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อที่จะได้ข้อมูลและดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง โดยมีประเด็นเรื่อง การเป็นกรรมการ มีหน้าที่กำหนดราคาซื้อขายโรงงานเอง และซื้อขายให้กับบริษัทที่ตนเองเป็นกรรมการมีอำนาจลงนามเอง โดยไม่ผ่านมติของที่ประชุมใหญ่ที่มีสมาชิกกว่า 20,000 คน ซึ่งผิดหลักการตาม พ.ร.บ.สหกรณ์ดังกล่าว ซึ่งเรื่องนี้เป็นอำนาจของอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ที่จะต้องเข้าไปดูแล และให้ความเป็นธรรมกับพี่น้องเกษตรกร

ในส่วนของการจ่ายหนี้สินพบว่า ชุมนุมสหกรณ์ มีหนี้สินที่ค้างชำระให้กับ ธ.ก.ส. เกือบ 700 ล้านบาท ที่สำคัญยังเป็นหนี้ค้างชำระค่าผลปาล์มสด  กับสหกรณ์และวิสาหกิจชุมชนอีก 17 แห่งมูลค่ากว่า 31 ล้านบาท รวมทั้งเจ้าหน้าที่และแรงงานอีก 323 คน กว่า 63 ล้านบาท โดยเฉพาะหนี้ของชาวสวนปาล์มน้ำมัน เจ้าหน้าที่และแรงงานนั้น ผมได้ให้ความคิดเห็นว่าควรจะต้องได้รับการเยียวยาก่อนเป็นอันดับแรก” ดร.สัณหพจน์ กล่าว

กรณีนี้ทำให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง เนื่องจากมีผู้เสียหายทั้งในส่วนของเกษตรกรที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ 13 แห่ง ในชุมนุมสหกรณ์ฯ และสหกรณ์-วิสาหกิจชุมชนซึ่งเป็นเจ้าหนี้อีก 17 แห่ง รวมผู้ได้รับผลกระทบอาจสูงถึง 20,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร เจ้าหน้าที่และแรงงาน ที่มีรายได้หลักของครอบครัวจากส่วนนี้ ดังนั้นหน่วยงานที่รับผิดชอบจำเป็นที่จะต้องเข้ามาตรวจสอบดูแลอย่างจริงจัง

ด้านเรื่องของการปรับโครงสร้างราคาปาล์มน้ำมัน แม้ว่าปัจจุบันราคาปาล์มทะลายจะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจาก อนุกมธ. ตรวจสอบการลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศอย่างจริงจัง รวมถึงนโยบายการส่งเสริมการใช้น้ำมันปาล์มของรัฐบาล แต่คณะอนุกมธ.เห็นว่า ยังต้องมีการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันปาล์มทั้งระบบ เพื่อให้คงราคาในต่ำกว่า 5 บาท ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้อย่างยั่งยืน

กรณีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ “มาเลเซียโมเดล” ที่พบว่ามีการวิเคราะห์และจัดทำโครงสร้างราคาผลผลิตจากปาล์มน้ำมันทั้งระบบ โดยใช้เปอร์เซ็นต์การให้น้ำมัน (Oil Extraction Rate : OER) ซึ่งเป็นค่าที่บอกถึงความสามารถการให้น้ำมันปาล์มของผลปาล์ม และจ่ายราคาในแต่ละส่วน เช่น ชั้นเนื้อปาล์ม (Mesocarp) มี %OER ที่ 24% ชั้นกะลา (Shell) มี %OER เฉลี่ยที่ 7% และชั้นเมล็ดใน (Kernel) มี %OER ที่เฉลี่ย 6%  แต่ต้องไม่ใช่การศึกษาและจัดทำโครงสร้างจากข้อมูลต้นทุนการผลิตของโรงงานผลิตน้ำมันปาล์ม

“ที่ผ่านมากรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ทำการศึกษาข้อสรุปของโครงสร้างราคาน้ำมันปาล์มทั้งระบบในประเทศ โดยวิเคราะห์จากข้อมูลต้นทุนการผลิตของโรงงานบีบสกัดน้ำมันปาล์มกว่า 30 แห่ง แล้วเอามาหาค่าเฉลี่ย เพื่อคิดเป็นต้นทุนค่าผลิต ซึ่งผิดต่อหลักการที่จะเอามาใช้เป็นสูตรในการคำนวณโครงสร้างราคา โดยค่าบีบน้ำมัน โรงงานของไทยที่เสนอมาอยู่ที่ 3-5 บาท ในขณะที่มาเลเซีย มีราคาค่าบีบน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 1.50 บาท/กก.

กมธ.ตั้งข้อสังเกตว่าในขณะที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย หรือสถาบันการศึกษาอื่นๆ ในภาคใต้ ซึ่งอยู่ในพื้นที่และมีผลงานการศึกษาวิจัยเรื่องของปาล์มน้ำมัน เป็นจำนวนมาก เหตุใดจึงไม่ว่าจ้างให้ทำการศึกษา โดยที่กรมการค้าภายในไม่ยอมเข้าให้ข้อมูลในกรณีดังกล่าว และอ้างว่า จะต้องให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) อนุมัติเสียก่อน จึงเป็นที่น่าสงสัย ถึงความโปร่งใส และความจริงใจในการทำงานของกรมการค้าภายใน ต่อการแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน

ดังนั้นเมื่อนำโครงสร้างราคาที่ตั้งต้นมาจากต้นทุนผลิตของโรงงาน มาใช้ในการรับซื้อผลปาล์มดิบ ผลประโยชน์จะตกอยู่ที่โรงงาน ทำให้โรงงานน้ำมันปาล์มในไทย คืนทุนเร็วภายใน 4 ปี มีกำไรกว่า 100 ล้านในทุกปี แต่พี่น้องเกษตรกรกลับไม่ได้รับความเป็นธรรม เมื่อพี่น้องเกษตรกรอยู่ไม่ได้ เลิกทำสวนปาล์ม เพราะต้นทุนการปลูกสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาปุ๋ย และค่าจ้างแรงงาน บวกกับโรงงานกดราคารับซื้อ ก็จะไม่มีผลผลิตเข้าไปป้อนโรงงาน ซึ่งจะกระทบต่ออุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร แรงงาน โรงงานน้ำมันปาล์ม รวมทั้งประชาชนทั้งประเทศซึ่งเป็นผู้บริโภค” ดร.สัณหพจน์ กล่าวในตอนท้าย

‘พันธมิตรจิตอาสา’ แท็กทีม! ส่งกำลังใจให้ POLICE ผ่านข้าวกล่องปันอิ่ม พบตำรวจนครบาลติดเชื้อโควิดกว่า 1,200 ราย เสียชีวิตแล้ว 12 นาย

วันที่ 14 กันยายน ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผบช.น. รับมอบข้าวกล่องอุ่นร้อนพร้อมรับประทานโครงการ “ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19” พร้อมเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ สมุนไพรฟ้าทะลายโจร หน้ากากอนามัย น้ำเสริมภูมิต้านโควิดร่างกาย จากสมาคมโฮมีโอพาธีย์ ประเทศไทย ข้าวสาร และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

จากเครือข่ายพันธมิตรจิตอาสา ประกอบด้วย สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย มูลนิธิสหชาติ กลุ่มบริษัทในเครือ เวิลด์เมดิคอลซัพพลาย ตัวแทนนักศึกษาสถาบันพระปกเกล้า หลักสูตรประกาศนียบัตรสิทธิมนุษยชนสำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่น 1 (ปสม.) หลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุข รุ่น 11-12 (สสสส.) นำโดย นายสมชาย จรรยา ผศ.ดร.ภูริวัจน์ ปุณยวุฒิปรีดา นายสมิษฐิ์ มหาปิยศิลป์ นายธนนนท ตุลาวสันต์ นางสาวพรทิพย์ เตชะสมบูรณากิจ และนายยิ่งยศ จิตเพียรธรรม ตัวแทนหลักสูตร บรอ.รุ่น 4 ส่งมอบเพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับข้าราชการตำรวจที่พักรักษาตัวอยู่ที่โรงแรม “เดอะ ทวิน ทาวเวอร์” ถนนรองเมือง นอกจากยังมอบอาหารพร้อมทานให้กับสื่อมวลชนภาคสนาม ที่ปักหลักรายงานข่าวใน บช.น. ด้วย

นายสมชาย จรรยา เปิดเผยว่า กลุ่มพันธมิตรจิตอาสา มีความห่วงใยข้าราชการตำรวจ เพราะทุกหน้างานมีความเสี่ยง มีตำรวจติดเชื้อโควิด-19 หลายนาย ลุกลามไปถึงครอบครัว และคนใกล้ชิด นั่นคือผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทุกอาชีพ ด้วยความห่วงใย ได้รวบรวมสิ่งของนำมาแบ่งปัน เพื่อสร้างรอยยิ้ม เติมความสุข เพราะเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

สำหรับโครงการ “ครัวปันอิ่ม” ของเครือซีพี ที่กลุ่มพันธมิตรจิตอาสา ทำหน้าที่เป็นสะพานบุญ นำมอบอาหารปรุงสำเร็จพร้อมทาน ส่งถึงมือชาวบ้านในยามหิว ดำเนินการต่อเนื่องทุกวัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคมเป็นต้นมา โดยลงพื้นที่ตามชุมชนต่าง ๆ ในลักษณะกระจายเพื่อให้ครอบคลุม ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และต่างจังหวัด ที่มีการแพร่ระบาดในระดับดพื้นที่สีแดงเข้ม

ด้านพล.ต.ต.สมนึก น้อยคง รองผบช.น. กล่าวว่า จากสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในเขตพื้นที่ของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พบมีข้าราชการตำรวจในสังกัดติดเชื้อแล้ว 1,236 ราย หายป่วยแล้ว 882 ราย เสียชีวิต 12 ราย คงเหลือรักษาตัว 342 คน โดยมีกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวัง 2,044 ราย ทำการกักตัว 277 ราย โดยมีการแยกกักตัวและรักษา ทั้ง ในโรงพยาบาลตำรวจ โรงแรม “เดอะ ทวิน ทาวเวอร์” แฟลตตำรวจ และตามบ้านพัก

พิจิตร - กอ.รมน.พิจิตร ร่วมกับเกจิดังเมืองพิจิตร ‘หลวงปู่นวล อัคคธัมโม’ ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ covid

ณ วัดศรีสุทธาวาส ต.ท้ายทุ่ง อ.ทับคล้อ กอ.รมน. จังหวัดพิจิตรนำโดย พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ นิลจันทร์ รอง ผอ.กอ.รมน.พิจิตรร ร่วมกับ พระครูพิเศษสุทธิคุณ หรือหลวงปู่นวล อัคคธัมโม เกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งเมืองพิจิตร จิตอาสา 904 และกลุ่มเพื่อนรักบางมูลนาก ร่วมกันทำกิจกรรมดี ๆ เพื่อสังคมในห้วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโรคโควิด ที่กำลังแพร่ระบาดส่งผลกระทบในการดำรงชีวิต รวมไปถึงเกิดพิษเศรษฐกิจทำให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่เกิดความยากลำบากในการดำรงชีวิต   

โดยความร่วมมือของภาคส่วนต่าง ๆ อาศัยศูนย์รวมใจของชาวพุทธก็คือวัด โดยหลวงปู่นวล นอกจากเป็นที่พึ่งทางใจของศาสนิกชนแล้ว ก็ยังมาสงเคราะห์ช่วยเหลือชาวบ้าน ในกิจกรรมครั้งนี้ ได้มอบข้าวสารอาหารแห้ง ยารักษาโรค นม และน้ำดื่ม จัดเป็นชุดมอบให้แก่ครัวเรือนที่ประสบปัญหาทางสังคม ได้แก่ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ ผู้ยากไร้ และผู้ประสบปัญหาว่างงาน บริเวณหมู่ที่ 11 ตำบลท้ายทุ่ง อำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร ในการนี้พระเดชพระคุณหลวงปู่นวล เกจิอาจารย์ชื่อดังได้ประพรมน้ำมนต์เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ ให้แก่เจ้าหน้าที่ที่มาร่วมพิธี และผู้ที่มารับของในการร่วมต่อสู้กับโรคร้ายด้วย


ภาพ/ข่าว  ไอซ์ ทับคล้อ มนสิชา คล้ายแก้ว

ลำปาง - มจร.วส.นครลำปางจัดกิจกรรม "ปันน้ำใจ เราไม่ทิ้งกัน ครั้งที่ 2" ครบรอบสถาปนา "134 มหาจุฬา

เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง จัดกิจกรรม โครงการ "ปันน้ำใจ เราไม่ทิ้งกัน ครั้งที่ 2" เนื่องในโอกาสครบรอบสถาปนา "134 มหาจุฬา" โดยทางกิจการนิสิตฯได้นำนิสิตบรรพชิตและคฤหัสถ์มาช่วยกันจัดทำข้าวกล่องเพื่อนำไปมอบให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนผู้มาฉีดวัคซีนที่วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ซึ่งเป็นโครงการ "ปันน้ำใจ เราไม่ทิ้งกัน" ครั้งที่ 2 โดยวิทยาลัยสงฆ์นครลำปางได้จัดกิจกรรมเพื่อสังคมสนองนโยบายอธิการบดีและในวันนี้ ซึ่งได้ร่วมบูรณาการกับทางวิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง ซึ่งเป็นสถานที่ผลิตจัดทำข้าวกล่องจำนวน 600 ชุด โดยในงานนี้ได้รวบรวมปัจจัยจากคณะครู อาจารย์ นิสิต ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ และผู้มีจิตศรัทธา จำนวนหนึ่งมาเป็นค่าใช้จ่ายในครั้งนี้ ในยามเกิดวิกฤตทางวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง ก็ไม่ทอดทิ้งกัน จะช่วยเหลือแบ่งปันซึ่งกันและกันตามกำลังความสะดวก ดังสุภาษิตคำพังเพยที่ว่า "เพื่อนแท้ก็จะเห็นใจกัน ในยามทุกข์ยากลำบาก"

โดยในช่วงเวลา 11.00 น. ตัวแทนผู้บริหาร คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ ได้เดินทางไปมอบข้าวกล่องให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่อบจ.ลำปางที่ปฏิบัติหน้าที่ จำนวน 200 ชุด และ ได้ร่วมออกโรงทานแจกอาหาร น้ำดื่ม ให้กับประชาชนที่มาเข้ารับการฉีดวัคซีน จำนวน 400 กล่อง ณ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ถ.ป่าขาม ต.หัวเวียง อ.เมือง จ.ลำปาง "134 ปี มหาจุฬาฯ พัฒนาปัญญาและคุณธรรม นำสังคมสู่สันติสุข"


ภาพ/ข่าว  ภาวินันท์ บุตรหล้า รายงาน

แม่ฮ่องสอน - ชาวบ้านลุ่มน้ำยวมส่งหนังสือถึง “บิ๊กป้อม” วอน กก.วล.เลื่อนการพิจารณา EIA ผันน้ำยวม

เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2564 นายสะท้าน ชีวะวิชัยพงศ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำยวม เงา เมย สาละวิน เปิดเผยว่า ขณะนี้เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำยวม-เงา-เมย-สาละวินได้ส่งหนังสือ ถึงคณะรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ(กก.วล.)และคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการบริหารจัดการลุ่มน้ำทั้งระบบ เพื่อขอให้เลื่อนการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ของ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และขอให้ส่งกลับรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ให้คณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ (คชก.) ทบทวนการพิจารณารายงานให้ครอบคลุมในทุกมิติ 

นายสะท้านกล่าวว่าเครือข่ายฯ  ทราบว่า คชก. ได้พิจารณาผ่านรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล แนวส่งน้ำยวม-อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล และสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม (สผ.) ได้จัดส่งรายงานดังกล่าวให้ กก.วล.เพื่อพิจารณาแล้ว และ กก.วล.จะมีการพิจารณาในวันที่15 กันยายน 2664 ซึ่งซึ่งเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำยวม-เงา-เมย-สาละวิน เห็นว่า EIA ฉบับนี้จะส่งผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งโครงการประกอบด้วยโครงสร้างต่าง ๆ อาทิ เขื่อนแม่น้ำยวม ถังพักน้ำ อุโมงค์ส่งน้ำ ฯลฯ จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและกว้างขวาง ต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมแม่น้ำเมย แม่น้ำยวม แม่น้ำสาละวิน และพื้นที่ของอุโมงค์ส่งน้ำใน 3 จังหวัด คือ แม่ฮ่องสอน ตาก และเชียงใหม่ นอกจากนี้โครงการดังกล่าว ยังจะส่งผลกระทบต่อแม่น้ำเมยและสาละวิน อันเป็นเขตพรมแดนไทย-พม่า ซึ่งเป็นแม่น้ำระหว่างประเทศ และอาจจะส่งผลกระทบต่อประชาชนในประเทศเมียนมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

โดยที่ผ่านมาทางเครือข่ายฯ ได้ยื่นหนังสือต่อเลขาธิการ สผ และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับการดำเนินโครงการผันน้ำข้ามลุ่มน้ำดังกล่าวไปยังหน่วยงานตลอดมา 

“เราระบุในหนังสือว่า คชก. ก็ยังคงผ่านรายงานเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม โดยหนังสือฉบับนี้ เครือข่ายฯ ขอเรียนมาเพื่อขอแสดงจุดยืนคัดค้านไม่เห็นด้วยกับโครงการฯ โดยขอให้เลื่อนการพิจารณารายงาน EIA ของ กก.วล.และขอให้ส่งกลับรายงานให้คณะกรรมการผู้ชำนาญการฯทบทวนการพิจารณารายงานให้ครอบคลุมในทุกมิติ พร้อมทั้งขอให้ดำเนินการจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่อย่างรอบด้านครบทุกกลุ่ม อีกทั้ง ขอให้นำข้อห่วงกังวลหรือข้อคิดเห็นของชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการโดยตรง ให้ดำเนินการทบทวนการทำรายงานรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ ให้ครอบคลุมในทุกมิติ” นายสะท้าน กล่าว

ในวันเดียกันมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้ออกแถลงการณ์ คัดค้านโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพลแนวส่งน้ำยวม – อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล  โดยระบุว่าโครงการดังกล่าว ต้องใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ 5 แห่ง และพื้นที่เตรียมประกาศอุทยานแห่งชาติ 1 แห่ง สูญเสียพื้นที่ป่าทั้งสิ้น 3,641.77 ไร่ ปัจจุบันรายงาน EIA กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของ กก.วล.พิจารณาทั้งที่รายงานดังกล่าว ยังมีข้อกังขาถึงกระบวนการจัดทำรายงานฯ ความถูกต้องของข้อมูล และการเข้าถึงข้อมูลของประชาชนในพื้นที่ที่อยู่ห่างไกล ว่าผู้มีส่วนได้-เสียในพื้นที่ได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงหรือไม่

“มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ในนามของตัวแทนเครือข่ายองค์กรอนุรักษ์ 19 องค์กรตามรายชื่อแนบท้าย ได้ทำการยื่นจดหมายถึง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ และประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2564 ขอให้ยุติโครงการพัฒนาแหล่งน้ำทุกขนาดในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และทบทวนนโยบายการจัดการน้ำของทั้งประเทศ เพื่อประเมินความเสี่ยงจากภาวะโลกร้อน

โดยมี นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนรับมอบเอกสารคัดค้านดังกล่าว โดยขอแสดงเจตนายืนยันไม่เห็นด้วยที่จะมีการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ หรือโครงการพัฒนาแหล่งน้ำประเภทอื่น ๆ เช่น อุโมงค์ผันน้ำที่ผ่าใจกลางผืนป่าในพื้นที่อนุรักษ์อีกต่อไป ซึ่งโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพลแนวส่งน้ำยวม – อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล และระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูงโครงการเพิ่มน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล แนวส่งน้ำยวม-เขื่อนภูมิพล คือ 2 โครงการจาก 77 โครงการ องค์กรเครือข่ายอนุรักษ์ฯ ขอแสดงเจตนายืนยันที่จะเรียกร้องให้รัฐบาลยุติโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทั้งหมด ยกเลิกการเร่งผลักดันโครงการพัฒนาแหล่งน้ำแบบเหมารวม และเลือกการจัดการแหล่งน้ำนอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์เป็นลำดับแรก ส่งเสริมนวัตกรรมการจัดการน้ำแบบไม่ทำลายพื้นที่ป่าเพื่อให้คนและสัตว์ป่าอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน” แถลงการณ์ของมูลนิธิสืบระบุ 

อุดรธานี - ทหารอุดร บูรณาการ 14 หน่วยงาน ฝึกซ้อมบรรเทาสาธารณภัย เตรียมพร้อมช่วยเหลือประชาชนเมื่อเกิดเหตุ

เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 ณ  บริเวณลานหน้าพระอนุสาวรีย์พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ค่ายประจักษ์ศิลปาคม ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี พลตรี พิทักษ์ จันทร์เขียว ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 24 /ผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกที่ 24 เป็นประธานเปิดการฝึกการซักซ้อมบรรเทาสาธารณภัย และช่วยเหลือประชาชน โดยมี พันเอก ปฏิวัติ ชื่นศรี เสนาธิการ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กรมทหารราบที่ 13 และหน่วยงาน ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง 14 หน่วยงาน เข้าร่วมพิธีฯดังกล่าว 

โดยการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อบรมให้ความรู้ ซักซ้อมแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมถึงการช่วยเหลือประชาชนเพื่อให้เข้าใจในเรื่องการบรรเทาสาธารณภัย ให้มีความพร้อมในการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบของหน่วย ระหว่างวันที่ 13 – 14 กันยายน  2564

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ในการให้ความช่วยเหลือประชาชน โดยได้ฝึกเตรียมความพร้อมด้านกำลังพล และยุทโธปกรณ์ให้เกิดความชำนาญในการใช้ยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ อย่างปลอดภัย ทั้งผู้ให้การช่วยเหลือ และผู้ได้รับการช่วยเหลือ สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ในพื้นที่ ที่จะเข้าให้การช่วยเหลืออย่างทันท่วงที รวมทั้งบูรณาการวางแผน ประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  


ภาพ/ข่าว  จ.ส.อ.กฤษฎา มณีใส กรมทหารราบที่ 13


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top